แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งที่แล้วมาเราได้พูดกันถึงเรื่องปฏิจจสมุปบาทยังไม่จบ ก็จะขอพูดต่อให้จบ ให้สำเร็จประโยชน์จนถึงกับเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ที่เซ็นเตอร์นั่น ท่านก็ได้ศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท และก็ได้ปฏิบัติอานาปานสติเพื่อปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทให้ได้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้ ขอให้สนใจเป็นพิเศษ สิ่งที่จะต้องชี้แนะโดยหัวข้อใหญ่ ๆ ก็คือว่า ปฏิจจสมุปบาทนั่น เป็นเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา นี่ข้อหนึ่ง และก็เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่ท่านทั้งหลายจะต้องรู้จัก นี่ก็อย่างหนึ่ง และก็เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายจะต้องมี ต้องใช้ ต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน นี่อีกอย่างหนึ่ง เป็นสามอย่างที่มีความสำคัญมาก สำหรับข้อที่ว่าเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนานั้น ก็คือข้อที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ฉันพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น เรื่องอื่นไม่พูด แต่ก่อนก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดี ต่อไปก็ดี จะพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น ก็ดังที่ได้แสดงไว้ชัดเจนโดยละเอียดแล้วในเรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความทุกข์จะดับลงไปอย่างไร นี่เรียกว่าเป็นเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา
เราได้เสียเวลาเป็นอันมากในการศึกษาพุทธศาสนา โดยเฉพาะเช่น ศึกษาพุทธประวัตินั้น มันมากเกินไป หรือว่าศึกษาศาสนาเปรียบเทียบ Comparative Studies นี้ก็มากเกินไป และมีเรื่องต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ปัญหา เรื่องตาย เรื่องเกิด นี่ มันมากเกินไป ขอให้สนใจจะศึกษาแต่เพียงว่า ทุกข์กับดับทุกข์อย่างไรเท่านั้นละ จึงจะเป็นหัวใจของพุทธศาสนา ท่านเสียเวลาเป็นอันมากในการอ่านหนังสือเล่มใหญ่ ๆ เล่มใหญ่ ๆ มากมาย เกี่ยวกับศาสนาเปรียบเทียบทั้งนั้น และก็เสียเวลาอ่านหนังสือที่เรียกว่า Buddhism in Burma, Buddhism in Thailand, in Sri Lanka, in Thibet, no, no มันไม่ใช่พุทธศาสนา มันเป็นพุทธศาสนานิดหน่อย และก็พูดถึงเรื่องวัฒนธรรม เรื่องประเพณี เรื่องอะไรต่าง ๆ ของประเทศนั้น ๆ ท่านจะเสียเวลาอ่านทั้งหมดนั้น ก็ไม่รู้เรื่องหัวใจของพุทธศาสนา ที่เรียกว่า ทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์ดับลงไปอย่างไร คือเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ขอให้สนใจใหม่ นี่ข้อแรกที่ว่า ท่านจะต้องศึกษาให้ละเอียดที่สุด จนเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ว่าความทุกข์อาศัยอะไร เกิดขึ้น originate อย่างไร ๆ ๆ Dependent Originate อย่างไร ๆ ๆ นั่นละจะพบตัวพระพุทธศาสนา ขอให้สนใจต่อไป ศึกษาต่อไป โดยเฉพาะเรื่องปฏิจจสมุปบาท แล้วท่านก็จะพบหัวใจของพระพุทธศาสนา แม้ที่สุดแต่เรื่อง incarnation อย่าไปเสียเวลา reincarnation อย่าไปเสียเวลากับเรื่องนี้อีกต่อไป
ปฏิจจสมุปบาทจะสอนให้ท่านรู้ว่าเดี๋ยวนี้ ที่นี่ เวลานี้ ก็มิใช่ตน มิใช่ self มิใช่ soul มิใช่ตน เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีตน แล้วจะมี reincarnation ของอะไร นี่มันก็มีไม่ได้ นี่ขอให้รู้ว่าพุทธศาสนาจะพูดแต่เรื่องทุกข์กับการดับทุกข์เท่านั้น
ทีนี้ประการที่สอง ที่จะพูดถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าองค์ที่แท้จริงต่อไป ขออภัยที่จะต้องพูด ไม่ใช่ดูถูก ดูหมิ่นอะไร แต่ขออภัยที่ต้องพูดว่า ฝรั่งไม่สนใจเรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระพุทธเจ้าพระองค์จริงในภาษาธรรมฝรั่งไม่เคยศึกษา ไม่เคยสนใจ สนใจแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์บุคคลในภาษาคน เพราะว่าเขาไม่สนใจเรื่องภาษาธรรมและภาษาคน จึงไม่ได้สนใจพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ซึ่งมีแต่ในภาษาธรรม นี่ขอให้ตั้งใจฟังดี และตัวอย่างจะเห็นได้ง่าย ๆ เช่น ถ้าเราสนใจกันแต่ภาษาคน (เสียงบรรยายเป็น”ภาษาธรรม”) ก็จะรู้จักแต่ Personal God เป็นลักษณะ เป็นบุคคล เป็น Holy Ghost เป็นอะไรก็ตาม ก็ยังเป็นบุคคล แต่ถ้าสนใจให้ถึงภาษาธรรมคือ Natural Law, Ultimate Law of Nature นั่นจะเป็น Impersonal God God อย่างนี้ต้องศึกษากันโดยภาษาที่เรียกว่า ภาษาธรรม ภาษาคนจะทำให้เรารู้ได้เพียง Personal God จะเป็น God ในประวัติศาสตร์เสียด้วย ถ้าศึกษาลึกลงไปกว่านั้น เป็น Truth เป็น Law เป็นอะไรของธรรมชาติ และจะพบพระเจ้าหรือ God อีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็น Impersonal God นี่ ก็อย่างที่เปรียบเทียบความต่างระหว่างภาษาคนกับภาษาธรรม ดูเหมือนว่าในโบสถ์นั้น เราพูด เราสอนกันแต่ Personal God และดูจะห้ามไม่ให้พูด Impersonal God ด้วยซ้ำไป เราจึงไม่รู้จัก God ในภาษาธรรมะ ที่เป็น Impersonal เป็น Eternal เป็นอะไรอย่างนี้ นี่ขอพูดกันใหม่ว่าจะต้องพูดกันทั้งสองภาษา
ทีนี้ก็จะพูดให้เห็นชัด ๆ ว่า พระพุทธเจ้ามีสามชนิด หรือสามระดับ คือพระพุทธเจ้าโดยภาษาธรรม เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม หรือ Dharma Buddha นี่ก็องค์หนึ่ง เป็นองค์ธรรม พูดโดยภาษาธรรม ทีนี้องค์หนึ่งพูดโดยภาษาคน ก็เป็นพระพุทธเจ้าโดยภาษาคน เป็น Human Buddha ธรรมดานี่ละ ที่รู้จักกันอยู่ ที่เรียนประวัติศาสตร์อะไร รู้จักแต่พระพุทธเจ้าองค์นี้ นี่เรียกว่าพระพุทธเจ้าองค์คน พระพุทธเจ้าองค์บุคคล ทีนี้มีพระพุทธเจ้าอีกองค์หนึ่ง คือพระพุทธเจ้าองค์แทน แทน representative, representative พระองค์แทน พระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์แทน นี้ก็มักจะเป็นวัตถุ เป็นพระธาตุ เป็นพระสารีริกธาตุ เป็นพระธาตุ ashes กับเป็นพระพุทธรูปบ้าง เป็นต้นโพธิ์บ้าง เป็นพระเจดีย์บ้าง นี่เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แทน Representative Buddha เป็นสามพระองค์ พระพุทธเจ้าองค์ธรรม พระพุทธเจ้าองค์บุคคล พระพุทธเจ้าองค์แทน แทนตัว
ทีนี้ก็จะพูดถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม Dharma Buddha นี่ก่อน พระพุทธเจ้าท่านตรัสเองว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉัน ผู้นั้นเห็นธรรม ทีนี้ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม เห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นคือเห็นธรรม เห็นธรรมก็คือเห็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น การเห็นปฏิจจสมุปบาท คือการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง อย่างที่ขอร้องให้ท่านทั้งหลายศึกษาสนใจกันเป็นพิเศษ ให้เห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วจะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ขอให้ยืนยันในข้อเดียว พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่บุคคล เป็น Truth เป็น Natural Truth เป็น Natural Law, Ultimate Truth, Ultimate Law of Nature ก็คือความทุกข์อาศัยการเกิดขึ้นอย่างไร อาศัยการดับลงไปอย่างไร ขอให้เห็นสิ่งนี้ ให้เห็นสิ่งนี้อย่างที่เรากำลังศึกษากันอยู่ และต่อไปก็ให้เห็นด้วยความรู้สึกโดยแท้จริงเหนือการศึกษาขึ้นไป ขอให้สนใจพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
Truth หรือ Law นี่ มันไม่ใช่บุคคล มันไม่ใช่บุคคล มันจึงเป็น eternal เป็น eternal เราจึงต้องรู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็น Eternal, Eternal Buddha ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ไม่อยู่ในประวัติศาสตร์ พระพุทธเจ้า Eternal นี้ ไม่เกิด ไม่อยู่ ไม่ดับ ไม่ประสูติ ไม่ตรัสรู้ ไม่นิพพาน แต่ว่ามีอยู่ตลอดกาล เป็น omnipresent, omnipotent ลักษณะอย่างนั้น เรียกว่า Natural Law, Natural Truth นั้นคือกฎของปฏิจจสมุปบาท กฎของปฏิจจสมุปบาทคืออย่างนั้น คือเป็นอย่างนั้น ขอให้รู้จักปฏิจจสมุปบาท และรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ขออภัยที่ต้องพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ฝรั่งไม่สนใจพระพุทธเจ้าที่เป็น Law เป็น Truth เป็น Natural เป็น Eternal สนใจแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล ที่จำกัดอยู่แต่ในประวัติศาสตร์ นี่ ขอร้องให้สนใจเป็นพิเศษ ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม เป็น Natural Truth, Natural Law ดังนั้น มันจึงไม่อยู่ในขอบเขตของอะไร ไม่มี dimension ไม่มีทางที่จะตกอยู่ใต้กฎของ Time and Space เป็นสิ่งสูงสุดอย่างนี้ เรียกว่า อมิตายุพุทธะ มีอายุคำนวณไม่ได้ อมิตาภะ มีแสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ อมิตาภพุทธะ อมิตายุพุทธะ พุทธบริษัทชาวจีนถือกันมาก เอามาท่อง ๆ ๆ ว่าท่องได้แปดหมื่นครั้งแล้ว ก็เป็นอันว่ารอดตัว แต่สนใจอยู่ว่าพุทธบริษัทชาวจีนจะเข้าใจ นอ มี ทอ ฮุก นอ มี ทอ ฮุก นี้หรือไม่ ถ้าเข้าใจแล้ว วิเศษที่สุด เป็น Natural Law, Natural Truth ที่คำนวณไม่ได้ ขอให้ท่านได้ยินคำว่า อมิตาภพุทธะ อมิตายุพุทธะ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงเป็นอย่างนั้น อาซิ้มแก่ ๆ คนหนึ่ง เขาบอกอาตมาว่า ถ้าเราท่อง recite นอ มี ทอ ฮุก อา มี ทอ ฮุก นี่ แปดหมื่นครั้ง แปดหมื่นครั้ง แล้วก็รับประกันได้ว่า พอจะตาย ก็จะมีรถมารับไปสู่สุขาวดีเลย นี่เราสงสัยอยู่ว่า อาซิ้มจะรู้จักคำว่า นอ มี ทอ ฮุก นั้นนะ คือ Natural Law, Natural Truth หรือปฏิจจสมุปบาทหรือไม่ ถ้ารู้จักปฏิจจสมุปบาทในฐานะเป็นอมิตาภะ อมิตายุแล้ว ก็เป็นไปได้จริงเหมือนกัน แต่ว่าเขาไม่รู้จัก มันก็เลยกลายเป็นพิธีรีตองไปเท่านั้น ก็เลยกลายเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แทน ไม่ใช่พระองค์คน ไม่ใช่พระองค์จริงด้วยซ้ำ นี่ขอให้สนใจเป็นพิเศษว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริง อยู่ที่กฎของปฏิจจสมุปบาท เป็น Natural Law เป็น Natural Truth, Ultimate Law, Ultimate Truth ขอให้สนใจที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ถ้าเขาเข้าใจ นอ มี ทอ ฮุก หรืออมิตาภะอย่างถูกต้อง แล้วเขาก็จะรู้ว่า คือกฎหรือสัจจะ Law หรือ Truth ของปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง มีแสงสว่างคือความรู้ หรือแสงสว่างที่คำนวณไม่ได้ Incomputable (นาทีที่ 30:36) (ท่านสันติคโรใช้คำว่า uncalculable แทน) และก็มีอายุ age นี่ Incomputable Age (นาทีที่ 30:40) นั่น อมิตาภะ หรือ นอ มี ทอ ฮุก ของอาซิ้ม เราควรจะเข้าใจความหมายของพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม Dharma Buddha นี้กันให้ถูกต้องอย่างนี้ เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง
ขอให้ท่านดูที่ต้นไม้ต้นนี้ก็ได้ว่า ชั้นนอกสุดนั้นมีเปลือกและมีของแห้ง ๆ เป็นสะเก็ด ๆ ชิ้น ๆ ติดอยู่ที่เปลือก สะเก็ดแห้งอันนอกนี้ก็เปลือก ทีนี้ข้างในเปลือกเข้าไปก็เป็นเนื้อไม้ที่ยังอ่อน ยังไม่ค่อยมีคุณค่า ต้องในเข้าไปอีก จึงจะถึงแก่น hardwood แก่นเป็นสามชั้นอยู่อย่างนี้ มีเปลือก แล้วก็เนื้อที่อ่อนอยู่ แล้วก็แก่น พระพุทธเจ้านี่เปรียบได้กับแก่น คือพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมมะ คือ Natural Law, Natural Truth of ปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นเนื้อใน essence หรือ gist หรือ nucleus หรืออะไร อยู่ข้างในสุด นี่พระองค์ธรรม แล้วก็ออกมาข้างนอก ถึงพระองค์คน เป็น human เป็น personal นี่ คือองค์ที่สอง เกือบจะไม่ต้องอธิบายแล้ว ท่านอ่านหนังสือเรื่องนี้มามากมายแล้ว รู้ประวัติศาสตร์ รู้อะไรเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เกิดในอินเดีย ลูกคนนั้นหลานคนนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ มีอายุ 80 ปีแล้วก็นิพพานแล้ว อย่างนี้ เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่สองออกมา เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เป็นบุคคล รู้จักกันแต่พระพุทธเจ้าที่เป็นบุคคล มิได้รู้จักพระพุทธเจ้าที่เป็นพระองค์ธรรมนี่ ขอให้สนใจ
ทีนี้เราก็จะดูกันต่อไปว่ามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม Eternal Buddha นั่นแหละ ทำบุคคลให้กลายเป็นพระพุทธเจ้า บุคคลเป็นพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ทำบุคคลให้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์คน ในพระพุทธเจ้าพระองค์คน บุคคลในประวัติศาสตร์นี่ ในนั้นมีการรู้ธรรมะหรือเห็น หรือถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดเห็นฉันผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นฉัน นี่คือพระองค์ธรรมหรือกฎปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมทำให้เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์คน องค์บุคคล ชั้นนอกที่สองออกมา ท่านจะอ่านหนังสือพุทธประวัติ Life of Buddha, Legendary หรือ History อ่านไปเถอะ อ่านเท่าไร ๆ ก็จะรู้จักแต่พระพุทธเจ้าองค์บุคคล พระพุทธเจ้าองค์บุคคล ไม่อาจจะรู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ฉะนั้น ขอให้สนใจเอามาพูดกันใหม่ มาศึกษากันใหม่ให้รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม
ทำนองเดียวกับว่า ถ้าเป็นคริสเตียน ท่านเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ท่านจะมองเห็นเองว่า Jesus Christ นั้นเป็น Personal God Real God ที่แท้จริงที่ส่ง Jesus Christ มานั่นน่ะ พระเจ้าพระองค์จริง จะเทียบกับพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม จะเป็น God ก็ดี เป็นพระพุทธเจ้าก็ดี มีอยู่เป็นสองชั้นอย่างนี้ ขอให้จำไว้สองคำว่า พระพุทธเจ้าอย่างพระองค์ธรรม และพระพุทธเจ้าอย่างพระองค์คนเกี่ยวข้องกันอย่างไร พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมทำให้เกิดพระองค์คน พระองค์คนมีพระองค์ธรรมอยู่ในนั้น ก็ต้องศึกษาพระพุทธเจ้าพระองค์คนนี่ บุคคลนี่ จนให้รู้ธรรมมะ คือปฏิจจสมุปบาทที่เป็นหัวใจของพระพุทธเจ้าพระองค์คน เรื่องปฏิจจสมุปบาทมีค่าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนั้น เป็น Eternal, Eternal เป็นอสังคตะ อสังขตะ ไม่ใช่ Compounded Thing พระพุทธเจ้าพระองค์คนนี่ ไม่ใช่ Eternal เป็น Compounded Thing เหมือนกับบุคคลเราทั่ว ๆ ไป ต่างกันอย่างนี้
เอา, ทีนี้เราจะหาพบที่ไหน จะเรียนกันที่ไหน พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมคือกฎของปฏิจจสมุปบาท ที่ไหนมีการอาศัยการเกิดขึ้น อาศัยการดับลง มีการเกิดดับโดยเหตุโดยปัจจัยอย่างนี้แล้วก มีทั้งนั้นละ มีกฎปฏิจจสมุปบาท เราจะพูดได้เลยว่าทุก ๆ อะตอม ทุก ๆ อะตอม ในสากลจักรวาลนี้ มีการแสดงของ Law of Dependent Origination เราเห็นได้ แต่ว่ามันอยู่ข้างนอก มันไม่มีประโยชน์ ปัญหาหรือความทุกข์มันอยู่ข้างใน ฉะนั้น เราต้องมองดูข้างใน ข้างในตัวเรา ให้เห็น Dependent Origination ที่มีอยู่ข้างใน ในทุก ๆ อะตอมของเซลล์ หรือ มันก็มีกฎอันนี้ ทุก ๆ เซลล์ ทุก ๆ แห่งเซลล์ ทุก ๆ อวัยวะ ทุกส่วนของร่างกาย มันก็มี Dependent Origination ขอให้หาพบ Dependent Origination นี่ ที่มีอยู่ในตัวเรา ที่เราได้พูดกันแล้ววันก่อน เรื่องปฏิจจสมุปบาท ขอให้เห็นอันนี้ ให้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง แล้วก็จะเห็นได้ในตัวเรา ถ้าเราไปถามนักวิทยาศาสตร์ เขาก็คงจะบอกเราได้ว่า ในทุก ๆ อะตอม ทุก ๆ อะตอม มันมี Law Dependent Origination ในทุก ๆ อะตอม ในทุก ๆ อะตอม แล้วมันก็มันมีหมด มีทั่วไปทุกหนทุกแห่ง อาจารย์ฝ่ายมหายาน เขาก็พูดยืนยันว่า พระพุทธเจ้ามีทุกแห่ง มีทั่วทุกแห่ง ก็หมายความถึงว่า Dependent Origination Law นี่ละ แม้ในของสกปรก ๆ แม้ในอุจจาระ ก็กล้าพูดอย่างนี้ พวกเราเถรวาทไม่กล้าพูดอย่างนี้ อาจารย์มหายานเขากล้าพูดว่า มีในทุกสิ่งทุกอย่างแม้ในของสกปรก นี่ ขอให้เข้าใจในคำพูดเหล่านี้ เราพูดอย่างภาษาไทย เราก็พูดว่า ทุกขุมขน ทุกขุมขน ทุก ๆ เซลล์ ทุก ๆ ขุมขน จะเห็นพระพุทธเจ้า Law of Dependent Origination ฉะนั้น เราไม่ยาก ไม่ลำบาก ถ้าเรามีความรู้ เราจะเห็นพระพุทธเจ้าในที่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งข้างนอกข้างใน แต่ที่มีประโยชน์มากที่สุดนั้น ต้องเห็นข้างใน เพราะปัญหาอยู่ข้างใน ความทุกข์อยู่ข้างใน จงเห็นข้างใน แล้วก็จะเห็นวิธีที่จะแก้ปัญหา ที่จะดับความทุกข์ได้ นี่ เรื่องหน้าที่ที่เราจะต้องมี จะต้องกระทำแก่ Natural Law ปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้น จะเป็นของประหลาด ประหลาดที่สุดสำหรับผู้ไม่มีความรู้ เมื่อได้ยินว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ทุกขุมขน เขาไม่เชื่อ เขาไม่เข้าใจ และเป็นคำประหลาดที่สุด แต่ถ้าเขาเป็นผู้มีความรู้ ไม่ประหลาดเลย เขาเห็น เขารู้ เขาเห็นเขาเข้าใจได้ทันที ไม่ประหลาดเลย ในการที่จะพูดว่า มีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขนที่เราจะเห็นได้ นี่ขอให้คำนวณกันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมเป็น Eternal มีอยู่ตลอด อนันตกาล แล้วก็มาทำให้เกิดพระพุทธเจ้าพระองค์คน ชั่วขณะ ๆ ๆ ชั่วสมัย นี่ เกี่ยวข้องกันอย่างนี้ ถ้าบุคคลนี้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมชัดเจนแล้ว เขาก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล เกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น ขอให้เราเห็นพระพุทธเจ้าแท้จริง ทั้งที่เป็นพระองค์ธรรม และก็เป็นพระองค์คน เป็นบุคคล
ทีนี้เราก็มาถึงพระพุทธเจ้าองค์ที่สาม ที่เรียกว่าพระองค์แทน Representative Buddha นี่ พระองค์แทน นี่เป็นปัญหามากที่สุด มากลายเป็นเรื่องทางวัตถุไป เช่นพระธาตุ เช่นพระพุทธรูป เช่นพระเจดีย์ โบสถ์ วิหาร อะไรต่าง ๆ เดี๋ยวนี้มาติดกันอยู่ที่นี่ ในลักษณะที่เลวมากก็เป็น Idol เป็นลัทธิ Idolatry นี่เลวมาก ถ้าที่ดีกว่านั้นก็เป็น Symbol , Symbolic นี่ค่อยยังชั่ว เป็น Symbol นี่เราจะมองดูทะลุเข้าไป แล้วก็เห็นพระองค์จริง แต่ว่ามักจะมาติดกันเสียเพียงแค่ Idol, Idolatry นี่ยิ่งบัง บังไม่ให้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์คน หรือพระองค์จริง แม้แต่ symbol, symbol ถ้าไม่ทะลุเข้าไปได้ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าองค์จริง เดี๋ยวนี้คนในโลกเราก็มาติดกันแค่เพียง Idol หรือ Symbol ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ก็จะเปรียบเทียบกันได้อย่างนี้ว่า The Real God, God พระองค์จริงที่ส่ง Jesus Christ มาเกิดเป็น God อย่างบุคคล พระองค์ impersonal ให้เกิดองค์ Personal แล้วเดี๋ยวนี้ก็มี cross, symbolic crosses ที่แทนพระเยซู ก็มีอยู่สามชั้นเหมือนกัน symbolic cross จะบังพระเยซู พระเยซูก็จะบังพระเจ้าพระองค์จริง เป็นสามชั้นอย่างนี้เหมือนกัน นี่ท่านต้องทะลุ แทงทะลุ symbolic crosses ไปจนถึง Jesus Christ แล้วทะลุ Jesus Christ ไปถึง Eternal God, Real God อย่างเดียวกัน ในพุทธศาสนานี้ ก็ต้องแทงทะลุพระพุทธเจ้าพระองค์แทน องค์แทนคือเป็นวัตถุ แล้วก็ถึงพระพุทธเจ้าพระองค์คน พระองค์คน ทะลุพระองค์คนไปถึงพระองค์ธรรม เหมือนกันแท้ ๆ ขอให้เข้าใจอย่างนี้
วิธีเดียวเท่านั้นที่จะเข้าถึงพระพุทธเจ้าพระองค์จริง พระองค์แท้ พระองค์เนื้อใน พระองค์ธรรม ต้องศึกษาปฏิจจสมุปบาท ศึกษาปฏิจจสมุปบาท ให้เห็นปฏิจจสมุปบาทที่มีอยู่ในทุก ๆ สิ่ง แม้ในวัตถุแทน วัตถุแทนพระพุทธเจ้า ก็มีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท พระธาตุก็ผุพังได้ พระพุทธรูปก็ผุพังได้ วิหาร โบสถ์ เจดีย์ ต้นโพธิ์ก็ผุพังได้ มีปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่นั่น แล้วก็ไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์คน ชื่อสิทธัตถะ ในอินเดีย สองพันกว่าปีแล้ว ก็มีปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่นั่น เดี๋ยวนี้ก็นิพพานแล้ว ก็ไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม พระองค์จริงนี่เป็นตัวกฎเสียเอง เป็นตัวกฎเสียเอง โดยที่ไม่ต้องเป็นไปตามกฎ เพราะเป็นกฎเสียเอง พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมจึงเป็น อยู่เป็น Eternal เป็นกฎเสียเอง เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม นี่ ขอให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทตามลำดับ ก็จะเข้าใจพระพุทธเจ้าตามลำดับ ๆ จนถึงพระพุทธเจ้าที่เป็น Eternal คือกฎของปฏิจจสมุปบาท Natural Law, Ultimate Law, Ultimate Truth นี่ นี่คือผลของการศึกษาปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้ก็มาถึงปัญหาสำคัญที่สุดว่า พระพุทธเจ้าสามองค์นี่ สามองค์นี่ องค์ไหนจะมาอยู่กับเราได้ จะมาอยู่ในจิตใจของเราได้ จะมีอยู่ในจิตใจของเราได้ ก็มีปัญหาอย่างนี้ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แทน ก็เป็นพระธาตุบ้าง พระพุทธรูปบ้าง ต้นโพธิ์บ้าง อะไรบ้าง มันเข้าไปอยู่ไม่ได้ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์คน เป็นบุคคล พระเจ้าสิทธัตถะก็นิพพานไปแล้วสองพันกว่าปีแล้ว ถึงมีอยู่ก็เอามาใส่ใจเราไม่ได้ แต่ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม Natural Truth, Natural Law เกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทนี่ รู้แล้ว เห็นแล้ว มาอยู่ในใจเราได้ แล้วยิ่งกว่านั้น ก็มีอยู่แล้ว ๆ ๆ ตลอดเวลา เราไม่เห็นเอง เรามันเป็นคนโง่ คนโง่ทำให้ไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่มีอยู่ในจิตใจเรา เราเป็นคนโง่ เราเลิกเป็นคนโง่ เราก็จะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงที่มีอยู่แล้วในจิตใจเรา มาศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาทเพื่อให้หายโง่กันเถิด
พุทธะ พุทธะ หรือพระพุทธเจ้านั่น แปลว่า ผู้รู้ รู้ในสิ่งที่ควรรู้ และก็ตื่น ตื่นจากความหลับ ความโง่ ตื่นจากกิเลส ตื่นจากความหลับ แล้วก็เบิกบาน เบิกบาน นี่ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หรือว่าสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน ก็เรียกว่าพุทธะด้วยเหมือนกัน นี่เรามารู้จักพุทธะ แล้วเราก็จะมีความรู้ เป็นผู้รู้ ตื่นเป็นผู้ตื่น แล้วก็เบิกบาน คือไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์เลย นี่ พุทธะพระองค์จริงอยู่ที่นี่ เอามาใส่ในจิตใจเราได้แล้วเราก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความสำคัญคือ ได้สิ่งที่ดีที่สุด ที่สูงที่สุด เป็นสิ่งสูงสุดคือ supreme โดยการมีพุทธะพระองค์จริงในเรา ขอให้ท่านศึกษาปฏิจจสมุปบาทจนรู้ จนรู้ แล้วปฏิบัติได้ ปฏิบัติได้ แล้วท่านก็เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นพุทธะเสียเอง นี่ท่านจะต้องศึกษาปฏิจจสมุปบาทจนรู้ จน enlighten แล้วก็ปฏิบัติตามนั้นได้ แล้วก็จะเป็นพุทธะเสียเอง แล้วก็จะเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หลักการอันนี้ ถ้าท่านรู้แล้ว ท่านเอาไปใช้กับ Christianity ได้ทุกความหมาย
ทีนี้ความสำคัญ หรือความยากลำบาก เราไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท นี่เป็นข้อแรก ที่เรารู้ แล้วเราปฏิบัติไม่ได้ เราควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทไม่ได้ ดังนั้นเราต้องรู้ปฏิจจสมุปบาท แล้วเราต้องปฏิบัติ ควบคุม ปฏิบัติให้ได้ นั่นคืออานาปานสติ เราจึงต้องทำสองสิ่งพร้อมกัน คือศึกษาปฏิจจสมุปบาทแจ่มแจ้งแล้ว ปฏิบัติอานาปานสติให้ได้ แล้วเราก็ควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ หมายความว่า เราทำให้เรามีปฏิจจสมุปบาทที่ถูกต้องอยู่กับเรา ฉะนั้น ท่านอดทนเถิด อดทนเถิด พยายามอย่างยิ่ง ศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้รู้ แล้วก็ปฏิบัติอานาปานสติให้ได้ สองอย่างเท่านั้นละ ก็หมด หมดเรื่อง หมดปัญหา ถ้าเราปฏิบัติอานาปานสติได้ เราก็จะรู้ธรรมะเป็นอันมาก แล้วก็จะมีธรรมะเป็นอันมาก พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นฉัน ผู้ใดรู้ธรรม ผู้นั้นรู้จักฉัน โดยการมีธรรมะจากอานาปานสตินี่ เราจะมีพระพุทธเจ้า เราจะแทงทะลุพระพุทธเจ้าพระองค์แทน คือวัตถุทั้งหลาย เข้าไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์บุคคล แล้วแทงทะลุพระพุทธเจ้าองค์บุคคล เข้าไปสู่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมที่แท้จริง เรื่องก็จบ หมด สำเร็จ ในการศึกษาพระพุทธศาสนา ได้รับผลสูงสุดหมดทั้งสิ้นของพระพุทธศาสนาอย่างนี้
นอกจากจะใช้คำว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแล้ว เราใช้คำว่าพระพุทธศาสนา หรือ Buddhism พระพุทธศาสนาแทนก็ได้ มันก็มีพุทธศาสนาอย่างวัตถุ วัตถุ วัตถุ แล้วก็มีพุทธศาสนาอย่างที่เป็นบุคคล พุทธศาสนาอย่างที่เป็นพระธรรม ท่านมาเมืองไทย เห็นพุทธศาสนาแต่อย่างวัตถุ พุทธศาสนาเจริญหรือไม่เจริญดูกันแต่วัตถุ โบสถ์ วิหาร เจดีย์ อย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา มันก็เป็นพระพุทธศาสนาแทน หรือพระพุทธศาสนาเปลือก ต้องรู้จักพระพุทธเจ้าอย่างบุคคล ซึ่งเป็นต้นตอให้เกิดอย่างแทนนี่ขึ้นมา อย่างบุคคลต้องทะลุไปถึงพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม จึงจะมีพระพุทธศาสนาที่เป็นธรรม พุทธศาสนาที่เป็นธรรมะสูงสุด เป็นต้นตอของพระธรรม หรือของพระศาสนาทั้งปวง แม้ว่าฟังดูมันจะยืดยาว หรือมันจะมากมาย แต่ขอให้เข้าใจไว้เถิดว่า ไม่เหลือวิสัย ไม่เหลือวิสัย เป็นสิ่งที่ทำได้ เป็นสิ่งที่ทำได้ ถ้าเราใช้ความพยายามทั้งหมดของเรา ก็เป็นสิ่งที่สามารถจะทำได้ ขอให้พยายาม อย่างที่ว่ามันไม่เหลือวิสัย ในลักษณะที่เรียกว่าพระพุทธศาสนาก็ได้ เรียกว่าพระพุทธเจ้าก็ได้
หลายคนพูดอย่างจริงจังว่า ไปดูพุทธศาสนาในพม่า ไปดูพุทธศาสนาในศรีลังกา ไปดูพุทธศาสนาในทิเบต ไปดูพุทธศาสนาในอินเดีย ไปเห็นแต่เปลือก ๆ ๆ พุทธศาสนาทั้งนั้น ไม่ได้เห็นพุทธศาสนา ขอให้ท่านเห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างเดียว ท่านจะเห็นเนื้อในของพุทธศาสนา เห็นเนื้อในของพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นประโยชน์สูงสุด ไม่มีประโยชน์อันไหนจะมาสูงกว่าอีกแล้ว ในที่สุดก็จะต้องพูดว่า เวลาสิบวันนี้ไม่พอสำหรับจะปฏิบัติให้ถึงที่สุด แต่ว่าพอ พอสำหรับจะศึกษาให้รู้จุดตั้งต้น แล้วก็ไปศึกษาต่อ ศึกษาต่อ ปฏิบัติต่อ ปฏิบัติต่อ ขอให้ท่านพยายามศึกษาต่อให้เข้าใจมากขึ้น ๆ แล้วปฏิบัติต่อให้มากขึ้น ๆ หลังจากนี้ไป ท่านอย่าได้หยุดเสีย ท่านจงศึกษาต่อ และปฏิบัติต่อ ถ้าไม่สามารถจะหาที่ไหนได้ ก็ขอให้กลับมาที่นี่อีก แล้วเราก็จะมาศึกษาต่อ ปฏิบัติต่อ ให้สำเร็จให้จนได้ มันจะได้ผลที่คุ้มค่าที่สุด ขอให้ท่านเสียสละ พยายาม ที่จริงไปโลกพระจันทร์ยังยากกว่าที่จะศึกษาปฏิจจสมุปบาท แต่คนมันไม่สนใจ ๆ ๆ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่พยายามมากเหมือนจะไปโลกพระจันทร์ ไปดวงดาวต่าง ๆ นั่นเขาสนใจกันมาก สนใจหมดเนื้อหมดตัว สนใจทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าสนใจอย่างนั้นกันแล้วก็ มาศึกษาพระพุทธศาสนาได้โดยแน่นอน เพราะมันอยู่ในเราแล้ว มันค้นในเราแล้ว ไม่ต้องไปโลกพระจันทร์ มันค้นในเราแล้ว มันอยู่ในเราแล้ว ขอให้ท่านเชื่อแน่หรือแน่ใจกันอย่างนี้เถิด ขอให้ศึกษาปฏิจจสมุปบาท แล้วปฏิบัติควบคุมได้โดยอานาปานสติ แล้วเราจะหมดปัญหา หมดปัญหา ชีวิตนี้ จะไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป ชีวิตนี้จะให้ความเยือกเย็น เป็นสุข เป็นอิสระ ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ก็จะทำให้ปัญหาหมดไป ไม่มีตัวตนที่เป็นปัญหา ไม่มีอะไรที่เป็นปัญหา นั่นละ ผลของการมีธรรมมะ หรือมีพระพุทธเจ้า หรือมีพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแท้จริง
ที่พูดอย่างวิทยาศาสตร์หน่อย ก็จะพูดว่า ต่อไปนี้ท่านทั้งหลายก็จะอยู่เหนืออิทธิพลของ positiveness and negativeness ทุกอย่างในโลกนี้ เราจะอยู่เหนือ influence of positiveness & negativeness ทุกอย่างในโลกนี้ ให้ท่านไปคิดดูเถิดว่า มันหมดปัญหาสักเท่าไร ปัญหาทั้งหมด ทุกอย่าง ทุกประการ ทุกระดับ มันมาจากที่เรา attach ต่อไอ้ positive กับ negative มันจึงมีความยุ่งยากลำบาก ไม่เป็นอิสระ ไม่มีเสรีภาพ เราควบคุมปฏิจจสมุปบาทได้แล้ว เราก็จะไม่เป็นทาสของ positive และ negative นี่เรียกว่าเรา free เราหลุดพ้น พุทธศาสนานาเรียกว่าหลุดพ้น คริสเตียนก็ไปอยู่กับพระเจ้าได้ อยู่นอกเหนืออำนาจของ positive กับ negative เป็นคำพูดธรรมดาสามัญที่สุดในภาษาวิทยาศาสตร์ สรุปความว่า อยู่เหนือคู่นี้ ต่อไปนี้ก็จะมีจิตใจหรือชีวิตนี่ ที่ free อิสระ ไม่มีดีใจ ไม่มีเสียใจ ไม่ gladness ไม่ sadness อยู่เหนือทั้งสองอย่างเลยนั่นนะ ไปสังเกตดูเอาเองเถิดว่า มันจะดี จะประเสริฐ จะสูงสุดสักเท่าไร อยู่เหนืออิทธิพลของทุกสิ่งที่เป็นคู่ ๆ ๆ ขอให้ดูอย่างแท้จริง อย่างยุติธรรม อย่างแท้จริง sadness ไม่ไหว มัน troublesome แต่ gladness ก็ troublesome อย่าเอากับมันทั้งคู่ มันจะเป็น free free free เสรี เสรี emancipation ที่สุดอยทีู่่ตรงนี้
ในที่สุดนี้ ขอขอบคุณที่ท่านทั้งหลายเป็นผู้ฟังที่ดี และหวังว่าท่านทั้งหลายจะพยายามอีกต่อไป จนให้ถึงจุดหมายปลายทางของการศึกษาเกี่ยวกับชีวิต ให้ถึงที่สุดของสิ่งที่ชีวิตควรจะได้ ด้วยกันจงทุก ๆ คน ขอยุติการบรรยายในวันนี้ ขอบคุณผู้ฟังที่ดี