แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ความเห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องของสัญชาติญาณที่ดำเนินไปผิด จนกลายเป็นเรื่องของกิเลสมันเลยเป็นนิสัย เป็นปรกติ หรือเป็นความรู้สึกพื้นฐานของคนเราไป ถ้าควบคุมไม่ได้มันยิ่งรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้น และก็เป็นอันตราย ความรู้สึกเห็นแก่ตัวนี้ไม่ได้ติดมาแต่กำเนิดโดยตรง ทารกยังไม่รู้จักเห็นแก่ตัว เพราะมันไม่รู้จักแบ่งแยกเป็นบวกเป็นลบ เป็นได้เป็นเสีย เป็นอยู่เป็นตาย แต่ถ้ามันไม่สบาย มันก็ดิ้นรนตามความเจ็บปวด มันพอใจมันก็อยู่สงบ มันยังไม่รู้จักแบ่งแยก จนกว่าทารกออกมาจากครรภ์ เติบโตพอที่รู้จักแบ่งแยกเป็นเรื่องบวกเรื่องลบ คือเริ่มรู้จักอร่อยหรือไม่อร่อย ถูกใจตัวหรือไม่ถูกใจตัว เนี่ยมันจะเริ่มมีความเห็นแก่ตัว ถ้าถูกใจตัวเป็นเรื่องบวกมันก็มีตัวกูบวก และมันก็จะเอา จะได้ จะยึดครอง ทำนองนั้น ถ้ามันไม่ถูกเรื่องของตัวมันก็มีตัวกูลบ มันอยากจะฆ่า มันอยากจะทำร้าย มันอยากจะทำลาย ความรู้สึกอย่างนี้มันก็รุนแรงยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น เป็นความเห็นแก่ตัว ไม่รู้เรื่องความเป็นปกติอะไร มันก็มีกิเลสเกิดขึ้นสองอย่างเคียงคู่กันมา กิเลสฝ่ายบวกคือโลภะ ราคนี่ก็แรงขึ้น กิเลสฝ่ายลบคือโทสะ โลภะก็แรงขึ้น ยังดีที่มันไม่รู้ว่าบวกหรือลบ แรกก็สงสัยจิตใจพัวพันอยู่ด้วยความสงสัย กิเลสประเภทโมหะมันก็เกิดขึ้น แล้วดังนั้น ขอให้มองเห็นชัดว่า ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละคือความเห็นแก่กิเลส เป็นคำพูดที่กำกวมฟังยาก เห็นแก่ตัวกลายเป็นเห็นแก่กิเลส เช่นเราอยากจะนอนอยู่ไม่อยากจะมาทนความหนาว ฟังบรรยายอย่างนี้เอง มันก็เห็นแก่อะไร ก็เห็นแก่กิเลส เห็นแก่กิเลสก็เรียกว่าเห็นแก่ตัว คำมันกำกวมอย่างนี้ ในทางที่กลับกัน ถ้าเห็นแก่ตัวนี่ความหมายตรงกันข้ามมันก็อยากให้ตัวดี อยากให้ตัวดี ก็อดทน เห็นแก่ตัวกลายเป็นเห็นแก่กิเลส แล้วทำไปตามอำนาจของกิเลส และก็ทำลายตัว คำมันกำกวมฟังยากอย่างนี้ ภาษาเห็นแก่ตัวกลายเป็นเห็นแก่กิเลสและก็ทำลายตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผูอื่น มันก็ไม่ได้เห็นแก่กิเลส มันก็เห็นแก่ธรรมะ ที่พูดจากันอยู่นี้มันไม่ถูกต้องหรือกำกวมต้องระวังให้ดี ชี้หลักให้ชัดลงไปเลยว่า เห็นแก่ตัวไม่ได้เห็นแก่กิเลสไม่เห็นแก่ตัวก็เห็นแก่ธรรมะ แก่ความถูกต้องเห็นแก่ผู้อื่น เราความหมายธรรมดารู้สึกว่าธรรมดา เห็นแก่ตัวต้องทำให้ตัวดี ช่วยให้ตัวดีจนต้องได้รับความสุข อย่างนี้ในภาษาศีลธรรมนี้มันเรียกว่า เป็นความถูกต้อง คำว่าเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว เพราะมันจะทำลายตัวเอง และไปทำลายประโยชน์ของผู้อื่นด้วย เห็นแก่ตัวมันกลัดกลุ้มอยู่ด้วยกิเลส นอนหลับยากเป็นโรคประสาท เป็นบ้า และฆ่าตัวตาย มันเป็นบ้าจนฆ่าตัวตาย มันมีมูลมาจากความเห็นแก่ตัว ในความหมายเดียวกับมันเห็นแก่กิเลส ถ้าไม่เห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ผู้อื่นแล้วก็ตรงกันข้าม มันไม่ต้องเป็นโรคประสาทไม่ต้องเป็นบ้า แต่มันกลับทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตัวนั่นแหละ ให้มีความเจริญของตัว และก็ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ได้ช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อเรารู้จักความยุ่งยากกำกวมของภาษากันเสียให้ดีๆ นี่เป็นภาษาอังกฤษนี่มันชัดเจน จำกัด ไม่ปนกัน เห็นแก่ตัวมันเรียกว่า “Selfish” ก็คือ “Selfishness” ความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่เห็นแก่ตัวมันก็ Non คือ Not อะ “Nonselfish , Nonselfishness” ความไม่เห็นแก่ตัว และคำสุดท้ายไอ้คำว่าไม่มีตัว “Selfless , Selflessness” Selfish - เห็นแก่ตัว Nonselfish - ไม่เห็นแก่ตัว Selfless - หมดตัว ไม่มีตัว เห็นแก่ตัว ก็เป็นอย่างว่า นำไปสู่กิเลส แม้กระทั่งว่า ไม่ดูประโยชน์ของใคร ถ้าหลงทางขึ้นมาจริง ๆ เห็นแก่ตัว กลายเป็นฆ่าตัวเองตาย ไม่เห็นแก่ตัวก็ตรงกันข้าม นี่ที่เราต้องการในระดับตรงกลาง ๆ ธรรมดาไม่เห็นแก่ตัว ถ้าสูงไปกันหมดรวมกันเป็นเรื่องพระอรหันต์ เป็นเรื่องที่เรายังไม่ถึง แต่ก็กำลังเดินตามไปทางนั้น เพราะว่าไอ้ทางสูงมันไม่มีทางอื่นนอกไปจาก ไปทางนั้นไปสู่ความหมดตัว หมดความยึดถือว่าตัวมันก็เป็นพระอรหันต์ ดูให้ดีความเห็นแก่ตัว ทำให้อยู่สุขสบายกันทีนี้ เดี๋ยวนี้ในโลกนี้ และก็ไปจนถึงที่สุด มันก็เหนือโลก พ้นโลก กลายเป็นเรื่องของพระอรหันต์ไป ในความกำกวมของภาษา ระวังให้ดี
เรามักจะเข้าใจผิดว่า ถ้าเห็นแก่ตัวก็รักตัวช่วยตัว ทำอะไรตัวนี้ และที่ๆ ใช้ทางศีลธรรมมันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้ามันรักตัว – เคารพตัว – (นาทีที่ 19:10) – พัฒนาตัว นั้นก็ไปเรื่องนึง แต่นี่เห็นแก่ตัว กูจะเอาเท่านั้นแหละ ที่ดีที่จริงที่ถูกนั่น คือกูได้ๆ ตามใจกู นั่นที่ว่าดี ก็คือเห็นแก่ตัว แต่ถ้าผู้ไม่เห็นแก่ตัว มันเป็นเรื่องที่ว่า ไม่ทำลายตัว และทุกคนก็พลอยได้รับประโยชน์ไม่เห็นแก่ตัว นี้สรุปความว่า เห็นแก่ตัว คือเห็นแก่กิเลส ไม่เห็นแก่ตัว ก็ไปเห็นแก่ธรรมะ แก่ความถูกต้อง แก่ผู้อื่น เราต้องรู้จักสิ่งนี้ให้ดีที่สุด ถ้ามันกำลังมีอยู่แก่เรา และกำลังเป็นปัญหาที่สุด ก็เห็นแก่ตัว และอยากจะเรียน อยากจะก้าวหน้านั้นก็ถูกแล้ว ระวังมันจะเกิดมันจะกลายเป็นเรื่องของกิเลสไปเสีย ต้องควบคุม ให้มันเห็นแก่ธรรมะคือความถูกต้อง ไม่ให้ให้มันเห็นแก่ผู้อื่น จึงจะเป็นความเห็นแก่ตัวที่ถูกต้อง นี่คือเรื่องความกำกวมของภาษา ที่นี่ก็จะดูโทษของความเห็นแก่ตัวกันโดยละเอียด ทุกคนมองเห็นได้ แต่อาจจะไม่มองปัญหาทุกชนิด วิกฤตการณ์ทุกชนิด ความเลวร้ายทุกชนิดในโลกมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลย อันที่เกิดแก่ตัวเองก็เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่โลก ทั้งหมดก็เห็นแก่ตัว ที่กรุงเทพฯ มีปัญหาเรื่องมลภาวะ เรื่องสกปรก เรื่องเน่าเหม็น เรื่องรกรุงรัง เรื่องยุง เรื่องไอ้เหล่านี้ มันเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว มันสร้างขึ้นมา ถนนสกปรกเกะกะรกรุงรังเพราะเป็นความเห็นแก่ตัวของคนเหล่านั้น รถชนกันบ้างอะไรกันบ้าง มันก็เกิดอันธพาล คนอันธพาลคนไหนที่ไม่เห็นแก่ตัว อันธพาลเลวร้ายทุกชนิด มันมาจากความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียว มันก็กระวนกระวาย นอนไม่หลับอยู่คนเดียว คือเห็นแก่กิเลสแล้วมันก็เรียนหนังสือ ไม่ได้ใช่ไหม ถ้าตัวมันไปเห็นแก่ตัวคือกิเลส ก็ไปเรียนหนังสือไม่ได้ บางคนต่อรอง นักเรียนบางคนต่อรองกันถึงว่า ทำการบ้านไปพลาง ฟังวิทยุไปพลาง แล้วมันจะทำได้ดีอย่างไร นี่เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้ มันยังทำให้ขี้เกียจซะอีก มันตลกสิ้นดี มันรักตัวมัน อยากให้ตัวดี แต่มันขี้เกียจ เพื่อให้มันสบายกว่า มันรวดรัดเอาความสบายกว่ากันที่นี้ ได้ขี้เกียจ ทั้งที่ว่าพัฒนาตัว ความเห็นแก่ตัวมันจะทำให้อิจฉาริษยา เผาผลาญจิตใจของตัวเองด้วยความริษยา ก็พูดกันแล้วว่าความริษยานี้ ไอ้คนถูกริษยานี้ยังไม่รู้ ยังไม่รู้เรื่อง คนที่ไปริษยาเขาก็ตกนรกทั้งเป็นอยู่คนเดียว
ความเห็นแก่ตัวเป็นบ่อเกิดแห่งความริษยา ถ้าเราไม่ริษยากันมันก็สบายกว่านี้ ความเห็นแก่ตัวทำให้ไม่สามัคคี แม้แต่ในโรงเรียน ในหมู่บ้าน อะไรก็ตาม ความไม่สามัคคี ไม่มีเรียกร้องมาไม่ได้ เพราะว่ามันเห็นแก่ตัว มันขยายออกไปเป็นการกอบโกยประโยชน์ การเอาเปรียบผู้อื่น การวางแผนประทุษร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตัว ทั้งโลกมันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว คอมมูนิสต์ก็เห็นแก่ตัวแบบคอมมูนิสต์อย่างรุนแรง พวกที่มีประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัวตามแบบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง แม้ฟังดูตรงกันข้ามก็เหมือนกับ คือความเห็นแก่ตัวชนิดต่างๆ กันเท่านั้นเอง ที่ว่าไม่เป็นประชาธิปไตยหรือคอมมูนิสต์ มันก็ยังเห็นแก่ตัวอยู่นั่นแหละ เลยไม่ยกเว้นใครในโลก เมื่อเห็นแก่ตัวแล้วก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ต่างฝ่ายต่างรักษาประโยชน์ของตัวเกินไป ฟังกันไม่รู้เรื่อง แล้วก็เกิดขึ้นเป็นความเบียดเบียนใหญ่เกินไป ใหญ่เกินไป จนเป็นสงครามมหาสงคราม ประเทศใหญ่ๆ ทำสงครามเพื่อจะครองโลก เพราะมันเห็นแก่ตัว ไอ้เรื่องเล็กๆ ในบ้านเมืองของเรานี้ บ้านเมืองไหนก็ตามแต่ ประชาชนเห็นแก่ตัวแล้วมันจะเลือกผู้แทนชนิดไหนก็ลองคิดดู ถ้าราษฎร์ประชาชนมันเห็นแก่ตัว มันจะเลือกผู้แทนชนิดไหน ก็ต้องเลือกผู้แทนชนิดที่ให้ประโยชน์แก่กู นี่แสดงว่าผู้แทนก็เห็นแก่ตัว มันจึงจ้างคนให้เลือก ถ้าได้คนชนิดนี้ไปเป็นผู้แทน ก็จะได้ผู้แทนที่เห็นแก่ตัว ถ้าเป็นอย่างนี้ทุกคน เราก็ได้สภาผู้แทนที่เป็นสภาของผู้เห็นแก่ตัว แล้วมันก็ต่อสู้ฟัดเหวี่ยงกันอย่างสนุกไปเลย ถ้าสภาชุดนี้ตั้งรัฐบาล ก็ได้รัฐบาลที่เห็นแก่ตัว แล้วมันจะเป็นอย่างไรบ้านเมือง ดูว่าไอ้ความเห็นแก่ตัวนะ มันลึกซึ้งกว้างขวางยุ่งยากกันสักเท่าไร นักเรียน นักศึกษาเคยมีชื่อเสียงว่าต่อต้านนักการเมือง ก็ดูดีๆ ว่าต่อต้านเพื่อความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า ถ้าต่อต้านเพื่อความไม่เห็นแก่ตัว ต่อต้านเพื่อความถูกต้องมันก็ดีล่ะ แต่ระวังมันจะกลายเป็นต่อต้านเพื่ออะไร อะไรแก่ตัว ไปเสียอีก ยุ่งไม่รู้จบ พัวพันกันทั้งโลก ก็เรื่องความเห็นแก่ตัว และความไม่เห็นตัวซึ่งมันตรงกันข้าม เราดูให้ดีๆ ว่าความเห็นแก่ตัวนี่ เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาแห่งความเลวร้าย ไม่พึงปรารถนาทุกชนิด ทำไมยุงจึงครองกรุงเทพฯ อยู่ ยุงเป็นเจ้าของกรุงเทพฯ เพราะว่าคนกรุงเทพฯ ยังเห็นแก่ตัว มันช่วยกันปราบยุงก็ไม่ได้ ต่างคนต่างเห็นแก่ตัว ไม่มีใครช่วยกันคนละไม้ละมือ ปราบยุงก็ไม่ได้ ทางที่ต่างๆ เดินไปไหนเต็มไปด้วย ร่องน้ำ ลุ่มน้ำ ในห้องส้วมก็เต็มไปด้วยยุง เนี่ยความเห็นแก่ตัว ถ้าจะปราบผักตบชวาก็ไม่ได้ ถ้ามันยังเห็นแก่ตัวอยู่ นี่เป็นเรื่องที่ว่าต่ำสุดก็ยังเป็นปัญหา เพราะความเห็นแก่ตัว ความเอาเปรียบทุกอย่างทุกประการของผู้ขายของ ผู้ผลิตของ ผู้ซื้อของ ผู้บริโภค ก็ล้วนแต่ต่อสู้กันด้วยความเห็นแก่ตัว ผู้ขายอาหารใส่สิ่งที่เป็นพิษลงไปในอาหารเพื่อประโยชน์ของตัว และผู้กินก็ได้รับอันตรายมันทารุณโหดร้าย เราก็ขอทิ้งไว้ไปคิดดูเองเถิด โดยคำท้าทายว่า ไม่มีอะไรเลยที่เป็นความเลวร้าย จะไม่เกิดจากความเห็นแก่ตัว เลวร้ายแก่ตัวผู้นั้น และเลวร้ายแก่สังคม และเลวร้ายแก่โลก เพราะว่าคนมันมีกิเลสนั่นแหละ บนสวรรค์พวกเทวดาก็ยังเห็นแก่ตัวตามแบบเทวดา มีกิเลสแบบเทวดา มันก็ไม่ได้สงบนักหรอก มันก็ทะเลาะกันเหมือนกัน นี่คือโทษความเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว อย่าลืมในข้อที่ว่า พอเห็นแก่ตัวและก็ทำร้ายตนเองตัวเองก่อน นอนหลับยากเป็นโรคประสาท ฆ่าตัวตายแล้วจึงทำร้ายคนอื่น ทำร้ายสังคม ทำร้ายโลก นี่แหละความเห็นแก่ตัว ดูให้ดี มันเลวร้าย พอไปรักมัน มันกัดเรา มันเป็นสัตว์ประหลาดที่ไปรักมันเข้า มันกลับกัดเราเอา กลับทำลาย จะเล่าเรื่องตัวอย่าง จากเรื่องเมื่อเดือนพฤศจิกายน เกิดน้ำท่วมใหญ่ วินาศตายกันไปเยอะ เป็นบ้ากันไปเยอะ คือน้ำมันมาอย่างทะเล ทำลายมาตลอดทาง มีต้นไม้ มีท่อนซุง อะไรมากับน้ำกระทุ้งบ้านเรือนพังทลายสูญหายไป วัดวาอารามก็มากอยู่ เสียหายอย่างมหาศาล น่ากลัวอย่างยิ่ง มันก็มีมูลมากจากความเห็นแก่ตัว ที่ดินบริเวณนั้น ทั้งหมดนั้นมันเป็นต้นน้ำลำธาร มันควรจะสงวนไว้ ผู้เห็นแก่ตัวเป็นแก่ประโยชน์ของตัวก็ไปขอสัมปทาน ความเห็นแก่ตัวไปขอสัมปทานตรงที่ไม่ควรขอ ผู้อนุญาตไม่ควรอนุญาต จะด้วยความเห็นแก่ตัวหรือประโยชน์อันใดก็อนุญาต ทั้งๆ ที่ไม่ควรอนุญาต ผู้ได้สัมปทานได้มาแล้วก็เอากันใหญ่เลย ทำลายกันใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ก็เอาไปขาย ต้นไม้เล็กๆ ก็เอาไปเผาถ่าน เก็บกำไรไปตามเรื่อง จนหมดทั้งต้นไม้เล็ก ต้นไม้ใหญ่ มันก็เปลี่ยนสภาพธรรมชาติ จนชนิดที่ทนน้ำไม่ได้ เผอิญพอดี พังทลายมาเป็นแถบ ทั้งภูเขาทั้งแถบๆ ลงมาอย่างมัจจุราช มันท่วม มันกระทุ้งบ้านเรือน สัตว์ พาหนะทั้งหลายสูญหายตายไป คนสูญหายตายไปก็มีไม่มีอะไรเหลือเลย นอกจากชีวิตก็มี เป็นบ้าก็มี ตายก็มี มันขึ้นอยู่กับความเห็นแก่ตัว แล้วยังมีข่าวไม่ดีว่าการช่วยเหลือ ช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากยังมีการเห็นแก่ตัวของผู้ช่วยเหลือ ไม่เรียบร้อยไม่ถูกต้องก็มี แต่ต้นจนปลาย จาก “ก” ถึง “ฮ” มันก็เป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว นี่เป็นเรื่องบ้านเราง่ายๆ เอาละ เป็นอันสรุปว่า ความเห็นแก่ตัวเนี่ย น่ากลัวนัก น่ากลัวยิ่งกว่าอะไร และโลกนี้กำลังจะวินาศ เพราะความเห็นแก่ตัว คนพวกนึงเห็นแก่ตัวถึงกับผลิตเหยื่อของชี้ชวนมี ชวนใช้ ชวนกิน ชวนซื้อ เป็นอุตสาหกรรมและออกมาขาย ไอ้คนที่ไม่รู้ก็ซื้อมา ไว้ให้รกบ้านเรือนก็มี เอามาทำลายตัวเองก็มี เนี่ยผู้เห็นแก่ตัวยังมีแผนการอย่างนี้ ยังจะดูดทรัพย์ประโยชน์ของผู้อื่นอย่างนี้เป็นนายทุน กระดาษทรัพย์ ผลิตอุตสาหกรรมขึ้นมาสูบเลือด เป็นรายได้ของตัวจากคนทั้งหลาย โลกกำลังเป็นอย่างนี้ จะวินาศ ต่างฝ่ายต่างแข็งขันจะครองโลก มันก็ใช้สงครามมหาประลัย สงครามนิวเคลียร์ สงครามอะไรก็แล้วแต่ โลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว มองดูในแง่นี้กันไว้ด้วย ทีนี้ถ้าไม่มีความเห็นแก่ตัว โลกพระศรีอารยเมตไตรย์จะเกิดขึ้น (นาทีที่ 24.30 – 25.15 เสียงขาดหายและเบามากค่ะ) แง่วินาศทรัพย์กิเลสก็เขียนไว้ ในแง่ที่ตรงกันข้าม ที่ไม่มีกิเลสก็เขียนไว้ (นาทีที่ 25.24 – 26.40 เสียงขาดหายและเบามากค่ะ) ทุกหัวระแหง ถึงกับว่าพอลงไปกลางถนนเดินไปไม่รู้ว่าใครเป็นใคร มีแต่ มิตร กลับมาถึงบ้านแล้วจึงจะรู้ว่าคือนี่บ้านเรา (นาทีที่ 27.00 – 27.25 เสียงขาดหายและเบามากค่ะ) เพราะคนลงเดินไปกลางถนนเหมือนกัน มีความสะดวกมีความสบาย มีต้นกัลปพฤกษ์ ต้องการอะไรไปเอาได้ที่นั้น ยิ่งกว่าสวัสดิการสมัยปัจจุบันไปเสียอีก เพราะความเป็นมิตร เพราะความรัก เพราะความไม่เห็นแก่ตัว เรียกว่าศาสนาพระศรีอารยเมตไตรย์ พวกคอมมิวนิสต์เขาเอาคำนี้มาใช้ล่อหลอกครั้งหนึ่ง เหมือนกับว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์จะนำไปสู่ความเป็นโลกพระศรีอารยเมตไตรย์ได้ทันใจ จนบัดนี้มันก็ยังไม่ได้ เพราะมันมีความเห็นแก่ตัวอยู่นี้ เสรีประชาธิปไตย ก็เสรีคือเห็นแก่ตัว มันจะมีโลกพระศรีอารยเมตไตรย์ได้อย่างไร นอกจากนี้เรายังเลือกผู้แทนด้วยความเห็นแก่ตัวอันนี้ไม่ได้ ถ้ายังมีความเห็นแก่ตัว ถ้าทุกคนพรึบพร้อมกันหมดทั่วโลก ไม่เห็นแก่ตัว โลกพระศรีอารยเมตไตรย์ก็เกิดขึ้นทันที เหมือนอย่างที่ว่ามาแล้ว ทุกคนเป็นมิตร ทุกคนเป็นมิตร รวมเป็นคนๆ เดียวกันทั้งโลก จะมีปัญหาอะไร ที่นี้เรายังตัวมึงก็มึง ตัวกูก็กู ทีนี้ลัทธิการเมืองทั้งหลายตั้งขึ้นมาเป็นลัทธินั้นลัทธินี้ ประชาธิปไตยความเสรีนิยมอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะไปหมด แล้วมันแก้ปัญหาไม่ได้สักนิดนึง เพราะว่าไอ้ลัทธิการเมืองเหล่านั้นมันยังอยู่ภายใต้ความเห็นแก่ตัว มันมีขึ้นเพื่อประโยชน์แก่พรรคของตัวลัทธิของตัว มันไม่ได้ทำเพื่อผู้อื่น ลัทธิการเมืองเหล่านี้ มันจึงแก้ปัญหาไม่ได้ มันไม่ถูกกับเรื่องของธรรมชาติ มิใช่มองกันนิดนึงว่าธรรมชาติกำหนดมาสำหรับอยู่กันมาก ๆ สร้างโลกนี้ขึ้นมาให้มีสิ่งที่มีชีวิต และให้มันอยู่กันมากๆ ให้มันผาสุก เช่น ต้นไม้ก็ต้องมีอย่างอุ่นหนาฝาครั่ง เต็มไปหมด อาศัยซึ่งกันและกัน อาศัยความชื้นของกันและกัน อาศัยกำลังต้านทานลมพายุแสงแดด อะไรด้วยกันและกัน เหมือนกัน เป็นดงทึบ มันอยู่ได้ดี เรียกว่าอยู่กันเป็นสังคม ไม่ใช่อยู่ตัวคนเดียว ต้นเดียว สัตว์เดรัจฉานอยู่กันเป็นฝูง เสร็จแล้วก็เกิดไอ้สัตว์เห็นแก่ตัวทำลาย แต่ถ้าปล่อยให้อยู่กันเป็นฝูง ก็ถูกต้องสะดวกสบาย เสือก็อยู่กันเป็นฝูงๆ กวางก็อยู่กันเป็นฝูงๆ อย่ามาทำลายกัน และมนุษย์ก็ต้องการให้อยู่กันอย่างเป็นฝูงเป็นสังคม ไม่ใช่ให้อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวมันอยู่ไม่ได้ คุณลองคิดดูว่า ถ้าเขาให้เราอยู่คนเดียวในโลก ยกโลกให้ทั้งหมดทั้งโลกให้เราอยู่คนเดียว มันก็อยู่ไม่ได้ มันจะต้องตายด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ไม่ได้ มันตายด้วย ถ้ามันต้องอยู่คนเดียวในโลกกว้างใหญ่นี้ ก็ให้เป็นที่ยุติว่าธรรมชาติมันสร้างมาเพื่ออยู่กันเป็นสังคม ลัทธิเดียวๆ เสรีภาพของคนแต่ละคน (นาทีที่ 31.28 – 31.36 เสียงขาดหายและเบามากค่ะ) เราเลยเสนอชื่อว่าต้องเป็นสังคมนิยมก็ต้องประกอบอยู่ด้วยธรรมะ สังคมนิยมที่เห็นแก่ตัวนี้มันก็ใช้ไม่ได้ เป็นสังคมนิยมที่ไม่เห็นแก่ตัว ประกอบอยู่ด้วยธรรมะถึงจะใช้ได้ มันแสดงความเห็นออกไปเรื่องลัทธิ “ธรรมิกสังคมนิยม” ปรากฏว่าได้รับความสนใจ มีคนแปลไปเป็นภาษาต่างประเทศอยู่เรื่อยๆ หลายภาษาออกไป “ธรรมิก” แปลว่าประกอบอยู่ด้วยกัน ทั้งทุนนิยมก็เห็นประโยชน์ของสังคม จะใช้วิธีไหนก็ได้ แต่ขอให้เป็นประโยชน์ของสังคมอย่างถูกต้อง นี่แหละความไม่เห็นแก่ตัว มันจะเกิดระบบ “ธรรมิกสังคมนิยม” เดี๋ยวนี้ไม่มีใครถืออย่างนี้ กูได้มากที่สุด เท่านั้นถูกต้อง เป็นระบบกูนิยม ไม่สนใจคำนี้ ให้เราทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างผาสุก และถูกต้อง มันจะเป็น “ธรรมิกสังคมนิยม” ถ้าต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเป็นไปไม่ได้ ก็ฆ่าฟันกัน ไอ้ความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ มันเลวร้ายจนว่า ลูก ๆ ลูกฆ่าพ่อ ฆ่าแม่มันได้ ถึงขนาดนั้น ถ้ามันมีความเห็นแก่ตัวจัด ในเรื่องเลวร้าย เรื่องขายชาติ เรื่องอะไรเลวร้ายมันก็มีได้ สำหรับผู้ที่เห็นแก่ตัว ขอให้เราดูความเลวร้ายที่เป็นปัญหาที่เราหรือประเทศชาติของเราต้องเผชิญ ต้องต่อสู้ ก็คือความเห็นแก่ตัวของคน ของประชาชนนั่นเอง ปัญหาที่เกิดขึ้นมาของประเทศชาติของรัฐบาลก็คือ มาจากความเห็นแก่ตัวของประชาชน ความเห็นแก่ตัวของประชาชนมันหลงทางจนทำลายตัวเอง ดื่มน้ำเมาก็เพราะความเห็นแก่ตัว เที่ยวกลางคืนก็เพราะเห็นแก่ตัว ดูการละเล่นก็เพราะเห็นแก่ตัว เล่นการพนันก็เพราะเห็นแก่ตัว คบคนชั่วเป็นมิตรก็เพราะเห็นแก่ตัว เกียจคร้านทำการงานก็เพราะเห็นแก่ตัว หกอย่างก็คงจะได้พบเห็นมาแล้วในแบบเรียนที่เรียกว่า “อบายมุข” “อบายมุข ปากทางแห่งอบาย” นี้ มันมาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะฆ่าสัตว์ จะลักทรัพย์ จะล่วงกาเม จะโกหกเขา จะดื่มน้ำเมา เพราะเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวนั้นมันมืด มันโง่ มันหลง มันไม่มีความรู้สึกอะไรนอกจากกิเลส ต้องการกิเลสต้องได้ตามที่กิเลสต้องได้ ที่นี้เรียกว่า ความเห็นแก่ตัว ทีนี้ก็จะพูดต่อไปถึงเรื่องปัญหาเกี่ยวกับภาษาอีก ที่ว่าตัวจะต้องพึ่งตัว ตัวจะต้องพึ่งตัวตัว ไม่เห็นแก่ตัวแล้วตัวจะพึ่งตัวไอ้อย่างไร มันกลายเป็น สองตัว ตัวของของกิเลส คือตัวของธรรมะ ตัวของความโง่ความผิด หรือตัวของความฉลาดของความถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านเน้นว่าให้พึ่งตัวๆ ให้พึ่งธรรมะ อย่าพึ่งสิ่งอื่นเลย พึ่งตัวคือพึ่งธรรมะ มีตัวเป็นที่พึ่ง มีตัวเป็นสรณะ อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเป็นสรณะเลย นี้เดี๋ยวเถิด พระพุทธเจ้าสอนไว้ไม่ให้เห็นแก่ตัว ไม่เอามาพึ่งตัวอีกละ คนละตัว ตัวของกิเลสกับตัวของธรรมะ ตัวของกิเลสให้กำจัดออกไป ตัวของธรรมะให้เอาเข้ามารักษาไว้ ควรจะรู้กว้างไกลออกไปถึงว่า ศาสนาทั้งหลายในโลก มีอยู่กี่ศาสนา กี่ศาสนาก็ตามใจ มันมีอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งก็ให้พึ่งๆ พึ่งผู้อื่น พึ่งผู้อื่น อีกพวกหนึ่งก็ให้พึ่งตัว พุทธศาสนาเราอยู่ในลักษณะที่พึ่งตัว พึ่งตัวของธรรมะ เลยเรียกว่าพึ่งตัว คือพึ่งธรรมะ คือ พึ่งความถูกต้อง พึ่งความถูกต้องในการมีตัว ในการดำเนินชีวิตของตัว และก็เห็นแก่ผู้อื่น และก็ช่วยเหลือผู้อื่น ศาสนาเหล่านั้นทั้งหมดมี มีสิ่งสูงสุดแบ่งเป็น ๒ ประเภท พวกที่พึ่งผู้อื่นก็มีพระเป็นเจ้าอย่างบุคคลเหมือนที่เขาอ้อนวอนกัน พวกที่พึ่งตัวก็มีพระเจ้า อย่างที่มิใช่บุคคลเป็นพระเจ้าอย่างธรรมะ ธรรมะ คือความถูกต้อง ไม่ต้องเป็นบุคคลพุทธศาสนาเรามีพระเจ้าเหมือนกันคือมีสิ่งสูงสุด แต่มิใช่เป็นอย่างบุคคล เป็นอย่างธรรมะ เป็นอย่างคุณธรรม ความถูกต้องของธรรมชาติ เราก็มีพระเจ้าอย่างไม่ใช่บุคคล ส่วนฝ่ายหนึ่งตรงกันข้าม ก็มีอย่างบุคคล ก็มี “Personal God” - God ที่เป็นอย่างบุคคล และเราก็มี “Impersonal God” - God มิใช่บุคคล และจะต้องรู้ให้ดีว่ามันคืออะไร และทำไมพระพุทธเจ้ามาเรียกว่าพึ่งตัว และในคำว่าพึ่งตัวในข้อนี้มันมีความหมายพึ่งตัว คือกันเองมันทำให้ถูกต้องตามธรรมะ “ธรรมะ” คือความถูกต้อง ธรรมะก็แปลว่าความถูกต้อง เพื่อความรอด ถ้าเขียนเป็นคำแบบธรรมะ ( 39.08) มันก็เพื่อความรอด ทั้งทางกายและทางจิตนั้น ทางกายและทางจิตนั้น ก็ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของตนเองและผู้อื่น ทั้งของตนเองและผู้อื่น ธรรมะคือระบบการจัดทำที่ถูกต้อง ก็มีหลายข้อธรรมะที่ถูกต้องทำพร้อมกัน ที่เรียกว่าระบบธรรมะที่ถูกต้อง ถูกต้องแก่อะไร ถูกต้องแก่ความรอด ไม่มีอันตราย อีกอย่างที่ถูกต้องทั้ง ๒ อย่างคือทางกายและจิตใจ ทางกายก็ไม่มีปัญหาทางจิตก็ไม่มีปัญหา ทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ ตั้งแต่เป็นทารกไปจนถึงเข้าโลง วิวัฒนาการเป็นตอน ๆ ไป วิวัฒนาการของบุคคล ถ้าเป็นวิวัฒนาการของโลกก็นับตั้งแต่โลกแรกเกิด โลกคนป่า โลกคนเจริญ โลกพระอรหันต์ ทุกขั้นตอนอย่างนี้ก็ได้ แต่เอาเป็นว่าทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการ คือตั้งแต่ เกิดจนตาย ที่นี้มันทั้งของตนเอง และทั้งของผู้อื่น คุณเคยยินเคยได้ยินบทนิยามอย่างนี้ไหมว่า ธรรมะคืออะไร ในโรงเรียน ครูมักจะสอนกันตลอดว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ครูบอกแต่เท่านั้น อย่างนี้มันถูกนิดเดียว ถูกขี้เล็บก็ไม่คอยจะได้ ธรรมะๆ พูดอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก็มีคำว่าธรรมะใช้ พูดจากันอยู่สอนกันอยู่ว่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ครูบาอาจารย์คนไหน ลัทธิไหนก็สอนธรรมะทั้งนั้นไม่ได้เรียกว่าศาสนา เรียกว่าธรรมะ เดี๋ยวนี้เราถามว่า ถือศาสนาอะไร ตั้งแต่ครั้งกระโน้นเราก็จะพูดว่า คุณชอบใจธรรมะของใคร ชอบใจคำสอนเรื่องหน้าที่ของใคร ของพระสำนักโคดม หรือของนิคันชอตบุตร หรือของสันตยะเวรุฬบุตร (41.35 – 41.37) ศาสดาที่สำคัญๆ จะเป็นคู่แข่งกันมาก สอนธรรมะเป็นหน้าที่ หน้าที่ที่ถูกต้องแก่ความรอดทั้งทางกาย แต่ว่ามันไม่สูงสุดจนกว่าพระพุทธเจ้าจะได้ทรงแสดงหน้าที่หรือธรรมะที่สูงสุด (นาทีที่ 42.02 – 42.25 เสียงขาดหายและเบามากค่ะ)มันจะทำให้ที่ถูกต้องแก่ความรอดทางกายและทางจิตทุกขั้นแห่งวิวัฒนการ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวและก็เห็นแก่ธรรมะ มันจึงรอดทั้งตัวเองและผู้อื่น คนเห็นแก่ตัวก็กูได้ ก็แล้วกัน คนอื่นไม่รู้ กูได้ดีที่สุด ตามที่กูต้องการก็แล้วกัน นั่นแหละคือสิ่งสูงสุดของเขา ดังนั้นเขาจึงต่อสู้แย่งชิงกันในโลก เพื่อจะถือเอาประโยชน์ให้มากที่สุด ต่างคนต่างเห็นแก่ตัวอย่างนี้แล้ว ไอ้โลกมันจะมีสันติภาพได้อย่างไร งั้นขอให้เรามีการศึกษาชนิดที่ควบคุมกิเลส ควบคุมความเห็นแก่ตัว อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมันขึ้นมาเป็นนาย ขึ้นมาบงการ ให้ความถูกต้องมันบงการ นี่เรียกว่าธรรมะเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่พึ่ง และที่นี้ก็ยึดถือหลักอันนี้ไว้ให้แข็งโป๊ก แข็งโป็กอย่าให้อะไรๆ มาทำให้มันรวนเร เปลี่ยนแปลงได้ คือความถูกต้องเป็นที่พึ่งความไม่เปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งที่เข้ามากระทบ เป็น อตัมมยตา สำหรับชั้นธรรมดาสำหรับคนทั่วไป มีหัวใจเป็นเพชรแข็งโป๊ก อะไรๆ มีเปลี่ยนแปลงให้ผิดไปจากความถูกต้องไม่ได้ มีหัวใจเป็นเพชรในความถูกต้องคงที่อยู่ในความถูกต้อง อารมณ์อะไรก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ อารมณ์ทางเพศก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ยิ่งเหนือไปกว่าเพศ เป็นความเจริญทางวัตถุ ทางจิตใจ ชนิดไหนก็มาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ มันคงมีอยู่แต่ความถูกต้องเรียกว่า อมัตยตา นั่นแปลว่า ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลงได้ โลกนี้มีอารมณ์เป็น ๒ ชนิดคือ บวกหรือลบเท่านั้น ทั้งบวกและทั้งลบ มาเปลี่ยนแปลงจิตใจของคน ๆ นี้ไม่ได้ เพราะว่าเขามีหัวใจเป็นเพชร เขาชนะกิเลสด้วยประการทั้งปวง รู้จักมีมาน้อยๆ ตามลำดับตั้งแต่เป็นทารกก็มีจิตใจเข้มแข็งเป็นเพชร อยู่ในความถูกต้อง ไม่ไปตามใจกิเลส ไม่หนีไป ไม่หนีพ่อแม่ไปตามโจร ไปตามกิเลส ไม่หนีความถูกต้องไปหากิเลส เรียกว่าเด็กคนนี้ไม่หนีพ่อแม่ตามโจรไปเพราะว่ามันมีหัวใจเป็นเพชร ระวังให้ดีหัวใจที่ไม่เป็นเพชร เดี๋ยวนั่นก็ลากไป เดี๋ยวนี่ก็ลากไป ขวดเหล้าลากไป สนามม้าลากไป ที่เรียนลากไป ที่ดิสโก้เธคลากไป ลากไปได้ทั้งนั้น สำหรับที่หัวใจมันอ่อนแอเหลวไหลไม่เป็นเพชร อย่างนี้เรียกว่าควบคุมตัวไว้ได้ ไอ้ตัวของกิเลสนั้นควบคุมไว้ได้ ไม่มาแสดงบทบาทใดๆ เราจะต้องมีการศึกษาที่ถูกต้องทั้งทางฝ่ายวัตถุ และฝ่ายจิตใจ ไม่เป็นไม่นิยมเป็นข้าทาสของวัตถุหรือจิตใจ แต่ว่ามีความถูกต้องทั้งทางวัตถุและทางจิตใจนี้คือธรรมะๆ ธรรมะแท้ๆ ในพุทธศาสนานั้น ไม่เป็นวัตถุนิยมและไม่เป็นจิตนิยม ไม่เป็น Materialism ไม่เป็น Idealism และมันเป็นธรรมนิยมคือความถูกต้องทั้งของวัตถุและของจิต นี่เรียกว่า ธรรมนิยม มีธรรมนิยมอย่างนี้แข็งโป๊ก เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เหมือนกับว่ามันมีหัวใจเป็นเพชร เลยรอดตัว ไม่เกิดความทุกข์ จิตใจเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่ความตายคุกคามก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ความเอร็ดอร่อยสนุกสนานมันลากตัวไปไม่ได้ มันคงที่ มันคงที่ ปกติถูกต้อง อิสระเสรีอยู่เหนืออารมณ์ทั้งปวง เรียกว่าอยู่เหนือความเป็นบวก เหนือความเป็นลบ ไม่มีอะไรมาทำให้หัวเราะให้ร้องไห้ ไม่มีอะไรมาทำให้ดีใจ เสียใจ มันถูกต้องมันปกติ มันเป็นอิสระ มันพร้อมที่จะคิดอย่างถูกต้อง พูดอย่างถูกต้อง กระทำอย่างถูกต้อง นี่คือสูงสุดของความไม่เห็นแก่ตัว แล้วก็ไม่มีตัวชนิดนั้น มีตัวของธรรมะ มีตัวของธรรมะ ไม่มีตัวอย่างในความหมายที่เรียกว่า sense หรือ soul ที่เรียกว่า วิญญาณ เจตมูติ (48.15) เป็นตัว ตัวกูหรือเป็นของกู ถ้ายังใช้คำว่า ตัวก็คือมีตัวของธรรมะ ไม่มีธรรมะเป็นตัว มีความถูกต้องเป็นตัว แล้วเราก็อยู่จะเหนือปัญหาโดยประการทั้งปวง นี่คือเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ไอ้ตัวตามธรรมดาในความรู้สึกของสัญชาตญาณนี้ไม่เป็นไร แต่มันเลยนับไปจนเห็นแก่ตัว ไม่มีตัวอยู่เพียงไม่ตาย เพียงชีวิตรอดนี้ก็ไม่เท่าไร แต่นี่มันเห็นแก่ตัว ให้กูได้ กูดี กูสนุกสนาน เอร็ดอร่อยได้ตามที่กูต้องการ อย่างนี้มันเป็น selfish ถ้ามันเป็น self เฉย ๆ ก็มีตัวคือไม่ตาย อย่างนี้ก็ยังไม่มีอันตรายอะไร แต่ว่าไอ้ตัว self มันเป็นตัวตน ที่เป็นที่ตั้งแห่งความเห็นแก่ตัว มันก็เกิดตัวใหม่ที่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวก็ทำทุกอย่างเพื่อตัวกูได้ มันก็เลยมีปัญหากว้างไปจนเต็มโลก จนเต็มโลก เดี๋ยวนี้โลกกำลังจะวินาศ เพราะความเห็นแก่ตัวของคนอยู่ในโลกนั่นเอง คุณไปเทียบเคียงเอาดูเองแล้วกัน พวกที่ถือข้างซ้ายจัดก็เห็นแก่ตัว พวกที่ถือขวาจัดก็เห็นแก่ตัว ที่เหลืออยู่นอกนั้น ก็เห็นแก่ตัว โลกนี้เป็นโลกของความเห็นแก่ตัวมันก็ต่อสู้กัน มันก็มุ่งร้ายกัน ทำสงครามใต้ดิน ค่อยๆ จ้องที่จะเอาเปรียบอยู่อย่างลึกซึ้งเสมอเตรียมอาวุธไว้สำหรับจะทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่ยังไม่กล้าใช้ เพราะว่ามันรู้ว่ามันมีด้วยกันทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งใช้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งไว้ วินาศทั้ง ๒ ฝ่ายเลยไม่มีใครได้ครองโลก ยังรอยู่อย่างนี้ ถ้าว่ามันควบคุมไว้ไม่ได้ มันใช้แก่กัน โลกนี้ก็วินาศไม่มีอะไรเหลือ เพราะความเห็นแก่ตัว และเรียกว่าส่วนสังคม ช่างหัวมันก็ได้ แต่ฝ่ายเรา ฝ่ายตัวเรา เราคนเดียวนี่ อย่าให้ความเห็นแก่ตัวมันครอบงำ อย่าให้ตัวของกิเลสมาครอบงำตัวของธรรมะ ให้ตัวความถูกต้องเป็นอิสระควบคุมชีวิตและคุณก็จะได้ของที่แปลกแปลกประหลาดที่สุดคือได้ชีวิต ชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คุณกำลังมีแต่ชีวิตที่กัดเจ้าของเป็นด้วยความเป็นบวกเป็นลบ ทำให้เกิดความรู้สึกรักบ้าง โกรธบ้าง เกลียดบ้าง กลัวบ้าง ตื่นเต้นบ้าง วิตกกังวลบ้าง อาลัยอาวรณ์บ้าง อิจฉาริษยาบ้าง หวงบ้างหึงบ้าง จนกระทั่งฆ่ากันตาย จนกระทั่งฆ่าตัวเองตาย เพราะความเลวร้ายเหล่านี้เรียกว่า ชีวิตที่มันกัดเจ้าของ อย่าเอาเลย ปรับปรุงกันเสียใหม่ ศึกษากันเสียใหม่ให้ได้ชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ มีธรรมะวิเศษ คือมีจิตใจเป็นเพชรคงที่อยู่ในความถูกต้อง ถูกต้อง ทั้งเพื่อตัวเองและเพื่อผู้อื่นที่เรียกว่า อตัมมยตา แม้ว่าจะเป็นคำที่แปลกประหลาดไปบ้างก็ขอให้สนใจจดจำไว้สำหรับเป็นหลักปฏิบัติ ความแข็งโป๊ก อยู่ในความถูกต้อง ไม่มีอะไรมาลากไปสู่ความเหลวไหลนับตั้งแต่ไม่นอนสาย ไม่ขี้เกียจ ไม่เอาเปรียบ ไม่อะไรทุกอย่างนั้น นี่คือความไม่เห็นแก่ตัว แต่เห็นแก่ธรรมะ มีธรรมะเป็นตัว ถ้ามีธรรมะเป็นตัวมันไม่เห็นแก่ตัว ก็จำประโยคนี้ให้ดีๆ ว่า ถ้ามีธรรมะเป็นตัวมันไม่เห็นแก่ตัว ถ้ามีกิเลสเป็นตัวมันจะเห็นแก่ตัวอย่างสุดเหวี่ยงเลย อะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะเกิดขึ้น ที่นี่กำลังทุกข์ยากลำบาก ความผิดพลาดทั้งหลายมาจากความเห็นแก่ตัว บ้าบออะไรรับน้องใหม่จนมีฆ่ากัน มีทำให้ตาย พิธีรับน้องใหม่ก็มีคนตายนั่นมันความเห็นแก่ตัว มันหลงทาง มันโง่ที่สุด มันจนหลงทาง ทำเพื่อนตาย ทำตัวเองตาย ในที่สุดก็เป็นอันว่ารู้จักไว้ ดีๆ ว่า ความเห็นแก่ตัวเต็มที่นั้นเลวร้ายที่สุด ความไม่เห็นแก่ตัวจะแก้ปัญหาได้ และอีกคำหนึ่ง หมดตัว ๆ เป็นพระอรหันต์เรื่องมันจบ มันมี “Selfish” มี “Nonselfish” และมี “Selfless” ถ้าจะพูดจากับพวกฝรั่ง ก็ระวังใช้คำให้มันถูกต้อง ถูกต้อง เพราะไม่มีตัวของกิเลส มีตัวของธรรมะ เราก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ของเรา จะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ คือ “สันติภาพหรือสันติสุข” ทั้งของเราเองและของผู้อื่นมิหนำซ้ำลงไปถึงสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉาน ก็ไม่ถูกทำลายไม่ต้องมี พรบ.คุ้มครองป่า ในโลกของมนุษย์ผู้ไม่เห็นแก่ตัว ต้นไม้ต้นไร่ก็ได้รับการคุ้มครอง ไม่ต้องมี พรบ.คุ้มครองป่า มันไม่ทำเองละ มันไม่เบียดเบียนมนุษย์ด้วยกัน ไม่เบียดเบียนสัตว์เดรัจฉาน ไม่เบียดเบียนพฤกษาชาติทั้งหลาย นี่คืออนิสงส์ของความไม่เห็นแก่ตัว เลิกความเห็นแก่ตัวได้หมดสิ้นก็เป็นอย่างนี้
หวังว่าท่านทั้งหลายจะนำเอาไปใคร่ครวญศึกษาเป็นพิเศษ ไม่มีเรื่องอะไรจะสำคัญกว่านี้ เรื่องสูงสุดในพุทธศาสนาก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิง มันเป็นพระอรหันต์ หมดความปกติวิสัย ก็เป็นอริยบุคคลที่อยู่ในโลกอย่างผาสุก ถ้าหมดความเห็นแก่ตัวโดยสิ้นเชิงเป็นพระอรหันต์ มีความเห็นแก่ตัวเท่าไร ก็ยิ่งเป็นปุถุชนเท่านั้น ปุถุชนแปลว่าคนหนาอยู่ด้วยความโง่ นัยน์ตามีไฝฝ้าแห่งความโง่ปิดบังมากนักนั่นแหละคือความหนาแห่งไฝฝ้าในดวงตาเรียกว่าปุถุชน คนชนิดนี้เห็นแก่ตัวจัด จนไม่รู้อะไรนอกจากเห็นแก่ตัว เรียกว่า “ปุถุชน” มันค่อยๆ จางออก จางออก จางออกก็เป็นปุถุชนที่ดีหน่อย เรียกว่า “กัลยาณปุถุชน” ดีขึ้นไป ดีขึ้นไป หมดความเห็นแก่ตัวถึงระดับหนึ่งแล้วเรียกว่า “อริยชน” อริยเจ้า หมดความเห็นแก่ตัว ที่เชิญเป็นยอดสุดยอดของอริยชนคือเป็น “พระอรหันต์” แนวมันมีอยู่อย่างนี้ ไม่มีใครหลีกได้จากปุถุชนเป็นพระอรหันต์นะมันเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตัว ด้วย เท่าที่อยู่ด้วยกันอย่างผาสุก ด้วยความไม่เห็นแก่ตัว ให้เราเคารพผู้อื่น เคารพสิทธิของผู้อื่น ท่าทางเห็นแก่ตัวมันก็จะถูกคงบคุมเรียกว่า “ลัทธิธรรมิกะสังคมนิยม” สังคมนิยม นิยมสังคมธรรมิกะ อย่างถูกต้อง “ธรรมิกะ” แปลว่าอย่างถูกต้อง ที่จริงว่าลัทธิไหนก็ตามถ้าเป็นธรรมิกะก็ใช้ได้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ว่ามันยากลำบากตรงที่ จะมีความถูกต้องถ้ามันยังเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวมันมีความถูกต้องเกิดขึ้นเอง ลัทธิธรรมิกะสังคมนิยมก็จะเกิดขึ้นมาเอง เราอยู่ด้วยความรักผู้อื่น รักผู้อื่น ที่รักทั้ง ๒ ฝ่าย ทำประโยชน์แก่ตัวเอง ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ทำประโยชน์แก่ทั้ง ๒ ฝ่าย นี่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อเห็นประโยชน์ของทั้ง ๒ ฝ่ายแล้ว จงทำประโยชน์นั้นให้เต็มเปี่ยมด้วยความไม่ประมาทเถิด ท่านตรัสไว้อย่างนี้ ถ้ายังเห็นแก่ตัวอยู่ก็ยังประมาทหรือยังโง่อยู่ ถ้าไม่เห็นแก่ตัวก็มีความไม่ประมาทมีความถูกต้อง ถูกต้อง ถูกต้อง สำหรับอยู่กันจนผาสุก
วันนี้เราพูดกันเรื่องเดียวคือเรื่อง “ความไม่เห็นแก่ตัว” มันมีความกำกวมของภาษาทำเข้าใจยาก แยกออกไปเสียให้เข้าใจถูกต้องว่า ตัวของกิเลสอย่างหนึ่ง ตัวของธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่เห็นแก่ตัวคือไม่เห็นแก่ตัวของกิเลส มีแต่ตัวของธรรมะคือตัวแห่งความถูกต้อง และก็รอด รอด รอด จากความทุกข์ด้วยกันทั้งนั้น ด้วยกันทั้งโลก ถ้าการศึกษา ถ้าที่มีอยู่ที่โรงเรียนมันไม่มาถึงเรื่องนี้ คุณก็แสวงหาเอาเอง อย่างที่มาแสวงหาที่นี่ ก็มาแสวงหาความรู้ที่หามาได้จากโรงเรียน เอาไปบวกเข้ามันก็จะสมบูรณ์ ทั้งเรื่องทางฝ่ายวัตถุ และเรื่องฝ่ายจิตใจ ท่านทั้งหลายมีเจตนาดีอย่างนี้ ก็ขออนุโมทนาด้วย ขออนุโมทนาในการกระทำ ในการเสียสละเพื่อมาแสวงหาความรู้ทางธรรมะเข้าไป เพิ่มให้แก่ชีวิตเป็นชีวิตที่มีความถูกต้องโดยสมบูรณ์ ไม่กัดเจ้าของ แม้แต่นิดเดียวตลอดกาลทุกเมื่อขออนุโมทนา และขอยุติการบรรยายในที่นี้ไว้เพียงเท่านี้ด้วย ความหวังว่าเธอทั้งหลายจะประสบความสำเร็จในการแสวงหาธรรมเพื่อเป็นที่พึ่งแก่ชีวิตจิตใจสืบต่อไป และขอยุติการบรรยาย