แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้จะได้วิสัชนาในพระธรรมเทศนาอันว่าด้วยมาตา ปิตุ กถา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา ส่งเสริมศรัทธา-ความเชื่อ และ วิริยะ-ความพากเพียร ของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนานี้เป็นปกติธรรมดา ปรารภเหตุเป็นพิเศษเนื่องในการบำเพ็ญกุศลเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถด้วย ซึ่งจะมีในวันพรุ่งนี้ แต่ทางการสั่งให้มีธรรมเทศนาในวันนี้ นี้เป็นธรรมเทศนาพิเศษ ธรรมเทศนาโดยปกตินั้นก็คือว่า ในพรรษานี้ วันนี้ก็เป็นวันพระ เรียกกันว่าวันพระมีความหมายอยู่สามประการด้วยกันคือ เป็นวันอุโบสถ เป็นวันธรรมสวนะ และเป็นวันพระ ที่ว่าเป็นวันอุโบสถนั้นก็คือวันนี้เป็นวันที่กำหนดไว้สำหรับรักษาศีลอุโบสถ ซึ่งท่านทั้งหลายก็ได้ประพฤติปฏิบัติกันอยู่แล้ว จนเป็นวันมีความหมายขึ้นมาวันหนึ่ง เรียกว่า วันอุโบสถ คือวันถือศีลอุโบสถ ที่เรียกว่าเป็นวันธรรมสวนะนั้น เพราะเป็นวันฟังธรรม พุทธบริษัทถือว่าการฟังธรรมตามโอกาสนั้น เป็นความดี เป็นระเบียบวินัย ธรรมเนียมที่ดีจะเป็นอุดมมงคล จึงได้มีธรรมเทศนาในวันที่ควรจะมี และวันนั้นก็เรียกว่าวันธรรมสวนะ ดังที่เราก็ได้ก็ทำมาแล้วเป็นลำดับมาตั้งแต่ วันแรกเข้าพรรษา ส่วนที่เรียกว่าวันพระนั้น ก็ขอให้ถือเอาความหมายตามคำ ๆ นั้นที่ว่าวันประเสริฐ พระแปลว่าประเสริฐ วันพระแปลว่าวันประเสริฐ ประเสริฐอย่างไร ก็ตอบได้หลายอย่างหลายประการ คือทำให้มันดีที่สุด และที่ดีที่สุดนั้น ก็คือเป็นวันที่เราอยู่กับพระ เป็นวันที่มีพระ วันนี้เป็นวันพระ เราก็ควรจะมีพระ แต่บางคนก็ไม่รู้ไม่สนใจว่าเป็นวันพระและก็ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นพระ ไอ้คนนั้นมันก็ไม่มีวันพระ วันพระคือวันอยู่กับพระ พระอะไร พระพุทธเจ้านั่นเอง เมื่อพระพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพานโดยเบญจขันธ์นั่น ก็มีตรัสไว้ว่า ธรรมวินัยอันใดที่ตถาคตได้แสดงไว้ได้บัญญัติไว้ นั่นจักอยู่เป็นศาสดาแห่งพวกเธอทั้งหลาย หลังจากการล่วงลับไปแล้วแห่งเราโดยทางกาย โดยทางกายก็ล่วงลับไปแล้ว นิพพานแล้ว เผาแล้ว เหลือแต่พระธาตุแล้ว ส่วนโดยพระองค์จริงนั้นยังอยู่ อย่างที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ธรรมะที่แสดงแล้ววินัยที่บัญญัติแล้ว ยังอยู่ตลอดไป คือตลอดมาจนถึงวันนี้ นี่คือองค์พระพุทธเจ้าที่แท้จริง วันนี้เราก็เข้ามาอยู่กับพระธรรมศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรมและรับผลแห่งธรรม ในวันนี้เราก็มาอยู่กับพระวินัยศึกษาพระวินัย ปฏิบัติพระวินัย ได้รับผลแห่งพระวินัย ก็เป็นอันว่าวันนี้เราอยู่กับพระพุทธเจ้า เราอยู่กับพระ เรามีพระ มันจึงเป็นวันพระสำหรับเรา โดยเฉพาะท่านทั้งหลายผู้เป็นคฤหัสถ์ ขอให้พยายามช่วยกันให้มีวันพระให้จนได้ พอถึงวันพระแล้วก็ทำตนให้อยู่กับพระ คือพระธรรมและวินัยที่พระองค์ทรงตั้งไว้ในฐานะเป็นพระศาสดานิรันดร หลังจากที่ล่วงลับไปแล้วโดยพระวรกาย
วันนี้เราจึงพยายามเป็นพิเศษที่จะปฏิบัติธรรมะ และปฏิบัติวินัย และก็มีธรรมมะ มีวินัยได้รับผลปรากฏอยู่แก่ใจ ก็ชื่อว่าเรามีพระ เราจึงมีวันพระ ไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท ไม่รู้จักมีวันพระกับเขา ทบทวนอีกทีหนึ่งว่าวันนี้มีความหมายสามอย่าง มีความสำคัญสามอย่าง ก็คือเป็นวันอุโบสถ รักษาศีลอุโบสถ เป็นพิเศษต่างไปกว่าวันธรรมดา ซึ่งรักษากันแต่ศีลห้า วันนี้เป็นวันอุโบสถ ทีนี้ก็เป็นวันที่ฟังธรรม ศึกษาธรรม จะได้เอาไปประพฤติปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ ให้สติปัญญาในทางธรรมรุ่งเรืองสว่างไสวยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำอย่างนี้เรียกว่าวันธรรมสวนะ คือวันฟังธรรม ที่วันพระเป็นวันที่ตั้งอกตั้งใจดีที่สุดอยู่กับพระพุทธเจ้า คือพระธรรมและวินัยที่ทรงแสดงไว้แล้ว ที่เราจะสามารถประพฤติปฏิบัติให้ดีที่สุดได้อย่างไร ข้อนี้คงทำไม่ได้เท่ากัน ภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ชาวบ้าน หญิงชายทั้งหลาย ก็คงจะทำให้เท่ากันไม่ได้ แต่เมื่อได้ทำสุดความสามารถของตนของตนแล้วก็ถือว่าไม่บกพร่องในหน้าที่ ได้รับผลของการมีวันพระถึงที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ช่วยกันมีวันอุโบสถ วันธรรมะสวนะ วันพระกันให้ถูกต้องแท้จริงยิ่ง ๆ ขึ้นไป โลกนี้ก็จะมีความสงบสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพุทธบริษัท ก็จะมีความเป็นพุทธบริษัท บริสุทธิ์ผุดผ่อง
ทีนี้เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันธรรมสวนะ มีการแสดงธรรมก็ถือโอกาสรวมกันเป็นสองความหมาย ในตามธรรมดาก็ต้องแสดงธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่แล้ว ในวันนี้ได้รับการขอร้องให้แสดงธรรมเนื่องในการเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถ ก็เลยนึกว่าจะพูดเรื่องอะไรดี ยิ่งวันพรุ่งนี้ก็เป็นวันแม่ วันนี้ก็เป็นการเตรียมสำหรับวันแม่ มันก็ต้องหลีกไม่พ้นแล้วที่จะต้องพูดเรื่องแม่ หรือเรื่องพ่อแม่ ในเรื่องพ่อแม่นี้ก็สามารถจะพูดจะแสดงให้เป็นธรรมเทศนาตามธรรมดาทั่วไปก็ได้ ดังหัวข้อที่ได้ยกขึ้นไว้ข้างต้นแล้วว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร เป็นต้นดังนี้ ทีนี้จะแสดงให้อนุวัตรแก่อภิรักษ์จิตสมัย อันเป็นกุศลเนื่องในการเฉลิมพระชนมพรรษาก็ทำได้ ด้วยเนื้อความแห่งเรื่องนี้ก็มีการกล่าวถึง บิดามารดา ซึ่งมีความหมายสำหรับดึงออกมาเป็นวันแม่ ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามทำในใจให้แยบคาย ฟังโดยเอื้อเฟื้อ โดยครบ ให้สำเร็จประโยชน์แก่การแสดงธรรม และการฟังธรรม ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เมื่อกล่าวง่าย ๆสั้น ๆ ก็จะพูดว่าวันนี้เราจะพูดกันเรื่องพ่อแม่ ทีนี้การพูดการแสดงนั้นมันมีอยู่หลายระดับ เป็นชั้นตื้น ๆ ก็มีเป็นชั้นลึก ๆ ก็มี ถ้าแสดงอย่างภาษาธรรมดาเรียกว่าโดยภาษาคนโดยบุคลาธิษฐานอย่างนี้มันก็มี พูดไปตามวัตถุ พูดไปตามบุคคล พูดไปตามไอ้ความรู้สึกธรรมดาสามัญของคนทั่วไป ถ้าทำอย่างนี้เรียกว่าแสดงโดยภาษาคน ที่ถ้าว่าจะแสดงโดยภาษาธรรม ต้องเอาความหมายที่ลึกซึ้งไปกว่านั้นมาพูดกัน เดี๋ยวก็จะเข้าใจได้ว่ามันต่างกันอย่างไร ถ้าเราพูดว่าพ่อแม่ในภาษาคน มันก็เหมือนกับเด็ก ๆ มันก็รู้ว่าคนไหนเป็นพ่อคนไหนเป็นแม่ เขาทำหน้าที่ต่างกันอย่างไรอยู่ที่บ้าน นี้ก็คือพ่อแม่ในภาษาคน ตามความรู้สึกนึกคิดเห็นได้ของคนธรรมดา เกือบจะไม่ต้องอธิบาย พ่อแม่ให้กำเนิดมาแล้วก็เลี้ยงดู ช่วยเหลือจนสุดความสามารถของพ่อแม่ตามประเพณี ที่มีพ่อมีแม่มีลูกมีหลานมีเหลนแล้วแต่จะมี นี่เรียกว่าพ่อแม่ในภาษาคน แต่ถ้าพ่อแม่ในภาษาธรรม เขาไม่ได้เพ่งเล็งเอาที่ตัวร่างกายเช่นนั้น เพ่งเล็งถึงความหมายลึกซึ้งที่อยู่ในนั้น ดังพระพุทธภาษิตที่มีว่า พฺรหฺมาติ มาตาปิตโร บิดามารดาชื่อว่าเป็นพรหม ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร ท่านกว่าว่าเป็นบูรพาจารย์ อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ เป็นอรหันต์ของลูก ปชาย อนุกมฺปกา เป็นผู้เอ็นดูประชาสัตว์ ฟังดู พรหมคือบิดามารดา บิดามารดาเป็นพรหม นี่เรียกว่าพูดโดยภาษาธรรม ภาษาที่ลึกขึ้นไปกว่าภาษาคน พ่อแม่คือผู้ให้เกิดเรามาทางร่างกาย แต่ถ้าพูดว่าบิดามารดาเป็นพรหม เล็งถึงพระพรหมผู้สร้าง ก็คือบิดามารดาสร้างเรามาอย่างพระพรหมสร้างโลก คำว่าพรหมหมายถึงความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทำอะไรไปด้วยความ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และก็จะทำเหมือนอย่างพรหม บิดาโดยแท้จริงก็ทำอย่างนั้น ทำแก่ลูกอย่างนั้นคือทำด้วยเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ตลอดเวลา บิดามารดา จึงได้ชื่อว่าพรหมหรือพระพรหม
ทุกคนควรจะมองดูให้รู้โดยประจักษ์แก่ใจว่าบิดามารดาเป็นพระพรหมแก่ลูกอย่างไร ข้อที่ว่า ปุพฺพาจริยาติ วุจฺจเร บิดามารดาเป็นบูรพาจารย์ แปลว่าอาจารย์คนแรก ข้อนี้ถ้าสังเกตก็เห็นได้ง่ายไม่ลึกลับอะไร แต่คนไม่สังเกตคิดว่า บิดามารดาก็เป็นบิดามารดา ครูบาอาจารย์ก็อยู่ที่โรงเรียน ที่วัดที่วา ทีนี้เขาว่าบิดามารดานั่นแหละเป็นอาจารย์คนแรก พูดกันง่าย ๆ ก็คือว่าสอนลูกตั้งแต่ให้ดูด ให้ดูดนม ให้ถ่ายอุจจาระ ให้ถ่ายปัสสาวะ ให้ทำทุกอย่างเหมือนกับเด็กเพิ่งคลอดมาต้องได้รับการสั่งสอนอะไรบ้าง มารดาเขาสอน ยังสอนต่อไปจนกว่ามันจะโตจะใหญ่พอที่จะไปโรงเรียนได้ จึงจะส่งไปโรงเรียน ระยะนั้นหลายปีบิดามารดาสอน ก็เรียกว่าเป็นอาจารย์คนแรก ไม่มีใครจะแรกไปกว่านั้น เขาไม่ค่อยไม่ค่อยมองกัน ถ้ามองกันก็จะเห็นความสำคัญบิดามารดาว่าเป็นผู้ที่ปั้นลูกปั้นวิญญาณของลูกขึ้นมาทีเดียว ทุกคนทั้งหญิงทั้งชายสังเกตดูเถิดจะรู้ว่าที่เราเป็นอะไรอยู่ได้เดี๋ยวนี้เพราะเป็นการปั้นของบิดามารดามาตั้งแต่แรกคลอด ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ดังที่เรียกว่าอาจารย์คนแรก เราจะเป็นคนหยาบคาย หรืออ่อนโยนก็แล้วแต่บิดามารดาปั้นมาแต่แรก เราจะเป็นคนซื่อตรง ไม่ซื่อตรง มันก็แล้วแต่บิดามารดาปั้นมาแต่แรก มันจะมีความคิดผิดคิดถูก คิดเลวคิดดี มีนิสัยใจคออย่างไร ก็แล้วแต่บิดามารดาปั้นขึ้นมาตั้งแต่แรก มันเป็นการใส่ลงไปทีแรกมันแน่นแฟ้นมั่นคงมันเปลี่ยนยาก และนิสัยใจคอที่เป็นมาตั้งแต่เด็กนี่มันเปลี่ยนยาก มันฝังลงไปแน่นแฟ้น นี่บิดามารดาเป็นอาจารย์คนแรก ดังนั้นควรจะมองเห็นความสำคัญ และระมัดระวังกันให้ดี ๆ บิดาก็ดีมารดาก็ดีจงระมัดระวังในเรื่องนี้ให้มาก ว่าท่านจะสร้างนรกหรือสวรรค์ให้แก่ลูกท่านได้โดยไม่รู้สึกตัว ลูกเขาคลอดมาใหม่ ๆ เราสอนลงไปอย่างไร อบรมลงไปอย่างไรมันก็เป็นอย่างนั้น มันจะมีอนาคตที่ดีหรือที่ไม่ดีมันก็แล้วแต่อาจารย์คนแรก อาจารย์คนแรกนี้มันสอนอยู่หลายปีกว่าจะไปโรงเรียน นั้นเราจะมีนิสัยอย่างไรมันก็มาจากบิดามารดา จะขี้เหนียวอย่างยิ่ง หรือว่าจะประหยัดพอดี หรือจะมีใจกว้างเกินพอดี อย่างนี้ก็แล้วแต่นิสัยที่บิดามารดาเขาใส่ให้มา ในฐานะเป็นอาจารย์คนแรก เราจะเป็นคนสะเพร่า แยบ เอ่อ,เป็นคนสะเพร่าทำอะไรหวัด ๆ หยาบ ๆ หรือว่าเราจะเป็นคนละเอียดลออประณีต สังเกต สังกาดี นี่ก็แล้วแต่การกระทำของบิดามารดาที่อบรมมาแต่แรก นี่เด็กคนนั้นจะรอดตัวได้ หรือรอดตัวไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับการสั่งสอนทีแรกของบิดามารดาเป็นส่วนใหญ่ เดี๋ยวนี้เรารอดตัวได้ก็ควรจะขอบพระคุณบิดามารดาที่สอนมาดี แล้วผู้ที่จะเป็นบิดามารดาต่อไปก็ขอให้ระมัดระวังเรื่องนี้ให้มากที่สุด จะสร้างลูกให้เป็นสัตว์ หรือจะสร้างลูกให้เป็นคน จะสร้างลูกให้เป็นมนุษย์ จะสร้างลูกให้เป็นเทวดาอะไรก็ได้ทั้งนั้น มันแล้วแต่การกระทำของท่าน ดังนั้นควรจะเตรียมศึกษาไว้ดี ๆ ความรู้อย่างไร ศีลธรรมอย่างไร ธรรมมะอย่างไร ศึกษาไว้ให้เพียงพอสำหรับจะปั้นลูกของตนได้ตามที่ปรารถนา นี่คือคำอธิบายของคำว่าบิดามารดาท่านกล่าวว่าเป็นอาจารย์คนแรก
ข้อต่อไปว่า อาหุเนยฺยา จ ปุตฺตานํ บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก คำว่า อาหุไนย แปลว่าผู้ควรแก่การบูชา บุคคลที่ควรแก่การบูชาสูงสุด คือ พระอรหันต์ มันจึงแปลเสียเลยว่า อาหุเนยฺยา นี่คือพระอรหันต์ บิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก ลูกควรจะเคารพบูชาสูงสุดหมดไม่มีเหลือ เรียกว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก จะต้องเคารพ จะต้องเชื่อฟัง จะต้องยอมให้ทุกอย่าง เด็กบางคนเขามาถามว่าถ้าบิดามารดาชั่วกินเหล้า เล่นไพ่ ขโมย เราจะทำอย่างไร เราจะเคารพบิดามารดาได้อย่างไร ก็บอกว่านั่นมันก็ส่วนของบิดามารดา ส่วนเรายังต้องคงเคารพในฐานะที่เป็นบิดามารดา ถ้าเราเก่งพอเราก็สามารถจะพูดจา อุตสาห์ทนยากทนลำบากพูดจาให้บิดามารดาละสิ่งเหล่านั้นเสีย ก็คือการสนองพระคุณของบิดามารดาเป็นอย่างยิ่ง อย่าได้ละเลยเสีย อย่าได้ดูถูกดูหมิ่นบิดามารดา แม้ว่ากำลังเป็นอย่างนั้นอยู่ เราจะถือว่าบิดามารดาโดยความหมายแล้วก็เป็นพรหมของลูก เป็นปุพพาจารย์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกตลอดไป ผู้ที่มีบิดามารดาไม่ตั้งอยู่ในธรรม ก็อย่าเพ่อดูถูกดูหมิ่น จะต้องเคารพส่วนที่เป็นบิดามารดา และพยายามแก้ไขไปตามเรื่อง ทำความเข้าใจกันให้ถึงที่สุด มันก็จะต้องได้ ถ้าทำได้ก็ยิ่งเป็นบุญเป็นกุศลอันสูงสุด เป็นการทดแทนพระคุณบิดามารดาอันสูงสุด นี่เรียกว่าบิดามารดาเป็นพระอรหันต์ของลูก ปชาย อนุกมฺปกา นี้เป็นคำกล่าวรวบหมด ว่าเป็นผู้เอ็นดูสัตว์ ปชา นี่แปลว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งหมดทั้งสิ้น ทั้งโลกทั้งจักรวาลก็ได้ ไอ้คนที่จะมาเอ็นดูแก่สัตว์ทั้งหมดนี้ไม่มีใครนอกจากบิดามารดา จึงเป็นการกล่าวว่าบิดามารดาคือผู้เอ็นดูสัตว์ เป็นธรรมดาเป็นลักษณะปรกติธรรมดา เราก็แยกดูเป็นคน ๆ ว่าใครรักเรามากที่สุดในโลกนี้ ก็ไปพบว่าบิดามารดา ทุกคนในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น ฉะนั้นบิดามารดาคือผู้มีความผู้เอ็นดูกรุณาต่อประชาสัตว์ทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าบิดามารดามีความหมายพิเศษอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงแต่ว่าคลอดลูกออกมาโดยทางวัตถุ โดยทางร่างกาย นั่นก็บอกแล้วนะทีแรกว่าภาษาคนล้วน ๆ นะ บิดามารดาคือผู้ให้กำเนิดเรามา ก็ถ้าว่าภาษาธรรมที่ลึกลงไป ไม่เอาวัตถุร่างกายเป็นประมาณแล้ว บิดามารดาคือพระหรหม บิดามารดาคือบูรพาจารย์ บิดามารดาคือพระอรหันต์ บิดามารดาคือผู้เอ็นดูสรรพสัตว์ แม้ว่าจะเป็นความเอ็นดูในระดับธรรมดาสามัญ ก็เรียกว่าเป็นผู้เอ็นดูสรรพสัตว์ เหมือนกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเอ็นดูสรรพสัตว์ แต่เป็นความเอ็นดูในระดับที่สูงขึ้นไปด้วยคุณธรรม แต่ถึงอย่างไรก็ดีบิดามารดาทั้งโลกก็คือผู้เอ็นดูสัตว์โลกทั้งโลก นี่เรียกว่าบิดามารดาในภาษาธรรม
ทีนี้จะพูดบิดามารดาในภาษาธรรมให้ยิ่งขึ้นไปอีกจะเอาไหม ก็พูดได้ บิดามารดาในภาษาธรรมนั้นอยากจะพูดว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์เป็นพี่ ใครฟังไม่ออก อาตมาก็เป่าปี่ให้ตัวเองฟัง แรดทั้งหลายไม่ต้องฟังว่า พระพุทธเจ้าเป็นพ่อ รู้ไหมว่าเป็นพ่ออย่างไร และพระธรรมเป็นแม่ เป็นอย่างไร และพระสงฆ์เป็นพี่ คืออย่างไร พระพุทธเจ้าเป็นต้นเหตุให้เกิดพระธรรม พระธรรมก็สร้างเรามา เราเกิดมาจากไหน พูดตามภาษาสูงสุดเขาว่าพระธรรมสร้างมา คือกฎของธรรมชาติหรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกนะ ที่เรียกว่าพระธรรมได้ก็แล้วกัน พระธรรมเหมือนกับแม่คลอดเรามา พระพุทธเจ้าเหมือนกับพ่อ ทำให้เกิด ให้เกิดการเกิดอันนี้ขึ้นมา และพระสงฆ์คือผู้ที่เกิดก่อนเรา เราเรียกว่าเป็นพี่ เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทที่ดีนะไม่ใช่ที่เลวไม่ใช่ที่ไร้ความหมาย ควรจะมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ได้ด้วยกันทุกคน แต่ถ้ามันเป็นพุทธบริษัทแต่ปาก พุทธบริษัทไม่จริง พุทธบริษัทหลอกลวง มันก็ไม่มีโอกาสจะเป็นเช่นนี้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าคืออะไรมันก็ไม่รู้จัก พระธรรมคืออะไรมันก็ไม่รู้จัก พระสงฆ์คืออะไรมันก็ไม่รู้จัก ดังนั้นเรารู้ตามที่เราได้เรียนมาแล้วว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์คืออะไร แต่ต้องการให้ดูให้ลึกให้ยิ่งขึ้นไป และพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั้นอยู่ที่ไหน คือสติปัญญาสูงสุดรู้เรื่องดับทุกข์ ไอ้เรื่องดับทุกข์นั้นเป็นพระธรรม พระธรรมก็ทำให้เราเกิดใหม่ เป็นคนดับทุกข์ได้ เราเป็นคนโง่ดับทุกข์ไม่เป็น ก็ตายเสียมาเกิดใหม่ เป็นพุทธบริษัท เป็นบุคคลที่รู้จักพระธรรมดับทุกข์ได้ นี่มันเหมือนกับเกิดใหม่ มันเกิดใหม่มาเป็นคนที่ดับทุกข์ได้ คนนี้มันเกิดใหม่แล้วมันมีพระธรรมเป็นแม่ มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระสงฆ์ที่เขามาก่อนหน้าเราเกิดก่อนเราก็เป็นพี่ ก็เป็นพี่ของเรา อย่างนี้เรียกว่าพูดภาษาธรรมที่ยิ่งขึ้นไป เอ้า,ลองเทียบกันดูใหม่ก็ได้ ภาษาคนพ่อแม่คือที่คลอดลูกออกมาตามธรรมดา หมาแมวก็คลอดได้คลอดเป็น อย่างนี้พ่อแม่ในความหมายภาษาคนธรรมดา นี้ภาษาธรรมทีแรกก็พระพุทธ พ่อแม่เป็นพรหมพ่อแม่เป็นบูรพาจารย์ พ่อแม่เป็นอรหันต์ของลูก พ่อแม่เป็นผู้เอ็นดูสรรพสัตว์ เขาไม่ได้พูดกันที่เนื้อหนังร่างกายแล้ว พูดกันถึงที่ถึงการกระทำอันเร้นลับลึกซึ้งแล้ว อย่างนี้สุนัขกับแมวทำไม่ได้ การเป็นพ่อแม่อย่างที่สุนัขและแมวก็เป็นได้นั้นมันก็อย่างทีแรกตัวเกิดมา แล้วสูงขึ้นไปมันก็กลายเป็นว่าเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ของตน เป็นพระพรหมของลูก เป็นบูรพาจารย์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นผู้เมตตากรุณาแก่สรรพสัตว์ไม่มีใครยิ่งกว่า ลองคิดดูเถอะว่าใครรักเราที่สุดในโลกนี้ มันก็ไม่เว้นพ่อแม่ ไม่มีอะไรนอกไปจากพ่อแม่ นั่นภาษาธรรม พูดอย่างนั้น ทีนี้ภาษาธรรมให้เข้มข้นขึ้นไปอีก ก็เลยพูดว่าเรานี่มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ พ่อก็คือทำให้เรามีธรรมมะ ธรรมะก็คือสิ่งที่จะตัดกิเลสดับทุกข์ได้ เราเลยมีพุทธะ ธรรมะเป็นพ่อแม่ และสังฆะที่เกิดก่อนเราก็เป็นพี่ทั้งหมด
ถ้าใครทำตนได้อย่างนี้ก็เรียกว่าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่พุทธบริษัทจะพึงได้รับ จะเป็นพุทธบริษัทสูงสุดแท้จริงไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนา ขอให้ทุกคนจงได้พยายามให้สุดความสามารถของตน จนถึงกับว่ารู้สึกว่าอย่างนี้จริง ๆ ว่าพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ พระธรรมเป็นแม่ พระสงฆ์ทั้งหลายเป็นพี่ แล้วก็จะมีปีติปราโมทย์มีจิตใจหลุดพ้นไปจากความผูกพันรัดรึงอะไรต่าง ๆ ได้ ด้วยเหตุที่ว่ามีความศรัทธา มีปัญญา มีไอ้ (นาทีที่ 29.19) อะไรรวมกันหมด อยู่ในบุคคลนั้น นี่เราจะนึกถึงพ่อแม่ในระดับนี้กันหรือไม่ เปรียบเทียบกันก็ได้ว่าแม่เลี้ยงเรามาอย่างไร พระธรรมก็เลี้ยงเรามาอย่างนั้น พ่อแม่เป็นต้นเหตุให้เกิดกำเนิดอย่างไร พระพุทธเจ้าก็เป็นต้นเหตุ เป็นให้เกิดกำเนิด คือเป็นอริยบุคคลขึ้นมาจากความเป็นปุถุชนอย่างนั้น และพระสงฆ์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบล่วงหน้าไปมากแล้ว ก็เหมือนกับว่าเป็นพี่ของเรา นี่ว่าจะพูดกันถึงว่าวันแม่หรือวันของพ่อแม่ มันก็พูดได้มากอย่างนี้ จะให้พูดมากกว่านี้ก็ได้ แต่เดี๋ยวมันจะเป็นเรื่องเป่าปี่ให้ตัวเองฟังมากเกินไปเสียอีก พูดเท่านี้ก็พอ ว่าเราขอร้องว่าขอให้พยายามมีบิดามารดาในภาษาธรรมให้มีบิดามารดาในภาษาธรรมที่ยิ่งสูงขึ้นไปอีก
เอ้า,เราพูดถึงบุตรกันบ้าง ว่าพ่อแม่ก็พ่อแม่ ฝ่ายเรานี้เดี๋ยวนี้กำลังเป็นบุตร ขอให้เป็นบุตรที่ดีที่สุด ประเสริฐที่สุดคือทำหน้าที่ของตนไม่มีบกพร่องเลย บุตรมีหน้าที่อย่างไรทำหน้าที่ของตนให้ถึงที่สุด อย่างน้อยที่สุดนะที่ใคร ๆ ก็มองเห็น ที่สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น มีบุตรก็เพื่ออย่าให้สูญพันธุ์ มีบุตรเพียงแต่ว่าอย่าให้มันสูญพันธุ์ ไอ้ต้นไม้นี้มันก็มีเป็น มันมีลูกไม้ไม่ให้สูญพันธุ์ กาไก่หมาแมวมันก็มีลูกเป็น มีลูกอย่าให้สูญพันธุ์ ดูสิสุนัขนี่มันไม่สูญพันธุ์มันมาตั้งกี่พันปีหมื่นกี่ปีมาแล้ว มีบุตรเพียงไม่ให้ไม่สูญพันธุ์นี่มันเป็นธรรมชาติธรรมดาชั้นต่ำเกินไป เรามาสอนให้เด็ก ๆ แถว ท่องไว้ว่าบุตรนี้คือใคร บุตรนี้คือผู้ที่เกิดมาสำหรับทำให้บิดามารดาสบายใจชื่นใจ ไม่ใช่บุตรนี้เกิดมาเพียงเพื่ออย่าให้มันสูญพันธุ์ ให้บุตรนี้คือผู้ที่เกิดมาเพื่อให้บิดามารดาสบายใจ นี่จะเหมาะสำหรับมนุษย์หรือคน ถ้าสัตว์มันทำไม่ได้ ที่จะเกิดมาให้บิดามารดาสบายใจ มันชั่วขณะเล็ก ๆน้อย ๆ แต่คนนี่ทำได้ มันจะทำให้บิดามารดาสบายใจอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าลูกคือผู้ที่เกิดมาให้พ่อแม่สบายใจ ลูกคนไหนทำให้บิดามารดาไม่สบายใจมันก็ไม่ใช่ลูก หรือมันก็เป็นลูกที่เลวที่ใช้ไม่ได้ หรือจะไม่ใช่ลูกเสียมากกว่า ไอ้ลูกที่ทำให้บิดามารดาร้อนใจน้ำตาไหลนี่เป็นลูกที่เลวที่สุด สุดเลวของลูกนะ เพียงแต่ทำให้บิดามารดาร้อนใจแม้ไม่ถึงน้ำตาไหลมันก็ยังเลวมากอยู่แล้ว ดังนั้นเด็ก ๆ คนไหนอย่าได้กล้าทำให้บิดามารดาร้อนใจ เพียงแต่ร้อนใจก็ไม่ควรแล้ว อย่าถึงกับต้องน้ำตาไหลเลย มันเห็นปรากฎอยู่ว่าบิดามารดาต้องน้ำตาไหลอยู่บ่อย ๆ เมื่อไม่กี่วันนี้ก็มาที่นี่ มันน้ำตาเต็มหน้าเต็มตามา มาเป็นทุกข์อะไร บอกว่าไปกู้เงินเขาให้ลูกมันไปเรียนที่กรุงเทพ พี่มันเรียนจบแล้ว มันไม่ใช้หนี้ ไม่ช่วยใช้หนี้เลย มันเรียนจบแล้วทำงานแล้ว แล้วมันไม่ช่วยให้น้องมันได้เรียนด้วย ไอ้น้องมันก็ขอให้แม่ไปกู้เงินใหม่มาให้น้องเรียน นี่แม่ก็ไม่กล้าทำเพราะว่าหนี้เก่าก็ยังไม่ได้ใช้ แม่เลยน้ำตาไหลเป็นทุกข์ นี่ดูลูกสิ มันอยู่ในพวกไหนที่ถึงได้ทำให้มารดาน้ำตาไหล ก็บอกว่ามันเป็นอย่างนี้เอง ถ้าลูกชนิดนั้นมันเป็นอย่างนั้นเอง ลูกชนิดอื่นมันก็เป็นอย่างอื่น คุณไปคิดดูสิ อย่าต้องทำให้มันเป็นซ้ำรอย ก็เรียกว่าเป็นปัญหาสำหรับแม่ แม่รักลูกถึงขนาดนี้ ไปกู้เงินเขามาให้เรียน เรียนแล้วก็รอให้แม่น้ำตาไหลต่อไปอีก เข้าใจว่าคงจะไม่มีในหมู่พวกเรา ถ้าใครกำลังจะมีก็หยุดเสียอย่าทำเลย นึกถึงบุญคุณของพ่อแม่ เรียนแล้วมีการได้รับประโยชน์แล้ว ก็ช่วยเหลือพ่อแม่เปลื้องหนี้พ่อแม่ ช่วยเหลือน้องบรรเทาภาระของพ่อแม่ นี่เรียกว่าลูกคือผู้ที่เกิดมาทำให้พ่อแม่สบายใจ ยังบอกให้เด็กท่องไว้ว่า แม่คือธนาคารที่เราเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก นี่แม่พ่อคือเราเบิกเงินเป็นเหมือนธนาคารที่เราเบิกเงินได้เรื่อยโดยไม่ต้องฝาก และควรจะนึกถึงพระคุณของพ่อของแม่สักเท่าไร นั่นมันเป็นเรื่องที่พอจะมองเห็นได้ ขออย่าได้ทำให้เกิดความเสียหายขึ้นแก่เกียรติยศแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา ความเป็นมนุษย์มันมีจิตใจสูง มันก็สูง ก็ขอให้สูง มีความรู้สึกสูง มีการประพฤติกระทำสูง มีการได้รับผลที่สูง ที่อยู่กันด้วยความสงบสุขมีจิตใจเป็นที่พอใจในการที่ได้มีชีวิตอยู่
ในบาลีมีการกล่าวถึงบุตรที่ดีเรียกว่า อภิชาตบุตร คือรวยสวยเก่งกล้าสามารถกว่าบิดามารดา แล้วบุตรที่พอเสมอกับบิดามารดาเรียกว่า อนุชาตบุตร ร่ำรวยมีหน้ามีตามีทรัพย์อะไรเสมอกันกับบิดามารดานี่ก็มีอยู่พวกหนึ่ง แล้วที่มันเลวกว่ามันทำไม่ได้เพียงนั้น เขาเรียกว่า อวชาตบุตร บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานถือว่าไอ้บุตรสามความหมายนี้ไม่มีความหมายสำคัญอะไร บุตรที่มีความเป็นบุตรประเสริฐที่สุดคือบุตรที่เชื่อฟังบิดามารดา มันจะรวยกว่า รวยเท่ากัน หรือจนกว่า แต่ถ้ามันเชื่อฟังบิดามารดา มันทำให้บิดามารดาชื่นใจสบายใจ มันตรงกับความหมายคำว่า บุตรคือผู้ที่เกิดมาเพื่อทำบิดามารดาให้สบายใจ ถึงถ้ามันจะจน แต่ถ้ามันกตัญญู มันรู้คุณของบิดามารดา มันก็ดีกว่าบุตรที่ร่ำรวยมีอำนาจวาสนา แต่ไม่รู้คุณของบิดามารดา ถึงพวกเรานี่แหละจะเลือกเอาบุตรชนิดไหน ถ้าเลือกตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ก็เลือกเอาบุตรที่เชื่อฟัง มันจะรวยกว่า จะรวยเท่ากัน มันจะจนกว่า ก็ไม่ต้องไปนึกถึงมัน นึกถึงบุตรที่ดีเคารพบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดา เอื้อเฟื้อแก่บิดามารดา มุ่งหมายแต่จะทำให้บิดามารดามีความสบายใจ นี้เรียกว่าหรือหน้าที่ฝ่ายบุตร ถ้าอยากจะเป็นอย่างนี้ก็ให้นึกถึงไอ้ความหมายของคำว่าบิดามารดาอย่างที่กล่าวมาแล้ว ว่าท่านเป็นพรหมของบุตร เป็นอาจารย์คนแรกของบุตร เป็นพระอรหันต์ของบุตร เป็นผู้เอ็นดูสรรพสัตว์ในสากลโลก แล้วเราก็เป็นบุตรที่ดีของบิดามารดา สนองความประสงค์ของบิดามารดาโดยทุกอย่างทุกประการนั่นชื่อว่าบุตรที่เชื่อฟัง
เอาละเลื่อนกันอีกนิดว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ นี่เราจะสนองพระคุณของท่านอย่างไร พระพุทธเจ้าท่านทรงประสงค์อะไร เราก็ทำอย่างนั้น พระธรรมมีความมุ่งหมายอย่างไร เราก็ทำอย่างนั้น พระธรรมมีความมุ่งหมายที่จะดับทุกข์ของตนเองและผู้อื่น เราก็พยายามดับทุกข์ทั้งของตนเองและผู้อื่น เราก็เป็นลูกของพระธรรม พระพุทธเจ้าประสงค์ว่าเธอทั้งหลายจงประพฤติประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์ เราก็อุตสาห์เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างทุกประการช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพื่อสืบศาสนาสืบพระธรรมไว้ให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์ เทวดาในที่นี้หมายถึงคนรวย คนไม่ต้องออกเหงื่ออีกต่อไปเรียกว่าเทวดา มนุษย์คือผู้เป็นอยู่ด้วยเหงื่อต้องคลุกเคล้ากันไปกับเหงื่อ แต่ว่าไอ้ทั้งสองพวกนี้ก็ยังไม่พ้นทุกข์ ยังมีทุกข์ เทวดามีความทุกข์ตามแบบเทวดา มนุษย์มีความทุกข์ตามแบบของมนุษย์ พูดให้ชัดกว่านี้ก็ว่าคนรวยมีความทุกข์ไปตามแบบของคนรวย มันอยากโง่มันมีโลภะ โทสะ โมหะ มันก็น้ำตาไหลอัดอั้นตันใจบ่อย ๆ เพราะความรวยของมัน ก็แปลว่าคนรวยก็มีความทุกข์ไปตามแบบของคนรวย นี้คนจนก็ไม่ต้องพูด ก็ดูแล้วมันก็ความโง่ของมัน มีโลภะโทสะโมหะไปตามแบบของมัน และไปบูชาอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงานจนได้ยากได้จน แล้วมันเรียนทางลัด จี้ปล้นขโมยมาแก้ความจนของมัน มันก็เป็นทุกข์มากขึ้น แปลว่าคนจนมีความทุกข์ไปตามแบบคนจน คนรวยมีความทุกข์ไปตามแบบคนรวย เทวดามีความทุกข์ไปตามแบบของเทวดา เพราะยังมีกิเลสตัณหา คนจนก็มีคน มนุษย์ก็มีทุกข์ไปตามแบบของมนุษย์
พระพุทธเจ้าตรัสว่าตถาคตเกิดขึ้นมาในโลกนี้ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลสัตว์ทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์ ธรรมวินัยที่ตถาคตแสดงไว้บัญญัติไว้นี่ก็เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงทั้งเทวดาและมนุษย์ เธอทั้งหลายจงช่วยกันรักษาไว้ซึ่งธรรมวินัยนี้ ให้เพื่อไว้เพื่อเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ อะไร ๆ ท่านก็เน้นตรงที่ว่าช่วยกันทำให้เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ เมื่อเราถือว่าท่านเป็นพ่อ เราเป็นลูก จะสนองพระคุณแล้ว ต้องเสียสละทุกอย่างทุกประการ ที่จะทำให้เกิดความสุขประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ทั้งเทวดาและมนุษย์ ช่วยกันเผยแผ่ศาสนา ช่วยกันร่วมมือให้เกิดการเผยแผ่ในพระศาสนา ให้มีการปฏิบัติธรรม มันมีอยู่เป็นชั้น ๆ ช่วยกันได้เป็นชั้น ๆ อย่างในวัด ๆหนึ่งมีกิจการงานหลายรูปแบบ หลายระดับ หลายขั้นตอน แต่ว่าทุกขั้นตอนทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อให้วัด นี่มันมีอยู่เพื่อเป็นแสงสว่างของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จะได้ศึกษาปฏิบัติและดับทุกข์ได้ คนคนเดียวทำไม่ได้ จะเก่งยังไงก็ทำไม่ได้ มันทำไม่ได้หมดดังนั้นเราจึงต้องช่วยกัน แม้แต่คนจะกวาดขยะในวัดนี้มันก็ยังต้องมี เมื่อมีแล้วมันก็เป็นส่วน หุ้นส่วน เป็นผู้ร่วมมือ เป็นหุ้นส่วน ที่ทำให้การนี้มันเป็นไปได้ ให้มีศาสนาของพระองค์อยู่ในโลกนี้ได้ คือมีคนบวช มีคนเรียนมีคนปฏิบัติ มีคนได้รับผลของการปฏิบัติ แล้วก็สั่งสอนสืบ ๆกันไป มันก็เกิดประโยชน์สุขเกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งเทวดาและมนุษย์ ฉะนั้นขอให้ทุกคนเมื่อคิดอย่างอื่นไม่ออกก็อย่างนี้ ก็ช่วยกันทำในลักษณะนี้ เป็นการสนองพระคุณของพระพุทธเจ้าผู้เป็นพ่อ สนองพระคุณของพระธรรมผู้เป็นแม่ สนองพระคุณของพระสงฆ์ผู้เป็นพี่ นี้ก็เรียกว่าบุตรที่ดีที่สุดของบิดามารดา ก็เป็นอันว่าเรารู้จักพ่อ รู้จักแม่ รู้จักลูก รู้จักพี่ รู้จักพ่อ รู้จักแม่ รู้จักพี่ รู้จักตัวเองที่เป็นลูก ก็ไปดูให้ถูกต้องตามหน้าที่ของตนของตน อย่างน้อยที่สุดท่านทั้งหลายก็คงจะเข้าใจภาษาพูด หรือวิธีใช้ภาษาพูดแจ่มแจ้งยิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่จริงก็ได้พูดมานานแล้ว อธิบายกันมานานแล้วว่าภาษาคนภาษาธรรมมีอยู่สองภาษาเป็นอย่างไร แต่ดูยังเข้าใจกันผิว ๆ เผิน ๆ ต้องขอโทษที่ต้องมาพูดอีก ไม่ใช่มาแกล้งพูดให้หนวกหูให้เบื่อ มันยังต้องพูดอีกตลอดเวลาที่ยังไม่เข้าใจมันก็ต้องพูดเรื่อยไป ใครจะเบื่อใครจะก็ไม่ ไม่รับรู้ดีกว่า จะพูดจนกว่าจะเข้าใจ ว่าที่จะมีอะไร จะมองอะไร จะเข้าใจอะไร ขอให้เข้าใจทั้งโดยภาษาคน และภาษาธรรม ดังที่จะสรุปอีกทีหนึ่งว่าถ้าพูดโดยภาษาคน พ่อแม่ก็คือผู้ที่คลอดลูกมาในลักษณะที่เป็นการสืบพันธุ์ เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายก็ทำเป็น แต่ถ้ามองดูในภาษาธรรมแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้น มันไกลกว่านั้นมาก พ่อแม่คือพระพรหม พ่อแม่คือบูรพาจารย์ พ่อแม่คือพระอรหันต์ พ่อแม่คือผู้เอ็นดูสรรพสัตว์ ถ้าให้เป็นภาษาธรรมยิ่งขึ้นไปกว่านั้นอีก พ่อคือพระพุทธเจ้า แม่คือพระธรรม พี่คือพระสงฆ์ นี่เป็นหัวข้อที่จะถือเป็นหลักปฏิบัติได้ และขยายให้ละเอียดออกไป ในวันนี้ก็พูดได้แต่หัวข้อพอเป็นหลัก และพอสมควรแก่เวลา
ขอให้ท่านทั้งหลายได้มีบิดามารดาที่ดี จะได้เป็นที่ดีซึ่งตรงทั้งสองฝ่าย ตรงแก่ความประสงค์ทั้งสองฝ่าย คือฝ่ายพระธรรม และฝ่ายโลก ฝ่ายพระศาสนาก็ต้องการบุตรที่ดี บิดามารดาที่ดี ฝ่ายพระธรรมก็ต้องการบุตรที่ดี บิดามารดาดี ไม่ว่าจะมองกันในฝ่ายไหนล้วนแต่ต้องการบุตรที่ดี บิดามารดาที่ดี พี่น้องลูกหลานที่ดี ทั้งหมดนี้สำเร็จด้วยการมีธรรมะ มีพระพุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์อยู่กับเนื้อกับตัว และปัญหาต่าง ๆ ก็จะหมดไป นี่อาตมาเห็นว่าเป็นการบรรยายที่พอสมควรแก่เวลา และท่านทั้งหลายก็คงจะได้จดจำเอาไปคิดนึกศึกษา เห็นด้วยแล้วก็ปฏิบัติตาม ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไม่ต้อง อาตมาก็เป่าปี่ฟังเองตลอดไป การบรรยายสมควรแก่เวลาแล้ว ขอยุติธรรมเทศนาไว้แต่เพียงนี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้