แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย อาตมาขอแสดงธรรม ในลักษณะที่เป็นการบรรยายทั่วๆไป ไม่ต้องทำเป็นแบบพิธีอย่างที่เรียกว่าแสดงธรรม แต่ความสำคัญมันก็มีแต่พูดกันให้รู้เรื่อง นี่ก็จะพูดเรื่องที่ได้พูดแล้วตั้งแต่ตอนเย็นบนภูเขา โดยเชื่อว่าท่านทั้งหลายส่วนมากก็ยังไม่เข้าใจ ยังไม่เข้าใจ จะพูดต่อหรือพูดเพิ่มเติมให้เข้าใจให้จนได้ คือให้สำเร็จประโยชน์ อย่าเพียงแต่ฟังจำได้ หรือเห็นด้วยเล็กๆน้อยๆมันไม่สำเร็จประโยชน์
ข้อนี้ก็คือเรื่องพระพุทธเจ้า มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง จะเรียกว่าทุกปรมาณู ทั้งจักรวาลก็ได้ แต่เอากันว่าทุกขุมขนของคนแต่ละคนๆก็ยังดี ข้อนี้จะต้องพูดย้อนมาตั้งแต่ว่า โดยหลักทั่วไปพระพุทธเจ้าตรัสว่า เห็นธรรม หรือเห็นธรรมะ เห็นธรรม หรือเห็นธรรมะ ชื่อว่าเห็นเรา เห็นตถาคต เห็นเนื้อ เห็นตัว เห็นร่างกาย จับชายจีวรไว้ ไปไหนไปด้วยกัน ไม่ยอมปล่อย ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา บางคนก็เข้าใจไม่ได้ ทำไมเรียกว่ายังไม่เห็นเรา ก็จับตัวไว้อย่างนั้นยังไม่เห็นเรา ยังไม่เห็นตถาคต ข้อนี้ก็ว่าเห็นเรา เห็นตถาคตชนิดนั้นนะ มันยังไม่สำเร็จประโยชน์ ช่วยฟังให้ดี เห็นตัว เห็นองค์พระพุทธเจ้าที่เดินไปเดินมาอยู่ในอินเดียนั่นนะ ยังไม่สำเร็จประโยชน์ ชาวอินเดียเป็นอันมากในครั้งพุทธกาลเห็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้นแหละ แต่ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ไม่เชื่อด้วย เกลียดก็มี เป็นศัตรูก็มี นี่ขอให้คิดดู
เพียงแต่เห็นตัว เห็นองค์ เห็นร่างกายนั้น ไม่สำเร็จประโยชน์ ยิ่งอ่านแต่ในหนังสืออ่านแต่เรื่องราว เหมือนที่พวกฝรั่งทั้งหลายมันรู้จักพระพุทธเจ้าแต่เพียงว่าเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์คนหนึ่ง อันนี้ยิ่งไม่สำเร็จประโยชน์ พวกที่เห็นเนื้อ เห็นตัว ยังไม่สำเร็จประโยชน์ ต่อให้เอากระดูกมากอดไว้ ก็ไม่เห็นประโยชน์ เอาพระธาตุมากอดไว้ ก็ไม่เห็นประโยชน์ เอาพระพุทธรูปมาแขวนคอ มันก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์ เห็นเนื้อ เห็นตัว เห็นร่างกาย เดินไปมาอยู่แท้ๆนี่ ประมาณว่าหลาย ๑๐ เปอร์เซ็นต์ที่เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ได้เกิดในอินเดียพ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า เพราะว่ามีคนเป็นอันมากทำตนเป็นข้าศึกต่อพระพุทธเจ้า แล้วเป็นผู้ที่เฉยๆ ไม่ชอบ ไม่เชื่อ นี่ก็แยะไปหมด นี่คือข้อที่ว่าเห็นเนื้อ เห็นตัว เห็นร่างกาย เห็นอะไรอย่างนี้ ไม่สำเร็จประโยชน์
ทีนี้ก็จะขอตัดบทว่านั่นมันไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง นั่นนะมันไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าจึงปฏิเสธเสีย พระพุทธเจ้าเองท่านปฏิเสธเสีย ไม่ๆๆไม่ใช่เห็นเรา ไม่ใช่เห็นตถาคตหรอก การได้เห็นองค์ที่เดินไปเดินมาได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจ ว่าทำไมพระองค์จึงปฏิเสธเนื้อตัวพระองค์ว่ายังไม่ใช่ตถาคตหรือองค์พระพุทธเจ้า ได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังด้วย ได้ฟังมาโดยตรงด้วย ก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์ ก็มีเป็นอันมาก ไอ้คนที่ได้ฟังแล้วเห็นธรรมะนั่นๆ จึงสำเร็จประโยชน์ และได้เห็นพระพุทธเจ้า หรือได้รับประโยชน์ ได้ตรัสรู้ตาม
เพราะฉะนั้นการเห็นพระพุทธเจ้า มันจึงมีหลายชนิด หลายความหมาย เห็นร่างกายๆนี้ก็อย่างหนึ่ง เห็นธรรม ในความหมายที่ว่าเห็นธรรมก็อย่างหนึ่ง ให้ชัดเจนลงไปเฉพาะเจาะจงว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท จึงชื่อว่าเห็นธรรมชนิดที่เห็นพระองค์ เมื่อตอนเย็นก็พูดกันมามากพอแล้วว่าเห็นปฏิจสมุปบาทๆ ก็ได้ชื่อว่าเห็นธรรมชนิดที่เห็นพระองค์ เอ้า, ตั้งต้นมาใหม่ตั้งแต่ว่าเห็น พระพุทธเจ้า ที่เป็นบุคคล เป็นเนื้อ เป็นหนัง เดินไปเดินมา เป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ เกิดที่นั่นเกิดที่นี่ มีบุตร มีภรรยา มีบุตรตายแล้ว เผาแล้ว ตายแล้ว เผาแล้ว เหลือแต่กระดูกแล้ว นั่นพระพุทธเจ้าองค์นั้นเป็นอย่างนั้น คล้ายๆกับจะตรัสว่านั่นมันเป็นเปลือกๆ เปลือกนอก เปลือกหุ้ม ยังไม่เห็นธรรม
ธรรมะคือความจริงของธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ ไม่มีการประสูติ ไม่มีการตรัสรู้ ไม่มีการนิพพาน นี่ถ้าพูดอย่างนี้มันจะเข้าใจดี มันจะกันลืมได้ พระพุทธเจ้าองค์ที่ไม่มีการประสูตินะ ไม่เป็นลูกคนนั้น ไม่เป็นหลานคนนี้ ไม่ไปอยู่ที่เมืองนั้น เมืองนี้ แล้วไม่ไป ไม่ได้ตรัสรู้ แล้วก็ไม่ได้นิพพานด้วย พระพุทธเจ้าองค์นั้นนะอยู่ที่ไหน ก็คือสิ่งที่พระองค์เรียกว่าธรรม ธรรมะ เห็นธรรมคือเห็นเรา เห็นเราคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเรา ธรรมะในที่นี้ก็คือกฎของธรรมชาติ กฎของธรรมชาตินี่มีมากมายๆเหลือเกิน กฎไหนที่ว่าเห็นแล้วชื่อว่าเห็นๆพระองค์ มันคือกฎเรื่องดับทุกข์ได้ เกิดทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร ความจริงนั่นแหละเรียกว่าธรรมะ เป็นความจริงของธรรมชาติ มีตลอดอนันตกาลนิรันดร เป็นของธรรมชาติ ไม่มีเกิด ไม่มีดับ ถึงว่าไม่ได้ประสูติๆไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้นิพพาน ธรรมอันนั้นที่เห็นว่าดับทุกข์กันอย่างไร จะเรียกว่าอริยสัจสี่ จะเรียกอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่ทีนี้มันมีพระบาลีอีกตอนหนึ่งระบุชัดว่า เห็นปฏิจสมุปบาทนั้นชื่อว่าเห็นธรรม ทีนี้ให้แคบเข้ามา ให้แคบเข้ามา ให้ชัด ให้แคบเข้ามาอีกว่า ธรรมคือปฏิจสมุปบาท ทีนี้มันก็เจาะจงชัดลงไปที่ปฏิจสมุปบาท ไม่กว้างๆทั่วๆไป ซึ่งมันต้องพูดกันหลายคำ คำทั่วๆไป ที่เรียกว่าความจริงของธรรมชาติ กฎธรรมชาติ หน้าที่ธรรมชาติ อะไรก็ตามรวมๆก็เรียกว่าธรรมทั่วๆไปก็ได้ นี่ก็เป็นความหมายหนึ่งที่ว่า เห็นแล้วก็เท่ากับๆเห็นพระพุทธเจ้า
เดี๋ยวนี้จะให้เห็นชัดลงไป ถือเอาตามพระบาลีที่ว่าเห็นปฏิจสมุปบาท มันค่อยยังชั่วนะ ค่อย ๆดี ค่อยยังชั่วที่ว่าเราได้พูดเรื่องนี้กันมาหลายปีแล้วนะ คนยังพอจะรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องอิทัปปัจจยตากันบ้าง เพราะว่าเราได้พูดกันมาหลายปีแล้วนี่ ใครๆก็เป็นพยาน ลองไปพูดในหมู่คนที่ไม่เคยฟังเรื่องปฏิจจสมุปบาท ไม่เคยฟังเรื่อง อิทัปปัจจยตา มันจะไม่รู้อะไรเลย มันก็ไม่รู้อะไรเลย มันจะไม่เข้าใจอะไรเลย นี่ดีแต่ว่าชาวสวนโมกข์มันได้ยิน ได้ฟังเรื่องนี้มาบ้างแล้ว ปฏิจจสมุปบาทคืออะไร อิทัปปัจจยตาคืออะไร ก็มาสนใจให้มันถูกจุด ถูกหัวใจของมันว่าปฏิจสมุปบาทคืออะไร ก็ได้พูดแล้วตอนกลาง ตอนๆเย็นใช่ไหม กลางวันว่า ปฏิจสมุปบาทคืออาการๆ หรือภาวะ หรืออาการ ที่มันได้อาศัยกันๆแล้วเกิดขึ้นมา แล้วอาการที่มันได้อาศัยกันๆแล้วค่อยดับลงไป ถ้าเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท มันหมายแต่เพียงว่า อาการอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น แต่ถ้าพูดว่าอิทัปปัจจยตาแล้วกินความหมดทั้งเกิดขึ้นและดับลง แต่ถึงอย่างไรก็ดี เราจะใช้คำว่าปฏิจจสมุปบาทนี่ให้คู่กันกับคำอีกคำหนึ่งว่า ปฏิจจนิโรธๆ ปฏิจจนิโรธะ ปฏิจจสมุปปาทะ (นาทีที่ 11:53) นี่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ปฏิจจนิโรธะ (นาทีที่ 12:06) อาศัยกันแล้วดับลง แต่คำนี้ไม่ค่อยได้ยินๆ แต่ตัวบทมันมี ตัวสูตรมันมี คือปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับ อวิชชย ตเวว อเสสวิราคนิโรธา สงขารนิโรโธ สงขารนิโรธา วิญญาณนิโรโธ วิญญาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ นามรูปนิโรธา สฬายตนนิโรโธ สฬายตนนิโรธา ผสสนิโรโธ ผสสนิโรธา เวทนานิโรโธ เวทนานิโรธา ตณหนิโรโธ ตณหนิโรธา อุปาทานิโรโธ อุปาทานิโรธา แล้วก็ดับไป ก็หมดทุกข์ นี่เรียกว่าปฏิจจนิโรธะ (นาทีที่ 13:08) คู่กันตรงกันข้ามว่าปฏิจจสมุปปาทะ (นาทีที่ 13:13) แม้ว่าพระพุทธองค์จะตรัสว่าอาศัยๆคำปฏิจจสมุปบาท แต่มันก็หมายความปฏิจจนิโรธะ (นาทีที่ 13:29) ด้วย เพราะมันคู่กัน มันแยกๆกันไม่ได้ เพราะในตัวปฏิจจสมุปบาท มันมีหลายขั้นตอนเลื่อนขึ้นไป มันก็มีการดับอยู่ในตัว อันแรกต้องดับไปก่อนอันหลังจึงจะเกิดขึ้น มันก็มีทั้ง นิโรธ ทั้งปฏิจจ ทั้งๆสมุปปาทะ ทั้งนิโรธะ สลับกันไป
จึงขอสรุปความว่า อาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาการที่อาศัยกันแล้วดับลง เห็นอาการนี้ๆมันเห็นความจริงสูงสุด ความจริงที่สุด ความจริงเด็ดขาดที่สุด ของธรรมชาติที่มีอยู่ทั่วไป ทั่วไปหมดในทุกๆปรมาณู ที่นั่งอยู่นี่บางคนคงจะฟังไม่ถูกกับคำว่าปรมาณูคืออะไร คือส่วนเล็กที่สุดที่มันจะแบ่งออกไปได้ แบ่งไม่ได้อีกแล้ว ส่วนเล็กที่สุดเรียกว่าปรมาณู หลายๆปรมาณูก็ก่อกันขึ้นมาก็เป็นกลุ่มน้อยเรียกว่าอณู หลายๆอณูประกอบกันขึ้นมาก็เป็นธาตุ เป็นธาตุ หลายๆธาตุประกอบกันขึ้นมาก็เป็นสิ่งใหม่ๆแหวกออกไป ในทุกอณูก็ได้ ในทุกปรมาณูก็ยิ่งดี มีอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาการที่อาศัยกันแล้วดับลง ขอความรู้นักวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ ทางเคมี อะไรก็ได้ ช่วยอธิบายเรื่องนี้ยิ่งดี เพราะมันมีแต่การอาศัยกันแล้วเกิดสิ่งออกมา สิ่งที่หลายสิ่งมันเข้ามาอาศัยกันแล้วมันเกิดสิ่งใหม่ออกมา สิ่งใหม่ก็แปลกออกไป สิ่งแปลกออกไปก็มาอาศัยกันอีก พอเกิดสิ่งใหม่แล้ว แปลกออกไปนี่มันเป็นอย่างนี้
นี่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ที่มีอยู่จริง พวกที่เขาถือว่ามีพระเจ้า เขาก็ว่าพระเจ้าสร้าง พระเจ้าบันดาล พระเจ้ากำหนด ให้เป็นอย่างนั้น เขาว่าๆได้ แต่ชาวพุทธเราไม่มีพระเจ้า ก็เรียกมันเป็นเช่นนั้นเองๆ มันเป็นตถตา ตถาตา มันมีความเป็นเช่นนั้นเอง โดยกฎของธรรมชาติ ตามกฎของธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับพระเจ้า ไม่เกี่ยวกับเทวดา ไม่เกี่ยวกับผีสางอะไรที่ไหน ไม่เกี่ยวกับอำนาจของดวงดาว โหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆในเมืองมนุษย์นี้ ไม่เกี่ยวกับการกระทำของมนุษย์ มันเกี่ยวกับของธรรมชาติล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับความมั่งมี หรือความยากจน เช่นจะพูดว่าถ้ามั่งมีเสียแล้วไม่ต้องเป็นอย่างนี้ ถ้ายากจนแล้วจะต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ก็ไม่ใช่ เรียกว่ามันไม่เกี่ยวกับอะไรหมด ไอ้ความที่มันต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ไม่เกี่ยวกับอะไรหมด มันเกี่ยวกับธรรมชาติ เกี่ยวกับกฎของธรรมชาติ ตามอำนาจของธรรมชาติ แต่พวกที่ถือพระเจ้า มีพระเจ้า เขาก็ไม่ยอมหรอก เขาก็ต้องว่าพระเจ้าแหละ เราก็ไม่ทะเลาะกันให้ป่วยการ คุณว่าพระเจ้าก็ตามใจ ฉันว่ากฎของธรรมชาติ ฉันจะมีพระเจ้าบ้างก็ได้ แต่ฉันเอากฎของธรรมชาติเป็นพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าอย่างบุคคล เราจะมาทะเลาะกันให้ป่วยการ ให้เจ็บปวดทำไม
เรารู้จักใช้ประโยชน์ของสิ่งเหล่านี้ คือรู้แล้วดับทุกข์ได้ ถ้าคุณว่าเป็นพระเจ้าอย่างบุคคล คุณก็อ้อนวอน สวดอ้อนวอนไปสิ ส่วนฉันว่าไม่ใช่พระเจ้าอย่างบุคคล เป็นกฎของธรรมชาติ ฉันก็พยายามและทำให้มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาตินั่นแหละ จะเรียกว่าอ้อนวอนก็ได้เหมือนกัน คือพยายามทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ อ้อนวอนกันคนละอย่าง เอาละเดี๋ยวนี้เราจะต้องทำให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ เราจะยอมทุกอย่างเหมือนกับพวกที่เขาถือพระเจ้าเขายอมแก่พระเจ้าเขายอมทุกอย่างไอ้เราก็ยอมทุกอย่างแก่กฎของธรรมชาติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่ใช่ให้มันเกิดขึ้นมา ให้มันเกิดขึ้นแต่ที่ปรารถนา คือไม่เป็นทุกข์ ถ้ามันดับลงไป ก็ให้มันดับแต่ส่วนที่ไม่พึงปรารถนา ที่มันเป็นทุกข์ แล้วเราก็จะทำให้ถูกต้องๆ เข้ากันได้กับกฎนี้ที่มันเดี๋ยวเกิดขึ้นมา เดี๋ยวดับลงไป เดี๋ยวเกิดขึ้นมา เดี๋ยวดับลงไป ทำให้มันถูกต้องจนมันไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ที่เรามันรู้จักกันได้ก็หยาบๆ ที่ละเอียดถึงขั้นปรมาณูยังรู้ไม่ได้หรอก แต่มันก็เนื่องกัน มันมาจากเรื่องละเอียดที่สุดมาถึงเรื่องหยาบๆ เรามารู้กันตอนที่หยาบๆแล้ว ที่มันเป็นธาตุดิน เป็นธาตุน้ำ เป็นธาตุไฟ เป็นธาตุลม เป็นธาตุอากาศ เป็นธาตุวิญญาณ มาประกอบกันเข้าเป็นชีวิต แล้วก็มีระบบประสาท ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่ อะไรมากระทบก็มีความรู้สึก คือผัส คือสัมผัส
มันพูดได้ว่าถ้ามันมีธาตุๆธาตุทั้งหลายแล้ว ถึงอย่างไรเสียมันก็ต้องมีชีวิตขึ้นมา เมื่อมีชีวิตขึ้นมาแล้วทำอย่างไรเสียมันก็ต้องมีความรู้สึกๆ เป็นระบบที่รู้สึก เป็นอายตนะภายในขึ้นมา ทีนี้มีอายตนะภายในแล้วทำอย่างไรเสียก็ว่า ก็ต้องได้รับการสัมผัสกระทบ เพราะอายตนะภายนอกมันเต็มไปหมดๆ เมื่อกระทบแล้วทำอย่างไรเสียก็ต้องมีผัสสะ มีผัสสะแล้วทำอย่างไรเสียก็ต้องมีเวทนา ช่วยไม่ได้ ใครมันช่วยไม่ได้ ใครมันจะห้ามไม่ได้ มีเวทนาแล้วมันก็ไปตามอำนาจเวทนา ถ้าเวทนามันโง่ ก็มีตัณหาโง่ อุปาทานโง่ เป็นทุกข์ ถ้าเผอิญเป็นเวทนาฉลาด ซึ่งหาได้ยาก มันก็ไม่เกิดตัณหาโง่ มันก็ไม่เกิดอุปาทาน มันก็ไม่เกิดทุกข์ เพราะมันมีอยู่อย่างนี้ ฉะนั้นถ้าเรารู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทดี เราก็ควบคุมได้ ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ไม่ให้เกิดทุกข์ ให้มันไปแต่ในทางที่ไม่เกิดทุกข์ ข้อนี่ต้องอาศัยสติปัญญาของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้เรื่องนี้โดยแท้จริงว่าทำอย่างไรกับมัน เราจะมีความรู้หรือมีสติสัมปชัญญะในขณะแห่งผัสสะอย่างไร ในขณะแห่งเวทนาอย่างไร หรือว่าเกิดตัณหาอุปาทานแล้วอย่างไร หรือว่าไม่ให้เกิดเสียได้เลยก็เป็นดี อย่าให้มันเกิดตัณหาอุปาทาน ให้มันเกิดแต่ความต้องการที่จะไม่เป็นทุกข์ๆ มันก็ไม่เป็นทุกข์ในที่สุด มันก็ไม่เป็นทุกข์ นี่ประโยชน์ของการเห็นปฏิจจสมุปบาท ทีนี้บางคนจะคิดว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นตัวโตๆ ตัวโตๆ ตัวใหญ่ๆ เรื่องมันกลายเป็นว่ามันเล็ก มันละเอียด จนกลายเป็นเรื่องของปรมาณู ก็มีอาการของปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องของอณูที่ใหญ่ขึ้นมาก็มีเรื่องอาการของปฏิจจสมุปบาท มีเป็นธาตุขึ้นมา ธา-ตุขึ้นมา ก็มีอาการของปฏิจสมุปบาท มีลักษณะเป็นชีวิตขึ้นมาก็มีอาการของปฏิจจสมุปบาท แล้วก็มีเรื่องของอายตนะ รับอารมณ์ รู้อารมณ์ เป็นผัสสะ เป็นเวทนา นี่ยิ่งเป็นปฏิจจสมุปบาทตัวโตๆ เห็นได้ง่าย เห็นเรื่องของปฏิจจสมุปบาททุกชนิด ทุกระดับ ทุกชั้น ทุกแง่ ทุกมุม ทุกระดับ นั่นแหละคือเห็นปฏิจจสมุปบาท อย่างน้อยที่สุดมันไม่มีความทุกข์ มันไม่ต้องมีความทุกข์เพราะมันเช่นนั้นเอง มันเป็นเช่นนั้นเองจะเป็นทุกข์กับมันทำไม นี่มันจะทำให้ไอ้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายไม่เป็นเรื่องที่น่ากลัว สำหรับคนชนิดนี้
ทีนี้ถ้ามันเป็นเรื่องที่ต้องป้องกัน ต้องแก้ไข ต้องควบคุม ก็ทำได้ดี ถ้าเรารู้ๆเรื่องธรรมชาติของปฏิจจสมุปบาทดี เราก็ป้องกันก็ได้ แก้ไขก็ได้ นี่ก็เอาชนะความทุกข์ได้ เพราะมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วไม่พอหรือ ไม่พอหรือที่พระพุทธเจ้าจะตรัสว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นเราตถาคต
อาตมามีความประสงค์อย่างยิ่งที่จะให้พวกเราพุทธบริษัททั้งหลายเห็นพระพุทธองค์ เห็นพระตถาคต ได้ยิน ได้ฟัง ได้รู้เรื่องโดยตรง จากพระตถาคตแล้วก็ดับทุกข์ได้ ท่านทั้งหลายอาจจะอ่านหนังสือ อ่านหนังสือที่บรรยายไว้อย่างนี้ อย่างที่กำลังพูดนี่ก็ได้ อ่านหนังสือนั้น แต่ไม่เห็น ไม่รู้ ไม่เห็น เพราะมันเป็นเรื่องอ่านหนังสือกัน ฟังได้ จำได้ มันต้องมาทำจิตใจชนิดหนึ่งให้เห็นความจริงของธรรมชาตินี่ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องทำจิตใจชนิดที่ให้เข้าถึงความจริงของธรรมชาติ นี่เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับที่จะต้องทำสมาธิ วิปัสสนา เราจึงเพียงแต่รู้เฉยๆไม่ได้ อ่านเฉยๆไม่ได้ สอนกันเฉยๆไม่ได้ มันต้องทำสมาธิเพื่อวิปัสสนาเหมือนที่กำลังพยายามจะทำ จะสอนกันอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ก็ยังไม่มีใครสนใจกันกี่คนนัก
อุบายเครื่องดับทุกข์ พระพุทธเจ้าจะตรัสไว้ในชื่อของอริยมรรคมีองค์ ๘ พอท่านเอ่ยขึ้นว่าดับทุกข์ ออกจากทุกข์แล้วท่านตรัสอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่ทั่วไปหมด ในพระบาลี ในพระสูตรทั้งหลาย แต่ก็มีไม่น้อยเหมือนกันที่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ แต่ตรัสด้วยคำสั้นๆว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ เท่านี้เองมีเท่านี้ ไม่ได้ตรัสถึงอริยมรรคมีองค์ ๘ ๘ อย่างๆที่ท่องกัน ไม่มี ท่านตรัสถึง สมโถ จ วิปสฺสนา จ คือสมาธิและปัญญา แทนตรัสว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่เป็นเครื่องแสดงว่าเพียงแต่ได้ยินได้ฟัง เรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ มันไม่พอ มันต้องมาทำให้เป็นสมถะและวิปัสสนา ที่เป็นสมาธิและปัญญา แต่ว่าเรื่องสมาธิและปัญญานี้มี มันมีไอ้ธรรมชาติ คือ มีความลับของมัน อยู่ที่ว่ามันเกิดขึ้นมาได้ มันมีขึ้นมาได้ตามธรรมชาติ ตามธรรมดา ไม่ได้ไปนั่งทำวิปัสสนาอย่างหลับหูหลับตานั่นก็ได้เหมือนกัน เรียกว่าวิปัสสนาตามธรรมชาติ แต่มันยากที่จะเป็นได้ ท่านก็รู้วิธีที่ไปนั่งเข้าแล้วก็ทำสมาธิอย่างนั้นๆๆ และทำวิปัสสนาต่ออย่างนั้นๆ สำเร็จประโยชน์ครบถ้วนเป็นสมาธิและวิปัสสนา นี่มันจึงจะสำเร็จประโยชน์ได้แท้จริง
จะเอากันง่ายๆตามแบบของธรรมชาติ แล้วมันๆๆๆหายาก และมันเป็นไปได้ยาก และมันจะไม่ จะไม่ได้แก่ทุกคน เราจึงต้องจัดระเบียบ ทำวิปัส สมาธิวิปัสสนาโดยเฉพาะ ซึ่งในครั้งพุทธกาลก็มี ภิกษุหรือผู้ที่ต้องการจะดับทุกข์ก็ทำสมาธิ ทำวิปัสสนาตามแบบของสมาธิวิปัสสนา นี่ก็มีมากๆเหมือนกัน ทำสมาธิและวิปัสสนาครบแล้ว และอริยมรรคมีองค์ ๘ มันพลอยครบไปด้วยในตัว สำคัญอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่มันทำยาก ที่มันต้องทำโดยเฉพาะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว วายาโม นี่เป็นไปได้ง่าย หรือว่าตามธรรมชาติมันก็มีได้ง่าย นอกพุทธศาสนานี้มันก็มี พวกอื่นเขาก็มี สัมมาวาจา สัมมากัมมันโตโดยง่าย หรือโดยปกติ ต้องไปทำเติมให้มันครบถ้วนที่สัมมาสมาธิโดยเฉพาะ สัมมาสติ รักษาไว้ด้วยสัมมาวายามะ และก็นำอยู่ด้วยสัมมาทิฏฐินี่ นี่สมโถ จ วิปสฺสนา จ คำสั้นๆมันหมายความอย่างนี้
ถ้าว่าทำสมาธิสมถะวิปัสสนานี้มันเห็นปฏิจจสมุปบาทชัดเจนๆ แม้จะเป็นปฏิจจสมุปบาทที่ละเอียดในชั้นปรมาณูมันก็เห็นได้ ก็เห็นได้ด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา ดังนั้นขอให้ใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ของพระพุทธเจ้า คือสมถะและวิปัสสนา ก็จะมองเห็นปรมาณู เข้าใจปรมาณู เหมือนที่เครื่องมือของนักวิทยาศาสตร์สมัยปัจจุบันเขามี เขารู้ เขาเห็น เขาจัดการได้ เขาทำระเบิดปรมาณู ระเบิดนิวเคลียร์ได้ เพราะเขารู้เรื่องนี้ แต่ว่าเขาไม่ทำไปในทางที่ดับทุกข์ เราก็มีเครื่องมือคือสมาธิและวิปัสสนา เห็นไอ้ตัวปฏิจจสมุปบาทได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง แล้วเราก็จะเห็นพระพุทธเจ้า ชัดเจนแจ่มแจ้งในการเห็นปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง นี่ขอให้จำไว้เป็นหลัก เห็นปฏิจจสมุปบาทมากหรือน้อยเท่าไร ก็เห็นพระพุทธเจ้ามากหรือน้อยเท่านั้น ให้มันเห็นเถิด
ดังนั้นจึงมาศึกษากันในข้อที่ว่าเกิดขึ้นดับลงตามกฎของธรรมชาติ อาศัยกันและกันเกิดขึ้น อาศัยกันและกันดับลง ทั้งที่เป็นประเภทรูป และเป็นประเภทนาม คือทั้งด้านร่างกายและด้านจิตใจ ด้านรูป ด้านร่างกายก็มีส่วนเล็ก ส่วนปรมาณู ที่มันเป็นส่วนวัตถุประกอบกันขึ้นกันทางร่างกาย ส่วนจิตนี้มีภาษาอื่นเรียก ไม่ได้เรียกเป็นปรมาณูเหมือนกับภาษาวัตถุ แต่ก็มันมีลักษณะคล้ายกันแหละ คือมันจะเป็นส่วนเดียวโดดๆ ไม่ได้ มันต้องหลายส่วนประกอบกัน อาศัยกันตามลำดับเกิดขึ้น อาศัยกันเกิดขึ้นๆ อย่างนี้เขาเรียกว่าสังขาร คือการปรุงแต่ง
คำว่าสังขารแปลว่าการปรุงแต่งโดยเฉพาะ จะแปลว่าสิ่งที่ปรุงแต่งก็ได้ สิ่งที่ถูกปรุงแต่งก็ได้ ขอให้มันมีการปรุงแต่งก็แล้วกัน เพราะว่าการที่อาศัยเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงนั้นแหละเป็นอาการของการปรุงแต่ง รู้จักสังขารให้ดีก็ควบคุมได้ จะหยุดการปรุงแต่งก็ได้ เตสัง วูปสโม สุโข หยุดการปรุงแต่งเสียได้เป็นสุขอย่างยิ่ง ที่พระสวดที่ป่าช้าไม่รู้กี่ร้อยครั้ง กี่พันครั้งได้ยินกัน จนหูด้านแล้ว ก็ไม่รู้ว่า เตสัง วูปสโม สุโข หมายความว่าอะไร ก็มารู้เสียบ้างว่า เห็นว่าหยุดๆ หยุดสังขาร หยุดการปรุงแต่งนั่นแหละ มันหยุดอาศัยกันเกิดขึ้นหยุดอาศัยกันดับลง มันไม่เกิดขึ้น มันไม่ดับลง คือมันไม่ปรุงแต่งนั่นแหละ ต้องมีความรู้ลึกในระดับสมถะหรือวิปัสสนาที่สูงสุด พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ มีแล้วจะเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างลึกซึ้ง ละเอียดลออที่สุด แล้วก็ควบคุมได้ ไม่เสียเปล่า เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นพระองค์
อาตมาจึงขอร้องกันง่ายๆว่าจงฝึกหัดดู ไปทุกที่ ทุกแห่ง ทุกหน ทุกแห่ง ก็ดูให้ลึก ให้เห็นว่าในนั้นนะมันมีการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง แม้จะไม่มีชีวิตอย่างก้อนหินก้อนนี้ มันมีปรมาณู มีอะไรของมันที่ประกอบกันขึ้น แล้วมันก็เปลี่ยนแปลง หวั่นไหวอยู่เสมอ แม้จะไม่มากเหมือนสิ่งที่มีชีวิต ถ้ามีชีวิตมันเป็นไปมาก เป็นไปเร็ว เป็นไปอย่างน่ากลัว แต่แม้จะไม่มีชีวิตมันก็ยังมีปรมาณู ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ มีอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง ทำความเข้าใจร่วมมือกันกับนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายในโลกนี้ ช่วยชี้แจงให้เห็นอาศัย ให้ๆเห็นการที่มันอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงอยู่เสมอ ไอ้พวกๆที่เขาแยกปรมาณูได้ เอาไปทำระเบิดปรมาณูยิ่งเห็นชัดในฝ่ายวัตถุๆ ทีนี้ฝ่ายจิตใจก็ต้องว่ากันทางฝ่ายจิตใจ
ชีวิตเป็นทุกข์มันมีทั้งเรื่องวัตถุและเรื่องจิตใจ ชีวิตร่างกายของคนเรานี้มีทั้งเรื่องวัตถุและเรื่องจิตใจ มันต้องรู้ครบทั้งเรื่องวัตถุและเรื่องจิตใจ เอาตั้งแต่ว่ามันเกิดผสมกันในท้องมารดาระหว่างไข่กับระหว่างเชื้อบิดานี่ มันก็อาศัยกันเกิดขึ้นๆๆทุกๆอณู ทุกอะไร จนเกิดเป็นตัวเด็ก เป็นตัวทารก เป็นตัวคลอดออกมานี่ มันมีอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง ในส่วนดับ ในส่วนเกิด แล้วเกิดก่อนดับ ก็ดับ เพราะมันต้องดับก่อน มันจึงจะเกิดอันใหม่ได้ ไม่ดับอันเก่ามันเกิดอันใหม่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นอาศัยกันเกิดขึ้นๆ มันต้องมีการดับลงแทรกอยู่ในด้วย อยู่ในนั้นด้วยเสมอไป
เอาละเรื่องวัตถุล้วนๆเช่นเรื่องก้อนหินไม่ต้องไปเรียนก็ได้ แต่เรื่องที่มันมีจิตใจอยู่ด้วยคือเรื่องของคนที่มีชีวิตเป็นๆ แม้แต่เรื่องสัตว์ของเด สัตว์เดรัจฉานก็ได้ นี่ต้องรู้ให้ดีว่าอาศัยกันเกิดขึ้นอย่างไร อาศัยกันดับลงอย่างไร จนมันเกิดเป็นชีวิตขึ้นมา เกิดเป็นอายตนะภายใน เป็นระบบประสาทสำหรับรู้ทางอายตนะขึ้นมานี่ อาศัยกันเกิดขึ้น แล้วต่อไปมันจะมีผัสสะ มีเวทนา ตัณหา อุปาทาน แล้วก็อาศัยกันเกิดขึ้นๆ แต่มันมีการดับไปแห่งสิ่งที่ต้องดับไปก่อน สิ่งใหม่จึงมีโอกาสเกิดขึ้น ไม่งั้นมันจะชี้ตรงไหนมาเกิดขึ้น เป็นอันว่ามันคู่กันไปแหละ เรื่องเกิดกับดับ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ มันๆเกิดแล้ว มันๆดับแล้วมันเกิดมากออกไป ไกลออกไป แปลกออกไป มันจึงเป็นไอ้ของแปลกประหลาด สมบูรณ์มาในที่สุด อย่างที่เราเรียกกันว่าเป็นคนๆหนึ่งนี้ มันสมบูรณ์ที่สุด สำหรับจะเป็นอย่างนี้ ในตัวคนๆหนึ่งไปดูเถิด ดูที่ส่วนไหนก็ตาม มันมีอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง ดูที่ผม ดูที่ขน ที่เล็บ ที่ฟัน ที่หนัง ที่เนื้อ ที่เลือด ที่น้ำหนอง ที่กระดูก ที่อะไรทุกๆส่วน ในแต่ละส่วนนั้นมีอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยการดับลง อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง เห็นให้หมดของทุกส่วนที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายมนุษย์ แล้วก็ไปดูฝ่ายจิตใจคือผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน นั่นฝ่ายจิตใจ เห็นปฏิจจสมุปบาทครบถ้วนทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนาม คือทั้งฝ่ายกายและทั้งฝ่ายใจ ทีนี้แหละจะมีประโยชน์ อย่างน้อยก็ไม่เห็นเป็นของแปลก ไม่ๆรัก ไม่เกลียด ไม่อะไรกับมัน มันธรรมดา แล้วมันจะทำให้เกิดอาการเป็นทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่ๆเป็นทุกข์หรอก จัดการก็ได้ ป้องกันก็ได้ ที่เป็นเรื่องทางจิตใจก็ป้องกันได้ตามเรื่องของธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไร มีสติควบคุมผัสสะอย่างไร ควบคุมเวทนา ตัณหา อุปาทานอย่างไร ก็ควบคุมได้ แล้วก็ไม่เป็นทุกข์
เมื่อควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้อย่างนี้ มันไม่มีทุกข์ เพราะฉะนั้นการเห็น ปฏิจจสมุปบาทจึงมีประโยชน์ที่สุด จนพระองค์ตรัสว่าเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็เห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็เห็นเราตถาคตนี่ นี่อาตมาขออธิบายเพิ่มเติมจากที่อธิบายไว้เมื่อตอนเย็นที่บนภูเขา เรื่องเห็นพระพุทธเจ้าชนิดนี้ พระพุทธเจ้าชนิดนี้ พระพุทธเจ้าคือธรรมะ พระพุทธเจ้าคือปฏิจจสมุปบาท ที่จะเห็นได้ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง เอาแต่เพียงว่าทุกขุมขนร่างกายทั่วไปก็ยัง ก็พอ ทุกๆปรมาณูจะเกิน จะเก่งเกินนัก เอาว่าทุกๆขุมขน เหลียวไปที่ไหน เห็นที่ต้นไม้ต้นไร่ก็ทุกขุมขนของมัน สัตว์เดรัจฉานทุกขุมขนของมัน มนุษย์ทุกขุมขนของมัน คือทั่วไปทั้งตัว เก่งจริงก็เห็นหมดทุกสิ่งทุกอย่างในสากลจักรวาล เห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด พูดให้มันเตลิดเลยไปอย่างพวกนิกายเซ็นเขาพูด แม้ในของสกปรก ในกองของสกปรกก็มีอาการอย่างเดียวกันนี้ แล้วเขาก็พูดตามอิสระว่าในของสกปรกก็มีพระพุทธเจ้า เราไม่กล้าพูด เพราะเรามันยึดถือ พูดแล้วก็ถูกด่าด้วย มาเป็นอิสระกันเสียทีว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ในทุกๆปรมาณู ในทุกขุมขน เหลือบตาไปทางไหน ดูอะไร เห็นต้นไม้ก็ยิ่งๆๆๆง่าย เพราะมันมีชีวิต เห็นสุนัขนี่มันก็ยิ่งมี เห็นง่ายมันมีชีวิต แต่ถ้าเห็นในก้อนหิน ในโต๊ะ ในเก้าอี้ ในนี่มันก็ยิ่งเห็น ยิ่งเห็นยาก แต่ถ้าเรียนมันโดยเฉพาะ มันก็เห็นเหมือนกัน เพราะมันมีปรมาณู มีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยในนั้น
นักวิทยาศาสตร์อาจจะเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปในอากาศ ไม่มีที่ว่าง อาการเกิดขึ้น ดับลงของอากาศ ในอากาศที่ไม่ว่าไม่เห็นอะไรมันก็มีธาตุออกซิเจน ไฮโดรเจน อะไรก็ไม่รู้ มันก็มีธาตุ ในแต่ละธาตุมันก็มีปรมาณู มันก็มีอาการของปฏิจจสมุปบาท ถ้าเขาใช้วิธีนี้ดูกันแล้วเขาจะเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมดๆ เต็มอัดไปหมด อาการของปฏิจจสมุปบาท ทีนี้มันก็เหลืออยู่แต่ว่าเขาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ไอ้การที่เขาเห็นปฏิจจสมุปบาทของปรมาณู เขาจะเอาไปทำระเบิดปรมาณู หรือว่าเขาจะเอามาทำเป็นความรู้ ควบคุมจิตใจให้มันถูกต้อง อย่าให้มันเกิดเป็นทุกข์ขึ้นมา ความรู้นี้แล้วแต่จะเอาไปใช้ทางไหน ที่ถูกที่ควรก็เอามาใช้เพื่อดับทุกข์ รู้กันมาก รู้ให้ชัดเจน จนรู้จักควบคุมอย่าให้เป็นทุกข์ อย่าให้เกิดทุกข์ ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาททั้งเกิดและดับให้ถูกต้อง อย่าให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่าเห็นพระพุทธเจ้าอย่างไรกัน เป็นพระพุทธเจ้ายิ่งกว่าพระพุทธเจ้า คือสอนอยู่ด้วยการเห็นนั้นแหละ ปฏิบัติไม่ๆให้ทุกข์เกิดขึ้นมา สิ่งใดแสดงอาการอย่างนี้อยู่ สิ่งนั้นเป็นพระพุทธเจ้า เป็นปรมาณู เป็นอณูตัวไหนก็ตาม มันแสดงอาการอย่างนี้อยู่ มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่นๆ ที่สิ่งที่แสดงให้เห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาทที่อะไร ที่นั่นมีพระพุทธเจ้า คือสิ่งที่แสดงอาการของปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าองค์นี้ไม่ต้องประสูติ ไม่ต้องตรัสรู้ ไม่ต้องนิพพาน ไม่ต้องเป็นลูกคนนั้น เป็นหลานคนนี้ อยู่เมืองนั้น อยู่เมืองนี้ ครองเมืองที่นั่น ไม่ต้องๆ พระพุทธเจ้าองค์นี้คือกฎของปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าองค์นี้รีบเห็นกันเถิด
คำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ต้องการให้เห็นอย่างนี้ ท่านว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ไม่ค่อยเคยได้ยินใช่ไหม นี่โยมทั้งหลายเหล่านี้ไม่เคยได้ยินประโยคนี้ใช่ไหม ประโยคที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ไม่เคยๆได้ยินเพราะมันมีน้อย แต่ที่ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา นี้ค่อยมีมากหน่อย มีกล่าวไว้ในที่หลายๆแห่งแล้วสะดุดตามากกว่า
เอาละเป็นอันว่าเห็นธรรมคือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นธรรม ขอให้เห็น ปฏิจจสมุปบาทโดยแท้จริง เอาอะไรที่มันมีชีวิตมาวางไว้ตรงหน้าสักอย่างหนึ่ง เพื่อจะดูว่ามันมีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างไร พูดหยาบคายไหม เอาหมาเน่ามาสักตัวมานั่งดูๆจนมันเน่าหายไปมันก็จะเห็นปฏิจจสมุปบาท หรือว่าปลูกต้นมาขึ้นมาในกระถางสักต้นแล้วก็นั่งดูๆๆ จนมันเติบโต ใหญ่โต เป็นต้นไม้สมบูรณ์ ก็เห็นปฏิจจสมุปบาท อาการที่มันเกิดขึ้น อาการที่มันดับลง เห็น ปฏิจจสมุปบาทเถิด เห็นธรรมะแท้จริง ธรรมะเรื่องเกิดทุกข์และดับทุกข์ เห็นธรรมะที่แท้จริงคือเห็นพระพุทธเจ้า ได้ยินพระพุทธเจ้า ได้นั่งใกล้พระพุทธเจ้า ได้รับคำสั่งสอนจากพระพุทธเจ้าโดยตรง ก็ดับทุกข์ได้ ทีนี้คนที่มันเกิดอยู่ในอินเดียพร้อมสมัยกับพระพุทธเจ้าจำนวนมากมันไม่เห็นอย่างนี้ มันเห็นพระพุทธเจ้าเป็นคนธรรมดา เป็นนักบวชคนหนึ่ง ถ้าทำอะไรขัดขวางกับประโยชน์ของมัน มันก็โกรธ มันก็เกลียด ก็ด่าพระพุทธเจ้าว่าดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย พระพุทธเจ้าดีแต่ทำให้คนเป็นหม้าย เอาผู้ชายไปบวชเสียหมด ผู้หญิงมันก็เป็นหม้าย นี่พระพุทธเจ้ากลับถูกด่าอย่างนี้ แล้วคนพวกนั้นจะเรียกว่ามันเห็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร มันเกลียดพระพุทธเจ้าอยู่อย่างนี้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ผัวของเขาไปบวชเสีย เขาก็ต้องเกลียดพระพุทธเจ้า
เอ้า, เป็นอันว่าเรามีพระพุทธเจ้ากันหลายชั้น พระพุทธเจ้าที่เป็นลูกพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางมายา เกิดเมืองกบิลพัสดุ์ มีพระชายา มีลูก มีหลาน ออกบวช ตรัสรู้ สอนอยู่ แล้วก็นิพพาน แล้วก็เผาแล้ว นี่ก็พระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ชนิดหนึ่ง เป็นเรื่องข้างนอกที่สุด เห็นได้ด้วยตาธรรมดา เห็นแล้วไม่รู้จัก เห็นแล้วโกรธก็ได้ เห็นแล้วรักก็ได้ แล้วต่อมาก็ดูเข้าไปในๆอะไร ในๆร่างนั้นแหละ ก็จะเห็นว่ามีจิตรู้ มีจิตที่รู้อะไร ตรัสรู้อะไร เรื่องดับทุกข์ได้ นั่นพระพุทธเจ้านี้เป็นจิตๆ จิตของท่าน จิตนั้นมันรู้อะไรๆ จิตนั้นมันรู้ธรรมะ รู้ธรรมะที่ดับทุกข์ได้ พระพุทธเจ้าที่จิตก็ได้ แล้วเลื่อนมาเป็นพระพุทธเจ้าที่ธรรมะ คือความรู้ รู้ว่าดับทุกข์อย่างไร นี่ก็เป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่ธรรมะ ให้ละเอียดมาก็มาพระพุทธเจ้าอยู่ที่อาการของปฏิจจสมุปบาท เกิดขึ้นดับลง เกิดขึ้นดับลง พระพุทธเจ้าเข้ามาอยู่ที่อาการของปฏิจจสมุปบาท นี่คำบรรยายที่ต้องขออธิบายเพิ่มเติมจากที่พูดกันตอนเย็นบนภูเขา จะมีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ไปคิดเอาเอง อาตมาเห็นว่ามีประโยชน์ที่สุด จำเป็นที่สุดที่จะต้องรู้ ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้าชั้นนี้ ชั้นลึกที่สุด ที่มีอยู่ทั่วไปในทุกๆแห่ง ทุกหน พระพุทธเจ้าองค์นี้อยู่ทั่วไปทุกหน ทุกแห่ง แต่ก็ไม่มีใครเห็นทุกหน ทุกแห่งด้วยเหมือนกัน เพราะไม่มีปัญญา เพราะไม่มีสมถะและวิปัสสนา
เอาละต่อไปนี้ขอชักชวนว่ารีบฝึกฝนสมถะและวิปัสสนากันเสียบ้าง ให้จิตใจเฉียบแหลม ฉลาด รี จนมองเห็นพระพุทธเจ้าชนิดนี้ ว่ามีอยู่เต็มไปทั่วทุกหัวระแหงจริงๆ ก็ไม่เสียทีที่เป็นพุทธบริษัท นี่คือเรื่องที่ต้องการจะพูดขยายความออกไป
เอ้า, ที่นี้ก็ถึงเรื่องถัดมาอีก ก็คือเรื่องขอชักชวน วิงวอน อ้อนวอน ชักชวนท่านทั้งหลาย มาช่วยกันศึกษาให้รู้จริง ปฏิบัติให้สำเร็จประโยชน์ แล้วก็ช่วยกันเผยแผ่ๆความรู้อันประเสริฐนี้ให้แก่เพื่อนมนุษย์ให้ทั่วไปทั้งโลก อาตมาใช้ๆคำว่าทั่วไปทั้งโลกนะ ไม่ใด้ๆใช้คำว่าทุกคนในโลกนะ ทุกคนในโลกรู้ไม่ได้ แต่ว่าใครควรจะรู้ให้มันรู้ ใครควรจะรู้ให้มันรู้ ให้มันรู้ทั่วไปทั้งโลกไป แม้จะไม่ทุกคน แต่มันทุกคนที่มันควรจะรู้ รู้ไปทั้งโลก มาช่วยกันเผยแผ่ธรรมะนี้ให้มันรู้กันทั้งโลก พูดอย่างที่เคยพูดมาแล้ว บางคนก็ได้ยิน บางคนก็ไม่ได้ยิน พูดว่ามาเป็นพุทธทาสกันทุกคนเถิด ไอ้พวกที่สวดทำวัตรเย็นทุกวันๆนั้นขอให้มันเป็นความจริงขึ้นมาบ้างเถิด มันสวด พุทธัสสาหัง นิยยาเทมิ สะรีรัญ ชีวิตัญจิทัง อยู่ทุกเย็นๆ แต่มันพูดแต่ปาก มันไม่เป็นพุทธทาส นี่ขอให้มันเป็นพุทธทาสกันทุกคนๆที่มันสวดทำวัตรเย็น เห็นอยู่ทุกคน ที่ว่ารับใช้พระพุทธเจ้า เปิดเผยอบรมตัวเองแล้วสั่งสอนให้คนทั้งหลายให้รู้อย่างเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านประสงค์จะให้รู้ มาเป็นพุทธทาสกันทุกคนเถิด คนละไม้ คนละมือ แม้ว่าไม่เหมือนกัน ไม่อย่างเดียวกัน แต่มันร่วมกันได้ ทำให้คนรู้ธรรมะไปทั่วโลก นี่คือความประสงค์สืบเนื่องต่อไปจากที่รู้จากพระพุทธเจ้าทุกๆหนทุกแห่ง แล้วก็มาช่วยกันชี้แจงให้เพื่อนมนุษย์ของเรารู้จากพระพุทธเจ้าองค์นี้ ในระดับนี้ ในลักษณะนี้ ทั่วไปทั้งโลก ทั้งโลกจะดับทุกข์ได้ๆ ทั้งโลกจะเลิกยึดถือว่าตัวตนเสียได้ เห็นแต่เพียงเป็นอาการของปฏิจจสมุปบาท เลิกตัวตนเสียได้มันก็ไม่เห็นแก่ตน มันไม่เห็นแก่ตน ไม่มีความเห็นแก่ตน ไม่มีความเห็นแก่ตนมันก็ไม่มีกิเลสใดๆ ไม่มีกิเลสใดๆ ไม่มีกิเลสใดๆมันก็ไม่เบียดเบียนตนเองด้วย มันไม่เบียดเบียนผู้อื่นด้วย มันไม่เบียดเบียนทั้งตนเอง มันไม่เบียดเบียนทั้งผู้อื่น โลกนี้ก็ถึงที่สุด ประเสริฐที่สุด วิเศษที่สุด ไม่มีความทุกข์เลย เป็นโลกของพระศรีอริยเมตไตรย์ มีแต่ความเยือกเย็น เป็นสุข ไม่มีคู่มึงกูต่อสู้กัน มีแต่ทุกคนเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน ไม่มีนายทุน ไม่มีชนกรรมาชีพ พูดอย่างนี้ก็จะพอแล้ว
มีแต่เพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน อย่าอยู่อย่างมีมึง มีกู กันเลย แม้ในหมู่บ้านเล็กๆ ในครอบครัวนี้ก็อย่ามีมึง มีกู มีแต่เพื่อนเกิด แก่ เจ็บตายด้วยกัน โลกนี้ก็มีสันติภาพ ถึงที่สุดไม่มีอะไรนอกจากสันติภาพก็คือนิพพานนั่นแหละ ไม่มีกิเลส ไม่มีความร้อน ไม่มีความทุกข์ มันก็คือนิพพานนั่นแหละ ถ้ามันนิพพานเต็มไปทั่วทุกหัวระแหง ทุกคนอยู่กับนิพพาน ก็รู้ความจริงถึงที่สุด ควบคุมความทุกข์ได้ ควบคุมไม่ให้เกิดความทุกข์ได้ ไม่เกิดความทุกข์มันก็มีแต่นิพพาน ช่วยกันสร้างให้โลกนี้เต็มไปด้วยความสงบสุขหรือนิพพาน นี่คือความปรารถนา ความหวัง ขอร้องท่านทั้งหลาย ชักชวนท่านทั้งหลายให้พินิจพิจารณา ให้แก้ปัญหาของตนให้หมด ไม่มีความทุกข์แล้วก็ช่วยแก้ ช่วยเหลือผู้อื่น ให้ผู้อื่นได้รับอย่างเดียวกัน เราดับทุกข์ได้เท่าไร ก็สั่งสอนช่วยเหลือผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้เท่านั้น สอนมากกว่านั้นมันสอนไม่ได้ แต่มันสอนได้เท่าที่เราดับทุกข์ได้แล้วเท่าไร นี่คือความปรารถนา
ปีนี้พบกันในโอกาสเท่านี้ พูดกันได้เพียงเท่านี้ แต่ก็เยอะแยะ ก็ถมเถไป พูดกันได้เพียงเท่านี้ก็มากมายอยู่ ขอให้เอาไปปฏิบัติให้ได้ๆ ร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน ปฏิบัติให้ได้ แล้วอย่าลืมว่าช่วยกันเผยแผ่ธรรมะ เผยแผ่พุทธศาสนา ไม่ต้องรอว่าให้เป็นอรหันต์เสียก่อน จึงค่อยสอน ไม่ๆจำเป็น ตัวเองทำได้เท่าไรก็สอนผู้อื่นได้เท่านั้น พระพุทธเจ้าโปรดสาวกจำนวนหนึ่งหลายสิบคน เรียกว่า ภัททวัคคีย์ ไม่ทันเป็นพระอรหันต์ท่านก็ส่งออกไปเผยแผ่พุทธศาสนาแล้ว นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าไม่ต้องรอให้เป็นพระอรหันต์จึงค่อยสอน ดับทุกข์ได้เท่าไรก็สอนได้เท่านั้น ดับทุกข์ได้นิดหนึ่งก็สอนได้นิดหนึ่ง ขอให้มีแก่ใจช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ เมตตากรุณาที่แท้จริงมันอยู่ที่ตรงนี้ คือช่วยให้เขาดับทุกข์ เมตตากรุณาที่แท้จริง นอกจากนั้นมันมีเมตตาเอาหน้า เมตตาเล่นละคร เมตตาบ้า เขาเป็นอะไรไม่รู้ ป่วยการ เมตตาจริงช่วยเพื่อนให้ดับทุกข์ได้เท่าที่เราดับทุกข์ได้แล้ว นี่คือเมตตาจริง
เอาละเรื่องที่จะพูดก็มีเท่านี้แหละ วันนี้ ตอนนี้ มีเท่านี้ ขอให้รู้จักพระพุทธเจ้าที่มีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง คืออาการแห่งปฏิจจสมุปบาท เห็นแล้วดับทุกข์ได้ แล้วก็ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายให้เห็นด้วยและก็ดับทุกข์ได้ นี่ก็เป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า เป็นพุทธทาสได้ด้วยกันทุกคน ๆๆ ถ้าว่าตั้งใจ ทำจริง ถ้ามันเสียสละจริง เอาจริง นี่คือเรื่องที่เห็นว่ามีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุด ดีที่สุด ถ้าท่านทั้งหลายได้รู้ ได้เข้าใจ ได้รับเอาไป ก็เรียกว่าได้รับสิ่งที่มีค่าที่สุด หรือคุ้มค่าเกินค่าในการที่มาทำอาสาฬหบูชาจากที่ไกล อดหลับ อดนอน ลำบาก เปลืองเงิน เปลืองเวลา เปลืองเรี่ยว เปลืองแรงๆ หลายๆอย่าง แต่ได้ผลเกินค่า ขอให้สนใจ
อาตมาก็ขอยุติการบรรยายธรรมเทศนาตอนแรกนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอให้คิด ให้นึก ให้เอามาวิพากษ์วิจารณ์ มาอภิปรายกัน จะแย้งก็ได้ จะไม่เชื่อก็ได้ จะแย้งก็ได้ เอามาพูดจากัน แม้แต่จะเชื่อก็ต้องเอาไปคิด ไปนึก ไม่ๆใช่ว่าเชื่อแล้วมันจะมีประโยชน์ ต้องไปคิดนึกให้แจ่มแจ้ง แล้วก็ปฏิบัติๆ แล้วได้ผลของการปฏิบัติ ขอให้เป็นอย่างนี้ เอาละให้มันมีมากๆยิ่งขึ้นทุกปี มากยิ่งขึ้นทุกปี ขอให้ได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงยิ่งๆขึ้นไป จากพระพุทธเจ้าอย่างบุคคลมาถึงพระพุทธเจ้าอย่างธรรมะทั่วๆไป จากพระพุทธเจ้าอย่างธรรมะทั่วๆไปแล้วมาถึงพระพุทธเจ้าอย่างที่เรียกว่าอาการของ ปฏิจจสมุปบาทที่แสดงอยู่ทั่วทุกหัวระแหง ให้เราได้อยู่ในท่ามกลาง (นาทีที่ 01:00:55)พระพุทธเจ้า ทุกขุมขน ตัวเราทุกขุมขนมีพระพุทธเจ้าแสดงธรรมอยู่ เอาละขอยุติการบรรยายตอนนี้ไว้เพียงเท่านี้ ขอให้ได้อภิปรายทำความเข้าใจกันต่อไปเหมือนที่เคยทำมาแต่ก่อนๆโน้น วัน คืนนี้ขออุทิศศึกษาธรรมะกันให้มากที่สุด