แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อนสหธรรมมิกทั้งหลายทั้งที่เป็นภิกษุสามเณร วันที่สามนี้จะพูดกันเรื่องพระสงฆ์ โดยหัวข้อที่ว่าพระสงฆ์ของพระพุทธศาสนา หรือพระสงฆ์ที่โลกต้องการ ขอให้สนใจฟังเพราะว่ามันเป็นเรื่องของเราโดยตรงโดยเฉพาะ อย่างยิ่งไม่มีอะไรยิ่งกว่า เราจะได้พิจารณากันเป็นข้อๆไป เพื่อเข้าใจง่ายตามลำดับคำว่าสงฆ์ คำว่าสงฆ์ ตัวหนังสือก็แปลว่าหมู่ว่าคณะ แม้แต่คณะอะไรก็ได้ แต่ในพุทธศาสนานี้หมายถึงคณะของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนานี้ โดยภาษาบาลีหมายถึงจำนวนมากรวมกัน แต่ภาษาไทยเอาคำนี้มาใช้เป็นบุคคลก็มี สงฆ์หมายถึงภิกษุก็มี คือผู้บวช ไม่ได้หมายถึงคณะแต่ก็ยังมีในภาษาไทย มันมีความหมายเฉพาะ ไม่ใช่คณะหรือฝูง เช่นฝูงวัวฝูงควายฝูงคนฝูงอะไรอย่างนั้น แต่มันเป็นคณะที่มีคุณธรรม คณะที่มีความหมาย คณะที่เป็นตัวอย่างในโลก ถ้าเราดูกันด้วยสายตานี้จะเห็นว่า คณะที่เต็มไปด้วยภราดรภาพ หรือว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งภราดรภาพที่ถูกต้องที่ควรสนใจที่ควรถือเอาเป็นตัวอย่างน่าดูน่าไหว้ มันคณะอย่างนั้นจึงเรียกว่าคณะสงฆ์ อยู่กันอย่างเป็นหมู่ แล้วก็มีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ดีที่สุด อยากจะเรียกว่าพระสงฆ์นี่แหละเป็นตัวอย่างแห่งธรรมมิกสังคมนิยม มันเป็นศัพท์การเมืองแต่ว่ามันถูกต้อง ถูกต้องตามธรรมชาติหรือว่าของ ของศาสนา เพราะเราอยู่กันอย่างเป็นหมู่ตามที่ธรรมชาติกำหนดให้มา ไม่ใช่อยู่เป็นคนๆ หรือเป็นเรื่องของแต่ละคนละคน อยู่กันเป็นหมู่แล้วมันก็ประกอบไปด้วยธรรมะอย่างยิ่ง อยู่กันเป็นหมู่นั้นบางทีก็อยู่จะเอาเปรียบเพื่อจะไปปล้นพวกอื่น สังคมนิยมจึงเป็นคำที่ยังรังเกียจกันอยู่ แต่ถ้าว่าเป็นธรรมมิกสังคมนิยมแล้วมันก็ถูกต้องปลอดภัย ใช้ได้น่าเคารพน่าไหว้ พระสงฆ์เป็นสัญลักษณ์แห่งธรรมมิกสังคมนิยม คือผู้ที่อยู่กันเป็นหมู่และประกอบไปด้วยธรรม ทีนี้ก็จะดูให้ละเอียดว่ามันมีอะไรบ้างที่น่าสนใจเป็นพิเศษ เมื่อดูตามระเบียบวินัยทั้งหลายที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ เราจะเห็นได้ทันทีว่า เป็นหมู่แห่งผู้ดีนี่ เป็นคณะแห่งผู้ดีผู้ดีผู้ดี ไม่ใช่ผู้ไพร่ไม่ใช่ผู้เลวไม่ใช่ผู้อันธพาลทำไมเรียกว่าผู้ดี ก็คุณดูสิ พระปาติโมกข์นั่น ให้ตรวจตัวเองให้ดูตัวเองให้โจทย์ตัวเองให้ตัดสินเอาเอง เช่นวินัยก็สารภาพเอง ไม่มีใครถือไม้เรียวมาขู่มาเฆี่ยน ถ้าเป็นอาบัติก็แสดงเองต้องเอง มันเป็นผู้ดีเป็นสัญลักษณ์ของผู้ดี ปวารณาตัวว่าให้ใครตักเตือนได้ตักเตือนได้ นี้ก็เป็นสัญลักษณ์ของผู้ดี ถ้าผู้ไพร่มันก็ยกหูชูหางใครมาเตือนไม่ได้ก็ด่าให้เท่านั้นเอง ท่านรับผิดชอบตัวเองท่านทำแก่ตัวเองควบคุมตัวเอง โดยไม่ต้องมีการใช้อาชญามาจากผู้ใด นี่คือความประเสริฐของพระศาสนาเองและของคณะสงฆ์ในพระศาสนา คณะสงฆ์อยู่มาได้เป็นพันๆปี สองพันๆปีที่สามแล้ว ไม่ต้องมีไม้เรียวที่ไหนของใครสักอันหนึ่งมาคอยขู่คอยเฆี่ยน ไอ้พวกผู้ดีทำในตัวเองโดยตัวเอง ก็อยู่มาได้อย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าเป็นเรื่องบ้านเมืองเขาก็มีกฎหมายมีตำรวจมีอะไรสารพัดอย่างที่จะควบคุม เดี๋ยวนี้มันควบคุมตัวเองจัดการกับตัวเองได้ไม่ต้องมีใครมาบังคับขู่เข็น นั่นแหละสัญลักษณ์ของผู้ดี ขอให้เราถือเอาความหมายอันนี้เป็นหลักสำคัญที่สุดเถอะ ก็จะเป็นพระภิกษุสงฆ์ที่ถูกต้องที่น่ารักน่าบูชาในพระศาสนานี้ นี่ต้องเรียกว่าหมู่คณะของผู้ดี จะเรียกว่าสัตตบุรุษก็ได้ จะเรียกว่าสุภาพบุรุษอะไรก็ได้ขอให้มันเป็นผู้ดีก็แล้วกัน อย่าต้องมีอาชญาให้มาใช้ ขอให้ทุกคนภูมิใจในความเป็นอย่างนี้ ของสงฆ์ ของสมาชิกแห่งสงฆ์แต่ละคนๆนี่ เป็นผู้เคารพตัวเองนับถือตัวเอง โดยที่ไม่ต้องมีใครมาลงโทษบังคับขู่เข็น ไม่ต้องมีไม้เรียวไม่ต้องมีปืนไม่ต้องมีไม้พลองตะบองเข้ามาคอยตีกัน ก็อยู่มาได้เป็นพันๆปี นี่เรียกว่าเป็นผู้ดีผู้ดีผู้ดี เป็นบุรุษอาชาไนย คำนี้ก็สำคัญมากควรจะจำไว้ อาชาไนยอาชาไนยรู้รอบรู้ทั่วถึง เขาใช้กันมากเขาใช้กับม้าม้า ม้าอาชาไนยคือม้าแสนรู้ ไม่ต้องเฆี่ยนตี ในบาลีมีพูดถึงเอามาเป็นอุปมาให้ภิกษุถือเอาอย่างนั้น ม้าอาชาไนย สารถีถือไม้แส้หรือถือปฏักมา ไม่ต้องใช้ อย่างมากก็เพียงแต่ยกขึ้นยกขึ้น หรือชี้หรือทำสัญลักษณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ต้องเฆี่ยน ไอ้ม้าโง่นี้มันต้องหวดกันไป ไม่สิ้นสุด ม้าขี้เกียจม้าโง่มันต้องลงแส้ลงปฏัก ถ้าม้าอาชาไนยในบาลีเรียกว่าเพียงเห็นเงาแส้มันก็ปฏิบัติหน้าที่ทันทีล่ะ นี้เอามาเป็นหลักตามที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าเป็นบุรุษอาชาไนย อาชาไนย ถ้าเป็นม้าบางทีก็เรียกว่ามโนมัย แปลว่าได้อย่างใจเจ้าของเป็นมโนมัย บุรุษอาชาไนยก็คือว่าไม่ต้องเฆี่ยนไม่ต้องตีไม่ต้องถูกลงโทษไม่ต้องอะไรทุกอย่าง นี่สมาชิกแห่งสงฆ์นั้นเป็นบุรุษอาชาไนย รู้ทั่วถึงรู้เร็วรู้เองรู้หน้าที่รู้หน้าที่ทุกอย่างทุกประการ ไม่ต้องให้บังคับก็ทำ ก็ทำอย่างดีไม่มีโทษนั่นล่ะบุรุษอาชาไนย เป็นอย่างนั้น ถ้าสมาชิกแห่งสงฆ์เป็นอย่างนี้กันหมดแล้วก็ ประเสริฐวิเศษที่สุด อย่างนี้ยังมีที่ไม่เป็นอาชาไนย เป็นคดโกง อย่าไปพูดถึงเลย พูดถึงแต่ที่จะเอาเป็นคติได้ดีกว่า ทีนี้ก็มาดูถึงความที่เป็นรัตนะ เป็นรัตนะหนึ่งในรัตนะทั้งสาม คือเป็นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เป็นรัตนะหนึ่งในรัตนะทั้งสาม ผมขอพูดให้จำง่ายและก็เคยพูดมามากแล้วว่า ให้มีพระพุทธเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่พระสงฆ์เป็นพี่ หมายความว่า มีประโยชน์ที่เราจะต้องมี เราจะต้องมีพี่น้องมีพี่น้องแก่กันและกัน พระพุทธเจ้าเป็นพ่อพระธรรมเป็นแม่แล้วก็ออกมาเป็นลูกๆ พระสงฆ์ทั้งหลายก็เป็นพี่น้องกันแล้วก็มาก่อนก็เป็นพี่ และก็จะเป็นพี่หรือเป็นผู้นำแก่ฆราวาสน่ะฆราวาส ก็มีความประเสริฐที่ตรงนั้นน่ะ ให้เกิดความยินดีเหมือนกับรัตนะแก้วแหวนเงินทองเพชรพลอย แก่ผู้มีผู้ใดมีผู้นั้นจะมีความยินดี อีกอย่างหนึ่งก็คือว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้บอกผู้สอน พระธรรมคือสิ่งที่บอกที่สอน พระสงฆ์ก็คือผู้ที่รับเอามาแล้วก็ปฏิบัติ จึงมีความประเสริฐอยู่ในการที่รับมาปฏิบัติ ทำตนให้เป็นผู้หลุดพ้นจากความทุกข์ แล้วก็บอกสอนต่อๆกันไปต่อๆกันไป นี้ก็เป็นหน้าที่ มีครบเป็นสามอย่างเป็นสามอย่างน่ะ ผู้บอกผู้สอนผู้ปฏิบัติตามนี้ก็เรียกว่ารัตนะด้วยกันทั้งนั้นแหละ พระพุทธเจ้าเป็นรัตนะในฐานะเป็นผู้บอก พระธรรมเป็นรัตนะในฐานะสิ่งที่ประเสริฐแล้วก็นำมาบอกถูกนำมาบอก พระสงฆ์ก็ผู้รับเอาสิ่งประเสริฐนั้นมาแล้วก็ปฏิบัติตามจนมีความประเสริฐ นี้ก็เป็นพุทธรัตนะ พระสงฆ์เป็นรัตนะหนึ่งใน ในสามรัตนะ ทีนี้ก็จะดูความเป็นรัตนะโดยเฉพาะเจาะจงในพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่ทรงมุ่งหมายก็เรียกว่า ๔ คู่ ๘ องค์ ที่เราสวดทำวัตรแล้วก็จะต้องออกทุกครั้ง จัตตาริปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา นับเป็นคู่ได้ ๔ คู่ นับเรียงตัวก็ได้ ๘ นี้คือพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ที่เป็นมรรคกำลังตัดกิเลส ที่เป็นผลที่ตัดกิเลสแล้ว เอาแต่เพียง ๔ ชื่อก็พอ พระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ พระโสดาบันแปลว่าผู้ถึงซึ่งกระแส ถึงซึ่งกระแส คือกระแสแห่งพระนิพพาน อีกความหมายหนึ่งว่าผู้ยืนจรดประตูแห่งอมตะ ประตูอมตะก็คือประตูพระนิพพาน มันยืนจรดประตูเหยียบธรณีประตูยังแต่จะเข้าไป นี่ก็มีความหมาย ก่อนนั้นไม่รู้อยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้มายืนอยู่ที่ประตูอมตะหรือพระนิพพาน นี้ก็คือเลื่อนจากความเป็นปุถุชนมาสู่ความเป็นพระอริยะในอันดับแรก เราดูกิเลสของปุถุชนที่มีอยู่โดยทั่วๆไป หรือว่าความไม่น่าดูของปุถุชนทั่วๆไป แล้วเราก็เอามาเป็นอันดับแรก ปุถุชนมีสักกายทิฐิ ความเห็นว่ากายนี้ของตน มันก็มีความหมายอย่างที่น่ารังเกียจว่าเห็นแก่ตนเห็นแก่ตน ความเห็นแก่ตนนี้เป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดของมนุษย์เรา ทำความชั่วได้ทุกอย่าง เบียดเบียนผู้อื่นได้ทุกอย่าง มันเห็นแก่ตนแล้วก็ไม่เห็นแก่ธรรมะไม่เห็นแก่ความถูกต้อง สมบัติของปุถุชนเต็มขั้นก็คือความเห็นแก่ตน ซึ่งมีอยู่ทั่วๆไปทั่วๆไป เดี๋ยวนี้ยิ่งหนาดกหนาขึ้นตามความเจริญ ความเจริญทางวัตถุทางเนื้อทางหนังนั้นมันส่งเสริมความเห็นแก่ตน เราเห็นกันได้ว่ามันพัฒนากันแต่ในทางวัตถุเมื่อเห็นแก่ตน ก็ยิ่งเห็นแก่ตนมากขึ้นจนปัญหาเต็มไปหมด ปัญหาเล็กๆขี้ผงก็มาจากเห็นแก่ตน ปัญหาใหญ่ระหว่างชาติของโลกนี้ก็เห็นแก่ตน นี่มันเป็นสิ่งที่ต้องละอันแรกนี่สักกายทิฐิ เห็นว่ากายของตน ทีนี้วิจิกิจฉาความไม่แน่ใจว่าอะไรดีอะไรถูกต้อง ไม่แน่ใจแม้แต่ตัวเอง ตัวมันเองมันก็ไม่แน่ใจว่าดีหรือถูกต้อง แล้วมันก็ไม่แน่ใจว่าจะเอาอะไรมาประพฤติปฏิบัติซึ่งเป็นความถูกต้อง มันจึงสงสัยในธรรมะในความดีที่เขายึดถือกันอยู่ว่ามันก็คงจะไม่ดี วิจิกิจฉาสงสัยนี่มันมีไปได้ทุกอย่างทุกอย่าง ไม่เชื่อไม่พอใจไม่นอนใจว่าถูกต้องหรือปลอดภัย สีลัพพตปรามาสข้อที่ ๓ ถือหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องตามความจริงตามเหตุผลของสิ่งนั้น เขามีไว้สำหรับละกิเลส มันก็ไปถือเสียว่ามีไว้สำหรับซื้อสวรรค์ ธรรมะวินัยนี้มีไว้กำจัดกิเลส มันก็ถือไปในทางเป็นของศักดิ์สิทธิ์ทำผู้ปฏิบัติให้เป็นคนศักดิ์สิทธิ์ สีลัพพตปรามาสก็มันไปอยู่ในเรื่องถือว่าเป็นศักดิ์สิทธิ์ว่าขลังว่าอะไรกูดีกว่าใคร ซึ่งเป็นสมบัติของปุถุชน สมบัติของปุถุชนชิ้นแรกก็คืออย่างนี้ เห็นแก่ตน ลังเลในชีวิตจิตใจหรือสิ่งที่จะเป็นที่พึ่ง แล้วก็ยึดถือไปในทางไสยศาสตร์หวาดกลัว ไม่มีตัวธรรมะจริงมีแต่อ้อนวอนบวงสรวงเซ่นสรวงขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยนี้ ก็ดูสิพี่น้องเพื่อนฝูงของเราที่เป็นระดับปุถุชนเต็มขั้นน่ะมันมีเรื่องอย่างนี้ ค่อยๆถอนออกมาถอนออกมาจากไอ้ความโง่ความหลงขั้นพื้นฐานนี้นั่นแหละคือความเป็นโสดาบัน มาถึงกระแสที่จะไหลไปสู่พระนิพพาน ไม่ถอยกลับเป็นธรรมดาน่ะคำนี้ก็สำคัญมากแล้ว ไม่ถอยกลับไม่เวียนกลับมาสู่ไอ้ความเป็นปุถุชนอีกต่อไป ถ้าว่ามาชั่วแล่นแล้วก็ถอยกลับ อย่างนี้ไม่ๆ มันจะไม่เป็นพระโสดาบัน แล้วก็ปิดอบายปิดอบาย คือว่าอบายทั้งหลายถูกปิดแน่นอนสำหรับพระโสดาบัน นี่แม้แต่เพียงขั้นต้นคือพระโสดาบัน น่าประเสริฐน่าเคารพน่าบูชาน่ากราบไหว้น่าอะไรเท่าไรก็ดูเอาเอง ทีนี้ก็เป็นสกิทาคามี ละได้อย่างโสดาบันแล้วเพิ่มความมีศีลสมาธิปัญญาสูงขึ้นไปอีกบ้าง วิเศษออกไปอีกบ้าง นี้ก็เรียกว่าถึงจะกลับมาเป็นความเป็นปุถุชนกลับมาเป็นปุถุชนอย่างนั้นได้อีกครั้งเดียว คือเผลอได้อีกครั้งเดียว ถ้าว่าเอาความเกิดเป็นตัวกูก็จะเกิดตัวกูอีกครั้งเดียว มันก็จะไม่จะเป็นต่อไปอีกข้างหน้า ถ้าเป็นอนาคามีก็ไม่ไม่ไม่เกิดตัวกูอีก ขึ้นไปสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าที่จะเดินต่อไปๆไม่กลับมาเป็นตัวกูอีกได้ จึงละกามราคะปฏิฆะ ละในส่วนกาม กิเลสประเภทกามออกไปได้หมด แล้วก็ปฏิฆะกิเลสประเภทประทุษร้ายโกรธแค้นไปได้หมด เหลืออยู่แต่ประเภทโมหะที่ละเอียด ถ้าละต่อไปก็เป็นพระอรหันต์ ละรูปราคะหลงใหลในรูปธรรม อรูปราคะหลงใหลในอรูปธรรม เขาระบุว่ารูปฌานอรูปฌาน แล้วก็ละอุทธัจจะ ความสะดุ้งที่เราเรียกกันเดี๋ยวนี้ว่าตื่นเต้นตื่นเต้น EXCITE ในสิ่งใดที่มันผิดไปธรรมดาผิดธรรมดา พระอรหันต์ไม่มี แล้วก็ละมานะคือความมั่นหมายว่าเป็นอย่างนั้นมั่นหมายว่าเป็นอย่างนี้ มั่นหมายว่าเป็นตัวกูเป็นของกู กูดีกว่าเลวกว่าเสมอกัน มานะที่เป็นเครื่องวัดจัดชั้นทั้งหลายละได้หมด แล้วก็ละอวิชชาอวิชชาความไม่รู้ยกกระบิไปหมดเลย นี้เป็นพระอรหันต์ ไม่มีอะไรที่จะสูงไปกว่านั้น ละสังโยชน์ ๑๐ ประการได้ทั้งหมด นี่คือพระสงฆ์ที่เรียกว่าอริยะสงฆ์ สงฆ์ตามความหมายสมบูรณ์ ก็ดูเอาเองสิว่าประเสริฐสักเท่าไร เป็นรัตนะรัตนะน่าชื่นใจเป็นกันสักเท่าไร เข้าใจว่าเรียนกันมาแล้วในนักธรรมตรีในนักธรรมโท แต่ยังจะต้องทำความเข้าใจให้เห็นแจ้งต่อไปอีก เพราะมันเรียนมาเพียงแต่จำได้พูดได้ท่องได้ศึกษาให้เห็นตัวจริงว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนั้น แม้ว่าจะโดยคำนวณมันก็รู้ได้ เช่นเรามีสักกายทิฐิเห็นแก่ตัว ก็คำนวณดูถ้าตรงกันข้ามจะเป็นอย่างไร จงรู้จักความเห็นแก่ตัวของตัวเองให้มากมากมาก แล้วก็คำนวณถ้าตรงกันข้ามจะเป็นอย่างไร นี่เป็นเหตุให้รู้จักพระโสดาบัน วิจิกิจฉาเหมือนกันแหละกำลังมีอย่างไรกำลังลำบากอย่างไร ถ้าไม่มีไอ้หมอนี่จะดีอย่างไรจะสงบอย่างไรจะประเสริฐอย่างไรก็คำนวณดูได้ ก็เห็นพระโสดาบันได้ สีลัพพตปรามาสก็เหมือนกันล่ะ อย่าปฏิบัติศีลและพรตโดยถือเอาความมุ่งหมายผิดๆ เพื่อละกิเลสนี่ และเพื่อซื้อสวรรค์ ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อไปสวรรค์นี้มันผิดผิดความประสงค์เดิมผิดเหตุผล และลองคำนวณดูโอ้ถ้าหมดอันนี้จะเป็นอย่างไร เราก็จะรู้จักพระโสดาบันดี ตามลำดับขึ้นไปจนรู้จักพระสกิทาคามีอนาคามี และพระอรหันต์ นี่เราเรียกว่าความเป็นรัตนะของพระสงฆ์ รัตนะนั้นแปลว่าเครื่องให้เกิดความยินดี สิ่งให้เกิดความยินดี ชาวบ้านตามธรรมดาเขาก็มีเพชรพลอยแก้วแหวนเงินทอง เป็นของง่ายเป็นของธรรมดา รู้จักมาตั้งแต่เล็กๆ สอนกันอย่างนั้น ยินดีหลงใหลกันในเพชรพลอยแก้วแหวนเงินทอง บางทีจะมาโดยสัญชาติญาณคือสิ่งที่ทำให้เกิดความสวยงามแล้วก็รัก แม้แต่คนป่า คนป่าป่าแท้ๆนี่ ก็รู้จักเอาเปลือกหอยเอาอะไรต่างๆ มาร้อยประดับตัวมีลูกปัดลูกเปิดมากขึ้นๆ จนกว่าจะมาถึงเพชรพลอยแก้วแหวนเงินทอง แม้แต่ไก่มันก็ยังบ้าสวยบ้างาม อะไรที่ทำให้สวยให้งามมันก็เป็นที่ตั้งแห่งความยินดีโดยสัญชาติญาณ แต่เดี๋ยวนี้มันเป็นคนแล้วมันเป็นมนุษย์ที่สูงกว่าคนไปอีก มันต้องมีความรู้สึกสูงกว่านั้นมันจึงเลื่อนให้ความยินดี หรือเครื่องให้เกิดความยินดีมาอยู่ที่คุณธรรม คุณธรรม คุณธรรม จนถึงคุณธรรมของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์นี่ พระสงฆ์เป็นรัตนะ เป็นรัตนะด้วยกันทั้งนั้น รัตนะสูงสุดอยู่ที่พระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ เอ้า ทีนี้ก็มาดูชนิดหรือประเภทของพระสงฆ์ที่มีอยู่โดยแท้จริงและมีอยู่แล้ว ก็พระสงฆ์โดยวินัยกับพระสงฆ์โดยพระธรรม เรียกรวมกันว่าพระสงฆ์โดยธรรมวินัยแต่แยกกันได้ พระสงฆ์โดยวินัย พอทำพิธีในโบสถ์เสร็จจบญัตติครั้งสุดท้ายที่สามก็เป็นพระสงฆ์ เพียงแต่เอาเครื่องแบบมาสวมก็เป็นพระสงฆ์ ยังไม่เป็นพระสงฆ์โดยธรรม พระสงฆ์โดยธรรมต้องปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องครบถ้วน จึงจะเป็นพระสงฆ์โดยธรรม เสร็จแล้วมันก็เป็นพระสงฆ์ทั้งโดยธรรมและโดยวินัย เดี๋ยวนี้มันต่างกันมากแหละ บ้าๆบอๆอยู่เดี๋ยวนี้ สักแต่ทำพิธีบวชถูกต้องตามวินัยแล้วก็มันเป็นพระสงฆ์ เป็นสงฆ์ แต่มันไม่สมบูรณ์ตามความหมาย มันต้องปฏิบัติวินัยด้วยธรรมะด้วยอะไรด้วยถูกต้องครบถ้วน เหมือนกับทหาร พอจดทะเบียนเสร็จเอาเครื่องแบบมาสวมมันก็เป็นทหาร ทหารใหม่หยกๆ โง่เง่าซุ่มซ่ามอะไรอยู่ก็ได้ มันต้องทหารเคยสนามเคยรบเคยอะไรมาแล้วจึงจะเป็นทหารโดยความหมายที่ถูกต้อง นี่เรียกว่ามีอยู่สองชั้น เป็นสงฆ์ภิกษุสงฆ์โดยวินัยก่อน แล้วก็เป็นโดยธรรมะครบถ้วนแล้วก็ดีที่สุด แล้วยังแยกเป็นประเภทได้อีกว่าเป็นเสขะเป็นอเสขะ ที่ปฏิบัติอยู่กำลังปฏิบัติอยู่ต่อสู้อยู่ประพฤติพรหมจรรย์อยู่นี้ก็เรียกว่าเสขะ คือกำลังปฏิบัติอยู่ ที่ปฏิบัติเสร็จจบแล้วจบพรหมจรรย์แล้วเรียกว่าอเสขะ แต่ท่านยอมรับทั้งสองพวกแหละว่าเป็นอริยะสงฆ์ แม้กำลังปฏิบัติอยู่พยายามอยู่ก็เรียกว่าสงฆ์ทั้งนั้น อริยะสงฆ์ได้ เพราะไม่ได้อยู่เปล่าอยู่เฉยไม่ได้โง่ไม่ได้หลง เดินถูกทางแล้วกำลังปฏิบัติอยู่ก็เรียกว่าผู้กำลังปฏิบัติอยู่ เสขะนั้นแปลว่าศึกษาศึกษาอยู่ จบแล้วก็เป็นอเสขะคือเป็นพระอรหันต์ ก็เป็นอันว่าทั้งสี่จำพวกนั้นแหละ โสดาขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์ก็เป็นสงฆ์ พระโสดาสกิทาคาอนาคายังต้องศึกษายังต้องปฏิบัติต่อไป พระอรหันต์จบการปฏิบัติแล้ว ที่จริงมีคำว่าอริยะสงฆ์แล้วก็แถมว่าที่ยังไม่ได้ทำอะไร สักว่าบวชบวชเข้ามาแล้วเป็นสมมติสงฆ์ ยอมรับว่าเป็นสงฆ์โดยวินัยโดยวินัย ยอมรับว่าเป็นสงฆ์ด้วยเหมือนกัน ชาวบ้านนี่เขาเรียกว่าสมมติสงฆ์ แต่ไม่เคยพบในบาลี คือจะยอมถือว่าแม้จะมันเพิ่งบวชเข้ามาก็เป็นผู้พยายามปฏิบัติ เป็นเสขะโดยอ้อม ยังไม่ถึงขั้นแต่มันก็พยายามปฏิบัติอยู่ ทีนี้ก็มีประเภทว่าเป็นภิกษุสงฆ์เป็นภิกษุณีสงฆ์ นี้ก็เอาเพศเป็นเกณฑ์ เรื่องเพศก็เป็นเรื่องเพศ แต่ว่าไอ้ส่วนที่มันเหมือนกันไม่มีเพศก็คือกิเลสและความทุกข์นี่ กิเลสไม่มีเพศหญิงเพศชาย ความทุกข์ก็ไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งผู้ที่เป็นหญิงเป็นชายมันก็มีกิเลสมีความทุกข์ จึงประพฤติพรหมจรรย์ในความหมายตรงกันตรงกันแม้วินัยจะผิดเพี้ยนกันบ้างตามเพศนั้นไม่เป็นไร แต่โดยธรรมะแล้วมันตรงกันตรงกัน ละกิเลสอย่างเดียวกันรับผลอย่างเดียวกัน ทีนี้ก็ยังมีประเภทที่ว่าเป็นพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา หรือว่าเป็นพระสงฆ์ในศาสนาอื่นนอกไปจากพุทธศาสนา เพราะว่ามีผู้ปฏิบัติอย่างเดียวกันแต่เขาไม่เข้ามาเป็นสงฆ์ไม่เข้ามารวมในคณะสงฆ์นี้ เขาเป็นอิสระอยู่ในป่าในดงที่ไหนก็ได้ ก็เรียกว่าสงฆ์ได้เหมือนกันแหละ ถึงแม้ในศาสนาอื่นซึ่งไม่ใช่พุทธศาสนาเขาก็เรียกว่าสงฆ์เหมือนกัน เพราะมันมีความหมายแต่เพียงว่าเป็นคณะผู้ปฏิบัติอยู่ในอาศรมใดอาศรมหนึ่งเป็นอาศรมชั้นสูง เป็นพวกวรรณะปลัด ( นาทีที่ 35.45 )เป็นพวกประพฤติธรรมในความมุ่งหมายเดียวกัน มันแตกต่างกันบ้างในข้อปฏิบัติ แต่ว่ามันมุ่งหมายจะหลุดพ้นด้วยกันทั้งนั้นแหละ ศาสนาอื่นมันก็มีคณะสงฆ์ของเขา พวกฤๅษีชีไพรมันก็มีมากๆเข้ามันก็เป็นคณะของเขาได้เหมือนกัน นี้เรียกว่าคณะสงฆ์นอกพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้เรานี้เป็นคณะสงฆ์ในพระพุทธศาสนา กำลังปฏิบัติอยู่ตามหลักพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เอ้า ทีนี้จะขอพูดต่อไปในหัวข้อว่าเราจะเป็นกันอย่างไร เราจะเป็นสงฆ์กันอย่างไร บางทีก็จะถามว่าสักเท่าไรด้วยซ้ำไป แล้วเมื่อไรหรือที่ไหน เราจะเป็นสงฆ์กันอย่างไร เป็นอริยะสงฆ์กันอย่างไร หรือพยายามเพื่อเป็นอริยะสงฆ์กันอย่างไร ในคำถามว่าอย่างไรแล้วก็ ไอ้บทที่เราสวดกันอยู่ทุกวันอีกล่ะไม่ไปไหน สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ เอาแต่คำแรก พยางค์แรกมา มาจดจำก็ใช้ได้ว่า สุสุสุปะฏิปันโน อุชุอุชุตรง อุชุปะฏิปันโน ญายะญายะญายะปะฏิปันโน ถูกต้องถูกต้อง สามีจิปะฏิปันโน สามิสามิควรควร สามิว่าควร คือว่าดีสุ ตรงอุชุ ญายะถูกต้อง สามีจิสมควรสมควร นั่นแหละปฏิบัติอย่างนั้นแหละ ก็เรียนกันมาในนักธรรมหรือว่าในนวกภูมินั้นก็ ได้ยินคำเหล่านี้เอาไปศึกษาใคร่ควรพิจารณาใคร่ควรยิ่งขึ้นไป อย่าให้เลิกกัน ปิดในสมุดแล้วก็เลิกกัน พยายามให้ดีให้ดี คือให้บริสุทธิ์ ให้มันดี มันหมายความว่าดับทุกข์ได้ คำว่าดีดีนี้ในธรรมะนี้มันไม่มีความหมายยุ่งยากอะไร มันดับทุกข์ของตนเองก็ได้ของผู้อื่นก็ได้ มันเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ทีนี้อุชุตรงตรงนี้ ตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ได้ ตรงต่อการดับทุกข์ถูกต้อง ตรงต่อการดับทุกข์ก็ได้ ตรงตรงต่อพระนิพพานก็ได้ นี้เรียกว่าตรง ไม่ออกนอกลู่นอกทางไม่เขวไปข้างนั้นไม่เขวไปข้างนี้ ไม่ไปซ้ายไปขวา ไม่เป็นกามสุขัลลิกาไม่เป็นอัตตกิลมถา อย่างนี้ก็เรียกว่าตรงแล้ว นี้ญายะญายะนี้แปลว่ามันด้วยความรู้ความรู้ที่ถูกต้อง เพราะมีความรู้รู้ว่าถูกต้องอย่างไร ก็ทำไปไปอย่างรู้ไปอย่าง ไปด้วยความรู้นี้เรียกว่าถูกต้องถูกต้อง ที่มีสติสัมปชัญญะรู้ความถูกต้องอยู่เสมอ ทีนี้สามีจิควรควรควร แล้วอย่างสูงก็ควรที่จะบรรลุนิพพาน นั้นควรควรในความหมายที่สูง ควรที่จะบรรลุนิพพาน ปฏิบัตินี้ควรแล้วที่จะบรรลุนิพพาน ไอ้ควรแก่การกราบไหว้นั่นเกินไป ก็ถูกเหมือนกันแหละ ปฏิบัติให้น่าไหว้ก็เรียกว่าควรแก่การกราบไหว้ แต่ถ้ามุ่งหมายไปในความเห็นแก่ตัวอย่างนี้ก็ไม่ไหว ให้มันเป็นความควรที่ว่าเขาจะกราบไหว้เอง แต่ว่าควรที่ความหมายที่สูงก็ควรแก่ความเป็นพระอริยะเจ้า มันก็ควรแก่พระนิพพาน ควรแก่พระนิพพาน ทีนี้ถ้าถามว่าสุอุชุญายะสามีจินั้นเป็นหลักปฏิบัติ ทีนี้ก็ปฏิบัติจริง ปฏิบัติจริงมันก็ออกมาจากไอ้สี่คำนี้อีกนั้นแหละ เรียกว่าปฏิบัติจริงปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติถูกต้องปฏิบัติสมควรแล้วก็เรียกว่าจริงจริงจริง แต่มันก็ยังมีสิ่งที่สำคัญ มันต้องมีความจริงคือความเสียสละจริง ขยายออกไปเป็นจริง ว่าบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงรู้จริงสั่งสอนต่อไปจริงนี่ เอาจริงอย่างนี้กันสิ เมื่อบวชนี้ก็บวชให้จริงเมื่อเรียนก็เรียนให้จริงเมื่อปฏิบัติก็ปฏิบัติให้จริง ถ้ารู้ก็รู้จริงคือไม่รู้ผิด แล้วก็ช่วยสอนผู้อื่นต่อไปจริงจริงจริง บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงรู้จริงปฏิบัติจริงสอนต่อๆกันไปจริง นี้เรียกว่าจริง และด้วยความเสียสละสูงสุด ในบาลีก็มีคำว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา นี่ช่วยจำไว้ด้วยเป็นคำในพระบาลีเลย ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ขอถามตรงๆว่าทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ใครเคยประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เคยอดกลั้นอดทนจนน้ำตาไหล มันจะมีโอ้กูไม่เอากับมึงสึกดีกว่า น้ำตาไม่ทันออก กูไม่เอากับมึงสึกดีกว่ามันก็สึกสึกสึกสึกไป คำว่าประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตาเลยไม่มีความหมายสำหรับคนพวกนี้ แต่ในบาลีเขามีว่ามีคน สมาชิก พระ ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ยากลำบากอย่างไรก็ต่อสู้ต่อสู้จนน้ำตาไหล ไหลแล้วไหลอีกไหลแล้วไหลอีกในการประพฤติศีลสมาธิวิปัสสนา ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา แต่ถ้าทำมาหากินจะขอลูกสาวเขาสักคนน่ะมันทำได้ มันทำได้มันทำได้ด้วยน้ำตา แต่ทีประพฤติพรหมจรรย์มันทำไม่ได้นี่ เลยไม่มีเลยไม่มีพวกเราที่ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา ช่วยจำกันไว้หน่อยว่ามันถึงขนาดที่เคยมีมาแล้วก็ไม่สึกไม่สึกเด็ดขาด ประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา นี้ว่าจะปฏิบัติกันอย่างไร ปฏิบัติ สุอุชุญายะสามีจิ แม้จะต้องแลกเอาด้วยน้ำตาก็เอาเอาเอา ยอมแลกเอาด้วยน้ำตา นี้เรียกว่าจริงมันจริงมันถึงขนาดที่แลกเอาด้วยน้ำตา บวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงรู้จริงสอนจริง ถ้าจะถามว่าปฏิบัติกันสักเท่าไรก็ต้องปฏิบัติจนกว่าจะถึงที่สุด ถ้าภาษาไอ้ชาวบ้านก็ว่าตายหรือนิพพาน จะปฏิบัติจนตายถ้ามันไม่ได้รับก็ปฏิบัติจนตาย ถ้ามันได้รับก็ถึงนิพพาน ไม่ตายก็ต้องนิพพานสองอย่างนี้เท่านั้น เท่านั้นแหละดี ปฏิบัติกันเท่านั้นแหละมันดีมันดี ส่วนที่ไหนหรือเมื่อไรนั้นน่ะ ก็ที่เหมาะสมนั้นน่ะ ในที่ๆเหมาะสมที่สะดวกต่อการปฏิบัติ แล้วก็เมื่อไรก็เมื่อโอกาสมีเมื่อไรก็ไม่ทิ้งโอกาสไม่ละโอกาสปฏิบัติทันที นี้ปฏิบัติอย่างนี้ ทีนี้มาดูกันในอีกแง่หนึ่งว่าหน้าที่โดยหน้าที่หน้าที่ คำว่าหน้าที่หน้าที่นี้ ในภาษาไทยดูมีความหมายน้อย แล้วก็บางทีเป็นสิ่งที่ไม่อยากจะทำ แต่คำว่าหน้าที่นั้นมันตรงกับคำบาลีว่าธรรมะธรรมะ นี้ช่วย ช่วยช่วยช่วยรู้แล้วก็ช่วยจำด้วย ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หน้าที่เรียกว่าธรรมะโดยภาษาบาลี ธรรมะคือหน้าที่ ถ้าถามว่าธรรมะคืออะไรก็ตอบว่าธรรมะคือหน้าที่ อย่าตอบอย่างที่เขาสอนกันในโรงเรียนว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตัวธรรมะแท้ๆไม่ได้แปลว่าคำสอน มันแปลว่าหน้าที่ แต่เขาสอนเรื่องหน้าที่ คำสอนนั้นอีกคำหนึ่งเขาใช้เรื่องหน้าที่ หน้าที่มันอีกคำหนึ่ง ฉะนั้นหน้าที่นั้นไม่ใช่ตัวธรรมะ เอ้ย คำสอนนั้นไม่ใช่ตัวธรรมะตัวหน้าที่ที่เอามาสอนนั้นคือตัวธรรมะ ฉะนั้นหน้าที่คำนี้มันใช้กันมาก่อนก่อนพุทธกาลก่อนพระพุทธเจ้า หรือว่าก่อนเกิดความรู้อย่างอื่นก็ได้ มนุษย์ในสมัยหนึ่งยังไม่เจริญเท่าไรนัก แต่มันก็ฉลาดพอที่จะมองเห็นความจริงของธรรมชาติว่าไอ้สิ่งที่เราต้องทำนั้นน่ะสำคัญมาก ไม่ทำก็ตาย จะเป็นเรื่องทำนาทำสวนหรือทำอะไรก็ตาม เลี้ยงสัตว์ก็ตามอะไรก็ตามที่เขาทำอยู่ เขาก็มองเห็นคุณค่าของมัน โอ้นี่ถ้าไม่ทำมันไม่ได้นี่ ถ้าไม่ทำมันตายนี่ แล้วคำที่ไม่เคยพูดมาก่อนก็หลุดมาจากปากว่าหน้าที่หน้าที่หน้าที่ แต่มันเป็นภาษาอินเดียโบราณโน้นมันว่าธรรมะธรรมะธรรมะ หน้าที่หน้าที่ ถูกมองเห็นแล้วเอามาพูดเป็นคำพูดขึ้นมาว่าธรรมะในภาษาอินเดียนี้ หรือว่าหน้าที่ในภาษาไทยเรา แล้วก็มีพูดกันในทุกภาษาล่ะ หน้าที่หน้าที่ แล้วรู้ความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่หน้าที่ไม่ทำก็คือตาย จงศึกษาหน้าที่หน้าที่โดยธรรมชาติก่อนสิ แล้วจึงเข้าไปสู่ศาสนา โดยธรรมชาติมันมีหน้าที่ชีวิตต้องมีหน้าที่ บรรดาสิ่งที่เรียกว่ามีชีวิตแล้วต้องมีหน้าที่มิฉะนั้นมันตาย ชีวิตไหนที่ไม่ทำหน้าที่ ต้นไม้ต้นไร่นี้ก็ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลา แม้กลางคืนอย่างนี้มันก็ทำหน้าที่ชนิดหนึ่ง เรียนเรื่องต้นไม้เรื่องชีววิทยามาแล้วก็รู้ว่ามันทำหน้าที่ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้แต่การนอนมันก็เป็นหน้าที่ ไม่นอนมันก็ตายเหมือนกันไม่พักผ่อนเสียเลย ทีนี้สัตว์เดรัจฉานก็ทำหน้าที่ ไม่ทำหน้าที่ก็ตายเหมือนกัน ไม่กินไม่ถ่ายไม่อะไรมันก็ตาย คนก็ต้องทำหน้าที่หน้าที่ ส่วนลึกไอ้เซลล์ตัวเซลล์ทุกๆเซลล์เป็นล้านล้านล้านล้าน มันก็ทำหน้าที่ มีชีวิตสดชื่นอยู่เป็นเซลล์ มันก็ทำให้ไม่ตาย ถ้าเซลล์เหล่านั้นหยุดทำหน้าที่เป็นเซลล์ที่ตาย ทั้งคนมันก็ตายวูบเดียวไม่ทันรู้ นี่มันอยู่ด้วยหน้าที่ของสิ่งที่มีชีวิตแล้วก็ทำหน้าที่ กลุ่มแห่งเซลล์ก็ทำหน้าที่ประกอบมาขึ้นเป็นอวัยวะ เป็นเนื้อเป็นเลือดเป็นกระดูกเป็นอะไรมันก็ทำหน้าที่ของมัน เป็นแขนเป็นขาเป็นมือเป็นตีน มันก็ทำหน้าที่ของมัน ชีวิตมันอยู่ด้วยหน้าที่นี้ตามธรรมชาติ ฉะนั้นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่มันก็สูงๆ สูงขึ้นมา จนเป็นหน้าที่ในระดับที่ว่าดับทุกข์ดับความทุกข์ คือหน้าที่ของพรหมจรรย์ประพฤติพรหมจรรย์นี้ นี้ก็ประพฤติหน้าที่เพื่อดับทุกข์ พระสงฆ์เราจึงมีหน้าที่ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อดับทุกข์ และแถมยังจะสอนสอนผู้อื่น สอนผู้อื่นก็เป็นหน้าที่ พระพุทธเจ้าท่านประสงค์ให้ช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนา แต่ว่าหน้าที่เบื้องแรกที่สุดก็คือช่วยตัวเอง ท่านตรัสให้บุคคลให้มาเป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ท่านก็มามามาประพฤติพรหมจรรย์เท่านั้นแหละ ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ มามามาประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งความทุกข์ นั่นคือท่านชวนมาทำหน้าที่ แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์มาก่อนบวชแล้วก็ไม่ต้องประพฤติพรหมจรรย์หรอก ก็ประพฤติแล้ว แต่มาประพฤติพรหมจรรย์ชนิดที่เสวยผลของพรหมจรรย์ ไม่ใช่เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ ก็หมายความเมื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ของตัวได้แล้วก็ทำหน้าที่สอนผู้อื่นต่อไป พรหมจรรย์จึงมีความหมายทั้งในการปฏิบัติบรรลุ แล้วก็เสวย ทั้งเสวยผลของการประพฤติพรหมจรรย์ ก็อยู่ในพรหมจรรย์ด้วยเหมือนกัน ปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้แล้วก็อยู่ด้วยความดับทุกข์นี้ก็เรียกว่าพรหมจรรย์ได้ ทีนี้เรามีหน้าที่ที่จะต้องกระทำต่อตนเองอย่างนี้ แล้วก็มีหน้าที่ที่จะต้องกระทำต่อผู้อื่น ถ้าตัวเองประพฤติพรหมจรรย์ถึงที่สุดแล้วก็เหมาะสมอย่างยิ่งถูกต้องอย่างยิ่งที่ว่าจะช่วยผู้อื่นและสอนผู้อื่น แต่ก็มีหลักเกณฑ์อยู่ว่าแม้ไม่ถึงที่สุดยังไม่เป็นพระอรหันต์นั่นก็สอนผู้อื่นได้เท่าที่ตัวรู้ เท่าที่ตัวทำได้ อย่าไปสอนในสิ่งที่ตัวไม่รู้ไม่ทำไม่ได้ อย่างนั้นอย่างนั้น อย่างนั้นใช้ไม่ได้ แต่ว่าสอนได้เท่าที่ตัวเองรู้เท่าที่ตัวเองรู้ นี่ขอให้ถือว่าเป็นหน้าที่เป็นหน้าที่ ชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งเรียกภัทรวัคคีย์นี้ไปอ่านดู ไม่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็บวชให้แล้วก็ส่งไปสั่งสอนเหมือนกันแหละ เขารู้เท่าไรเขาก็สั่งสอนเท่านั้นแหละเป็นความถูกต้อง เขาเรียนเพียงนักธรรมตรีรู้เท่าไรก็สอนได้เท่ารู้ก็ได้เหมือนกันล่ะ นี้ก็เรียกว่าช่วยผู้อื่น หน้าที่ที่จะกระทำต่อผู้อื่น ทีนี้หน้าที่ที่จะสนองพระพุทธประสงค์ เราต้องสนองพระพุทธประสงค์ตามที่ทรงประสงค์อย่างไรก็คือช่วยผู้อื่นช่วยผู้อื่น ประกาศพรหมจรรย์ต่อไป ก็เรียกว่าหน้าที่ต่อพระศาสนา คือสืบอายุพระศาสนา แล้วก็หน้าที่ต่อโลกโลกทั้งโลกที่ว่าเขาจะต้องมีธรรมะ เราก็จะต้องช่วยโลก ทีนี้ในวงใกล้ๆก็ต้องช่วยประชาชนในประเทศไทย ก็ต้องช่วยรัฐบาลของประเทศไทยให้สำเร็จประโยชน์ในการมีประเทศไทย นี่ก็ช่วยได้นี้ก็เรียกว่าช่วยช่วยช่วย แล้วก็เป็นหน้าที่ด้วยเหมือนกัน พระสงฆ์จงช่วยตามที่ช่วยได้ คือไม่ผิดธรรมไม่ผิดวินัยนี้ ทีนี้ดูต่อไปถึงว่าอะไรมันเป็นอุปสรรคหรือปิดบังความเป็นพระสงฆ์ ไม่เข้าถึงตัวพระสงฆ์อันแท้จริง ดูชาวบ้านนั้นเป็นหลัก เขาไปยึดถือที่ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองแล้วก็ใช้ได้ เหลืองๆ มันก็ใช้ได้ ไปยึดถือแค่ผ้าเหลืองเป็นพระสงฆ์ แล้วก็ไปยึดถือที่ตัวบุคคลเป็นลูกชาวบ้านเป็นลูกคนนั้นหลานคนนี้เป็นพระสงฆ์ บวชห่มเหลืองเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้หมายถึงผู้ปฏิบัติถูกต้องตามไอ้หลักที่กล่าวแล้วว่าเป็นพระสงฆ์ เดี๋ยวนี้ก็มีพระสงฆ์ที่ทำผิดนอกรีตออกไป นี้ก็เรียกว่าพระสงฆ์ หรือบวชตามประเพณีเท่านั้นแหละ ยังไม่ทันเป็นพระสงฆ์ ถ้าบวชตามประเพณีพอครบแล้วจะสึกอาจจะไม่เป็นพระสงฆ์ก็ได้ คือว่าไม่ได้มุ่งหมายที่จะเรียนจะรู้จะปฏิบัติ บวชจนครบหรือครบครบประเพณีครบเรื่องของประเพณี มีหนักไปกว่านั้นอีกก็คือ พ่อตาแม่ยายในอนาคตน่ะมันเกี่ยงให้บวชเสียก่อน คนอย่างนี้ก็แย่คือไม่ไม่มีความเป็นพระสงฆ์ นี้เรียกว่ามันเป็นอุปสรรคหรือทำความยุ่งยากปิดบังความเป็นพระสงฆ์ ต้องต้องอะไร ต้องเพิกถอน ต้องฉีกทิ้งไปให้หมด ให้มันมีความถูกต้อง เนื้อแท้ของความเป็นพระสงฆ์ดังที่กล่าวแล้ว ทีนี้ก็จะดูกันไปในแง่อื่นดูกันให้หมดทุกแง่ก็พูดมาแล้วข้างต้น คือปัญหาที่มันได้มีมาแล้วและมันกำลังจะมีอยู่ด้วย คือว่าพระสงฆ์กับกาฝากสังคมกาฝากสังคม มันมีปัญหาเรื่องนักบวชนักบวชมันเป็นกาฝากสังคมหรือไม่ ไม่ทำนาไม่ทำไร่ไม่ทำอะไร มีแต่ชาวบ้านประชาชนเขาเลี้ยงเลี้ยงเลี้ยงเลี้ยง ประชาชนต้องทำหน้าที่เผื่อเลี้ยงนักบวชเหล่านี้ แล้วนักบวชเหล่านี้ทำอะไร ถ้าไม่ทำอะไรก็เป็นกาฝากสังคม แต่ถ้ามันทำประโยชน์ถูกต้องคุ้มกันอย่างพระสงฆ์ที่ถูกต้องพระสงฆ์ที่ถูกต้องนี่ ไม่เป็นกาฝากสังคม ในประเทศอินเดียพูดกันถึงเรื่องนี้แหละ อย่างยิ่ง ในสมัยเนรูห์ สมัยเนรูห์เป็นนายก ปรากฏตามสถิติว่ามีนักบวชนักบวชนักบวชฮินดู ห้าล้านคนห้าล้านคน คิดดูสิว่าคนห้าล้านคนมันจะกินจะใช้อะไรเท่าไร ประชาชนเลี้ยง เขามองกันในแง่เป็นกาฝากสังคม ทำให้สังคมต้องเลี้ยงต้องลำบาก ถ้ามองอย่างนั้นมันก็เป็นกาฝากสังคม แต่ถ้าว่ามองในด้านลึกเข้าไปอีกด้านจิตใจก็ว่า นักบวชเหล่านั้นมันทำให้ประชาชนยึดมั่นอยู่ในความดีในศาสนาในธรรมะ อย่างนี้แล้วก็ไม่ใช่ไม่ใช่ เพียงแต่ให้ประชาชนนิยมอยู่ในความดี มันก็คุ้มค่า ผมสังเกตเห็นว่าทำไมอินเดียจึงไม่เป็นคอมมิวนิสต์กันทั้งประเทศ เป็นน้อยมากเป็นสมัครเล่นน้อยมากในอินเดีย ก็เพราะมันมีส่วนลึกของจิตใจที่มันฝากไว้กับไอ้ศาสนาโดยนักบวชโดยนักบวชที่เคารพนับถือกันที่สุด มันก็ป้องกันการเป็นคอมมิวนิสต์ได้ อย่างมากมายมากมาย คอมมิวนิสต์นี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในประเทศอินเดีย บางทีก็จะเป็นเพราะอิทธิพลของนักบวชห้าล้านคนนั้นก็ได้ ใครมองดูให้ดี แต่มีพวกหนึ่งมองเป็นกาฝากสังคม แต่ถ้ามองกันให้ดีมันอาจจะมีอะไรส่วนลึก ยิ่งการนับถือตามประเพณีนับถือพระสงฆ์ตามประเพณีมันก็ยังมีส่วนดีที่ว่าให้ยึดมั่นอยู่ในความดีความถูกต้อง ที่นิยมกันมาแต่เดิม เพราะมันโง่นี่ทำอย่างไรได้มันก็ยึดถือได้น้อย แต่มันก็ยึดถือในความดีในความถูกต้อง มันก็เหมือนกับว่าใส่ไว้ในกรงก็ปลอดภัย ไอ้สัตว์ตัวเล็กๆ ไม่ไม่แข็งแรงอ่อนแอก็ต้องใส่ไว้ในกรง กรงเป็นช่วยค้ำให้ปลอดภัย ศาสนาแม้ที่เป็นชนิดงมงายเรียกว่างมงายก็ได้ คือไม่รู้ตามความเป็นจริงแต่ถือตามประเพณีตามธรรมเนียมมันก็ยังมีประโยชน์นะ ไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ มันทำกรงใส่คนเหล่านี้ไว้อย่าให้พลัดไปสู่ไอ้ลัทธิอื่นซึ่งมันเลวร้ายกว่า นักบวชจะเป็นกาฝากสังคมหรือไม่ก็ขอให้ดูกันในลักษณะนี้ แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์อะไรเลยก็ ก็ได้ เป็นกาฝากสังคมโดยสมบูรณ์ เอ้า ดูในเมืองไทยเรานี้ก็มีเหมือนกันที่นับถือศาสนาโดยงมงาย แต่ก็มันยังมีผลไปในทางดี เหนี่ยวรั้งคนไว้ในพุทธศาสนา ไม่ต้องไปเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ต้องเป็นอะไรที่มันร้ายกว่า ร้ายไปกว่าความงมงาย ฉะนั้นช่วยกันปรับปรุงให้นักบวชทั้งหลายมีคุณค่าสมกับค่าข้าวสุก พูดภาษาหยาบคาย คุ้มค่าข้าวสุก ก็ไม่เป็นกาฝากสังคม แต่ถ้าเป็นภิกษุสงฆ์ที่ถูกต้องมันก็เป็นเพชรเป็นพลอยเป็นของที่มีค่าไปเลย สุนัขก็ทำงานคุ้มค่าข้าวสุกแมวก็ทำงานคุ้มค่าข้าวสุกไก่ก็ทำงานคุ้มค่าข้าวสุก ดูมันขันตามเวลาแทนนาฬิกาปลุก มันก็ทำงานคุ้มค่าข้าวสุกนั้นเป็นส่วนสำคัญ ฉะนั้นขอให้เคารพหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่แล้วก็จะป้องกันได้ ไม่เป็นกาฝากสังคม ไม่เป็น ไม่มีทางที่จะเป็นกาฝากสังคม พระอริยะบุคคลนั้นไม่มีทางที่จะเป็นกาฝากสังคม ท่านให้ผลเกินค่าเพียงแต่มีไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างก็คุ้มแล้ว มีไว้เพิ่มไอ้ความสันติสุขสันติภาพในโลกนี้ก็คุ้มแล้ว พระอริยะบุคคลไม่มีปัญหาเรื่องที่จะเป็นกาฝากสังคม แต่ที่ไม่ใช่อริยะบุคคลนี้มันจะต้องคิดต้องนึก ทำตัวอย่าให้บกพร่องในหน้าที่ ก็ใช้ได้ ทำตัวเพียงแต่ทำตัวให้สามารถรักษาพุทธศาสนาไว้ได้ นี้ก็วิเศษมาก พาไปได้ไปสู่ความเจริญเจริญเจริญก็ยิ่งวิเศษยิ่งขึ้นไปอีก ขอให้เป็นที่ปลอดภัยไว้วางใจได้ว่าเราไม่เป็นกาฝากสังคม ไม่เป็น ไม่เป็นโดยแน่นอน เรียกว่าเกินค่าข้าวสุก ประโยชน์ที่ทำให้แก่สังคมนั้นน่ะมากกว่าค่าของข้าวสุก คือปัจจัยทั้งสี่ก็แล้วแต่ เป็นแน่นอน ขอให้เป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้จะมองดูสิ่งที่โลกเขาต้องการ สิ่งที่โลกเขาต้องการ มนุษย์ในโลกที่มีสติปัญญาถูกต้องย่อมต้องการสันติภาพ ต้องการสันติภาพ ส่วนที่เป็นอันธพาลน่ะ ชาวโลกส่วนที่เป็นอันธพาลน่ะเขาต้องการสิ่งที่สนองกิเลสตัณหาของเขา ความเห็นแก่ตัวของเขาต้องการอะไรเขาต้อง เขาต้องได้สิ่งนั้น เขาไม่รู้ไม่ยอมรับรู้สันติภาพหรือไม่สันติภาพไม่รู้ ฉันต้องการแต่สิ่งที่ความอยาก ความรู้สึกของฉันต้องการ นี้พระสงฆ์เราก็ทำหน้าที่ตรงกันข้ามจากอันธพาล พวกอันธพาลก็จะเห็นว่าพระสงฆ์นี่บ้าบอครึคระอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้ทำอย่างเดียวกับที่เราต้องการ ถ้าฝ่ายอันธพาลถูก ฝ่ายพระสงฆ์ก็บ้า ถ้าฝ่ายพระสงฆ์ถูกฝ่ายอันธพาลนั่นแหละบ้า พระศาสนาเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติดทุกชนิด ยาเสพติดอย่างวัตถุที่ดูดดื่มก็ตาม ยาเสพติดอย่างสูงคือกามารมณ์ก็ตาม พระสงฆ์ผู้ถือศาสนาเป็นเครื่องกำจัดยาเสพติด แต่อันธพาลมันกลับเห็นเป็นว่าเป็นยาเสพติด พระสงฆ์ใช้ยาเสพติดหว่านล้อมประชาชนไว้ในอำนาจคือศาสนานี่ พระสงฆ์กลายเป็นผู้หว่านยาเสพติด คล้องหรือผูกประชาชนไว้ในอำนาจ อย่างนี้มันสวนทางกันอยู่เป็นสองพวก เราจะต้องเป็นพระสงฆ์ชนิดที่กำจัดยาเสพติด หรือว่าเป็นผู้ที่ช่วยให้โลกมีสันติภาพ ช่วยจำกัดวิกฤติการณ์ วิกฤตการณ์น่ะคำที่เค้าใช้ๆกันอยู่ สิ่งเลวร้ายในโลกทั้งหลายทุกชนิดทุกระดับเรียกว่าวิกฤตการณ์ พระสงฆ์จะช่วยกำจัดวิกฤตการณ์ หน้าที่โดยตรง โลกก็ต้องการ ขอให้พยายามทำตนให้เป็นพระสงฆ์ในลักษณะนั้น สรุปความแล้วก็คือช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวช่วยจำไว้ให้ดี ศัตรูเลวร้ายที่สุดทุกชนิดทั้งหมดทั้งสิ้นคือความเห็นแก่ตัว ผมพูดจนเหนื่อยแล้วก็ซ้ำซากจะขี้เกียจฟังแล้ว ความเห็นแก่ตัวความเห็นแก่ตัว มันเป็นไอ้ศัตรูตั้งแต่จุดเล็กที่สุดจนถึงทั้งโลก มันสร้างปัญหามันสร้างวิกฤตการณ์ เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ไม่ทำงานมันขี้เกียจมันแต่จะเอาผลงาน มันจะไม่ทำหน้าที่แต่มันเรียกร้องสิทธิ แล้วมันไม่สามัคคี ใครนะที่จะเรียกร้องให้สามัคคีกันเพื่อประเทศชาติ คนเห็นแก่ตัวมันไม่เอามันคอยเอาประโยชน์ มันไม่สามัคคีแล้วมันยังอิจฉาริษยาเสียด้วย มันอิจฉาริษยาไม่ยอมให้ใครดีกว่าตนนั้น แล้วมันก็ทำปัญหาทุกอย่าง เห็นแก่ตัวแล้วก็สร้างมลภาวะ ไม่ช่วยกันกำจัดมลภาวะ ผมจนพูดยั่วโทสะคนกรุงเทพว่า ทั้งกรุงเทพทำไมปราบยุงไม่ได้ คนทั้งกรุงเทพกี่ล้านคนทำไมปราบยุงไม่ได้ เพราะมันมีแต่ความเห็นแก่ตัวนี่ ที่วัดชลประทานครั้งหนึ่งผมไป ร่องน้ำข้างส้วมน่ะลูกน้ำยั้วเยี้ยยั้วเยี้ย เด็กวัดตั้งฝูงไม่มีประโยชน์อะไร มันอะไรมันคืออะไร มันคือความเห็นแก่ตัว ในห้องส้วมห้องหนึ่งที่ผมเข้าไปแล้วต้องรบกับยุง ปัดยุงไม่ไหวยุงอื้อไปหมด เด็กคนเดียวมันก็ปราบได้นะเพียงแค่นั้นแต่มันก็ไม่ทำทั้งมีทั้งฝูง นี่เรียกว่าคนกรุงเทพตั้งห้าล้านมันก็ปราบยุงไม่ได้เพราะอะไรเพราะความเห็นแก่ตัว มลภาวะเต็มไปหมดก็เพราะความเห็นแก่ตัวนั้น อันธพาลเต็มไปหมดก็เพราะเห็นแก่ตัว เพิ่มภาระให้ คือต้องสร้างเรือนจำเพิ่มต้องสร้างตำรวจเพิ่มสร้างศาลเพิ่มสร้างโรงพยาบาลบ้าเพิ่มนี่ก็เพราะเห็นแก่ตัวเห็นแก่ตัว หมดความเห็นแก่ตัวมันก็ไม่มี ไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันมีไปถึงว่ามีกิเลสมีความทุกข์เกิดความทุกข์ ไม่ดับทุกข์ไปนิพพานไม่ได้ก็เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว มันก็จะเอาแต่ได้เอาแต่ได้กูได้นั่นแหละถูก กูได้นั่นคือยุติธรรม ยุติธรรมคือกูได้ ถูกต้องคือกูได้ ไม่ไม่มองอย่างอื่นหมด นี่คือความเห็นแก่ตัว มันจะกลายเป็นทุกคนเห็นแก่ตัวในโลก พวกนายจ้างก็เห็นแก่ตัว พวกลูกจ้างก็เห็นแก่ตัว คนรวยก็เห็นแก่ตัว คนจนก็เห็นแก่ตัว ผู้เลือกผู้แทนก็เห็นแก่ตัว ผู้แทนก็เห็นแก่ตัว คุณดู มันทำกันด้วยความเห็นแก่ตัว โลกมันก็ยิ่งเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว ก็มีอุตสาหกรรมมาผลิตวัตถุปัจจัยให้ความเอร็ดอร่อยสวยงามมันก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ระวังอุตสาหกรรมมันจะพาโลกฉิบหาย เพราะมันผลิตแต่สิ่งส่งเสริมกิเลสส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ผมไม่บูชาอุตสาหกรรมเพราะเหตุนี้ เราจะต้องรู้ความจริงลึกลับข้อนี้ที่ว่าความเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาต้องการจะกำจัดความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นแหละ สอนไว้ดีแต่สาวกแหละไม่ปฏิบัติ และศาสนาเห็นแก่ตัวเสียเอง จะทำลายศาสนาอื่นโน่น เจ้าหน้าที่นะไม่ใช่ตัวศาสนา เจ้าหน้าที่ของศาสนามันทำในนามของศาสนา มันจะกำจัดศาสนาอื่นเอาเปรียบศาสนาอื่นแย่งชิงสมาชิกบ้างอะไรบ้างก็เพราะความเห็นแก่ตัว น่าสงสารที่ทุกศาสนาสอนการกำจัดความเห็นแก่ตัวแต่สาวกไม่ปฏิบัติ โดยส่วนตัวก็ตามโดยส่วนรวมก็ตามมันไม่ปฏิบัติ ความเห็นแก่ตัวมันก็เต็มโลก ผมฝันต้องเรียกว่าฝันคือมันอยู่ มันไกลเกินกว่าที่จะทำได้ ที่จะเรียกร้องขอร้องให้ทุกๆศาสนามาประชุมกัน หาวิธีกำจัดความเห็นแก่ตัวในโลกนี้ในโลกนี้ ไม่ใช่รวมศาสนาหรอก มันรวมไม่ได้หรอก ศาสนาจะมีแต่ศาสนาเดียวนั้นไม่ได้ไม่ได้ต้องมีหลายศาสนา ศาสนาหนึ่งไว้ให้คนโง่ที่สุด ปัญญาอ่อนด้วย ศาสนาหนึ่งไว้ให้คนที่โง่น้อยหน่อย ศาสนาหนึ่งไว้ให้คนฉลาด ศาสนาหนึ่งก็ไว้ให้คนฉลาดที่สุด ฉะนั้นเราไม่อาจจะศาสนาเดียว ต้องมีสำหรับเหมาะแก่คนทุกชั้นทุกชนิดไม่รวมศาสนา แต่ว่าขอความร่วมมือขอความร่วมมือจากศาสนาทุกศาสนาทุกชนิด มาช่วยกันช่วยกันตามวิธีการของตนของตนกำจัดความเห็นแก่ตัวให้หมดไปจากมนุษย์ นี้ทำได้ รวมกำลังกันกำจัดความเห็นแก่ตัว ศาสนาไหนมีวิธีการอย่างไรก็ใช้วิธีการอย่างนั้น ที่เรียกว่าธรรมมาศรมนานาชาติที่สอนโมกข์นอกที่คุณพักกันอยู่นั้นน่ะมีความประสงค์อย่างนั้น แต่มันก็ยังอยู่ในความฝันเพราะมันเป็นเรื่องใหญ่ แต่มันไม่มีหนทางอื่น มันมีแต่หนทางนี้ทางเดียว กำจัดความเห็นแก่ตัวให้มันหมดไปจากโลก ที่จริงมันต้องเป็นหน้าที่ขององค์การใหญ่ๆเช่นองค์การสหประชาชาติที่จะต้องทำอย่างนี้ แต่เขาก็ยังไม่สนใจ ทีนี้สรุปความทั้งหมดที่พูดมา ว่าเราจะต้องเป็นสงฆ์ที่แท้จริงให้ยิ่งขึ้น ขอให้สมาชิกสงฆ์ทุกๆองค์ พยายามให้เป็นสงฆ์ที่แท้จริงยิ่งขึ้น ให้ประกอบไปด้วยคุณธรรมดังที่กล่าวแล้ว แล้วก็มีผลเป็นอาหุเนยยบุคคล อาหุเนยโยปาหุเนยโยทักขิเณยโยนั้นน่ะเหล่านั้น เป็นอาหุเนยยบุคคล ก็คือให้เกิดบุญเกิดความดี ควรแก่ทักษิณาทานที่ชาวโลกเขามีให้ ไม่กลายเป็นกาฝากสังคม คือเป็นปูชนียบุคคล ผู้ที่ทุกคนควรบูชา ปูชนียบุคคลน่ะมันมีความหมายว่าทำประโยชน์ให้ล้นเหลือล้นเหลือจนไม่รู้จะกล่าวกันได้เท่าไร แล้วก็รับประโยชน์เพียงวันล่ะบาตร ไปบิณฑบาตวันล่ะบาตร แต่ว่าประโยชน์ที่ทำให้มันเหลือประมาณมันเหลือประมาณ บวกลบกันแล้วมันมีแต่การให้ นั้นน่ะเป็นปูชนียบุคคลก็อยู่ที่ตรงนั้น ให้ประโยชน์แก่เขามากกว่าที่รับเอามาเลี้ยงชีวิตตนเอง ถ้าครูทั้งหลายทำหน้าที่ของครูโดยสมบูรณ์ก็เป็นปูชนียบุคคล เพราะมันให้มากเหลือเกินให้ทางจิตทางวิญญาณ รับเอามานิดเดียว เงินเดือนเท่านั้นมันก็นิดเดียว ก็เป็นปูชนียบุคคล แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่เอากันนี่ เขาเป็นลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆก็แล้วกัน เขาพร้อมที่จะเอาเปรียบหน้าที่การงานเอาเปรียบโรงเรียนเอาเปรียบนักเรียนเอาเปรียบทุกอย่าง ครูปูชนียบุคคลหายากขึ้นทุกที มีแต่ลูกจ้างสอนหนังสือหากินไปวันๆหนึ่งและพร้อมที่จะเอาเปรียบนายจ้าง คือรัฐบาลหรือทางการที่เป็นนายจ้าง ครูก็ยังพร้อมที่จะเอาเปรียบอยู่นี่ ไม่ใช่นินทาครูแต่พูดความจริงที่ได้เห็นได้ยินได้ฟัง โดยสถิติแล้วยังมีครูจำนวนไม่น้อยที่รักไก่ชนมากกว่ารักนักเรียน มีเวลาอุ้มไก่ชน บางทีจะอุ้มไปโรงเรียนด้วยซ้ำ นี่ไม่ไม่ไม่มีความเป็นปูชนียบุคคล ถ้าว่าทำตนให้ถูกต้องแล้วพวกหมอก็เป็นปูชนียบุคคล พวกตุลาการก็เป็นปูชนียบุคคล เพราะว่าเขาทำให้เกิดประโยชน์มากมายมหาศาล เมื่อเทียบกับประโยชน์ที่เขาได้รับไปเลี้ยงชีวิตล่ะมันนิดเดียว ใครก็ตามถ้าว่าเขาทำหน้าที่ประโยชน์มหาศาล ที่ผมไปแสดงธรรมที่สถานีตำรวจแห่งหนึ่งที่นครศรีธรรมราชก็พูดถึงข้อนี้ ว่าถ้าคุณทำหน้าที่ตำรวจให้สมตามหน้าที่ คุณก็เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้างเฝ้าถนน ไม่มีใครเห็นด้วย เขายังค้านยังล้อเสียอีกว่าไปประจบตำรวจ ถ้าตำรวจมันทำให้คนนอนตาหลับแล้วมันจะไม่เป็นปูชนียบุคคลได้อย่างไร มันเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ได้แท้จริงมันก็จะไม่เป็นปูชนียบุคคลได้อย่างไรเล่า นั้นเราว่าอะไรล่ะ ถ้าทำประโยชน์ให้มากมหาศาลเหนือการที่รับตอบแทนเพื่อยังชีวิต ถ้าเราไม่เลี้ยงดูเขาไม่ให้สิ่งตอบแทนในชีวิตแล้วเขาจะทำหน้าที่ของเขาได้อย่างไร ครูจะเอาอะไรกินล่ะ หมอผู้พิพากษาตุลาการตำรวจจะเอาอะไรกินเล่าถ้าเราไม่ให้เขาในส่วนนั้น ก็ให้ในส่วนเท่าที่ให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้ แล้วให้เขาทำประโยชน์มหาศาล พวกภิกษุเรานี้ก็เหมือนกันแหละรับประโยชน์วันละบาตร แต่จะต้องทำรับสิ่งตอบแทนวันละบาตร จะต้องทำประโยชน์มหาศาลให้แก่เขานี่ ขอให้สนใจ มันมีหน้าที่ว่าเป็นพระสงฆ์เสียเองหรือเป็นผู้อุปถัมภ์พระสงฆ์ เราบวชอยู่อย่างนี้ก็เราเป็นพระสงฆ์ให้เขาอุปถัมภ์ แล้วก็มีทายกทายิกาทั้งหลายทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นผู้อุปถัมภ์ ถ้าเราลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสเราก็ไปเป็นผู้อุปถัมภ์ด้วยเหมือนกัน หน้าที่มันจึงเกิดขึ้นเป็นว่าผู้อุปถัมภ์และผู้ถูกอุปถัมภ์ได้รับความอุปถัมภ์ ขอให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้องไปเสียตั้งแต่บัดนี้ เป็นภิกษุสงฆ์ ไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน ผู้อุปถัมภ์ภิกษุสงฆ์ก็ไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน เลยกลายเป็นสหกรณ์ระหว่างภิกษุสงฆ์กับผู้อุปถัมภ์ภิกษุสงฆ์ เป็นสหกรณ์มหาศาล ทั้งประเทศหรือทั้งโลกก็ได้ นั้นแหละจะเป็นหนทางให้มีสันติภาพขึ้นมาในโลก นี่คือสิ่งที่จะต้องสังวรหรือกระทำในใจทำไว้ในใจ ให้สำเร็จประโยชน์ พูดกันวันนี้ก็เพื่อวัตถุประสงค์อันนี้ ขอให้เราเป็นพระสงฆ์ตามความหมายของสังฆรัตนะ ถูกเป็นสังฆรัตนะ และก็มีชีวิตชนิดประเสริฐและเป็นปูชนียบุคคล โลกเขาต้องการบุคคลชนิดนี้ เราเป็นที่พึ่งของชาวโลกให้ได้ ตามสติกำลังตามสติปัญญา มีสติปัญญาเท่าไรก็ใช้ทั้งหมดเพื่อการนี้ นี่คือความหวังหรือวัตถุประสงค์ของการบรรยายเรื่องที่พูดในวันนี้ โดยหัวข้อว่าพระสงฆ์ของพระพุทธศาสนา ว่าพระสงฆ์ที่โลกต้องการ ว่าพระสงฆ์ที่ควรมีอยู่ในโลก ขอให้อุทิศตนทำหน้าที่ แม้ถึงขนาดที่จะต้องประพฤติพรหมจรรย์ด้วยน้ำตา เอาล่ะขอยุติการบรรยายด้วยความหวังว่า เพื่อนสหธรรมิกทั้งหลายทั้งที่เป็นภิกษุและสามเณร จะได้มีการบวชจริงเรียนจริงปฏิบัติจริงรู้จริงเผยแผ่จริงเป็นปูชนียบุคคลในพระพุทธศาสนา มีความสุขสวัสดีในหน้าที่การงานอยู่ ตลอดทุกทิพาราตรีกาลเทอญ