แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดกันถึงวิธี (เสียงเบากว่าปกติแทรกเข้ามา: ไม่ใช่เรื่องที่เป็นจุดมุ่งหมายเลย) และในการปฏิบัติอย่างที่เราได้กล่าวมาแล้วเมื่อวาน อาตมาอยากจะพูดสั้นๆ ที่สุดว่า เราจะต้องมี motive และ appetite ที่เพียงพอ นี้เป็นสิ่งแรก ท่านทั้งหลายคงจะทราบดีแล้วในเรื่องนี้ว่า เราจะต้องมี motive และ appetite ที่เพียงพอ แต่มันยังมีปัญหาอยู่ว่า จะมี motive ชนิดไหน ถ้าเรามี motive แต่ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง มันจะมี motive ทางศีลธรรม หรือทางศาสนาได้อย่างไร เมื่อ motive มีอย่างไร appetite มันก็ไปอย่างนั้น มันก็เลยไม่พบกับสิ่งที่เราต้องการ การที่เราจะมี motive ที่ถูกต้อง ก็เราต้องรู้ให้มันถูกต้องว่า เราต้องการอะไร หรือเราควรจะต้องการอะไร เราอาจจะยังไม่รู้จักว่าชีวิตนี้คืออะไร มันต้องการอะไรอย่างถูกต้อง แต่เราก็คิดว่าเรารู้แล้ว ซึ่งมันเป็นความรู้ที่ผิด จึงต้องจัดการกับข้อแรกนี้ว่า ให้รู้เรื่องของชีวิตโดยแท้จริง และรู้ว่ามันต้องการอะไร หรือว่ามันควรจะได้อะไร เราอาจจะพูดได้ว่าต้องการสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์จะได้ แล้วเราก็อาจจะเรียกชื่อสิ่งนั้นได้ แต่ไม่รู้ตัวจริง เช่น เป็นคริสเตียน อยากจะอยู่กับพระเจ้า เป็นพุทธบริษัท อยากจะมีนิพพาน อยากจะบรรลุนิพพาน แต่เราก็ไม่รู้ว่าการอยู่กับพระเป็นเจ้าหรือนิพพานนั้น คืออะไร มันก็เท่ากับไม่รู้อยู่นั่นละ บางทีเราไม่เชื่อว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ปรับปรุงได้หรือพัฒนาได้ ตามหลักการของธรรมะหรือศาสนา เราไม่เชื่อว่าชีวิตนี้เปลี่ยนไปได้จากที่เรากำลังเป็นอยู่นี้อย่างตรงกันข้าม ถ้าเราเชื่อว่าชีวิตนี้พัฒนาไม่ได้ มีแต่มันก็ ก็เป็นไปไม่ได้เหมือนกัน มันไม่มีทางที่จะทำอย่างที่กล่าวนี้ได้ เราจะต้องเห็น เห็นจนเชื่อ เชื่อแน่ว่า ชีวิตนี้ ธรรมชาติได้ให้มาอย่างที่เราจะพัฒนาได้ตามที่เราต้องการ มันเหมือนกับวัตถุดิบนะ เราจะไปเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง พัฒนาให้เป็น new product อย่างไรก็ได้ ถ้าเรารู้จักชีวิตในลักษณะเช่นนี้แล้วก็จะมีความหวัง ในธรรมะของอินเดียโบราณ มีคำที่แปลกที่สุดอยู่คำหนึ่ง คือคำว่า ชีวิตโวหาร หรือ ชีวิตโวหาระ ชีวิตโวหาระ เป็นไทยเราก็เรียกว่า ชีวิตโวหาร แปลว่า การค้าขายด้วยชีวิต ชีวิตเป็นต้นทุน เป็นทุน แล้วก็มี สังโวหาระ แปลว่า การค้าขาย เพื่อจะให้ได้กำไรถึงที่สุดที่มันจะได้ นี่เป็นสิ่งที่ควรจะเข้าใจว่า ชีวิตเป็นการค้า เป็นทุนสำหรับทำการค้า ตามที่ธรรมชาติกำหนดมา แต่แล้วในที่สุด มันก็แยกออกเป็นสองอย่างอีกนั่นเอง คือว่า ค้าขายเพื่อผลทางวัตถุ ทาง material หรือว่าจะเพื่อผลทางจิตทางวิญญาณ หรือทาง spiritual ทีนี้เรื่องผลทางวัตถุนั้น เป็นที่รู้จักกันดีจนจะไม่ต้องพูดกันอยู่แล้ว แล้วแต่ในทาง spiritual ยังต้องพูดกันอีกจนกว่าจะเข้าใจ สำหรับผลทางวัตถุนั้น ก็กล่าวได้ง่ายๆ ว่า เรามีเงิน เรามีอำนาจ เรามีเพื่อนที่ดี นี่ก็เรียกว่าพอแล้ว มันก็พอแล้ว คนแก่ที่มีหลักทรัพย์สมบูรณ์ อันนี้ก็พอแล้ว แต่ว่าในทางจิตใจนั้นมันยังไม่พอ เพราะมันยังเป็นทาส เป็นทาสของกิเลส ของความทุกข์ ของความยึดมั่นถือมั่น ยังจะต้องร้องไห้ ยังจะต้องเป็นทุกข์อยู่ ฉะนั้นมันต้องแยกกันเด็ดขาด และเราจะต้องถึงที่สุดในทางด้าน spiritual นี้ด้วย ที่เราเห็นได้ง่ายๆ เช่นว่า เป็นมหาเศรษฐีมีเงินเหลือประมาณนับไม่ไหว มีลูกมีหลานดี มีเพื่อนฝูงดี มีอนามัยสุขภาพดี แต่แล้วก็ยังมีความกลัว มีความกลัว ยังไม่พ้นไปจากความกลัวว่ามันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ยังร้องไห้เมื่อลูกตาย เมียตาย มันยังเกิดความหวาดระแวงกับคู่แข่งขันกัน มันก็ยังมีปัญหา ยังมีความทรมานใจ นี้เรียกว่ายังไม่ประสบความสำเร็จในการค้าขายทางวิญญาณ ชีวิตโวหารทางวิญญาณยังไม่มี ต่อให้เขาอยู่ในสวรรค์ เขาก็ยังกลัวว่ามันจะตกลงมาจากสวรรค์ หรือพระเจ้าจะเตะให้ตกมาจากสวรรค ์มันก็ยังมีความกลัว มันยังไม่พ้นจากอำนาจของ positive หรือ negative ที่ครอบงำจิตใจของเขา เขายังมีปัญหาอยู่นั่นเอง เราจึงต้องทำให้ถึงที่สุด ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ ขอให้เรามารู้จักไอ้ตัวปัญหาในทางจิตทางวิญญาณ ปัญหาทาง spiritual ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา ความหวง ความหึง เหล่านี้ มันมีแม้แก่่มหาเศรษฐี แม้แก่เทวดา มันไม่สิ้นสุดแห่งปัญหา การค้าขายยังไม่จบ ถ้าเมื่อไรชีวิตของเราอยู่เหนืออำนาจของความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น เป็นต้น เมื่อนั้นจะเรียกว่า เราจบการค้าขายทางจิตวิญญาณ ต่อเมื่อเรามีความต้องการจะอยู่เหนือปัญหาของชีวิตทั้งหมดเหล่านั้นจริงๆ เมื่อนั้นเราจึงจะมี motive และ appetite ที่เพียงพอ ขอให้มองให้เห็น ในธรรมะจะมี motive และ appetite ที่เพียงพอ สำหรับที่จะมีธรรมะ เราต้องเห็นชัดทีเดียวละว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือการอยู่เหนือปัญหาเหล่านั้น เหนืออิทธิพลของ negative และ positive หรือไอ้ปัญหาคู่ ๆ ๆ ๆ ทุกๆ คู่ เราเคยมองกันอย่างนี้หรือเปล่า ขอให้มองดูอย่างสุจริตใจ อย่างแท้จริงว่า ที่แล้ว ๆ นั่น มาเราเคยมองชีวิตด้วยวิธีการศึกษา ๔ อย่างที่กล่าวมาแล้วหรือเปล่า เราดู ๆๆๆ ในภายใน ดู ๆ ๆ ๆ และเราเห็น ๆ ๆ ๆ และเรารู้ ๆ ๆ ๆ และเรากระทำ ๆ ๆ ตามเหตุผลที่รู้ เราเคยมองชีวิตของเราเองในลักษณะอย่างนี้หรือเปล่า เราจะเคยมองแต่เพียงว่า เรียนให้ดีอย่างไร และให้ได้อาชีพที่ได้เงินมากที่สุด ให้ได้สมรสอย่างมีเกียรติที่สุด และเป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม นอกทั้งนั้นเลย เราไม่เคยมองตัวเอง มองข้างในอย่างวิธีศึกษาสี่อย่างนั่น มันจะเป็นเสียอย่างนี้ ถ้าจะพูดตามความเป็นจริง บางทีจะเป็นพวกฮิปปี้ที่เคยมองอย่างนี้ ได้มองในวิธีนี้ แต่เขามองไม่เป็น เขาไม่ประสบความสำเร็จ เขาก็ล้มละลาย นี่ เราควรจะมองชีวิตในแงของ่การศึกษา ๔ ความหมาย มันมี idiom ในภาษาไทย จะมีในภาษาฝรั่งหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่ภาษาไทยเป็นคำที่พูดกันมากที่สุด คือคำว่า เสียชาติเกิด กับไม่เสียชาติเกิด เสียชาติที่เกิด เสียทีที่เกิดมา เสียชาติเกิด และก็ไม่เสียทีที่เกิดมา คือไม่เสียชาติเกิด นี่คือที่เราจะพูดกันมากที่สุด และระมัดระวังมากที่สุด จุดหมายปลายทางอย่างของคริสเตียนว่า เราได้เข้าไปอยู่ในโลกของพระเจ้า ไปอยู่กับพระเจ้า หรือว่าอย่างของชาวพุทธว่า เราได้บรรลุนิพพาน นี่เรามีจุดหมายอย่างนั้น ถ้าเราถึงที่นั่น ก็เรียกว่า ไม่เสียชาติเกิด ไม่เสียชาติเกิด ถ้ามัวแต่อยู่กับความทุกข์ อยู่กับความทุกข์ ก็เรียกว่า ในปลักหนอง ในโคลนแห่งความทุกข์ มีแต่สิ่งที่ทำให้เกิดความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว แม้เป็นเศรษฐีเป็นมหาเศรษฐีก็ยังเรียกว่าเสียชาติเกิด เราเคยรู้สึกว่า มันมีอยู่สักหนึ่งนาทีไหม ที่ชีวิตของเราอยู่เหนืออิทธิพลของ positive กับ negative มันมีอยู่แม้สักหนึ่งนาทีไหม ไม่อยู่ใน positive ก็อยู่ใน negative มันไม่เคยมี ถ้ามีมันก็นับว่าวิเศษแล้ว เรามีการได้ที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แม้สักหนึ่งนาที แม้แต่เวลาหลับ เวลาหลับ จะเรียกว่าอิสระจาก positive และ negative ไม่ได้ คือมันไม่มีความรู้สึกอะไร จะเอาเวลาหลับมาเป็นประมาณนี้ไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ดี มันก็ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของ positive และ negative เรายังฝันไปตามอิทธิพลของ positive และ negative นี่เราไม่เคย free ไม่เคยเป็นอิสระเลย เราไม่เคยได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า religious emancipation, religious emancipation น้อยเกินไป หรือไม่รู้เอาเสียเลย แม้ว่าเราจะได้ยินคำคำนี้พูด ได้อ่านถึงคำคำนี้ ตลอดเวลาที่เรายังอยู่ภายใต้อิทธิพลของ positive และ negative ไม่มี emancipation ของศาสนาไหนก็ตามที่ถูก ฉะนั้นขอให้นึกถึง คำว่า emancipation ที่มันรอดมันหลุดออกไป ก็ต้องหลุดออกไปจากเหตุผลของ positive และ negative ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท และประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติโดยแท้จริง แล้วท่านจะประสบกับ emancipation ที่แท้จริง ตัวอย่างเล็กๆ ที่ท่านควรจะสังเกต ที่จะศึกษา คือพยายามสังเกตศึกษาในชีวิตประจำวันของเราทุก ๆ วัน มีบ้างไหมที่ความรู้สึกของเราไม่มีความรู้สึกเป็นดีใจหรือเสียใจ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ว่างจากความดีใจหรือความเสียใจ มีไหม ขอให้สังเกตดูสิ่งนี้ เสียใจไม่ไหว แต่ดีใจเราก็ชอบ แต่มันยังมีสิ่งที่ดีกว่า สูงกว่า ประเสริฐกว่าคือ เหนือความดีใจและความเสียใจ หรือจะเรียกว่าว่างก็ได้ ว่างจากความดีใจและเสียใจ นี่ขอให้ศึกษาข้อนี้ให้มาก แล้วจะช่วยให้ง่ายในการที่จะรู้จัก emancipation, liberation ที่แท้จริงตามทางของพระศาสนา
ยาเสพติดที่กำลังเป็นปัญหาในโลก มันช่วยหยุดความรู้สึกดีใจ เสียใจได้ไหม? แต่เราก็พอใจกันมากขึ้นๆ แม้ว่าเราจะมียากินแล้วหยุดความพอใจ ความดีใจ ความเสียใจ มันก็ไม่ใช่วัตถุประสงค์อันนี้ มันไม่ออกไปจากอำนาจของไอ้ความพอใจ ความดีใจ และความเสียใจ เมื่อเขากำลังเต็มไปด้วยอิทธิพล รู้รสของกัญชา ยาฝิ่น อย่างนี้ ในขณะนั้นเขาอยู่เหนือ sadness และ gladness ไหม? ไปตากอากาศที่ภูเขา ที่ทะเล ไปเที่ยวรอบโลกอย่างนี้ มันอยู่เหนืออิทธิพลของความดีใจและเสียใจไหม? แม้ว่าเราจะนอนหลับ เราก็ยังอยู่ใต้อิทธิพลของสิ่งนี้อย่าง subconscious อยู่นั่นเอง ไม่พ้นไปได้
เอาเถอะ เรามาศึกษาปฏิจจสมุปบาทให้รู้วิธีอยู่เหนือไอ้ดีใจ เสียใจ และเราปฏิบัติให้ได้ เราปฏิบัติให้ได้ โดยที่เราฝึกอานาปานสติได้แล้ว เราสามารถปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทได้ นี่ วิธีเดียวเท่านั้นที่จะอยู่เหนืออิทธิพลของ positive, negative ของความดีใจ ของเสียใจ ทุกๆ คู่เลย ดังนั้น ในการที่เราจะมาปฏิบัติธรรมะให้สำเร็จ เรามี motive และ appetite ที่เพียงพอ แต่เราก็ยังต้องมีการจัด การเตรียม การทำให้มันพอ ฉะนั้น ขอให้สนใจ การตระเตรียม การเตรียมพร้อมสำหรับที่จะปฏิบัติให้ได้ผลดีจริง ๆ
สิ่งแรกที่เราจะต้องมี เราจะเรียกมันว่า disciplinary rules ระเบียบต่างๆ ที่จะช่วยให้สำเร็จนี่ ท่านอย่ารู้สึกว่าเสียเสรีภาพ เสียอิสรภาพในการที่จะมาอยู่ภายใต้กฎเกณท์ของ disciplinary rules มันจำเป็นที่สุด มันเป็นการเตรียมพร้อมให้เราพร้อมที่จะศึกษาและปฎิบัติ ดังนั้น เราจึงขอมี ขอใช้ กฎระเบียบบางอย่างเกี่ยวกับการอยู่ที่นี่ การกินอาหารก็ดี การอะไรต่าง ๆ ทุกอย่างก็ดี โดยเฉพาะ rules ต่างๆ ที่จะขจัดความรู้สึกทางเพศ ให้ออกไป ๆ นี่จำเป็นในเบื้องต้น
rules เหล่านี้ ไม่ใช่มันทำให้เราเสียเสรีภาพ แต่มันช่วย ช่วยให้เราได้เสรีภาพ เช่น เราไม่สูบบุหรี่อย่างนี้ เราเสียเสรีภาพ หรือเราได้เสรีภาพ คุณช่วยคิดดูให้ดี ๆ ว่าการที่เราไม่สูบบุหรี่นี่ เราเสียเสรีภาพหรือเราได้เสรีภาพ เราได้เสรีภาพเหนืออำนาจของบุหรี่ แต่คนบางคนจะมองว่าเราเสียเสรีภาพในการที่เราจะสูบบุหรี่ นี่ยกตัวอย่างอย่างนี้ ง่าย ๆ กิจกรรมทางเพศ กิจกรรมทางอะไรต่าง ๆ ก็เหมือนกัน เราเว้นเสีย เว้นเสีย ไม่ใช่เสียเสรีภาพ แต่เราได้เสรีภาพ ขอให้เข้าใจคำว่าเสียเสรีภาพ หรือได้เสรีภาพนี้ให้ถูกต้องที่สุดเลย ที่ center ของเราที่โน่น เราแยกอยู่กัน ผู้หญิงหน่วยหนึ่ง ผู้ชายหน่วยหนึ่ง เราไม่อยู่รวมกันอย่างที่โฮเต็ล นี่ เสียเสรีภาพ หรือได้เสรีภาพ เราย้อนกลับไปอยู่อย่างไปอยู่ถ้ำ เหมือนคนป่าสมัยโน้นอยู่ถ้ำ อยู่ถ้ำ ชีวิตอยู่ถ้ำ อยู่ถ้ำ นี่จะเสียเสรีภาพหรือได้เสรีภาพ ขอให้คิดดูให้ดี ขอให้มองดูให้ดี และให้ทำให้สำเร็จประโยชน์ เพราะฉะนั้นขอให้เราพอใจใน rules ต่างๆ ในเบื้องต้นเหล่านี้ ว่าจะนำไปสู่ความสำเร็จในการศึกษาและการปฏิบัติของเรา ซึ่งจะมีผลเป็นเสรีภาพสุดท้าย เราจะเลิก จะเลิกกินดีอยู่ดี ในภาษาไทยเราเรียก กินดีอยู่ดี ภาษาอังกฤษเรียกว่าอะไรก็ไม่ทราบ แล้วจะกินอยู่แต่พอดี กินดีอยู่ดี luxurious life ไม่เอา ไม่เอา เราจะกินอยู่แต่พอดี ๆ ๆ ถูกต้อง พอดีนี้ จะต้องมีระบบการเป็นอยู่อย่างนี้ จึงจะส่งเสริมให้ประสบความสำเร็จในการปฏิบัติ เราอยู่ที่สวนโมกข์ก็ดี ที่เซนเตอร์ก็ดี ขอให้เราถือว่าเราอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง อยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ว่ามันเป็นโลกที่จะช่วยให้เราขึ้นอยู่เหนือโลกทั้งปวง ความหมายอย่างนี้ ขอให้เข้าใจ
ทีนี้พูดถึงความพอดี ๆ เราจะมีสุขภาพอนามัยร่างกายนี้ที่พอดี พอเหมาะ ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ไม่ luxurious เกินไป แต่ก็ไม่ลำบากมากเกินไป เราจะมีการเป็นอยู่ที่ดี อาหารพอดี สุขภาพพอดี ขอให้ท่านตระเตรียม ไอ้หลักเกณท์ที่ว่า plain living, high thinking นั้นจะช่วยได้มาก และเข้าใจว่าท่านทั้งหลายเข้าใจหลักเกณฑ์อันนี้ดีอยู่แล้ว ขอให้เอามาใช้ให้เต็มที่ สำหรับการเรียนการสอน สิ่งที่จะเรียนสิ่งที่จะสอนนี้ พวกเราได้เลือก ๆ อย่างดีที่สุดแล้ว ที่พอดี ที่พอดี ที่ไม่มากที่ไม่น้อย ทใช้ี่เรียนปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ ใช้ปฏิบัติอานาปานสติอย่างนี้ เป็นการเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ที่พอดี ที่พอดี ที่สุดแล้ว ที่ moderate ขอให้ท่านอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องลำบาก หรือว่าเป็นเรื่องยากหรือเป็นเรื่องง่าย ต้องทำให้พอดี ให้สำเร็จลุล่วง ลุล่วงไป นี่ก็เป็นความพอดี ความพอดี ตรงกลาง ตลอดเวลาที่มีการศึกษาที่ถูกต้อง มอง เห็น รู้ และทำ ต่อสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ต่อสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ถ้าท่านทำอยู่อย่างนี้ ถ้าท่านทำอยู่อย่างนี้ ท่านจะเห็นปฎิจสมุทบาทโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องสอน ไม่ต้องเรียนกันมาก ถ้าท่านดูไอ้สิ่งที่เรียกว่าชีวิต โดยวิธีศึกษา ๔ อย่างแล้ว ความรู้ทางปฏิจจสมุปบาทก็จะออกมาเอง แล้วท่านก็จะได้สิ่งที่เป็นจุดตั้งต้นดีที่สุด ที่จะศึกษาเพื่อจะกำจัดความทุกข์ทุกอย่างทุกประการ ถ้าท่านมองดูเข้าไปข้างใน มองดูเข้าไปข้างใน ดู เห็น รู้ ข้างใน ท่านจะเห็นปฏิจจสมุปบาท อาการแห่งปฏิจจสมุปบาท มันมีอยู่ที่ทุกอะตอม ทุกโมเลกุลแห่งชีวิต ทุกอะตอม ทุกอะตอมในชีวิต มันมีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท แม้จะดูข้างนอก ที่เนื้อ ที่หนัง ที่ไหน ก็มีอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท ขอให้ดูข้างใน ท่านจะเห็นปฏิจจสมุปบาท คืออาการแห่งปฏิจจสมุปบาท
ท่านจะตกใจไหม ถ้าท่านได้ยินประโยคว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เอง ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรมะ ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นเรา คือเห็นพระพุทธเจ้า ท่านจะเห็นพระพุทธเจ้าตลอดเวลาที่ท่านเห็นปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้น เตรียมพร้อมเถิดที่จะ look ที่จะดูไปข้างใน แล้วก็เห็นปฏิจจสมุปบาท ที่มีอยู่ในชีวิต ในตัวเรานี่ เราอาจจะเห็นปฏิจจสมุปบาทภายนอกที่เต็มไปหมด เหลียวไปทางไหนทางไหนไม่รู้ เห็นอาการแห่งปฏิจจสมุปบาท คืออาศัยเกิดขึ้นอย่างไร อาศัยดับลงอย่างไร นี่จะเห็น ถ้าเห็นภายนอกที่ไม่ถึงที่สุด ไม่ดี ไม่เก่ง ต้องเห็นภายใน เห็นภายใน ทุก ๆ ส่วนแห่งชีวิตที่ประกบรวมกันทั้งหมดเป็นชีวิต ขอให้เห็นอาการที่ว่ามันอาศัยกันเกิดขึ้นอย่างไร และดับลงอย่างไร ของสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์โดยเฉพาะ ความทุกข์โดยเฉพาะ มันก็จะเป็นการง่ายที่จะขจัดความทุกข์ออกไป เอาความไม่มีทุกข์เข้ามาแทน นี่ตั้งต้นศึกษาด้วยการเห็นปฏิจจสมุปบาท แล้วเห็นให้ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ยิ่งขึ้นไป ที่เราจะไปศึกษากันใหม่ที่เซ็นเตอร์ ขอให้เรามองเข้าไปข้างใน ๆ ๆ แล้วเราก็จะเห็นชัดทีเดียวว่า มองตามวิธีมอง ๔ อย่าง อย่างลืมว่า ๔ อย่าง เราจะเห็นชัดทีเดียวว่า ความรักเกิดขึ้นอย่างไร และความรักจะดับลงไปอย่างไร ความโกรธจะเกิด จะอาศัยกันเกิดขึ้นอย่างไร ความโกรธจะดับลงอย่างไร ความเกลียดจะเกิดขึ้นอย่างไร ความเกลียดจะดับลงอย่างไร ความกลัวจะเกิดขึ้นอย่างไร ความกลัวจะดับลงไปอย่างไร excitement มันจะเกิดขึ้นอย่างไรและจะดับลงอย่างไรนี่ ต้องมองข้างใน มองข้างใน มองข้างนอกช่วยไม่ได้ การกระทำอย่างนี้ การเตรียมพร้อมอย่างนี้ จะช่วยให้มี motive และ appetite ที่เพียงพอ ขอให้พยายามเตรียมพร้อม เตรียมพร้อม ให้มันพร้อมที่จะประสบความสำเร็จ นี่เป็นข้อแรก เป็นเบื้องแรก ขอให้ท่านมีความอดทนพอสมควร ไม่เห็นว่าเป็นการเสียเสรีภาพในการที่จะปฎิบัติตามกฎเกณท์ ซึ่งเป็นกฎเกณท์ของธรรมชาติ ซึ่งมีความศักสิทธิ์เหมือนกับกฎเกณท์ของพระเป็นเจ้าด้วยเหมือนกัน ทีนี้ ขอย้อนกลับมาถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่ง คือ final goal หรือจุดหมายปลายทางที่ถูกต้อง จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องนั่นละ จะช่วยอย่างยิ่ง ให้มี motive เพียงพอ มี appetite เพียงพอ ขอให้ตั้งใจฟังอีกครั้งหนึ่ง
จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องที่จะพูดนั่นนะ ข้อแรกก็คือว่า เราจะมีสวรรค์กันที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจะมีโลกของพระเจ้ากันที่นี่และเดี๋ยวนี้ เราจะมีนิพพานกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่เด็ดขาดที่สุด ต้องที่นี่ และเดี๋ยวนี้ ก็จะมีสิ่งที่เป็นจุดหมายปลายทางกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ เรื่องต่อตายแล้ว หลังจากตายแล้วไม่มีในพระพุทธศาสนา ถ้ามีพุทธบริษัทคนใดพูด เขาพูดผิดเขาไปเอาของอื่นมาพูด เรื่องต่อตายแล้วเราไม่ต้องพูด เพราะว่าปัญหามันอยู่ที่นี่ ปัญหามันอยู่ที่นี่ ปัญหามันอยู่เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องแก้ปัญหา ต้องตัดปัญหาที่นี่และเดี๋ยวนี้ เพราะมันต้องเป็นเรื่องที่นี่และเดี๋ยวนี้ ต่อตายแล้วไม่มีประโยชน์อะไร ถึงแม้ว่ามันจะมี reincarnation อย่างที่เขาพูด อย่างที่เขาเชื่อกัน ก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องพูด ไม่ต้องพูด แต่อย่าลืมว่า มันมี reincarnation อีกชนิดหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุด reincarnation ที่มันมีได้ในนาทีเดียวก็มีได้หลายรอบ วันเดียวก็มีได้หลายสิบหลายร้อยรอบ reincarnation ชนิดนี้ คุณจะต้องสนใจ มันจะต้องเรียกว่า spiritual birth มันเกิดทางจิตใจ พอเราคิดอย่างสุภาพบุรุษ เราเกิดเป็นสุภาพบุรุษ เราคิดอย่างคนเลว เราก็เป็นคนเลว เป็นกุ๊ย ถ้าเราคิดอย่างวัว เราก็เป็นวัว เราคิดอย่างหมาเราก็เป็นหมา เราคิดอย่างเทวดา เราก็เป็นเทวดา เราคิดอย่างสัตว์นรก ก็เป็นสัตว์นรกนี่ มันเกิดได้อย่างนี้ เกิดได้ด้วยทางจิตใจ ทาง attachment นี่เป็น reincarnation ที่มีอยู่ในวันหนึ่งๆ ไม่รู้กี่ชั้น กี่ครั้ง สนใจควบคุมมันให้ได้ ให้มันมีการเกิดชนิดที่ถูกต้อง คืออยู่เหนือ มีสติปัญญาอยู่เหนือ positive และ negative ทุกๆ ครั้งที่มันมีความคิดนึก รู้สึก นี่เราจะมีสวรรค์ที่นี่ มีพระเจ้าที่นี่ มีนิพพานที่นี่ เพราะว่าเราอยู่เหนือ positive และ negative กันที่นี่ reincarnation อย่างนี้มันมีวันหนึ่งนับไม่ถ้วน นับไม่ไหว นี่ reincarnation แบบทางพุทธศาสนา หนังสือทางพุทธศาสนาที่ฝรั่งเขียนมีหลายเล่ม เขาเขียน reincarnation ผิด เอา reincarnation ของศาสนาอื่นมาเป็น reincarnation ในพุทธศาสนา ทิ้งไปอย่าไปเอา ขอให้ reincarnation ทางพุทธศาสนา คือเกิดทางจิตใจ วันหนึ่งเกิดไม่รู้กี่ครั้ง ไม่รู้กี่ครั้ง ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติ ท่านจะควบคุมความเกิดชนิดนี้ได้ มีแต่เกิดถูกต้อง เกิดถูกต้อง จนเหนือความเกิด เรามีความลำบากมาก เพราะว่าศาสนาฮินดูเขามาที่นี่ก่อนพุทธ เขามาสอนคนที่นี่ก่อนพุทธ เขาก็มาสอน reincarnation อย่างฮินดู ฮินดูไว้แก่ประชาชนที่นี้ พุทธศาสนามาทีหลัง จะสอน reincarnation อย่างของพุทธมันสอนไม่ได้เพราะอย่างโน้น มันเป็น positive มันมีง่าย ถือง่าย เชื่อง่าย เขาถือกันอย่างนั้นเสียแล้วนี่ เราประสบความลำบากมากที่จะสอน reincarnation อย่างพุทธ เพราะว่า reincarnation อย่างฮินดู เป็นต้น มันฝังแน่นอยู่ในความรู้สึกของประชาชน เดี๋ยวนี้ก็ยังปนกันยุ่งแม้ในหมู่พุทธบริษัท ทีนี้จุดหมายปลายทางที่ถูกต้องอย่างยิ่งอีกต่อไปก็คือ คุณมีความตั้งใจที่จะรับปริญญา ปริญญาบัตร ปริญญาของพระพุทธเจ้าหรือของพุทธศาสนา ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้เอง ปริญญา ปริญญา ท่านใช้คำนี้ ภาษาบาลีใช้คำนี้ ปริญญา ปริญญาอย่างที่ใช้ในภาษาไทย เดี๋ยวนี้ปริญญามี ๓ อย่าง ปริญญาคือสิ้นราคะ ปริญญาคือสิ้นโทสะ ปริญญาคือสิ้นโมหะ ขอให้ท่านได้ความรู้อันนี้ มีความรู้สึกอันนี้ คือมีความรู้สึกความสิ้นราคะ โทสะ โมหะ นี่คือปริญญา ขอให้ท่านทั้งหลายทุกคนพยายามได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้า หรือปริญญาในทางพระพุทธศาสนา เอาเป็นจุดหมายปลายทาง ปริญญาที่เราได้รับเป็นแผ่นปริญญาบัตรจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ในโลก แม้เราได้รับแล้ว ชีวิตนี้ก็ยังไม่เย็น ชีวิตนี้ยังไม่เย็น ชีวิตนี้ยังจะเป็นร้อน เป็นของร้อนกัดเจ้าของ บางทีปริญญาบัตรนั้น ช่วยชีวิตร้อนกัดเจ้าของ แต่ท่านได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้าแล้ว ชีวิตนี้จะเย็น ๆ ๆ ๆ ไม่มีปัญหา ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ ปริญญาสองชนิดมันต่างกันอย่างนี้
ทีนี้จะพูดถึงเครื่องหมาย ลักษณะ เครื่องหมาย characteristics ของ ปริญญา ถ้าว่าได้รับปริญญาของพระพุทธเจ้า ท่านจะมีลักษณะแห่งอตัมมยตาอยู่ที่เนื้อที่ตัวของท่าน อตัมมยตาคือภาวะของจิตใจที่อะไร ๆ จะมาปรุงแต่งไม่ได้ มา conditionไม่ได้ มา concoct ไม่ได้ มาไม่ได้ทุกอย่าง ไม่มีอะไรที่จะมาทำให้ท่านหวั่นไหวไปจากความถูกต้อง ความมั่นคงได้ นี่ลักษณะปริญญาของพระพุทธเจ้านี่ เรียกว่า มีอตัมมยาตา ถ้ามีอตัมมยาตาแล้ว ผู้นั้นเรียกว่า อตัมมโย คือเป็นพระอรหันต์ อยู่เหนือปัญหาทุกอย่าง
ทีนี้มาดูความหมาย อตัมมยตานี้ มีความมั่นคง firmed มั่นคงที่สุดของจิตใจไม่มีอะไรเหมือน ภูเขาหิมาลัย ในเอเชีย ภูเขาแอลป์ในยุโรปนั้น ยังหวั่นไหว สั่นคลอน สั่นคลอน ถ้าแผ่นดินไหว ภูเขาเหล่านั้นก็ไหว แต่อตัมมยตานี้ไม่หวั่นไหว ทั้งโลกมันไหว จักรวาลมันไหว อตัมมยตามันไม่หวั่นไหว มันจึงเรียกว่า unconcoctability นี่ ขอให้สังเกตลักษณะแห่งความไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์ ตามสิ่งที่เข้ามาแวดล้อม เดี๋ยวนี้ จิตของเราไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไรปรุงแต่งได้ เรา free เหลือที่จะ free ที่เรียกว่า emancipation มันมีความหมายอย่างนี้ มันไม่มีอะไรมาทำให้หวั่นไหวได้ เป็นความรอดที่สูงสุด ถ้าว่าโลกเรานี้มีอตัมมยตา โลกเรานี้ก็จะมี securities at utmost scale นี่ ขอให้ช่วยจำไว้ เดี๋ยวนี้โลกมีแต่วิกฤตการณ์ วิกฤการณ์ crisis ไม่มี พราะว่าเขาไม่มีอตัมมยตา นี่เรามีอตัมมยตาเป็นจุดหมายปลายทาง เข้าใจอตัมมยตาเป็นจุดหมายปลายทางเถิด motive และ appetite ต่อธรรมะจะเต็มที่ จะเต็มที่เลย
ทีนี้จุดหมายปลายทางอีกชื่อหนึ่ง เราเรียกอีกชื่อหนึ่ง เราเรียกว่า “ความอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งทั้งปวง” อยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งทั้งปวง ช่วยแปลให้ดี ความอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งทั้งปวง เดี๋ยวนี้ เราอยู่ภายใต้อิทธิพลของ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ sense object เราอยู่ใต้อิทธิพลของมันทุกอย่าง เราเป็นทาสของ รูป เสียง กลิ่น รส เหล่านี้เรียกว่าเรามีความทนทุกข์ทรมานอยู่โดยไม่รู้ตัว เพราะความเป็นทาสของอารมณ์ อารมณ์ sense object ในทางพุทธศาสนาเรามีสำนวนพูดที่ว่า เราเป็นทาสตาของเรา เราเป็นทาสหูของเรา เราเป็นทาสจมูกของเรา เราเป็นทาสลิ้นของเรา เราเป็นทาสไอ้ผิวกาย ร่างกายของเรา เราเป็นทาสมัน เราต้องไปหาสิ่งที่มันต้องการมาให้มันตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน นี่เราเป็นทาส เป็นทาส เราต้องการความอยู่เหนือความเป็นทาส
สิ่งที่สำคัญที่สุดอีกสิ่งหนึ่งที่ทำความยุ่งยากให้แก่เรามากที่สุด คือเราเป็นทาสของเวลา เวลา เวลาบีบคั้นเรามากที่สุด เพราะว่าเราอยู่ใต้อำนาจของเวลา เราเป็นทาสของเวลา เราจงอยู่เหนือเวลา เราเป็นนายของเวลา เวลา เวลานี่ มันมาจากความต้องการ แล้วยังไม่ได้ตามที่ต้องการ ระยะนี้คือความต้องการ ระยะนี้คือได้ตามความต้องการ ตรงกลางนี่เรียกว่าเวลา มันบีบคั้น มันกัดเรา เวลามันกัดเรา เราไม่ได้กัดเวลา เวลามันกัดเรา ถ้าเราหยุดความต้องการเสียได้ เวลาจะไม่กัดเรา เวลาจะไม่มีสำหรับเรา นาฬิกาจะหยุดเดินสำหรับเรา เมื่อเรามีความต้องการอย่างอวิชชา เดี๋ยวนี้เราจะเป็นนายเหนือเวลา หลุดจากความเป็นทาสของเวลา เรามีอตัมมยตา เหมือนพระอรหันต์มีอตัมมยตา และเวลา เวลาจะไม่มีสำหรับเรา เวลาจะไม่บีบคั้นเรา เวลาจะไม่กัดเรา นาฬิกาจะไม่เดิน โลกไม่หมุนสำหรับผู้มีอตัมยตาอยู่เหนือเวลา ทีนี้อีกสิ่งหนึ่ง ก็เราเรียกว่า เหนืออำนาจของ positive และ negative ไม่เป็นทาสของ positive และ negative อีกต่อไป เรื่องนี้เราได้ discuss มามากแล้ว ขอสรุปสั้น ๆ แต่เพียงว่า ไม่เป็นทาสของ positive และ negative อีกต่อไป
ทีนี้ก็มาถึงคำที่ประหลาดที่สุด ประหลาดท่ีสุด คือเราไม่เป็นทาสของตัวตน ไม่เป็นทาสของตัวเอง เราอยู่เหนือตัวเอง อยู่เหนือความมีตัวตน เราอยู่เหนือตน เหนืออัตตา เหนืออาตมัน เหนือ self เหนือ soul เหนือตัวเอง เรามีความเป็นอิสระอยู่เหนือตัวเอง ไม่เป็นทาสของตัวเอง ตัวเองเป็นที่ตั้งของปัญหาทุกอย่างทุกประการตามที่กล่าวมาแล้ว มันตั้งอยู่ที่ตัวตน หรือตัวเอง เดี๋ยวนี้เราอยู่เหนือตัวเอง เรื่องมันก็จบ
ในศาสนาที่เขามีพระเจ้าหรือมีตัวตน เขาก็ต้องการ eternal self, eternal self ส่วนศาสนาพุทธเราไม่มีตัวตน เราต้องการ eternal void, eternal voidness, eternal voidness แม้ชื่อมันจะต่างๆ กัน แต่มันคือสิ่งเดียวกัน มันสิ่งเดียวกัน ดังนั้น ชื่อ ชื่อเรียกต่างกัน ไม่เป็นไร คนนี้นั่งอย่างท่าฝรั่ง คนนี้นั่งอย่างท่านั่งไทย อาตมานั่งอย่างท่านั่งอินเดีย แต่เราก็ได้รับผลเหมือนกัน ชื่อต่างกันไม่เป็นไร ทีนี้สิ่งสุดท้ายที่จะพูดอีกทีหนึ่งก็คือว่า
มันมีข้อยกเว้น ข้อยกเว้น สำหรับลูกเด็กๆ หรือผู้ใหม่ new comer ลูกเด็ก ๆ พวก new comer มันมีข้อยกเว้น ที่จำเป็นจะต้องยอมให้อยู่ภายใต้อะไรบางอย่าง เช่น ไสยาศาสตร์ ไสยาศาสตร์ ลูกเด็กๆ หรือผู้มาใหม่ แม้ที่สุดแต่ว่า dogmatic system นี้ ก็ยกเว้นให้ผู้เด็ก ๆ ผู้มาใหม่ ผู้แรกเข้ามาใหม่ เมื่อเขาประสบความสำเร็จแล้ว เขาจะอยู่เหนืออันนี้ อยู่เหนือไสยาศาสตร์ เหนือ dogmatic system เหนือทุกอย่างที่มันเป็นเพียงความจำเป็นสำหรับขั้นต้น เมื่อเขาสำเร็จแล้วเขาจะอยู่เหนือไสยาศาสตร์ เหนือ dogmatic system อยู่เหนือทุกอย่างที่มันเป็นความจำเป็นสำหรับขั้นต้น อย่าลืมเสียยกเว้นให้ ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการศึกษาปฏิจจสมุปบาท และประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติ ท่านจะมีผลอันนี้ คือจะอยู่เหนือสิ่งทั้งปวง
ขอแสดงความยินดีในที่สุดท้ายว่า แม้ท่านจะมาอย่าง tourist ก็ขอให้ท่านกลับไปอย่าง pilgrim มีสิ่งที่มีค่าที่สุด สูงสุด มีติดตัวไป ขอให้สำเร็จความประสงค์ดังนี้ด้วยกันทุก ๆ คน ขอยุติการบรรยายในวันนี้ ขอขอบพระคุณในการเป็นผู้ฟังที่ดี เราจะพูดอีกคำหนึ่งว่า ใน luggage ที่อยู่บนหลังของท่านจะเต็มไปด้วยอมตธรรม อมตธรรม เขาเรียกกัน ambrosia อะไรก็ไม่รู้นะ อมตธรรม กลับไปบ้าน กลับไปบ้าน