แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมิกที่เป็นนวกภูมิ ที่อยู่ในนวกภูมิทั้งหลาย การบรรยายในวันนี้ จะกล่าวโดยหัวข้อว่า อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิต ฟังดูก็ยังไม่รู้ว่าอะไร อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิต
ไอ้ข้อแรกที่เราจะต้องรู้จักกันก็คือคำว่าอารมณ์ อารมณ์นั่นเอง อารมณ์คืออะไร คำว่าอารมณ์ในภาษาธรรมะ หรือภาษาศาสนานั้นก็หมายถึงสิ่งที่จิตเข้าไปถือเอาหรือสิ่งที่จิตถือเอาก็แล้วกัน ไม่ใช่ความหมายอย่างภาษาไทยน่ะ ที่งาสอารมณ์เสีย อารมณ์ร้าย อารมณ์อย่างนั้น อารมณ์อย่างนี้ หรือว่าในภาษาฝรั่งที่เขามักจะแปลกันว่า mood หรือ emotion นี้มันก็ มันเหมือนกับในภาษาไทย ไม่มีความหมายที่ถูกต้องตามความหมายในทางธรรม หรือทางศาสนาเลย
จึงขอให้สนใจที่จะศึกษาคำว่า อารมณ์ ตามความหมายในทางภาษาธรรมหรือเป็นหลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะ หรือถ้าจะศึกษาในฐานะเป็นไอ้ธรรมะอันลึกของธรรมชาติในหลักวิทยาศาสตร์แล้วล่ะ อารมณ์นี่มันมีความหมายมากสำคัญมาก และมันเกี่ยวข้องกันอยู่กับเรา อารมณ์ก็คือโลกๆๆทั้งหมด โลกทั้งหมด ในโลกนี้ไม่มีอะไรนอกจาก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ โลกทั้งหมดประกอบอยู่ด้วยอารมณ์หก
ถ้ามองดูในแง่ที่เกี่ยวกับมนุษย์ก็คือสิ่งที่มันครอบงำเรา เราเป็นทาสของมัน ช่วยจำไว้ว่าอย่างนั้นน่ะ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายมันเป็นธาตุของอารมณ์ ทาส “ส” สะกดน่ะ ทาส ขี้ข้า ไม่ใช่ ธาตุ ธา-ตุ รับใช้อารมณ์ แต่บางทีก็พูดไปอีกความหมายหนึ่งว่าเป็นทาสของอายตนะคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เที่ยวแสวงหาอารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มันก็เป็นธาตุอารมณ์กันได้ เป็นธาตุอายตนะก็ได้ แล้วแต่จะเรียก แต่แล้วในที่สุดมันเห็นชัดว่าเป็นธาตุของอารมณ์ เพราะมันอยากจะได้อารมณ์
คนเรามันอยากจะได้อารมณ์สุข สนุกสนาน เอร็ดอร่อย ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ กันอยู่ทุกวัน คุณอุตส่าห์เล่าเรียนได้สูงๆ ทำงานได้เงินเดือนแพงๆ เพื่อไปเป็นธาตุของอารมณ์ที่มันสูงขึ้นไป มันแพงขึ้นไป มันไม่มีอะไร ฉะนั้น เราจะต้องรู้จักสิ่งนี้ให้ดีๆ มันเป็นทั้ง passive และ active คือว่ามันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาโดยเหตุ คือผลน่ะ ผลมันเกิดเป็นผลขึ้นมา ถูกกระทำ แล้วมันก็ทำสิ่งอื่นต่อไป คือมันกลายเป็นเหตุ นี่เป็นหลักธรรมะที่สำคัญที่สุดว่าสังขารทั้งหลาย สิ่งปรุงแต่งทั้งหลาย มันเป็นทั้งเหตุ มันเป็นทั้งผล
บางทีมันทำหน้าที่เป็นเหตุเกิดผลขึ้นมา พอเกิดผลขึ้นมาแล้วมันทำหน้าที่เป็นเหตุปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไป นี่คือว่าอาการของสิ่งที่เรียกว่าสังขาร อารมณ์มีความหมายชนิดนี้โดยเฉพาะ แสวงหาได้มาๆ พอใจเอร็ดอร่อยเป็นผล แต่แล้วมันก็บังคับหรือปรุงแต่งให้ทำอะไรต่อไปอีก มันเป็นได้ทั้งเหตุและทั้งผลในลักษณะอย่างนี้ เราจึงเป็นทาสของมันโดยไม่รู้สึก โดยไม่สิ้นสุดด้วยซ้ำไป ขอให้รู้จักกันไว้ให้ดีดี
เราได้พูดกันมาแล้วในวันก่อนเรื่องขันธ์ ๕ เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทั้งสองเรื่องมันเกี่ยวกับอารมณ์ทั้งนั้นเลย ถ้าไม่มีอารมณ์ก็ไม่มีขันธ์ ๕ อายตนะภายในถึงกันเข้ากับอายตนะภายนอกเกิดวิญญาณ นั่นแหละมันเป็นอารมณ์ อายตนะภายในเป็นอารมณ์ของ อายตนะภายนอกเป็นอารมณ์ของอายตนะภายใน มันเกิดวิญญาณรู้สึกต่ออารมณ์นั้นๆที่เรียกว่าผัสสะ นั้นมันเป็นรูปขันธ์ เป็นวิญญาณขันธ์แล้วนะ ... (นาทีที่ 07.58)แล้วมีเวทนาเป็นเวทนาขันธ์ สำคัญมั่นหมายต่อเวทนานั้นเป็นสัญญาขันธ์ มั่นหมายต่อเวทนาเป็นสัญญาขันธ์ ตกอยู่ด้วยอำนาจของสัญญาขันธ์แล้วก็มีสังขารขันธ์ คิดนึกๆๆไปยาวๆจนเกิดการกระทำ นี้อารมณ์มันก็เกี่ยวกับเบญจขันธ์อย่างนี้
ถ้ามันเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทก็คือว่าพอมันสัมผัส แล้วมันก็เกิดเวทนาไปตามลำดับของปฏิจจสมุปบาท เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน เกิดภพ เกิดชาติ เกิดทุกข์ทั้งปวง มันก็ตั้งต้นที่อารมณ์เหมือนกันแหละ กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทจึงได้เกิดขึ้นและก็เป็นไปๆๆ เพื่อจะเข้าใจเรื่องขันธ์ ๕ ดี เรื่องปฏิจจสมุปบาทดี มันก็ต้องรู้เรื่องอารมณ์ เข้าใจเรื่องอารมณ์ เอาไปต่อกันเข้าสิ แล้วก็จะบอกฟังว่ามันจะต่อกันได้อย่างไร
อารมณ์ๆ ถ้าเรารู้เรื่องอารมณ์ถูกต้องครบถ้วนแท้จริงแล้ว มันจะง่ายในการที่จะควบคุมขันธ์ ๕ ควบคุมขันธ์ทั้ง ๕ อย่าให้กลายเป็นอุปาทานขันธ์แล้วเกิดทุกข์ มันจะง่ายในการที่จะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท อย่าให้มันปรุงแต่งไหลไปเป็นทุกข์ มันง่ายอย่างนั้น มันมีประโยชน์อย่างนั้น แต่ว่าเรายังจะต้องฝึกสมรรถภาพในการควบคุม ดังนั้นเราจึงฝึกอานาปานสติเพื่อให้เรามีสติมากพอ สัมปชัญญะมากพอ ปัญญามากพอ สมาธิมากพอ เพียงพอก่อนที่จะควบคุมอารมณ์ แล้วก็รวดเร็วอย่างสายฟ้าแลบ พอที่จะทันควัน ทันควันกันกับอารมณ์
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกัน ไม่รู้เท่าอารมณ์เกิดขันธ์ขึ้นมาก็เป็นอุปาทาน เป็นอุปาทานขันธ์ก็เป็นทุกข์นะ หรือพูดอีกแนวหนึ่งก็มันปรุงเป็นกระแสปฏิจจสมุปบาทก็เป็นทุกข์ขึ้น ถ้ามีสติปัญญาสัมปชัญญะควบคุมได้มันก็เป็นขันธ์ล้วนๆที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ แล้วกระแสปฏิจจสมุปบาทก็ไม่อาจจะเกิด หรือแม้จะเกิดขึ้นมาได้ก็จะหยุดชะงักเสียได้ในท่ามกลางไม่ไปจนถึงเกิดความทุกข์ ฉะนั้น ขอให้รู้จักอารมณ์ๆ คือสิ่งที่ สรุปความว่าสิ่งที่จิตจะตะครุบเอา หรือที่มันจะเข้ามาหาจิตให้จิตตะครุบเอาน่ะคืออารมณ์ หรือที่ว่ามันเป็นเหยื่อของอายตนะที่เราจะต้องการให้เอร็ดอร่อยสนุกสนาน มันก็เป็นนายเรา อารมณ์มันเป็นนายเรา เราเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอาตยนะ
ว่าที่จริงกันแล้วมันก็จะต้องพูดว่าการเข้ามาบวชกันสักทีหนึ่งในลักษณะอย่างนี้ ก็เพื่อจะให้รู้จักเรื่องนี้ ถูกต้องเพียงพอ ออกไปดำเนินชีวิต ครองชีวิตอยู่ในโลกชนิดที่เป็นผู้ชนะ ชนะต่อความทุกข์ ชนะต่อสิ่งที่มันจะข่มเหง นี่คืออารมณ์ๆ ตัวศัพท์ Root ของคำก็แปลว่า หน่วงเอาๆ ว่ามันเป็นที่หน่วงเอาของจิต สิ่งใดเป็นที่หน่วงเอาของจิตสิ่งนั้นเรียกว่าอารมณ์ ไม่เอาตามภาษาไทย ไม่เอาตามภาษาฝรั่ง ถ้าจะต้องพูดเป็นภาษาฝรั่ง เราจะใช้คำว่า object มากกว่า ไม่ใช่คำว่า mood ไม่ใช่คำว่า emotion
อ้าว... ทีนี้ก็จะพูดกันต่อไปถึงข้อที่ว่าอารมณ์ๆนี้ไม่ใช่ของจริง เป็นมายา เป็นเพียงมโนภาพที่จิตมันสร้างขึ้น มโนภาพที่จิตมันสร้างขึ้น คำนี้ก็แปลยาก อธิบายยากอีกน่ะ มโนภาพเป็นคำใหม่ๆที่เพิ่งผูกกันขึ้นในภาษาไทยสำหรับใช้กับคำว่า imagination มโนภาพ ตัวหนังสือก็ฟังยากเป็นภาพแห่งจิตอย่างนี้ก็ไม่ถูก เป็นภาพที่จิตสร้างขึ้นนั้นแหละถูก มโนภาพ คือจิตมันได้กระทำขึ้น ภาษาฝรั่งนี้จะพอตรงกันได้กับคำว่า imaginative imagine เป็นกิริยา imaginative เป็น adjective imaginatively เป็น adverb แล้วก็ที่มันเป็น noun คือ imagination สิ่งที่ถูก image ขึ้นมา นี่เรียกว่ามโนภาพ
อารมณ์ๆมันเป็นสิ่งที่ imagine ขึ้นมาจึงจะมีอิทธิพลต่อชีวิต ถ้ามันอยู่ตามธรรมชาติ อยู่ของมันตามธรรมชาติในจักรวาลอะไรนั้นไม่ทำอะไรเราหรอก ต่อเมื่อมันได้มาเกี่ยวข้องกับเรา จิต imagine เป็นสิ่งใหม่สิ่งหนึ่งขึ้นมาตามความมุ่งหมาย ตามความต้องการ ตามกิเลสตัณหาของจิต นี่มันจึงจะเข้าไปสู่จิตได้ คุณฟังให้ดี ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ เป็นรูป เป็นก้อนแข็งๆ จะเข้าไปในจิตได้อย่างไรเล่า
รูปก็ดี เสียงก็ดี เป็นธาตุตามธรรมชาติ เป็นวัตถุมันเข้าไปในจิตไม่ได้หรอก แต่มันมีคุณค่า มีความหมายอะไรที่จิตมันถือเอาความหมายนั้น แล้วมันก็สร้างภาพโดยจิต โดยทางจิตขึ้นมา ในความหมายอย่างนั้นมันจึงสามารถซึมแทรกเข้าไปในจิตใจ ในจิตใจ เป็นก้อนแข็งๆมันจะเข้าไปได้ ก้อนอิฐ ก้อนหินนี่ ก้อนข้าว ก้อนอะไรมันจะเข้าไปอย่างไรได้ ต่อเมื่อมันถูกยึดเอาความหมายมันก็สร้างเป็นภาพความหมายนั้นขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฏฐัพพะ เป็นธรรมารมณ์ ล้วนแต่ความหมาย เรียกว่าคุณค่าหรือคุณสมบัติของมัน มันก็มีอัสสาทะ มีรสอร่อยตามแบบของมัน ให้มันสร้างความหมายขึ้นมาก็กลายเป็นพวกนามธรรม หรือเป็นเรื่องทางจิต
ถ้าเราไม่โง่ ไม่ไปกระทำให้มันมีความหมายทางจิต คือไม่ imagine ให้เป็นเรื่องทางจิตแล้วมันทำอะไรไม่ได้ อย่างสมมุติว่าคนหนุ่มรักผู้หญิงสักคนหนึ่ง แล้วผู้หญิงทั้งเนื้อทั้งตัวน่ะ มันจะเข้าไปในจิตของคนหนุ่มคนนั้นได้อย่างไร มันเป็นวัตถุ มันเป็นก้อนนี่ ต่อเมื่อจิตมัน imagine ความหมายของความเป็นหญิง มันกลายเป็นนามธรรมขึ้นมาทันที มันไม่ใช่รูปธรรม อย่างนี้เป็นพวกนามธรรมเป็นพวกจิตด้วยกัน มันก็เข้าไปสิงสถิตอยู่ในหัวใจของไอ้หนุ่มคนนั้นเต็มแบบ ได้เต็มที่
คำว่า imagine หมายความว่ามันถือเอาความหมายที่สำคัญที่สุดของสิ่งนั้นๆของอารมณ์นั้นๆ เป็นสิ่งใหม่ขึ้นมามีลักษณะเป็นนามธรรม ถ้าไม่มีลักษณะเป็นนามธรรมแล้วมันเข้าไปในจิตใจไม่ได้ ฉะนั้น รูปก็ดี เสียงก็ดี กลิ่นก็ดี รสก็ดี โผฏฐัพพะก็ดี มันต้องถูกกระทำให้เป็นนามธรรม เป็นอารมณ์ของมโน หรือเป็นมโนขึ้นมา นี่เรียกว่ามโนภาพ ที่คุณฟังมาแล้วว่าพอมันมีการกระทบของอายตนะภายนอกภายใน มันก็เกิดจักษุวิญญาณ เกิดจักษุวิญญาณ สัมผัสอารมณ์ภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนี่
แล้วมันไม่ได้สัมผัสเฉยๆ มันถือเอาความหมาย ถือเอาความหมาย มันจึงเกิดความหมายของรูป ของเสียง ของกลิ่น ของรส ของโผฏฐัพพะ ในความหมายที่เป็นนามธรรม แล้วก็มีสัญญา สัญญานั้นน่ะ สำคัญมั่นหมายลงไปที่สิ่งนั้น และไอ้ตัวสัญญานั่นแหละมันสร้างไอ้สิ่งที่เรียกว่ามโนภาพ imaginative object ขึ้นมาได้ แล้วมันก็จะเล่นงานหัวใจของคุณ
สัญญา สัญญาคำนี้ในภาษาไทยแปลว่าความจำ หรือหนังสือสัญญานี่ไม่ถูกหรอก ไม่เต็มตามภาษาบาลี ในภาษาบาลีนั้นแปลว่ามั่นหมาย มั่นหมายให้มีอะไร เป็นอะไรขึ้นมาอย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกว่าสัญญา ความสำคัญมั่นหมาย สำคัญว่าสุข สำคัญว่าทุกข์ สำคัญว่าหญิง สำคัญว่าชาย สำคัญว่าผัว สำคัญว่าเมีย สำคัญว่าได้ สำคัญว่าเสีย สำคัญว่าแพ้ สำคัญว่าชนะ แล้วแต่มันจะทำไอ้สัญญาลงไปนั้นน่ะคือสัญญา มันมั่นหมายว่าเป็นอย่างไรนั่นคือมีการทำสัญญาในสิ่งนั้น
มโนภาพทั้งหลายก็คือสิ่งที่จิตมันทำสัญญา มันหมายลงไปให้กลายเป็นนามธรรมขึ้นมา เป็นเรื่องฝ่ายจิตใจขึ้นมา พร้อมที่จะเข้าไปครอบงำจิต ถ้ามันยังเป็นวัตถุภายนอกเป็นธาตุตามธรรมดามันเข้าไปไม่ได้ ทรายสักเม็ดมันก็เข้าไปไม่ได้ แต่ถ้าทำให้มันเป็นความหมาย คุณค่า ความหมายอะไรขึ้นมาอย่างนี้แล้วมันก็ได้ แล้วก็ทำได้ทุกอย่าง รูปก็ได้ เสียงก็ได้ กลิ่นก็ได้ รสก็ได้ โผฏฐัพพะก็ได้ ธรรมารมณ์ก็ได้ เรียกว่ามีสัญญาเอาด้วยมโน
หรือจะใช้คำที่ดีกว่านั้นว่าสัญญีตา สัญญโต สัญญีตา ถูกสำคัญมั่นหมายโดยมโน แต่เขาก็ไม่ได้ใช้คำนี้กัน แต่ที่ผมเห็นว่าดีกว่านั้นที่สุดก็จะใช้คำว่า มโนสัญญติ ญ.ผู้หญิงสองตัว ต.เต่า สระอิ มโนสัญญติ มโนมันสัญญะลงไปที่สิ่งนั้น ก็เกิดผลเป็นมโน มโนไอ้สิ่งที่เรียกว่ามโนภาพขึ้นมา เรื่องมันก็ไม่ค่อยถูกนัก แต่ภาษามันใช้กันอย่างนี้แล้ว คงไม่มีใครยอมใช้คำว่ามโนสัญญติ แต่เดี๋ยวนี้อธิบายเพื่อให้เข้าใจ
ถ้าให้ดีกว่านั้นอีก มันควรใช้คำว่ามัญญนา มโนมัญญนา นั่นแหละ imagination มัญญนา มัญญนา แปลว่าสำคัญมั่นหมายด้วยความโง่ ด้วยตัณหา ด้วยมานะ ด้วยทิฎฐิ ด้วยอุปาทาน มัญญนาลงไป มั่นหมายอย่างเดียวกันนั่นแหละ สำคัญมั่นหมายว่าเป็นอะไร ว่าเป็นผัว ว่าเป็นเมีย เป็นได้ เป็นเสีย เป็นแพ้ เป็นชนะ นี่มัญญนา ญ.หญิงสองตัว แล้วก็ น.หนู สระอา ไม่มีใครใช้หรอกเราว่า เราอธิบายกันของเราที่นี่
ทีนี้ถ้าจะให้มันเป็ฯชัดเจนขึ้นมาอีก มันก็น่าจะใช้คำว่า มยา มยา มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา นี่บาลีมีว่าอย่างนี้ คำนี้แปลว่าสำเร็จมาด้วยใจ สำเร็จขึ้นมาด้วยใจ มยา made of produce by น่ะ made of produce by นั่นน่ะคือคำว่า มยา มยา มโนมยา เป็น product ของจิตนั้นน่ะ คือตัวมโนภาพ รู้จักคำว่ามโนภาพคืออะไรกันก่อนก็แล้วกัน ให้ถูกความหมายนะไม่ใช่เอาแต่ตามตัวหนังสือเพราะมันไม่ค่อยจะตรง
อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพของจิตน่ะ คำว่ามโนภาพก็มันเป็นภาพของจิตอยู่แล้ว ภาพที่จิตสร้างขึ้น ไอ้รูปที่ปรากฎทางตาถ้าจิตไม่สร้างเป็นมโนภาพในทางให้เป็นนามเป็นจิตขึ้นมาแล้ว มันก็เข้าไปในใจของคนไม่ได้ เสียงก็เหมือนกัน จิตมันจะทำให้เป็นนามขึ้นมาเป็นมโนภาพ กลิ่นก็เหมือนกัน รสก็เหมือนกัน โผฏฐัพพะสิ่งกระทบทางผิวหนังนี่ก็ยิ่งแล้วใหญ่เลย ถ้าไม่มีการกระทำเป็นมโนภาพแล้วมันไม่เข้าไปครอบงำจิตได้หรอก
รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้เป็นสิ่งที่ครอบงำจิต ที่เข้าไปครอบงำจิตตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ท่านตรัสว่าอย่างนั้น เราไม่เห็นอะไรที่มันครอบงำจิตร้ายกาจยิ่งไปกว่าไอ้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ แต่ว่ามันจะเข้าไปทั้งดุ้นๆอย่างนั้นไม่ได้ มันจะเข้าไปอย่างไรได้ล่ะคิดดูสิ มันถูกกระทำให้เป็นนามธรรมหรือเป็นลักษณะแห่งนามธรรม เป็นมโนภาพตามความหมายของคำว่ารูป ว่าเสียง ว่ากลิ่น ว่ารส ว่าโผฏฐัพพะ ว่าธรรมารมณ์ มันก็เลยกลายเป็นสภาพที่เป็นนามเข้าไปครอบงำจิต ยึดครองจิต ถือเอาจิตนี่
มโนภาพเหล่านี้คือตัวอารมณ์ที่มันพร้อมที่จะครอบงำจิต ที่เป็นพวกรูปธรรม รูปธาตุ มันก็เปลี่ยนเป็นอรูปธรรม เป็นนามธาตุ ที่มันเป็นนามธาตุอยู่แล้วมันก็ไปได้เลย มันต้องเป็นนามด้วยกันน่ะ เข้าไป เป็นนามด้วยกันแล้วมันก็สามารถที่จะครอบงำจิต ครอบงำจิตด้วยอำนาจอวิชชาที่มีอยู่ตลอดเวลา เห็นรูปอะไรขึ้นมาอวิชชาก็สร้างมโนภาพ ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรสอะไรขึ้นมาก็สร้างมโนภาพ เพราะฉะนั้นเราจึงโง่หรือถูกลวงอยู่ด้วยมโนภาพ มโนภาพนี่
ในลักษณะธรรมดานี้ก็ยังทนอยู่ได้เหมือนอย่างนี้ ไม่เป็นบ้า แต่ถ้ามันเลยขนาดเกินขนาดไปแล้วมันไม่ใช่มโนภาพ มันกลายเป็นฮีสทีเรีย (Hysteria) เป็นโรคฮีสทีเรียต้องไปหาหมอ ต้องไปรดน้ำมนต์ ๗ บ้าน ๗ วัด ฉะนั้น ต้องระวังให้ดีๆสำหรับไอ้เรื่องอารมณ์นี้ มันมีฤทธิ์เดชมหาศาลน่ะ มันเป็นตัวโลก เป็นทั้งโลก มันจึงจะครอบงำเอา
เอ้า... ทีนี้มาดูกันเฉพาะถึงอาการที่มันจะครอบงำๆ จะดูที่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ทั้ง ๖ อย่างก็ได้ แต่ถ้าจะดูกันให้ง่ายให้ชัด ให้ทันเวลาแล้วก็ดูกันที่โผฏฐัพพะ อันที่ ๕ อารมณ์อันที่ ๕ ดีกว่า สิ่งที่มากระทบทางตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มันเป็นโผฏฐัพพะจากเพศที่ตรงกันข้าม โผฏฐัพพะจากชายสู่หญิง โผฏฐัพพะจากหญิงสู่ชาย ที่มันจะเรียกกันง่ายๆว่ากามารมณ์หรือเซ็กส์ที่เป็นปัญหาใหญ่ในโลก บางคนก็โง่บูชาเป็นพระเจ้า แต่ถ้าคนที่มันรู้จักมันก็รังเกียจ เกลียดชังเป็นมารร้าย แต่ก็มีคนบูชาเป็นกามเทพกันเยอะแยะ คำนี้มันเกิดในอินเดีย กามเทพ แสดงว่า ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง คนพวกหนึ่ง เคยบูชากามารมณ์จนจัดกามนี้เป็นเทพ เป็นเทพเจ้า พวกที่เอาดอกไม้แดงเสียบหน้าอกในวันวาเลนทีน (Valentine’s Day) น่ะก็ไอ้บ้าพวกนี้นั่นแหละ มันบูชาเป็นพระเจ้า
กามารมณ์ทางเพศนี่เป็นมโนภาพอย่างยิ่ง แต่มันก็ไม่รู้น่ะก็หลอกอย่างยิ่งๆ มันต้องทำเป็นมโนภาพสำเร็จ จึงจะเกิดกามกิจ เกิดการกระทำทางเพศได้ ถ้ามันทำมโนภาพไม่สำเร็จ มันทำไม่ได้หรอก ต้องทำมโนภาพสำเร็จว่าเป็นหญิงหรือเป็นชาย หรือเป็นคู่ตรงกันข้ามนั่นแหละทำสำเร็จ แล้วมันก็ไม่ใช่ความจริง มันเพียงแต่เป็นมโนภาพ เพราะฉะนั้นมันทำในอะไรก็ได้ แต่พึงรู้ไว้เถิดว่าแม้จะกระทำกับสิ่งที่เป็นตัวจริงคือร่างกายหญิงกับร่างกายชายนั้นน่ะ ไอ้ร่างกายนั้นๆจะต้องถูกกระทำให้เป็นมโนภาพมีลักษณะเป็นนามธรรม มีความหมายแห่งความเป็นหญิง มีความหมายแห่งความเป็นชาย ถ้ามันเป็นเรื่องโดยตรงอย่างนี้มันทำง่าย มันเป็นเองโดยอัตโนมัติ โดยธรรมชาติ มันสร้างมโนภาพไม่ทันรู้ตัว เป็นไปพร้อมเสร็จหมด เป็นมโนภาพแห่งความเป็นหญิงเป็นชายก็ทำกิจกรรมระหว่างเพศได้
ถ้ามันทำไม่ได้ หรือมันทำไม่สำเร็จ มันก็ไม่มีการ ไม่สามารถจะประกอบกิจกรรมทางเพศ ถ้าฝ่ายหนึ่งมันรู้สึกว่าไอ้นี่เป็นผี มันก็ทำไม่ได้ แต่ถ้ามันสามารถทำไอ้ซากผีให้มันเป็นความหมายแห่งหญิงและชายได้มันก็ทำได้อีกเหมือนกัน ฉะนั้นมันแล้วแต่ความโง่ที่มันจะทำลงไปในอะไร ตามปกติมันก็กระทำลงไปที่เนื้อหนังร่างกายของเพศตรงกันข้ามน่ะ มีความหมายเป็นความเป็นหญิงเป็นชาย เป็นนามธรรมเข้ามาครอบงำจิตใจ แล้วมันก็ประกอบกิจกรรมทางเพศ
อ้าว... ทีนี้ก็ดูทีว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงอย่างไรๆ มันก็กระทำได้แม้แก่เพศที่ไม่ได้ตรงกันข้าม ทำความรู้สึกแก่เพศเดียวกันว่ามันมีความหมายแห่งเพศหญิงเพศชาย เพราะฉะนั้นกิจกรรมทางเพศจึงทำได้ในระหว่างเพศเดียวกัน ไม่ต้องเพศตรงกันข้าม เป็นอยู่เดี๋ยวนี้มันมากนักแล้วนี่ กิจกรรมทางเพศในเพศเดียวกันน่ะ ทีนี้ยิ่งกว่านั้นอีกทำในสัตว์เดรัจฉานก็ได้ มีกิจกรรมทางเพศวิตถารเพราะมันสร้างมโนภาพได้แม้ในสัตว์เดรัจฉาน ไอ้คนก็ไปประกอบกิจกรรมทางเพศกับสัตว์เดรัจฉาน
อ้าว...ถ้ามันบ้ามากกว่านั้นอีก ทำได้แม้ในซากศพที่ตายใหม่ๆยังไม่เน่าเปื่อย มันสร้างมโนภาพเป็นบุคคลคือฝ่ายตรงกันข้ามขึ้นมาได้ในซากศพ คนก็ประกอบกิจกรรมกับซากศพได้ ฟังดูให้ดีๆ ทีนี้แม้แต่รูปหุ่น ถ้าเขาทำหุ่นจำลองขึ้นมา มันสร้างมโนภาพสำเร็จ มันก็ประกอบกิจกรรมทางเพศกับรูปหุ่น มากไปกว่านั้นอีกมันก็กระทำได้แม้แต่กับอะไรที่เขาเรียกหมอนข้างน่ะ หมอนยาวๆไว้นอนแอบข้าง เขาทำมโนภาพในสิ่งนั้นก็ได้ แล้วการที่ให้เด็กใช้หมอนข้างมาแต่เล็กๆ หนุ่มสาวใช้หมอนข้างมาแต่เล็กๆ มันเสริมความโง่ในข้อนี้แหละ
แล้วมันน่าสงสารที่มันมีแม้ในหมู่บรรพชิตนะ ไม่ต้องออกชื่อนะ ผมไปที่วัดๆหนึ่ง ก็ต้อนรับที่พระให้นอนมีหมอนข้างด้วย ตายจริง! นี่ทำไมถึงเป็นอย่างนี้เล่า ผมเลยเอาไปไว้ที่บนหลังตู้ บอกให้เจ้าของรู้ ว่าเราไม่ต้องการสิ่งนี้ เพราะว่ามันสามารถจะสร้างมโนภาพได้แม้กับหมอนข้าง ถ้าไม่มีอะไรมันเป็นไปหนักเข้า มันสร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกๆล้วน ฝันเอาก็ได้ ฝันเอาก็ได้ หรือว่าฝันดิบๆ คือถือเอาอารมณ์ขึ้นมาในจิตใจสูงแล้วก็สำเร็จความใคร่ด้วยการบิดตัว เอี้ยวตัว แอ่นตัว อย่างที่สัตว์เดรัจฉานมันทำกันทั่วๆไป
เมื่อผมเป็นเด็กๆผมเคยช่วยคนเลี้ยงวัวของโยม ได้เห็นตอนเช้าๆวัวนี้สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองด้วยการแอ่นตัว เอี้ยวตัว เหมือนกันกับที่กระทำกับเพศตรงกันข้าม แต่ไม่ได้มีเพศตรงกันข้ามแล้วมันก็ทำได้ ช้าง ม้า วัว ควาย ก็ทำได้ คุณลองสังเกตดูให้ดีๆบางเวลา มันก็กระทำของมันด้วยการแอ่นตัว เอี้ยวตัว บิดตัว เห็นไหมเยอะแยะไปหมด ไอ้มโนภาพที่มันจะสร้างขึ้นมาได้จากคนเพศตรงกันข้าม จากคนเพศเดียวกัน จากซากศพ จากสัตว์เดรัจฉาน จากหุ่น จากหมอนข้าง จากการเอี้ยว บิดตัว การฝันเอาก็ได้นี่ เห็นได้ไหมว่าไอ้มโนภาพมันครอบงำมนุษย์เท่าไร
อารมณ์ทั้งหลายสร้างขึ้นมาโดยมโนภาพ ถ้าไม่สำเร็จเป็นมโนภาพไม่มีความหมายอะไร แม้ให้เนื้อต่อเนื้อหนังต่อหนังระหว่างผู้หญิงผู้ชาย ถ้ามันเกิดพร้อมกันเป็นซากศพขึ้นมามันก็ทำอะไรไม่ได้ในเวลานั้น ฉะนั้น การที่ทำในใจได้สูงจนไอ้มโนภาพหลอกไม่ได้ ไม่มีความโง่ที่จะทำมโนภาพแล้ว ปัญหาเรื่องกามารมณ์ก็ไม่มี ไปยกไว้ให้พระอรหันต์ ถ้ามันยังเป็นปุถุชนอยู่ มันมีไฝฝ้าในดวงตาหนาอยู่ มันก็เต็มไปด้วยมโนภาพ มันก็มีปัญหาที่ให้เกิดราคะบ้าง เกิดโทสะบ้าง เกิดโมหะบ้าง เพราะว่ามันถูกหลอนด้วยสิ่งที่เรียกว่ามโนภาพ
ไอ้ความรู้สึกทางสัญชาตญาณน่ะมันมีอยู่แรงมาก แต่ข้อนี้ขอให้รู้ความจริงนะอย่าไปคิดว่าสัญชาตญาณให้มาในลักษณะเป็นกามารมณ์บ้าบออย่างนั้นนะ สัญชาตญาณต้องการเพียงให้สืบพันธุ์ ให้สืบพันธุ์ แต่ว่าการสืบพันธุ์นั้นมันไม่ใช่ของสนุกมันของเหน็ดเหนื่อยลำบากยุ่งยาก สัตว์มันไม่เอาหรอก ถ้าไม่เอาค่าจ้างอะไรที่น่ารักน่าพอใจมาปะข้างหน้าไว้ ทีนี้ธรรมชาติมันเก่งๆ ธรรมชาติมันเก่งมันจึงเอาสิ่งที่เรียกว่าเซ็กส์หรือกามารมณ์มาปะหน้าการสืบพันธุ์ ไอ้ Reproduction หรือ Reproduce สืบพันธุ์นี้มันไม่ใช่กามารมณ์หรอก มันต้องการให้มีพันธุ์ๆสืบต่อไว้อย่าให้ขาดตอนได้
แต่สัตว์มันไม่ทำหรอกเพราะมันยากลำบาก ธรรมชาติเหนือกว่ามันเหนือเมฆกว่ามันก็ให้เซ็กส์มาปะหน้า Reproduction คนก็เลยเอารับจ้างทำการสืบพันธุ์เพื่อได้ความหมายของเซ็กส์ นี่มันก็น่าหัวไอ้ที่ได้มาเป็นเซ็กส์มันวิเศษประเสริฐอะไรเท่าใดก็คิดดู ประกอบกิจกรรมระหว่างเพศนี่มันดูเอาเอง มันน่าเกลียดจนต้องซ่อนเร้น แล้วมันก็สกปรกเหลือประมาณนะ แล้วมันกินแรงงาน energy มากเหลือประมาณ แล้วหมาก็ทำเป็นนะ แล้วมันก็ได้ผลเป็นบ้าวูบเดียวๆๆอยู่นั่นแหละกามารมณ์ แต่มันผลอิทธิพลทางจิตใจมากจนคนยอมรับ รับค่าจ้างเป็นกามารมณ์ เพื่อทำการสืบพันธุ์ แล้วก็ได้มาเป็นมโนภาพที่หลอกลวง เหนื่อยเกือบตายทำงานทั้งวัน จ่ายเงินวันสุดท้ายเป็นธนบัตรปลอม สมน้ำหน้ามัน ทำงานทั้งวันทั้งเดือนแต่ได้ค่าจ้างเป็นธนบัตรปลอม
มีคนเล่า คงเป็นเรื่องจริงแม้จะเป็นเรื่องจริงที่คนนั้นมันไม่ได้เห็นมาด้วยตาเองมันก็มาเล่า ผมเคยได้ยินเขาเล่าว่า ชาวประมงหนุ่มๆทำ imagination กับไอ้ปลาที่จับได้ เป็นปลากระเบนแล้วมันก็ทำกิจกรรมทางเพศกับปลากระเบนที่ตายแล้วนั่นน่ะ แล้วมันก็ตายด้วย เพราะมันเป็นปลากระเบนที่มีพันธุ์มีลูกอ่อนอยู่แล้วในท้อง แล้วหนามปลากระเบนลูกอ่อนมันแทงทำให้คนนั้นตาย ธนบัตรปลอม ทำงานเกือบตายได้ค่าจ้างเป็นธนบัตรปลอม สมน้ำหน้าหรือไม่สมน้ำหน้าก็ลองคิดดูเอง
ที่พูดนี้อย่าเห็นเป็นเรื่องหยาบโลน เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่จะทำให้เข้าใจได้ว่ามโนภาพนั้นคืออะไร มโนภาพสร้างเซ็กส์ขึ้นมาได้ ก็ไสหัวไอ้สัตว์ทั้งหลายให้ทำการสืบพันธุ์ที่ธรรมดามันไม่อยากจะทำ นี่รู้ไว้เถิดว่าไอ้อารมณ์ๆนั้นคืออะไร มันคือมโนภาพในลักษณะอย่างนี้ ใครบ้างในโลกนี้คนธรรมดาสามัญที่ไม่เป็นทาสของอารมณ์ อุตส่าห์เล่าอุตส่าห์เรียนวัยรุ่นทั้งหลายทั้งหญิงทั้งชาย มันจะหาเงินมากๆมันจะให้อะไรอีก ก็เพื่อไปเป็นทาสรับจ้างอารมณ์ เป็นทาสของอายตนะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะไม่ให้เรียกว่าปัญหาของมนุษย์ได้อย่างไรกัน มันเป็นปัญหาของมนุษย์แท้ๆ
ไอ้โลกทั้งโลกมันเป็นอารมณ์ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ มันจะเข้ามาสู่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในฐานะที่เป็นอารมณ์ เข้าไปทั้งดุ้นทั้งก้อนไม่ได้ จิตมันก็ทำให้เป็นมโนภาพเสียก่อน เป็นนามธรรมด้วยกันมันก็ซึมเข้าไปในจิตใจของสัตว์ที่มีชีวิตได้โดยง่าย เรื่องคนเราไม่ต้องพูดก็พูดมาแล้ว เรื่องสัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน แล้วผมยังเชื่อที่คนอื่นเขาคงไม่เชื่อและไม่เห็นด้วยว่าแม้แต่ต้นไม้นี่ ต้นไม้มันก็ต้องมีความรู้สึกทางกามารมณ์สูงสุด เมื่อมันทำการถ่ายทอดเชื้อระหว่างเพศ รสชาติสูงสุดเมื่อมีการถ่ายทอดน้ำเชื้อระหว่างเพศเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น คนก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี มันก็เป็นไปได้อย่างห้ามไม่ได้ มันเลี้ยงไว้เป็นความรู้สึกมากพอเหลือทนเข้าแล้วมันก็ต้องระบายออก ไม่มีทางอื่นมันก็ฝันเอาได้
ก่อนเคยเลี้ยงปลาทองในนี้ มีสาหร่ายแยะ พอตัวเมียเขามีไข่ และตัวผู้ก็มีเชื้อทางเพศสูงนี้มันก็ต้อง ทนอยู่ไม่ได้ มันต้องทำการระบายเพื่อให้เกิดการถ่ายเชื้อ เพราะเวลาถ่ายเชื้อเป็นเวลาที่มีรสชาติสูงสุดนั้นน่ะ มันก็ไล่ๆๆกันทั้งคืนก็มี จนเมื่อตัวเมียส่งไข่ออกมา ตัวผู้ก็ส่งน้ำเชื้อเพื่อผสมกับไข่เหล่านั้น เป็นเวลาสูงสุดของไอ้สัตว์ทั้งสองนี้ นอนซัดอยู่บนสาหร่ายถึงจุดสูงสุดของอารมณ์ทางเพศ นี่แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ยังเป็นอย่างนี้ ไอ้ปลากัดปลานี้ก็เหมือนกัน มันจะส่งน้ำเชื้อออกมาเมื่อตัวเมียพ่นไข่ออกมา
แต่ปลาหลายชนิดมันไม่มีการกระทำสืบพันธุ์ภายนอก มันสืบพันธุ์ภายใน มันก็มีอวัยวะที่จะสอดเข้าไปในช่องของตัวเมีย แล้วผสมพันธุ์กันในท้องเป็นลูกอยู่ในท้องแล้วออกมาเป็นตัวแล้วก็อย่างนี้ ไอ้ปลามันก็มี ๒ ชนิดอย่างนี้ มันมีสืบพันธุ์ข้างในท้อง แล้วก็สืบพันธุ์ข้างนอก แต่ก็ไม่พ้นหลักที่ว่าจุดสูงสุดที่เป็นอารมณ์หลอกหลอนที่สุดก็คือขณะที่ฉีดน้ำเชื้อระหว่างพันธุ์ นั้นแหละเป็นความหมายของอารมณ์ ของกามารมณ์ที่มันแสนจะหลอกลวง
ปัญหามันลึกถึงธรรมชาติ ธรรมชาติและสัญชาตญาณ ไอ้ต้นไม้มันมีความประสงค์จะสืบพันธุ์แต่มันเคลื่อนไหวไม่ได้ มันก็ปล่อยไปตามบุญตามกรรม แต่ถ้ามีการผสมเชื้อพันธุ์กันเมื่อไรก็เป็นจุดสูงสุดในทางกามารมณ์ของต้นไม้ ของพืชพันธุ์ทั้งหลาย ฉะนั้น สิ่งที่มีชีวิต บรรดาสิ่งที่มีชีวิตมันหลีกเลี่ยงไม่ได้กับสิ่งนี้ คือการสืบพันธุ์ๆที่ธรรมชาติได้เอากามารมณ์มาปะหน้าไว้ หลอกให้เป็นค่าจ้างให้มันทำสิ่งที่ตามธรรมดามันไม่ทำ
อยากจะพูดเลยไปถึงไอ้สิ่งที่มันเกี่ยวกับการประพฤติพรหมจรรย์ของเรา ตามหลักที่เขาเชื่อกันมาในประเทศอินเดียแต่บรมโบราณด้วยก็ได้ ถือว่าเมื่อมันมีความรู้สึกกำหนัดพอใจในเพศตรงกันข้ามนั้น เพียงแต่รู้สึกอยู่ในใจอยู่ห่างๆกันนั้นน่ะ แต่ถ้ารู้สึกพอใจกำหนัดในทางเพศตรงกันข้ามแล้ว ธรรมชาติมันกลั่นเยื่อในไขกระดูกน่ะ เยื่อที่อยู่ในไขกระดูกน่ะออกมาเป็นน้ำใสๆมาเก็บไว้ในต่อมหนึ่งที่เรียกว่า prostate หรือ (นาทีที่ 47.11) prostale ก็เรียก prostate กันโดยมาก มันก็เก็บไว้ในต่อมนั้นมากเข้าๆ ไอ้ความรู้สึกทางเพศก็จะมากเข้าๆ มันก็มีความประสงค์จะหลั่งออกมา มันก็ต้องหลั่งออกมาวันหนึ่งแน่ ถ้าไม่มีทางอื่นมันก็ฝัน แต่คนมันไม่ยอมฝัน มันไปหาไอ้กิจกรรมทางเพศเอาระหว่างเพศเอง
เมื่อยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่มันก็กำหนัดได้ แม้แต่เมื่อได้เห็นรูปเพศตรงกันข้าม แม้แต่เมื่อได้ฟังเสียงเพศตรงกันข้าม แม้แต่เมื่อได้กลิ่นเพศตรงกันข้าม ได้รับรส รสอาหารอะไรก็ดีที่มันมาจากเพศตรงกันข้าม โผฏฐัพพะสัมผัสจากเพศตรงกันข้าม ความคิดนึกถึงเพศตรงกันข้าม ความกำหนัดเกิดได้ทั้งนั้น ทุกคราวที่กำหนัดมันก็ละลายไอ้ไขมันให้เป็นน้ำเหลวๆนี่ตามมากตามน้อยเสมอไป แล้วค่อยผสมกับตัวเชื้อที่เป็นชีวิตที่ต่อมอัณฑะสร้างขึ้นมา เอาไปผสมกันสำหรับจะฉีดออกมาเป็นเชื้อฝ่ายชายกับฝ่ายหญิง ก็ได้การสืบพันธุ์ตามความต้องการของธรรมชาติ
มันจึงเหลือวิสัยที่คนธรรมดาสามัญจะหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ มันก็เป็นไอ้อย่างนี้ทั้งโลก แถมให้เทวดาด้วยเอาสิ ใครจะด่าก็ด่า ผมจะพูดอย่างนี้ แม้ในสวรรค์ในเทวะโลกมันก็อย่างนี้ มันหนีปัญหานี้ไม่พ้น แล้วมันเป็นสิ่งมหึมา อำนาจธรรมชาติมันบังคับให้เป็นอย่างนี้ เราก็เป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของธรรมชาติ เป็นทาสของมโนภาพ เป็นทาสของอายตนะอย่างที่เป็นๆกันอยู่ ในหมู่โยคีทั้งหลายไปถือว่าบังคับอย่าให้เกิดความกำหนัดแม้ในสิ่งใด เมื่อไม่มีความกำหนัดในสิ่งใดมันก็ไม่ละลายเยื่อไขกระดูกมาเป็นน้ำสำหรับที่จะทำให้เกิดปัญหามาสำรองไว้ แต่ถ้าบังคับไม่ได้มันก็มีกลั่นออกมาทุกคราวที่มีความกำหนัดทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถึงที่สุดเข้ามันก็ต้องออกมา
พระอรหันต์ไม่มีปัญหาเหล่านี้เพราะไม่เคยมีความกำหนัด จึงไม่มีสิ่งนี้ที่จะหลั่ง พวกโยคีทั้งหลายจะต้องสมาทานการควบคุม เพราะว่าน้ำอันนี้ถ้าว่าหลั่งออกมามันก็เป็นของเผาผลาญออกไปสูญเปล่าเหมือนไฟ น้ำมันจุดไฟระเบิดไปเสีย เรียกว่าวิริยะ ไอ้น้ำเชื้อเพื่อสืบพันธุ์นี้ถ้าหลั่งออกมาเรียกว่าวิริยะ สูญหายไปเหมือนกับว่าระเบิด จุดระเบิดเป็นไฟ น้ำมันที่ถูกจุดระเบิดเผาไฟไปเสีย แต่ถ้าว่ามีจิตเข้มแข็งประพฤติพรหมจรรย์ มีสมาธิ มีภาวนาอะไร ไม่หลั่งออกมา เรียกชื่อใหม่ว่าโอชะ โอชะ โอชารสนั่นแหละ โอชะ
โอชะนี้จะหล่อเลี้ยงมันสมอง หล่อเลี้ยงจิตใจ หล่อเลี้ยงให้เกิดกำลัง ให้เกิดความชุ่มชื่นแก่ระบบประสาท เหมือนกับต้นไม้ไปรดน้ำให้ต้นไม้มันชุ่มชื่น ไม่เหมือนกับน้ำมันที่เอาไปจุดไฟเผาเสีย ฉะนั้นบทสำรวมควบคุมก็คือไม่ให้เกิดความกำหนัด มีสติปัญญาสัมปชัญญะเพียงพอ ไม่เกิดความกำหนัดในเมื่อได้สัมผัสหรือได้มองเห็นสิ่งที่เป็นที่ตั้งแก่ความกำหนัด ฉะนั้น ถ้าหากว่าคุณมีความสำเร็จในการบำเพ็ญอานาปานสติ คุณก็จะมีสติปัญญาสัมปชัญญะสมาธิมากพอ เร็วพอที่จะควบคุมความกำหนัดที่มันจะเกิดขึ้นเมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส สัมผัสผิวหนัง และจิตคิดเอง ปัญหามันก็ไม่มี เพราะมันไม่ได้เกิดความกำหนัด มันไม่ได้สร้างกักตุนอะไรนั้นไว้ จึงกลายเป็นพระอริยะเจ้าไป เลิกจากความเป็นปุถุชนคนหนาไปด้วยกิเลสหรือไฝฝ้าในดวงตา
นี่เห็นให้มันซึ้ง ให้มันชัดลงไปว่า อารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพที่จิตสร้างขึ้นด้วยอำนาจอวิชชา อุปาทาน ฉะนั้น อย่าไปบูชาอารมณ์ อย่าไปบูชาอายตนะเลย มันจะทำงานเหนื่อยเกือบตายแล้วได้รับค่าจ้างเป็นธนบัตรปลอมอยู่นั่นน่ะเรื่อยไป ละอายกันเสียบ้างก็ดีนะ ถ้าไม่ละอายก็ตามใจสิ ไม่มีหิริโอตตัปปะก็เอาสิ มันก็จะเป็นปุถุชนเต็มขั้น (นาทีที่ 53.35) ... เต็มขั้นๆของความเป็นปุถุชน มันควรจะบรรเทา มันควรจะลดหย่อน เลื่อนๆขึ้นไปให้พ้นปัญหาอันนี้
ทีนี้เราจะต้องมองให้เห็นว่า เมื่อมันมีความเป็นทาสของอารมณ์ เป็นทาสของอายตนะแล้ว มันก็เกิดกิเลสแน่ เกิดราคะในความหมายเมื่อได้อย่างใจ เกิดโทสะเมื่อไม่ได้อย่างใจ เกิดโมหะเมื่อมันยังไม่รู้ว่ามันเป็นอะไรแต่มันเป็นความรู้สึก มันก็เป็นไอ้ทุกข์ เป็นวัฏฏะสงสาร เป็นความร้อน ถ้าเมื่อไรควบคุมอารมณ์ได้มันก็ไม่มีการกระทำอย่างนี้ มันก็เย็นเป็นนิพพาน เพราะว่ามันไม่อาจจะเกิดกิเลส ไม่อาจจะเกิดไฟ มันก็เย็นเป็นนิพพาน อะไรจะช่วยควบคุมได้ล่ะ มันก็คือไอ้ญาณทั้งหลายที่รู้ความตามเป็นเป็นจริงของธรรมชาติ รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตาได้รับรองเด็ดขาด
ถ้ามันขึ้นไปได้ถึงมีอตัมมยตาแล้วมันจะไม่มีอาการบ้าๆบอๆอย่างนี้ มันไม่สร้างมโนภาพ มันไม่ทำอะไรชนิดที่มันเป็นปัญหาอยู่ทั่วๆไป ฉะนั้น ขอให้สนใจเรื่องการทำสมาธิภาวนา อย่าได้ท้อถอย แม้ว่ามันจะตัดไม่ได้เด็ดขาด มันก็บรรเทาลงได้มาก ลดปัญหาลงได้มาก มันมีความทุกข์น้อยลงมาก
อ้าว... ทีนี้ก็จะพูดถึงข้อที่ว่าอารมณ์ทั่วๆไป ที่พูดมาแล้วมันยกมาแต่อารมณ์ทางเพศ คือโผฏฐัพพะ อารมณ์ที่ ๕ ทีนี้มาดูอารมณ์ทั่วๆไป รูป เสียง กลิ่น รส แล้วก็เป็นวัตถุนี่ เมื่อตาได้สัมผัสรูป รูปนั้นน่ะมันเข้าไปในหัวใจไม่ได้หรอก ฉะนั้น ดอกกุหลาบนี่ ดอกกุหลาบมันเข้าไปในหัวใจไม่ได้ เห็นขี้หมา มันเข้าไปในหัวใจไม่ได้ มันต้องมีการกระทำเป็นมโนภาพของความหอมของความสวยของดอกกุหลาบ หรือความหอมของดอกกุหลาบก็ได้ ในเมื่อมันเป็นกลิ่น มันมีมโนภาพของความงามดอกกุหลาบเกิดเป็นภาพดอกกุหลาบ ในมโนภาพ เป็น imagination มันเป็นนามธรรม แล้วมันก็เข้าไปจับหัวใจของไอ้หมอนั่นได้ ในทางรูปก็ดีมันต้องทำเป็นมโนภาพ ทางเสียงก็ดีมันต้องทำเป็นมโนภาพ
ถ้ามันยังเป็นเพียงคลื่นแสงอย่างขนาดนั้นขนาดนี้อยู่มันเข้าไปจับใจไม่ได้หรอก มันเป็นรูปธรรมมากเกินไป ต่อเมื่อมโนภาพเป็นนามธรรมสร้างขึ้นมาสำเร็จเท่าไร มันก็เข้าไปในจิตใจได้เท่านั้น เสียงก็ดีมันก็เป็นคลื่นแสงเท่านั้นเป็นวัตถุ เสียงเป็นคลื่นเสียง แสงก็เป็นคลื่นแสง มันเข้าไปไม่ได้ แต่ถ้ามันถูกกระทำให้เป็นมโนภาพ ใช้คำว่าภาพๆนี้มันมีความหมายพิเศษกลายเป็นเรื่องทางจิตใจไปมันก็เข้าไปได้ รสอร่อยมันเป็นความรู้สึกที่ระบบประสาทที่ลิ้นเท่านั้นน่ะ ต้องทำความสำคัญมั่นหมายลงไปที่ความอร่อยๆเป็นมโนภาพ มันจึงจะเข้าไปจับใจได้
รูปแล้ว เสียงแล้ว กลิ่นแล้ว รสแล้ว โผฏฐัพพะพูดแล้ว พูดแล้วอย่างมาก ทีนี้ก็เหลือธรรมารมณ์ที่มันเกิดโดยจิตใจมันเป็นนามธรรมเองแล้ว มันไม่ต้องสร้างอะไรมากมาย เพราะมันเป็นนามธรรมอยู่เองแล้ว แต่มันก็ต้องสร้างเป็นมโนภาพของความคิดทางจิตใจนั่นอีกเหมือนกัน มันจึงจะมีอำนาจมากพอที่จะครอบงำระบบจิตใจ แม้แต่ที่มันจะครอบงำระบบประสาทภายนอกทางตา หู จมูก ลิ้น กายนี้ก็เถิด มันไม่สำเร็จหรอก ถ้ามันไม่กระทำให้เป็นมโนภาพเป็นนามธรรมแล้วมันก็จะครอบงำได้เพียงระบบประสาทส่วนนอกๆไม่เข้าไปถึงข้างในได้
ฉะนั้น ขอให้ระวังไอ้ปฏิกิริยาที่สร้างขึ้นมาใหม่โดยจิตใจที่ประกอบอยู่ด้วยอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ถ้าพูดว่าตลอดเวลาแล้วก็พูดเรื่องอวิชชาดีกว่า อวิชชามีตลอดเวลา พร้อมจะมาช่วยสร้างมโนภาพทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายทั้งหมด ถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเพศแล้วมันก็รุนแรงถึงที่สุด ถ้าไม่เกี่ยวกับเพศมันเป็นรูปเสียงกลิ่นรสธรรมดา เป็นของธรรมดาไม่เกี่ยวกับเพศก็มีอิทธิพลน้อยหน่อย แล้วก็ขอให้ดูว่ามันเป็นอะไรกันแน่
คำพูดรวมๆมันก็จะต้องพูดว่าเรามันอยู่ในโลกของความฝัน อยู่ในโลกของความเป็นมายาหลอกลวงโดยจิตที่โง่ แล้วโลกทั้งโลกมันจะเป็นมายาหลอกลวงแก่ผู้ที่ไม่รู้ความจริงข้อนี้ เป็นกันได้แม้ได้ต้นไม้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉาน แม้แต่มนุษย์ หรือแม้แต่เทวดา ก็ขอให้ถือว่ามันเป็นอย่างนี้ มันเป็นโลกแห่งความหลอกลวง เราจะอยู่กับโลกแห่งความหลอกลวงได้อย่างไร หรือเท่าไร หรือควรจะจัดการอย่างไร ก็คิดดูเอาเอง
โลกที่เป็นตัววัตถุมันก็เป็นวัตถุ แต่โลกที่เป็นมโนภาพนี้มันเป็นโลกพิเศษ เป็นโลกทางจิตมันเข้าไปครอบงำจิตโดยวิธีสร้างมโนภาพให้แก่อารมณ์ทุกชนิดที่เข้ามาเกี่ยวข้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายนั้นเอง มันสร้างสิ่งใหม่ที่เรียกโดยภาษาบาลีว่า นันทิราคะ คำนี้ช่วยจำไว้ด้วย เหลือประมาณล่ะคำนี้มันมีอิทธิพลเหลือประมาณ มันเกิดได้แม้ในวัตถุล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ก็ยังมี ไม่เกี่ยวกับเพศก็มี คือว่ามันพอใจ ยินดี เพลิน ด้วยความเพลิน นันทิ แปลว่าความเพลิน ราคะแปลว่าความกำหนัดยินดี ความกำหนัดยินดีด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
พอเราไม่รู้เท่าทันอารมณ์ถูกสร้างขึ้นมาเป็นมโนภาพครอบงำจิตใจ จิตก็มีนันทิราคะๆ เหลือกว่าที่จะใช้คำว่ารัก ว่าอะไรทำนองนี้เสียอีก มันมากกว่านั้นมาก แต่มีการพบแปลกในบาลี ในพระไตรปิฎกว่า นันทิราคะนี้แม้มีได้แม้ในสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นแก้วแหวนเงินทอง แก้วแหวนเงินทองไอ้ที่ถูกอกถูกใจน่ะ ผู้หญิงผู้ชายเขาชอบแก้วแหวนเงินทองเพชรพลอย มันก็เป็นนันทิราคะ คือพบว่าผู้ใหญ่บ้านที่ดีคนหนึ่งแท้จริงคนหนึ่งเขามีนันทิราคะในลูกบ้านของเขา เขาอาจจะตายแทนได้ เขาเป็นทุกข์เหลือประมาณเมื่อลูกบ้านคนหนึ่งตายลงไปนี่ นันทิราคะนั้นมีได้แม้ในเรื่องทางวัตถุล้วนๆ แม้ในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับกามารมณ์ทางเพศ
ถ้ามันเป็นเรื่องกามารมณ์ทางเพศ แล้วก็ไม่ต้องพูดแล้วมันก็สูงสุดๆเหนืออะไรหมดล่ะสำหรับปุถุชนคนธรรมดา เราจะทำอย่างไรกับมัน เราจะต้องชนะ หรือจะยอมแพ้ ถ้ายอมแพ้ก็ยอมอยู่ด้วยความหลอกลวง ยอมอยู่ด้วยความหลอกลวงของมโนภาพ ยอมอยู่ในโลกของความหลอกลวงที่เต็มไปด้วยมโนภาพ อย่าลืมว่าถ้ามันไม่มีมาในรูปของมโนภาพแล้วมันไม่มีอิทธิพลใดๆหรอก มันจะน่ารัก น่าพอใจ สวยงามอะไร ถ้ามันไม่มาอยู่ในรูปของมโนภาพเสียก่อนแล้ว มันไม่ครอบงำจิตใจหรอก มันอยู่ข้างนอก อยู่ข้างนอกเสมอ
ระวังอารมณ์ที่ถูกสร้างโดยมโนภาพ กลายเป็นมโนภาพเป็นนามธรรมเป็นทางจิตใจแล้วมันก็ครอบงำเหลือประมาณ ถ้าเราบังคับจิตใจได้มันก็สร้างไม่ได้ อวิชชาจะสร้างมโนภาพให้หลอกลวงไม่ได้ ฉะนั้น จงรู้จักว่าพระคุณสูงสุดประเสริฐของพระธรรมก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ จะว่าของพระพุทธเจ้าด้วยก็ได้ เพราะท่านรู้สิ่งนี้แล้วมาบอกมาสอน พระธรรมก็คือตัวนี้ ความจริงเรื่องนี้มีแล้วมันแก้ปัญหาได้ เราก็ขอบคุณพระธรรมสูงสุด พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติเรื่องนี้ก็ควรจะเคารพนับถือ
พระพุทธก็คือผู้พบแล้วบอกแล้วสอน พระธรรมก็คือความจริงประเสริฐสูงสุดที่พระพุทธเจ้าสอน พบ สอน พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์อันนี้ ในที่สุดก็ออกไปนอกอำนาจของมโนภาพที่หลอกลวง ความเป็นปุถุชนกับความเป็นพระอริยะเจ้ามันแตกต่างกันอยู่ตรงนี้ พวกหนึ่งมันอยู่ภายใต้กะลาครอบของมโนภาพ พวกหนึ่งมันอยู่นอกเหนือออกไป เหนือออกไปก็เป็นโลกุตตระ อยู่ใต้ถุนนั้นก็เป็นโลกียะ เห็นไอ้ความแตกต่างระหว่างโลกียะกับโลกุตตระกันให้มากๆ แล้วจิตนี้มันจะน้อมไปในทางสูงเองแหละ
ถ้ามันมองไม่เห็นมันก็น้อมไปในทางต่ำโดยไม่รู้สึกตัว ฉะนั้น ใครจะบอกจะสอนอย่างไรมันก็ไม่เชื่อ คือพวกอันธพาลทั้งหลายมันมีกิเลสตัณหามีความเห็นแก่ตัว มันก็ไปตามเรื่องของมัน ถ้าจะพ้นจากปัญหาเหล่านี้ก็ต้องรู้ความจริงข้อนี้ ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของอายตนะ ไม่ถูกหลอกลวงโดยโลกอันเป็นมายา เรียกว่าทั้งจักรวาล ทั้งจักรวาลก็เต็มไปด้วยสิ่งที่มันจะหลอกลวง รู้ไว้สำหรับจะไม่ถูกหลอกลวง ไอ้โลกทั้งโลกใหญ่มหึมานี่ ถ้าถูกกระทำให้เป็นมโนภาพได้สำเร็จนะทั้งโลกนั้นมันจะเข้าอยู่ในจิตใจเลย น่าหัวนะ ไอ้โลกใหญ่ทั้งจักรวาลน่ะพอทำเป็นมโนภาพได้มันเข้าไปอยู่ในจิตใจได้สบายเลย ตามธรรมดาก้อนอิฐสักก้อนก็เข้าไปไม่ได้
รู้เรื่องความลับของธรรมชาติ ก็เป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ รู้ตัวธรรมชาติ รู้กฎเกณฑ์ของธรรมชาติ รู้หน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎเกณฑ์ แล้วเราจะประสบผลอันน่าชื่นใจที่อยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง ไม่มีอารมณ์อะไรๆมาทำให้เกิดความเป็นทุกข์ได้ สามารถจะหัวเราะเยาะ หัวเราะเยาะ อารมณ์ชนิดไหนก็หัวเราะเยาะ ยิ่งมีอตัมมยตามากเท่าไร ยิ่งมั่นคงเท่านั้นแหละ มั่นคงๆเหลือประมาณ มั่นคงจนไม่มีอะไรจะเปรียบ มั่นคงด้วยอำนาจของอตัมมยตา
อ้าว... คุณลองเปรียบดูน่ะ ภูเขาหิมาลัย ภูเขาหิมาลัยยาว ๒,๐๐๐ ไมล์ มั่นคงไหม ถ้าแผ่นดินไหว มันก็คลอน ภูเขาหิมาลัยมันก็คลอน แต่ถ้าจิตมีอตัมมยตาแล้วไม่คลอนน่ะ ให้ทั้งโลกทั้งจักรวาลมันหวั่นไหว จิตมันก็ไม่หวั่นไหว เพราะว่าจิตมันมีอตัมมยตาได้ ภูเขาหิมาลัยมันมีอตัมมยตาไม่ได้ มันก็หวั่นไหวไปตามเรื่อง ฉะนั้น ที่จะทำจิตไม่ให้หวั่นไหวยิ่งกว่าภูเขาหิมาลัยก็คืออตัมมยตา มันคงจะทำให้สำเร็จไม่ได้ในเร็วๆนี้ คุณจะทำกรรมฐานกัน ๑๐ วันจะมีอตัมมยตานี้ผมก็ไม่เห็นทาง แต่ว่าขอให้สนใจเถิด ขอให้สนใจๆๆ ให้เห็นไปตามลำดับของไอ้ ตาๆๆๆ คือไอ้ความเป็นจริงของธรรมชาติ มีอยู่ตามเป็นจริงอย่างไร ตั้งต้นด้วยอนิจจตา ทุกขตา อนัตตา เรื่อยไปๆ
ผมไม่มีแรงเมื่อวานสังฆราชมาลุกขึ้นไม่ได้ นั่งลงแล้วลุกขึ้นไม่ได้ เพื่อนต้องช่วยยก ช่วยดึงขึ้นมา ไม่มีแรง ไปช่วยกำกับการแสดงที่สวนโมกข์นอกไม่ได้ มันไปไม่ไหว ถ้าว่ามันสบายดีมีแรงเมื่อไร จะลองสักที ออกสนามกำกับการแสดงเองสักที เพื่อด้วยความหวังว่าขอให้การปฏิบัติสมาธิภาวนานี่มันเป็นไปสุดเหวี่ยง สุดความสามารถ
เอาแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแรงจะพูดแล้ว เท่าที่พูดไปนี้มันหมดแรง ก็ต้องขอยุติการพูดวันนี้ ว่าสรุปความว่า คุณจะต้องรู้จักว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพลมๆแล้งๆที่จิตมันสร้างขึ้น สร้างในอะไรก็ได้ เราจะควบคุมขันธ์ ๕ ได้ไม่ให้เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ เราจะควบคุมปฏิจจสมุปบาทไม่ให้เกิด หรือเกิดแล้วให้มันดับเสียกลางคันไม่ต้องเป็นทุกข์ เพราะมารู้ความจริงอันสูงสุดว่าอารมณ์ทั้งหลายเป็นเพียงมโนภาพดังที่กล่าวแล้วนั่นเอง