แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้เราจะได้พูดกันต่อไปถึงเรื่อง ชีวิตที่กัดเจ้าของ ซึ่งยังไม่จบ
เรามาดูแผลที่เต็มไปทั้งตัว ที่ชีวิตนะมันกัดเจ้าของ เมื่อท่านเห็นสัตว์ตัวหนึ่ง เช่น สุนัข เป็นต้น ที่ตัวของมันเต็มไปด้วยแผล ท่านจะรู้สึกอย่างไร หรือว่าเมื่อท่านเห็นคนโรคเรื้อนที่ตัวเต็มไปด้วยแผล ท่านจะรู้สึกอย่างไร เราก็ควรมาดูตัวเราที่เต็มไปด้วยแผลอย่างนั้นบ้าง แล้วมันก็น่าหัวที่ว่าเป็นแผลที่ชีวิตนั่นแหละมันกัดเอา
ครั้งที่แล้วมาเราพูดถึงการถูกเผาอยู่ด้วยกิเลส และหนักอยู่ด้วยภาระของชีวิต ของหนักของชีวิต ทีนี้เราก็จะดูกันต่อไปถึงเรื่อง ความไม่มีเสรีภาพ
เสรีภาพเป็นสิ่งที่เรียกร้องตั้งแต่ทั่วโลก กระทั่งมีการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ เดี๋ยวนี้ก็กำลังพูดถึงเสรีภาพของสัตว์อะไรที่ดูเหมือนกับเป็นวัน วันที่กำหนดไว้ นี่แสดงว่าเราต้องการเสรีภาพ แล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่ได้เสรีภาพ แล้วก็เราเป็นทุกข์ในใจเพราะเหตุนั้น เรื่องนี้มันมีความลับที่เข้าใจผิดกันอยู่ อยากจะให้มองดูให้มันลึกลงไปถึงว่า เสรีภาพนะมันอยู่ที่ตรงไหน หรือการเสียเสรีภาพนะมันคืออย่างไร
เมื่อเราได้ด่าเขา เราคิดว่าเราได้เสรีภาพ หรือมีเสรีภาพ แต่ที่จริงเมื่อเราด่าเขานั่นแหละ เราสูญเสียเสรีภาพหมด คือกิเลสมันครอบงำ มันย่ำยี ไม่มีเสรีภาพเหลืออยู่ในจิตใจของเรา ทั้งที่ภายนอกเราด่าเขา ด่าเขานี่ เมื่อด่าเขาเราเสียเสรีภาพ ลองคิดดู จริงหรือไม่จริง เมื่อเรากำลังตีเขา ตี ๆ ตีเขาอยู่ เราก็เสียเสรีภาพแก่กิเลส หรือว่าเสียเสรีภาพแก่ความโง่ของเราเอง ทำไมเราไม่มองกันในแง่นี้บ้าง
เมื่อเราได้ฆ่าเขา เรายกกองทัพไปฆ่าพวกอื่นวินาศ เราก็เสียเสรีภาพอย่างใหญ่หลวงนะ เสรีภาพต่อความโง่ เสรีภาพต่อความชั่วร้ายเลวทรามของเราเอง ทีนี้ทำไมเราไม่มองกันในแง่นี้บ้าง เรากำลังเตรียมพร้อมที่จะด่าเขา จะตีเขา จะฆ่าเขา เพื่อเสรีภาพของเรา อย่างนี้ละมันคล้ายกับคนบ้า คือยิ่งทำไปมันยิ่งเสียเสรีภาพ ยิ่งทำไปมันยิ่งสูญเสียเสรีภาพ ลองคิดดู
เดี๋ยวนี้เราเป็นกันมากกว่านั้น นั่นคือเราเตรียมกองทัพ เตรียมอาวุธอันร้ายกาจไว้ เพื่อจะทำลายผู้อื่น เพื่อเสรีภาพของเรา เราทำลายเสรีภาพของผู้อื่นเพื่อเสรีภาพของเรานี่ แล้วมันได้ มันได้เสรีภาพหรือเปล่า นอกจากสูญเสียเสรีภาพในทางวิญญาณนะ จนหมดสิ้น
ดังนั้นขอให้เรานึกถึงคำว่า ทางวิญญาณ ทางวิญญาณกันให้มากสักหน่อย เรากำลังได้หรือคิดว่าได้เสรีภาพทางร่างกาย ทางวัตถุ แต่เราก็สูญเสียเสรีภาพทางวิญญาณไปจนหมดสิ้น เมื่อเราได้รับความอร่อยในสิ่งใด เราก็คิดว่าเราได้ เป็นผู้ได้ เป็นฝ่ายได้ แต่ที่จริงเราก็ได้สูญเสียเสรีภาพให้แก่สิ่งที่เรารู้สึก อร่อย อร่อย นั่นนะไปจนหมดสิ้น ระวัง
เมื่อเราได้กามารมณ์ เราก็คิดว่าเราชนะ แต่ที่แท้เราก็เสียเสรีภาพให้แก่สิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์นั้นจนหมดสิ้น เมื่อเรารักสิ่งใด เราก็สูญเสียเสรีภาพให้แก่สิ่งนั้น แต่คนธรรมดาเขาไม่รู้สึก เขาไม่รู้สึกว่าเสีย สูญเสียเสรีภาพ เอาแต่ที่เราได้ ๆ ก็เป็นฝ่ายชนะ ว่าเราได้ ๆ ที่เราได้ ขอให้ลองคิดดูว่ามัน เป็นอย่างไร
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเราเกลียดสิ่งใด โกรธสิ่งใด เราก็สูญเสีย เราก็สูญเสียเสรีภาพให้กับสิ่งนั้นจนหมดสิ้น จิตของเราเต็มไปด้วยความโกรธ เต็มไปด้วยความเกลียด ทำให้ไม่มองดูว่า เมื่อมันกัดเอา มันกัดเอา มันกัดเอา เต็มไปด้วยแผล เพราะว่าเรามีความโกรธ มีความไม่พอใจในสิ่งใด เมื่อเราเกลียดใคร เกลียดใคร เราก็สูญเสียเสรีภาพให้แก่คนนะ ดูให้ดี ๆ เถอะ เมื่อเรากลัวสิ่งใด เราก็สูญเสียเสรีภาพให้แก่สิ่งนั้นจนหมดสิ้น
โลกสมัยปัจจุบันนี้จะกล่าวได้ว่าเป็นโลกแห่งความกลัว ไม่มีเสรีภาพในทางจิตใจเหลืออยู่เลย โลกปัจจุบันนี้ก็พอจะพูดได้ว่า ฝ่ายซ้ายก็กลัวฝ่ายขวา ฝ่ายขวาก็กลัวฝ่ายซ้าย ในจิตใจเต็มไปอยู่ เต็มอยู่ด้วยความกลัว ความหวาดระแวงว่าจะพ่ายแพ้ ตลอดเวลามันระแวงอยู่ว่าจะพ่ายแพ้ มันกลัวอยู่ว่าจะพ่ายแพ้ อย่างนี้ก็เสียเสรีภาพจนหมดสิ้น ทั้งวัน ทั้งคืน ทั้งเดือน ทั้งปี
ดังนั้นเราควรจะตั้งปัญหาขึ้นมาถามว่า เราจะรบ เราจะทำสงครามนี้ เพื่อได้เสรีภาพ หรือเพื่อสูญเสียเสรีภาพกันแน่ ถึงแม้ว่าเราจะชนะสงคราม ได้อะไรมามาก ทางวัตถุนะ แต่เราก็สูญเสียเสรีภาพให้แก่กิเลส หรือมาร หรือซาตาน จนหมดสิ้น เดี๋ยวนี้เรากำลังต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ต่อสู้เพื่อได้เสรีภาพ โดยไม่รู้ว่ามันเป็นการทำลายเสรีภาพเสียจนหมดสิ้นนะ
จิตใจ จิตนะที่ตั้งไว้ถูกต้องเท่านั้นแหละ อย่างเดียวเท่านั้นที่จะไม่สูญเสียเสรีภาพ ถ้าเราดำรงจิตไว้ผิดในความหมายใดความหมายหนึ่ง แม้แต่นิดเดียวมันก็สูญเสียเสรีภาพ ฉะนั้นสนใจในการที่จะตั้งจิตไว้ให้ถูกต้องนะ
เมื่อเราไม่รักอะไร ไม่ต้องการอะไร ไม่หวังอะไร ดูให้ดี ๆ ว่ากำลังมีเสรีภาพจริงหรือไม่ เมื่อเราถูกครอบงำด้วยคุณค่า ของความเป็นบวกก็ตาม ความเป็นลบก็ตาม เราก็สูญเสียเสรีภาพ ฝ่ายบวกมันทำให้เรารัก ฝ่ายโกรธ ฝ่ายเกลียด ฝ่ายลบนะมันทำให้เราโกรธหรือเราเกลียด มันก็สูญเสียเสรีภาพได้ด้วยกันทั้งนั้นนะ
เมื่อเรามีความหวัง อย่างที่สอนเด็ก ๆ ให้หวัง หวัง หวังอย่างยิ่ง ตลอดเวลาที่เราหวังนะเราสูญเสียเสรีภาพให้แก่สิ่งที่เราหวัง การมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่มีความหวังนี้มันเป็นสิ่งที่ไม่สูญเสียเสรีภาพ แต่คนก็เข้าใจผิดว่าเป็นไปไม่ได้ ก็ได้บอกท่านแล้วว่า มันเป็น Artistic อย่างยิ่ง อย่างสูงสุด ต้องขอให้พิจารณากันให้ดี ๆ สักหน่อย มันเป็นสิ่งที่ทำได้ ในการที่เราจะไม่มีชีวิตอยู่ด้วยความหวัง แต่มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา สติและปัญญานะ
สิ่งที่เรียกว่าความหวังนี่ ในภาษาธรรมะของเรา เรียกว่าความเป็นเปรต คือความหิวอย่างยิ่ง และหิวตลอดกาล จัดเป็นชีวิตชนิดหนึ่งที่น่ารังเกียจ เรียกว่าความเป็นเปรต คอยพิจารณาดูรูปร่างของ Hungry Ghost ปากเท่ารูเข็ม ท้องเท่าภูเขานะ ท่านเปรียบรูเข็มกับภูเขาดู ความต้องการนะเท่ากับภูเขา ที่จะสนองความต้องการได้เท่ารูเข็ม ในที่สุดเราก็ถามตัวเองว่า เรากำลังเป็น Hungry Ghost หรือเปล่า เมื่อมีชีวิตอย่าง Hungry Ghost นั่นแหละคือชีวิตมันกัดเจ้าของอย่างยิ่ง กัดเจ้าของอย่างยิ่ง จนตัวนี้มันเต็มไปด้วยแผล
ทีนี้เราก็ดูต่อไปจะพบปัญหาว่า เราบังคับความหวังไม่ได้ บังคับความอยาก ความหิวไม่ได้ คือเราบังคับจิตไม่ได้ เราก็ต้องเป็น Hungry Ghost อยู่เรื่อยไปนะ เมื่อเราไม่อยากจะรัก เราก็บังคับไม่ได้ มันก็หลงรัก เมื่อเราไม่อยากจะโกรธ มันก็บังคับไม่ได้ มันก็โกรธ คิดดูสิ ปัญหา มัน มันอยู่ที่บังคับไม่ได้ เราก็โกรธง่ายเหลือประมาณ โกรธได้อย่างกับฟ้าแลบ แผล็บเดียวมันก็โกรธ โกรธ โกรธได้ เต็มที่แล้ว มันก็โกรธง่าย โกรธง่าย โกรธเร็ว แล้วก็ถอนออกไม่ได้ แล้วก็มีความอาฆาต ผูกความโกรธไว้เป็นเดือน เป็นปี บางทีก็ตลอดชีวิตนะ
เมื่อเราทำผิดต่อเขาอย่างยิ่งนี้ เราก็ไม่อยากจะขอโทษ ถ้ามีใครมาขอโทษ เราก็ไม่อยากจะให้อภัยนี่ นี่นะคือสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ แม้ปากเราจะพูดว่า ขอบใจ ขอบคุณ แต่ในใจของเราก็ยังเต็มไปด้วยความอาฆาตมาดร้าย หรือความคิดที่ไม่หวังดีละ ต่อใคร ๆ เมื่อเราบังคับมันไม่ได้ ความเลวร้ายแห่งกิเลสนี้มันก็กัดเอา กัดเอา กัดเอา กัดเอาจนเต็มไปด้วยแผล แม้ว่าร่างกายยังไม่ปรากฏ แต่ว่าจิตใจหรือวิญญาณนี้ มันเต็มไปด้วยแผล
เวลาโกรธถ้าจิตใจเต็มไป วิญญาณจิตใจเต็มไปด้วยแผล ไม่เท่าไรละมันก็จะต้องไปกระทบหรือขัดแย้งในทางภายนอก จนเกิดศัตรู เลยทะเลาะวิวาท ไม่เท่าไรร่างกายก็จะเต็มไปด้วยแผลเหมือนกัน การบังคับจิตไม่ได้นี่ จำไว้ อย่าง อย่างยิ่ง อย่างเดียว อย่างยิ่ง การบังคับจิตไม่ได้นี่ คือการทำให้ชีวิตกัด ให้ชีวิตมันกัด หรือชีวิตถูกชีวิตเองกัด มันกัดตัวเอง มันกัดตัวเอง สุนัขบ้ามันกัดตัวเอง
ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสติ ท่านจะขจัดปัญหาเหล่านี้ได้โดยสิ้นเชิง อานาปานสติจะมีผลทำให้บังคับจิตได้ แล้วก็เป็นนายเหนือจิตโดยประการทั้งปวงนะ
ทีนี้ก็อยากจะพูดถึงสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดมีอิทธิพลในการประเล้าประโลมใจ มันเป็นของเมา แต่ความเมานั้นมันประเล้าประโลมใจให้รู้สึกสบาย ๆ บางคนจะเทียบไปว่าสบายอย่างสวรรค์นะ เมื่อได้เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด
พวกฝรั่งที่มาที่เกาะสมุยนี้ ชอบกินเห็ดชนิดหนึ่ง หาซื้อกินมักจะแพง ๆ เห็ดชนิดนั้นชาวบ้านที่นั่นไม่กิน กินแล้วมึนเมา มีความมึนเมาชนิดหนึ่ง เขาเกิดเกลียด เขาเกลียด เขากลัว แต่พวกฝรั่งเป็นอันมากชอบกินเห็ดชนิดนั้น มันเป็นกระตุ้น มันเป็น Stimulant อะไรให้รู้สึก Entertainment มันสบายอย่างนี้ คิดดู มันไปกินเห็ดชนิดที่ชาวบ้านก็ไม่กิน ประชาชนที่นั่นไม่กิน และเห็นเป็นยาพิษ ฝรั่งที่ไปเที่ยวหลายคนเป็นอันมากเห็นเป็นของอร่อยที่สุด และก็ยอมซื้อแพง ๆ ให้ไปหามาให้กิน เขาเสี่ยงเอาด้วยชีวิต เพื่อได้สิ่งที่ประเล้าประโลมใจอย่างบ้า ๆ บอ ๆ
เดี๋ยวนี้เรามันชอบไอ้สิ่งเสพติด แม้สิ่งไอ้เสพติดนี่ เช่น เหล้า เช่น เฮโรอีน เช่น เสพติดทั้งหลายเหล่านี้ ทำไมมนุษย์จึงไปหลง ๆ โง่ จนยาเสพติดเป็นปัญหาเต็มไปทั้งโลก ปัญหาเหล่านี้ไม่เคยมีแก่คนป่า สมัยโน้น สมัยที่เขายังไม่นุ่งผ้า ยังเป็นคนป่า ปัญหาสิ่งเสพติดอย่างเฮโรอีนนี้มันไม่มี คิดดู ทำไมมันจึงเจริญมาในรูปนี้ นี่คืออะไร เสน่ห์อะไร สิ่งเสพติด
ขอช่วยจำไว้สักประโยคหนึ่งว่า สุนัขไม่กินเหล้า โดยไม่ต้องรับศีล ไม่ต้องสมาทานศีล สุนัขเมื่อหลายหมื่นปีมาแล้วก็ไม่กินเหล้า โดยไม่ต้องรับศีล สุนัขเดี๋ยวนี้ก็ไม่กินเหล้าโดยไม่ต้องรับศีล สิ่งเสพติดไม่มีอะไรจะสูงสุดเท่ากับเรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ วันก่อนเราพูดกันมาแล้วว่าไอ้เรื่อง Sex กับเรื่องการสืบพันธุ์นั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ไอ้คนที่เสพติดนี่มันแยกเรื่องกามารมณ์มาย้อมจิตใจให้เสพติด เสพติดโดยไม่เกี่ยวกับเรื่องสืบพันธุ์ เขาก็มีเสพติดในกามารมณ์อย่างยิ่ง ไม่มีสิ่งใดจะเป็นสิ่งเสพติดมากเท่ากับเรื่องกามารมณ์
สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าสุนัขไม่มีสิ่งเสพติด ก็คือทำการสืบพันธุ์ตามฤดูกาล ปีหนึ่งหนเดียวชั่วเวลาไม่กี่วัน สุนัขทำการสืบพันธุ์ ไม่มีกามารมณ์ ไม่มีความหมายแห่งกามารมณ์ แต่คนนี้ไม่ต้องการกามารมณ์ ไม่ต้องการสืบพันธุ์แต่มีกามารมณ์ได้ทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี ทั้งวัน ทั้งเดือน ทั้งปี โดยไม่ต้องการมีการสืบพันธุ์ นี่เรียกว่ามนุษย์นะมันหลงใหลในสิ่งเสพติดยิ่งกว่าสุนัขนะ
คนได้พัฒนาสิ่งที่เรียกว่า Love Play Love Play ขึ้นมาอย่างมากมายมหาศาล จนมีกิจกรรมทาง Love Play นี้ได้ทุกชั่วโมง ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี ซึ่งสุนัขทำไม่เป็น ฉะนั้นจงตัดสิน หรือวินิจฉัยดูอย่างยุติธรรมว่า คนกับสุนัขนี่ใครเป็นทาส เป็นทาสของกิเลสมากกว่ากัน คนหรือสุนัขที่เป็นทาสของความเป็นบวกเป็นลบนี่มันมากกว่ากัน นี้เราเรียกว่าปัญหาเรื่องสิ่งเสพติด
ศีลธรรมหรือเรื่องทางศาสนา ไม่ต้องการให้เราเป็นทาสของสิ่งเสพติดทุกชนิดทุกระดับ แต่ก็ดูเถอะมันไม่สำเร็จประโยชน์นะ เดี๋ยวนี้ได้มีสิ่งเสพติดมาก ๆ ยิ่งขึ้นกว่าเมื่อพันปีสองพันปีมาแล้วอย่างที่จะเปรียบเทียบกันไม่ได้ ดังนั้นมนุษย์สมัยนี้มันจึงถูกกัดเป็นแผลเต็มไปทั้งตัว ยิ่งกว่าสมัยโน้น
คนสมัยนี้ดูถูกศีลธรรม ดูถูกระเบียบที่วางไว้ดีแล้ว หรือว่าไม่สนใจกับศาสนา เขาก็พลัดตกลงไปเป็นทาสของไอ้สิ่งเสพติดทุก ๆ ชนิดยิ่งขึ้น ทำไมไม่มองดู พิจารณาดูให้เห็นตามที่เป็นจริงว่า การตกไปเป็นทาสของสิ่งเสพติดนั้น มันเป็นความต้องการของวิชชา หรือของอวิชชา มันเป็นความต้องการของความฉลาดหรือปัญญา หรือว่าต้องการของความโง่ ไปคิดกับข้อนี้กันเถิด เมื่อไม่รู้จักว่านี้มันความต้องการของปัญญาหรือของความโง่ นั่นแหละคือความไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักตัวเอง ตัวเองจึงกลายเป็นศัตรู ตัวเอง ชีวิตเองมันจึงกลายเป็นศัตรู กัดตัวเอง กัดตัวเอง ชีวิตชนิดที่มันกัดตัวเอง กัดตัวเอง เต็มไปด้วยแผล เพราะไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักชีวิต ว่าชีวิตนั้นคืออะไร ชีวิตจึงกัดเจ้าของ ชีวิตจึงกัดเจ้าของ เพราะว่าเราไม่รู้จักว่าชีวิตมันคืออะไร ชีวิตนี้จึงกัดเจ้าของแหละ อย่างที่กล่าวแล้วว่าเต็มไปด้วยแผล น่ารังเกียจยิ่งกว่าคนเป็นโรคเรื้อน
เอ้า, ทีนี้ลองอนุมานดู ว่าถ้าชีวิตไม่มีการกัดเจ้าของอย่างที่กล่าวมาแล้ว ไม่มีการกัดเจ้าของชนิดใดเลย ชีวิตนี้จะเป็นอย่างไร จะน่าปรารถนาสักเท่าไร นี่เราเรียกว่าชีวิตเย็น ชีวิตเย็น มีความหมายแห่งนิพพาน ชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของกลับมีเสน่ห์ มีสิ่งยั่วยวนให้รักให้หลงใหลมากกว่า จนคนติดกันอยู่กับชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ แม้จะไม่พอใจ ไม่ จะรู้สึกรังเกียจบ้าง ก็ไม่รู้จะไปทางไหน นี่ก็เที่ยวแสวงหาสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน ซึ่งจะเป็นที่พอใจ แปลกดีหรือไม่ ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ทั้งที่ไม่ต้องการชีวิตชนิดที่เป็นปัจจุบันนี้
ท่านมาจากตะวันตก มาสู่ตะวันออกไกล เพื่อหาสติปัญญาของตะวันออก ถ้าพบสติปัญญานั้นหมายความว่า ท่านจะพบชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของนั่นเอง สำหรับพุทธศาสนาซึ่งเรียกว่าเป็นสติปัญญาของตะวันออกนั่น มีความรู้ มีหลักการ มีความรู้ มีการปฏิบัติเพื่อจะขจัดปัญหานี้ คือปัญหาที่ชีวิตมันกัดเจ้าของ แล้วมันก็จะน่าหัว น่าหัวที่จะมาพบความรู้หรือสติปัญญา ที่มันจะบอกท่านว่า ท่านอย่าเป็นเจ้าของชีวิต อย่ามีตัวกู อย่ามีของกู อย่ามีความคิดชนิดที่จะเป็นเจ้าของชีวิต สละชีวิตออกไปเสียจากความเป็นเจ้าของละ จากความอยู่ในครอบครองของเรา
ก็อย่างที่บอกท่านแล้วครั้งหนึ่งแล้วว่า ถ้าลูกเด็ก ๆ ตัวเล็ก ๆ มันมาบอกท่านว่า อย่าเป็นเจ้าของชีวิตนะ อย่าพยายามเป็นเจ้าของชีวิต สลัดชีวิตออกไปเสียจากความมีในครอบครองนี้ ท่านอย่าตบหน้าเขา เพราะเขามาบอกความจริงสูงสุด ท่านอย่าตบหน้าเขาเพราะว่าเขาบอกสิ่งสูงสุด มีค่าสูงสุด ซึ่งเป็นหัวใจของพุทธศาสนาทีเดียว
มีคำพูดคำหนึ่งซึ่งจะว่าเข้าใจยาก ก็เข้าใจยาก ไม่ยากก็ไม่ยากนะ ก็คือคำว่า มี มี โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ ........ แปลให้ดีว่า มีโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ (นาทีที่ 1:04:15 ฟังไม่ชัด น่าจะเป็นคำพูดที่ท่านอาจารย์พูดกับผู้แปล) มีไว้ในครอบครอง มีไว้ในครอบครอง ในกรรมสิทธิ์ แต่ไม่เป็นเจ้าของ เช่น ตัวอย่างเช่น ที่ดินผืนนี้เป็นของท่าน ท่านเป็นเจ้าของโดยกฎหมาย โดยขนบธรรมเนียม โดยประเพณี เป็นเจ้าของตามกฎหมายมีสิทธิเต็มที่ แต่แล้วโดยธรรมชาติอันแท้จริง ท่านเป็นเจ้าของไม่ได้ ท่านเป็นเจ้าของไม่ได้ แผ่นดินนี้ก็ยังเป็นของธรรมชาติอยู่นั่นแหละ ตายก็เอาไปไม่ได้ บังคับมันก็ไม่ได้ว่าต้องเป็นอย่างนี้ อย่าเป็น บังคับมันก็ไม่ได้ นี่เรามีกรรมสิทธิ์ครอบครองแผ่นดิน บ้านเรือนของเราโดยความเป็นเจ้าของแต่ทางภาษาคน หรือทางวัตถุ ทางร่างกายเท่านั้น โดยทางจิต ทางวิญญาณ โดยทางธรรมชาติแล้ว เราไม่อาจจะเป็นเจ้าของ นี่นะคือมีไว้ในครอบครองโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของ
ความจริงอันนี้ หรือคำสอนในข้อนี้ก็มีอยู่ใน Bible A New Testament At of The Apostle Book of Corinthians Book of Corinthians คำสอนของ St Paul สอนชาว Corintho มีความหมายอย่างเดียวกัน ฉะนั้นถ้าจะท่านเป็นคริสเตียนที่ดีก็จะประพฤติได้ มีภรรยาก็จงเหมือนกับไม่มีภรรยา มีทรัพย์สมบัติก็จงเหมือนกับ จงทำเหมือนกับไม่มีทรัพย์สมบัติ มีความสุขก็จงทำเหมือนกับไม่มีความสุข ซื้อของที่ตลาดแล้วอย่าเอาอะไรมา ถ้าเข้าใจจะดีมาก
ที่ว่ามีภรรยาก็จงทำเป็นเหมือนกับไม่มีภรรยานี้ มันก็อาจจะขยายความออกไปว่า แม้มีสามีก็ได้ แล้วแต่ แต่ แต่ แต่เพศของผู้ปฏิบัติ แต่ในคัมภีร์นั้นเอ่ยถึงแต่ภรรยา มีภรรยาก็จงเหมือนกับ ทำเหมือนกับ จงกระทำเหมือนกับไม่มีภรรยา ก็คือไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของกู ไม่ได้ยึดมั่นด้วยอุปาทานว่าเป็นของกู พอยึดมั่นด้วยอุปาทานว่าของกู ภรรยาก็กัดเอาแล้ว ยึดมั่นสามีว่าของกู มันก็กัดเอาแล้ว
มันแบ่งกันเป็นสองซีก ซีกวัตถุไปทางฟิสิกส์หรือทางโลก ๆ ทางสมมติ อันนี้ก็อย่างหนึ่ง ทางจิตทางวิญญาณ หรือทางความจริงของทางธรรมชาตินี้มันก็อีกอย่างหนึ่ง ดังนั้นเราพูด เราพูด พูดได้ว่าเรามีนั่น มีนี่ ตามกฎหมายตามอะไรเราก็พูดได้ รับรู้กันแต่ในโลก ในชาวบ้านหมู่ชาวโลกนี้ แต่ในความจริงของธรรมชาติอันลึกซึ้ง มันมีไม่ได้ โดย Attachment อย่าไปมีเลย Attachment มันจะกัดเอา มีเมียก็เมียกัด มีผัวก็ผัวกัด นี่
ทีนี้ก็ถึงทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัติ มีทรัพย์สมบัติ ก็จงเหมือนกับไม่มี กระทำต่อทรัพย์สมบัติเหมือนกับว่าไม่มี คือไม่ได้เป็นของเรา ไม่ได้ Attach ทางจิตทางวิญญาณว่าเป็นของเรา มันก็ไม่ทำอันตราย เดี๋ยวนี้เรามีด้วยจิตด้วยวิญญาณ ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวกูของกู กระทั่งว่าฝากไว้ในธนาคารแล้ว มันก็ยังมาสุมอยู่บนกบาล นี่เรียกว่าทรัพย์สมบัติมันกัดเอา ถ้าว่ามีโดยทางจิตทางวิญญาณ
เรามีที่ดิน มีฟาร์ม มีอะไรมากมาย มีบ้านเรือน มีรถยนต์ มีสารพัดอย่าง แต่ถ้าคิดว่าเป็นตัวกู เป็นของกูแล้ว มันจะมาอยู่บนหัวเรา มันไม่อยู่ตามที่อยู่ มันมาอยู่บนหัวของเรา คือเป็นความหนัก เรียกว่าจะหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ นี่เรียกว่ามันกัดเอา ฉะนั้นจงมีทรัพย์สมบัติอย่างกับว่าไม่มีอะไรเลย
ทีนี้ก็มาถึงความสุข ความสุข ความรู้สึกที่พอใจเป็นความสุข ก็จงให้เป็นเพียงความรู้สึก เป็นเพียงความรู้สึกแต่จิตว่าเป็นความสุข อย่ามีตัวกูออกมาเป็นเจ้าของความสุข หรือว่าอย่าเอาความสุขมาทำเป็นตัวกูเป็นของกู ความสุขนั้นก็จะไม่กัดเอา จะไม่ทำความทรมานใด ๆ ให้แก่เจ้าของ ถ้าไป Attach มัน มันก็มีเรื่องมากมายเกิดขึ้นทันที มีความรักมันก็กัดอย่างรัก พอมันไม่ได้อย่างที่รักมันก็กัดอย่างโกรธ อย่างเกลียด อย่างกลัวไปตามเรื่อง ฉะนั้นเราจะมีความสุขโดยไม่ต้อง Attach ต่อสิ่งที่เรียกว่าความสุข เราไม่บ้าความสุข ไม่เมาความสุข ไม่หลงความสุข แล้วความสุขก็จะไม่กัดเอา
แม้ว่า St Paul จะได้ออกชื่อไว้เพียงสามอย่างว่า คู่ผัวเมีย ทรัพย์สมบัติ ความสุข เพียงสามอย่าง แต่เราก็ยังต้องถือความหมายกว้างครบหมดทุกอย่างเลย ทุกอย่างที่มันเป็นที่ตั้งแห่ง Attachment นะ เช่น เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรเหล่านี้ก็เหมือนกันละ อย่าไป Attach มันเข้า Attach แล้วมันก็จะกัดเอา ให้ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มีอย่างเป็นเจ้าของโดยจิตใจนั้นไม่ได้
ทีนี้ก็มาถึง Instruction อันที่ ๔ ว่า ซื้อของที่ตลาดแล้วอย่าเอาอะไรมา คำพูดอย่างนี้เราเรียกกันว่า ภาษาธรรม หรือ ปริศนาธรรม ต้องตีความหมายให้ถูกต้อง แล้วจะมีประโยชน์มาก เป็นตัวอย่างของการปฏิบัติที่จะไม่ยึดถืออย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ๓ อย่างนั้นนะ มันจึงจะแสดงตัวอย่างที่ให้ชัดเจนว่า ซื้อของที่ตลาดแล้วอย่าเอาอะไรมา
เราซื้อของของเขา เราให้เงินเขา เรารับเอาสิ่งของถือมาบ้าน เมื่อเราถือมาบ้าน เราอย่ามีความคิดว่าของกู อย่ามีความคิดว่าของกู พอมีความคิดว่าของกูนั้นมันจะกัดเอา เราจะถือเอาประโยชน์จากของที่เราซื้อมาก็ได้ จะกินก็ได้ จะใช้ก็ได้ แต่อย่ามีความรู้สึกว่าของกู ถ้าเราไม่มีความรู้สึกว่าของกู มันก็เท่ากับว่าเราไม่ได้ถือเอาอะไรมาบ้านเรา เราไม่เอาอะไรมาบ้านเรา เพราะว่าเราไม่ได้ถือว่าของกูแล้วถือเอามา ถ้าเข้าใจคำนี้แล้วจะเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้ง ที่โดยเฉพาะเป็นหัวใจของพุทธศาสนานะ จึงจะมีประโยชน์ที่สุด
ถ้าเขาฟังไม่เข้าใจ คนที่ฟังไม่เข้าใจนะคนโง่ฟังไม่เข้าใจ มันเพียงแต่คิดว่านี่เป็นคำสอนที่บ้าบอที่สุด ไปซื้อของที่ตลาดแล้วไม่เอามาบ้าน แต่มันเป็นความจริง เป็นการปฏิบัติในทางจิตใจ เหมือนที่กล่าวมาแล้วในตอนก่อน ๆ ว่า มีที่ดิน เรามีที่ดินตามกฎหมาย แต่โดยจิตใจอย่าเอามา มันเป็นของธรรมชาติ เดี๋ยวนี้เราก็ซื้อแล้ว เอาเงินซื้อแล้ว ตามกฎหมายสิทธิเป็นของเราแล้ว แต่เราก็ไม่เอามาใส่ในหัวใจของเรานี่ เรียกว่าไม่เอามาบ้านละ ไม่มีความคิดนึกรู้สึกว่าเป็นของกู พยายามเข้าใจความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติ Absolute Truth ของธรรมชาติในข้อนี้ ชีวิตจะไม่กัดท่านเลย จะเป็นชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของเลย ตัวอย่าง ตัวอย่างของการที่จะมีไม่เป็นของเรา เหมือนอย่างมีที่ดิน มีอะไร โดยกฎหมายก็อย่างหนึ่ง โดยความจริงก็อย่างหนึ่ง
ตรงนี้ขอแทรกนอกเรื่องสักหน่อย ทำความเข้าใจว่า ขอให้มองเห็นให้ชัดว่า ทุก ๆ ศาสนามุ่งหมายจะให้ดับทุกข์ทั้งนั้นแหละ แล้วแม้แต่พูดคำพูดที่ต่างกัน แต่ก็อาจจะทำความเข้าใจซึ่งกันและกันได้ เช่นว่า Christianity จะพูดแต่เรื่องความเชื่อ เชื่อ ๆ ๆ ๆ อย่างนี้นะ นั้นมันมองน้อยเกินไป แล้วก็มองสำหรับคนโง่ แต่ Christianity ก็มีเรื่องทางสติปัญญา อย่างคำสอนของ St Paul นี้ มันก็มีเรื่องของสติปัญญาสำหรับผู้มีสติปัญญา ไม่เพียงแต่ว่าเชื่อ ๆ ๆ ๆ นี้ เราจะทำความเข้าใจกันระหว่างศาสนา ให้มาถึงจุดสูงสุดของความไม่ยึดมั่นถือมั่น แล้วจะเปิด Center ขึ้นตรงโน้น เรียกว่า International ธรรมะอันวิเศษ เพื่อทำความเข้าใจระหว่างศาสนา เดี๋ยวนี้ขอบอกท่านเป็นการล่วงหน้าว่า แม้แต่ Christianity ก็พุทธศาสนา แล้วมีคำสอนที่จะกลมกลืนกันไปได้โดยไม่มีข้อขัดแย้ง
เพียงแต่มีความเชื่อว่า สิ่งทุกสิ่ง ทุกสิ่ง ทุกสิ่ง เป็นของพระเจ้า เป็นของกูไม่ได้ เป็นของกูไม่ได้ เป็นของพระเจ้าโดยเด็ดขาด นี้ก็เรียกว่า ละ Attachment ไปได้ตั้งครึ่ง ตั้งครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วก็ละต่อไปจนหมดได้นะ ให้มันไปสู่จุดสุดท้ายที่ว่า ไม่มีอะไรเป็นของกู ในที่สุดก็ไม่ต้องการพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ต้องเป็นของกูนี่ มันก็จะมีจิตใจที่อยู่เหนือปัญหา เหนือปัญหาทั้งหมดทั้งสิ้น นี่ใจความสำคัญอยู่ที่ว่าอย่าไป Attach สิ่งใดว่าเป็นตัวกู ว่าเป็นของกู
หัวใจของพระพุทธศาสนา มีเป็นประโยคสั้น ๆ ว่า สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย แปลว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตนของตน ประโยคสั้น ๆ หัวใจของพุทธศาสนา ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตนของตน ภาษาบาลีใช้คำว่า ธมฺม ธมฺม ไม่รู้จะแปลว่าอะไร ก็แปลว่า Things ถ้าแปลว่า Things ก็ขอให้เข้าใจว่า มันทั้งที่เป็น Phenomena and Noumenal คือธรรมชาติทั้งปวงที่เป็น Phenomena and Noumenal ซึ่งมันตรงกันข้ามทั้งปวงนี้ ไม่ควรจะเข้าไปถือเอาด้วยความโง่ ว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตน
แต่ถ้าถือเอาตามตัวหนังสือจริง ๆ หรือถือเอาความเห็นโดยแท้จริง โดยจริง ๆ แล้ว คำนี้มันแปลว่า ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่แทรกแซงเข้าไปโดยความเป็นเจ้าของ อภินิเวสาย แปลว่า แทรกเข้าไป ยึดถือเอาเป็นเจ้าของ ความหมายของพระบาลีคำนี้มันแปลว่า ไม่แทรกแซงเข้าไปเป็นเจ้าของ คือเอาเป็นของกู คำว่าทุกสิ่ง ทุกสิ่งนี่ มันมีความหมายเหลือเกิน ต้องไม่ยกเว้นสิ่งใด ๆ สิ่งใด ๆ เป็นบวกก็ตาม เป็นลบก็ตาม เหนือบวกก็ตาม เหนือลบก็ตาม ไม่ ไม่อาจจะเอามาเป็นของเราละ ที่ว่าใคร ๆ ไม่ควรจะแทรกแซงเข้าไปเป็นเจ้าของนี่ ท่านเข้าใจคำนี้ได้เมื่อไร ก็เป็นอันว่าเข้าใจธรรมะในพุทธศาสนาหมด แล้วก็ในศาสนาอื่น ๆ ที่ลึกซึ้ง เป็น Christianity ก็ได้ เป็น Taoism ก็ได้ อะไรก็ได้ มันมุ่งหมายที่จะไม่ให้แทรกแซงเข้าไปเป็นเจ้าของสิ่งใด ๆ
มันเป็นกฎความจริงของสากลจักรวาล หรือว่าทุก ๆ จักรวาลไปเสียอีกนะ มันเป็นความจริงอย่างนั้น บางคนคิดแต่ว่า ถ้ามันเป็นธรรมชาติ ก็ธรรมชาตินั่นนะมันเป็นเจ้าของ นี่ก็ไม่ถูก อย่าคิดอย่างนั้น แม้ธรรมชาติก็ไม่ได้เป็นเจ้าของละ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นของธรรมชาติ ธรรมชาติก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของ มันไม่มีใครอาจจะเป็นเจ้าของ นั่นละความจริงอันลึกซึ้งนี้
แต่เมื่อเราพูดหมดทั้งจักรวาลอย่างนี้ มันนอกตัวเราเกินไป ไอ้ธรรมะที่จำเป็นนั้นนะ มันอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่าตัวเรา หรือชีวิตนี่ มันอยู่ที่ตัวชีวิตนี่ ฉะนั้นเรามาดูให้มันตรงตัวปัญหา ที่มันเป็นปัญหาอยู่จริง ๆ คือชีวิต มันก็จะต้องพูดได้ว่า แม้ชีวิตนี้ ก็อย่าได้โง่เข้าไปยึดถือ เป็นเจ้าของชีวิตเลย
ชีวิตนี้ประกอบอยู่ด้วย ของ ๒ อย่างเท่านั้นนะ คือร่างกายกับจิตใจ Body Mind Mind Body รวมกันเป็นสิ่งเดียว เรียกว่าชีวิต แต่เพื่อการศึกษานะ แยกออกจากกันได้ แต่โดยความจริงมันไม่แยกกันนะ ส่วนที่เป็นร่างกาย ฝ่าย Body นี่ทางฝ่ายวัตถุ ทีนี้ทางฝ่ายจิตใจ นี่เรียกว่านาม หรือ Mind ส่วนที่เป็นนาม เป็น Mind แยกออกเป็นอีก ๔ อย่าง คือว่า สมรรถนะ Prescience ของจิต ที่มันสามารถรู้สึก เวทนา Feeling สุขทุกข์อะไรได้นี้ก็อย่างหนึ่ง แล้วมันมีสมรรถนะที่มันจะสำคัญมั่นหมายว่านี่เป็นอะไร นี่เป็นอะไร นี้เป็นอย่างไร นี้เป็นของใคร นี้เรียกว่าสัญญาธรรมนั้นอีกอย่างหนึ่ง แล้วมันทำให้ไปคิดนึก คิดนึก คิดนึก คิดนึก ออกไปได้อีกมากมายนี่ นี่ก็เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง แล้วที่มันเก่งมากที่มันจะรู้สึกได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ อย่างรวดเร็วที่สุด เรียกว่าวิญญาณขันธ์อีกอย่างหนึ่ง ส่วนใจมีอยู่ ๔ อย่าง ส่วนกายมีอยู่ ๑ อย่าง รวมกันเป็น ๕ อย่าง เรียกว่าขันธ์ทั้ง ๕ ชีวิตคือขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ คือชีวิต ไม่ยึดถือชีวิตว่าเป็นตัวกูของกู คือไม่ยึดถือขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นตัวกูของกู หลักพุทธศาสนาจึงว่า ความทุกข์มาจากการยึดถือในขันธ์ ๕ ความดับทุกข์มีมาเพราะไม่ยึดถือในขันธ์ทั้ง ๕ คือไม่ยึดถือในชีวิต ไม่ยึดถือในชีวิต
ฉะนั้นขอให้พยายามอย่างสุดความสามารถของท่านทั้งหลาย ในการที่จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ คือจะได้รู้ว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตกำลังเป็นรูปขันธ์ คือการกระทำของร่างกาย เมื่อใดชีวิตกำลังเป็นเวทนาขันธ์ เป็น Feeling อย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อใดชีวิตกำลังเป็นสัญญาขันธ์ เป็น Perception Perceive อะไรอยู่นี้อย่างหนึ่ง เมื่อใดชีวิตกำลังเป็นสังขารขันธ์ มี Conscious อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ เมื่อใดชีวิตมันเป็นเพียง Consciousness ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจนี้ รู้จักขันธ์ทั้ง ๕ ให้ดี รู้จักขันธ์ทั้ง ๕ ให้ดีว่า ตามธรรมชาติมันเป็นอย่างไร แล้วความคิดที่จะโง่ไปว่าชีวิตเป็นตัวกูของกูนี้ก็จะไม่มี ขอร้องอย่างยิ่ง จงพยายามรู้จักขันธ์ทั้ง ๕ ขันธ์ทั้ง ๕ นี่ แล้วก็จะหมดปัญหา
สติคือ Mindfulness ที่สูงสุด ก็คือการรู้สึกตัวอยู่ว่าเวลานี้ ชีวิต ชีวิตนะเขายังอยู่ในสภาพของรูปขันธ์คือ Body ทางฟิสิกส์ เดี๋ยวนี้ชีวิตกำลังอยู่ในรูปของ Feeling คือเวทนาขันธ์ เดี๋ยวนี้ชีวิตกำลังอยู่ในรูปของสัญญาขันธ์ Perception เดี๋ยวนี้ชีวิตกำลังอยู่ในรูปของสังขารขันธ์ Conscious ทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เป็น Consciousness อยู่ในชีวิต รู้อย่างนี้แล้ว มันไม่มีทางที่จะเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูของกู เรียกว่าปฏิบัติสูงสุดในพระพุทธศาสนา เป็นยอดสุดของสติ ของสัมปชัญญะ ของปัญญา เราก็เลิกเลย ไม่มีความคิดว่า Self ว่าตน ว่าอัตตา ว่า Ego ว่าอะไรได้อีกต่อไป นี่ปัญญา ปัญญา ถึงขนาดสูงสุดมันเป็นอย่างนี้
เดี๋ยวนี้มีความรู้สูงสุดว่า ชีวิตมิใช่ตัวกู ชีวิตเป็นเพียงนามรูป กาย ใจ หรือชีวิตเป็นเพียงขันธ์ทั้ง ๕ ไม่มีตัวกู ไม่มีตัวกูนะก็หมดปัญหา ไม่มีชีวิตที่จะเป็นตัวกู ก็ไม่มีชีวิตที่จะกัดชีวิต เราก็มีชีวิตชนิดที่หลุดพ้นจากความทุกข์ จากปัญหาทั้งปวง เรื่องก็จบ
ขอยุติการบรรยายในวันนี้
ขอบใจที่เป็นผู้ฟังที่ดี ถ้ายังทนได้ วันพรุ่งนี้มาพูดกันอีก
ปิดประชุม