แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งที่แล้วมา เราได้พูดกันถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาท ๘ อาการ หรือ ๘ ระยะ แล้ววัน...แล้วก็ได้พูดว่า วันนี้จะพูด แบบที่ ๑๑ อาการ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สำหรับการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์นี่ รู้เพียง ๘ อาการ ก็พอแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านเอามาสาธยาย แต่ถ้ารู้ให้มากไปกว่านั้น เป็นเรื่องของวิชาการ อะไรไกลไปกว่านั้น อืม, ต่อไปจะต้องพูด ไปถึง ๑๑ อาการ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เปรียบเหมือนกับว่าเรา ทั่วๆไปที่ใช้รถยนต์ เราก็รู้จักใช้ให้ดีที่สุด อย่าให้มีอันตราย ใช้ให้ดีที่สุด โดยที่เราไม่ต้องรู้ว่า รถยนต์นี้ ได้ ได้ทำขึ้นมาอย่างไร เทคนิคในการสร้างขึ้นมานั้นเป็นอย่างไร เราไม่ต้องรู้ก็ได้ เรารู้เทคนิคแต่ใช้ ปลอดภัยและก็สำเร็จประโยชน์ ก็แล้วกัน นี่ เรื่องเพียง ๘ อาการ นี่ก็หมายความว่า จะใช้รถยนต์ให้มีคุณดี ไม่มีอันตราย แต่ถ้าเรารู้ไปถึง ๑๑ อาการนี่ คือเพิ่มเข้ามาอีก นี่ก็คล้ายกับว่า รู้ไปถึงว่ารถยนต์นี่มันสร้างขึ้นมาอย่างไร เป็นเรื่องที่เกินออกไปก็ได้ สำหรับคนธรรมดา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านคงจะมองเห็นได้เองว่า ถ้าเราจะรู้กันแต่เพียงใช้รถยนต์ให้ดีที่สุดนี่ มันก็ ไม่ได้ลำบากสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเราจะรู้ไปถึงว่ามันสร้างขึ้นมาอย่างไรนี่ มันก็ลำบากมาก นี่ เรื่องปฏิจจสมุปบาทมันเข้าใจยาก ในตอนที่เหนือออกไปจาก ที่อีก ๔ อาการนั่นแหละ เราจึงแยกออกมา ให้เห็นว่าเดี่ยวนี้เราพูดกันแต่เรื่อง ว่าจะดับทุกข์โดยตรงอย่างไร และวิธีการที่มันไกลออกไปกว่านั้น มันก็เข้าใจยาก แล้วก็สอนกันผิดๆ ไปในตอนนี้เลยก็ได้ พระพุทธเจ้าตรัสไว้เพียงเท่านี้ มันสอนไกลออกไป จนเป็นอย่างอื่นไปเสียก็มี นี่เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่กำลังยุ่ง ยุ่งที่สุดในการสอนในการอธิบายกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อย่างชนิด ๘ อาการน่ะ เราก็ตั้งต้นถือว่า รู้เรื่องอายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรื่องอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ มารวมกันเข้าเกิดวิญญาณ เกิดผัสสะ เกิดเวทนานี้ ก็เห็นชัดๆอยู่นี้ ใครบ้างล่ะ ที่ไม่รู้จัก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูป เสียง กลิ่น รส นี่มันรู้ รู้ รู้กันได้ง่ายๆอย่างนี้ นี่เรียกว่ามันพอ พอที่จะปฏิบัติดับทุกข์ได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้คนที่มันอยากรู้ต่อไปว่า อายตนะภายใน อายตนะภายนอกน่ะ มาจากไหนกัน นี่มันจะลึกเข้าไป ก็บอกว่า มาจาก นามรูป Mind and Body มันยังไม่พอ มัน Mind and Body นามรูปมาจากไหนอีก ลึกเข้าไปจนกระทั่งว่า มาจากวิญญาณ วิญญาณ วิญญาณมันจากไหน มาจากสังขาร สังขารมาจากไหน มาจากอวิชชา คือว่า ธาตุอวิชชา Element Ignorant มันทำให้เกิดการปรุงแต่ง คือสังขาร สังขารปรุงแต่ง ก็ทำให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเราก็เอามา รวมกันกับร่างกาย ก็กลายเป็นนามรูป อายตนะในนอก นี่ มันมากจากนามรูป นามรูปก็มากจากวิญญาณ วิญญาณมาจากสังขาร สังขารมาจากอวิชชา ตรงนี้มันลำบาก เข้าใจยาก เหมือนกับว่า สร้างรถยนต์ขึ้นมาอย่างไร มันยากมากกว่าที่จะรู้เพียงว่าขับรถยนต์กันอย่างไร
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อายตนะภายใน อายตนะภายนอก ที่เป็นจุดตั้งต้นของการปฏิบัตินี่ มันมาจากนามรูป นามรูปนี่มัน เหมือนกับว่ารถยนต์คันหนึ่ง มันก็ต้องมาจากส่วนที่เป็นเครื่องยนต์ น่ะ เครื่องตัว เครื่องจักร และก็ที่ตัวรถ ตัวถังรถ ตัวรถนี่ ตัวเครื่องจักรนี่มันก็ Mind ตัวถังรถนี่มันก็ Body นี่คือนามรูป อายตนะในนอกนี่ มันต้องมาจาก นามรูป คือรถที่สมบูรณ์แล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้มาถามว่า นามรูป มาจากไหน ถ้าจะถามว่ารถยนต์ทั้งคันมันมาจากไหน ในกรณีนี้เราชี้ไปเฉพาะที่ว่า มันมาจากการที่เรามี เครื่องยนต์ มีตัวเครื่องยนต์ เรามีตัวเครื่องยนต์ก่อน เราจึงมาหาตัวรถ นั่นเราจึงกล่าวว่า ไอ้นามรูปนี่มันมาจากวิญญาณ คล้ายกับว่า ตอบว่ารถยนต์ทั้งคันนี่มันมาจากเรามีเครื่อง เครื่องรถยนต์ก่อน จึงมาทำให้เป็นรถทั้งคันได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เมื่อถามว่า วิญญาณ วิญญาณ นี่ ไอ้ตัวเครื่องยนต์ นี่มันมาจากไหน มันก็มาจากสังขาร ที่มีการ มาจากการประกอบการปรุงแต่งที่ละเอียด ประณีต เทคนิคซับซ้อนละเอียดอย่างยิ่งน่ะ คำว่า สังขาร นี่น่ะ แปลว่า มีส่วนประกอบ ส่วนการกระทำครบถ้วนละเอียดลออ รวมเป็นสิ่งเดียวนี้ เรียกว่า ปรุง ปรุง หรือ Concot หรือ Condition อะไรก็ตาม มันมาจากกิริยาของสังขาร แปลว่าการปรุงขึ้นมา วิญญาณมาจากสังขาร
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เมื่อถามว่า สังขารมันมาจากไหน ก็ต้องมาจากอวิชชา ตอนนี้แปลก ถ้าผลต้องการเป็นรถยนต์ ใช้เพื่อดับทุกข์ ก็มาจากความรู้ที่ถูกต้อง จะมีผลที่เกิดขึ้นมาคือความทุกข์ นี่เพื่อจะปรุงความทุกข์ เพราะฉะนั้นมันจะมาจากไอ้ความรู้ที่โง่ ที่บ้า คือมันรู้ผิด มันคิดว่าต้องทำขึ้นมา ที่จริงมันไม่ต้องทำขึ้นมานี่ ความทุกข์มันไม่ใช่ต้องทำขึ้นมานี่ ไม่ใช่เหมือนรถยนต์นี่ ความทุกข์เป็นสิ่งที่ ไม่ต้องทำขึ้นมา และมันมีความโง่ ไม่รู้ว่านี่ไม่ควรจะทำขึ้นมา นี่คือ อวิชชา อวิชชา ความโง่ เข้าใจผิดว่า ต้องไปทำสิ่งที่ไม่ต้องทำขึ้นมา นั่นน่ะ คืออวิชชา พอความโง่นี่มี ก็ปรุงให้เกิดสังขาร การปรุงการกระทำ จนมีวิญญาณ มีนามรูปจนเป็นทุกข์ อวิชชาเป็นจุดตั้งต้นของการทำให้เกิดสิ่งที่ไม่ควรจะทำ คือเกิดทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คนป่าสมัยหิน อ่า, เขาไม่มีรถยนต์ เขาไม่รู้จักรถยนต์ เขาไม่ทำรถยนต์ขึ้นมา เขาก็ไม่มีปัญหาลำบาก เรื่องมีรถยนต์ ไอ้เรามัน ไปทำขึ้นมานี่ ด้วยอวิชชานี่ แล้วก็มีความลำบากมีปัญหามาก เรื่องเกี่ยวกับรถยนต์ของเรา ดังนั้นเราจะต้องมีความฉลาด ความฉลาด ที่จะควบคุมปัญหาทั้งหลาย ที่เกี่ยวจากการ เกี่ยวกับการที่เราสร้างรถยนต์ขึ้นมา นี่เราต้องมีความฉลาดควบคุม กระแสปฏิจจสมุปบาท อย่าให้มันทำอันตรายแก่เรา ฉะนั้นเราจะต้องมีปัญญาควบคุม กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ควบคุมปัญหา ที่ไม่เคยเกิดแก่คนป่า แล้วก็มาเกิดกับคนที่เจริญแล้ว เราเรียนปฏิจจสมุปบาท สร้างรถยนต์ขึ้นมา แล้วต้องยังรู้ปฏิจจสมุปบาทอีกรอบหนึ่ง ที่จะควบคุมปัญหา ที่เกิดมาจากการมีรถยนต์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้น เราจึงมีปฏิจจสมุปบาทอีกวงหนึ่ง เป็นปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นวงของ วิชชา วิชชา มี ๑๑ อาการ เหมือนกันแหละ มี ๑๑ อาการเหมือนกันแหละ พระพุทธเจ้าก็ได้สอนไว้เรื่องนี้โดยตรง แต่ไม่มีใครเอามาพูด ไม่มีใครเอามาสอนกัน ปฏิจจสมุปบาทในวงวิชชา นี่ มันจะแก้ปัญหาปฏิจจสมุปบาท วงอวิชชา ฉะนั้นเราควรจะรู้ ซึ่งเราจะได้พูดกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้ท่านตั้งใจฟังให้ดี เพราะเชื่อว่าท่านไม่จะ...จะไม่เคยฟัง แม้ในประเทศไทยนี้ ก็ไม่ค่อยสอนกันน่ะ เรื่องนี้ ในลังกา พม่า ก็ไม่ได้ยิน มันมีอีกวงหนึ่งมี ๑๑ อาการ คือว่าเมื่อวงวิ...อวิชชา มันเป็นไปถึงที่สุด เรามีความทุกข์ มีความทุกข์ ทุกข์ๆ เหลือประมาณแล้วนี่ เราก็เริ่มวงใหม่ วงใหม่นี่ตั้งต้นขึ้นว่า ไอ้ความทุกข์น่ะ บังคับให้เราต้องแสวงหา สิ่งที่เราเชื่อว่าจะดับทุกข์ได้ แล้วก็แสวงหาบุคคล หรือความรู้ หรือวิธีการ ที่จะดับทุกข์ได้ และเราก็มีความเชื่อในสิ่งนี้ที่จะดับทุกข์ได้ ท่านจึงกล่าวว่า ความทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดศรัทธา ศรัทธา ความเชื่อว่าที่จะว่าเอาตัวรอดได้ ความทุกข์ให้เกิดศรัทธา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรามีศรัทธา มีความเชื่อในสิ่งที่จะช่วยเราได้ จะสรุปพูดสั้นๆ ก็ว่า ศรัทธาในธรรมะ ในธรรมะก็แล้วกัน ในตัวธรรมะ คือระบบที่มันจะดับทุกข์ได้ เรามีความเชื่ออย่างนี้ เราก็เกิด ปราโมทย์ ปราโมทย์ ยินดีปรีดา ยินดีปรีดาปราโมทย์ เหมือนกับเราพบเพชรพลอยเงินทอง นั่นน่ะ เราก็มีความปราโมทย์ จึงว่า ศรัทธาให้เกิดปราโมทย์ ข้อนี้ ขั้นนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปราโมทย์ ปราโมทย์นี่ มันก็ได้เแก่ไอ้สิ่งที่เราเคยพูดกันมาแล้วว่า Appetite Appetite คือความพอใจทางจิตทางวิญญาณ Appetite ทางวัตถุ ก็ว่า หิวข้าวอยากจะกินข้าวน่ะ ทีนี้ Appetite มันความประสงค์ทางวิญญาณ ความต้องการทางวิญญาณ อืม, Joyfulness นั่นน่ะ มันพอใจปราโมทย์ ปราโมทย์ มันก็มี Appetite ในการที่จะปฏิบัตินี่จนได้ ต้องจำให้ดีว่าเรามีความเชื่อแน่ ในสิ่งที่เรา เห็นว่าจะช่วยเราได้ เราก็มีปราโมทย์ในสิ่งนั้น อย่างพอเราได้รับอันตราย พอเรามองเห็นไอ้สิ่งที่จะช่วยเราได้ ก็ต้องพอใจ ยินดีที่จะเข้าไปหาสิ่งนั้น นี่เรียกว่า ศรัทธาให้เกิดปราโมทย์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะต้องมี Appetite ในการปฏิบัติธรรม มากๆ หรือมากกว่า Appetite ในการที่จะกินข้าว กินอาหาร
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่ปราโมทย์ ปราโมทย์ เต็มที่แล้ว ก็จะเกิด ปีติ ปีติ ยินดี ยินดี ยินดีในการที่จะได้สิ่งนี้ ปีติ แปลว่าอะไร คุณสันติกโร หาคำแปลทีดีเอาเอง ปราโมทย์ให้เกิดปีติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
(เสียงท่านสันติกโร) ท่านช่วยอธิบายต่อว่า ปีติ ปราโมทย์ ต่างกันยังไง
เอ้า, ปีตินี้คือว่า ยินดีพอใจในการที่ได้สิ่งนี้ ถ้าหยาบๆก็เรียกว่า Rapture ถ้าละเอียดหน่อยก็ Satisfaction นี่คุณรู้เอาเองเถิดว่า เมื่อคุณได้ไอ้ของที่คุณพอใจแล้ว คุณก็พอใจ เอ่อ, คุณก็ คุณก็ยินดี แล้วคุณก็พอใจ พอใจนั่นแหละ คือปีติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี่ยวนี้เรากำลังพูดถึง กระแสปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายที่จะตรัสรู้น่ะ ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่จะตรัสรู้ เป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณ และคำพูดทุกคำๆนี่ มันจะเป็นเรื่องทางจิตทางวิญญาณที่ละเอียดสูงขึ้นไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เมื่อมี ปีติ ปีติ ในไอ้ธรรมะที่ดับทุกข์ได้แล้ว ก็เกิด ปัสสัทธิ ปัสสัทธิ Calm down น่ะ คือสงบลง ปัญหายุ่งยาก บ้าบอ วุ่นวายต่างๆ มันระงับลงไปหมด เรียกว่า ปัสสัทธิ ปีติให้เกิดปัสสัทธิ ความยุ่งยากลำบากทั้งหลายหยุดระงับลง เป็นปัสสัทธิ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้ามีปีติ เอ้ย, ถ้ามีปัสสัทธิอย่างนี้แล้ว ก็เกิดความสุข ความสุขนี้มีความหมายเฉพาะเป็น Technical term เฉพาะ คือความสุขที่เกิดมาจากธรรมะ ไม่ใช่ความสุขเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ ไม่ใช่ Food ไม่ใช่ Flesh ไม่ใช่ Fame ไอ้พวกนั้นไม่เอาหล่ะ ความสุขที่เกิดในธรรม เกิดทางธรรม เกิดโดยธรรม มาจากปัสสัทธิ คือความระงับลงแห่งความวุ่นวายต่างๆ นี่เรียกว่า ความสุข ในขั้นนี้เรียกว่า ปัสสัทธิให้เกิดความสุข จำเป็นอย่างยิ่งจะต้องมี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความสุขชนิดนี้ เป็นปัจจัยสำคัญ จำเป็นอย่างยิ่งแก่ความเป็นสมาธิ ดังนั้นในตอนนี้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ไอ้ความสุขนี่ ให้เกิดสมาธิ แม้จะ จดจ่อ จดจ่ออยู่ในความสุขนั้นก็เป็นสมาธิ ความสุขนี้เป็นองค์ประกอบอันหนึ่งที่จะให้เกิดสมาธิ เราจึงพูดว่า ความสุขให้เกิดสมาธิ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อืม, ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ตรัสต่อไปว่า สมาธิให้เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ คือการเห็นสิ่งทั้งปวง อย่างถูกต้อง ตามที่เป็นจริง นี่คือตัว วิชชา วิชชา ก่อนนี้เราเคยเห็นสิ่งทั้งปวง เข้าใจผิด ต่อกลับตรงกันข้าม คือโง่ เดี๋ยวนี้มีสมาธิแล้ว จะเห็นสิ่ง ทุกสิ่งๆ ถูกต้องตรงตามที่มันเป็นจริงอย่างไร สมาธิให้เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ การเห็นตามที่เป็นจริง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวง อ่า, ตามที่เป็นจริงแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ ทำให้เกิด นิพพิทา นิพพิทา เบื่อหรือเหนื่อยต่อไอ้ที่เราเคยบ้า เคยหลง เคยชอบนั่นแหละ นิพพิทา คือความเบื่อหน่าย ต่อสิ่งที่เราเคยหลงรัก นี่เรียกว่า นิพพิทา ยถาภูตญาณทัสสนะทำให้เกิดนิพพิทา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมี นิพพิทา อืม, ก็เกิด วิราคะ นิพพิทาความเบื่อหน่ายให้เกิดวิราคะ คือคลายออก จางออก จางออก แห่ง อ่า, ความยึดมั่นถือมั่น Attachment น่ะ คลายออกจางออกเรียกว่า วิราคะ นิพพิทาให้เกิดวิราคะ คำนี้มีความหมายพิเศษมาก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
วิราคะทำให้เกิด วิมุตติ วิมุตติ Emancipation Liberation ความรอดความหลุดออกไป ความหลุดออกไป ที่เรียกว่าความปล่อย ความปลดปล่อย วิราคะทำให้เกิดวิมุตติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่ วิมุตติ น่ะ ทำให้เกิด ขยญาณ ขยญาณ (45:51) ความรู้ว่า สิ้นแล้ว สิ้นแล้ว หมดแล้ว หมดแล้ว สิ้นแล้ว สิ้นปัญหาสิ้นความทุกข์ สิ้นทุกสิ่งที่เป็นปัญหา สิ้นทุกสิ่งที่เป็นปัญหาเรียกว่า ขยญาณ ญาณเห็นความสิ้นไป สิ้นไปแห่งปัญหา หรือความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขยญาณ นำให้เกิด นิพพาน เมื่อเห็นความสิ้นไป สิ้นไปแห่งปัญหา หรือความทุกข์ เราก็มี Experience คือรับรส ชิมรสของพระนิพพาน ขยญาณ ให้เกิดนิพพาน แล้วก็จบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้เราก็ ทบทวนกันอีกที เพื่อจะเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ความทุกข์ ทำให้เราเกิดศรัทธา ความเชื่อในสิ่งที่จะดับทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความเชื่อในสิ่งที่จะดับทุกข์ได้ ทำให้เราเกิดปราโมทย์ ความพอ อ่า, ความยินดีปรีดา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปราโมทย์ความยินดีปรีดาทำให้เกิดปีติ ความพอใจ พอใจ เหมือนได้แก้ว ได้แหวน ได้เงิน ได้ทอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
/ แทรกขึ้นว่า / พอใจในธรรม พอใจในธรรม
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปีติก็ทำให้เกิดปัสสัทธิ คือความระงับลงแห่งความยุ่งยาก วุ่นวายลำบาก ปัญหา ความ อ่า, สิ่งรบกวนใจทั้งหลายน่ะ มันหยุดลง หยุดลง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะเรียกง่ายๆว่า Quenching of agitation
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรียกว่า ปัสสัทธิ ปัสสัทธิให้เกิดความสุข ความสุขชนิดที่สะอาด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความสุขให้เกิดสมาธิ เป็นปัจจัยแก่สมาธิ จิตมั่น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อ่า, ขอพูดสักหน่อยตอนนี้ว่าสมาธิ คือว่า จิตสะอาด จิตตั้งมั่น จิต Active
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สมาธิให้เกิด ยถาภูตญาณทัสสนะ รู้จักสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ยถาภูตญาณทัสสนะ ทำให้เกิด นิพพิทา หยุดหลงหยุดพอใจในความโง่ความบ้า ในอารมณ์ที่มันเคยหลง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นิพพิทา ทำให้เกิด วิราคะ การจางออก จางออกแห่งความยึดมั่นถือมั่น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
วิราคะ ทำให้เกิด วิมุตติ คือความรอดความหลุดพ้นออกมาได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
วิมุตติ ทำให้เกิด ขยญาณ คือความรู้ว่า โอ้, หมดแล้ว สิ้นแล้ว จบแล้ว ปัญหาหมดแล้ว ปัญหาหมดแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขยญาณ ทำให้เรา Experience เพื่อนิพพาน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราก็ได้ ๑๑ อาการ อีกเหมือนกันน่ะ นับเพียงอย่าง ก็ ๑๒ อย่าง ๑๑ อาการที่มันปรุงแต่งกัน นี้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายวิชชา ที่มันจะฆ่าจะทำลายเสียซึ่ง ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายอวิชชา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความจริงมีอยู่ว่า ท่านจะต้องรู้จัก ปฏิจจสมุปบาทวงอวิชชา ให้แจ่มแจ้ง ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ให้ Realization ให้มีในวงอวิชชาเสียก่อน แล้วจึงค่อยมา Realization ในวงวิชชา ทีหลัง ขอให้สนใจที่สุด รู้จักปฏิจจสมุปบาท ที่อันตราย ที่ร้าย ที่มันกัดเรา ให้ดีเสียก่อน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
และทีนี้ ไอ้ความจริงอันเฉียบขาด Absolute truth มีอยู่ว่า ท่านต้องปฎิบัติอานาปาณสติ ท่านจึงจะมีปฏิจจสมุปบาท วงที่ ๒ คือ วงวิชชา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านจงรัก จงพอใจ การปฎิบัติอานาปานสติ ให้มาก ให้สำเร็จ แล้วท่านก็จะมีปฏิจจสมุปบาท วงที่ ๒ คือวงวิชชา อย่างที่กล่าวมาแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เวลาที่เหลืออยู่บ้างนี้ เราก็จะพูดเรื่อง อานาปานสติ ต่อไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อานาปานสติ คือ วิทยาศาสตร์ Science Science น่ะ ในการที่จะใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์ที่สุด ที่สุด ที่จะใช้ได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
โดยธรรมชาติแท้ๆ น่ะ ธรรมชาติก็รู้จัก ใช้การหายใจนี่ ให้แก้ปัญหา ให้แก้ปัญหาคือความทุกข์
(เสียงท่านสันติกโร) ธรรมชาติแท้...
ธรรมชาติแท้ๆ ธรรมชาติแท้ๆ รู้จักใช้ลมหายใจเพื่อจะแก้ปัญหา ที่เป็นความทุกข์อยู่ในใจ คุณรู้จักไหม ที่เขาเรียกว่า ถอนหายใจ ถอนหายใจ ถอนหายใจ ถอนหายใจยาว เป็นได้โดยธรรมชาติ แม้แต่อาการสะอื้น สะอื้น สะอื้น ก็เป็นการทำให้ ไอ้ความยุ่งยากลำบากในใจ สลัดออกไปโดยธรรมชาติ นี่ธรรมชาติก็รู้จักใช้ลมหายใจแก้ปัญหา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในภาษาไทยเราเรียกว่า ถอนหายใจยาว เขารู้จัก ถอนหายใจยาว
(เสียงท่านสันติกโร) ไม่เข้าใจ
ภาษาไทย ถอน ถอน คือว่ายกขึ้นมา หายใจยาว
(เสียงท่านสันติกโร) แบบอย่างนั้น
นั้นแหละ นี่มันเป็นเอง พอว่ามัน มันกลัดกลุ้มขึ้นมานัก แล้วมันก็ถอนหายใจยาวขึ้นมาเอง ไอ้ความรู้สึกอันนั้นก็หายไป ถอนหายใจยาว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าว่ามันเร็วหรือมันแรงกว่านั้น เราเรียกว่า สะอื้น สะอื้น ผมไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษแปลว่าอะไร เด็กเล็กๆก็เขาว่าสะอื้นเป็น เพราะเขาสะอื้นทีนึง แล้วเขาก็โล่งใจทีนึง สบายทีนึง
(เสียงท่านสันติกโร) อย่าง...
สะอื้นน่ะ หรือถ้าเลยไปก็ร้องไห้ สะอื้นๆ นี่ก็จากแก้ลมหายใจ
(เสียงท่านสันติกโร) แปลว่าอะไร
ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไร /หัวเราะ/ สะอื้น คุณไปรู้เอาเอง
เมื่อเราสะอื้น นี่ เราจะรู้สึกโล่งใจ
(เสียงท่านสันติกโร) แปลไม่ไหว
แปลไม่ไหว /หัวเราะ/ ก็ไม่ต้องแปล ใครรู้ว่าสะอื้นแปลว่าอะไร
เอาหล่ะ ทีนี้ว่า ธรรมชาติแท้ๆ มันรู้จักใช้ประโยชน์จากการลมหายใจ นี่เราเป็นมนุษย์มีปัญญา เราก็จะปรับปรุงให้ดีกว่านั้น เราจะปรับปรุงให้ดีกว่านั้น นั้นน่ะคือ ระบบอานาปานสติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราพูดได้ว่า แม้แต่คนป่า สมัยคนป่านั้นน่ะ เขาก็รู้จักใช้ประโยชน์จาก การใช้ลมหายใจนี่ เพื่อแก้ปัญหา เพื่อแก้ปัญหา เขารู้จักหายใจชนิดที่ให้มันสบายใจ หายใจให้ดี เรียกกำลังใจมาทีเดียว เราอ่านพบในเรื่องที่ว่า เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นคนป่าคนดุร้ายเขาก็มีวิชชา เพื่อที่จะหายใจขึ้นมา เพื่อจะแก้ความเจ็บปวด ถ้าเจ็บปวดเพราะถูกอาวุธ เจ็บปวดเพราะมีลมหายใจที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ หายใจทีเดียว ขับไล่ความเจ็บปวด แล้วก็ลุกขึ้นรบ ต่อสู้ กันไปใหม่นี่ เรียกว่า แม้่พวกยักษ์ พวกมาร พวกที่จะไปใช้ในทางโลกๆนี่ เขาก็รู้จักใช้ลมหายใจ ใช้กำลังของลมหายใจ นี่ก็ เรียกกำลังของปราณ ของปราณ กำลังที่มีอยู่ในโลก นี่เอามาใช้ รวมเป็นกำลังของลมหายใจ เพื่อแก้ปัญหา ให้เกิดกำลังใจ ให้สำหรับจะต่อสู้อะไรต่อไปนี่ คนป่าก็รู้จักใช้ในระดับนี้
(เสียงท่านสันติกโร) ยักษ์และมาร หมายถึง...
คือคนที่ยังเป็นป่า ที่ดุร้ายน่ะ คนดุร้าย De...อะไรก็ไม่รู้ล่ะ ยักษ์นี่ เป็นภาษาอังกฤษน่ะ Giant ,Demon Giant /หัวเราะ/
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความรู้อันนี้ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น ดีขึ้น มากขึ้น มากขึ้น จนกลายเป็นศาสตร์ Science ชนิดหนึ่ง โดยไม่รู้ตัว แล้วก็สอนสืบกันมา สืบกันมา จนถึงยุคพุทธกาลน่ะ จนถึงยุคพุทธกาล ก็แปลว่าความรู้เรื่อง การใช้ลมหายใจให้เป็นประโยชน์นี่ สูงขึ้นมาจนถึงศาสตร์ เป็นศาสตร์ มาถึงยุคพุทธกาล ก็รู้จักใช้กันอย่างดีทีเดียว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราได้ยินได้ฟังว่า เด็กๆ พระสิทธัตถะเป็นเด็กๆ อายุไม่กี่ขวบ ก็รู้จักทำอานาปานสติ ที่ไปทำพิธีแรกนาขวัญที่ทุ่งนา เด็กสิทธัตถะไปนั่งทำอานาปานสติ นี่ มีความรู้ แม้แต่เด็กๆ พระสิทธัตถะ เราไม่เชื่อว่าเรียนมาแต่ชาติก่อน เราไม่เชื่อ เราเชื่อว่าวิธีสอนอานาปาณสติ แพร่หลายที่สุด จนทุกคนรู้ ทุกคนรู้ เป็นความรู้ที่ทุกคนรู้ ในสมัยนู้นน่ะ เป็นธรรมดาสามัญทั่วไป ที่ทุกคนจะต้องเรียนรู้วิชานี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มันเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีเรื่อยๆมา โดยเฉพาะในอินเดีย ในยุคก่อนพุทธกาลเล็กน้อย หรือยุคพุทธกาลนั่นน่ะ มีขนบธรรมเนียมประเพณีว่า คนหนุ่มโดยเฉพาะผู้ชาย คนหนุ่มเฉพาะผู้ชายนี่ เขาจะต้องศึกษาวิชาพิเศษ ทางจิตใจชนิดหนึ่ง ที่เรียกว่า อิทธิฤิทธิ์ อิทธิฤิทธิ์ Miracle อิทธิฤทธิ์นี่ คนหนุ่มจะต้องหาโอกาสศึกษาเรื่องทางจิตใจนี่ ก็คือทำ ทำเรื่องนี้ ทำเรื่องอานาปานสติ ทำให้จิตใจมีฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจมาก ที่ไปใช้ต่อสู้ชีวิตต่อไปข้างหน้า คนหนุ่มทั้งหลายจะต้องได้รับการศึกษาเรื่อง อิทธิฤทธิ์ อิทธิฤิทธิ์ อืม, กำลังพิเศษ Magic power นี่ทั้งนั้นแหละ และเรื่องนั้นไม่มีอะไร เรื่องอานาปานสติ โดยวิธีนั้นๆ วิธีนั้นๆ อานาปานสติเพื่อมีอิทธิฤทธิ์ มัน มันคนละอย่างกับอานาปานสติเพื่อดับทุกข์ แต่มันก็เป็นอานาปานสติด้วยกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แม้ยุคนี้สมัยนี้ ก็ยังเหลืออยู่นะ เมื่อผมเป็นเด็กๆนี่ ผมได้เห็น อ่า, คนหนุ่มๆหลายๆคนน่ะ เขาไปขอฝึกอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ก็คือฝึกอานาปานสติ กับครูอาจารย์ผู้สอน อยากจะมีอิทฤทธิ์ แต่แล้วมันเป็นบ้าเสียทั้งหมด มันบ้า ไม่สำเร็จหมด มันสอนไม่เป็นหรือมันๆ มันมีความอยากบ้า ในทางที่จะเอาประโยชน์ มันเป็นกิเลสไปเสีย ไปฝึกอานาปานสติ แบบอิทธิฤทธิ์มันเลยเป็นบ้ากันหมด ไม่สำเร็จประโยชน์อะไร
(เสียงท่านสันติกโร) มันบ้าจริงๆ หรือ...
บ้าจริงๆ มันบ้า ไปเป็นคนบ้าไปเลยก็มี
(เสียงท่านสันติกโร) เหรอ
อืม
/เสียงภาษาอังกฤษ/
/แทรกขึ้นว่า/ ไม่ใช่ Young boy Youth แล้ว ไม่ใช่ Young boy แล้ว ไม่ใช่ Young boy มันเป็น Youth แล้ว /หัวเราะ/
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทำให้เป็นอานาปานสติ เพื่อ Magic Magic power เพื่ออิทธิฤทธ์ เพื่ออิทธิฤทธ์ เราไม่เอาหล่ะ เราจะเอาอานาปานสติ เพื่อดับทุกข์ แต่ถ้าเราอยากจะใช้คำว่า อิทธิฤทธิ์ เราก็ใช้ได้ อิทธิฤทธ์ิในทางที่จะฆ่ากิเลส จะฆ่ากิเลส นี่เพื่อจะดับทุกข์ นี่เราจะมาพูดกันถึงอานาปานสติ ที่ ที่เป็น เอ่อ, ธรรมะ ที่เป็นธรรมะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อานาปานสติ ทางธรรมะ เราก็มีเทคนิคที่จะแบ่งออกเป็น ๔ หมวด ๔ ,๔หมวด Category ๔ ขั้นตอน ๔ ระดับ หมวดแรก เราก็จัดการกับลมหายใจ ลมหายใจนี่ รู้จักลมหายใจดีที่สุด ว่าทำอย่างไรมันจะดีที่สุด มันจะมีประโยชน์ที่สุด นี่หมวดแรกนี่ และเราก็รู้ต่อไปว่า ลมหายใจนี้มันควบคุมร่างกาย มันอาศัยกันอยู่ ลมหายใจเป็นอย่างไร ร่างกายจะเป็นอย่างนั้น ถ้าลมหายใจหยาบ ร่างกายก็หยาบ ลมหายใจละเอียด ร่างกายก็ ละเอียด เรารู้จักลมหายใจดีที่สุด แล้วเราสามารถควบคุมร่างกาย Category นี่โดยทางไอ้ Breath body นี่ข้อแรก ขั้นแรก หมวดแรก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ตัวอย่างที่เราจะเห็นได้ง่ายๆว่า ลมหายใจน่ะ ควบคุมร่างกาย เช่นว่า เราเกิดมีแผลเลือดออกมา มาก แต่ถ้าเราทำลมหายใจให้ละเอียด ทำอานาปานสติ ให้ลมหายใจละเอียดๆๆ แล้วเลือดจะให้ออกมาน้อย ด้วยอำนาจอานาปานสติ ลมหายใจก็สามารถจะควบคุมร่างกายเช่นนี้ เป็นตัวอย่าง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านก็ศึกษาได้ด้วยตนเอง ท่านลองหายใจให้ยาว ให้สั้น ให้หยาบ ให้ละเอียด แล้วท่านก็รู้ได้เอง ว่าเมื่อหายใจหยาบๆ นี่ ไอ้ร่างกายนี่ ไหลเวียนของโลหิตนี่ก็หยาบไปด้วย พอลมหายใจละเอียด มันก็ระงับ ละเอียด หรือมันเย็นลง เย็นลง นี่ประโยชน์ว่าเราจะมีร่างกายที่ดี ร่างกายที่มีสมาธิได้โดยง่าย ถ้าเราระงับ ไอ้ร่างกายลงไปได้ด้วยลมหายใจเท่าไร เราจะมีสมาธิโดยอัตโนมัติ เราจะมีสมาธิโดยอัตโนมัติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าสังเกตให้ละเอียดลออ พยายามอย่างยิ่งที่จะสังเกตให้ละเอียดลออ Discriminate มันให้ละเอียดที่สุด จนรู้จักหยาบรู้จะละเอียด รู้จักสั้นรู้จักยาว รู้จักไปทุกอย่าง จนสมารถควบคุมมันได้ เราก็จะสามารถทำให้ มีลมหายใจ ลมหายใจที่ศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกันน่ะ หายใจทีเดียวความ ความ ความทุกข์ในใจออกไปหมด หายใจทีเดียว ความทุกข์ในใจออกไปหมดนี่ ต้องเอากันถึงอย่างนี่ ในขั้นที่ ๑ ที่ควบคุมลมหายใจ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ความรำคาญ รำคาญอะไรนะ Annoyance อะไรก็ไม่รู้หล่ะ คุณว่าเอาเอง จะออกไปหมดโดยการหายใจทีเดียว ถ้าราทำได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อืม, ให้พยายามหมวดที่ ๑ มีอำนาจเหนือลมหายใจ แล้วก็จะมีอำนาจเหนือกาย นี่หมวดที่ ๑
/เสียงภาษาอังกฤษ/ (เสียงขาดหาย 1.19.14 – 1.19.18)
ที่นี้มาถึงขั้นที่ ๒ หมวดที่ ๒ นี่ จะมีอำนาจเหนือเวทนา เหนือ Feeling อันนี้เหนือกาย อันนี้จะเหนือ Feeling หมวดที่ ๒
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Feeling มีหลายอย่าง หลายประการ แต่ว่า สรุปแล้วมันก็มีอย่าง Positive and Negative และ Feeling อย่าง Positive มัน มันทำอันตรายเรามาก มันทำให้เราเป็นทาส เป็นทาสของมันมาก เวทนาฝ่ายที่เป็นสุข หลงใหลกันทั้งโลก ทั้งโลก เทวดาด้วย ก็ มันหลงใหลในเวทนาที่เป็นสุข แล้วก็เป็นทาสของเวทนา จนทำผิดๆไปเพราะไอ้หลงใหลในเวทนา ที่นี้เราจะควบคุมบังคับ ไม่ให้ไอ้เวทนานี่บังคับให้เราทำอะไรผิดๆ แล้วให้มันสงบ สงบ เยือกเย็นเป็นสุข เราก็บังคับเวทนา นี่ขั้นที่ ๒
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าเราสังเกตดีๆ สังเกตมากๆ เราจะเห็นได้ชัดว่า เวทนา หรือ Feeling นี่ อ่า, มันปรุงแต่งความคิด ความคิด Condition ความคิด มัน Concoct ความคิด ถ้าเราควบคุมไม่ได้ เวทนามันก็จะปรุงความคิดผิดๆ บ้าๆบอๆ แล้วมันก็มีความทุกข์ เราจะควบคุมเวทนาให้ได้ ให้มันปรุงแต่งความคิดแต่ในทางที่ดี ที่ถูกต้อง แล้วเราก็ไม่มีความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราควบคุมเวทนาได้ เราก็ไม่หลงในเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ นะ โลกสมัยนี้ ปัจจุบันนี้จำเป็นมาก เพราะมันมีสิ่งยั่วยวน Luxurious thing มันมาก ท่านทั้งหลายต้องรู้จักควบคุม Feeling ไม่งั้นจะไปบ้า ไปหลง ในเรื่องที่ทำให้เกิดความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พูดให้สั้นที่สุด สั้นที่สุดว่า จะไม่หลงใน Positiveness ใดใดในโลก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราปลอดภัยเท่าไหร่คิดดู เมื่อเราควบคุมเวทนา Feeling ได้ เราปลอดภัยเท่าไร ปลอดภัยกี่มากน้อย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่นี้มาถึงขั้นที่ ๓ เราจะควบคุมจิต จิตนี้เป็นตัวการร้าย มันเป็น Leading agent มันเป็น Leader ต้องควบคุมมัน ควบคุมจิต เราจึงมีวิธีหมวดที่ ๓ ที่จะควบคุมจิต ให้อยู่ในการควบคุมของเรา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราต้องใช้คำว่า Train นั้นแหละ บังคับควบคุม บังคับฝึกฝน อบรม สั่งสอน Adjust อะไรก็ตาม ให้จิตมันอยู่ในอำนาจของเรา เราอยากจะให้จิตปราโมทย์ ยินดี นี่ก็ได้ เราอยากให้จิตหยุด หยุด ตั้งมั่น Focus เดียว เป็นสมาธิ นี่ก็ได้ เราอยากจะให้จิตปล่อย ปล่อยๆๆ ปล่อยความรู้สึกเลวร้ายนี้ ปล่อยออกไป ก็ได้ ถ้าได้อย่างนี้แล้ว ก็เรียกว่าเราบังคับจิตได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านก็คงรู้ได้เองว่า เราไม่สามารถที่จะฝึก ให้ได้ใน Retreat ๑๐ วันนี้เป็นไปไม่ได้ แต่ท่านต้องรู้ไว้ ต้องรู้ไว้ ต้องเข้าใจไว้ ก็ไปทำต่อไป ต่อไป ต่อไปตลอดชีวิตน่ะ ที่จะบังคับจิตให้ได้ ไม่ทำได้ภายใน ๑๐ วัน แต่ให้รู้ไว้ รู้ว่าทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ ก็ทำต่อไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อือ, ที่นี้มาถึงหมวดที่ ๔ ขั้นที่ ๔ ระดับที่ ๔ เราจะบังคับความโง่ อวิชชา ของเราเอง จะบังคับความโง่ อวิชชาของเราเอง อย่าให้มันรู้ผิด อย่าให้มันรู้ผิด มันไปโง่ไอ้สิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ไปโง่เข้าใจสิ่งที่เป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข มันโง่เข้าใจสิ่งที่เป็นอนัตตา ว่าเป็นอัตตา นี่มันโง่ มันโง่ มันเข้าใจผิด สติปัญญามันผิด จะบังคับมาให้มันถูก จะเรียกว่าบังคับ อวิชชา อ่า, ความโง่ แล้วกำจัดให้มันหมดไป ให้มันหมดไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในภาษาไทยเรามีคำพูดสั้นๆว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ดอกบัวน่ะ มันมีกลมและก็มี มีไอ้กงจักร คมอาวุธที่ใช้สับฟันมันก็มีรูปร่างคล้ายกัน ก็เห็นกงจักรว่าเป็นดอกบัว และก็ไปเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย ว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีอันตราย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อเราเห็นถูกต้องเป็นวิชชาอย่างนี้แล้ว มันก็จะเกิด วิราคะ Attachment คลายออก คลายออก ความยึดมั่นถือมั่น คลายออก คลายออก นี่เรียกว่า วิราคะ คลายออกคลายออก มาเมื่อหมด อันนี้ นิโรธะ Extiction ในที่สุดเราก็รู้ โอ้, เดี่ยวนี้หมด หมดแล้ว หมดปัญหาแล้ว เราเป็นอิสระ เรา Free แล้ว นี่ หมวดที่ ๔ ปฎิบัติอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หมวดที่ ๑ ควบคุมร่างกาย หมวดที่ ๒ ควบคุมเวทนา Feeling หมวดที่ ๓ ควบคุมจิต หมวดที่ ๔ ควบคุมอวิชชา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อกี้ท่านก็เห็นเองอีกแล้วว่า อานาปานสติ ทั้ง ๔ Stage นี่ ท่านไม่ฝึกได้ภายใน ๑๐ วัน ภายใน ๑๐ วัน ท่านต้อง ทำไว้เป็นตัวอย่าง ฝึกให้ได้เป็นตัวอย่าง ฝึกไว้เป็นบทเรียน แล้วท่านก็ทำต่อไปจนตลอดชีวิต
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในที่สุดท่านก็จะมี Magic power อิทธิฤทธิ์ในฝ่ายที่ถูกต้อง สำหรับกำจัดปัญหาทั้งหลายทั้งปวง หมดสิ้นไปไม่มีเหลือ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มันจะมีอย่างไร เราก็จะดูกันหน่อยนะ ว่าในฝึกอานาปานสติ เสร็จแล้วเราจะมี สติ มากที่สุด จะนำมาใช้ได้ตามที่ต้องการ แล้วเราก็จะมี ปัญญา ปัญญา ความรู้ที่ควรรู้ มากที่สุด เราก็จะมี สัมปัชชัญญะ ปัญญาเฉพาะหน้าที่ ปัญญาเฉพาะหน้าที่ มากที่สุด เราก็มี สมาธิกำลังจิตมากที่สุด เรามีสติ มีปัญญา มีสัมปัชชัญญะ มีสมาธิมากที่สุด แล้วเราจะใช้สิ่งนี้ กำจัดปัญหาทั้งปวง แล้วก็เราจะมีนิพพานได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะต้อง อะไร ฉลาดทันเวลา มี Wise in time ต้องทันเวลา จึงจะเรียกว่า สติ ถ้าฉลาดไม่ทันเวลา คือไม่มีสติ คำว่าสติคำเดียวก็ว่า ฉลาดทันเวลา ต้องมาเร็วอย่าง Flash น่ะ Flash minefulness คือมาทันเวลา มาเร็ว มาทันเวลา อ่า, เราก็สามารถหยุดกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ ตรงที่ผัสสะ ผัสสะจะหยุด เอ้ย, ควบคุมได้ไม่ให้มันโง่ ควบคุมผัสสะให้มันฉลาดด้วยอำนาจของสติ นี่คือสติมันมีประโยชน์อย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี้ปัญญา ปัญญา แปลว่า ความรู้ ที่ควรจะรู้ ที่ควรจะรู้ เราอย่าไปรู้สิ่งที่ไม่ควรจะรู้ มันเสียเวลา ที่มันเกินมันเฟ้อ ไม่ต้องรู้ เรารู้แต่ที่เท่าที่ควรจะรู้ รู้ให้มาก รู้ให้พอ รู้ให้ครบ ถ้ารู้เกินมันบ้า รู้เท่าที่ควรจะรู้ก็แล้วกัน เก็บไว้ เก็บไว้ สำรองไว้ใน Stock นี่ เรียกว่าปัญญา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้สัมปัชชัญญะ สัมปัชชัญญะ ปัญญาเฉพาะหน้าที่ เฉพาะ Function น่ะ เหมือนกับว่าเรามียาหมด ในตู้ยามียาหมดทุกอย่าง แต่พอเราจะใช้ เราใช้ทีละอย่าง และต้องใช้ให้เหมาะกับโรค นี่ ใช้เฉพาะหน้าที่ อย่างนี้ ก็เรียกว่าสัมปัชชัญญะ หรือว่าเรามีอาวุธมากอย่าง เพราะเราจะทำลายข้าศึก เราต้องใช้อาวุธที่เหมาะกับ เหตุการณ์นั้น ปัญญาเฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะหน้าที่ ให้ตรงให้ถูก ตรงนั้นก็เรียกว่า สัมปัชชัญญะ เอามา โดยสติเอามาใช้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
สติมีหน้าที่เอาปัญญามาอย่างเร็ว และถูกต้อง และทันเวลา นี่ ต้องใช้คู่กันกับสติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ก็มาถึงสมาธิ สมาธิ แปลว่า กำลัง กำลัง หรือจะเรียกให้ถูกก็ว่า น้ำหนัก น้ำหนัก ให้ปัญญา สามารถจะตัด ปัญญานี่เหมือนกับความคม แต่ถ้าไม่มี ไม่มีน้ำหนักมันไม่ตัดนี่ มันคม เสียก็ถ้าไม่มีน้ำหนัก มันไม่ตัด มันต้องมีน้ำหนักหรือมีกำลังน่ะ ความคมจึงจะตัด เราจึงต้องมีสมาธิ เป็นน้ำหนัก สำหรับปัญญา ที่จะตัด มีสมาธิมากเท่าไหร่ก็มีกำลังมากเท่านั้น ดังนั้นเราจะต้องมีสมาธิด้วย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ยกตัวอย่าง อ่า, ที่จะใช้ทั้ง ๔ นี่ใน Team work นี่ ต้องเป็น Team work ทั้ง ๔ นี้ มี Harmful case เกิดขึ้นอันตรายมาเฉพาะหน้าแล้ว สติเร็วที่สุด ไปเอาปัญญามาในจาก Stock แล้วก็เอามา มาเอาปัญญา เฉพาะปัญญาที่จะใช้ เป็น Proper เป็น Specific เฉพาะๆเอามาทันที เร็วเหมือนกับ Flash มันเผชิญหน้ากับไอ้ ไอ้เหตุการณ์นั้นน่ะ นี่หน้าที่ของสัมปัชชัญญะ และถ้าสัมปัชชัญญะไม่ค่อยจะมีแรง กำลังมันอ่อน มีสมาธิใส่ลงไป สัมปัชชัญญะก็เป็นอาวุธ ที่จะตัดปัญหานี้ออกไปได้ นี่ Team work ของสิ่งทั้ง ๔ เป็นอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อย่าลืมว่าต้องมาครบ Team มาทั้ง ๔ มาลักษณะครบ Team แล้วก็เป็น Team work สติ ปัญญา สัมปัชชัญญะ สมาธิ มาครบ Team มีทั้ง ๔ นี้แล้ว ก็เรียกว่า อะไรหล่ะ มี Holy treasure ขุมทรัพย์วิเศษประเสริฐ ไม่มีอะไรยิ่งกว่า มีไอ้ ๔ อย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านมีครบ ๔ อย่างนี้แล้ว ท่านจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายทุกข์ไม่ให้เกิดขึ้น และจะ ควบคุม กระแสปฏิจจสมุปบาทฝ่ายดับทุกข์ให้มีขึ้น ท่านสามารถจะควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาททั้ง ๒ ฝ่าย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
๔ อย่างนี้ สติ ปัญญา สัมปัชชัญญะ สมาธิ Holy treasure นี้ จะมีได้เมื่อท่านฝึกอานาปานสติ สำเร็จ ท่านฝึกอานาปานสติ สำเร็จ ท่านจะมีธรรมะประเสริฐ ๔ ประการนี้ แน่นอน ถ้าไม่ได้ค่อยมาต่อว่า ด่าก็ได้ ถ้าไม ถ้าไม่ ถ้าไม่มี แต่ขอให้ฝึกอานาปานสติ ให้สำเร็จ และท่านจะมี ๔ อย่างนี้ Holy treasure
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้า ๑๐วัน ที่ ๑ ไม่พอที่จะเข้าใจ ก็ขอให้มี ๑๐วันที่ ๒ , ๑๐วัน ที่ ๓ , ๑๐วัน ที่ ๔ เรื่อยไป จนกว่าจะเพียงพอและเข้าใจ ท่านต้องเข้าใจได้ในที่สุด ท่านต้องใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ในที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอบใจขอบคุณอย่างยิ่ง ในการเป็นผู้ฟังที่ดีวันนี้ ๒ ชั่วโมง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอยุติการบรรยาย และก็ปิดประชุม
/เสียงภาษาอังกฤษ/