แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เราได้พูดถึงเรื่องชีวิตที่กัดเจ้าของมามากพอแล้ว วันนี้เราก็จะพูดถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามบ้าง คือชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ
เกี่ยวกับคำพูดที่มันหลอกเรา ก็คือคำว่า ชีวิต คำว่า จิต แล้วก็คำว่า ตัวเรา หรือ อัตตา ชีวิต จิต และ อัตตา นี้จะต้องทำความเข้าใจกันให้ดี ๆ โดยความรู้สึกทั่ว ๆ ไป คนก็เอาสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิต นั่นคือความที่มันยังเป็นอยู่ ยังเคลื่อนไหวได้ รู้สึกได้ คิดนึกได้ พูดจาได้ นี่นะชีวิต ชีวิต นี่นะเป็นตัวตน แต่ถ้าเรามองลึกเข้าไป ว่าโอ้, มันมีสิ่งที่เรียกว่า จิตที่ควบคุมอยู่ เอาจิตเป็นตัวตน แล้วก็มันมีความจริงที่ตรงไหน ชีวิตเป็นตัวตน หรือว่าจิตนะเป็นตัวตนนี้ ตัวตนก็เป็นสิ่งที่คิดขึ้นมา รู้สึกขึ้นมาอย่าง เขลา ๆ เป็น Concept ที่หลอกลวงที่สุดนะ นี่ขอให้รู้จักความหมายที่ต่างกันของคำว่า ชีวิต จิต อัตตา ล้วนแต่เป็นภาษาบาลี
เด็ก ๆ เขาก็เอาชีวิตนี่ มาเป็นอัตตา ฉลาดขึ้นมาหน่อย โตขึ้นมาหน่อยก็เอาจิตเป็นอัตตา เมื่อความรู้มันไม่ถูกต้อง มันไปเป็น เป็นไปถึงที่สุด มันก็เอาความรู้สึกอันหนึ่งของจิต Concept หนึ่งของจิตมาเป็นอัตตา เด็กเขาก็เอาชีวิต
เด็ก ๆ พอเปิดดูหลังนาฬิกา โดยเฉพาะนาฬิกาพกนะ จะรู้สึกช็อค บอกเพราะอันนี้มันมีชีวิต นาฬิกามันมีชีวิต เขายังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเครื่องจักร ความรู้สึกว่ามีชีวิต หรือเป็นอัตตามันก็เกิดขึ้น ความรู้สึกอันนี้มันมาก มันมาก มันมากกว่า Imagination มันไม่ต้องตั้งใจคิด มันรู้สึกได้เอง มันเป็น Concept ของจิตที่เกิดมาจาก อวิชชา เด็กเขามีอวิชชา ไม่รู้ว่านาฬิกานี้เป็นอะไร พอเห็นครั้งแรกเขาก็รู้สึกว่ามันมีชีวิต หรือเป็นอัตตา
หรือว่าคนป่ามาเห็นรถยนต์เป็นครั้งแรก ก็คิดว่ามันมีชีวิต หรือมันเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง เขาไม่รู้ว่ามันเป็นเพียง Mechanism ไอ้อะไรรวม ๆ กัน ไม่ได้มีชีวิตอะไร นี่ความคิด แล้วอัตตามันก็เกิดขึ้นมาได้ ว่ารถยนต์นี้เป็นสิ่งที่มีชีวิต แล้วก็เป็นอัตตา
คนป่าก็มาเห็นเรือบิน เห็นเรือบิน จะรู้สึกมากไปกว่าเห็นรถยนต์ นี่เพื่อจะให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ไอ้ มันเป็นเพียง Concept ที่หลอกลวง ที่หลอกลวงที่สุดเท่านั้นเอง
แม้คนเราเดี๋ยวนี้นะ คนเราเดี๋ยวนี้มันก็ยังรู้สึกอะไรไม่ ไม่ผิดจากคนป่าเท่าไร อาจจะรู้สึกเผลอไปว่า หุ่นยนต์ที่ดี ๆ กลายเป็นมีชีวิตไปก็ได้
เราอาจจะมองเห็นในรูปภาพ เห็นรูปภาพที่เขียนดีที่สุดกลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตจิตใจ หรือว่ามีอัตตาขึ้นมาในรูปภาพ เราอาจจะรักรูปภาพอย่างชีวิตจิตใจ เราอาจจะกลัว กลัวรูปภาพอย่างยิ่ง เหมือนกับเด็ก ๆ กลัวรูปเสือ กลัวรูปอะไรต่าง ๆ ที่มันน่ากลัว ในกระดาษเท่านั้นเอง
แม้คนโต ๆ นี้นะ เอากระดาษมา เอาสีมา พยายามเขียนอย่างดี เป็นรูปสัตว์ที่น่ากลัว เป็นรูปยักษ์ที่น่ากลัว จิตมันก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว มันไม่ใช่กระดาษ มันไม่ใช่สีเหมือนกันนะ มันมีความหมายอะไรเป็นตัวตนขึ้นมาในภาพในกระดาษนะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันรู้สึกกลัวไม่ได้ โดยภาพที่เขียนขึ้นมาเอง แล้วก็หลอกตัวเองให้กลัว
ได้ยินว่าในเมืองไทยนี่เอง ก็มีคนซื้อภาพโมนาลิซ่ามาไว้ดู มาไว้เพ่ง มาไว้ดู อย่างว่ามันมีชีวิตหรือตัวตน ภาพแท้ ๆ นั้นนะ
เมื่อมันเป็นได้ถึงอย่างนี้แล้ว ทำไมไอ้คนป่าเขาจะไม่เห็นว่าสิ่งที่แปลกประหลาดนั้นนะ มีชีวิตมีตัวตน คนป่าก็จะมีความคิดว่าดวงอาทิตย์นั้นมันมีชีวิต มีตัวตน ดวงจันทร์มีชีวิต มีตัวตน พายุ ลมที่ร้ายกาจก็มีชีวิตเป็นตัวตน กระทั่งเห็นต้นไม้บางชนิดมีชีวิต มีตัวตน ถ้ามีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้นในต้นไม้ บูชาต้นไม้ บูชาจอมปลวก บูชาภูเขา บูชาอะไรต่าง ๆ นี้ ความคิดว่าเป็นตัวตนมันเกิดได้ง่าย เกิดได้อย่างยิ่ง เกิดได้อย่างโง่เขลาที่สุดนะ
ในทุ่งนา เขาคิดว่ามันมีสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระเจ้า เป็นพระเจ้าแห่งข้าว แห่งต้นข้าว ก็บูชาพระเจ้า เพื่อให้ต้นข้าวในนามันงาม อย่างนี้มันมีมาแต่โบร่ำโบราณ เป็น Concept ที่หลอกลวง แต่มันก็มีอิทธิพลเหลือประมาณ มีอิทธิพลทำให้คนมีไอ้ความรู้สึกเป็นบวก เป็นลบ เป็นสุข เป็นทุกข์อะไรได้ แต่อย่าทำเล่นกับอัตตา อัตตาที่เป็นเพียงความรู้สึกที่หลอกลวง
รวมความว่า ตามธรรมชาตินะ เราก็เอาสิ่งที่เคลื่อนไหวได้ กระดุกกระดิกได้ เคลื่อนไหวได้นี้ว่าเป็นชีวิตหรือเป็นอัตตา ต่อมาเอาสิ่งที่รู้สึก คิดนึกได้นี่ คือจิตว่าเป็นอัตตา ต่อมาเราก็เอาสิ่งที่ไม่รู้จักว่าอะไร ที่มันเข้าใจไม่ได้ ว่าเป็นอัตตา ดูความหลอกลวงของสิ่งที่เรียกว่าชีวิต ว่าจิต ว่าอัตตาให้ดี ๆ จะเข้าใจเรื่องธรรมะได้ง่าย
เมื่อจิตนี้มันโง่ มันโง่ มันเต็มไปด้วยความโง่ในเรื่องอัตตา อัตตา มันก็มีกิเลสนานาชนิด มีการคิดผิด เห็นผิดนานาชนิด มันก็กัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันก็กลายเป็นกัดเจ้าของ ถ้าพูดให้ชัดก็ว่ามันกัดตัวมันเอง มันกัดตัวมันเอง มันกัดเจ้าของ มันจะมีเจ้าของได้อย่างไร คิดดู แม้แต่ตัวมันเองมันยังไม่มี แล้วมันจะมีเจ้าของได้อย่างไร ฉะนั้นไอ้ความรู้สึกที่คิดว่ามีเจ้าของนะ หรือมีตัวเองนี้ มันเป็นอวิชชา อวิชชาอย่างยิ่ง แล้วอวิชชานะจะเป็นตัวกัด คอยกัดตัวความโง่ที่สร้างอวิชชาขึ้นมา นี่เรียกว่ามันกัดเจ้าของหรือกัดตัวเอง ซึ่งล้วนแต่เป็นมายา มายา ไม่มีตัวชีวิตนะ
เมื่อจิตไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง มีแต่ความรู้ผิด ๆ แล้วก็มีสิ่งที่กัดเจ้าของ คือกัดตัวจิตนั่นเองแหละ แต่ถ้ามันเกิดมีความรู้ที่ถูกต้องชัดเจน ถูกต้องจริง ๆ ขึ้นมา มันเป็นคนละจิตกันแล้ว มันเป็นจิตชนิดตรงกันข้ามกันเสียแล้ว จิตชนิดนี้นะ คือมีความรู้ที่ถูกต้องถึงที่สุดนี้ ไม่กัดเจ้าของ
สรุปสั้น ๆ ว่า จิตที่โง่ ไม่มีความรู้ มันกัดตัวเอง จิตที่ฉลาดรู้ถึงที่สุด มีปัญญาถึงที่สุดจริง ๆ นะ ไม่กัดตัวเอง
เราอยากจะให้อุปมา หรือเปรียบเทียบ ตั้งชื่อกันใหม่ ว่าอย่างนี้ จิตที่เป็นเหมือนกับเพชร Diamond Mind ขึ้นมา จิตที่เป็นเพชรขึ้นมา
ท่านทั้งหลายก็เคยรู้เรื่องเพชร หรือเคยได้ยิน ได้อ่าน ได้ศึกษาว่า เพชรนี้มันแข็งที่สุดนะ ไม่มีอะไรจะมาตัดเพชร หรือขูดเพชร เพชรนี่มันแข็งจนไม่มีอะไรมาตัด แต่ว่าเพชรนั่นแหละอาจจะตัดสิ่งอื่น ๆ ได้ ใช้เป็นเครื่องตัดสิ่งอื่น ๆ ได้ แต่เพชรนี่ไม่มีอะไรจะมาตัดมันได้ แต่ว่ามันตัดสิ่งอื่นได้ ขอให้เป็นอย่างนี้
คือจิตจะเป็นจิตเพชรขึ้นมาได้ เราต้องมีความรู้ถึงที่สุด แต่ความรู้ที่สูงสุดจนถึงที่สุดก็คือความรู้เรื่อง อตัมมยตา ซึ่งจะพูดกันวันนี้ จิตที่มีความรู้เรื่อง อตัมมยตา เต็มที่สมบูรณ์ จน อตัมมยตา กลายเป็นคุณสมบัติของจิตไปแล้ว นี้ก็เรียกว่าจิตเพชร
เราพูดกันมาแล้ววันก่อนว่า หญิงสาวคนใดมี อตัมมยตา ในใจ ผู้ชายเกี้ยวไม่สำเร็จ เอาตัวไปไม่ได้ นี้เราก็จะเรียกได้ว่า หญิงสาวคนนั้นมีจิตเป็นเพชร ชายหนุ่มคนไหนมี อตัมมยตา หญิงสาวทั้งฝูงก็หลอกเอาชายหนุ่มคนนี้ไปไม่ได้
จิตประกอบด้วยความรู้เรื่อง อตัมมยตา ก็จะมีลักษณะเป็นจิตเพชร ฉะนั้นขอให้สนใจฟัง สนใจทำความเข้าใจ ให้รู้จัก ให้เข้าใจ ให้มีอยู่ในใจ คือ อตัมมยตา
แล้วคำว่า ตา ตา ในภาษาบาลีนี้มีความหมายได้หลายอย่าง อันหนึ่งก็หมายถึงลักษณะที่เป็นอย่างนั้นก็ได้ ลักษณะที่เป็น อตัมมยตา คืออะไร ๆ มา มาปรุงแต่งไม่ได้ มีลักษณะอย่างนั้นก็เรียกว่ามี อตัมมยตา หรือเป็น อตัมมยตา มีลักษณะของความที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ ทีนี้มันเป็นภาวะเป็นตัวภาวะเสียเลยก็ได้ Say ว่า being เสียเลยก็ได้ มันยิ่งกว่าลักษณะ ก็ได้ อตัมมยตา เป็นภาวะของจิตก็ได้ คือมันเป็นความรู้ เป็นความรู้ เป็นญาณ เป็นความรู้อันสูงสุดก็ได้ สิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา นี้ ก็หมายถึงตัวความรู้อันสูงสุดก็ได้ หรือจะหมายถึงอำนาจ อำนาจ อิทธิพลอันสูงสุดนะ ของมันก็ได้ มันก็เพชร มันก็มีความแข็ง อตัมมยตา หมายถึงอำนาจที่จะขจัดไอ้สิ่งที่เป็นความโง่ เป็นความหลงอะไรก็ได้ เรียกว่ามันมีอำนาจ หมายถึงตัวอำนาจก็เรียกว่า อตัมมยตา ก็ได้
ในที่สุดก็มาเป็นวิหารธรรม ธรรมะเครื่องอยู่ของจิต จิตอยู่ด้วยความรู้อันนี้ เรียกว่าวิหารธรรม มีอาการประจำจิต อย่างว่าสาวคนนี้มี อตัมมยตา เป็นวิหารธรรมอยู่ตลอดเวลา หญิงสาวคนนี้ก็ไม่มีชายหนุ่มคนไหนมาเกี้ยวไปได้ เพราะเขามี อตัมมยตา เป็นวิหารธรรม คำว่า วิหาระ วิหาระ นี่ มันแปลว่า ธรรมะเป็นเครื่องอยู่ นั่นหมายความว่า เป็นที่อยู่ของจิต เป็นบ้านเรือนของจิต เหมือนกับเป็นที่อยู่ เป็นเครื่องอยู่ เป็นการอยู่ของจิต เรียกว่าวิหารธรรม
เดี๋ยวนี้จิตที่มี อตัมมยตา จะมีลักษณะเป็นจิตเพชร ไม่ถูกกัดโดยสิ่งใด ไม่อาจจะถูกกัดโดยสิ่งใด หรือไม่อาจจะกัดตัวมันเอง เพราะมันมีความรู้ถึงที่สุด จึงอยากจะให้ทุกคนมี อตัมมยตา นี้ เป็นวิหารธรรม เป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นที่อยู่ที่อาศัยของจิต
ทีนี้เราต้องมาศึกษาความหมายของคำว่า อตัมมยตา กันให้ถึงที่สุด แม้มันจะกินเวลามากก็ขอให้สละเถอะ ยอมใช้เวลาไปศึกษาให้เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา เราจะพยายามทำให้คำพูดคำนี้มาอยู่ในภาษาพูดนะ Vocabulary ของมนุษย์ที่พูดจากันอยู่นี่ให้จนได้
ในภาษาบาลี ในพระไตรปิฎกมีมากละ คำพูดคำนี้ แต่ว่ากลับไม่เป็นที่รู้จักแก่พุทธบริษัทชาวไทย เพราะว่าเขาไปแปลไปเสียเป็นคำไปก็ไม่รู้ ไม่ได้ใช้คำว่า อตัมมยตา แล้วคำแปลนั้นก็ไม่ถูกด้วย ไม่ถูกตามความหมายด้วย เลย อตัมมยตา ก็ไม่มีในคำที่จะใช้พูดจาในประเทศไทย ถูกแล้วคำว่า อตัมมยตา จะไม่มีใน English Dictionary ไม่มี มีไม่ได้ แต่ว่าคำแปลของมันก็ยังไม่มี เป็นอันค้นพบ ability มันมีไหม ใน Dictionary ที่ใช้กันอยู่ในโลก เพราะมันไม่รู้เรื่องนี้ มันก็ไม่มีคำนี้ในปทานุกรม มันน่าหัวไหม ไอ้คำที่สูงสุด มีประโยชน์ที่สุด มีค่าที่สุด แต่ยังไม่มีใน Dictionary ของมนุษย์ทั่วไป บางทีเราก็จนปัญญาที่จะอธิบายโดยคำพูด โดยคำพูด เราจึงต้องขอร้องให้ท่านดูเอาเอง รู้จักมันเอง เช่นคำที่ขอร้องว่า มีสาวคนไหนมี อตัมมยตา ผู้ชายเกี้ยวไม่สำเร็จ แล้วคุณก็ดูเอาเองซิ ดูเอาเองสิว่า อตัมมยตา ที่มีอยู่ในจิตใจของหญิงสาวคนนั้นนะ มันคืออะไรกันแน่ ศึกษาเอาเองนะจะรู้ ถูกต้องที่สุด และจริงที่สุด คำพูดของชายหนุ่มนั้นนะไม่สามารถจะ Expect ต่อจิตใจของหญิงสาวที่มี อตัมมยตา เรียกว่ามันปรุงแต่งไม่ได้ Concoct ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ สิ่งนั้นนะ มันคืออะไร มันพูดยาก มันอธิบายยาก แต่อาจจะรู้สึกได้โดยความรู้สึกของตัวเอง คำพูดไม่สามารถจะให้เกิดความรู้สึก หรือเกิดความหมายเป็นบวกหรือเป็นลบก็ตาม แก่จิตใจที่มี อตัมมยตา
ตัวหนังสือ โดยตัวหนังสือ ว่า อตัมมยตา นี้นะ มันก็แปลว่า อะไร อะไร มาปรุงแต่งไม่ได้ คือจะพูดอย่างวัตถุมันก็ไม่เป็น Product ของสิ่งใด หรือการกระทำใด ๆ เช่น มัน มันไม่อาจจะถูก Produce ขึ้นมาโดยวิธีการใด ๆ นั้นนะความหมายของคำว่า อตัมมยตา
ท่านคิดว่ามันดีเกินไปไหม ท่านอาจจะคิดว่าไม่ต้องการ ฉันไม่ต้องการ หรือว่าฉันยังต้องการให้ถูกกล่อม เกลี้ยกล่อมไป โดยอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย คืออยากจะเป็นคนธรรมดา ถ้ามี อตัมมยตา มัน มัน มันเกินธรรมดา มันเหนือความเป็นธรรมดา บางท่านอาจจะไม่พอใจก็ได้ ถ้าท่านคิดอย่างนั้น อาตมาก็จะบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าไม่มี อตัมมยตา ชีวิตของท่านก็จะกัดตัวเอง ชีวิตของท่านก็จะกัดตัวเอง ถ้าท่านเห็นว่า อตัมมยตา ไม่มีประโยชน์ ไม่มาเกี่ยวข้องกับเรา
ทีนี้นอกจากจะมองว่าไม่มีอะไร Concoct ได้ นี้อย่างหนึ่ง ยังจะต้องมองให้เห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะมาจับตัวเอาไว้ได้ ไม่มีอะไรที่จะจับยึดเอาไว้ได้ มากักขังไว้ที่นี่ได้ ถ้าเราไม่มี อตัมมยตา นี้นะ จิตมันจะถูกจับไปขังไว้ในคุกแห่งความโง่ ความหลงว่าเป็นบวก เป็นลบ เรียกว่าไอ้สิ่งแวดล้อมต่าง ๆ จะจับยึดจิตของท่านเอาไปยึดครอง ถ้ามี อตัมมยตา ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจะมาจับยึดจิตของท่านไปกักไว้ ไปขังไว้ นี่ประโยชน์ของ อตัมมยตา
ไม่มีรสอร่อยใด ๆ ในโลกที่จะมาจับยึดจิตใจของผู้มี อตัมมยตา รสอร่อยทุกอย่าง ทุกชนิด จะเป็นอย่างธรรมดา อย่างสวรรค์ อย่างพิเศษอะไรก็ตาม รสอร่อยใด ๆ ไม่สามารถจับยึด ยึดครองจิตใจ ของผู้มี อตัมมยตา เราก็มีเสรีภาพเต็มที่
พูดให้สั้น ๆ ที่สุด หยาบคายสักหน่อย ว่าไม่ต้องเที่ยวไปรอบ ๆ โลกเพื่อหาสิ่งอร่อย มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงหรือไม่ คิดดู มันกำลังเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในโลกนี้หรือไม่ ผู้ที่ไม่มี อตัมมยตา เที่ยวแสวงหาสิ่งอร่อย มันคล้ายว่าชีวิตนี้มันต้องการแต่สิ่งเหล่านั้น มันอุตส่าห์ทำงาน อุตส่าห์หาเงิน แล้วเที่ยวหาสิ่งอร่อยทั่ว ๆ โลก ประเทศไทยนี้ก็เป็นแหล่งอันหนึ่งนะ ที่คนเหล่านั้นจะมาแสวงหาสิ่งที่อร่อย แล้วก็ต้องพูดด้วยประโยคที่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ว่า จะอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวก ความเป็นลบของทุกสิ่งในโลก โลกนี้ไม่มีอะไรนอกจากความเป็นบวก และความเป็นลบ จะเหนืออิทธิพลของทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก ที่อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกหรือความเป็นลบ นี่ประโยชน์สูงสุดของ อตัมมยตา
ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ จะไม่มีการดีใจหรือการเสียใจ ไม่ต้องมีหัวเราะหรือร้องไห้อีกต่อไป ไม่มีความเป็นผู้แพ้ ไม่มีความเป็นผู้ชนะ ไม่มีความเป็นผู้กำไรหรือขาดทุน ไม่เป็นผู้ได้หรือผู้เสีย คิดดูให้ดี มันจะ มันจะมีค่าสักเท่าไรหรือจะใช้ประโยชน์ได้อย่างไร แต่ถ้ายังชอบหัวเราะ ชอบดีใจ ชอบชนะ ชอบกำไร ชอบอะไรอยู่อย่างนี้ มันก็ช่วยไม่ได้ละ เขาจะไม่ชอบ อตัมมยตา
เราหลงความเป็นบวกในโลกนี้ จนเหมือนกับคนเป็นบ้า แต่เราก็พ่ายแพ้แก่ความเป็นลบ รู้สึกต่อความเป็นลบ ความสูญเสีย ความไม่ได้ จนเป็นทุกข์ นี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ไม่ต้องถูกครอบงำโดยความเป็นบวก และความเป็นลบใด ๆ นั้นแหละ เรียกว่าอยู่เหนือโลก เหนือโลก เหนืออิทธิพลของทุกสิ่งที่มีอยู่ในโลก
ท่านจะเห็นได้แล้วว่า เราไม่อาจจะ เราไม่อาจจะ Require ในสิ่งที่ท่านให้แก่คำว่า อตัมมยตา โดยคำพูดสั้น ๆ จึงต้องขอร้องให้ท่านทั้งหลายดูเอาเองโดยสิ่งแวดล้อม แวดล้อมรอบ ๆ อตัมมยตา แล้วท่านจะรู้จัก อตัมมยตา โดยการกระทำอย่างนั้น
ยังจะต้องขอใช้อุปมาว่า อตัมมยตา เหมือนกับเพชร แข็งที่สุดตัดได้ทุกสิ่ง แต่ไม่มีอะไรมาตัดเพชร ใคร่ครวญดูเอาเองตามไอ้ความหมายนี้ ความหมายนี้ แล้วก็ไป Require ไอ้ความหมายเอาเองว่ามันคืออะไร
ทีนี้ก็มาถึงตอนที่เราจะศึกษากันว่า เราจะมี อตัมมยตา ได้อย่างไร อตัมมยตา เป็น ถ้าเป็นความรู้ก็เป็นความรู้สูงสุด ถ้าเป็นภาวะ เป็น State of being ก็เป็นสูงสุด ถ้าว่าจะเป็นสิ่งที่มีอำนาจ มีอิทธิพล ก็มีอำนาจ มีอิทธิพลสูงสุดนะ แล้วมีค่าที่จะเอามาไว้เป็นทรัพย์สมบัติ เป็นทรัพย์สมบัติของจิตใจ เหมือนในโลกนี้นะเขามีเพชรเป็นทรัพย์สมบัติ เป็นยอดของทรัพย์สมบัติ แต่ทางจิตทางวิญญาณเราก็มีเพชรทางวิญญาณ คือ อตัมมยตา นี้ มันเป็นสิ่งสูงสุด เป็นความรู้สูงสุด เพราะต้องมีไอ้ความรู้ที่ต่ำกว่าที่เป็นเบื้องต้น แล้วจึงจะเป็นบันไดขึ้นไปสู่ความรู้สูงสุดนั้นนะ นี้เราจะต้องศึกษากันแล้ว
มีสิ่งที่เรียกว่า ความรู้ ความรู้โดยทั่วไป แต่มันมีหลายชั้น ไอ้ความรู้ ความรู้นี้ เรียนเอาในหนังสือในโรงเรียนนี้ก็ได้ ความรู้นี้ไม่พอ ไอ้ความรู้ที่รู้ก็มาจากการใช้เหตุผลรอบด้านสรุปออกมาเป็นตัว Conclusion ใด ๆ นี้ก็เป็นความรู้ที่ดีกว่า เหนือกว่า แต่แล้วมันยังไม่ดีเท่าว่าไอ้ความรู้ที่ว่า มันรู้สึกอยู่ในใจ มัน Real-life อยู่ในใจ หลังจากที่เราได้ประพฤติกระทำสิ่งเหล่านั้นครบถ้วนแล้ว นั่นคือที่เรียกว่าความรู้ ความรู้มันมีอยู่หลายชั้นอย่างนี้ แต่ในภาษาบาลีก็มีอย่างนี้ ภาษาธรรมดาทั่วไปก็มีอย่างนี้ มันเป็นความรู้หลายชั้น หลายชั้น ไอ้ความรู้ที่สูงสุดนั้นเป็นความรู้ที่เราได้ผ่านสิ่งเหล่านั้นไปแล้ว มันเป็น Spiritual Experience อย่างยิ่งนั่นแหละ ความรู้นั้นละเราต้องการ ฉะนั้นขอให้ท่านพยายามทำให้มีความรู้ในระดับนี้ต่อสิ่งทั้งปวง ต่อสิ่งทั้งปวง
จำง่าย ๆ ก็ว่าเรารับมาจากข้างนอก คือฟังดี ๆ รับมาจากข้างนอก เข้ามาอยู่ข้างในก็ทำการย่อย ๆ ด้วย Reasoning ด้วยโยนิโสมนสิการนะ ทำการคิดนึก ใคร่ครวญ พิสูจน์ ทดลองอะไรนี้ หลังจากนั้นก็ไม่มีความรู้ตามที่เป็นจริง ใช้คำว่าความรู้ตามที่เป็นจริง ที่มันเป็นอยู่อย่างไรตามธรรมชาติ เช่น ขอให้ทำทั้ง ๓ ขั้นตอนนี้นะ ฟังจากข้างนอก มา Reasoning ข้างใน แล้ว Real-life ไอ้สิ่งเหล่านั้น ตามขั้นตอนอย่างนี้
อตัมมยตา เป็นความรู้สูงสุด มันก็มีความรู้ที่เป็นขั้นบันไดที่จะไต่ไปหาความรู้อันสูงสุด ๘ ขั้น ที่จริงอาจจะพูดเป็นอย่างอื่นก็ได้ จัดเป็นอย่างอื่นก็ได้ แต่เห็นว่าเพื่อให้เข้าใจง่ายแก่ท่านทั้งหลาย ขอมีความรู้ในขั้นบันไดนี้ ๘ ขั้น ก็รวมเป็น ๙ ทั้ง อตัมมยตา เอง เราจะต้องมีความรู้ ๘ แล้วก็ลำดับไปขั้นสุดท้ายก็ อันดับที่ ๙ ที่จะใช้คำว่า ตา ตา ตานี้ ยังมีถึง ๙ ตา
อันแรกที่สุดเราเรียกมันว่า อนิจจตา อนิจจตา ความที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อยของสิ่งทั้งปวงในโลก ขึ้นชื่อเป็นของธรรมดาในโลกมีความเปลี่ยนแปลงเรื่อย ถ้าเห็นสิ่งนี้เรียกว่าเห็น อนิจจตา คือความไม่เที่ยง หรือความเปลี่ยนแปลงเรื่อย ทั้งนี้เพราะว่าทุกสิ่งในโลก ในโลกนะ ที่มันเกี่ยวข้องกับเรานี่ มันมีปัจจัย มีเหตุ มีปัจจัย ซึ่งมันเปลี่ยนแปลงเรื่อย เพราะฉะนั้นมันจึงมีการเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ตามปัจจัย มันต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ตามปัจจัย ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อย นี้เรียกว่าเห็น อนิจจตา คือความไม่เที่ยง ตัวหนังสือแปลว่า ไม่เที่ยง ไม่คงที่ เขาเปลี่ยนแปลงเรื่อย
เมื่อเหตุปัจจัยหรือของ ๒ สิ่งมา มา มา มาถึงกันเข้า ย่อมทำให้เกิดสิ่งใหม่ นี่ท่าน ท่านดูให้ดี ๆ เถอะ เมื่อเหตุปัจจัย หรือสิ่งมูลฐาน หรืออะไรก็ตามสองสิ่งมาพบกันเข้า ย่อมจะเกิดสิ่งใหม่ นี้มันมีอาการอย่างนี้อยู่เรื่อยไป มันก็มีการเกิดสิ่งใหม่อยู่เรื่อยไป เมื่อความเป็นบวกกับความเป็นลบมาถึงกันเข้า ย่อมเกิด Energy อันใหม่เสมอไป เมื่อความเป็นหญิงกับเป็นชาย เพศผู้ เพศเมียมาถึงกันเข้าก็ย่อมเกิดสิ่งใหม่ เมื่อของ ๒ สิ่งมาถึงกันเข้าย่อมเกิดสิ่งใหม่ในลักษณะอย่างนี้
อนิจจตา ก็คือกระแสแห่งวิวัฒนาการ Revolution นั่นเอง ท่านต้องดูให้เห็นเถอะว่า กระแสแห่งวิวัฒนาการตั้งแต่ต้นจนปลาย จนไม่รู้จักจบนะ มันก็คือกระแสแห่ง อนิจจตา นั่นเอง ถ้าไม่มี อนิจจตา ก็ไม่มีวิวัฒนาการ ท่านก็ได้ศึกษากันมาพอสมควรแล้วในเรื่องชีววิทยา หรือวิทยาศาสตร์แขนงอื่น ๆ ท่านก็จะเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี
ทีนี้มันก็มีผลทำให้เกิดสิ่งแปลก สิ่งใหม่ ไม่ซ้ำซาก ถ้ามันมีแต่สิ่งเดียวซ้ำซากเราก็เบื่อตาย นี่ขอบคุณ อนิจจตา ที่ทำให้เกิดสิ่งใหม่ สิ่งใหม่เรื่อยไป
สิ่งที่เราเรียกว่าความอร่อย ๆ นั้นแหละคือความหลอกลวงของ อนิจจตา เราไม่อาจจะกินสิ่งเดียว ไม่อาจจะกินสิ่งเดียว ถ้าเรากินอยู่สิ่งเดียวแล้วจะอร่อยเท่าไร มันก็หมดความอร่อย เพราะการที่เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนเรื่อย เปลี่ยนอาหารเรื่อย นั้นแหละมันเป็นไอ้ความหลอกลวงของ อนิจจตา คือความอร่อย
ขอยกตัวอย่างที่อาจจะน่าหัว ไอ้ Cream Cracker ที่ปิ้งเมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว มันมีรสอร่อยกว่า Cream Cracker ปัจจุบันนี้ มันเป็นความเปลี่ยนของ Cream Cracker หรือว่ามันเป็นความเปลี่ยนแห่งระบบประสาทของเรา ใครบอกได้ เราจะเห็นได้ชัดว่า ไอ้ Cream Cracker เดี๋ยวนี้มันเลวกว่าไอ้ Cream Cracker เมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว นี่มันเป็นความเปลี่ยนของอะไร มันเป็น อนิจจตา ของอะไร อนิจจตา นี้ให้รสที่แปลก ๆ เรื่อย นี่ไปดูเอาเองเถอะ แล้วจะเข้าใจ อนิจจตา ความที่มันเปลี่ยนแปลง ไม่มีหยุด ไม่มีหย่อน นี่มันเป็นความเปลี่ยนแปลงของสิ่งที่เรากิน หรือมันเป็นความเปลี่ยนแปลงของระบบประสาทที่ลิ้น ขอให้ดูให้ดี ๆ แล้วจะเข้าใจ ความเป็น อนิจจตา ทั้งแง่บวก ทั้งแง่ลบ ทั้งฝ่ายนั้น ทั้งฝ่ายนี้ พอเราไม่รู้เรื่องนี้เราก็โง่ เราก็โง่ เราก็ยินดี เราก็ยินร้าย ความเป็นบวก เป็นลบมันก็เกิดขึ้น แต่มันก็เป็นความจริงอยู่เหมือนกันนะ คือว่า Cream Cracker ที่ทำที่ประเทศอังกฤษเมื่อ ๖๐ ปีมาแล้ว กับ Cream Cracker เดี๋ยวนี้ ที่ทำที่ประเทศมาเลเซียนี้ มันไม่เหมือนกันจริง ๆ แม้ว่าฉลากและกระป๋องมันยังเหมือนกันอยู่นะ
อนิจจตา มันอยู่ที่ตรงไหน ความไม่เที่ยงนะมันอยู่ที่ตรงไหน ถ้าเราถูกหลอกด้วยการหลอกอันนี้ ชีวิตมันจะกัดเจ้าของนะ ชีวิตมันจะกัดตัวเอง เราอย่าให้ถูกหลอกโดย อนิจจตา ชีวิตจะไม่กัดเจ้าของ
ทีนี้ก็มาถึงไอ้ตาที่สอง คือ ทุกขตา ความเป็นทุกข์ ความทรมาน ความหมายแห่ง Tormentingทั้งหลายนี้ เรียกว่า ความเป็นทุกข์ เพราะว่าเราต้องอยู่กับ ต้องเกี่ยวข้องกับ ต้องสมาคมกับสิ่งที่เป็น อนิจจตา หรือสิ่งที่ไม่เที่ยง เราต้องไปเกี่ยวข้องกับมัน ไป Social กับมัน มันก็เกิดอาการอย่างนี้ขึ้นมา เพราะมันเปลี่ยนเรื่อยนี่ เราไม่อยาก ไม่ต้องการให้มันเปลี่ยน การต่อสู้กันมันก็เกิดขึ้น นี่ก็คืออาการที่เรียกว่าเป็นทุกข์
ถ้าเราต้องอยู่กับ เกี่ยวข้องกับ สมาคมกับไอ้สิ่งที่ไม่เที่ยง แม้สิ่งที่เรียกว่าความเป็นทุกข์ก็เกิดขึ้น ดูให้ดี ๆ มันอยู่ใกล้นิดเดียว เห็นได้ง่าย เพราะเราต้องอยู่กับสิ่งที่ไม่เที่ยง อาการที่ทรมานมันก็เกิดขึ้น เพราะเราต้องอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นทรัพย์สมบัติของเรา เป็นเกียรติยศชื่อเสียงของเรา อำนาจวาสนาของเรา แม้ว่าเราจะต้องอยู่กับภรรยา สามีของเรา ซึ่งล้วนแต่มันเปลี่ยนเรื่อย อาการที่เป็นของทรมาน หรือ ทุกขตา มันก็เกิดขึ้น สิ่งที่เรารับ เรา Attach อยู่ มันเปลี่ยนเรื่อย มันเปลี่ยนเรื่อย นั้นนะคือต้นเหตุที่ให้เกิด ทุกขตา
ความหมายที่สำคัญก็คือสิ่งที่ต้องทน ต้องทนกระทำกับมัน ไอ้สิ่งที่เรารัก เราก็ต้องมีการทนนะ ถึงจะไปเกี่ยวข้องกับมัน อยู่กับมัน ต้องมีความทนชนิดหนึ่งที่อยู่กับสิ่งที่เรารัก ยิ่งถ้าสิ่งที่เราเกลียด เรายิ่งต้องทนมากเหลือเกิน จะเป็นความสุขก็ต้องทน จะเป็นความทุกข์ก็ต้องทน ฉะนั้นการอยู่กับสิ่งที่ต้องทนนั่นแหละมันคือความเป็นทุกข์
เมื่อเราหัวเราะ หรือเราได้รับความดีใจ พอใจ ความเต้นแห่งหัวใจก็เปลี่ยนแปลงเหลือประมาณ Heart Pressure ก็เปลี่ยนแปลงเหลือประมาณ มันมีการต้องทนอยู่ในนั้น แม้ในแง่ Positive มันก็ต้องทน แล้วในแง่ Negative มันยิ่งไปกว่านั้น แล้วก็ทนยาก ทนยากอย่างยิ่ง Positive นี้ทนสนุก Negative มันทนยาก ทนเป็นทุกข์ แต่มันก็มีความต้องทน เพราะฉะนั้นต้องมีความเป็นทุกข์ที่อยู่ในสิ่งที่เราต้องอยู่กับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อยไป
ความรักมันก็ต้องทน ความเกลียดก็ต้องทน ความโกรธก็ต้องทน ความกลัวก็ต้องทน ไอ้ความ ตื่นเต้นก็ต้องทน มันล้วนแต่ต้องด้วยกันทั้งนั้น ความที่ต้องทนนี้คือสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ ไอ้ประเภท Positive นั่น มันมีของล่อ ของหลอก ให้เราสมัครทน เช่น เหมือนที่เอาแยมทาหน้าขนมนี้ มันก็หลอกให้กินมาก ๆ เรา เราเคยโง่ หรือว่าเราจึงโง่รับความทุกข์ รับความทุกข์ คือเอาความทุกข์ ที่ทนสนุก เช่น กามารมณ์ เป็นต้น เลยต้องทนเหลือประมาณ แต่เราก็ชอบ เราก็รัก ดังนั้นเราก็ไม่รู้จักไอ้ตัวความทุกข์ที่แท้จริง ไอ้สิ่งที่เรารักนั่นแหละมันกัดเรา ยิ่งรักมากยิ่งกัดมาก ยิ่งรักที่สุดก็ยิ่งกัดที่สุด นี้เราจึงชอบความทุกข์ รัก ความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว พูดแล้วก็ไม่มีใครเชื่อว่าเรารักความทุกข์ แต่โดยแท้จริงเราก็รักความทุกข์โดยไม่รู้สึกตัว
ภาษาบาลี คำนี้คือ ทุกฺข ทุกฺข นี้ นอกจากจะแปลว่าต้องทนแล้ว มันยังแปลว่า เห็นแล้วน่าเกลียด ก็ดูรู้จักแล้วก็จะน่าเกลียด จะมีความน่าเกลียด ทุกฺข จึงแปลว่า น่าเกลียดก็ได้ คือความที่ต้องทนนั่นแหละคือความน่าเกลียด แล้วก็มีคำแปลในความหมายที่สามว่า มันไม่มี มันว่างจากสิ่งที่จะเป็นสาระที่น่ารักน่าพอใจ ไม่มีส่วน หรือความหมาย หรืออะไรที่น่ารัก น่าพอใจ คำนี้ตัวหนังสือแปลว่า ว่าง ว่างอย่างน่าเกลียด ว่างอย่างน่าเกลียด มีความเป็นไอ้หลอกลวง มายา หลอกลวงอย่างน่าเกลียดที่สุด
ถ้าเรารู้จักความทุกข์อย่างแท้จริง เราจะต้องรู้มันทั้ง ๓ ความหมาย ว่ามันทรมาน แล้วมันน่าเกลียด แล้วมันว่าง ว่างเปล่าอย่างน่าเกลียด อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้จักความทุกข์โดยสมบูรณ์
ดังนั้นการแปลคำว่า ทุกขัง ว่า Suffering Suffering เฉย ๆ นี้ มันถูกเพียง ๑ ใน ๓ เป็นคำแปลที่ถูกเพียง ๑ ใน ๓ แล้วเราไม่รู้จะแปลว่าอะไร เราไม่แปลก็แล้วกัน เราเรียกว่าความทุกข์ ความทุกข์ไปตามภาษาบาลีดีกว่า
เมื่อเราไม่รู้จักความทุกข์ เราก็หลงรักความทุกข์ หลงรักความทุกข์ แล้วความทุกข์มันก็กัดเอา ความทุกข์มันก็กัดเอา เราก็มีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ เราโง่จนมีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ
ทีนี้ก็มาถึงตาที่สาม อนัตตตา อนัตตตา แปลว่า Not Self คนเราจะต้องสนใจเรื่องนี้ให้มากทีเดียว เพราะเราบังคับความไม่เที่ยงไม่ได้ เราบังคับความทุกข์ไม่ได้ เราต้องทนอยู่กับความไม่เที่ยงและความเป็นทุกข์ ถ้ามันมีความเป็นสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ มันไม่เป็นตัวเอง มันไม่รับผิดชอบตัวเอง เราจะไปบังคับมันก็ไม่ได้ เราบังคับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเราไม่ได้ แม้แต่จะบังคับจิต บังคับชีวิต ไปบังคับมันก็ยังบังคับไม่ได้ มันมิใช่อัตตา มันมิใช่ตัว Self ที่มีตัวอยู่แท้จริง มันเป็นเพียง Concept ของจิตเท่านั้น นั่นเรียกว่า อนัตตา เป็นเพียง Concept ของจิตเท่านั้น
อีกความหมายหนึ่งซึ่งสำคัญมาก อนัตตา อนัตตตา ความไม่ใช่ ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงการกระทำได้โดยอัตโนมัติของร่างกาย ของจิตใจ มันทำอะไรของมันได้ แต่ความรู้สึกเห็นเป็นว่ามันมีอัตตา คือมีตัวผู้กระทำ มี Self ผู้กระทำ อย่างเด็กเล็ก ๆ พอเปิดดูหลังนาฬิกา เห็นมันกระดุกกระดิกได้ ความรู้สึกว่าไอ้นาฬิกานี้ก็เป็นตัว Self ตัว มีอัตตาของมันนะ มีตัวตนของมัน ของมัน กระดิก กระดิกได้ มันทำอะไรได้นี้ ทีนี้ไอ้ความหลอกอันนี้ ไปเอาสิ่งที่มิใช่อัตตาเลย มาเป็นสิ่งที่เรียกว่ามีอัตตา
ฉะนั้นนามรูปที่เป็นเพียงธรรมชาติ ก็ถูกเอามาเป็นอัตตา เอาชีวิตมาเป็นอัตตา เอาความคิดมาเป็นอัตตา เอาสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติมาเป็นอัตตา
เดี๋ยวนี้ร่างกายนี้มันทำอะไรได้มากกว่านาฬิกานะ มันเดินก็ได้ มันก็กระโดดโลดเต้นก็ได้ กินอาหารก็ได้ ทำอะไรก็ได้ ร่างกายนี้มันก็ถูกเห็นเป็นอัตตา ไอ้เด็กโง่คนนี้มันก็เห็นเป็นอัตตา เรียกว่าจิตจะหมาย ยิ่งไปกันใหญ่เลย มันคิดได้ มันรู้สึกได้ มันมั่นหมายได้ มันอะไรได้ นี้มันก็ถูกเห็นว่าเป็นอัตตา อัตตามากขึ้นไปอีก ที่จริงร่างกายก็ดี จิตก็ดี มันมี มี Mechanism ของมัน ตามธรรมชาติมันอัตโนมัติ แต่ความโง่ ความไม่รู้ก็ทำให้เห็นว่ามันเป็นอัตตา
ไอ้ Nervous Sixth Sense มันทำให้เกิด Emotion ขึ้นมาได้เอง โดยไม่ต้องมีอะไรอื่นนะ มันเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้น พอมันเกิด Emotion ขึ้นมาแล้ว มันรู้สึกแก่ระบบประสาทแล้วนี่ ความโง่มันก็เกิดขึ้นมาทันทีว่า กู กูเป็นเจ้าของ Emotion เช่น ความรักเกิดขึ้นมาแล้ว ก่อนแล้ว แต่ความรู้สึก ความโง่มันก็เกิดเป็น Concept ขึ้นมาว่า กูรัก แล้วความเจ็บปวดมันเลยเกิดขึ้นแล้วที่ร่างกายนี่ ความเจ็บปวดนั้นทำให้เกิด Concept ว่า กู อัตตา กูเจ็บ อัตตาคือตัวตน หรือตัวผู้กระทำนั้นนะ เป็นผลิตผลของความโง่ เป็น Product ของความโง่ ถ้าไม่โง่จะไม่รู้สึกว่ากู กูเจ็บ กูได้ กูอร่อย กูอะไรก็ตามนะ มันจะไม่เกิด นี่คือความเป็นมายา ไม่ใช่ของจริงของสิ่งที่เรียกว่าอัตตา เป็นแต่เพียง Concept Conceptualize ที่โง่เขลาที่สุด อัตตาแท้จริง ๆ ไม่มี มีแต่อัตตาที่ปรุงขึ้นมาด้วยความโง่ เป็นความรู้สึกเท่านั้น ถ้าเห็นความจริงข้อนี้เรียกว่าเห็นอนัตตา
เมื่อเราบอกท่านทั้งหลายว่า Doer Doer มาหลัง Doing มาทีหลัง Doing ท่านก็ไม่เชื่อ ไอ้ลูกเด็ก ๆ มันก็ไม่เชื่อ มันต้องมี Doer มันจึงจะมี Doing แต่เดี๋ยวนี้ความจริงมันว่าไอ้ Doer มันเกิดออกมาจาก Doing เพราะ Doer มันไม่มีตัวตนอันจริง มันเป็นเพียงปฏิกิริยาของ Doing ถ้าเข้าใจข้อนี้ จะเข้าใจว่าอนัตตาคืออะไร แล้วมันไม่ Illogic ละ Doer มาจาก Doing นี่ ถ้าเห็นแล้วก็จะรู้ว่าเป็นความจริง แล้วท่านก็จะเข้าใจอนัตตา ไม่มีตัวตนอันแท้จริง เป็นเพียงความหลอกลวง เป็น Concept ที่หลอกลวง เป็นตัวกูผู้กระทำ ผู้รู้สึก ผู้ได้ ผู้ขาดทุน ผู้ ๆ ๆ ต่าง ๆ นี้ อัตตานี้เป็นของมายา มาจากการกระทำที่มันเกิดขึ้นแล้วแก่นามรูป แก่ร่างกาย แก่จิตใจ เห็นอนัตตากันอย่างนี้ Doer เกิดจาก Doing
เมื่อเด็ก ๆ เขาเดินไปชนเก้าอี้หรือชนเสานี่ เขารู้สึกเจ็บ เมื่อมีความรู้สึกเจ็บละ จึงจะเกิดไอ้ความโง่ว่า กูเจ็บ ก่อนนี้เด็ก ๆ ไม่มีความรู้สึกตัวกู พอเขาไปเจ็บ เขาไปโดนเสา โดนไอ้คำว่ากูเจ็บขึ้นมา ไอ้กูหรืออัตตานี้เป็น Product ของไอ้ความเจ็บ ปรุงขึ้นมา นี่เราเห็นไอ้ความจริงข้อนี้แหละ ว่าไอ้ตัวกู ตัวกูมิได้เกิดอยู่ก่อน มิได้เกิดอยู่ตามปกติ มันจะเกิดต่อเมื่อมันมีอะไรแก่ระบบความรู้สึก ระบบประสาท แล้วความรู้สึกนั่นแหละมันปรุงความคิดว่าเป็นอัตตา ขอให้เข้าใจให้ดี ๆ
เมื่อมีตัวกูตัวที่หนึ่งหรือตัวกูภายใน มันก็จะเกิดตัวกูที่สองขึ้นตรงกันข้าม คือศัตรูของกู ข้าศึกของกู เกิดตัวตนขึ้นมาอีกตัวอย่างลม ๆ แล้ง ๆ เด็กเขาก็เตะเสา เตะเก้าอี้นี่ ตัวกู ตัวกูโน้น ตัวกูฝ่ายโน้นที่มาทำกับตัวกูฝ่ายนี้ นี่ความโง่มันเป็นไปได้มากอย่างนี้
แล้วมันยังโง่ไกลไปอีก จนให้เกิดตัวกูแก่สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจ บางทีท่านอาจจะขว้างแก้วน้ำแตก ขว้างจาน ชาม แตก เพราะมันไม่ถูกใจท่าน ไปลงโทษไอ้ตัวกูข้างนอกนี่ ไปทำร้ายไอ้สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจเลย ตัวกูที่โง่ที่สุด มันมีได้ถึงอย่างนี้
เมื่อใดท่านเตะรถยนต์ของท่าน แล้วเมื่อนั้นละ ความโง่ถึงที่สุดเรื่องตัวกู
เรื่องอนัตตาก็มีใจความอย่างนี้ เราพูดได้เพียง ๓ ตา เวลามันหมดแล้ว ต้องขอยุติไว้พูดวันหลัง ไอ้ตาต่อไป วันนี้ขอยุติการบรรยาย
ขอบคุณที่ฟัง เป็นผู้ฟังที่อดทน
เป็นทุกข์หรือไม่ดูเอาเอง ความอดทน
ปิดประชุมแล้ว ปิดประชุม