แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อตัมมยตา ช่วยให้ ออกไป ออกไป ออกไป ออก คบเสพกับสิ่งใดพอรู้จักมันดีแล้ว มันก็ออกไป ไปหาที่ดีกว่า ไปหาที่ดีกว่า ไปหาที่ดีกว่า ไปหาที่ดีกว่า ด้วยอำนาจของความรู้เรื่องอตัมมยตานี้ มันก็สิ้นสุดสักวันหนึ่ง มีอตัมมยตาแล้วอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ แข็งโก็ก ไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้ เรียกว่า เป็นเพชร เป็นธรรมะเพชร เป็นจิตเพชร เป็นสภาวะของเพชรที่แข็งจนอะไรมาทำมาปรุงแต่งไม่ได้ เราเรียกโดยสมมุตินะ สมมุติว่า ชีวิตเพชร จิตเพชร อะไรเนี่ย อะไรปรุงแต่งไม่ได้ นี่ไม่มีอะไรที่จะกัดได้ ถ้ามี อตัมมยตา คงจะเข้าใจยาก ขอสรุปใจความสำคัญสั้นๆ ว่ามันคงที่ แข็งโก็ก จนอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้
อาตมาพูดโดยอุปมาให้พวกฝรั่งฟังว่า อตัมมยตา นั้นคืออะไร อธิบายให้ฟังว่าถ้าหญิงสาวคนใดคนหนึ่งมี อตัมมยตา ให้พวกเจ้าชู้ที่ฉลาดมาเป็นฝูงๆ ก็เกี้ยวเขาไม่สำเร็จ ถ้าหญิงสาวคนนั้นมีอตัมมยตา อตัมมยตา คืออะไรก็ไม่รู้สิ ถ้าชายหนุ่มคนหนึ่งมีอตัมมยตา ให้หญิงสาวที่สวยเป็นนางฟ้าหรือพวกนางฟ้าลงมาเป็นฝูงๆ ก็เกี้ยวเอาตัวมันไปไม่ได้ ลากหัวมันไปไม่ได้ ถ้าชายหนุ่มคนนั้นมันมีอตัมมยตา นี่ อตัมมยตา คืออะไร ไปดูเอาเอง ไปคิดดูเอาเอง ความที่มันไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงโดยการปรุงแต่งของสังขารใดๆ คำนี้แปลยากที่สุดนะ ถ้าตัวหนังสือมันแปลว่า ไม่สำเร็จมาจากปัจจัยนั้นๆ นะ ไม่สำเร็จมาจากการปรุงแต่งของสังขารนั้นๆ
อตัมมยตา เคยได้ยินไหม เคยมาพูดมาจามาสอนกันตามศาลาวัดไหม มันยังไม่มี แล้วคำว่าภาวะที่ปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้นี้ ก็ยังไม่มีในคำพูดของมนุษย์ในโลก ให้เปิดดูปทานุกรมทุกฉบับในโลกที่มีอยู่จะหาไม่พบ คำว่าภาวะที่ปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้ เราจะต้องรู้สิ่งนี้ รู้จักสิ่งนี้ แปลเป็นภาษาอังกฤษเขาว่า Un-concoctability Un แปลว่า ไม่ concoctable แปลว่า ปรุงแต่งได้ Un-concoctability ภาวะแห่งการปรุงแต่งไม่ได้ Un-concoctability ภาวะแห่งการที่อะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ มันเป็นสิ่งที่ผู้ฉลาดควรจะรู้ นักวิทยาศาสตร์ควรจะรู้ คำนี้ควรจะมีอยู่ในปทานุกรมในโลกแล้วมันก็ยังไม่มี จนกระทั่งบัดนี้มันก็ยังไม่มี เราอยากจะเผยแผ่คำสอนอันนี้เป็นที่เข้าใจเป็นที่รู้จักกัน เพราะว่าในโลกนี้มันมีสิ่งเหนือโลกที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เป็นภาวะอย่างไรปรุงแต่งไม่ได้ ได้บรรจุคำๆ นี้เข้าไว้ในปทานุกรมของมนุษย์ ให้มนุษย์มันฉลาดกว่าธรรมดา รู้จักหรือหวังในภาวะที่ปัจจัยอะไรๆ ปรุงแต่งไม่ได้ เรียกว่า อตัมมยตา ถ้ามีอตัมมยตาแล้ว ปัจจัยอะไรปรุงแต่งไม่ได้ มันจะเป็นสัตว์สังขารที่เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวกูไม่ใช่ของกู มันพร้อมที่จะกัด มันพร้อมที่ไหนก็ได้ มันทำอะไรไม่ได้ ถ้าจิตนี้มันมีอตัมมยตา ภาวะที่สังขารปรุงแต่งไม่ได้ ปรุงแต่งทางบวกก็ไม่ได้ ทางลบก็ไม่ได้ มีอตัมมยตา ผู้นั้นเป็นพระอรหันต์ถ้าสูงสุด รองๆลงมาก็เป็นอริยเจ้า รองๆ ลงมาอีกสักนิดหนึ่งก็ยังเป็นปุถุชนชั้นดี นี้เรียกว่า อตัมมยตา
ขอให้ท่านทั้งหลายมีวิปัสสนาตัวสุดท้ายคือ อตัมมยตา ในบรรดาวิปัสสนา ๙ ตา ๙ ตา มาตามลำดับ แล้วท่านจะอยู่ในโลกของสิ่งที่มิใช่ตัวตน ของโลกที่มีแต่สัตว์สังขารที่มิใช่ตัวตนได้อย่างไม่มีปัญหา นี่เป็นอันว่าอาตมาได้อธิบายแล้วได้ตอบแล้วว่าจะอยู่ในโลกซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งที่มิใช่ตัวตนนี้ได้อย่างไร อยู่อย่างที่สิ่งที่มิใช่ตัวตนนั้นมันปรุงแต่งไม่ได้ มันลากหัวเอาไปไม่ได้ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทั้ง ๖ ทางนี้ ไม่มีอะไรเข้ามาลากเอาจิตใจไปตกเป็นทาสของมันได้ นี่คือธรรมะสูงสุดที่จะช่วยให้เราอยู่ในโลกนี้ร่วมกันได้กับสิ่งทั้งหลายซึ่งล้วนแต่ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของตน
ตอนที่หนึ่งเรารู้ว่ามีแต่ นาม รูป สังขาร ร่างกาย ชีวิต จิตใจ จึงมิใช่ตัวตน ไปยึดถือมีตนตัวเขากัดเอาแล้วเป็นทุกข์ รู้ไปเรื่องหนึ่งแล้ว เรื่องที่สองว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับสิ่งที่ไม่มีตัวตนเหล่านี้ได้อย่างไร ขอให้ท่านอยู่ด้วยความรู้อันสูงสุดของพระพุทธเจ้า คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน ด้วยจิตมีวิปัสสนาญาณเต็มที่ตลอดสายตั้งแต่ อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา เรื่องจบ สรุปความว่า อตัมมยตา ธรรมะสูงสุด เป็นญาณสูงสุด ขจัดปัญหาทั้งปวงได้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหารูปไหน จะต้องสร้างสรรค์ หรือจะต้องละ จะต้องกำจัด จะต้องรักษา สามารถจะปฏิบัติด้วยความรู้เรื่องอตัมมยตา มีสติ สติ สติ เร็ว ที่จะใช้ อตัมมยตา คือปัญญาอันสูงสุดเข้ามาแก้ปัญหา ขอให้มีชีวิตอยู่ด้วยธรรมะที่สามารถจะนำอตัมมยตามาใช้ได้โดยสะดวก ธรรมะนี้ขอเรียกว่า ธรรมะสี่เกลอ คือ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ สี่คำเท่านั้นแหละขอเท่านี้ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ สติ คือความเร็ว ที่ระลึกได้เร็วเหมือนกับ เร็วเหมือนกับลูกศร เหมือนกับฟ้าแลบ สติระลึกได้แล้วไปขนเอาปัญญามา เราศึกษาปัญญาสะสมไว้มากมายมหาศาล แต่พอมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น สติไปเอาปัญญามาเฉพาะเรื่อง เอามาใช้เผชิญหน้ากับปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญญาที่แยกเอามาเฉพาะที่จำเป็นจะต้องใช้ในกรณีนี้ เรียกว่า สัมปชัญญะ จะเอาปัญญาทั้งหมดมาใช้นั้นไม่ได้มันบ้า เหมือนกับว่าเรามียาครบหมดทุกยาทุกชนิดอยู่ในตู้ พอมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันก็ต้องหยิบยาเฉพาะที่มันตรงกับเรื่องนั้น โรคนั้นมา แก้โรคนั้น ถ้าเอายาทั้งตู้มาแก้โรคนั้นก็บ้าแล้ว เป็นหมอที่บ้า หมอที่ฉลาดมันก็รู้จักหยิบยาขวดไหนเฉพาะโรคนี้ มีสติไปเลือกเอามา ซึ่งปัญญาโดยเฉพาะกับปัญญาทั้งหลายที่สะสมไว้ เอาปัญญานี้มาใช้เฉพาะเหตุการณ์ เฉพาะหน้าต่อเหตุการณ์ ปัญญานี้เปลี่ยนชื่อทันที เปลี่ยนชื่อเป็น สัมปชัญญะ สติไปขนเอาปัญญาส่วนที่จำเป็นจะต้องใช้กับสถานการณ์อย่างไรมาใช้เฉพาะสถานการณ์อย่างนั้น เรียกว่า สัมปชัญญะ รู้สึกตัวทั่วพร้อมอยู่ด้วยปัญญา ปัญญา แปลว่า รู้ทั่ว สัมปชัญญะ แปลว่า รู้ทั่วพร้อม สัม แปลว่า พร้อม ปะ แปลว่า ช่วย ญา แปลว่า รู้ สัมปชัญญะ มันก็คือ ปัญญานั่นเอง แต่เป็นปัญญาเฉพาะกรณี ปัญญาที่กำลังทำหน้าที่เฉพาะกรณี ปัญญาอย่างนี้ เรียกว่า สัมปชัญญะ นี้ถ้าปัญญานี้ สัมปชัญญะนี้ มันอ่อนกำลัง มันสู้ไม่ไหว มันไม่มีน้ำหนักพอ ก็ต้องเพิ่มกำลังให้แก่มันด้วยสิ่งที่เรียกว่า สมาธิ สมาธินี้เป็นตัวกำลัง ขอสังเกตดูให้ดีว่าในการที่เราจะตัดอะไรขาดลงไปนั้นน่ะ ต้องมีทั้งความคม และมีทั้งกำลัง ให้มันคมยิ่งกว่ามีดโกน มันก็ตัดอะไรไม่ได้ถ้ามันไม่มี ไม่มีน้ำหนัก มันต้องมีทั้งความคมและมีทั้งน้ำหนัก มันจึงจะตัดอะไรได้ ปัญญามันเท่ากับความคม สมาธิมันเท่ากับน้ำหนัก ดังนั้นถ้าปัญญาหรือสัมปชัญญะมันไม่มีกำลังพอ เราก็เพิ่มกำลังของสมาธิแล้วมันก็ตัดได้ ด้วยอำนาจของปัญญา สี่เกลอนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี ถ้าไม่มีไม่สามารถจะเอาชนะเหตุการณ์ในชีวิตนี้ได้ ไม่ว่าในกรณีใด กรณีโลกก็ได้ กรณีธรรมะก็ได้ กรณีไปนิพพานก็ได้ มีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ ธรรมะสี่เกลอ ขอให้ทุกๆ คนมี
ในวันล้ออายุนี้ควรจะมานั่งพูดกันเรื่องนี้เพิ่มกำลังสี่เกลอนี้ให้มีให้ยิ่งขึ้นไป มีสี่เกลอมากๆ ขึ้นไป มีสติ พออะไรเกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ตาม ต้องมีสติ สติเร็วทันควัน วิ่งไปเอาปัญญามา หรือเอามาเฉพาะกรณี เรียกว่า สัมปชัญญะ มาต่อสู้กับเหตุการณ์อันนั้น ถ้าแรงมันไม่พอก็เอาสมาธิมา เราฝึกไว้หมดนี่ ถ้าท่านฝึกอานาปานสติแล้วจะเป็นการฝึกสมาธิด้วย ฝึกปัญญาด้วย ฝึกสัมปชัญญะด้วย และก็ฝึกสมาธิด้วย พร้อมในตัวคราวเดียวกันด้วยการฝึกอานาปานสติ ในวันสำคัญควรจะได้ฝึกอานาปานสติให้ถึงที่ให้เต็มขนาด แล้วเราก็ยังมีสิ่งอันประเสริฐคือไอ้สี่เกลอนั่นน่ะ มากขึ้น มากขึ้น แข็งกล้าขึ้น มีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ ถ้าได้อย่างนี้แล้วไม่ต้องสงสัยสามารถที่อยู่ในโลกนี้กับสิ่งที่มันมิใช่ตัวตนนั้นได้ ไม่มีอะไรมาทำอันตรายแก่จิตใจได้ ถ้าจิตนี้มีเกลอสี่เกลอ คือ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ เท่าที่กล่าวมานี้มันก็พอแล้ว พิสูจน์ให้เห็นแล้วโดยตนเองไม่ต้องเชื่อใครว่า เราจะอยู่ในโลกกับสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มิใช่ตัวตนนี้ได้ด้วยปัญญา คือสามารถนำมาใช้ในลักษณะอย่างนี้
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสลุ่นๆว่า สมโถ จ วิปสฺสนา จ แทนที่ อริยมรรคมีองค์ ๘ ท่านหมายความอย่างนี้ ขอให้เรามีสมถะและวิปัสสนาเพียงพอ ไม่ต้องพูดถึงศีลเห็นไหม เพราะว่าศีลมันรวมอยู่ในคำว่าสมถะ พูดออกชื่อเพียงสองอย่างว่า สมถะและวิปัสสนา, สมถะเป็นกำลัง วิปัสสนาเป็นความคม มีความคมและก็มีกำลังที่จะตัดอย่างนี้ก็ได้ อย่างนี้ก็ได้ หรือจะมองดูไปอีกทางหนึ่งก็ว่า สมถะ หรือ สมาธิ นั่นคือ ความเตรียมพร้อมที่มันจะมีวิปัสสนา อย่างไรก็ตามขอให้มีครบทั้งสมถะและวิปัสสนา มีจิตที่มีกำลังถึงที่สุดพร้อมที่จะรู้และก็มีความรู้คือ วิปัสสนา ชีวิตอย่างนี้เป็นชีวิตที่แก้ปัญหาได้หมดทุกอย่าง ไม่มีอะไรจะมาทำให้เป็นทุกข์ได้ มันจะชนะสิ่งที่หลอกลวง คือ อวิชชา กิเลส ตัณหา มันไม่ถูกหลอกลวงด้วยสิ่งที่เป็น มิใช่ตัวตน มิใช่ของตน ไม่อาจจะหลอกลวงได้ต่อไป เป็นว่าอาตมาได้กล่าวแก่ท่านทั้งหลายครบทั้งสองประเด็นแล้ว คือ สิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน และประเด็นที่ว่าเราจะอยู่กับสิ่งที่มิใช่ตัวตนนั้นได้อย่างไร
ขอยุติการบรรยายด้วยความสมควรแก่เวลา และความหมดแรงที่จะพูด ขอยุติการบรรยาย