แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คำปราศรัยในวันรับตา ยาย เรื่อง อุปาทานัปปนูทนกถา (ตา-ยายมีตัวกู-ของกูน้อยกว่าลูกหลาน)
ณ บัดนี้ จะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัทให้เจริญงอกงามก้าวหน้าไปในทางแห่งพระพุทธศาสนา กว่าจะยุติลงด้วยเวลา ธรรมเทศนาในวันนี้เป็นธรรมเทศนาในอภิลักขิตสมัยดังที่ท่านทั้งหลายทราบได้อยู่เองแล้วว่า เป็นวันบำเพ็ญกุศลอุทิศแด่บูรพชนผู้ล่วงลับไปแล้ว พุทธบริษัทมีประเพณีของตนเช่นนี้ เป็นการอนุวัตรไปตามคำสั่งสอนในพระพุทธศาสนานั่นเอง การที่จะเกิดมีประเพณีอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นนั้น ย่อมหมายว่ามีความจำเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจนจะเป็นที่เสียหายแก่ประชาชน บรรพบุรุษของเราผู้มีปัญญาเฉลียวฉลาดจึงได้ตั้งประเพณีเหล่านี้ขึ้นให้มีความศักดิ์สิทธิ์พอที่ลูกหลานทั้งหลายจะได้ประพฤติปฏิบัติตาม แม้ว่าตกมาถึงสมัยนี้ ประเพณีบางอย่างก็ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งอยู่นั่นเอง ถ้ามองเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ คนทั้งหลายก็พากันเคารพการปฏิบัติตามประเพณีนั้นๆ สำหรับในหมู่พุทธบริษัทนั้นย่อมถือเอาข้อนี้เป็นหลัก เราทั้งหลายควรจะได้พิจารณาให้เห็นว่า ประเพณีการบำเพ็ญกุศลแก่บูรพชนผู้ล่วงลับไปแล้วนั้นมีความสำคัญอย่างไร เป็นความโง่เง่าหรือว่าเป็นความฉลาดสมกับความเป็นพุทธบริษัทอย่างไร และถ้าว่าจะเปรียบเทียบกันในหมู่ชนที่ถือศาสนาอื่น เขาจะมีความรู้สึกในการกระทำของเราอย่างไร การที่บุคคลมาระลึกนึกถึงบรรพบุรุษ คือ บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย เป็นต้น ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น เป็นขนบ ธรรมเนียมประพณีของมนุษย์ทั่วไปไม่เฉพาะพวกพุทธบริษัท เพราะว่าความรู้สึกอย่างหนึ่งย่อมเกิดขึ้นได้โดยสัญชาตญาณของคนทั้งหลาย คือความรู้สึกรักและเคารพบิดามารดาปู่ย่าตายาย ดูเหมือนว่าความรู้สึกอันนี้ มีมาแต่ ตั้งแต่มนุษย์เริ่มมี เอ้อ, ความรู้สึกอย่างเป็นมนุษย์ทีเดียว ในพุทธศาสนานี้ถือว่าคนที่ไม่รู้สึกความหมายของบิดามารดานั้นจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ ดังที่ท่านทั้งหลายก็ได้ทราบกันอยู่แล้ว แต่ควรนำมาระลึกนึกถึงไว้เนืองๆ ว่า บุคคลที่มีความคิดน้อมไปในทางที่จะให้เห็นว่าบิดามารดาไม่มี ครูบาอาจารย์ไม่มี เหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ พวกหนึ่งมีความรู้สึกต่ำมากเหมือนกับเดรัจฉาน ไม่รู้สึกว่าบิดามารดามี รู้สึกแต่เหมือนกับว่าสัตว์อีกตัวหนึ่งเท่านั้น นี้ก็รู้สึกว่าบิดามารดาไม่มี เพราะความรู้สึกยังต่ำมากเกินไป ทีนี้อีกพวกหนึ่งตรงกันข้าม คือฉลาดอย่างเฉโกมากเกินไป เพราะเห็นว่าคนไม่มีตัว ไม่มีตนอะไรกันที่ไหน ไม่ยึดถือตัว ไม่ยึดถือตนแล้ว ใครจะเป็นบิดามารดาให้แก่ใคร ก็เลยถือว่าบิดามารดาไม่มีด้วยเหมือนกัน นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิเพราะเข้าใจเรื่องอัตตา เรื่องอนัตตาผิดไปจากความเป็นจริง ไม่รู้สึกว่าการบัญญัติที่เป็นไปเพื่อศีลธรรมนั้นมีอยู่อย่างหนึ่ง ปรมัตถสัจจ์ที่กล่าวถึงเรื่องไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคนนั้นไม่โง่เกินไป ก็ยังคงจะคิดได้ต่อไปว่า แม้ว่าไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลแล้ว เราควรจะทำอย่างไรจึงจะอยู่กัน เอ้อ, เป็นผาสุกหรืออย่างมนุษย์ ข้อนี้ก็อาจจะพบว่าความคิดที่ว่าบิดามารดา มี คือความคิดที่ว่าผู้ ผู้ที่มีบุญคุณ มี แล้วก็เป็นหน้าที่ของผู้ที่เป็นหนี้บุญคุณนั้นจะต้องตอบแทน นั้นจะเป็นความคิดที่ดี ที่ทำ ที่จะทำให้มนุษย์เราอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก หรือว่าจะทำให้ชีวิตของครอบครัวเป็นผาสุกเป็นอย่างน้อย คนพวกนี้ก็ยังมองเห็นความจำเป็น เอ้อ, ที่มีอยู่ของศีลธรรมหรือหลักเกณฑ์ของศีลธรรม เป็นต้น ก็มีการถือปฏิบัติเกี่ยวกับบุคคลประเภทที่เรียกว่า บิดามารดา ครูบาอาจารย์หรือผู้ที่มีบุญคุณเหล่าอื่น ในที่สุดผลก็เป็นไปตาม เอ้อ, ที่ประสงค์ได้ คืออยู่กันเป็นผาสุกจริง การที่ถือว่าไม่มีบิดามารดา ไม่มีครูบาอาจารย์นั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิในข้อที่เป็นความคิดคดโกง เป็นผู้เห็นเฉออกไปนอกทาง หรือว่าเพราะเห็นแก่กิเลสเป็นส่วนสำคัญ จึงได้มีความคิดเห็นไปในทำนองนั้น แต่แล้วในที่สุดก็หาหลักเกณฑ์อะไรไม่พบว่าตนจะต้องประพฤติปฏิบัติอะไรอย่างไร ก็เลยไม่มีการประพฤติอย่างใด นอกจากประพฤติไปตามโลภะโทสะโมหะอันแรงกล้าของตนนั่นเอง นี้เราจะทำให้เห็นได้ว่าความที่ถือว่าบิดามารดา เป็นต้น ไม่มีในลักษณะเช่นนี้ ย่อมจะเลวไปกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก เพราะว่ามนุษย์นั้น ถ้าลงทำอะไรตามความโลภ ความโกรธ ความหลงของมนุษย์แล้ว ย่อมทำอันตรายให้เกิดขึ้นในโลกนี้ยิ่งกว่าที่สัตว์เดรัจฉานจะทำอันตรายให้เกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นอันว่า ความคิดที่ว่าบิดามารดาไม่มี นั้น จะเป็นอย่างต่ำ หรืออย่างสูงก็ตาม ล้วนแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้น ผู้ที่เป็นมนุษย์ เอ้อ, ควรจะเว้นให้ห่างไกลจากมิจฉาทิฏฐิ ทุกอย่าง ทุกประการ ควรจะมีความเข้าใจให้ถูกต้องว่า ความรู้สึกที่ว่าอะไรมี อะไรมี เอ้อ, เช่นว่า บุญบาปมี นรกมี สวรรค์มี บิดา มารดา ครูบาอาจารย์มี เป็นต้น เหล่านี้เป็นความรู้สึกของสติปัญญาแท้ๆ หมายความว่าเมื่อบุคคลเอาความเห็นแก่ตนออกไปเสียให้หมด เอาความโง่ ความหลงออกไปเสียให้หมด เอาความรู้สึกที่เห็นแก่ตัวกู ของกูออกไปเสียให้หมดแล้ว เหลืออยู่แต่สติปัญญาที่ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหาแล้ว มันจะรู้สึกของมันได้เองว่า มีบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ มีดี มีชั่ว มีบุญ มีบาป มีนรก มีสวรรค์ เป็นต้น เราจะต้องประพฤติปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้ให้ถูกให้ตรงตามที่ควร แต่ว่าไม่ได้ประพฤติอย่างงมงายไปตามอำนาจของความยึดถือ ทั้งนี้เพราะว่ามีคนอีกจำพวกหนึ่งมีความรู้สึกที่งมงาย ทำไปตามความยึดถือ ไม่ประกอบไปด้วยสติปัญญา อย่างนั้น แม้ว่าจะทำไปในรูปเดียวกัน มีกิริยาอาการอย่างเดียวกัน แต่ก็เป็นไปด้วยความหลง สำคัญผิด เป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ความยุ่งยากลำบากขึ้น ไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงไม่นิยมจะทำอะไรลงไปด้วยความงมงาย แต่จะต้องมีสติปัญญา มองเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เป็นสติปัญญาที่ไม่ใช่ความเห็นแก่ตน เป็นสติปัญญาที่เปลื้องความเห็นแก่ตนออกไปเสียก่อน แล้วจึงจะมองอะไรๆ ว่ามันเป็นอย่างไร เมื่อกิเลสตัณหาอันแรงกล้าออกไปแล้ว คนเราจะรู้สึกบุญคุณของผู้มีบุญคุณได้เอง แม้ไม่ต้องมีใครสอนก็พอจะรู้ได้ แต่ถ้าสิ่งที่เรียกว่ากิเลสตัณหาเป็นไปแก่กล้าแล้ว แม้สอนอยู่มันก็ไม่รู้บุญคุณของบิดามารดา เราจึงเห็นได้ว่า มีคนที่เคยบวชเคยเรียนแล้วนี่แหละ ไม่รู้จักบุญคุณของบิดามารดาก็ยังมี นี้ก็เพราะว่ากิเลสตัณหาไม่ให้โอกาสไม่ให้ช่องแก่สติปัญญาเสียเลย ทำอะไรๆก็ล้วนแต่เป็นไปด้วยกิเลสตัณหาทั้งนั้น จึงไม่รู้จักบุญคุณของผู้มีบุญคุณ ทั้งที่เรียกว่า เป็นผู้ที่มีการศึกษาอยู่แท้ๆ เพราะฉะนั้นเราควรจะจับหลักให้ได้ว่า สิ่งที่เรียกว่ากิเลสตัณหานี้เป็นอุปสรรคศัตรูอันร้ายกาจ ทำให้เกิดความเห็นแก่ตัว ซึ่งที่แท้ก็คือความเห็นแก่กิเลสนั่นเอง เพราะว่ากิเลสเป็นผู้เห็น ไม่ใช่สติปัญญาเป็นผู้เห็น มันจึงเป็นความคิดความเห็นที่เห็นแก่กิเลสเองทั้งนั้น มันจึงไม่มีบิดามารดาปู่ย่าตายายที่มีบุญคุณ และเป็นผู้ที่เนรคุณถึงขนาดที่ด่าว่าหรือทำอันตรายบิดามารดาของตนได้ก็มี ถ้าเราได้พบเห็นคนอย่างนี้ เราคงจะรู้สึกว่ามันเลวไปกว่าสัตว์เดรัจฉานด้วยเหตุหลายประการทีเดียว และเราย่อมรังเกียจขยะแขยงต่อบุคคลเช่นนั้น ไม่ไว้ใจบุคคลเช่นนั้น มีความหวาดกลัว หวาดกลัวต่อบุคคลเช่นนั้นเมื่อเข้ามาใกล้เรา นั่นแหละจงดูอำนาจของกิเลสซึ่งเป็นศัตรูอันร้ายกาจของมนุษย์เราให้ดีๆ ว่า เมื่อครอบงำเข้าแล้ว ย่อมไม่รู้จักแม้แต่บุญคุณของบิดามารดา แล้วในที่สุดมนุษย์เราก็จะไม่เป็นมนุษย์กันเพราะเหตุนี้ เมื่อพุทธบริษัทเราได้ชื่อว่าเป็นหมู่ชนที่ประกอบไปด้วยสติปัญญาตามการตรัสรู้ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว อาการอย่างนั้นย่อมจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปได้ก็แปลว่า คนนั้นเป็นพุทธบริษัทที่คดโกง คือเป็นพุทธบริษัทที่หลอกคนอื่น หลอกลวงคนอื่น เป็นพุทธบริษัทที่ไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นพุทธบริษัทนั้นหมายถึงอะไร จึงเป็นอันว่าไม่ต้อง เอาล่ะ เอาบุคคลเช่นนี้เป็นหลักเป็นเกณฑ์ เราจะเอาอะไรกับบุคคลเช่นนี้ไม่ได้ เราจะต้องถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์กันที่พุทธบริษัทที่ถูกต้อง ที่ตั้งอยู่ในทำนองคลองธรรมด้วยอำนาจของสติปัญญาที่บริสุทธิ์ดังที่กล่าวแล้ว จงจำไว้ว่าสติปัญญาที่เราเรียกกันว่า สติปัญญา นั้นมีอยู่เป็นสองประเภท คือ ที่คดโกงก็มี ที่บริสุทธิ์ก็มี สติปัญญาที่คดโกงนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับธรรมะ ไม่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ มีสติปัญญา แต่ใช้สติปัญญาคดโกง มีความมุ่งหมายที่จะคดโกง อย่างนี้เรียกในภาษาบาลีว่าเป็นคนเฉโก คำว่า เฉโก แปลว่า มีปัญญา แต่ว่ามีปัญญาในลักษณะเช่นนี้เอง ส่วนผู้มีปัญญาแท้ หรือเป็นนักปราชญ์นั้นย่อมจะหมายถึงแต่ สติปัญญาที่บริสุทธิ์ คือเป็นไปเพื่อเอาตัวรอดพ้นจากความทุกข์ได้ ทั้งเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นโดยวิธีที่ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่ใช่ว่าเอาตัวรอดด้วยการทำผู้อื่นให้เดือดร้อนแล้วจะเรียกว่า มีสติปัญญา เพราะฉะนั้นเป็นอันว่าคนเราจะต้องนึกถึงคนอื่นด้วยเสมอไป สติปัญญาจึงจะดำเนินไปถูกต้อง ถ้ามองเห็นแต่ตัวข้างเดียว แม้จะมีความฉลาดเฉลียวมากมายเพียงไรก็ตาม ความฉลาดนั้นไม่ชื่อว่า ปัญญา เลย ยังเป็นความคดโกงหรือปัญญาอย่างเฉโกอยู่นั่นเอง ผู้ที่มีสติปัญญาคดโกงเป็นเฉโกเช่นนี้ จะมีความรู้สึกที่เป็นความกตัญญูกตเวทีไปไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เขาไม่อาจจะมีความรู้สึกที่เป็นธรรมะ เป็นบุญ เป็นกุศลอย่างอื่นได้ คนเช่นนี้จึงไม่รับรู้ในการที่ตนมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ มีบุญคุณสำคัญแก่กันและกัน เพราะมองเห็นแต่ประโยชน์ตนข้างเดียวเท่านั้น แล้วก็ลุ่มหลงอยู่แต่ที่ตัวประโยชน์เท่านั้น ไม่ได้นึกถึงว่าอะไรเป็นธรรมะ อะไรไม่เป็นธรรมะ อะไรเป็นความจริงหรือความเท็จ อะไรเป็นความยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นต้น เหล่านี้ไม่นึกเลย ไม่มองเลย จะมองแต่ประโยชน์ของตนเท่านั้น เมื่อบุคคลอย่างนี้มีมากเข้าในโลกนี้ การเบียดเบียนกันก็จะเป็นไปแก่กล้ายิ่งขึ้น แต่ว่าเขาก็มีสติปัญญา ไม่ใช่ไม่มีสติปัญญา เพราะฉะนั้นก็มีการเบียดเบียนกันที่ลึกซึ้งที่สุด กว้างขวางใหญ่หลวงที่สุด และยืดเยื้อไม่มีที่สิ้นสุด มีผลเป็นความเดือดร้อนกันทั้งโลก และยังจะเดือดร้อนไปถึงโลกอื่นๆ ด้วย เช่น สมมติว่าเทวโลกก็จะพลอยเดือดร้อน ถ้าหากว่ามีเทวโลกก็จะต้องพลอยเดือดร้อนเพราะการประพฤติของบุคคลชนิดที่ว่านี้ที่มีอยู่ในมนุสสโลกนี่เอง ทำให้สวรรค์ร้างไปก็ได้ ไม่มีใครตายไปเกิดในสวรรค์ได้เลย อย่าว่าถึงนิพพาน แม้แต่เพียงสวรรค์ก็จะไม่มีคนไปเกิดได้ เพราะมีแต่คนที่เป็นเฉโก ดีแต่จะเบียดเบียนกันในทางที่ลึกซึ้งเช่นนี้ทั้งนั้น ด้วยกันทั้งโลก มันจะรบกันถึงขนาดดินของควันปืนเหม็นไปถึงสวรรค์ก็ได้ เพราะมันไม่มีที่สิ้นสุด ขอให้ลองคิดดูเถิดว่า บุคคลประเภทนี้ แม้จะมีอยู่ในโลกนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เดือดร้อนกันไปทั้งโลกหรือว่าทุกๆ โลกทีเดียว เมื่อพิจารณาดูแล้วก็จะเกิดความสลดสังเวชใจ ในการที่มองเห็นว่ากิเลสนี้มีพิษร้ายกาจสักเท่าไร ทำคนไม่ให้เป็นมนุษย์ หรือว่าทำโลกนี้ไม่ให้เป็นโลกของมนุษย์ แม้แต่เราที่ตั้งใจจะเป็นมนุษย์ก็พลอยลำบากเดือดร้อนไปด้วยกับเขา แต่ว่าเราในฐานะที่เป็นพุทธบริษัทยังคงยึดมั่นอยู่ในทำนองคลองธรรม จึงต้องต่อสู้ทุกอย่างทุกประการ ที่ว่าเราจะรักษาเอาไว้ซึ่งธรรมะให้ได้ และเป็นมนุษย์ให้ได้ ถ้าจะให้เป็นดังนั้นได้ เราก็ต้องมีการกระทำที่ไม่เหมือนพวกเหล่าโน้น คือว่าเราจะต้องมีการกระทำที่ยึดความดี ความจริง ความงาม ความถูกต้อง ความยุติธรรม เป็นต้น เป็นหลัก แม้ว่าเรายังจะไม่มีปัญญามากพอที่จะมองเห็นอะไรได้ด้วยตน ขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามก็มี คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าก็มี สติปัญญาของเราก็อาจจะเกิดได้ ในเมื่อเราปฏิบัติตนให้เป็นคนบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากความเห็นแก่ตัวอยู่ได้เป็นขณะๆ เมื่อใดจิตใจเราสงบเย็น ไม่มีความเห็นแก่ตัว ก็ขอให้สังเกตให้มาก ว่าในขณะนั้นความคิดความนึกความรู้สึกต่างๆย่อมถือเป็นหลักเป็นเกณฑ์ได้ แล้วเราก็จะพอใจในความรู้สึกคิดนึกของเราในขณะนั้นด้วย เราก็จะนับถือตัวเราเอง ถึงกับในขณะนั้น บางทีเราก็อยากจะไหว้ตัวเองด้วยซ้ำไป ความดีความงามของธรรมะมีอยู่ถึงเพียงนี้ ทุกคนควรจะสนใจ พยายามศึกษาเข้าใจธรรมะให้ยิ่งๆ ขึ้นไป จนกว่าจะถึงที่สุดที่จะเป็นไปได้ ก็จะได้ชื่อว่าเป็นพุทธบริษัทหรือเป็นมนุษย์ที่ขึ้นไปได้ถึงที่สุดที่มนุษย์จะขึ้นไปได้ คือได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้นั่นเอง และนั้นก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความหมด อา, ความเห็นแก่ตัวตน มนุษย์จะมียอดสุด สูงสุด ประเสริฐสุดไปที่ไหนกัน ขอให้ท่านทั้งหลายลองคิดดู แต่อาตมาอยากจะยืนยันว่ามันไปสูงสุด ที่สุดลงที่การหมดความเห็นแก่ตัว ไม่มีความยึดถือว่าตัวกู ว่าของกู แต่ประการใดเลยนั่นเอง ถ้าไปทางอื่นนอกจากนี้แล้ว เป็นไปในทางต่ำทั้งนั้น หรือถ้าว่าโดยที่แท้แล้ว มันก็เป็นไปในทางเห็นแก่ตัวกูหรือของกูนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจะสรุปให้มันสั้นที่สุดเหลือแต่เพียงสองอย่างว่า ถ้าเป็นไปเพื่อเห็นแก่ตัวกู แก่ของกูแล้ว เรียกว่ามันเดินลงต่ำแล้ว แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อไม่เห็นแก่ตัวกู ไม่เห็นแก่ของกูยิ่งขึ้นแล้ว เรียกว่ามันเดินไปในทางสูงแล้ว และถ้ามันไปได้ถึงที่สุดในทางสูงได้จริง มันก็หมดตัวกูของกูโดยสิ้นเชิง ที่เราเรียกกันว่า หมดกิเลส อาสวะ หมดตัณหา หมดอุปาทาน และเป็นพระอรหันต์ บรรลุพระนิพพานในที่สุด เพราะว่าพระนิพพานนั้นย่อมหมายถึงการดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือ ดับสนิทไม่มีเชื้อเหลือก็หมายถึง ดับความรู้สึกว่า ตัวกู ของกู ได้สนิท ไม่มีเชื้อเหลือ ไม่มีอวิชชา ไม่มีความโง่เหลือให้รู้สึกว่า ตัวกู ของกู อีกต่อไป นี้เป็นทางไปในเบื้องสูง เป็นยอดสุดของธรรมะ ที่ตรงกันข้ามเป็นไปในทางต่ำ เบื้องต่ำนั้น ไปตามทางของความเห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ของกูยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น จนเป็นเหมือนกับสัตว์ จนร้ายกาจยิ่งไปกว่าสัตว์ จนกระทั่งเป็นอะไรก็เรียก เอ้อ, ไม่ไหว ยากที่จะเรียกได้ว่าเป็นอะไร คือมีร่างกายเป็นมนุษย์นี่แหละ แต่มีอะไรๆ ในการคิด การพูด การทำนั้น ร้ายกาจยิ่งไปกว่ายักษ์ กว่ามาร กว่าสัตว์เดรัจฉาน กว่าสัตว์นรก เราก็เลยต้องสมมติเรียกว่า เป็นอะไรๆ ในพวกนั้นแหละ แต่ว่าเป็นอย่างยิ่งทีเดียว เพราะว่ามันเป็นอยู่ในร่างของมนุษย์นี้ ถ้ามันเป็นยักษ์ที่มีรูปร่างเหมือนกับยักษ์ มันก็จะพอดูได้ ไม่น่าจะตำหนิติเตียนอะไร แต่มันเป็นยักษ์ในรูปร่างของมนุษย์นี้ มันไม่ไหว มันเหลือกว่าที่จะติเตียนได้เสียอีก จึงนับว่าเป็นสิ่งที่ควรจะต้องหลีกเลี่ยงให้ไกล อย่าให้ลักษณะเช่นนั้นมาเกี่ยวข้องกันกับเราได้ ไหนๆ ก็มีรูปร่างอย่างมนุษย์แล้ว ก็ขอให้มี การคิด การพูด การทำ เหมือนกับมนุษย์ ซึ่งมีคำแปลว่า ผู้ที่มีใจสูง เราทุกคนทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ ต้องถือว่าเป็นมนุษย์ทั้งนั้น ผู้หญิงก็เป็นมนุษย์ ผู้ชายก็เป็นมนุษย์ อยู่ที่บ้านก็เป็นมนุษย์ อยู่ที่วัดก็เป็นมนุษย์ เพราะว่าไม่มีใครที่ไม่เป็นมนุษย์ ลองไปด่าว่าไม่ใช่มนุษย์ ก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ทำไมไม่รู้สึกว่าการเป็นมนุษย์นั้น สำเร็จอยู่ที่มีจิตใจสูง สมตามคำว่า มนุษย์ ขอให้แยกศัพท์เอาตรงๆ ว่า มน แปลว่าใจ อุษยะ แปลว่าสูง มนุษย ก็แปลว่า เอ้อ, ใจสูง มีใจสูง ทีนี้มันจะสูงไปทางไหนเลือกเอาเอง อย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า มันมีอยู่สองทาง ถ้าเดินไปในทางตัวกู ของกู มันก็ต่ำลงๆ จนไปเป็นอะไรอย่างที่ว่า ถ้าเดินไปในทางที่ไม่ใช่ตัวกู ไม่ใช่ของกู คือ เห็นแก่ธรรมะ หรือความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรมยิ่งขึ้น มันก็มีตัวกู ของกู เบาบางลง เบาบางลง มันก็เดินไปทางสวรรค์นิพพาน เป็นสวรรค์ที่มีความสุข อยู่อย่างชาวโลก หรือเทวดา นิพพาน ก็คือมีความสุขอย่างพระอริยเจ้า นับตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ คือ มีตัวกู ของกูที่ลุกเป็นไฟนั้น ดับเย็นลง ดับเย็นลง ไม่ปรา จนกระทั่งไม่ปรากฎ นี้เรียกว่าเป็นความดับตัวกู ดับของกู และเป็นนิพพานเพราะเหตุนั้น มันมีทางเลือกอยู่สองทางเท่านี้ คือว่า ทางตัวกูทางหนึ่ง ทางไม่มีตัวกูอีกทางหนึ่ง ถ้าเป็นทางตัวกู ธรรมะก็กระเด็นออกไป ถ้าเป็นทางที่ไม่มีตัวกู ธรรมะก็วิ่งเข้ามา จะเลือกเอาอย่างไหน ก็จะต้องพิจารณาดู คนที่เป็นปุถุชนมากเกินไปทำอย่างไรเสียก็จะต้องเลือกเอาข้างตัวกู คือข้างเห็นแก่ประโยชน์ของตัวกู ของกู เข้าไว้ก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่าขอให้เลือกเอาตัวกูชนิดดีๆ อย่าเอาตัวกูชนิดที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือเป็นตัวกูที่เป็นภัย เป็นอันตราย ตัวกูที่ดีๆ ในที่นี้หมายความว่า ตัวกูที่รู้จักเชื่อฟัง อย่างน้อยก็รู้จักเชื่อฟังขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของบรรพบุรุษ รู้จักเชื่อฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้อย่างไร อย่างนี้เป็นตัวกูที่ว่านอนสอนง่าย ไม่มีทางที่จะทำผิดแต่ประการใดได้เลย ตัวกูที่ดีๆ ชนิดนี้จะเจริญงอกงามไปตามธรรม จนในที่สุดไม่วันใดก็วันหนึ่ง จะมองเห็นสิ่งที่ดียิ่งขึ้นไปกว่านั้น คือความที่ไม่เห็นแก่ตัวกู เห็นแก่ผู้อื่นบ้าง จนกระทั่งมองไม่เห็น ไม่เห็นแก่ตัวกูเองโดยประการทั้งปวง ไม่เห็นแก่ประโยชน์ชนิดที่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ แต่ว่าเห็นแก่ประโยชน์ที่เป็นไปตามธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างแท้จริง ไม่ใช่สิ่งที่หวงแหนเอาไว้เป็นของตนโดยผูกขาด โดยเห็นว่าเป็นประโยชน์ร่วมกันว่ามนุษย์ที่มีชีวิต สัตว์ที่มีชีวิตนี้ควรจะมีประโยชน์ร่วมกัน เป็นผู้รักใคร่เมตตากรุณา และประโยชน์นั้นก็เป็นไปเพียงเท่านั้น หาได้มีจิตใจที่ยึดถือจนถึงกับเป็นทุกข์เป็นร้อนไม่ นี้เรียกว่าเป็นผู้ที่ทำประโยชน์คนทั้งหลายก็ได้ โดยไม่ต้องมีความยึดถือว่าตัวกู ว่าของกู ส่วนที่เป็นสติปัญญานั้นทำอะไรไปแล้วไม่ต้อง ไม่มีความยึดถือ ส่วนที่เป็นกิเลสตัณหานั้นจะต้องทำด้วยความยึดถือ และมีความยึดถือเป็นเหตุให้ทำ เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่มีความยึดถือจึงไม่มีความทุกข์ เหมือนอย่างว่าทำนาอยู่ด้วยกัน เหมือนกันแท้ๆ ทำไร่ไถนาอยู่ด้วยกิริยาอาการอย่างเดียวกัน แต่ถ้าทำด้วยความยึดถือแล้วใจก็ร้อนเป็นไฟ แต่ถ้าทำด้วยความไม่ยึดถือคือทำด้วยสติปัญญาแล้ว ใจก็ไม่ร้อนเป็นไฟ งานก็สำเร็จได้เหมือนกัน ที่ว่าทำด้วยความยึดถือนั้นหมายความว่าเป็นคนโง่ เป็นคนหลง เป็นคนอยู่ในอำนาจของกิเลสตัณหามากเกินไป ตัวรัวตัวสั่นอยู่แต่เรื่องปากเรื่องท้องเท่านั้น เพราะมองเห็นแต่เท่านั้น แล้วก็ยึดมั่นถือมั่นแต่เรื่องปากเรื่องท้องเท่านั้น อย่างนี้เรียกว่าทำไปด้วยความยึดถือ มันจึงก่อให้เกิดความวิตก ความหวาดกลัว ความระแวง ล่วงหน้า ความกังวลต่างๆ นานา มันจึงเป็นเรื่องทุกข์ร้อนอยู่ตลอดเวลาที่ทำ พระพุทธเจ้าท่านสงสารคนพวกนี้ สงสารคนประเภทนี้ ท่านจึงได้สั่งสอนวิธีที่จะคิดจะนึกว่าเราไม่จำเป็นจะต้องมีชีวิตอยู่ด้วยความยึดมั่นถือมั่นเช่นนั้น เรามามีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญากันเถิด เราจะทำอะไรก็ได้ แต่ว่าอย่าทำไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไปด้วยสติปัญญารู้จักผิดชอบชั่วดี แล้วมันก็จะสนุกสนานไปหมด เหมือนอย่างว่าทำนานี้ อย่าได้ทำเพราะเห็นแก่ปากแก่ท้องหรือความยึดมั่น ถือมั่นเลย ทำไปด้วยความรู้สึกผิดชอบว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือต้องทำ แต่จะใช้คำว่าต้องทำ ก็ดูเป็นเรื่องของความยึดมั่นถือมั่น ควรจะรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะว่าสัตว์ทั้งหลายต้องประกอบการทำมาหาเลี้ยงชีวิต การทำไร่ทำนานี้เป็นการหาเลี้ยงชีวิตที่เหมาะสมหรือสะดวกดีอยู่แล้ว เพราะเป็นเรื่องที่ควรทำ เราทำด้วยความรู้สึกว่าควรทำอย่างนี้ หมายความว่ามันมีสติปัญญา ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น ถ้าด้วยความรู้สึกว่าต้องทำตัวรัว ตัวสั่นแล้ว มันด้วยความยึดมั่นถือมั่น แสดงให้เห็นว่ามันก็ต่างกันอยู่แล้ว คนที่รู้สึกว่าต้องทำนั้น คือรู้สึกว่ามันจำเป็น มันมีอะไรบังคับ ในที่นี้มันก็มีกิเลสตัณหาขี่อยู่บนหลัง บนคอ ทำให้รู้สึกตัวรัว ตัวสั่นที่จะต้องทำ มันก็เป็นทุกข์เพราะเป็นทาสของกิเลสตัณหา แต่ถ้าเอากิเลสตัณหาออกไปได้ มีอยู่แต่สติปัญญา มันก็เหลือแต่ว่าควรทำ ควรทำเพราะว่าเมื่อมีเรี่ยวมีแรงอยู่มันก็ทำไป เหนื่อยก็นอนเสีย พักเดียวก็หาย ตื่นขึ้นมาก็ทำใหม่ สิ่งที่ได้มานั้นมันเป็นประโยชน์ ใช้จ่ายตามที่ เอ้อ, ควรจะใช้แล้ว เหลือก็ให้แก่ผู้อื่นให้เป็นประโยชน์ต่อไป เอื้อเฟื้อเจือจานกันอย่างนี้ เป็นผู้ที่ไม่ยึดถือตัวตนแล้ว มันไม่มีความรู้สึกว่าจะต้องได้หรือจะต้องเสีย เสียมาก็ได้ เสียไปก็ได้ ได้มาก็ได้ เพราะว่าตายก็ได้ อยู่ก็ได้สำหรับผู้ที่ไม่ยึดถือ ไม่ยึดถือตัวตน เลยกลายเป็นคิดสนุกสนานเลยไปได้ว่า เราอยู่ในโลกนี้ด้วยความสนุกสนานกันดีกว่า อย่างทำไร่ทำนานี้มันทำเพื่อให้โลกนี้งดงาม ดีกว่าจะปล่อยให้รกรุงรังอยู่ คิดว่าทำโลกนี้ให้งดงามกับคิดว่าจะหาใส่ปากใส่ท้องนั้นมันต่างกันมาก มีชาวนาคนไหนบ้างที่คิดว่าทำนานี้ ทำไปเพื่อทำให้โลกนี้มันงดงาม มีแต่จะรู้สึกว่ามันจำเป็นจะต้องหาใส่ปากใส่ท้องกันเท่านั้น กันทั้งนั้น ชาวนาชนิดนั้นไม่ใช่ชาวนาของพระพุทธเจ้า จงจำไว้ให้ดีๆ และเข้าใจด้วยว่าชาวนาที่เป็นทาสของกิเลสตัณหาเช่นนั้นไม่ใช่ชาวนาของพระพุทธเจ้า ถ้าจะเป็นชาวนาของพระพุทธเจ้าที่ทำด้วยสติปัญญาแล้ว มันไม่ต้องมีความรู้สึกจำเป็นเช่นนั้น เพราะว่าเราจะอยู่ก็ได้ เราจะตายก็ได้ เราจะต้องวิตกกังวลมันไปทำไม ทำให้พอเหมาะพอสมตามที่สติปัญญามันมีก็แล้วกัน แล้วก็เอากำไรตรงที่ว่าคิดกว้างไปจนถึงว่าที่ทำนี้ ทำเพื่อทำให้โลกนี้มันงดงาม ไม่ใช่เพื่อเอาตัวเราคนดียว เราจะสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นในโลกเพื่อให้โลกทั้งหมดมันงดงามเป็นโลกที่น่าดู อย่างนี้มันก็สบายใจเสียแล้ว เพราะว่าพอขุดดินไปทีหนึ่ง มันก็รู้สึกว่าได้ทำโลกนี้ให้งดงามไปทีหนึ่งแล้ว มันก็สบายใจ มันดีใจ มันพอใจ มันอิ่มใจ มันไหว้ตัวเองได้ ยกมือไหว้ตัวเองได้ขึ้นมาทันที แต่ถ้าทำด้วยความเห็นแก่ปากแก่ท้องอย่างรุนแรงแล้ว มันอิ่มใจไม่ออก มันมีแต่ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อย มันความรู้ มีแต่ความรู้สึกกระวนกระวายว่าเมื่อไรมันจะเป็นรวง เป็น เอ้อ, เป็นดอกเป็นผลออกมา จะได้เอาไปขายไปกินไปใช้ มันมุ่งมั่นอยู่แต่อย่างนี้ บางทีถึงกับนอนไม่หลับด้วยความวิตกกังวล เป็นต้น นี้เรียกว่าเป็นคนที่เผาลนทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา อย่างที่เคยบอกให้ฟังแล้วว่า กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ คนชนิดที่เป็นกลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟนั้นมันน่าดูที่ตรงไหน จะเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร คำว่ากลางคืนอัดควันนั้น มันหมายถึงว่าครุ่นคิดอยู่ด้วยความวิตกกังวล ด้วยอำนาจกิเลสตัณหา เป็นเหตุให้วิตกกังวล มันนอนไม่หลับ แม้จะนอนอยู่มันก็คิดพล่าน คิดว่าจะต้องอย่างนั้น คิดว่าจะต้องอย่างนี้ นั้นก็ส่วนหนึ่ง แล้วคิดวิตกกังวลว่าที่ทำค้างไว้นั้นมันจะเสียหายไป มันจะมีภัยมาเบียดเบียนแย่งชิง นี้ก็อย่างหนึ่ง ทีนี้ถ้าคุมไว้ไม่อยู่ก็มีมากจนถึงว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้มาเร็วๆ ก็เลยเป็นเหตุให้คิดไปในทางทุจริต เอาเปรียบผู้อื่น คดโกงผู้อื่น เป็นต้น คิดอัดควันอย่างนี้มันหมายความว่าร้อน แล้วก็ทนอัดความร้อนนั้นอยู่ในใจเป็นควันกลุ้มอยู่ แม้ว่าจะหลับก็มีการอัดควันคือฝันร้าย พอรุ่งสว่างขึ้นก็เป็นไฟ คือว่าวิ่งไปกระทำสิ่งที่ตนอยากจะทำนั้นตามอำนาจของกิเลสตัณหาตามเคย มีการสับสน อา, มีการชุลมุนวุ่นวายไม่มีหยุดไม่มีหย่อน เป็นไฟไปทีเดียว ลักษณะเช่นนี้บางคนอาจจะชอบ แต่ก็ชอบกันอยู่แต่ในหมู่บุคคลผู้เห็นแก่ตน หรือเป็นทาสกิเลสตัณหาด้วยกันทั้งนั้น สำหรับในหมู่บัณฑิตมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข เป็นประธานแล้ว ย่อมไม่ชอบคนที่กลางคืนอัดควันและกลางวันเป็นไฟเลย แต่ว่าจะชอบคนที่กลางคืนก็ไม่อัดควัน กลางวันก็ไม่เป็นไฟ คือว่ากลางคืนก็เย็น กลางวันก็เย็น มีความเยือกเย็นอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นเวลาอะไร คนเรานั้นถ้าจะมองดูกันตามเวลาแล้ว ก็มีเวลาทำงานอย่างหนึ่ง เวลาพักผ่อน ตลอดทั้งกินอาหารอย่างหนึ่ง รวมทั้งนอนหลับด้วย เรียกว่าเป็นเวลาการงานอย่างหนึ่ง เป็นเวลาพักผ่อนอย่างหนึ่ง เวลาการงานก็ไม่เป็นไฟ เวลาพักผ่อนก็ไม่เป็นไฟ แต่มันเย็นเป็นน้ำไปหมดทั้งเวลาพักผ่อนและเวลาการงาน ส่วนคนที่เป็นทาสของตัณหานั้น เวลาพักผ่อนคือเวลากลางคืนก็อัดควัน หรือว่าเป็นไฟชนิดที่อัดควันอยู่ พอถึงเวลาการงานคือเวลากลางวัน มันก็เป็นไฟทีเดียว ถ้าได้โอกาสแล้วก็ลุกโพลงๆ อย่างนี้มันเป็นการร้อนทั้งเวลาพักผ่อนและทั้งเวลาการงาน ส่วนพุทธบริษัทที่แท้จริงนั้นไม่ร้อน เป็นความสงบเย็นทั้งเวลาพักผ่อนและเวลาการงาน ท่านทั้งหลายจงได้เอาความข้อนี้ไปสอบสวนตัวเองดูเถิดว่า ได้มีความเร่าร้อนอย่างไร เมื่อไร ในลักษณะเช่นไรอยู่บ้าง แล้วก็จะได้จัดการให้ความร้อนนั้นบรรเทาเบาบางลงไป จนเหลือแต่ความเย็นทั้งเวลาพักผ่อนและเวลาการงาน เมื่อทำนาอยู่ก็สนุก เมื่อพักผ่อนก็สบาย เรียกว่าเกิดมาไม่ใช่เพื่อตกนรกทั้งเป็น เกิดมาเพื่อได้รับความเยือกเย็นตามทางของธรรมะทั้งนั้น ยิ่งในขณะที่คนอื่นเดือดร้อนระส่ำระสายกันด้วยแล้ว เราที่เป็นพุทธบริษัทนี้จะเป็นอยู่อย่างเยือกเย็นให้ดู อย่าว่าแต่ในกรณีที่ให้ เหน็ดเหนื่อยด้วยการทำงานเลย แม้ในกรณีที่เจ็บปวดด้วยความเจ็บ ความไข้หรืออะไรก็ตาม เราก็ยังจะต้องเยือกเย็นให้ได้ เราจะมีความอดกลั้นอดทนได้ หรือพูดอีกทีหนึ่งก็คือมีการปลงที่ตก ปลงตกจึงจะเยือกเย็นได้ ถ้าอดทน มันก็ทนได้ยาก ต้องปลงให้ตก ไม่ต้องอดทนมาก มันก็ไม่ร้อนเพราะเหตุนี้ เรื่องเจ็บ เรื่องไข้ เรื่องเป็น เรื่องตายก็ไม่เป็นความทุกข์ความร้อนสำหรับบุคคลพวกนี้ เรื่องการ เรื่องงานก็ไม่เป็นความทุกข์ความร้อนสำหรับบุคคลพวกนี้ นี่แหละคือพุทธบริษัท คือว่าเป็นหมู่คณะของพระพุทธเจ้าซึ่งมีความรู้ ความตื่น และความเบิกบาน เราจะต้องจำคำสามคำนี้ไว้เป็นหลักสำหรับเราด้วย ไม่ใช่เฉพาะสำหรับพระพุทธเจ้าคนเดียว คำว่า พุทธะ นี้ จะต้องแปลว่ามีความรู้ มีความตื่น มีความเบิกบาน รู้ก็คือไม่โง่ ตื่นก็คือไม่หลับ เบิกบานก็คือไม่เร่าร้อนหรือซบเซา ถ้ามีอาการที่เร่าร้อนก็เรียกว่าตรงกันข้ามจาก พุทธะ ถ้ามีอาการที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน จึงจะมีอาการตรงกับที่เรียกว่า เป็นพุทธะ หรือเป็นพุทธบริษัท แม้จะเป็นชาวนา ชาวสวน แม้จะเป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิง ผู้ชายอะไรก็ตาม ล้วนแต่จะต้องฝึกฝนในหลักเกณฑ์อย่างเดียวกัน คือให้มีความรู้ ให้มีความตื่น ตื่นนอน ไม่หลับ ไม่ใช่ ไม่ใช่แตกตื่น แล้วก็มีความเบิกบาน คือเยือกเย็น สงบเย็นอยู่ได้ ไปตามประสาที่เป็นเด็ก เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้หญิง เป็นผู้ชาย ตามที่สูง ต่ำอยู่ อย่างที่เรียกว่าเป็นชาวบ้านหรือเป็นชาววัด จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติตรงตามหลักเกณฑ์ของพุทธบริษัทในพระพุทธศาสนา ซึ่งบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายของเราถนอมรักษากันไว้เป็นอย่างดี แล้วมอบหมายให้มา มาแก่ลูกหลานตามลำดับ ตามลำดับ เป็นต้นมา และมันก็มาเสียท่าตรงที่ชั้นลูกหลานนี่เอง รักษาคุณสมบัติข้อนั้นที่เคยสูงสุด ศักดิ์สิทธิ์นั้นไว้ไม่ค่อยจะได้ เพราะว่าลูกหลานในชั้นหลังนี้ได้ค่อยๆ กลายมาเป็นคนเห็นแก่ตัวกู ของกูมากยิ่งขึ้นกว่าบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายที่แล้วมาแต่หนหลัง ข้อนี้จะจริงหรือไม่จริง ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนนึกดูด้วยจิตใจที่ยุติธรรม ที่เป็นธรรม อย่าลำเอียง ว่าบิดามารดาของเรา ปู่ย่าตายายของเรา ถอยหลังขึ้นไปถึงปู่ทวดตาทวดมากมายโน้น กับพวกเราบัดนี้ ใครเป็นพวกที่เห็นแก่ตนมากกว่ากัน หรือว่าใครเป็นพวกที่เห็นแก่ธรรมะ หรือแก่ศาสนามากกว่ากัน ข้อนี้เป็นสิ่งที่ต้องคิดดูให้ดี ให้ตกเสียก่อน แล้วจึงค่อยคิดว่ามันเป็นเพราะเหตุไร มันเป็นการสมควรหรือไม่ที่คนสมัยนี้จะต้องเห็นแก่ตนให้มาก แล้วก็คิดต่อไปถึงว่า อย่างไหนมันจะนำมาซึ่งความทุกข์ อย่างไหนมันจะทำให้ตกนรกทั้งเป็น ดังที่กล่าวแล้ว นี้เป็นการคิดบัญชีกันดูว่ามันจะเป็นการได้กำไรหรือเป็นการขาดทุนในระหว่างคนสองพวก คือเรากับบรรพบุรุษของเรา ว่าใครจะได้กำไรหรือขาดทุนมากน้อยกว่ากันเท่าไรในการที่หายใจเป็นคนอยู่นี้ เพราะว่าบรรพบุรุษก็เป็นคน เราก็เป็นคน คือเป็นมนุษย์ด้วยกัน มีการกระทำไปตามความต้องการด้วยกัน แต่ว่าใครเป็นคนทุกข์มาก ทุกข์น้อย หรือว่าใครได้กำไรในการเกิดมาเป็นคนมากที่สุด และใครขาดทุนมากที่สุดนั่นเอง มันเป็นเรื่องที่ต้องคิดหรือควรคิด เพราะว่าเราระลึกถึงบรรพบุรุษของเราในวันนี้ เราไม่มีทางอื่นใดที่ดีไปกว่าที่จะระลึกกันไปในข้อได้ข้อเสียที่แท้จริง ที่เรียกว่าข้อได้ข้อเสียที่แท้จริงในที่นี้ก็คือ การจะได้อะไรจากการที่ได้เกิดมาเป็นคนนี่แหละ มันมากน้อยเท่าไร หรือมันจะเสียอะไรไปในการที่ได้เกิดมาเป็นคนนี่แหละ มากน้อยเท่าไร ลองคิดดูให้ดี นั่นแหละจึงจะพบว่าเรานี้ทำตัวสมควรที่จะเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษหรือไม่ หรือว่าอีกทางหนึ่งก็ว่า เราดีขึ้นหรือเลวลงในเมื่อเปรียบเทียบกันกับบิดามารดาปู่ย่าตายายบรรพบุรุษของเรา พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญบุตรที่ดีขึ้น หรือว่าเสมอกันกับบิดามารดา ไม่สรรเสริญบุตรที่เลวกว่าบิดามารดา นี้เชื่อว่าท่านทั้งหลายทุกคนคงจะไม่คัดค้าน คงจะยอมเห็นด้วยว่าอย่างน้อยเราก็ควรจะเสมอกันกับบิดามารดาหรือยิ่งขึ้นไปกว่าบิดามารดา เพราะว่าเราเกิดทีหลังในยุคที่มีอะไรๆ อา, มีไว้ให้เราศึกษาเล่าเรียนมากกว่าในสมัยบิดามารดา หรือว่าวิชาความรู้ต่างๆ ที่บิดามารดาของเรามี มอบมาให้เป็นมรดกแก่เรานั้น เราก็ได้รับ เพราะฉะนั้นเราควรจะมีอะไรดีกว่าบิดามารดา เก่งกว่าบิดามารดา คือส่วนที่เราคิดได้เองนั้นเพิ่มเติมขึ้นบ้าง นั้นถ้าเพียงแต่เป็นบุตรที่เสมอด้วยบิดามารดานี้ก็น่าติเตียนเสียแล้ว ควรจะทำอะไรได้ก้าวหน้ากว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายายจึงจะเรียกว่าเอาตัวรอด หรือแก้ตัวไปได้ ขอให้ลองคิดดู เอ้อ, กันในข้อนี้ก่อน เมื่อเรามาคิดกันดูในข้อที่ว่า เราเป็นบุตรที่เสมอกับบิดามารดา หรือเลวกว่าบิดามารดา หรือดีกว่าบิดามารดา ซึ่งหมายถึงปู่ย่าตายายถอยหลังขึ้นไป ดังนี้แล้ว หลักที่จะมาตัดสิน เป็นเครื่องตัดสิน ท่านจะเอาอะไร เอ้อ, มาเป็นหลัก จะเอาความสวย ความรวย ความงาม ความอะไร เหล่านี้เป็นหลัก หรือว่าจะเอาหัวใจที่ประกอบไปด้วยมนุสสธรรมหรือธรรมะนั้นเป็นหลัก ถ้าจะเอาอาการภายนอกต่างๆมาเป็นหลัก มันก็ได้เหมือนกัน อาจจะเป็นได้ว่าเดี๋ยวนี้เราอยู่เรือน ที่ดูหรูหรากว่าบิดามารดา เราแต่งเนื้อแต่งตัว กินอยู่หลับนอนด้วยสิ่งต่างๆ ที่หรูหราสวยงามกว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายาย แล้วเราก็ดีกว่าบิดามารดา อย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าเอาอย่างนี้เป็นหลักแล้ว ก็กลายเป็นว่า เป็นเรื่องที่จะเป็นทาสของกิเลสตัณหาได้มากกว่าบิดามารดาโดยแน่นอน มันจะเป็นการฟ้องและตัดสินอยู่แล้วในตัวว่า พวกลูกหลานนี้ไปสมัครภักดีเป็นทาสของกิเลสตัณหายิ่งไปกว่าบิดามารดา ไปสมัครเป็นทาสของกิเลสตัณหากว่าที่จะจงรักภักดีต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แปลว่าลูกหลานได้พลัดออกไปนอกคอก นอกลู่นอกทาง ไปสวามิภักดิ์ จงรักต่อกิเลสตัณหาซึ่งเป็นพญามาร ซึ่งเห็นแก่เหยื่อซึ่งเป็นความเอร็ดอร่อยสนุกสนานทางหนัง ทางเนื้อกันนั่นเอง นี้เรียกว่าเก่งแล้ว บิดามารดา ปู่ย่า ตายายสู้ไม่ได้ในทางนี้ คือในทางที่จะเป็นทาสของกิเลสตัณหา มีอาการที่เรียกว่า กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ นั้นยิ่งไปกว่าบิดามารดา ปู่ย่า ตายายของตนโดยแน่นอน ทีนี้เรามองกันดูอีกทางหนึ่ง คือทางจิตใจ เอาเรื่องจิตใจเป็นหลักกัน ถ้าจะดีก็ดีในด้านจิตใจ คือมีปัญหาเกิดขึ้นว่าใครเป็นคนเห็นแก่ตัวน้อยกว่า ใครเป็นผู้มีจิตใจที่เป็นความสะอาด สว่าง สงบกว่า ใครมีลักษณะอาการที่เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานยิ่งกว่ากัน ดังนี้ ก็ขอให้ลองคิดวินิจฉัยดูด้วยตัวเองเถิด ว่าปู่ย่าตายายของเรากับเราในสมัยนี้นั้น ใครเป็นคนเย็นกว่ากัน ใครเป็นคนร้อนกว่ากัน ใครเป็นทาสของกิเลสตัณหามากกว่ากันดังที่กล่าวมาแล้ว ใครเป็นคนที่ใกล้ชิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากกว่ากัน นี้ถ้าจะพูดอย่างอุปมาว่า ใครนั่งใกล้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มากกว่ากัน ถ้าใครเกิดนั่งไกลพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาแล้ว มันก็ต้องไม่ใช่เหตุอะไรอื่น มันก็เป็นเหตุ เป็นเหตุเพราะว่าสมัครไปเป็นทาสของกิเลสตัณหาอีกนั่นเอง นิยมชมชอบกันเป็นอันมากถ้าลูกหลานในอนาคตของตนได้ไปเป็นทาสของกิเลสตัณหามาก แล้วก็จะยินดีมากทีเดียว เพราะว่ามันจะได้สวย ได้รวย ได้สนุกสนานกันใหญ่โตทีเดียว มุ่งหมายบูชากันแต่ลักษณะอาการอย่างนี้ ไม่ได้ระลึกนึกถึงว่าที่แท้จริงนั้น อะไรเป็นความทุกข์ และ อะไรเป็นความไม่ทุกข์ที่แท้จริง มีอาการชนิดที่หันเห ตรง อ้า, ไปในทางตรงกันข้ามจากที่เป็นมาแล้ว สรุปความว่าเราดีขึ้นหรือเลวลง จงตัดสินดูตามแต่ที่ อา, จะชอบใจของตนเองเถิด เพราะว่าเราย่อมจะถือว่าทุกคนมีอิสระเสรีที่จะเลือก ที่จะทำ แต่สำหรับพุทธบริษัทนั้น รู้สึกว่าถ้าจะมีอิสระเสรีกันแล้วมันต้องเป็นไปให้ถูกทาง ถ้าให้กิเลสเป็นผู้มีอิสระเสรีแล้ว มันก็ต้องเหยียบย่ำธรรมะ ถ้าให้ธรรมะมีอิสระเสรีแล้ว มันจะต้องเหยียบย่ำกิเลส เพราะฉะนั้นจะต้องเลือกเอาข้างไหน ข้างใด ข้างหนึ่ง เพราะว่าเป็นการเหลือวิสัยที่เราจะทำทั้งสองข้างหรือทั้งสองอย่าง ถ้าต้องการให้ร่างกาย หรือทางฝ่ายร่างกายที่เป็นของต่ำนี้เป็นอิสระเสรีแล้ว ก็ให้กิเลสนั่นแหละมีอำนาจ ถ้าให้จิตใจที่เป็นของสูงมีอิสระเสรีแล้ว ต้องให้ธรรมะมีอำนาจ ถ้าเราจะถือว่าร่างกายเป็นใหญ่ ก็ปล่อยไปตามความต้องการของกิเลสตัณหา ถ้าเราจะถือว่าจิตใจเป็นใหญ่ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไปตามความต้องการของธรรมะหรือพระธรรม คนในโลกทุกวันนี้จะถือเอาอะไรเป็นใหญ่ ท่านทั้งหลายลองพิจารณาดู เขานิยมชมชื่นกันที่ตรงไหนว่าเป็นของดีของสวย ของ อ้า, น่าเลื่อมใส น่าบูชา คนสมัยปู่ย่าตายายของเรา เขายึดถืออะไรเป็นหลักในการที่จะออกปากมาสักคำว่า มันดี มันงาม มันน่ารัก น่าบูชา ถ้าโดย อ่า, ถ้าสังเกตดูตามแนวนี้ เราก็จะเห็นได้เหมือนกันว่ามันเดินกันคนละอย่าง คนละทาง สมัยหนึ่งอาจจะนิยมความดี ความงาม ความจริง ความยุติธรรมเป็นหลัก สมัยหนึ่งอาจจะนิยมความร่ำรวย ความสนุกสนาน สรวลเสเฮฮา อำนาจวาสนาเป็นหลัก แต่แล้วลองเปรียบเทียบกันดูเถิดว่าอันไหนมันเป็นสิ่งที่น่าอันตราย และอันไหนมันเป็นของจริง อันไหนมันเป็นของปลอม อันไหนเป็นเรื่องของสติปัญญา และอันไหนเป็นเรื่องของกิเลสตัณหา หรือว่าอันไหนเป็นตัวกู ของกูจัด อันไหนเป็นตัวกู ของกูที่เบาบางลงจนกระทั่งไม่มีเหลือ เหล่านี้มันย่อมเป็นเครื่องรับรอง กำกับกันอยู่ในตัวมันเองด้วยกันทั้งนั้น และเราทั้งหลายก็จะพอมองเห็นได้ด้วยตัวเองด้วยกันทั้งนั้น นี่แหละล้วนแต่จะเป็นเครื่องฟ้องตัวเอง แล้วตัดสินได้ด้วยตนเองว่าทำผิดหรือทำถูก ตรงที่เลวลงหรือดีขึ้นในเมื่อเปรียบเทียบกันกับบรรพบุรุษของตน คือจะเอาวัตถุเป็นหลักหรือเอาจิตใจเป็นหลัก จะเอาความจริงเป็นหลัก หรือว่าจะเอาความเท็จเป็นหลัก ต้องให้แน่ลงไป ถ้าจะให้ถูกจริง ตรงจริง ดีจริง ก็ต้องเอาความจริงเป็นหลัก แล้วก็ตัดสินตัวเองดูเถิดว่าเรามันดีขึ้น หรือมันเลวลง เราอย่าได้ปัดความรับผิดชอบข้อนี้ไปให้บิดามารดา หรือให้ใครที่ไหนอีก อื่นอีกเลย เรามากล้าหาญกันบ้างที่จะรับผิดชอบตัวเองว่ามันเป็นความกระทำของตัวเราเอง ถ้ามันผิด มันถูกเราก็รับผิดชอบเอง ถ้ามันผิดเราก็จะทำเสียให้ถูก ไม่ไปมัวโทษว่าบิดามารดาไม่สอน ครูบาอาจารย์ไม่สอน หรืออะไรทำนองนี้ ถ้าว่ากันโดยที่แท้แล้ว คำสอนนั้นเหลือเฟือ เพราะอะไรๆ มันก็สอนทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็สอน คำสอนของพระพุทธเจ้าก็กลาดเกลื่อนไป เราได้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านกันอยู่ทั่วไป แต่แล้วมัน มันมาผัดอยู่ข้อหนึ่ง คือข้อที่ว่าเราไม่อาจจะบังคับตัวเราเองให้เป็นไปได้ในทางที่เราก็เห็นว่า มันดี มันจริง และมันถูกต้อง เพราะเราเป็นทาสของปาก ของท้อง ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเอง คือเป็นทาสของกิเลสตัณหา ไม่เป็นอิสระแก่ตัวเอง แล้วจะมาประพฤติธรรมะได้อย่างไร พวกคริสเตียนเขาสอนว่าคนเราจะมีนายสองคนทีเดียวพร้อมกันไม่ได้ คือบ่าวนั้นต้องตายแน่ถ้ามีนายสองคนพร้อมกัน นายคนนี้ใช้ไปทางนี้ นายคนโน้นใช้ไปทางโน้น แล้วบ่าวจะทำอย่างไร นี่แหละ เราจะเป็นบ่าวของกิเลสตัณหาหรือพญามารดี หรือว่าเราจะเป็นบ่าวเป็นทาสของพระพุทธเจ้าดี พุทธบริษัทประกาศตัวว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้าอยู่ทุกเช้าทุกเย็น ในเวลาที่ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เช่นว่า พุทธัสสาหัสมิ ทาโส วะ ดังนี้ เป็นต้น ก็ประกาศตัวว่าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า นี้มันควรจะแน่นอนลงไปว่ามันเป็นทาสของพระพุทธเจ้าจริงๆ อย่าได้ไปเป็นทาสของกิเลสตัณหาหรือพญามารเลย แต่แล้วทำไมจึงไปเป็นทาสปาก ทาสท้องซึ่งเป็นเครื่องหมายของกิเลสตัณหา หรือพญามารไปเสียหมดเล่า ถ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้าจริง ก็ต้องทำไปตามสมควรแก่การที่จะเป็นทาสของพระพุทธเจ้า
นี้ไม่ได้หมายความว่าให้หยุดกินอาหาร ไม่ต้องกินอาหาร หรือไม่ต้องทำอะไรเหล่านั้นก็หาไม่ได้ แต่ว่าเราจะกินอาหารหรือจะแสวงหาอาหาร สะสมอาหาร ก็ขอให้ทำอย่างที่เป็นทาสของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นทาสของพญามาร มีอาการเหมือนกับตัวอย่างที่ได้ยกมาให้เห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่า คนทำนานั้นทำด้วยกิเลสตัณหาก็ได้ ทำด้วยความรู้สึกที่เป็นธรรมะก็ได้ คนแรกนั่นแหละเป็นทาสของพญามาร คนหลัง ชาวนาคนหลังนั่นแหละเป็นทาสของพระพุทธเจ้า ฉะนั้นขอให้เราทุกคนเป็นทาสของพระพุทธ เป็นทาสของพระธรรม และเป็นทาสของพระสงฆ์ ซึ่งรวมความแล้วก็คือเป็นทาสของพระธรรม คือมีนายแต่คนเดียวเถิด อย่าได้มีนายชนิดที่ตรงกันข้ามเข้ามาอีกคนหนึ่งเลย คือนายที่เป็นกิเลส เป็นตัณหา เราจะปฏิบัติไม่ได้ในเมื่อมีนายสองคนคราวเดียวกัน เพราะมันแตกต่างอย่างตรงกันข้าม ถ้าเรามีนายเพียงคนเดียว คือถือเอาหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าเป็นหลักปฏิบัติแล้ว ก็เป็นสิ่งที่พอที่จะทำไปได้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะมันมีแต่แนวเดียว เรื่องเดียว สายเดียวที่ต้องเดินไปอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะต้องคิดบัญชีกันให้เด็ดขาดลงไป ให้แน่ใจว่า เราจะเดินกันแนวนี้ และจะทำอะไรทุกอย่างให้เป็นไปตามแนวของพระพุทธเจ้า คือว่าอย่างไร อย่างไร ก็อย่าให้มันเกิดความทุกข์ขึ้นมาให้ได้ เราถือเอาข้อนี้เป็นใหญ่ เพราะว่าถ้าจะร่ำรวยสวยงามอย่างไร แต่ถ้าเป็นทุกข์แล้ว มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะเราเอาตรงที่ความทุกข์หรือไม่ทุกข์กันเป็นใหญ่ เราจะเอาที่ไม่ทุกข์เป็นใหญ่ก่อน ส่วนจะรวยหรือไม่รวย จะสวยหรือไม่สวยนั้นได้ทั้งนั้น ถ้ามันทั้งรวย ทั้งสวย และทั้งไม่เป็นทุกข์ก็เรียกว่าเป็นการได้ที่สมบูรณ์ ถ้าเราจะเรียกว่ารวย ว่าสวยกันให้จริงๆ เราต้องอยู่ ต้องเอาที่ถูก ที่จริง ที่เป็นธรรมะต่างหาก จึงจะเป็นเรื่องสวย เรื่องรวยที่แท้จริง สวยหรือรวยอย่างอื่นนั้นเป็นเรื่องปลอม เป็นของปลอม หรือเป็นของเท็จ เทียมทั้งนั้น ถ้าว่าเรายึดหลักในทางธรรมะหรือพระพุทธเจ้าเป็นหลักอย่างนี้ มันก็ง่ายในการที่จะเดินไปตามทางนี้ แล้วเราก็จะสนใจในเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น แล้วเราก็จะเหมือนกับบรรพบุรุษของเราในส่วนที่จะเป็นทุกข์น้อยที่สุดได้โดยไม่ต้องสงสัยเลย เราอย่าไปสนใจแต่เรื่องที่จะขยับขยายในทางวัตถุ ในทางเนื้อ ทางหนัง ทางกิเลสตัณหา เราสนใจเรื่องจริง คือเรื่องธรรมะกันเสียก่อน และถ้าจะทำอะไรลงไปก็ให้เป็นไปตามทางของธรรมะ จะหาเงิน ก็จะต้องหาไปตามทางของธรรมะ จะแต่งตัวให้สวย ก็จะให้สวยไปตามทางของธรรมะ ตลอดเวลาทั้ง ทั้งหมดนั้นจะต้องมีจิตใจที่ไม่เร่าร้อนเพราะอำนาจของกิเลสตัณหา แต่ว่ามีจิตใจที่มั่นคงแน่วแน่ เยือกเย็นอยู่ด้วยสติปัญญาที่รู้จักผิดชอบชั่วดี ที่มั่นคงอยู่ด้วยอำนาจของความดี เอ่อ, ความถูกต้อง ไม่มีกิเลสตัณหาเข้ามาเบียดเบียนหรือย่ำยีเลย อย่างนี้เราก็มีอะไรได้เหมือนกันกับที่เขามีๆ กัน จะมีรถยนต์ก็ได้ มีตึกราม มีอะไรก็ได้ แต่เรามีพิเศษอีกอย่างหนึ่ง ก็คือที่ในใจนั้นไม่มีความเร่าร้อนไปตามกิเลสตัณหา เพราะไม่มีกิเลสตัณหาเข้ามาแทรกแซงนั่นเอง พูดไป พูดมาก็ควรจะจับหลักกันให้ได้เสียทีว่า จะทำอะไรหรือจะมีอะไร ก็อย่าได้ทำ อย่าได้มีด้วยกิเลสตัณหาเลย ให้ทำ ให้มีด้วยสติปัญญาที่ปราศจากกิเลสตัณหาเท่านั้น เมื่อเป็นอย่างนี้ก็จะไม่ทุกข์ จะตรงกันข้ามจากความทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่แหละคือใจความสำคัญของการเป็นพุทธบริษัท หรือการประพฤติปฏิบัติทุกอย่างทุกประการของพวกพุทธบริษัท มารวมอยู่ที่ว่าเราไม่ทำอะไร หรือไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไรด้วยกิเลสตัณหา มี หรือทำ หรือเป็นไปตามอำนาจของสติปัญญา ควบคุมกิเลสตัณหาไว้ให้ได้ สิ่งเหล่านั้นก็จะมีแต่ความเยือกเย็นโดยส่วนเดียว ไม่เป็นทุกข์ เป็นร้อนแต่อย่างใดหมด เยือกเย็นได้จนตลอดชีวิต นี่แหละคือความ เอ่อ, ลับหรือความสำคัญ เป็นเคล็ดอันจะเกิด ของการที่จะว่า อ้า, ที่จะเป็นพุทธบริษัทหรือไม่เป็น จะเป็นพุทธบริษัทหรือไม่เป็นพุทธบริษันั้น มันก็อยู่ที่ตรงนี้ ที่ตรงอื่นนั้นไม่เป็นหลัก เป็นเกณฑ์อะไร เพราะว่าใครๆ ชาติไหน ภาษาไหน ศาสนาไหน ก็หาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเป็นด้วยกันทั้งนั้น ขยันขันแข็งเป็นด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่าคนเหล่านั้นจะต้องมีอะไรแตกต่างกันในเมื่อมาเปรียบเทียบกันกับพุทธบริษัทเรา จะว่าหากินก็หากินด้วยกัน แต่เขาร้อน เราไม่ร้อน หรือว่าในขณะที่กินอยู่แท้ๆ ด้วยกัน เขาก็ร้อน เราก็ไม่ร้อน เมื่อจะคิดจะนึก ความคิดของเขาย่อมประกอบไปด้วยความร้อน แต่ความคิดของเราไม่ประกอบไปด้วยความร้อน นี้เรียกว่าจะคิด จะพูด หรือจะทำก็ตาม ไม่มีความร้อนเลย เป็นพุทธบริษัทอยู่ที่ตรงนี้ มันแปลกกันอยู่ที่ตรงนี้ ที่เรียกว่า มีความเบิกบาน สดชื่น ถ้าไม่มีตรงนี้แล้วมันก็เหมือนกัน คือไม่มีความเป็นพุทธบริษัท นี้เราจะไม่มา เอ้อ, จะไม่เข้าข้างตัว หรือจะไม่ยึดมั่น ถือมั่นข้างตัวจนถึงกับว่าเป็นพุทธบริษัทแต่เรา เราจะต้องเปิดไว้กว้างว่า ใครก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม กำลังเรียกตัวเองว่าเป็นอะไรก็ตาม แต่ถ้าเขาเป็นอยู่อย่างที่ว่ามาแล้ว คือมีความคิดนึก เอ้อ, มีการพูด การทำชนิดที่ไม่เป็นความทุกข์แล้ว เขาก็เป็นพุทธบริษัทเหมือนกัน บางทีเขาอาจจะเรียกชื่อตัวเขาอย่างอื่นก็ได้ ในสมัยอื่น ในที่อื่น ในถิ่นอื่น เขาอาจจะเรียกเป็นอย่างอื่นก็ได้ นั่นไม่สำคัญ เราเอาแต่หลักเกณฑ์ที่ประพฤติปฏิบัติกันจริงๆ ว่าร้อน หรือไม่ร้อน ว่าทุกข์ หรือไม่ทุกข์ ว่าสงบ หรือไม่สงบ ว่าโง่ หรือว่าฉลาด ว่ายังหลับตาอยู่ หรือว่าลืมตาขึ้นมาแล้ว ดังนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะว่าพุทธบริษัทมีความหมาย เอ้อ, อยู่ที่ตรงนี้เท่านั้น ทีนี้เราพยายามที่จะเป็นพุทธบริษัทกันให้มากยิ่งขึ้น โดยเหตุที่ว่าตามธรรมดาเราก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว และยังมีเหตุอีกประการหนึ่งว่า เราอย่าได้เสียทีที่เป็นลูกหลานของปู่ย่าตายายที่เคยตั้งมั่นอยู่ในธรรรมะในพระศาสนาเลย มันจะได้สมกันทั้งสองอย่าง นี้เรียกว่านึกถึงปู่ย่าตายายในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดี ในฐานะเป็นหลักเกณฑ์ที่ดี ที่เราผู้เป็นลูกหลานจะต้องสอบสวนตัวเองว่าเรากำลังเป็นอย่างไร ถ้าเผอิญว่าปู่ย่าตายายที่ตายไปหลายร้อยปีแล้วนั้น กลับมาเห็นเราตกต่ำเสื่อมโทรมในทางจิตใจมาก คือว่าไปเป็นทาสของกิเลสตัณหากันหมดแล้ว ไม่มีลูกหลานคนไหนที่เป็นอิสระแก่ตัวเลย ดังนี้แล้วปู่ย่าตายายนั้นก็จะต้องน้ำตาไหลอาบแก้มทีเดียว เพราะว่ามันเป็นการเสียหายแก่ลูกหลานของตายายอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นลูกหลานของตายายที่แท้จริง ที่กตัญญูนั้น จะต้องรักษาเกียรติยศของพุทธบริษัทอันนี้ไว้ให้ได้ อย่าให้ตายายมาเห็นแล้วต้องร้องไห้ดังที่กล่าวมานั้นเลย ตายายมาเห็นลูกหลานลุ่มหลงในเรื่องของวัตถุทางเนื้อ ทางหนังเกินไปแล้ว จะต้องร้องไห้โดยไม่ต้องสงสัย เพราะว่าตายายทั้งเกลียดทั้งกลัวต่อสิ่งเหล่านั้น ต้องการจะเป็นอิสระแก่ตัวจริงๆ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนจริงๆ จึงได้ถือว่าการเป็นเช่นนี้เป็นการเสียหายอย่างยิ่ง แล้วก็สงสารลูกหลานด้วย เสียใจตัวเองด้วย จึงได้ร้องไห้เพราะเหตุนั้น นี้ดีแต่ว่าเราไม่มีหูทิพย์ ตาทิพย์อะไรที่จะมองเห็นตายายที่ตายไปแล้ว เราจึงไม่รู้สึก แล้วก็สนุกกันใหญ่ ทำบุญให้ปู่ย่าตายายนี้ ล้วนมีความหมายเป็นความสนุกกันเสียไปก็มี มาอวดรูป อวดโฉมกันก็มี และอะไรอื่นๆซึ่งไม่น่าปรารถนาก็มี นั้นก็ไม่เป็นไร ทำไปบ้างก็ได้ แต่ว่าส่วนใหญ่ส่วนสำคัญนั้น อย่าให้มันขาดเสีย คือการนึกถึงปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้วจริงๆ และนึกถึงด้วยความรู้สึกที่ถูกต้องว่าเราได้ทำความเสื่อมเสียให้แก่ปู่ย่าตายายหรือเปล่า คือว่าเราได้ทำความเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นแก่สิ่งที่ปู่ย่าตายายของเราได้สร้างขึ้นไว้ดีแล้วนี้หรือเปล่า นี้ก็คือพระศาสนาที่สืบๆ กันมาโดยน้ำมือของปู่ย่าตายายของเรานั่นเอง คือความเป็นชาวพุทธที่เราสืบๆ กันมาจากเลือดเนื้อของบิดามารดา ปู่ย่าตายายนั่นเอง มันได้ตกต่ำลงไปแล้วอย่างไร หรือว่ามันยังดีอยู่ หรือว่ามันดีขึ้น ขอให้คิดในข้อนี้กันให้มาก การทำพิธีที่ระลึกแก่ปู่ ปู่ย่าตายายในวันนี้ก็จะสมบูรณ์ จะน่าชื่นใจ เรียกว่าเรารักษาสิ่งที่ดีเอาไว้ได้ ยังคงเป็นพุทธบริษัทที่ถูกต้องอยู่เสมอนั่นเอง ทีนี้เราจะมองย้อนกันไปทางหนึ่ง คือมอง อะ, มองไป ย้อนไป มองไปข้างหน้าบ้าง คือลูกหลานที่จะมีมาในอนาคตนั้นมันจะเป็นอย่างไร เพื่อว่าคนที่จะเป็นปู่ย่าตายาย หรือกำลังเป็นปู่ย่าตายายอยู่ในขณะนี้แล้ว จะได้ช่วยแก้ไขและป้องกัน อย่าให้มันพลาดเหมือนกับที่เราได้พลาดมาแล้วกับปู่ย่าตายายส่วนที่ตายไปแล้วนั้นเลย เด็กๆ มันกำลังจะเป็นอย่างไร บิดามารดาที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ควรจะนึกถึงกันบ้าง อย่าได้ลุ่มหลงไปตามอำนาจของกิเลสตัณหาที่กำลังครอบงำโลกนี้ยิ่งขึ้นเลย ถึงเราจะไม่มีความรู้บางอย่างมากมายเหมือนเด็กๆ แต่เราก็ต้องมีความรู้อย่างหนึ่งซึ่งดีมากกว่าเด็กๆ คือความรู้ เรื่องความสุข ความทุกข์ เรื่องจิต เรื่องใจที่จะเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไรนี่เอง เราจะต้องรู้ดีกว่าเด็กๆ ที่เกิดมาแล้วร่ำเรียนมากกว่าเราเป็นแน่นอน เพราะว่าเด็กนั้นมันเพิ่งจะเกิดมา มันก็รู้จักแต่เรื่องของกิเลสตัณหาอย่างหยาบ อย่างละเอียด ไปตามเรื่องตามราวของการสั่งสอนสมัยนี้ ซึ่งไม่มีการสั่งสอนเพื่อให้ควบคุมกิเลสตัณหาเสียเลย แต่ว่าเรานั้นได้เข้าโรงเรียนของพระพุทธเจ้ามาตั้งแต่เกิดจนกระทั่งศีรษะหงอกแล้ว เราก็มีความรู้จากโรงเรียนของพระพุทธเจ้าในทางที่จะควบคุมกิเลสตัณหามากกว่าเด็กๆ เหล่านั้นเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ส่วนนี้เองเรามีพอที่จะตักเตือน หรือจะควบคุมลูกหลานให้เดินไปตามร่อง ตามรอย ตามทำนองคลองธรรมของพุทธบริษัท เราอย่าได้เข้าใจผิด แล้วทำผิดในเรื่องนี้เป็นอันขาด การที่เด็กๆ เตลิดเปิดเปิงไปตามวิชาความรู้สมัยใหม่นั้น มันต้องไปเป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้นโดยแน่นอน มันจะสวยอย่างไร มันจะรวยอย่างไร มันจะรู้มากอย่างไร มันก็ยิ่งเป็นทาสของกิเลสตัณหามากขึ้นเท่านั้น หรือเพียงนั้น หรือตามนั้นโดยไม่ต้องสงสัย เพราะมันเรียนกันเพื่ออย่างนั้น และมันก็จะต้องเป็นทุกข์มากกว่าที่ปู่ย่าตายายของมันเคยเป็นมา และเราจึงไม่ปล่อยให้เป็นไปแต่อย่างนั้นอย่างเดียว เราจะต้องอบรมมันตั้งแต่เล็กๆ ว่าคนเรานี้มันมีสองซีก คือร่างกายซีกหนึ่ง จิตใจซีกหนึ่ง ร่างกายนั้นมันเป็นซีกของกิเลสตัณหาหรือพญามาร จิตใจนั้นมันเป็นซีกของธรรมะ หรือของพระ เราจะต้องควบคุม เอ่อ, กันให้ดี และแยก เอ่อ, กันให้ดี และจับให้ถูกทั้งสองซีก มันจึงจะเป็นมนุษย์ทั้งสองซีก คือเป็นมนุษย์ทั้งกายและทั้งใจ จึงจะได้เป็นมนุษย์ชนิดที่ไม่ตกนรกทั้งเป็น ไม่ลุ่มหลงหัวเราะเหมือนคนบ้าอยู่ตลอดเวลา นั่นก็หัวเราะ นี่ก็หัวเราะ สนุกสนานรื่นเริงเรื่อย แต่หารู้ไม่ว่ามันหัวเราะด้วยความเป็นทาสของกิเลสตัณหา ไม่ใช่หัวเราะด้วยชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่ชนะกิเลสตัณหา มันโง่เง่าต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า มันจึงโง่เง่าต่อชัยชนะของพระพุทธเจ้า มันไม่ชอบจะชนะอย่างชนะ อ้า, อย่างพระพุทธเจ้าชนะ แต่มันไปชอบชนะอย่างกิเลสตัณหาชนะ คือว่าได้ทำอะไรตามใจตัว ทางรูป ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรส ทางสัมผัส ได้ตามใจตัวแล้วมันถือว่าเป็นความชนะ เป็นชัยชนะ ที่แท้นั้นเป็นความพ่ายแพ้อย่างยับเยิน คือพ่ายแพ้แก่กิเลสตัณหา สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้อง เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอกต่อโลกนี้ ต่อสังคม แต่ที่แท้ก็ต่อตัวมันเอง คือมันรู้ว่าทำอย่างนั้น มันผิดแน่ ผิดธรรมะแน่ แต่มันบังคับไม่ได้ มันก็ทำ แล้วมันก็ปกปิดไว้ แล้วมันก็มีพวก มีเพื่อนเป็นอันมากที่จะทำกันอย่างนั้น มันก็เลยเป็นสมาชิก หรือเป็นสมุน เป็นลูกน้องของพญามารกันไปทั้งหมด โลกนี้มันก็จมลงทันที คือในทางจิตใจแล้วหาความเป็นมนุษย์แทบจะไม่พบ ผลมันจึงเกิดขึ้นในทางที่จะต้องเบียดเบียนตนเอง เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนผู้อื่นนั้น หมายถึง ถ้านับตั้งแต่เบียดเบียนบิดามารดาของตนเป็นต้นไปทีเดียวจนถึงผู้อื่นจริงๆ จนถึงได้รบราฆ่าฟันกันด้วยเลือดด้วยเนื้อ ไม่มีหยุด ไม่มีหย่อน เพื่อจะชิงกันเป็นทาสของกิเลสตัณหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ มันอวดเก่งกันว่าใครจะเป็นทาสของกิเลสตัณหาได้มากกว่าใครต่างหาก นี่แหละขอให้คิดดูถึงข้อที่ลูกหลานของเราในอนาคตกำลังจะเป็นอย่างไร เราควรจะตักเตือนมันไว้บ้าง ถ้าตัก ตักเตือนดี มันก็คงจะเชื่อฟังบ้าง และมันคงจะได้รู้จักจับ รู้จักทำให้เป็นไปในทางที่ถูกทั้งสองฝ่าย คือทั้งทางฝ่ายกาย และฝ่ายใจ คือทั้งทางฝ่ายโลกและทั้งทางฝ่ายธรรม มันจะมาเป็นเนื้อเป็นตัวของมันเอง ไม่เป็นทาสของกิเลสตัณหา หรือว่าอีกทีหนึ่งมันก็จะมาเป็นทาสของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกับที่ปู่ย่าตายายของมันได้เคยเป็นมาแล้ว แล้วมันก็จะได้รับความสุขสวัสดี เอ้อ, โดยแน่นอน มันจะมีชัยชนะเหมือนที่พระพุทธเจ้าชนะ อยากจะระลึก เอ้อ, อยากจะเตือนให้ระลึกนึกถึงสิ่งที่น่าหัวเราะสักอย่างหนึ่งว่า ชัยชนะของพระพุทธเจ้านั้น หมายถึง ชัยชนะมาร มีชัยชนะเหนือมารโดยเด็ดขาด เราเรียกว่าชัยชนะของพระพุทธเจ้า เราเรียกกันว่า ชยันโต คือบทสวด ชยันโต โพธิยา มูเล อะไรเหล่านี้ ซึ่งมีใจความว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ชนะมารที่โคนต้นโพธิ์ อย่างนั้น อย่างนั้น นี้เป็นการซร้องสรรเสริญชัยชนะของพระพุทธเจ้า แต่แล้วมีพวกคนโง่ๆ เอาชัยชนะนี้มาสวดให้แก่คนแพ้ เหมือนพระที่อยู่ไม่ได้จะต้องสึก เป็นการพ่ายแพ้ เขาก็สวดชยันโตให้ เหมือนคนจะแต่งงานกัน ซึ่งเป็นเรื่องพ่ายแพ้แก่กิเลส เขาก็สวดชยันโตให้ แต่คนที่จะทำตนให้มีความชนะแก่กิเลสนั้นไม่มีใครสวดชยันโตให้เลย คิดดูอย่างนี้ เอ้อ, มันก็จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าหัวเราะคนโง่เง่าเหล่านี้ ที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่า ชัยชนะ นั้นมันหมายถึงอะไรกัน อะไรเป็นความพ่ายแพ้ และการตกไปเป็นทาส อ้า, ของกิเลสตัณหา นี้เรียกว่าใครเป็นผู้ก่อตั้งสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาให้เดินกันผิดๆ ก็ ก็ไม่มีทางที่จะกล่าวเป็นอย่างอื่น นอกจากจะกล่าวว่า กิเลสพญามารนั่นเองมันได้เปรียบแล้ว มันล่อลวงได้สำเร็จแล้ว มันจึงชักจูงคนไปได้มากถึงอย่างนี้ ในการที่จะให้ไปเป็นสมุน ไปเป็นลูกน้องของมันมากขึ้น จนกระทั่งถึงกับหลอกเอาบทชนะ เอ้อ, บทที่แสดงชัยชนะของพระพุทธเจ้ามาอวยพรให้แก่คนที่พ่ายแพ้เป็นสมุน เป็นลูกน้องของมันได้ดังนี้ ถ้าเรามีสติปํญญาเพียงพอ สืบสวนในข้อนี้ดูให้ดีแล้ว เราควรจะจัดจะทำให้ถูก ให้เหมาะสมยิ่งไปกว่านี้ อย่ามัวแต่เห่อๆ ตามๆ กันไป คนหนึ่งทำอย่างไร แปลกดี คนหนึ่งก็อยากจะทำอย่างนั้นบ้าง มันไม่เข้าถึงความหมายของสิ่งที่ตัวกระทำ มันกลายเป็นทำให้เกิดการถอยหลังเข้าคลองไปเป็นทาสของกิเลสตัณหาหรือพญามารมากยิ่งขึ้นนั่นเอง แล้วผลที่เกิดขึ้นก็คือเด็กๆ ก็จะไม่เคารพบิดามารดา ไม่นับถือบิดามารดาว่าเป็นผู้มีบุญคุณ มันมีความรู้เลิศลอยไปทางไหนแล้วก็ไม่รู้ จนนับถือบิดามารดาที่กำลังทำไร่ทำนาอยู่นี้ไม่ได้ มันไม่เชื่อฟัง มันไม่บูชาความคิดความเห็นหรือความต้องการของบิดามารดาเหล่านี้เลย ทั้งๆที่บิดามารดานี้ได้เกิดมันมา ได้ส่งมันไปศึกษาเล่าเรียน กระทำทุกอย่างเพื่อให้เออ,ได้ตามที่มันต้องการ แต่แล้วความรู้สึกกลับเดินไปในทางที่ว่าบิดามารดาไม่มี ครูบาอาจารย์ไม่มี เป็นมิจฉาทิฏฐิไปดังนี้ นี่มันเป็นการแสดงให้เห็นว่าชัยชนะได้อยู่ข้างฝ่ายพญามารเป็นอันมากแล้ว และกำลังเป็นยิ่งขึ้นทุกที เพราะว่าลูกหลานของเราในอนาคตนั้นกำลังไปสมัครเป็นพรรคพวกของพญามารมากขึ้น แทนที่จะมาเป็นสมัครพรรคพวกของพระพุทธเจ้าเหมือนกับบิดามารดาปู่ย่าตายายของมันนั่นเอง เด็กๆ เหล่านั้นจะลบล้างสถาบันของบิดามารดาลงไปโดยสิ้นเชิงก็ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า อย่าได้คิดสงสัยเลย ถ้าอาการทำนองนี้มันเป็นไปหนักเข้าแล้ว เด็กๆก็จะไม่คิดว่าบิดามารดาเป็นผู้มีบุญคุณ จะคิดว่าบิดามารดาอาศัยความสนุกส่วนตัวต่างหาก จึงทำให้เขาเกิดขึ้นมา แล้วมันจึงเป็นหน้าที่จำเป็นผูกมัดบิดามารดาให้ต้องเลี้ยงดูเขา ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ไม่ใช่เป็นผู้มีบุญคุณ ดังนี้เรียกว่า ผู้ที่ล้มล้างสถาบันของบิดามารดาลงไปโดยสิ้นเชิงแล้ว คำว่าบรรพบุรุษก็สิ้นสุดลงที่ตรงนี้โดยน้ำมือของเด็กๆ เหล่านี้ ไม่มีความหมายอยู่ในโลกนี้อีกต่อไป เราทั้งหลายจงได้สำนึกถึงอนาคตภัย คือ ภัยอันจะมาในอนาคตข้างหน้า ว่าจะต้องมีอย่างหนึ่งดังนี้โดยแน่นอน ถ้าใครยังนับถือธรรมะ ยังบูชาธรรมะอยู่ ก็จงต่อต้านป้องกันไว้ตามสมควร ไม่ใช่คิดว่าจะเพื่อประโยชน์แก่ลูกแก่หลานนั้นอย่างเดียว แต่ควรจะคิดว่าเพื่อประโยชน์แก่ธรรมะด้วย ธรรมะกำลังจะตาย จะสูญหายจะไม่มีเหลืออยู่ในโลกเพราะเหตุนั้น เราจึงต่อสู้ต้านทานที่จะให้ธรรมะยังคงมีเหลืออยู่ในโลกนี้ อย่าให้ต้องทำบุญตักบาตรส่งท้ายธรรมะที่สาปสูญไปจากโลกเลย ธรรมะควรจะอยู่เป็นคู่โลกเพื่อเป็นที่พึ่งของโลกจนตลอดไป และสำเร็จได้ด้วยการที่เราอบรมอนุชน ลูกหลานของเราในอนาคตนั้นให้ถูกวิธี ให้เป็นไปในทางที่จะช่วยกันสืบอายุของธรรมะให้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ ตาแก่ ยายแก่ที่โง่ๆ ตามใจลูกหลานอย่างไม่ประสีประสานั่นแหละ ขอให้รู้ไว้เถิดว่าคนแก่ๆ เหล่านั้นมีส่วนในการทำให้ธรรมะนั้นสูญหายไปจากโลกโดยเร็ว เพราะร่วมมือกันกับเด็กๆที่ไม่มีความรู้ ไม่ประสีประสา แต่ตาแก่ยายแก่ที่หนักแน่นมั่นคงในธรรมะ ต่อสู้ขัดขวางทุกวิถีทางที่ไม่ให้ดิ้นรนออกไปนอกแนวของธรรมะนั่นแหละ ชื่อว่า ผู้ที่ช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ เพื่อเป็นที่พึ่งของคนในโลกนี้ตลอดกาลนาน เรียกว่าเป็นผู้ที่ได้บำเพ็ญกุศลอันใหญ่หลวงเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ทั้งปวงทีเดียว ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่เราจะต้องศึกษา สะสาง เกี่ยวกันกับเรื่องบรรพบุรุษทั้งข้างหน้าและข้างหลัง เพราะ ว่าเราเองอยู่ตรงกลาง เรามีบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วเป็นตัวอย่างที่ดี และเราก็จะตั้งตัวในฐานะเป็นตัวอย่างที่ดีของลูกของหลานอันจะมาในอนาคต และไม่ช้าเราก็จะเป็นปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว ซึ่งลูกหลานในอนาคตจะต้องปฏิบัติอย่างเดียวกัน รักษาคลองธรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้เอาไว้ให้ได้ และก็จะอยู่กันเป็นผาสุกทุกคนทีเดียว และนั่นแหละคือประโยชน์อย่างยิ่ง คือประโยชน์อันแท้จริงของพระธรรม ของศาสนา หรือของพระรัตนตรัย ตลอดลงมาจนกระทั่งถึงขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามของพุทธบริษัททั้งหลาย หวังว่าท่านทั้งหลายทุกคนจะได้นำไปคิด ไปนึกพิจารณาดูให้เป็นอย่างดีในข้อนี้ แล้วพยายามทำให้ดี ให้งาม ให้สุดความสามารถของตนเถิด จะเป็นการกระทำที่มีค่าอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่าการกระทำที่เป็นไปเพียงเพื่อปาก เพื่อท้องซึ่งคนบางพวกบูชากันเป็นนักเป็นหนา จนกระทั่งลืมไปว่าตนจะต้องทำอะไรอีกบ้าง จนกลายเป็นว่าเกิดมาทำเพื่อปากเพื่อท้องอย่างเดียวก็พอแล้ว นั่นแหละคือเกิดมาเพื่อเพิ่มสมาชิกของพญามารให้มากขึ้น ไม่มาเพิ่มจำนวนสมาชิกของพระพุทธเจ้า อ้า, สมาชิกของสาวกของพระพุทธเจ้าให้มากขึ้นได้เลย ถ้าลองคิดดูสักนิดหนึ่งว่า การกล่าวว่าเป็นสมาชิกของพญามารกับเป็นสมาชิกของพระพุทธเจ้านั้น มันมีความหมายอย่างไรแก่พวกเราที่นี่ อันไหนเป็นสิ่งที่น่าสะดุ้งน่าขยะแขยงน่าอับอายขายหน้า ขอให้คิดดูเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว และไม่ต้องการคำอธิบายอะไรมากมายไปกว่านี้ ก็จะพอทำให้เราสะดุ้งหรือกลับตัวกันเสียใหม่ ช่วยกันใหม่ ช่วยกันไปในทางที่จะรื้อฟื้นหรือปรับปรุงส่งเสริมพระศาสนาอันเป็นที่พึ่งของเราให้ตั้งอยู่อย่างมั่นคง เสมือนกับว่ามีเราทุกคนๆ นี่แหละเป็นเครื่องค้ำยัน อุปมาข้อนี้เปรียบให้เห็นได้เหมือนกับต้นโพธิ์ บางต้นที่อายุมากทอดกิ่งออกไปไกลจากโคนต้น จนต้องเอาไม้ค้ำไว้ ค้ำไว้ ค้ำไว้ เต็มไปด้วยไม้ค้ำนับได้ร้อยได้พันก็มี ถ้าไม่ค้ำกิ่งมันหักลงมา มันอยู่ได้ด้วยไม้ค้ำสำหรับต้นโพธิ์ต้นนั้น นั่นแหละเหมือนกันกับที่พระศาสนาของเรา ที่จะแผ่ไพศาลออกไปเป็นประโยชน์แก่มหาชนไม่จำกัดหน้า ชาติ จำกัด อ้า, ไม่ ไม่จำกัดชาติ ไม่จำกัดสถานที่ได้ ก็ด้วยคนทุกคนช่วยกันเป็นเหมือนกับไม้ค้ำ คือว่าเราจะต้องเอาใจใส่ เราจะไม่เอาใจใส่นั้นมันก็เหมือนกับการปลดไม้ค้ำหรือไม่สนใจที่จะค้ำ มันก็ต้องหักลงมาคือสาปสูญไปนั่นเอง แต่ถ้าทุกคนช่วยกันทำให้เป็นเหมือนไม้ค้ำ ต้นโพธิ์นี้ก็จะแผ่ไพศาลกว้างขวางออกไป เพราะฉะนั้นเราทุกคนจึงเป็นเหมือนกับไม้ค้ำต้นโพธิ์ ใครจะสลัดหน้าที่อันนี้ทิ้งไปก็ตามใจ แต่ถ้ามีความกระดากอายอยู่บ้างก็คงจะสลัดทิ้งไปไม่ลง คงจะนึกถึงบุญคุณของสิ่งๆนี้ซึ่งได้มีบุญคุณแก่เรา หรือแก่พวกเรา นับตั้งแต่ปู่ย่าตายายของเรามาไม่รู้ว่ากี่ชั่ว กี่สิบชั่ว หรือกี่ร้อยชั่วบรรพบุรุษมาแล้ว ลูกหลานขั้น เอ้อ, ชั้นนี้ ยุคนี้จะปล่อยให้ต้นโพธิ์นี้หักลงมาอย่างไร ก็ลองคิดดู ความกตัญญูหรือความไม่กตัญญูมันจะมีหรือไม่มี อยู่ที่ตรงนี้หรือไม่ ขอให้ลองคิดดู และเราก็กำลังพูดถึงเรื่องความกตัญญู ความกตัญญูต่อคนนั้น ความกตัญญูต่อคนนี้ ถ้าใครว่าเราเป็นคนอกตัญญู เราก็โกรธ เรารู้สึกคล้ายกับว่าถูกด่าอย่างรุนแรง แต่แล้วเราเป็นอย่างไร เราเป็นคนกตัญญูจริงหรือไม่ เราจงสอบสวนตัวเราเองดูด้วยข้อความดังกล่าวมาแล้วนี้เถิด ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่เห็นว่าควรจะปรารภ หรือควรจะนำมาปรารภแก่ท่านทั้งหลายทุกคนที่เป็นพุทธบริษัท ที่มีความหวังดี ตั้งใจดีต่อพระพุทธศาสนาหรือต่อโลกเป็นส่วนรวม ซึ่งรวมทั้งตัวเองด้วย หรือแม้แต่ว่าบางคนที่จะเห็นแก่ตัวตนข้างเดียวแต่ที่เป็นไปในทางดีแล้ว ก็จะต้องระลึกนึกถึงสิ่งที่กำลังกล่าวนี้เป็นอย่างยิ่งด้วยกันทั้งนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายจงได้นำไปพินิจพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเกิดผลที่ประเสริฐสูงสุดอย่างยิ่งเกินกว่าค่าที่ได้กล่าวมาเหน็ดเหนื่อย มาประชุมกันที่นี่ มาบำเพ็ญบุญในวันนี้ ได้บำเพ็ญบุญกุศลทุกอย่างทุกประการที่เป็นภายนอกแล้ว จงได้บำเพ็ญบุญกุศลชนิดที่เป็นภายใน หรือชนิดที่มองไม่เห็นตัวดูบ้าง ซึ่งเป็นบุญกุศลที่ประเสริฐยิ่งไปกว่านั้นอีก แล้วผลก็จะเกิดขึ้นเป็นการถาวรและแผ่ไพศาลกว้าง กว้างขวางเหมือนต้นโพธิ์ที่กล่าวนั้นได้จริง ว่าบุคคล มนุษย์เราในโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคตก็ยังคงมีความสงบเย็นเหมือนกับบรรพบุรุษที่ล่วงไป ลับไปแล้วโดยไม่ต้องสงสัยเลย เผอิญปู่ย่าตายายเหล่าโน้นกลับมาเห็นกันในวันนี้ ก็จะหัวเราะร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส เบิกบานใจ ในการที่ลูกหลานยังคงเป็นพุทธบริษัทด้วยดี ด้วยเหตุนี้ เท่าที่วิสัชนามาพอสรุปความได้ว่า ปู่ ลา อ่ะ, ปู่ย่าตายายของเราเป็นคนที่มีตัวกู มีของกูน้อย พวกเราจงมีความเป็นอย่างนั้นบ้าง จงได้เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความจริง ความดี ความงาม ความยุติธรรม ความถูกต้อง หรืออะไรๆ ที่เป็นธรรมะ และรักษาคุณสมบัติอันนี้ไว้ให้เข้มแข็งมั่นคงเหมือนกับที่ สิ่งที่แม้ที่เป็นแต่เพียงเกลือ มันก็ยังรักษาความเค็มของมันไว้ได้อย่างมั่นคง แล้วเราจะเลวไปกว่าสิ่งที่มีค่าไม่กี่สตางค์เช่น เกลือ นี้ได้อย่างไรกันเล่า หวังว่าจะเกิดความรู้สึกที่เป็นความกล้าหาญเข้มแข็ง ปฏิบัติหน้าที่ของตน รักษาความเป็นพุทธบริษัทไว้ได้ทุกๆ คน สมตามที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้