แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ดังที่ได้ อ่า, กล่าวแล้ว เมื่อวานนี้ ว่าวันนี้จะพูดเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท แล้วก็มี บอกว่า เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นพระพุทธเจ้า หรือเห็นพระพุทธศาสนา โดยหัวใจ โดยหัวใจพุทธศาสนา ฉะนั้นขอให้ท่านทั้งหลาย ตั้งใจฟัง ตั้งใจศึกษาให้ดีๆ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้พยายามจำคำบาลี อ่า, คำนี้แม้ว่าจะลำบากบ้าง ว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาท ปฏิจฺจสมุปฺปาท เรียกสั้นๆ ในบาลีว่า ปฏิจจสมุปบาท เรียกตามบาลีว่า ปฏิจฺจสมุปฺปาท แต่แล้วมันก็มีคำ ๒ คำ ที่ใช้กับ อ่า, กฎเกณฑ์อันนี้ หรือสัจจะอันนี้ มีคำใช้ ๒ คำ เอ่อ, ถ้าใช้กับทุกสิ่งไม่ยกเว้นอะไรเลย จะมีชีวิต ไม่มีชีวิตอะไรก็ตามหล่ะ จะใช้คำว่า อิทัปปัจจยตา อิทัปปัจจยตา ถ้ามาใช้กับสิ่งที่มีชีวิต และมีความทุกข์ ก็คือรู้จักเป็นทุกข์ นี่ ใช้คำว่า ปฏิจจสมุปบาท นี้คือกฎเกณฑ์ที่ถูกต้อง แต่ก็มีการใช้ผิดๆ พูดกันผิดๆ พูดกันง่ายๆ กลับกันเสียอยู่ ก็มีทั่วๆไป แต่ตามที่ถูกต้องนั้น ถ้าใช้กับทุกสิ่งเรียกว่า อิทัปปัจจยตา ถ้าใช้เฉพาะเรื่องที่เป็นความทุกข์ของสิ่งที่มีชีวิต จะใช้คำว่า ปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แต่แม้ในประเทศไทยก็ยังใช้สับสน สับเปลี่ยนกันอยู่บ่อยๆ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปฏิจจสมุปบาท ก็แปลว่าอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ตามตัวหนังสือ อิทัปปัจจยตา ก็แปลว่าเพราะมีปัจจัยนี้ ปัจจัยนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะมีปัจจัยนี้ ปัจจัยนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น แม้จะฟังดูว่า คำพูดต่างกันแต่ก็เรื่องเดียวกัน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อท่านกำลังศึกษา คือท่านยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง ยังไม่ Realize ปฏิจจสมุปบาทนี้ ก็จะเป็น Philosophy แก่ท่านทั้งหลาย เอ่อ, ครั้นเข้าใจแจ่มแจ้งชัดเจน Realize ดีแล้ว มันจะกลายเป็นวิทยาศาสตร์ นี่มันต่างกัน ถ้ายังไม่เข้าใจต้องคำนวณ ต้องใคร่ครวญ ต้องคำนวณ ยังนี้ก็เป็น Philosophy แต่พอแจ่มแจ้งแล้วเหมือนกับ กับพระอรหันต์แล้ว ปฏิจจสมุปบาทก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์ เป็น Science
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดังนั้นในชั้นแรกท่านก็จะต้องศึกษาอย่าง Philosophy หรือกระทั่งอย่าง Logic ก็ได้ ไปก่อน ไปก่อน จนกว่ามันจะเห็นแจ้งชัดเจนแล้วใช้ประโยชน์ได้ มันก็จะกลายเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรื่องปฏิจจสมุปบาท นี่ เป็นเรื่องหัวใจพุทธศาสนา คือเป็นเรื่องเดียว เรื่องเดียว ที่พระพุทธเจ้าท่าน อ่า, ถือว่า อ่า, เป็นเรื่องที่ท่านพูด คือพระพุทธเจ้าท่านจะตรัสสั้นๆว่า “แต่ก่อนโน้นก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ฉันพูดแต่เรื่อง ความทุกข์และความดับลงไปแห่งความทุกข์” เท่านั้นน่ะ เรื่องอื่นไม่พูด พูดแต่เรื่องทุกข์กับดับแห่งทุกข์ เท่านั้นน่ะ นั่นแหละคือปฏิ...เอ่อ, ต้นต่อที่มาของไอ้เรื่องปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แต่ยังมีเรื่องที่เนื่องกันหรือประกอบอยู่ด้วยกันอีกมากมาย อีกมากมายหลายร้อย หลาย หลายร้อยเรื่อง หลายพันเรื่อง แต่ทุกเรื่องจะต้องมาร่วมที่คำว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่นี้ยังมีปัญหาว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาท ในพระพุทธศาสนานี้ เอาพวกอรรถกถาจารย์ น่ะ เพราะมันจะ เกิดครั้งหลังๆนี้ เขาอธิบายผิด ผิดไปจนเป็นเรื่องของศาสนาอื่นไปเสียก็มี เช่นเรื่อง Incarnation ,Reincarnation นี่ ไม่มีนะ พุทธศาสนา แล้วก็ไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาท คนที่อธิบายผิดๆ เอามาเป็นเรื่องปฏิจจสมุปบาทเสียก็มี นี่คือปฏิจจสมุปบาทที่อธิบายผิดๆ ขอให้รู้ไว้ด้วย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้ท่านเข้าใจว่าพุทธศาสนามีเรื่องเดียว เรื่องเดียวเท่านั้นน่ะ คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องนอกนั้น มากมาย เป็นเรื่องคำอธิบายปลีกย่อย เป็นอย่างๆ เป็นแขนงๆไป บ้างทีก็เฟ้อเกินไป มันก็เลยมากมาย อย่าไปเสียเวลากับเรื่องเหล่านั้น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
โดยอาศัยคำว่า อิทัปปัจจยตา ท่านก็พยายามจะศึกษาว่า เพราะมีสิ่งนี้ สิ่งนี้ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น ถ้าอาศัยคำว่า ปฏิจจสมุปบาท แปลว่า เพราะมันอาศัยซึ่งกันและกัน มันอาศัยซึ่งกันและกัน มันจึงเกิดขึ้น หรือมันจึงดับลงไป ความหมายอย่างเดียวกันแหละ พยายามเข้าใจข้อนี้ให้มากที่สุด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะพูดให้เป็นหลายขั้นตอน อ่า, ก็ได้ เราจะพูดแม้เพียงขั้นตอนเดียว ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสอย่างนี้นะ เช่นเราจะพูดว่า เพราะว่าฝนดี พืชผลในฟาร์มก็ดี ฝนไม่ดี พืชผลในฟาร์มก็ไม่ดี เพียงเท่านี้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว เป็นอิทัปปัจจยตาแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าท่านจะสอน อิทะ...อิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาทกับลูกเด็กๆของท่าน ท่านจงบอกเขาอย่างนี้ว่า เพราะมีแสงแดด น้ำในโลกนี้ก็ระเหยขึ้นไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เพราะน้ำระเหยขึ้นไป ก็มีไอน้ำ เพราะมีไอน้ำ ก็มีเมฆ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีเมฆ และเมื่อมีความชื้นเย็น เมฆก็กลายเป็นน้ำฝน แล้วก็ตกลงมา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พอฝนตกลงมา แผ่นดินก็เปียก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
พอแผ่นดินเปียก มันก็ลื่น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อแผ่นดินลื่น แกก็หกล้ม
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แกหกล้ม หัวก็...หัวแกก็แตก มีเลือดออกมา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หัวของแกแตก แกก็ต้องไปหาหมอ หมอก็มีงานทำ อืม
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ก็หมอรักษาให้แก แกก็หาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อย่างนี้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท ร้อยเปอร์เซ็นต์ ปฏิจจสมุปบาท ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในความหมายที่มันต่ำลงมา ที่เราจะสอนลูกเด็กๆ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เอ้า, ทีนี้เราก็จะสอนคนโตๆ เพราะว่ามันมีเซลล์ มีเซลล์ มีธาตุต่างๆ ธาตุต่างๆ ในโลกนี้ประกอบกันขึ้น แล้วมันก็มีเซลล์ทั้งหลาย ในโลกนี้ มีเซลล์ ก็มีธาตุต่างๆ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีเซลล์มันก็มีเนื้อหนังมีร่างกาย มีเนื้อหนังร่างกาย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีเนื้อหนังร่างกาย มันก็มีระบบประสาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีระบบประสาท มันก็มีการสัมผัสกับสิ่งภายนอก มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เออ, มีสัมผัส
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมีผัสสะ ก็มีเวทนา Feeling
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อมันมีเวทนา Feeling มันก็มีความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบ เป็น Positive เป็น Negative เมื่อเราชอบ เป็น Positive เมื่อเราไม่ชอบก็เป็น Negative
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แล้วเรา เราก็โง่ไปชอบ Positive และไปเกลียด Negative เราโง่เอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อรู้สึกอย่างนี้ มีความรู้สึกอย่างนี้ จะเกิดความรู้สึก ไอ้ Egoism , Egoistic concept ว่า “กู” กูชอบ กูไม่ชอบ เกิดตัวกู เป็น Pos… ตัวกูบวก ตัวกูลบขึ้นมา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อเกิดตัวกูที่รักและที่ชอบ ไอ้ความรักมันก็กัดเอา เมื่อเกิดตัวกูที่ไม่ชอบหรือเกลียด ความเกลียดความโกรธมันก็กัดเอา นี่ก็เป็นทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าไม่มี Ego มันก็ไม่มีความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปฏิจจสมุปบาท จะบอกให้เรารู้ว่าไม่มี Ego โดยแท้จริงไม่มี Ego ปฏิจจสมุปบาท ความรู้นี้จะบอกให้เราว่า ไม่มี Ego
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หรือว่าปฏิจจสมุปบาทจะบอกให้เราว่า ไม่มีบวกไม่มีลบ น่ะ ทั้งบวกและทั้งลบเป็นเพียง ปฏิจจสมุปบาท ไม่มีบวกไม่มีลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อไม่มีบวกไม่มีลบ เราก็ไม่มีปัญหา นี่ ในเมื่อนี่ เรามีปัญหาเต็มไปหมด เราไปโง่หลงบวกหลงลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ให้ท่านศึกษาให้รู้ปฏิจจสมุปบาท และปฏิบัติได้ และควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทได้ และท่านก็จะอยู่เหนืออิทธิพลของบวกและลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ก็ไม่มีอะไร จะมาทำให้เรา หัวเราะหรือร้องไห้ ไม่มีอะไรมาทำให้เราดีใจหรือเสียใจอีกต่อไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่แหละ เรียกว่าเราอยู่เหนือ Influence อ่า, ของบวกและลบ เรียกว่า Emancipation หลุดออกไปพ้นออกไป เป็นความรอด ที่เรียกว่าความรอด นั่นคือรอดไปจากอิทธิพลของบวกและลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ศาสนาทุกศาสนาในโลก ก็มุ่งไปที่ความรอด ความรอดนี้ทั้งนั้นแหละ แต่เขาเข้าใจต่างกัน เขาอธิบายต่างกัน ศาสนาอื่นเขาจะมีความรอดอย่างไรก็ตามใจ พุทธศาสนามีความรอดอย่างนี้ คืออยู่เหนืออิทธิพลของบวกและลบ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แต่ว่าคนเป็นอันมากในโลกนี้ ก็เขาชอบ Gladness ชอบดีใจ ชอบดีใจ เขาก็ไม่หลุดจากความดีใจ เขาก็เป็นทาสของความดีใจ ชอบความดีใจ หลงความดีใจอย่างนี้ ไม่ใช่ความรอด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
มันจะดีขนาดไหน จะเป็นบวกขนาดไหน จะเป็นสุขขนาดไหน ถ้าเรายังไปหลงรักหลงชอบกับมัน ก็ เราก็ยังไม่หลุดพ้น เราไม่รอด เราติดอยู่ที่นั่นแหละ และก็มีปัญหา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
คนส่วนมากในโลก น่ะ เขาเป็นทาสของ Positive เป็นทาสของ Positiveness ทั้งนั้นแหละ คุณดูเอาเอง แม้แต่ตัวคุณเอง นี่คุณยังไม่รอด ยังไม่รอด ต้องพ้นจากความเป็นทาสของ Positive ทุกระดับทุกขนาด จึงจะเรียกว่ารอด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านลองสังเกตดูเถอะ ว่าเมื่อดีใจ ดีใจ ดีใจ น่ะเหนื่อยไหม ดีใจ ดีใจ มันเหนื่อยไหม คือ ดีใจ ดีใจ มันไม่ใช่ความอิสระ ไม่ใช่ความรอด ยังเหนื่อยยังลำบาก ยังต้องปฏิบัติอีกหลายๆอย่าง ต้องเหนือดีใจขึ้นไปน่ะ เหนือลบมาเป็นบวก แล้วเหนือบวกขึ้นไป รู้ไหมว่าอะไร นั้นแหละคือความรอด /หัวเราะ/
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อดีใจมากๆ น่ะ ก็หายใจแทบจะไม่ทันแล้วไหม เมื่อดีใจมากๆแทบจะหายใจไม่ทัน หรือ นอนไปก็ไม่ค่อยหลับ มันจะกินข้าวก็ ไม่หิว ไม่หิวข้าว หรือกินข้าวก็ไม่อร่อย ถ้ามันดีใจมากเกินไป มันต้องหยุดอันนี้เสีย มันจึงจะปกติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ดีใจหรือเสียใจ ดีใจไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ Peacefulness ทั้งดีใจและ อ่า, ทั้งเสียใจ ท่านต้องขึ้นไปอยู่เหนือนั้น ขึ้นไปอยู่เหนือนั้น จะเรียกว่าอะไร จะเรียกว่าอะไร Beyond gladness and sadness
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในพุทธศาสนามีคำเรียก Beyond gladness and sadness น่ะ ด้วยคำที่ท่านอาจจะไม่ชอบ ท่านทั้งหลายอาจจะไม่ชอบ คือเราเรียกมันว่า Void ท่านก็เรียกบ้าแล้ว บ้าแล้ว Void บ้าแล้ว คือว่าง ว่าง Void Void นี่ ขอให้เข้าใจเถอะ นั่นมันจะ Beyond gladness and sadness
/เสียงภาษาอังกฤษ/
แต่พอเราบอกท่านว่า Void Void ความ…ปัญหาทั้งปวง Void ออกจาก from all problem ท่านก็อาจจะชอบขึ้นมาทันที Void จากปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ความทุกข์ทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราเรียกว่า สุญญตา สุญญตา แปลว่า Void Void จากปัญหาทุกชนิด ไม่ยกเว้นปัญหาอะไร นั้นแหละคือรอด
/เสียงภาษาอังกฤษ/
จากชั่ว มาถึงดี เหนือดีขึ้นไปก็คือ Void ,จากทุกข์มาถึงสุข เหนือสุขขึ้นไปก็คือ Void ,จาก Negative มาถึง Positive เหนือ Neg.. อ่า, Positive ขึ้นไปก็คือ Void ท่านรู้จัก Void อย่างนี้ หมดปัญหาทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าท่านเป็นศริสเตรียน ท่านก็ต้องเคยอ่านคัมภีร์ไบเบิล หน้าแรกๆของคัมภีร์ไบเบิล God สั่งว่าอย่าไปกินผลไม้ ที่ทำให้รู้จัก Good and Evil อย่าให้รู้จักดีและชั่ว ถ้ากินผลไม้ที่รู้จักดีจักชั่วแล้ว ท่านจะต้องตาย คือท่านจะต้องจมอยู่ในความทุกข์ ถ้าท่านเหนือ Good and Evil นั้นก็คือ Void ในพระพุทธศาสนา เป็น Emancipation อย่างคริสเตียน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ขอให้เข้าใจว่า แม้แต่ Christianity ก็ต้องการไปที่ Void
/เสียงภาษาอังกฤษ/
United with Void ,United with God
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เหลาจื่อก็สอนให้ Beyond Yin and Yang ก็อย่างเดียวกันแหละ Beyond Yin ดี Yang ชั่ว เหนือดีเหนือชั่ว เหลาจื่อก็สอนอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Hinduism เขาก็สอนคลายกัน แต่ว่าผิดกันตอนปลาย Beyond Punya and Paapa เหนือบุญเหนือบาป แล้วก็ท่านจะเข้าถึง Hindu Paramatman มันเหนือ Punya and Paapa ,Void
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี่พุทธศาสนาเรา ก็สอนให้อยู่เหนือบุญเหนือบาป เหนือดีเหนือชั่ว เหนือกุศลเหนืออกุศล เหนืออกุศลเหนือกุศล คือเหนือทุกคู่ เหนือทุกๆคู่ Pair of opposite ทุกคู่น่ะ ต้องเหนือขึ้นไปน่ะ จึงจะ Void หรือเสรีภาพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี๋ยวนี้เรากำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของ ไอ้ Dualism เหล่านี้ เลยเดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ ออกไปเสียจากอิทธิพลของไอ้สิ่งที่เป็นคู่ๆ คู่ๆ เหล่านี้แล้วจะมี Void ,Void from all problem เลย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อืม, ทีนี่ก็มารู้ ให้ถูกต้องว่าปฏิจจสมุปบาทเท่านั้น ที่จะนำเราไปสู่ Voidness
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ไอ้ว่างหรือ Void นี่ ถ้าจะให้แสดงโดยผล โดยผล Benefit ของมันน่ะ ที่จะได้รับ เราจะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อตัมมยตา อตัมมยตา อืม, อะไรนะ Unconcoctability คุณสันติกโร จะอธิบายให้ฟัง คำว่า อตัมมยตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เข้าใจ อตัมมยตา ได้ ด้วยการเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบ การอุปมา อ่า, เปรียบเทียบ ว่าไม่หวั่นไหว ไม่หวั่นไหว ทำ…อะไรทำให้หวั่นไหวไม่ได้ ภูเขาหิมาลัยในเอเชีย ภูเขาแอลป์ในยุโรป รอกกี้ใน ในอเมริกัน อเมริกา ก็ไหวได้ เมื่อแผ่นดินไหว เมื่อแผ่นดินไหว มันก็ไหวได้ทั้งเป็นภูเขา มหาศาล นั่นน่ะ แต่ถ้าว่า จิตมีอตัมมยตา จิตมีอตัมมยตา แล้วจิตนี้ไม่หวั่นไหว ให้ทุกอย่างทั้งจักรวาลหวั่นไหว จิตนี้ไม่หวั่นไหว นั้นแหละคือ ผลของการที่ Void Void อิสระหรือเสรีภาพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เปรียบเทียบให้ง่าย ให้ง่ายมากที่สุดอีกก็ว่า ว่า ผู้หญิงสวยที่สุดคนหนึ่ง หญิงสาวสวยที่สุดคนหนึ่ง เขามีอตัมมยตา นี่ ชายหนุ่มสวยงามเจ้าชู้ตั้งฝูงหนึ่ง ก็มาเกี้ยวเขาไม่สำเร็จ พาเอาตัวเขาไปไม่ได้ มีอตัมมยตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ ตรงกันข้าม ชายหนุ่มคนหนึ่งสวยที่สุด แต่เขามี อตัมมยตา นางงามจักรวาลมาสักฝูงหนึ่ง ก็ลากหัวเขาไปไม่ได้ เขามีอตัมมยตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่คือประโยชน์ของ Void ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positive and Negative
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท จะนำเราไปสู่ เสรีภาพ สูงสุดคือ Voidness ได้อย่างไร เราจะต้องศึกษากันต่อไป
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ต้องเข้าใจคำว่า Stream Stream น่ะ กระแสแห่งอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบาท ต้องมีสิ่งนี้ และก็ทำให้มีสิ่งนี้ เมื่อมีสิ่งนี้และก็ทำให้มีสิ่งนี้ มีสิ่งนี้และก็ทำให้มีสิ่งนี้ จะต้องเข้าใจข้อนี้ แล้วก็จะสามรถที่จะมี Void มีVoid สามารถที่จะมีอิสรภาพ เสรีภาพ เหนือสิ่งทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ท่านกำลังเห็นทุกสิ่ง ทั้ง ทุกๆสิ่งเป็น Stream หรือเปล่า หรือว่าท่านเห็นว่า แต่ละสิ่ง ละสิ่งน่ะ มันเป็นสิ่งมันเอง เป็นตัวมันเอง ตั้งอยู่อย่างตัวมันเอง ถ้าเมื่อใดท่านเห็นว่าทุกสิ่งมีการไหลๆ แม้แต่โลกนี้ทั้งโลก มันก็ไหลไปเรื่อย แผ่นดินนี้ท่านเห็นว่ามันอยู่นิ่งๆอย่างนี้ แต่ถ้าเห็นอิทัปปัจจยตาแล้ว ก็เห็นว่ามันไหลไป มันเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไป มันเปลี่ยนไป แผ่นดินนี้ นี่เรียกว่าเห็น ปฏิจจสมุปบาทในความหมายว่า อิทัปปัจจยตา เป็น Stream of flowing อย่างนี้ เรื่อยไป เรื่อยไป นั้นแหละคือเห็น อิทัปปัจจยตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เรามองดูตัวเราเอง เรามองดูตัวเราเองกันทุกคน มองดูตัวเราเอง เราเห็นเป็น Stream of flowing หรือเปล่า หรือว่าเราเห็นเป็น Solid แข็งโป๊ก แน่นเป็นก้อนอย่างนี้ นี้เห็นเป็น Solid thing ไปเสีย ไม่เห็นเป็น Stream of flowing ไอ้เซลล์ทุกเซลล์ก็เปลี่ยนเรื่อย กลุ่มแห่งเซลล์ก็เปลี่ยนเรื่อย เนื้อหนังร่างกายก็เปลี่ยนเรื่อย อะไรก็เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนหมดทุกอย่าง ทุกส่วนของร่างกาย ถ้าเห็นอย่างนี้ก็เรียกว่า เห็น Stream คือ อิทัปปัจจยตา ไม่ใช่ Solid thing ไม่ใช่สิ่งที่มีอิสระเสรีภาพในตัวเอง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Greek philosopher พ้องสมัยกับพระพุทธเจ้า คนหนึ่งเขาบอกประชาชนว่า ทุกอย่างไหล ทุกอย่างไหล Panta Rhei Panta Rhei ทุกอย่างไหล ทุกคนหาว่าไอ้นี่บ้า ไอ้นี่บ้า เขาไม่อาจจะเข้าใจว่าทุกอย่างไหล ได้อย่างไร แล้วเขาก็ไม่เชื่อคำสอนที่ว่าทุกอย่างไหล ขอให้ดูให้ดีเถอะ ถ้าเข้าใจปฏิจจสมุปบาทแล้ว ก็จะเห็นว่าทุกอย่างมันไหล อยู่ตลอดเวลา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในร่างกายเรานี้ ไหลเรื่อย ไม่ใช่โลหิตไหล หรือว่าลมหายใจไหล ไม่ใช่ หมายความว่า ทุกๆเซลล์มันไหล และยิ่งไปกว่านั้นว่า ในทุกๆอะตอมของเซล์ มันก็ยังไหล มันมีอะไรที่ไหล อยู่ไม่คงที่ มันเปลี่ยนเรื่อย เรียกว่ามันเปลี่ยนเรื่อย มันเปลี่ยนเรื่อย มันไหลเรื่อย โดยกฎอิทัปปัจจยตา เพราะมันมีเหตุปัจจัยที่ทำให้มัน เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อยนั้นแหละ คืออิทัปปัจจยตา ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว ถ้าเห็นอย่างนี้แล้ว Ego หรือ Egoistic concept ไม่อาจจะเกิดขึ้นในใจเลย เราก็ไม่มีปัญหาหล่ะ ถ้าเราหมด Egoistic อ่า, Egoistic concept ไม่มีปัญหาอะไรเหลืออยู่เลย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ในอะตอม อะตอมเดียวน่ะ ที่เราเรียนวิทยาศาสตร์ รู้แล้วก็มันมีอะไรไหลอยู่เรื่อยในอะตอม อะตอมเดียว มันไหลอยู่เรื่อย อะตอมเดียวมันก็ไหลอยู่เรื่อย นี่ไอ้จักรวาล Universe ทั้งหมดนี่ ก็ประกอบขึ้นด้วยอะตอม จักรวาลเองนี้ก็ไหลอยู่เรื่อย โลกหรือจักรวาลนี้ก็ไหลอยู่เรื่อย ไหลอยู่เรื่อย มันไหลอยู่เรื่อยอย่างนี้น่ะ แม้ว่าจะดูยากสักหน่อยก็ขอให้พยายามดูเถอะ ให้เห็นไอ้ความไหลอยู่เรื่อยนี่ คืออาการของปฏิจจสมุปบาท
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่มันเป็นวัตถุ มันเป็นไอ้ ที่เรียกนี่ มันก็ไหล ไหลอยู่เรื่อยทุกๆอะตอมของมัน ไอ้ที่เป็นความคิด เป็นจิตใจเป็นความรู้สึกคิดนึก นั้นหละยิ่งไหลเรื่อย ไหลเร็วกว่าไอ้ของแข็งๆอย่างนี้เสียอีก กระแสของจิตไหลเร็ว ไหลแรง ไหลกว่าไอ้วัตถุนี้เสียอีก นี่ ส่วนที่เป็นร่างกายก็ไหล ส่วนที่เป็นจิตใจก็ไหล มันก็เรียกว่า ไหลอยู่เรื่อย นี้เรียกว่าในตัวเราก็ไหลเรื่อย นอกตัวเรา แผ่นดิน ก้อนหิน ต้นไม้ต้นไร่ ก็มีการไหลเรื่อยกันทั้งจักรวาล มันไหลเรื่อย แล้วเราไปหลงรัก หลงรักไอ้สิ่งที่ไหลเรื่อยนี่ คิดดูเถอะ มันบ้าหรือมันดี มันบ้าหรือมันดี ไปหลงรักสิ่งที่ไหลเรื่อยนี่
/เสียงภาษาอังกฤษ/
หลงรักสิ่งที่ไหลเรื่อยนี่มันบ้าหรือดี คนบ้าหรือคนดี ช่วยถามเขาหน่อย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ที่เราไปหลงเกลียด Negative หลงรัก Positive นี่เป็นคนบ้าหรือคนดี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ปฏิจจสมุปบาทเท่านั้นแหละที่จะช่วยให้เราไม่ ไม่หลงรักไอ้สิ่งที่ไหลเรื่อย ขอให้สนใจศึกษา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เอ้า, ทีนี้เราก็จะพูดกันเรื่องปฏิจจสมุปบาท เอาอย่างที่มีอาการน้อยหน่อย คือเพียง ๙ เก้า ๙ขั้น เก้าๆๆๆๆ ๙ อาการนะ ว่าเมื่อมีการมาถึงกันเข้า กับ อายตนะภายใน กับอายตนะภายนอก เช่นว่า ตา ถึงเข้ากับ รูป มันก็เกิดของใหม่ขึ้นมาทันทีคือ Eye conciousness วิญญาณทางตา นี้ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทขั้นหนึ่งแล้ว เมื่อตาเห็นเข้ากับรูป ก็เกิดวิญญาณทางตา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทางหูก็เหมือนกัน เมื่อหูได้ยินเสียง ก็มีวิญญาณทางหู เมื่อจมูกได้กลิ่น ก็มีวิญญาณทางจมูก เมื่อลิ้นได้รส ก็มีวิญญาณทางลิ้น เมื่อผิวกายได้สัมผัสผิวหนัง ก็มีวิญญาณทางกาย เมื่อจิตได้รับ Emotion ใดๆก็ตาม มันก็มีวิญญาณทางจิต นี่เรียกว่าวิญญาณ หรือ Conciousness เกิดขึ้นมาในฐานะเป็นผล อ่า, การที่เหตุให้เกิดผลตอนนี้ ก็เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ขั้นหนึ่งแล้ว
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ทีนี้ก็มาถึงขั้นที่ ๒ ขั้นที่ ๒ เมื่อเรามีตา มีรูปให้ตาเห็น และมี Eye conciousness วิญญาณทางตาเกิดขึ้น เป็น ๓ อย่าง พอ ๓ อย่างนี้ทำงานร่วมกัน ก็เกิดสิ่งใหม่คือผัสสะ Contact Contact พึ่งมา พึ่งเกิดเมื่อไอ้ ๓ อย่างนี้ ทำหน้าที่ร่วมกัน นี่มันเป็นปฏิจจสมุปบาทขั้นที่ ๒
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ไอ้ Contact นี่ สำคัญที่สุด คอยตั้งข้อสังเกตุไว้ พอเมื่อมี Contact สัมผัส ผัสสะแล้ว มันก็มีเวทนา คือ Feeling Feeling นี่ ปฏิจจสมุปบาทขั้นที่ ๓ นะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ไอ้ Feeling Feeling นี่ คือสิ่งที่ท่านจะถือเอามันในลักษณะเป็น Positive หรือ Negative Feeling เวทนา นี่ มันก็จะให้เกิด ตัณหา คือความต้องการอย่างโง่ๆ ที่เรียกว่า Desire นี่ ปฏิจจสมุปบาทขั้นที่ ๔
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ต้องเป็นความอยาก หรือความต้องการของความโง่ ความโง่ นี่ จึงจะเรียกว่า Craving หรือ Desire ถ้ามันต้องการด้วยความฉลาด ความรู้ ความจริง มันเรียกอย่างอื่นนะ Aspiration หรืออะไรก็ไปตามเรื่องของมัน เพราะมันฝ่ายไม่โง่ แต่ถ้าเป็นฝ่ายโง่ มันมีตัณหา มี Desire นี่ ตัณหานี่มันก็ไปตาม Positive หรือ Negative น่ะ นี่ตัณหา ถ้ามีตัณหา มันก็เกิดความรู้สึกบ้าบอ เรียกว่า “กู” ขึ้นมา กูผู้อยาก กูผู้ต้องการ นี่ตัณหาให้เกิดอุปาทาน Egoistic concept เกิดจากตัณหา เนี่ยเป็นปฏิจจสมุปบาทขั้นที่ ๕
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าท่านเข้าใจตรงนี้ เข้าใจว่า ตัณหาให้เกิดอุปทาน ท่านจะเข้าใจได้ทันทีว่าได้ทีเรียกว่า Self Self หรือ Soul ตัวตนของตน ตัวตนของตนน่ะ เป็นของไม่มีจริง ไม่มีจริง เป็น Illusive เป็นมายา เป็นมายา นี่เราต้องการจะสอนกันตรงนี้มากที่สุด ว่าไอ้ตัวต้น ไอ้Self ไอ้Soul น่ะ มันเป็นมายา เพราะมันเกิดมาจากตัณหา ตัณหาที่โง่ๆ ทำให้เกิดความคิดขึ้นมาว่า ตัวกู ตัวกู พออร่อยขึ้นมาก็ว่ากูอร่อย พอไม่อร่อยขึ้นมาก็ กูไม่อร่อย พอเจ็บขึ้นมา กูเจ็บ เอาก็เอาตัวกูมาเป็นเจ้าของขึ้นมานี่ ตัวกูไม่มีตัวจริงน่ะ เป็น Concept Concept เท่านั้นแหละ นี่ตรงเนี่ยสำคัญมากขอให้เข้าใจให้ดีที่สุดว่า ไอ้ Concept ว่า Self ว่าSoul นี้ มันเกิดมาจากความโง่ ความโง่ของตัณหาของความอยาก
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Upadhana Attachment Attachment Concept ว่าตัวตน Concept ว่าตัวตน นี้คือความโง่ เรียกว่าจุดตั้งต้นของ Self Pregnancy ของ Ego ตั้งต้นที่ตรงนี้ แล้วมันก็ Pregnancy ก็แก่ๆๆมีครรภ์แก่ มีครรภ์แก่เต็มที่ ก็มาถึงขั้นที่เรียกว่า Bhava ,Bhava existence of ego ,existence of ego นี่ “ภาวะ” นี่ก็เป็นปฏิจจสมุปบาทขั้น...ขั้นต่อไป Bhava existence ครรภ์แก่เต็มที่แล้ว อ่า, ของไอ้ Self ของความโง่ จนเกิด Attachment นี่ ปฏิจจสมุปบาท ขั้นต่อมาเป็นอย่างนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อครรภ์แก่ถึงที่สุดแล้ว มันก็จะคลอด มันก็จะมี ชาติ Birth Birth ครรภ์แก่แล้วมันก็จะคลอด มันก็ออกมาเป็นตัวกูโดยสมบรูณ์ แสดงบทบาทอย่างนั้นอย่างนี้ ตัวกูแสดงบทบาทอย่างนั้นอย่างนี้ นี่เรียกว่า มันเกิดออกมาแล้ว เพราะมันมีชาติ มีตัวกูแล้วโดยสมบรูณ์ นี่ก็เป็นปฏิจจสมุปบาท ขั้นต่อมา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เดี๋ยวนี้มีชาติ Birth แห่ง ตัวกูของกู มี I มี My มี He มี She มีอะไรเป็นตัวกู ชาตินี่เป็นที่ตั้ง เป็นที่ตั้งแห่งปัญหาทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย ไม่รู้กี่ร้อยอย่างกี่พันอย่าง มันมีที่ตั้งแล้วมันก็เกิดที่ชาติ จะเรียกว่าเป็นความทุกข์ก็ได้ ความทุกข์ทุกอย่าง ทุกอย่างมันต้องมีที่ตั้งที่เกิด มันก็เกิดที่ชาติ นี่เพราะมีชาติ จึงมีปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง นี่ปฏิจจสมุปบาทขั้นสุดท้าย ฝ่ายเกิดทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เราจะเรียกมันง่ายๆ ว่า Spiritual birth เกิดทางวิญญาณ วันหนึ่งมันเกิดกี่หน ท่านนับไหวไหม ท่านลองนับดูสิว่า Spiritual birth นี่มันเกิดวันหนึ่ง วันหนึ่งกี่หน แม้แต่เพียงชั่วโมงเดียว มันก็เกิด ตั้ง หลายหนแล้ว นี่คือ Birth ที่เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ และความทุกข์มันก็เกิด ตัวความทุกข์ ตัวปัญหาต่างๆ มาอยู่ที่ Birth ,Spiritual birth เดือนหนึ่งเกิดเป็นหมื่นเป็นแสน ชีวิตหนึ่งเกิดเป็นล้านเลยนะ Spiritual birth
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Physical birth ไม่มีปัญหาเหมือนกับก้อนหินน่ะ Physical birth มันไม่มีปัญหา เหมือนกับก้อนหิน ต่อเมื่อมี Spiritual birth เข้ามา ในๆๆ ในร่างกายนี้ มันจึงจะเป็นการเกิด Birth ที่สมบรูณ์ เพียงแต่เกิดมาจาก ท้องแม่ ยังไม่สมบรูณ์น่ะ ไอ้ทารกนั้น ต้องมีี Spiritual birth ขึ้นมาอีกทีหนึ่ง จึงจะเป็นเกิดที่สมบรูณ์ Physical birth ไม่มีปัญหา เรียกว่าไม่มีปัญหาดีกว่า ไอ้ Spiritual birth นี่เต็มไปด้วยปัญหา เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้จักไอ้สิ่งๆนี้แหละ ให้ดีๆ ว่าไอ้ Birth Birth เนี่ย
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อทารกคลอดมาจากท้องแม่แล้ว เขามีการใช้ตา ใช้หู ใช้จมูก ใช้ลิ้น ใช้กาย ใช้ใจ ของเขา รู้จักอารมณ์ รอบด้านทั่วไป เมื่อนั้นแหละ เขาจะมีปัญหา เขาจะมีปัญหา เขาจะไม่มีความทุกข์ ถ้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขาไม่ได้มี ไม่มี Function ไม่มีหน้าที่ไม่มีอะไร ยังไม่มีปัญหา ยังไม่มีความทุกข์
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าเรามีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบน่ะ เรียกว่าเราเกิด ถ้าเรามีเกิดทาง Spiritual birth จะมีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ ความเป็นบวกเป็นลบนั้นแหละเป็นปัญหา ให้เรารัก ให้เราโกรธ ให้เราเกลียด ให้เรากลัว ให้เราเป็นทุกข์ อย่างทุกๆ อย่างเพราะ Spiritual birth วันเดียวเราเกิด Spiritual birth ๑๐ ครั้ง เราก็มีความทุกข์ ๑๐ ครั้ง วันเดียวเรามี Spiritual birth ร้อยครั้งเราก็มีความทุกข์ร้อยครั้ง จึงพูดได้ว่า ทุกครั้งที่เกิดโดย Spiritual birth มันมีความทุกข์ มันเป็นความทุกข์ เพราะมันต้องเผชิญกับ Positive กับ Negative แล้วเราก็โง่
/เสียงภาษาอังกฤษ/
การเกิดทุกครั้ง มีความทุกข์ทุกครั้ง ไม่มีข้อยกเว้น
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้อยกเว้น /หัวเราะ/ ช่วยเน้นให้ดี
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ถ้าเราสามารถควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เราก็จะสามารถหยุด Spiritual birth ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท จะไม่มี Spiritual birth จะไม่มีการเกิดทางวิญญาณ ที่จะเป็นทุกข์ เราจะไม่มีความทุกข์ ถ้าเราควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เอ้า, เราขอโอกาส ทบทวนอีกครั้ง Repeat อีกครั้งหนึ่งว่า ขั้นที่หนึ่ง น่ะ เป็น Sense-objects and Sense- organs ช่วยให้เกิด Conciousness ขั้นที่ ๑
(เสียงท่านสันติกโร) คนไทยฟังไม่รู้เรื่อง
หา...
(เสียงท่านสันติกโร) คนไทยฟังไม่รู้เรื่อง
เอ้า, อายตนะภายในกับอายตนะภายนอก ทำให้เกิดวิญญาณ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เมื่อ ๓ อย่างนี้ คืออายตนะภายนอก อายตนะภายใน วิญญาณ ทำงานร่วมกันอยู่ ก็เกิด อ่า, ผัสสะ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่ขั้นที่ ๓ ผัสสะ ก็ให้เกิด เวทนา
/เสียงภาษาอังกฤษ/
เวทนาให้เกิดตัณหา ขั้นที่ ๔
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ตัณหาให้เกิดอุปทาน
/เสียงภาษาอังกฤษ/
นี่ขั้นที่ ๖ อุปทานให้เกิดภพ Existence ขั้นที่หกอุปทานให้เกิดภพ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ภพให้เกิดชาติ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
โดยเฉพาะ Spiritual Birth
/เสียงภาษาอังกฤษ/
Birth ชาตินี่ ให้เกิดความทุกข์ทั้งปวง
/เสียงภาษาอังกฤษ/
อย่างย่อนี้มี ๘ ลำดับ /หัวเราะ/ เมื่อตะกี้พูดผิดไปว่า ๙ อย่างย่อนี้มีแปดลำดับ /หัวเราะ/
/เสียงภาษาอังกฤษ/
วันหลังเราจะพูดอย่างพิศดารมี ๑๑ ลำดับ
/เสียงภาษาอังกฤษ/
ซึ่ง ๘ ลำดับนี่ เข้าใจง่าย เข้าใจง่าย ขอให้สนใจ ๘ ลำดับนี้
/เสียงภาษาอังกฤษ/
จะว่า Formula ของมันให้ฟัง