แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ธรรมะบรรยายแก่คณะพระนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยจากมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 3 ที่หน้าท่านอาจารย์ เวลา 5.00 น. วันที่ 15 มกราคม พ.ศ.2532
วันนี้จะได้พูด นะพูดกันโดยหัวข้อว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ควรกระทำ คนฟังทีแรกคงจะคิดว่ามันประหลาดมันเป็นเรื่องบ้าบออะไรกัน นี่เราจะได้ความรู้สองอย่างพร้อมกันไปในตัวว่าธรรมะที่ลึกนั่นมันเป็นอย่างไร และว่าความยากลำบากที่จะเข้าใจธรรมะนั้นอยู่ที่คำพูด คำพูดที่ไม่พอใช้หรือคำพูดที่มันไม่ตรงกันบ้างอะไรบ้างนี่มันทำให้เกิดปัญหาในการที่จะศึกษาธรรมะขอให้สังเกตดูให้ดีๆ มากมายเหลือเกินที่ว่าคำพูดได้ทำให้เกิดปัญหาในการที่จะเข้าใจธรรมะ งั้นจึงได้ยกตัวอย่างมาให้เข้าใจเรื่องนี้พร้อมกันไปในตัวซะเลยพูดกันโดยภาษาธรรมภาษาธรรมะไม่ใช่ภาษาคนนะก็กล่าวได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ฆ่าตัวตายให้ฆ่าพ่อฆ่าแม่ไม่ยังแถมให้เป็นคนอกตัญญูเสียด้วยนี่มันเป็นภาษาธรรมหรือภาษาปรมัตถ์ธรรมมันไม่ใช่ภาษาคนเดินถนน เราก็ควรจะเข้าใจไว้เพื่อจะใช้ในกรณีที่ควรจะใช้ มันเป็นคำพูดที่ว่าคนธรรมดาเขาฟังไม่รู้เรื่องเมื่อคนหนึ่งมันพูดภาษาธรรมไอ้คนหนึ่งมันฟังโดยภาษาคนแล้วมันก็ตรงกันข้ามและก็จะทำให้เกิดการยุ่งยากทะเลาะ หรือว่าถึง นินทาด่าว่ากันขึ้นก็ได้ภาษาธรรมมันสำหรับเรื่องทางจิตใจและเป็นความจริงในชั้นปรมัตถ์ ภาษาคนมันเป็นเรื่องทางวัตถุทางร่างกายเมื่อเป็นเรื่องในชั้นสมมติหรือธรรมะที่เป็นของตื้น ๆ แปลตามธรรมดาผมเคยสังเกตเห็นความจริงข้อนี้เขาฟังไม่ถูกไอ้คำพูดอย่างนี้ แม้แต่คำว่าว่างนี้แล้วเขาก็ด่าว่าทำให้เสียเวลาแล้วเขาก็ว่าสมน้ำหน้าที่มันถูกด่าเพราะมันอยากพูดคำที่เขาฟังไม่ถูกเขาโยนบาปมาให้เราทั้งหมดเลยเขาด่าและยังหาว่ามันสมน้ำหน้า ที่ใช้ภาษาอย่างนี้เขาฟังไม่ถูกเนี่ยขอให้สังเกตดูให้ดีๆ มันมีปัญหาอย่างนี้อยู่การฆ่าตัวตายนี่มันมันฟังดูในภาษาธรรมดาคือยังไงในภาษาธรรมะมันเป็นอย่างไรฆ่าตัวตายในภาษาธรรมะมันก็กลายเป็นพระอรหันต์และตัวก็ไม่ตายเป็นกลายพระอรหันต์ หรือคำพูดอีกคำหนึ่งซึ่งเขาฉงนกันว่า ตายเสียก่อนตายปริญญาของสวนโมกข์หรือมันตายชนิดที่ไม่ตายตายเสียก่อนตายมันตายโดยทางจิตใจคือไม่มีตัวไม่มีตัวไม่มีตนเสียก่อนแต่ที่ร่างกายนี้มันจะแตกดับลงไปในตายก่อนตายนี่ไม่ได้ตายแต่กลายเป็นพระอรหันต์ทำให้ หมดตัวหมดความรู้สึกวาตัวนั่นก็เรียกได้ว่าเป็นการฆ่าตัวตายฆ่าตัวตายเสร็จแล้วมันกลับไม่ตายและกลายเป็นพระอรหันต์ คำว่าฆ่าตัวตายมีความหมายมันตัดอัตตวาทุปาทานมันต้องใช้ ปัญญาอาวุธสูงสุดและงวด (นาทีที่ 07.08)ตัดอัตตวาทุปาทาน มันยิ่งกว่ากามุปาทาน ทิฐถุปาทาน ศิลปถุปาทาน (นาทีที่ 07.15.8) ไปเสียอีก มันตัดความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นที่ทำให้พูดออกมาว่าตัวกูว่าของกูอัตตาอัตตานียามันฆ่าตัวตายเสียด้วยตัดอัตตวาทุปาทานหรือว่าด้วยตัดอัตตานุทิฐิ อย่างคาถาโมกฆราช ว่างจากตัวตนด้วยตัดอัตตานุทิฐิออกไปเสีย ต่ำๆ ก็มันเป็นสักกายทิฐิที่พระโสดาบันเค้าตัดนั่นนะตัดสักกายทิฐิว่า กายของกูเสียถ้ามันสูงมันก็ไปถึงสักกายนิโรธซึ่งพวกพรหมเขากลัวกันนักพรหมทุกชั้นทั้งรูปพรหมทั้ง อรูปพรหมในชั้นสูงสุด แล้วพอได้ยิน คำว่าสักกายนิโรธมันตกใจเหมือนกันเลย ถูกเสียขีวิตสิ่งที่เรียกว่าสักกายนิโรธ เป็นที่หวาดกลัวของพวกพรหมสูงสุดในประเทศอินเดีย ในยุคที่จะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นเขาก็สูงสุดกันอยู่ที่พรหมชั้นสูงสุดถึงอย่างนี้แล้วก็ยังกลัวตาย พระพุทธเจ้านั้นสอนให้ตัดตัวตนอย่างนี้ จึงเป็นที่หวาดกลัวมันเป็นสักกายนิโรธฆ่าตัวตายในชั้นสูงสุดเป็นสักกายนิโรธฆ่าซะได้ด้วยอนัตตานุปัสนาคือตามให้เห็นว่าเป็นอนัตตาหรือสุญญตานุปัสนาการตามเห็นว่ามันเป็นของว่าง ๆ จากตัวตนไม่มีตัวตนโดยประการทั้งปวง นี้เลยไปถึงฆ่าบิดามารดาและก็ต้องฆ่าด้วยฆ่าอวิชชาและฆ่าตัณหา มันก็เนื่องถึงอุปาทานบางอย่างเหมือนกันนะ แต่ว่าถ้าจะดูกันถึงตัวที่เป็นบิดามารดาโดยตรงแล้วมันก็คืออวิชชากับตัณหาจะเปรียบอวิชชา เหมือนกับพ่อตัณหาเหมือนกับแม่ก็ได้เหมือนกันและมันก็ต้องฆ่าอวิชชาฆ่าตัณหาและมันก็เท่ากับฆ่ามารดาบิดานี่เรียกว่าฆ่าต้นเหตุแห่งอุปาทานอวิชชาให้เกิดตัณหาตัณหาให้เกิดอุปาทานคือฆ่าอวิชชา ฆ่าตัณหาเพื่ออะไรฆ่าสิ่งที่ทำให้เกิดออกมาเลยไปถึงอกตัญญูเมื่อมันไม่มีอุปาทานว่าตัวตนความเป็นหนี้บุญคุณหรือความตอบแทนบุญคุณมันก็หมดไปเองนี่มัน กลายเป็นคนอกตัญญูในความหมายของภาษาธรรมในภาษาคนเนี่ยคำว่าอกตัญญูมันใช้ไม่ได้แต่ในภาษาธรรมกลับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสูงสุดคือรู้พระนิพพานอันปัจจัยอะไรๆ ก็ทำไม่ได้พวกเราที่เคยเรียนบาลีกันมาแล้วก็ดูดีๆ ตัวหนังสือคำนี้ดิ้นรนมากกลับกลอกมากกำกวมมากอกตัญญูแปลว่าไม่รู้คุณที่ท่านกระทำแล้วก็ได้เพราะอะเป็นปฎิเสธเพราะอกตัญญูรู้สิ่งที่ปัจจัยกระทำไม่ได้ก็ได้กัตตะอันปัจจัยใดๆ อันหนึ่งกระทำแล้วอะคือไม่ได้กระทำไม่ได้เรารู้สิ่งที่ปัจจัยกระทำไม่ได้ก็คือรู้พระนิพพาน รู้อสังกัตตะ รู้โลกุตตระนี่ นี่กลายเป็นอกตัญญูมีความหมายวิเศษไปซะอีกรู้พระนิพพานรู้สิ่งอะไรก็ได้ที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้มันก็ไม่อยู่ภายใต้การปรุงแต่งของสิ่งใดๆ ที่จะพูดให้มันปรองดองกับ กับคนธรรมดาเดินถนนบ้าง ว่าฆ่าตัวตายอย่างนี้มันเกิดใหม่มันเกิดใหม่นี่ดีกว่าเก่ามากมายเลย เกิดมาทีนี้มันก็มีพระพุทธเจ้าเป็นบิดามีพระธรรมเป็นมารดามีพระสงฆ์เป็นพี่น้องมีพระพุทธเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่พระสงฆ์เป็นพี่ๆ น้องๆ ของเรา ฆ่าตัวตายทีนี้ของแกนั้นเสียแกก็จะได้ให้เกิดใหม่มีพระพุทธเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่และพระสงฆ์เป็นพี่น้องแต่ถ้า(นาทีที่14.04) คุณยังโง่ต่อไปอีกคุณก็ฆ่าพระพุทธเจ้าซะอีก คุณก็ฆ่าพระพุทธเจ้าซะอีกเพราะว่าเดี๋ยวนี้มีการพูดกันตามศาลาวัดว่านิพพานคือตาย นิพพานคือตายแต่ความหมายที่แท้จริงนิพพานไม่ได้แปลว่าตายแปลว่าเย็น เย็นเหมือนที่เราพูดกันคืนก่อนวันก่อนแล้ว พระพุทธเจ้านิพพานนะมันเย็นหมดกิเลสหมดไฟหมดความร้อนแล้วท่านก็มิได้ตายนี้คำบาลีตอนนี้มันฟังกันผิดนี่เป็นพระพุทธเจ้าตายด้วยนิพพานแต่ถ้าดูตัวบาลีจริงๆ ดับขันธ์ด้วยสอุปทิเสสะนิพพานธาตุ (นาทีที่ 15.02)พระพุทธเจ้าท่านบรรลุอนุบาลญะผิดไปไม่ใช่สันอะ อนุปาทิเสสะนิพพานธาตุ (นาทีที่ 15.07) พระพุทธเจ้าบรรลุพระนิพพานนี้แล้วจึงเป็นอันตรัสรู้ ดับ ไม่มี ไม่มีอุปาที่เหลือนะ เดี๋ยวนี้ท่านดับขันธ์นะ ขันธ์นั้นดับก็ดับด้วย อนุปาทิเสสะนิพพานธาตุ (นาทีที่ 15.29) บาลีจะเป็นอย่างนี้ ดับเบญขันธ์ด้วยอนุปาทิเสสะนิพพานธาตุ (นาทีที่ 15.38) ไม่ใช่ท่าน ท่านดับไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นผู้ดับเบญจขันธ์ดับด้วยอนุปาทิเสสะนิพพานธาตุ (นาทีที่ 15.48) ก็เพราะท่านก็ไม่ได้ตายนิ นิพพานนั่นไม่ตายแต่ถ้าคุณมาแปลนิพพานว่าตายคุณก็ฆ่าพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง งั้นระวังให้ดีพวกที่พูดว่านิพพานคือความตายนะมันจะฆ่าพระพุทธเจ้าหรือฆ่าพระอรหันต์กันหมดเลยบาปหนาที่สุดเลย เรียกว่ามันเป็นภาษาที่จะต้องระวังกันให้ดีๆ คำว่าตถาคต ตถาคตนะแปลกันให้ดีๆ ถึงซึ่งตถาถ้าถึงซึ่งตถาก็ถึงซึ่งความคงที่สิ่งที่เรียกว่าตถา ตถานะมันคงที่ เป็นตถาคตก็คือเป็นพระอรหันต์ผู้ถึงซึ่งความคงที่มันจึงไม่ตายพระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่ตายเพราะว่าถึงซึ่งความคงที่ ไม่เปลี่ยนแปลงไม่อะไรอีกต่อไปก็คือนิพพานนั่นแหละมันไม่ตายก็คงที่มันเป็นนิรันดร เรื่องนี้เราก็พูดกันมากแล้วแต่ว่ามันคงที่นี่นิพพานนี่ไม่ไปที่ไหนไม่มาที่ไหนไม่อยู่ที่ไหน คำนั้นแหละใช้อธิบายได้ดีไม่อยู่ที่นี่และก็ไม่ไปที่ไหนและก็ไม่มาที่ไหน การบรรลุถึงนิพพานนะมันไม่ใช่ความตายแต่มันกลายเป็นความอยู่ ในภาษาอื่นที่สูงขึ้นไปเป็นภาษาธรรมอยู่โดยที่ไม่ต้องมีการอยู่ช่วยจำคำนี้ให้ดี ๆ มันจึงเป็นวิภาวะมีอยู่โดยที่ไม่ต้องมีอยู่ ปะ.........ฌโน (นาทีที่ 17.48) เป็นบทหนึ่งคุณบทบทหนึ่งของพระอรหันต์ ปริ........ฌโน (นาทีที่ 17.55) สังโยชน์ ในภพ ขาดสูญสิ้นสูญมันไม่มีภพอยู่โดยไม่ต้องมีภพแต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นอภพเป็นนัตถิกทิฏฐิไม่ใช่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเพราะถ้าพูดว่าตายชาวบ้านเค้าไม่ชอบนี่เราเลยต้องพูดว่าอยู่ ไม่ได้อยู่อย่างภพเพราะมันเป็นกิเลสตัณหาก็เลยพูดว่า ภพชนิดที่ไม่ต้องมีการเป็นหรือการอยู่ นี่เป็นคำที่ว่าทำความยุ่งยากในการพูดจาหรือในการสั่งสอนและอาจจะยุ่งยากแม้กระทั่งถึงว่าในการศึกษาในการเล่าเรียนในโรงเรียนชั้นต้นนี้ก็เหมือนกันมันมันมีความหมายที่ไม่ค่อยเจอะสังเกตกันดูให้ดีๆ นี่เรามาพูดว่าการฆ่าตัวตายนั้นนะควรกระทำเพราะคำพูดในภาษาสำหรับพูดจากันชนิดนี้เดี๋ยวนี้มันมักจะเข้าใจตามศาลาวัดว่าพระพุทธเจ้านิพพานเสียแล้วนิพพานของเขาแปลว่าตายคนพวกนี้ฆ่าพระพุทธเจ้าที่จริงเรายังมีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อเป็นผู้นำทางฝ่ายวิญญาณมีพระธรรมเป็นแม่คือให้เกิด ออกมาให้เกิดออกมาด้วยกันหลายๆ คนคือพระสงฆ์ก็เป็นพี่น้องกันนะช่วยพูดให้เขาชอบใจกันหน่อยได้เกิดมานี่พระพุทธเจ้าเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่พระสงฆ์เป็นพี่เป็นน้องถ้าคุณฆ่าตัวตาย พูดถึงคำว่าฆ่าอวิชชามันก็เป็นคำที่ฟังแล้วก็ดูดีแต่ถ้าพูดให้จริงยิ่งขึ้นไปอีกก็ไม่ไปทะเลาะกับอวิชชาเราทำอย่าให้อวิชชามันเกิดวันก่อนพูดเรื่องความทุกข์อย่าไปทำกับความทุกข์ในการที่เอาไม้สั้นไปลันขี้มันเลอะเทอะหมดมันยิ่งทุกข์ทุกข์มากขึ้นนี่ก็ทำชนิดที่ไม่ให้มันเกิดมันไม่ขี้มันไม่เกิดหรือถ้าจะตี ตีกันให้แหลกก็ใช้ไม้ยาวๆ ตีไอ้ที่ไกล ยกเว้นการตัดต้นเหตุตัดต้นเหตุอย่าให้อวิชชามันเกิดมันก็จะหมดเรื่องแค่ไอ้คำๆ เดียวอวิชชาไม่เกิดตัณหาไม่เกิดอุปาทานไม่เกิดภพไม่เกิดชาติไม่เกิดมันก็ไม่มีปัญหาอะไรและมันก็ไม่ต้องตายเพราะมันไม่ได้เกิดที่การฆ่าอวิชชานี่มันก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ฆ่าทุกอย่างที่เป็นเหตุให้เกิดนั่นตายก็ให้มันเป็นตายของอวิชชาจะดีที่สุด พูดอย่างนี้เด็กๆ ฟังไม่ถูกโดยเฉพาะยุวชนพวกบ้ากามทั้งหลายฟังไม่ถูกพวกคนแก่หัวหงอกก็ฟังไม่ถูกมันก็ตายเข้าโลงไปทั้งๆ ฟังไม่ถูกมันไม่รู้ว่าฆ่าพ่อฆ่าแม่หรือเป็นคนอกตัญญูมันเกี่ยวกับภาษาและจึงรู้ว่าภาษาเป็นปัญหาเดี๋ยวนี้ยังมีปัญหาพิเศษเกี่ยวกับภาษาอีกถึงขั้นแปลเป็นภาษาต่างประเทศยุ่งยากหนักเข้าไปอีกเพราะเขาใช้กันอยู่อย่างอื่นและเราก็ไม่เข้าใจและก็ไม่ค่อยเข้าใจไปแปลผิดๆ ถูกๆ คำว่าตัณหา คำว่านิพพานนี่มันแปลกันผิดๆ ไปหมดแล้วปัญหามันก็มีต่อไปอีก ในภาษาไทยมันมีอยู่มากอย่างที่ว่าพอแปลเป็นภาษาอื่นก็เพิ่มปัญหาในแง่อื่นอีกให้มันลำบากเพราะภาษา การฆ่าตัวตนเสียเถิดอัตตวาทุปาทานฆ่าพ่อฆ่าแม่เสียเถิดคือฆ่าอวิชชาฆ่าแล้วมันหมดปัญหามันหมดความทุกข์มันได้ชีวิตใหม่ชีวิตใหม่ไม่มีปัญหาไม่มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นดีเป็นชั่วเป็นบุญเป็นบาปเป็นสุขเป็นทุกข์ให้ทุกๆ คู่มันไม่เกิดให้คล้องเป็นคู่ ๆ นี่สำคัญมากนะพยายามศึกษาเอาซิมันมีกี่คู่นึกเอาเองเลยนึกเอาเองก็แล้วกันที่สำคัญๆ ก็มีอย่างน้อย ยี่สิบสามสิบคู่ไม่ดีไม่ชั่วไม่บุญไม่บาปไม่สุขไม่ทุกข์ไม่แพ้ไม่ชนะไม่ได้ไม่เสียไม่เสียเปรียบไม่เอาเปรียบไม่ๆ ๆ ๆ เรื่อยไปกระทั่งไม่เป็นหญิงไม่เป็นชายให้เป็นคู่ๆ ของคู่ๆ พอ..(นาทีที่24.28) เหล่านี้มันก็หมดปัญหาแต่ถ้ามันมีความยึดมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่เพียงใดไอ้ของคู่ๆ เหล่านี้ก็จะยังมีอยู่ตลอดไปเดี๋ยวมันก็เป็นผัวเดี๋ยวมันก็เป็นเมียนี่กระทั่งเดี๋ยวก็เป็นแม่เดี๋ยวก็เป็นลูกให้มันเป็นคู่ๆ คู่ๆ ไม่ลึกไม่ยากและไม่ลึกเกินไปอาจจะลองนึกเอาเองได้นึกเอาเองดิจนไม่มีเหลืออยู่แต่สักคู่เดียวแต่ว่าคู่ที่ร้ายกาจสำคัญที่สุดก็คือดีชั่วบุญบาปสุขทุกข์ถ้ามันเป็นโลกจัดเกินไปมันก็เป็นหญิงเป็นชายเป็นผัวเป็นเมียเป็นไอ้อย่างที่เขามีกันในโลกแล้วมีปัญหาแล้วก็ว่ามันก็มีปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันที่เป็นลูกจ้างเป็นนายจ้างนี่มันบ้าบอที่สุดผมขอร้องให้พวกลูกจ้างทั้งหลายอย่าคิดว่าเป็นลูกจ้างนายจ้างผู้ที่ทำงานบริษัทผู้ที่ทำงานรัฐบาลก็อย่าคิดว่าเป็นลูกจ้างนายจ้างรัฐบาลไม่ใช่นายจ้างไอ้เราก็ไม่ใช่ลูกจ้างแต่เราก็เป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายด้วยกันช่วยกันทำให้โลกนี้มันมีสันติภาพสันติสุขและงดงามเนี่ยบอกพวกลูกจ้างทั้งหลายว่าคุณอย่าคิดว่าเป็นเงินเดือนที่เขาให้เราเอาไปกินไปเล่นไปใช้สนุกสนานถ้าคิดว่าเป็นเงินเดือนแล้วพวกคุณก็จะตะกละจะต่อสู้อย่างให้เงินเดือนมันขึ้นเรื่อยไปให้เขาคิดว่าเงินที่เขาให้นะมันเป็นค่าใช้สอยให้เราเอามาใช้สอยเพื่อทำให้โลกนี้มันงดงามความสำเร็จมันไม่ได้อยู่ที่เงินค่าใช้สอยมันอยู่ที่เราฉลาดอยู่ที่เราสามารถก็ปรากฎผลตามที่เป็นจริงไม่ใช่อวดเหมือนลูกจ้างทำงานดีขึ้นลูกจ้างของบริษัทหรือข้าราชการมันทำงานดีขึ้นมันไม่ได้เป็นลูกจ้างนายจ้างมันเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายช่วยกันสร้างโลกให้งดงามเงินนี้เป็นเงินค่าใช้สอยเราไม่เป็นหนี้ใครเราไม่เป็นลูกจ้างใครนี่ประโยชน์ของคำว่า คำเป็นคู่ๆ มันต้องไม่เกิดมันต้องไม่ตายถ้ายังเกิดมันก็มีตายถ้ามันตายก็เพราะมันมีเกิดถ้ามันเป็นความว่างๆ ไปเสียทำให้ว่างนะคือการฆ่าตัวตายอันสูงสุดอัตตา อัตตนียา (นาทีที่ 27.48) มันก็มีไม่ได้อัตตาตัวตน อัตตนียา (นาทีที่ 28.02) เนื่องด้วยตนก็คือของตนมันก็เป็นเหตุให้เกิดอหังการว่าตัวกูมมังการว่าของกูและก็มานะว่าตัวกูเป็นอย่างไร อหังการะมมังการะมานานุสัย (นาทีที่ 28.21) เนี่ยคำพูดนี้เป็นคำประธานเป็นหลักที่สุดไปตรวจสอบดูในพระไตรปิฎกมันมุ่งหมายที่จะทำลายล้าง อหังการะมมังการะมานานุสัยมานานุสัย (นาทีที่ 28.34) แปลว่าตามนอนตามนอนนอนตามตามนอนคือมันอยู่เรื่อยไปเคยชินเป็นความเคยชินอยู่ด้วยกันเรื่อยไปที่จะอหังการว่าตัวกูมมังการว่าของกูและมานะว่ากูเป็นอะไรเป็นอย่างไรนี่แต่ว่าคำนี้แปลยากผมไม่ถือเอาตาม อัตถคาถา (นาทีที่ 29.03) หรอกบอกตรงๆ ใครจะว่าบ้าบออะไรก็ช่างผมแปลเอาตามชอบใจ อัตถคาถา (นาทีที่ 29.09) แปลอย่างอื่นไม่อาจจะมาใช้กะที่ในถนนหนทางคนกลางถนนได้ความเคยชินที่จะรู้สึกคิดนึกว่าตัวกูว่าของกูและว่ากูเป็นอย่างไรคิดว่าตัวกูเป็นทิฐิคิดว่าของกูเป็นตัณหาคิดว่ากูเป็นอะไรนี้มันเป็นมานะไอ้เจ้าพวกนี้มีอยู่และก็มีตัวกูจัดมีตัวกูจัดมีตัวกูเต็มที่มันก็ฆ่ามันให้ตายเสียเถิดเป็นสิ่งที่ควรกระทำเพราะว่าทำแล้วมันกลับไม่ตายมันจะได้การเกิดใหม่โดยสมมติมันกลายเป็นไม่ตายมันไม่มีตัวกูที่จะตายแล้วมันจะตายได้อย่างไรฆ่าตัวกูเสียแล้วมันก็จะไม่มีอะไรตายมันก็จะไม่ตายฟังดูแล้วมันนอกเรื่องนอกรีดที่จะใช้คำพูดแบบนี้แต่ว่าพระพุทธเจ้าก็เคยใช้นะถ้าเราเจอคาถาที่มีอยู่ในบาลีธรรมบท มาตะรัง......(นาทีที่ 30.32) นี่ก็ฆ่าพ่อฆ่าแม่ซิ อกตัญญูสิลามานะ (นาทีที่ 30.37) นี่จงเป็นคนอกตัญญูนะพราหมณ์ผมเคยอ่านวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาวชิรญาณ-วโรรสท่านว่านี่จะไม่ใช่พุทธสุภาษิตอยากจะสงสัยว่าอย่างนั้นแต่แล้วมันก็มามีอยู่ในพระธรรมบทในรูปพุทธภาษิตจะคิดยังไงก็ตามใจลองดู ทว่ายอมรับว่านี้เป็นพุทธภาษิตก็แปลว่าพระพุทธเจ้านี่ท่านใช้ภาษาธรรมภาษาธรรมะที่มิใช่ภาษาคนลึกซึ้งมันก็มีการใช้มาแล้วแต่ครั้งพุทธกาลผมไม่ควรจะถูกด่าว่าพูดภาษาคนภาษาคำอะไรอีกพระพุทธเจ้าท่านใช้ภาษาสองภาษานี้มานานแล้วมาเก่าแก่นมนานแล้วที่เป็นด่าผมทำให้ยุ่งยากลำบากพูดภาษาคนพูดภาษาธรรมไม่มีละนี่ยังด่าเราซะอีกที่เราพยายามจะทำให้มันง่ายมันก็ถูกด่าซะอีกอย่าออกชื่อนะใครด่าเมื่อพูดกันโดยภาษาธรรมแล้วมันก็จะรู้ธรรมะถ้าพูดกันโดยภาษาคนแล้วมันหลงนะมันหลงทางเพราะมันพูดโดยวิธีพูดอีกอย่างหนึ่งก็มันพูดให้มีตัวตนนี่ในภาษาคนนะมันพูดให้มีตัวตนให้มีของตนให้มีตนเป็นอย่างไร อหังการะมมังการะมานานุสัย (นาทีที่ 32.09) มันก็ไปกันในทางมีๆ ๆ ๆ บวกเป็นบวกเกินไปและมันก็จะลบเกินไปเท่ากับบวกเกินไปในเมื่อมันมองให้ตรงกันข้ามมันก็มีเกิดมีตายทนทรมานในความรู้สึกว่าเกิดรู้สึกว่าตายรู้สึกว่ามีอยู่รู้สึกว่าได้ว่าเสียว่าแพ้ว่าชนะว่ากำไรว่าขาดทุนคำภาษอังกฤษที่มันมีใช้กันอยู่ dualism ก็มี duality ก็มีแต่ผมชอบคำว่า pair of oppisites , pair of oppisites คู่ของสิ่งที่ตรงกันข้ามถ้ามองในภาษาโง่ๆ และใช้กับตรงกันข้ามถ้ามองในความลึกซึ้งแล้วไม่มีตรงกันข้ามมันสิ่งเดียวนะนั่นนะ ไอ้เกิดตายได้เสียแพ้ชนะสุขทุกข์เนี่ยเป็นสังขารอย่างเดียวกันทั้งนั้นเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจทั้งนั้นนะไม่ใช่คู่ๆ ถ้าไม่รู้ข้อนี้มันเห็นเป็นของคู่ถ้าเห็นความจริงแล้วมันจะไม่เป็นของคู่สุขกับทุกข์ชาวบ้านเห็นตรงกันข้ามนะแต่ถ้าพระอรหันต์จะเห็นเหมือนกันคือมันเป็นสิ่งที่เป็นปัจจัยเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยยุ่งยากลำบากด้วยกันทั้งนั้นยึดถือเข้าแล้วมันกัดทั้งนั้นแหละเป็นความทุกข์แหละดีไปยึดถือเข้าซิมันก็กัดแบบดีทุกข์อะไอ้ชั่วมันก็กัดแบบชั่วมันก็ทุกข์มันก็ทุกข์ด้วยกันยึดถือดีก็กัดยึดถือชั่วก็กัดนี่เรียกว่าไม่มีของคู่แหละโดยแท้จริงแต่เรามันโง่เองนี่เพราะเรามีจิตใจที่จะรู้สึกนี่ก็รู้สึกว่ามันถูกใจเรามันก็บวกไม่ถูกใจเรามันก็ลบนี่มันเห็นแก่ตัวอย่างนี้มันถูกใจมันก็เกิดกิเลสประเภทราคะ โลภะไม่ถูกใจเป็นลบมันก็เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโคทะ (นาทีที่ 34.37) ถ้ามันยังไม่แน่ใจมันก็เกิดประเภทโมหะคือโง่คือไม่รู้คือหลงคือสงสัยอยู่นั้นแหละกิเลสมี 3 ประเภทอย่างนี้ประเภทหนึ่งมันดึงเข้ามาหาเพราะรัก ประเภทหนึ่งมันตีออกไปผลักออกไปหรือฆ่าเสียให้ตายเพราะไม่รักอีกประเภทหนึ่งมันทำอะไรไม่ถูกก็โง่ก็วนเวียนอยู่ที่นั่นหลงใหลอยู่ที่นั่นเป็นโมหะตัดสินกิเลสโดยอาการอย่างนี้ง่ายๆ และก็อาจจะชัดเจนถูกต้องกว่าอย่างอื่นนี่ก็จะรู้ว่าอ้าวมันไม่ๆ ไม่คู่นี่มันไม่เป็นของคู่นี่หว่านรกกับสวรรค์มันก็อะไรละมันก็เป็นวัฏฏะด้วยกันทั้งนั้นมันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยและคำว่าร้อนกับคำว่าเย็นในความหมายภาษาคนมันเหมือนกันที่ว่าพระสิทธัตถะคิดว่าที่นี่มันร้อนเราจะหาความเย็นนั้นนะมันไม่ใช่ความเย็นชนิดที่ตรงกันข้ามหรือเป็นคู่กับความร้อนเพราะคำพูดนี้ชักจะสงสัยอาจจะพระสิทธัตถะไม่ได้พูดนะแต่ในพุทธประวัติที่เราเรียนๆ นะมันก็มีหาหนีความร้อนไปหาความเย็นมันก็แปลพระพุทธพระสิทธัตถะยังเป็นคนธรรมดายังมีของคู่แต่แล้วมันก็จริงที่ว่าไปสู่พระนิพพานซึ่งมันเป็นความเย็นที่มันไม่คู่กับความร้อนนะนั่นหมั่นคอยสังเกตให้ดีเย็นที่ไม่คู่กับความร้อนก็มีถ้าเย็นในภาษาธรรมดามันยังคู่กับความร้อนอยู่และทางทางฟิสิกส์ทางวัตถุมันยิ่งหลอกด้วยภาษาอย่างยิ่งมันอยากเป็นฟาเรนไฮต์เป็นเซนติเกรดนะนั่นมันล้วนแต่มีความร้อนอยู่ระดับหนึ่งเช่นแม้ว่าน้ำแข็งมันยังมีความร้อนศูนย์ยังมีความร้อนสามสิบสองอะไรก็แล้วแต่จะพูดมันไม่มีอะไรที่ไม่มีความร้อนเดี๋ยวนี้เรามันพอเกิดมานะมันก็หลงด้วยของคู่ทารกพอได้กินนมอร่อยมันก็รู้สึกบวกแต่พอเกิดไม่อร่อยขึ้นมามันก็รู้สึกลบมันเรียนเรื่องของคู่มาตั้งแต่ทารกแรกเกิดก็มียินดียินร้าย ยินดียินร้ายก็มีตัวตนเป็นศูนย์กลางที่จะทำให้เกิดบวกหรือเกิดลบถ้าเขาไม่มีตัวตนทารกไม่มีตัวตนมันก็ไม่มีเรื่องบวกเรื่องลบของคู่ก็มีไม่ได้นี่มันโตขึ้นมาเป็นของคู่ๆ ทางตาก็เป็นคู่ทางหูก็เป็นคู่ทางจมูกก็เป็นคู่ทางลิ้นทางกายทางใจก็เป็นคู่ๆ มันก็เป็นคู่ๆ มาอย่างนี้มันก็ฟัดไปฟัดมาฟัดไปฟัดมาอยู่เหนือของคู่ชีวิตใหม่เราพูดกันแล้วเมื่อวาน ว่าชีวิตใหม่ ..????? (นาทีที่ 37.46) ไอ้ตายกับเกิดมันเป็นของคู่กันอย่างเลวร้ายแต่ที่จริงมันก็เป็นของสิ่งเดียวกันนะคือความเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเปลี่ยนแปลงอยู่เป็นนิจนี่ลักษณะนี้เรียกว่าเกิดลักษณะนี้เรียกว่าตาย กลางวันกับกลางคืนนี่ภาษาคนมันก็บัญญัติว่าต่างกันภาษาธรรมก็เหมือนกันเป็นเวลาด้วยกันทั้งนั้นเวลาที่ไม่มีแสงแดดมันก็มืดเวลาที่มีแสงแดดมันก็ไม่มืดมันก็สว่างไอ้ความมืดกับความสว่างในแบบฟิสิกส์มันเป็นของสิ่งเดียวกันอย่าหลงในของคู่ หลงคำพูดที่พูดกันด้วยของคู่ความสมมติบัญญัติด้วยความรู้สึกของอวิชชาเกิดมาตั้งแต่ออกมาจากท้องแม่ตอนอยู่ในท้องแม่ไม่ได้มีความรู้สึกคิดนึกเวทนายังไม่ทันทำหน้าที่แต่ทว่าเด็กมันโตเต็มที่ในครรภ์แล้วมันก็มีเวทนาบางอย่างเหมือนกันนะเรื่องๆ ของคู่ พอออกมาแล้วมันก็มีของคู่แรงขึ้น แรงขึ้นมาถูกอากาศร้อนมันก็ร้อนถูกอากาศเย็นมันก็เย็นนี่ไม่ทันไรพอคลอดออกมามันก็ประสบปัญหานี้เป็นของคู่ ของคู่พออายตนะทั้ง 6 ของทารกทำงานเต็มที่ของเป็นคู่มันก็สมบูรณ์ความรู้สึกเป็นของคู่นี้ทำให้เกิดตัวตน พอร้อนกระทบความร้อนมันก็เกิดความรู้สึกว่ากูร้อน กระทบหนาวมันก็รู้สึกว่ากูหนาวพอความอร่อยเกิดขึ้นแก่ระบบประสาทมันก็เกิดความโง่ขึ้นมาว่าโอ้มันอร่อยพอไม่อร่อยก็โอ้ไม่อร่อยทีนี้ของเป็นคู่ๆ นี่มันสร้างความรู้สึกว่าตัวตนที่เป็นมายาขึ้นมาตัวตนจึงเป็นมายาอย่างยิ่งเพราะเกิดมาจากความรู้สึกเท่านั้นแหละ ทีแรกมันมีเพียง emotion รู้สึกไปตามอารมณ์เท่านั้นเองต่อมามันเกิด conception เนี่ยมันจึงจะเป็นตัวตนตัวตนความคิดว่ากูจงฆ่ามันเสียเถิดไอ้ตัวตนไอ้ตัวกูที่มันหลอกมันผีเป็นผีชนิดหนึ่งไปตามเหตุตามปัจจัยที่ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ ฆ่าตัวตายสบายเหลือ เอ้าทีนี้มันก็จะมีปัญหานะ ปัญหามันก็เกี่ยวกับภาษาอีกแหละปัญหานะถ้าว่าฆ่าตัวตน ฆ่าตัวตนเสียแล้วเราจะเอาตัวตนไหนละมามอบกายถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้ามันเป็นปัญหาเป็นยายแก่เดี๋ยวนี้เราว่าฆ่าตัวตนนะแกว่าเดี๋ยวนี้ฉันจะมอบตัวตนให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะหรือว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนนะพระพุทธเจ้าตรัสเองตนเป็นที่พึ่งแก่ตนแล้วมันก็มีปัญหาแล้วฉันจะพึ่งใครละนี่ คุณย่าคุณยายจะตอบจะคิดอย่างนี้เสมอเพราะว่าพูดกันแต่โดยภาษาคนเรื่อยพระพุทธเจ้าบางทีท่านก็ตรัสภาษาคนอย่างนี้ในกรณีหนึ่งท่านพูดว่าอนัตตามิใช่ตน แต่ในอีกนัยหนึ่งท่านแปลว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนและยังมีคำคู่อย่างนี้อีกหลาย ๆ คำให้มีตนอย่างมีตนก็ตรัสอย่างไม่มีตนก็ตรัสถ้าฆ่าตัวตนเสียแล้วนี่เราจะมีอะไร พุทธสาหัง มิยาเทมิ ธรรมสาหัง มิยาเทมิ (นาทีที่ 42.24) มันก็ทำไม่ได้งั้นขอให้รู้เถิดว่าไอ้คำพูดเหล่านี้มีตัวตนมีสรณะในที่ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นะภาษาคน ผมสำรวจดูไม่มีตรงไหนที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าให้พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ มีแต่พึ่งตนหรือพึ่งธรรมะ อัตตทีปา อัตตสรณา ธรรมทีปา ธรรมสรณา อนันยสรณา (นาทีที่ 42.51) มันมีแต่อย่างนี้ที่มันมีนักเลงดีเมื่อไรก็ไม่รู้มันพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ขึ้นมาแล้วก็มายืนยันเป็นหลักเป็นอะไรเสียจนเป็นตัวตนใหญ่ขึ้นมาอีกใน เขมาเขมะสะระณะคาถาพูดถึงพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ติดมาด้วยคำว่ารู้อริยสัจ 4 ด้วยปัญญาอันชอบถ้าไม่รู้อริยสัจ 4 ด้วยปัญญาอันชอบก็หมายความว่าไม่มีการพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่มันคือพึ่งธรรมมะ พึ่งตัวตน รู้อริยสัจ 4 มันพึ่งธรรมะและมันก็พึ่งตัวตนเพราะการรู้อริยสัจ 4 ไตรสรณะคมในประเทศไทยเราก็ดีขึ้นนะก็ดีมันเน้นไปที่พึ่งผู้อื่นมันเชื่อเหลือมาจากไสยศาสตร์ๆ มันพึ่งผู้อื่น พุทธศาสตร์มันพึ่งตัวเอง เดี๋ยวนี้แล้วมาสอนให้พึ่งผู้อื่นแม้จะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็ยังพึ่งผู้อื่นอยู่นั่นแหละเอ้าพูดมากไปมันก็ถูกด่าแหละบางทีถูกจับสึกด้วยนี่ถ้าไม่ได้พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันลำบากเลยด้วยคำพูดไอ้ปัญหา อ้าเขาว่าคนไปศาลพระภูมิเอราวัณมากกว่าไปโบสถ์พระแก้วนะถ้ามันจริงมันก็พึ่งผู้อื่นไม่ได้พึ่งตัวเองจริงไม่จริงไม่รู้เรื่องนี้ผมได้ยินนะผมไม่เห็นด้วยตาเขาว่าอย่างนั้นว่าคนกรุงเทพฯ ไปเอราวัณมากกว่าไปโบสถ์พระแก้ว ถ้าไปศาลหลักเมืองยังมากไปกว่าไปโบสถ์พระแก้วทั้งที่มันอยู่ใกล้ๆ กันแหละงั้นเข้าใจให้ดีว่าพึ่งตนนะมันคือพึ่งอะไรถ้าฆ่าตนเสียแล้วอะไรจะเป็นที่พึ่งและฆ่าตนนะมันเป็นการทำที่พึ่งให้แก่ตนมันหมดตัวตนมันก็ไม่มีทุกข์งั้นการฆ่าตนเสียนั่นแหละเป็นการทำที่พึ่งให้แก่ตนถ้าฟังถูกก็ดีฟังไม่ถูกก็ตามใจ มอบการถวายชีวิตแก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ถ้าไม่ฆ่าตนซะก่อนแล้วมันไม่มอบหรอกมันไม่มอบหรอกมอบให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันมีตนเป็นของตนกูเอานี่มันมีตนเป็นของตนเสียเรื่อยมันจะมอบอะไรกันที่ไหนมันพูดแต่ปากมันก็จะมอบการถวายชีวิตแก่พระพุทธเจ้ามันก็ต้องฆ่าตนและคำ คำธรรมวัตรคำสวดทำวัตรเย็นคำนี้ก็ไม่ใช่ในพระบาลีนะเป็นคำที่แต่งขึ้นมันก็มีคำที่อะไรที่มันเป็นภาษาคนอยู่มากนะ เราก็รู้ภาษาธรรมว่าการฆ่าตนเสียนั่นแหละเป็นการมอบตนให้แก่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยตีความให้อย่างนี้ ฆ่าตนเสียนั่นแหละคือทำที่พึ่งแก่ตนเพราะว่าตนในที่นี้มันเป็นอันตรายเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ฆ่ามันเสียมันก็ทำที่พึ่งให้แก่ตนไม่ขัดเนาะที่ไม่พึ่งตนให้มอบกายถวายตนความที่ไม่มีตนนั้นแหละเป็นที่พึ่งแก่ตนยากที่คุณยายจะเข้าใจงั้นคำว่ามอบกายถวายชีวิตก็ดีมันมีทั้งภาษาคนและภาษาธรรมตนเป็นที่พึ่งแก่ตนที่พึ่ง ที่พึ่งนี้ก็มีทั้งภาษาคนและภาษาธรรมการฆ่าตัวตายกลับไม่ตายให้กลับอยู่นิรันดรถ้าเขาฟังถูกก็ดีไปถ้าฟังไม่ถูกก็หาว่าเราบ้าว่าเราทำลายไปเสียอีกงั้นอย่าให้ไสยศาสตร์เจริญงอกงามที่ยึดมั่นตัวตนยึดมั่นของตนและคิดพึ่งผู้อื่นไม่คิดพึ่งตนนั้นถ้าเราอ้อนวอนพระพุทธเจ้า อ้อนวอนพระพุทธรูป อ้อนวอนพระเครื่องนี้มันเป็นไสยศาสตร์ตามโบสถ์นั้นแหละเป็นไสยศาสตร์ถ้าเราไม่ได้คิดอย่างนั้นจะไม่ ไม่ต้องอ้อนวอนพึ่งผู้อื่นมันก็เป็นพุทธศาสตร์ทีนี้การคิดพึ่งผู้อื่นแบบไสยศาสตร์เนี่ยมันมีกำลังมากมหาศาลเพราะว่ามันเป็นไปโดย สันชาตญาณทำไมไอ้การคิดพึ่งผู้อื่นมันจึงเหนียวแน่น แน่นแฟ้นเพราะมันเป็นไปได้โดยสันชาตญาณ สันชาตญาณนี้มันประกอบอยู่ไปด้วยอวิชชาจนกว่าเมื่อไรมันจะเป็นภาวิตญาณเกิดขึ้นมาด้วยการกระทำของปัญญาเนี่ยมันจึงจะถูกต้องเป็นสันชาตญาณมันเกิดเองตามธรรมขาตินะมันเป็นสันชาตญาณมีตัวตนค่อยๆ งอกงามออกไปจากสันชาตญาณก็เป็นไอ้เข้มข้นขึ้นมาจนเป็นเห็นแก่ตนถ้ามีตัวตนก็เห็นแก่ตนเป็นธรรมดานะไม่มีตัวตนมันก็ไม่รู้จะเห็นแก่ตนได้อย่างไรมันก็ว่างไปทีนี้เราเห็นแก่ตน เห็นแก่ตน เห็นแก่ตนทวีขึ้น ทวีขึ้น ยิ่งเจริญทางวัตถุถ้าอะไรก็ยิ่งเห็นแก่ตนนะมากขึ้นเท่านั้นนะตนก็เป็นปัญหาแก่พวกนี้ยิ่งๆ ขึ้นไป ผมประท้วงการศึกษาในโลกปัจจุบันทั้งโลกว่ายิ่งสอนยิ่งฉลาดยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตนเพราะไม่สอนเรื่องควบคุมความฉลาดอันนี้ก็ขอ ขอพูดทั่วไปเราพูดแม้แต่ที่นี่ที่กำลังฟังอยู่นี่ก็ขอให้ศึกษาส่วนที่ควบคุมความฉลาดไว้ด้วยพร้อมกันไปอย่าสอนแต่เรื่องให้ฉลาดอย่างเดียว มหาวิทยาลัยในโลกทั้งโลกมันสอนให้ฉลาดอย่างเดียว ก้มหน้าก้มตาสอนแต่ฉลาดอย่างเดียวไม่มีการควบคุมความฉลาดนี่ตัวตนก็เจริญงอกงามเป็นปัญหาทั่วโลกเห็นแก่ตน เห็นแก่ตนปัญหาทุกอย่างทุกประการมาจากเรื่องนี้ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวคนเดียวเอ้ามันก็มีปัญหานอนหลับยากสะดุ้งผวาทรมานตนไปก่อนเสร็จแล้วมันก็ไปทำลายเบียดเบียนผู้อื่นเป็นปัญหาแก่ผู้อื่นคนเดียวก็ลำบากเพราะเห็นแก่ตนครอบครัวนั้นมันเห็นแก่ตนกันก็เป็นครอบครัวที่ยุ่งยากลำบากหมู่คณะประเทศชาติที่เห็นแก่ตนมันก็ลำบากกระทั่งทั้งโลกมันเห็นแก่ตนมันก็ลำบาก พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องไม่มีตนเราไม่เข้าใจก็บอกให้ฆ่าตนมันก็ยิ่งลำบากหนักเข้าไปอีกที่ทุกคนมันเห็นแก่ตน เห็นแก่ตนมากขึ้น มากขึ้นเท่ากับความเจริญของเหยื่อแห่งความเห็นแก่ตนเดี๋ยวนี้มนุษย์ได้ประดิษฐ์เหยื่อที่ทำให้เอร็ดอร่อยสนุกสนานเพลิดเพลินมากกว่าครั้งพุทธกาลหลายร้อยหลายพันเท่าทีเดียวปัญหามันมากมันยิ่งมากขึ้นตามความเจริญของเหยื่อที่ทำให้เห็นแก่ตน ของดีวิเศษแทนที่จะไปใช้ในการทำลายตัวตนมันก็ไปใช้ส่งเสริมตัวตนนะหนังสือหนังหาการสื่อสารอะไรต่างๆ แทนที่จะไปใช้ในการทำลายตัวตนมันใช้ไปเพิ่มตัวตน วิทยุมันมีเพลงที่ทำให้วัยรุ่นจิตทรามมากเหลือประมาณนักมันไม่ได้ส่งไปในทางที่ทำลายความเห็นแก่ตนมันเลือกไอ้ของเอร็ดอร่อยสนุกสนานไปละกัน บางทีไอ้คนเลือกเพลงมันส่งยังเป็นวัยรุ่นซะด้วยซ้ำไปได้เจ้าหน้าที่จัดเพลงส่งทางวิทยุมันส่งเพลงชนิดที่เพิ่มความเห็นแก่ตนให้รู้ว่าที่ไม่ใช่เพลงนะบทวิชาการทั้งหลายมันก็ไปในทางส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทั้งความเห็นแก่ตนงั้นมันไม่มีที่ทำลายความเห็นแก่ตนทางพระพุทธศาสนามันก็ไม่มีโอกาสที่จะแสดงออกมาเราก็อยู่ในโลกที่มืดมนด้วยความเห็นแก่ตน สมัยก่อนมันมีศาสนาแฝงติดอยู่กับการศึกษาเพราะมันศึกษากันในวัดพระก็สอนเรื่องควบคุมความเห็นแก่ตนมีความฉลาดมันก็ไม่แรงกล้าเหมือนเดี๋ยวนี้ซึ่งมันแยกออกไปเป็นอิสระ se......(นาทีที่ 52.58) แยกศาสนาออกไปจากการศึกษามันทำให้เกิดปัญหายุคปัจจุบัน ถ้าโบราณแท้ๆ มันมีวัฒนธรรมประจำเรือนประจำบ้านคอยควบคุมความเห็นแก่ตนคือควบคุมความฉลาดที่มันๆ จะพาไปหาความเห็นแก่ตนเดี๋ยวนี้วัฒนธรรมอย่างนั้นก็หมดแล้วการศึกษาก็ถูกแยกออกไปแล้วจากการศาสนาปัญหาก็เกิดขึ้นแก่มนุษย์ตัวตนก็มหาศาลๆ ยิ่งขึ้นทุกทีและไม่มีใครคิดที่จะกำจัดความเห็นแก่ตน เราจึงบอกเขาว่าเนี่ยฆ่าตัวตนฆ่าตัวเองเป็นสิ่งที่ควรกระทำมันจะไม่เห็นแก่เห็นแก่ธรรมะเห็นแก่ความถูกต้องเห็นแก่เพื่อนมนุษย์เกิดแก่เจ็บตายไม่เห็นแก่ตนมันเห็นแก่ธรรมะคือความถูกต้องและเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ที่เกิดแก่เจ็บตายมันรักผู้อื่นได้มันได้เป็นอันว่าเรานึกถึงไอ้ความยุ่งยากลำบากของภาษาที่ใช้พูดจานี้มันก็ยากลำบากเพราะความมีตัวตนหรือความเห็นแก่ตนนี้มันได้เปรียบโดยสันชาตญาณผมเชื่อเหลือเกินว่าไอ้ ชาวอินเดียเนี่ยมันมาที่นี่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เพราะเรื่องใน เออ.....(นาทีที่54.45) หรือตอนไหนก็ลืมไปซะแล้วพูดถึงชาวอินเดียมาสุวรรณภูมิระบุชื่อต่างๆ ชื่อแปลกๆ ชื่อบ้านชื่อเมืองที่สุวรรณภูมิเราพบว่าศึกษาโบราณคดีคือถ้าให้กล่าวได้ว่าไอ้วัฒนธรรมอินเดียคำสอนอย่างฮินดูนะมีตัวตนมาถึงที่นี่ครั้งก่อนพุทธกาลนานไกลถือกันว่าพุทธศาสนาเพิ่งมาเมื่อสมัยอโศก พ.ศ. ตั้งสามร้อยเนี่ยไอ้พวกวัฒนธรรมอินเดียจะคงจะมาก่อนพุทธกาลหลายร้อยหรือพันๆ ปีก็ไม่แน่มันมาสอนลัทธิมีตัวตนตามแบบของฮินดู ลัทธิอุป...(นาทีที่ 55.35) ประเสริฐสุดของอินเดียเนี่ยมันมีตัวตนทั้งนั้นแหละและก็มาสอนเรื่องตัวตนมีตัวตนมีเจตภูติมีวิญญาณมีอะไรเข้าไว้ก่อนแน่นแฟ้นประกอบกับสันชาติญาณของคนเหล่านั้นมันก็มีอยู่แล้วนะโดยสันชาติญาณนะแหละไม่ว่าชาติไหนภาษาไหนทีนี้เขาก็อย่างนี้วิเศษที่สุดคำสอนประเสริฐที่สุดของ อุ..... (นาที่ที่ 56.03) มาสอนให้มีตัวตนมีตัวตนยืนโรงเวียนว่ายตายเกิดไปเป็นตัวตนที่ถาวรไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดให้คำสองคำร่วมกันนั้นจึงฝังแน่นอยู่ในจิตใจแน่คนไทยเราพระพุทธศาสนามาทีหลังอ่านเรื่องราวประกอบเพราะว่าพระสรณะอุตระต้องมาต่อสู้ด้วยอุปสรรคความยากลำบากต้องปราบผีปราบยักษ์ปราบอะไรมากมายก่อนที่จะไปสอนพุทธศาสนาได้เข้าใจว่ามันมาปะทะกับเรื่องนี้ที่เขาถือฮินดูกันอย่างถือศาสนาพราหมณ์อย่างยิ่งอย่างแน่นแฟ้นสอนไม่ลงสอนไม่เข้าสอนกับประชาชนพวกนี้ไม่เข้าไม่ยอมไม่ยอมรับต้องใช้คำว่าปราบยักษ์ปราบผีปราบอะไรกันก่อนเสียเป็นการใหญ่ก่อนจึงสอนได้นี่เรื่องตัวตนเขารับเอาตัวตนเข้าไว้เต็มที่เป็นน้ำชาล้นถ้วยนิดหนึ่งมันสอนเรื่องอนัตตาไม่ลงไม่ได้แต่แล้วในที่สุดก็ดูแล้วได้ไปตามแกนๆ เดี๋ยวนี้มันก็ยังคือตัวตนคือไสยศาสตร์มากกว่าถือพุทธศาสตร์ที่มีตัวตน ตัวตน เอาละช่วยกันสอนพุทธศาสตร์ให้ก้าวหน้าไปในทางพุทธศาสตร์บรรเทาตัวตนลดตัวตนกระทั่งฆ่าตัวตนไปในที่สุดสอนอนัตตาให้ถูกต้องอย่าสอนให้เป็นนิรัตตาไปเสียอนัตตากับนิรัตตานั้นต่างตรงกันข้ามอันโน้นเป็นมิจฉาทิฏฐิไม่มีอะไรเลยมันสุดโต่งเป็นอุจเฉททิฏฐิ นัตถิกทิฏฐิ ส่วนอัตตานี่ผมว่าเกินไปเป็นสัสสตทิฏฐิ ถ้าเป็นอนัตตามีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนคำนี้พูดแล้วฟังดูเหมือนกับพูดเล่นแต่เป็นความจริงที่สุดตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนมีตัวเราซึ่งมิใช่ตัวเราอนัตตาอนัตตามันไม่ใช่ตัวตนในความรู้สึกว่าตัวตนของเรานั่นแหละมันมิใช่ตัวตนพูดตัวตนก็เป็นภาษาคนพูดไม่มีตัวตนก็เป็นภาษาธรรมและก็ตีกันยุ่งนี่เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจและก็ทำให้สำเร็จประโยชน์ควรจะไปโบสถ์พระแก้วมากกว่าไปเอราวัณและในวันนี้ผมก็ไม่มีอะไรที่จะพูดมากนักก็พูดคำเดียวว่าฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเป็นสิ่งที่ควรกระทำ เป็นสิ่งที่ควรกระทำมันจะว่าบ้าว่าบอก็ช่างหัวมันมันจะด่าก็ตามใจให้ถือเป็นหลักว่าพระพุทธศาสนามันแปลกจากศาสนาอื่นใดทั้งหมดก็คือว่ามีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนพวกอื่นเขาสอนตัวตนสุดเหวี่ยงหรือไม่มีตัวตนเสียเลยก็ตามใจเขาในบรรดามิจฉาทิฏฐิทั้งหลายเรามีสัมมาทิฏฐิตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนพอเห็นคำนี้เห็นความจริงข้อนี้นั่นแหละคือฆ่า ฆ่าตัวตาย เห็นตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนนั่นแหละเป็นการฆ่าตัวตายที่ทำให้ไม่รู้จักตาย ให้เกิดใหม่มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นเพื่อน เออขอฝากไว้ให้คิดดูไม่ใช่บอกให้เชื่อเลยเราถือกาลามสูตรเคร่งครัดที่สุดเราจะไม่เชื่อทันทีที่ได้ยินได้ฟังเราจะไปมีเหตุผลโอ้มันเป็นอย่างนั้นได้จริงก็ลองดู ตายเสียก่อนตายสบายเหลืออยู่ในชีวิตชนิดที่ไม่มีอุปาทานว่าตัวตนสบายเหลือ พุทธศาสนาก็ให้ปริญญาเนี่ยสิ้นไฟแห่งราคะ สิ้นไฟแห่งโทสะ สิ้นไฟแห่งโมหะนี้ปริญญาพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างนี้ปริญญามีสามคือราคะ....โมหะ.....โทสะ...(นาทีที่ 1.00.35) นี่คือปริญญาสามช่วยกันหน่อยนะช่วยกันให้พระพุทธศาสนาแจ่มใสสดใสจริงจังขึ้นมาใช้คำว่าสิ้นสุดแห่งความทุกข์แปลว่าความสุขก็เป็นภาษาคนภาษาโลกถ้าพูดว่าสิ้นสุดแห่งความทุกข์โดยประการทั้งปวงเนี่ยไม่บวกไม่ลบนะไม่สุขไม่ทุกข์นะเหนือสุขเหนือทุกข์สิ้นสุดแห่งความทุกข์ถ้าพูดว่าสุขเป็นบวกมันเป็นไอ้แบบภาษาคนฆ่าตัวตายนั้นไม่เป็นบวกไม่เป็นลบไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือเพราะหมดตัวตนแล้วมันจะยึดถืออะไร ก็ๆ แถมพกหน่อยว่าเดี๋ยวนี้ปัญหานี้ยากยุ่งยากที่จะทำให้ ให้เลิกไสยศาสตร์ ไสยะ ไสยะผมแปลเอาเองนะว่าหลับ พุทธะ พุทธะก็แปลว่าตื่นมันเป็นตรงกันข้ามหลับด้วยอวิชชา หลับด้วยอวิชชามีตัวตนและมันลามปามเข้ามาในพุทธศาสนาไสยศาสตร์มันรุกที่ รุกเนื้อที่เข้ามาในพุทธศาสตร์จนในโบสถ์บางโบสถ์อย่าออกชื่อนะเต็มไปด้วยไสยศาสตร์พระพุทธรูปมีชีวิตจิตใจนะเป็น an….. (นาทีที่ 1.02.28) โดยไม่รู้ตัวพระพุทธรูปมีสิงสถิตย์แห่งวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บนบานศาลกล่าวด้วยนั่นด้วยนี่แล้วแต่พระพุทธรูปองค์ไหนเขาชอบฉันอะไรเนี่ยมันเป็นไสยศาสตร์บางโบสถ์และก็อ้อนวอน และก็อ้อนวอนแล้วก็เอามาแขวนคอว่าคุ้มครองได้ คุ้มครองได้นั้นมันเป็นไสยศาสตร์พระเครื่องมาแขวนคอพวกโจรมันก็แขวนนะที่หมามันก็แขวนเพราะว่าไอ้เจ้าของมันรักกันมันเอาเป็นไสยศาสตร์ถึงขนาดนี้ใช่มันเป็นปัญหาเหลือประมาณไสยศาสตร์นี่ไม่รู้จะเอาออกไปยังไงมันฝังแน่นแฟ้น มันฝังแน่นแฟ้นยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยบางโบสถ์ก็สั่นแต่เซียมซีไม่ได้ทำอะไร เอมาเหอะสรงน้ำมาทาน้ำหอมให้พระพุทธรูปนี่มันหมายความว่าอย่างไรคิดดูมันหมายความว่าอย่างไรพระพุทธเจ้ายังต้องนุ่ง นุ่งๆ ผ้าอีกและยังต้องสรงด้วยน้ำหอมใส่น้ำหอมเนี่ยลามปามมาถึงจะมาทำกับพระเถระ พระเถระบางองค์ก็เอาด้วยนะมันก็ยุ่งกันใหญ่ผมก็อวดหน่อยมีคนมาขอทำกับผมแต่ผมบอกไม่เอาฉันไม่ๆ ทำไม่ได้หรอกอย่างนี้อย่าเอาน้ำหอมมาล้างมือล้างเท้าทำไม่ได้บ้าก็ไม่ค่อยชอบหรอก ไม่ชอบหรอก ไม่ชอบหรอกกลับเอาพระพุทธรูปมาอาบน้ำมาทาน้ำหอมมาเออ งั้นขอให้สังเกตให้ดูว่าไสยศาสตร์มันรุกกินเนื้อที่ของพุทธศาสตร์เรามากๆ จนแทบจะหาไม่ค่อยพบมีตัวตนมียึดมั่นแห่งตัวตนเอาได้เอาดีเอาสวยเอารวยเอา การมาขอให้ช่วยรดน้ำมนต์นั่นผมบอกว่าน้ำในนี้น้ำมนต์ น้ำเลี้ยงปลา ให้เป่าหัวเนี่ยมากที่สุดพอบอกไม่ได้เรียนทำไมเป็นมันทำตาโกรธแน่ะทำหน้าตาทะลึ่งจุ๋นๆ ว่าเราทำไม่เป็นทำไมทำไม่เป็นเป็นอาจารย์พุทธทาสทำไมทำไม่เป็นว่าๆ ไม่ได้เรียน ไม่ได้เรียนทางเป่าหัว แล้วทำไมไม่เรียนละ ไม่เชื่อเนี่ย ฉันไม่เชื่อเนี่ยฉันจึงไม่เรียนมันเลยโกรธ เราไม่เชื่อการทำอย่างนั้นจะมีประโยชน์เลยไม่ได้เรียนวิธีเป่าหัวหรือว่ารดน้ำรด นี่มันไสย-ศาสตร์กำลัง มีกำลัง มีกำลัง พุทธศาสตร์มันจะถอย กำลังถอย กำลังถอย ถ้าทำอย่างนี้ก็หมดพุทธศาสนาแหละมันจะหมดพุทธศาสนาเพราะไสยศาสตร์ช่วยกันหน่อยเถอะว่ากีดกันออกไป กีดกันออกไปอย่าให้มันเป็นไสยศาสตร์ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนคอก็เป็นพุทธานุสติกันลืมพระพุทธเจ้าให้ระลึกถึงธรรมะอันสูงสุดอยู่เสมออย่าแขวนกันอย่างไสยศาสตร์คุ้มครองป้องกันอย่างไสยศาสตร์ให้รวยให้สวยให้ปลอดภัยก็ขอให้ชี้ให้ดูเหอะพวกโจรนอนตายอยู่ก็มีพระเครื่องแขวนคอนั่น ไสยะแปลว่าหลับ พุทธะแปลว่าตื่น อืมมันมันเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามอยู่งั้นขอให้ลดไสยศาสตร์การที่จะเลิกไสยศาสตร์ผมคิดตามลำพังว่าเป็นไปไม่ได้เพราะว่าคนโง่มันยังมีอยู่ตลอดเวลาคนหลับมันมีอยู่ตลอดเวลามันเชื่อไม่ได้โดยเฉพาะพวกผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชายเด็กๆ ก็ยังต้องถือไสยศาสตร์พอเกิดออกมามันก็ถูกทำให้เชื่อไสยศาสตร์ผมก็เหมือนกันนะเมื่อเด็กๆ เนี่ยเคยไปบนบานให้สอบไล่ได้ที่เจดีย์ที่ไหนมันก็ถูกทำอย่างนี้เราก็ไม่รู้ไม่ชี้เขาให้ทำเขาบอกให้ทำก็ทำไปงั้นให้อะไรให้ไปทำศักดิ์สิทธิ์ของพระเจดีย์องค์นั้นมาช่วยให้สอบไล่ได้กว่าจะเลิกได้นานของหายก็บนนั่นบนนี่ให้ของได้มาคืนมานั้นเป็นเรื่องไสยศาสตร์ที่ถูกสอนถูกมอบให้ตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่เป็นทารกแต่ว่าผมไม่เคยแขวนพระเครื่องจะโชคดียังไงก็ไม่รู้แม่พ่อแม่ไม่เคยแขวนให้พ่อนั้นไม่ชอบไม่เคยไหนไม่เคยแขวนพระเครื่องเขาตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้อืมแต่ว่าสนใจพระพุทธเจ้าพระองค์จริงพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่อยู่ตลอดเวลาทีนี้มันก็มองดูดิว่าถ้าคนมันยังเกิดอยู่เรื่อยและพอเกิดมาในท้องมันโง่ก็เก็บไสยศาสตร์ไว้พวกนี้เป็นจุดตั้งต้นให้เขามาโง่ๆ และก็เกิดความทุกข์และก็กลัวความทุกข์จะล้างความทุกข์และค่อยๆ มาสู่พุทธศาสตร์กันตอนหลังนี่ถือว่าไสย-ศาสตร์เป็นของขวัญสำหรับคนโง่เมื่อคนโง่มันยังไม่สิ้นไปในโลกไสยศาสตร์มันก็ต้องมีแต่ว่าเมื่อคนมันฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้นมันก็หมดไปเองมันเท่ากับการศึกษามันเจริญไปในทางว่าเด็กไม่ถูกมอบหมายในไสยศาสตร์มันคงจะดีกว่านี้แต่วิทยาศาสตร์มันก็ยังไม่เจริญไม่เจริญมากถึงจะขนาดเข้ามาเกี่ยวข้องในบ้านเรือนตั้งแต่เล็กอย่างนี้ไสยศาสตร์เขาก็ได้โอกาสได้หน้าที่กันไปก่อนความอยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลนะมันสอนยากนะมันเป็นไปตามอำนาจความกลัวความหลงเรื่อยๆ ไป ความอยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลยากที่จะมี ยากที่จะมีถ้าไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผลก็ไม่เป็น ไม่เป็นพุทธศาสตร์ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีเออเขียนบทความหนึ่งยังติดอยู่ในใจผมว่า ตื่นขึ้นมาสะดุ้งเพราะว่าเขาตีฆ้องตีกลองตีอะไรต่าง ๆ ลั่นไปทั้งๆ ๆ ๆ บ้านคือเป็นจันทรคราส ท่านก็ได้ความรู้สึกว่าแล้วๆ ถึงเวลาแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาบังคับให้มันเรียนก่อนนี้ยังไม่ได้ใช้ยังไม่บังคับนี่มันถึงเวลาแล้วที่จะต้องบังคับใช้พระราชบัญญัติให้มันเรียน ให้มันเรียน ให้มันหายโง่ ให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมา เมื่อผมไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ที่กรุงเทพฯนะ ก็ได้ยินตีฆ้องตีกลองตีป่าวเนี่ยว่าเป็นจันทรคราสอยู่นะอยู่เหมือนกันนะเดี๋ยวนี้ไม่ทราบว่ายังไง ตัวในกรุงเทพฯ เองมันก็ยังมีตีอะไรประโคมอะไรกันใหญ่เมื่อมีจันทรคราสเดี๋ยวนี้มีไม๊ หือ ได้ยินไม๊ ถ้าไม่มีก็ดี ยังมีลัทธิวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผีสางเทวดาอย่างแบบคนป่าอยู่ไม่ใช่พุทธศาสตร์มีตัวตนจัด ๆ จนไม่รู้จะไปทางไหนกัน สุขทุกข์มันขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านั้น สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากปัจจัยเหตุปัจจัยตามปฎิจจสมุปบาท สุขทุกข์เกิดจากไอ้ผีสางเทวดาอะไรไม่รู้ อย่างดีก็เกิดจากกรรมเก่าข้อนี้สำคัญมากในพระบาลีมีใช้ นั.......(นาทีที่ 1.11.50) สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่านะแต่เดี๋ยวนี้เชื่อทั้งเกือบจะทั้งบ้านทั้งเมืองมันเชื่อว่ากรรมเก่ามันผืนพระพุทธภาษิตข้อนี้ นั.......(นาทีที่ 1.12.02) สุขทุกข์ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยนี่ก็ไม่ถูก มีเหตุมีปัจจัยแต่มิใช่กรรมเก่ามิใช่พระเจ้า นิมมานคือบันดาลให้เป็นไป พระเจ้าคำนี้ใช้ว่าอิสระ อีสวระ อิศวรเป็นบาลีมันก็เป็นอิสระเป็นสันสกฤตก็เป็นอีสวระ สมัยพุทธกาลยังไม่มีพระอิศวรพระนารายณ์พระพรหมหรอก คำว่าอิสวระหมายถึงพระเจ้า กลางๆ อย่างเดียวกับคำว่า God God สมัยนี้คือคำว่าอิสวระในสันสกฤตและอิสระในภาษาบาลีไปเปิดดู น...... (นาทีที่ 1.12.50) อิสระ อิสระ นั่นแหละคือคำว่า God ของสมัยปัจจุบัน มันก็หมายถึงผีสางเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรด้วยรวมอยู่ในพวกนั้น อันที่ว่ามิใช่กรรมเก่านี่แปลกมากมันผืนความรู้ที่เขารู้ที่เราเรียนรู้ ถ้าพระพุทธเจ้ามาระบุว่าทำ ทำไม่ถูกผิดทำต่อกฎอิทัปปัจจยตา คือมันไปมีอิทัปปัจจยตาฝ่ายเกิดมันก็เกิดทุกข์ ถ้ามีอิ-ทัปปัจจยตาฝ่ายนิโรธะ นิโรโทมันก็ไม่เป็นทุกข์นะและถ้าสมมติกรรมเก่า กรรมเก่ามันติดมาจะให้เป็นทุกข์ถ้าเรามีอิทัปปัจจยตาฝ่ายดับมันทุกข์ไม่ได้นะ ถ้าสมมติว่ากรรมเก่ามันจะมีมาแต่ชาติก่อนจะมาทำให้เราทุกข์เราไม่ทุกข์ก็ต่อสู้ด้วยเหตุผลของอิทัปปัจจยตา ฝ่ายดับถือให้เป็นเหตุปัจจัยที่ถูกต้องอย่าให้มันเป็นไสยศาสตร์ การถือว่าเพราะกรรมเก่าเขาก็มีกลิ่นไอแห่งไสยศาสตร์ หากถ้าไม่เป็นไปตามเหตุผลตามกฎอิทัปปัจจยตาและก็มีความเป็นไสยศาสตร์ไม่มากก็น้อยแต่ว่าคุณย่าคุณยายอุบาสกอุบาสิกาเค้าไม่ยอมอะเค้ามัวแต่อ้างกรรมเก่า อ้างกรรมเก่าและมันก็ทำอะไรไม่ได้นิ มีความรู้พุทธศาสนาแท้มีอำนาจที่จะบีบคั้นบังคับกรรมเก่าให้หมดความหมาย ตัดตัวตนทำใหม่เลิกตัวตนปัญหาก็หมดไปเพราะปัญหามันทั้งหลายมันมีอยู่ที่ความมีตัวตน ถ้ามีตัวตนมันอยู่ที่หลงบวกหลงลบอะหลงอวิชชาและโทมนัสอะ เอาละเราพูดกันถึงเรื่องหัวใจแห่งพุทธศาสนานะทำลายความรู้สึกว่าตัวตนเสียเลิกละอหังการ มมังการ มานานุสัยเสียเลิกได้หมดก็เป็นพระอรหันต์โดยแน่นอน เลิกได้บางส่วนก็เป็นพระอริยบุคคลไปตามลำดับ ผมรู้สึกว่าไอ้ความอะไรอย่างที่เรากำลังพูดๆ กันอยู่นี่เป็นนักธรรมชั้นพิเศษที่สูงไปกว่านักธรรมเอกช่วยทำกันให้มากๆ โดยเฉพาะในมหาวิทยาลัยนะเรียนธรรมะชั้นพิเศษคืออีกชั้นหนึ่งเถอะ ตรี โท เอกนะมันไม่พอเอาได้ 4 ขีดดีกว่าที่บ่านะ มันเป็นชั้นพิเศษขึ้นมาเรียนรู้ในสิ่งเหล่านี้นะถูกต้องเข้าใจทุกคำ ทุกคำ กระทั่งรู้เรื่องอัตตา อนัตตาดีที่สุดนะใช้ได้จบที่นั่น เอาเหอะไว้คืนนี้ ไก่มันเตือนเร็วไปหน่อย 15 นาทีแล้วก็ขอให้ยุติให้การบรรยาย