แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ในวาระแรกนี้อาตมาขอแสดงความยินดีแก่ท่านทั้งหลายที่มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ คือมาแสวงหาธรรมะ ถ้าประสบความสำเร็จในการมาก็จะสามารถทำให้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตดี และขจัดปัญหาต่าง ๆ ของชีวิตได้ เพราะสิ่งที่เรียกว่าธรรมนั้นมันมีหน้าที่อย่างนั้น
อาตมาขอสรุปความเป็นคำพูดสั้น ๆ ว่าจะพบชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ เรามีชีวิตชนิดที่มันกัดเจ้าของ เราจะต้องหาความรู้ที่เพียงพอเพื่อจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งชีวิตจะไม่กัดเจ้าของอีกต่อไป
ท่านไม่ทราบว่าจะไม่ให้ชีวิตมันกัดได้อย่างไร ก็ลองไปถามลูกเด็ก ๆ ลูกเด็ก ๆ อมมือ ว่าจะทำอย่างไรชีวิตมันจะไม่กัดเจ้าของ ลูกเด็ก ๆ ก็คงจะตอบว่า ก็อย่าเป็นเจ้าของชีวิตสิ ทีนี้ท่านก็อาจจะพูดว่ามัน Nonsense เต็มทีที่จะไม่ให้เป็นเจ้าของชีวิต ปัญหามันก็เกิดขึ้นที่ตรงนี้ ท่านก็เรียนจากเด็กเล็ก ๆ นั่นแหละอีกว่า เด็กเล็ก ๆ นะมันไม่ถือชีวิตเป็นของมัน มันไม่ทำตัวเป็นเจ้าของชีวิต ไอ้ลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ เลยไม่ถูกชีวิตกัด ชีวิตยังไม่กัดลูกเด็ก ๆ เพราะมันยังไม่ทำตนเป็นเจ้าของชีวิต พอเด็กโตขึ้นมาหน่อยมันก็เริ่มโง่ หรือมันถูกหลวกลวงโดยอัตโนมัติจากสิ่งที่แวดล้อมอยู่ ให้เด็กมันค่อย ๆ โง่ ทำตนเป็นเจ้าของชีวิต เป็นกู เป็นของกูขึ้นมา มันก็เลยถูกกัด เราจึงพบว่า ถ้าเป็นเจ้าของชีวิต ทำตนเป็นเจ้าของชีวิตนะ ชีวิตมันก็กัดเอา ถ้าไม่ทำตนเป็นเจ้าของชีวิต มันก็ไม่รู้จะกัดอะไร มันก็ไม่ถูกกัดนะ ขอให้สังเกตดูให้ดีว่ามัน มันเป็นของที่จะ เรียกว่าง่ายนิดเดียวก็ได้ แต่มันก็ยากในการที่จะปฏิบัตินะ มันเป็น Artistic Artistic อย่างยิ่ง คือมันเป็น Art อย่างยิ่ง กระทั่งมีความสนใจเรื่อง Art มาก่อนก็ขอให้สนใจ Art ที่สูงสุดยิ่งกว่า Art ชนิดไหนหมด คือการมีชีวิตชนิดที่ไม่เป็นเจ้าของชีวิตนั้น
อาตมามีเพื่อนที่เป็นฝรั่งคนหนึ่ง เขา เขาสนใจ Buddhist Art เป็นอย่างยิ่ง อย่าง อย่างยิ่งทีเดียว จนถึงกับลงทุนลงรอนอะไรแสวงหา Buddhist Art แล้วเขาก็มีพระพุทธรูป มีภาพเขียนที่แพงที่สุด สะสมสิ่งเหล่านี้ แต่เขาเรียกมันว่า Buddhist Art อาตามาว่าไม่ใช่ ๆ ๆ โดยประการทั้งปวง พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก Art เหล่านี้ มันของเด็กเล่น เกิดขึ้นมาทีหลัง
Buddhist Art ก็คือ Art ของการมีชีวิตชนิดที่ไม่เป็นทุกข์ มันเป็น Art ทางความคิด ทางการกระทำ ไม่ใช่ทางวัตถุ เรามีความคิดและมีการกระทำที่เอาชนะความทุกข์ได้ นั่นนะคือตัว Buddhist Art ขอให้ท่านสนใจให้ถูกตัวจริงของ Buddhist Art ซึ่งมันเป็นหัวใจของพุทธศาสนานะ หัวใจของพุทธศาสนาก็คือ Buddhist Art นั่นเอง วิธีที่เราจะมีชีวิตอยู่เหนือความทุกข์ หรือเหนือปัญหาแห่งชีวิตโดยประการทั้งปวง
ทีนี้มาพูดกันสั้น ๆ ก็พูดว่า Buddhist Art มันเป็นวิธีที่เราจะพบชีวิตใหม่ ชีวิตใหม่ ที่ไม่มีความทุกข์เลย อยู่เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง เพื่อนของท่านหลาย ๆ คนที่มาที่นี่ก่อนหน้านี้ เขาก็พูดอย่างนั้นนะ เขาต้องการชีวิตใหม่ New Life แต่แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า มันคืออะไร อยู่ที่ไหน จะพบได้อย่างไร เขาจะต้องรู้จัก Buddhist Art สนใจ Buddhist Art ซึ่งเราจะได้กล่าวกันต่อไปข้างหน้านั้นนะ แล้วเขาก็จะพบชีวิตใหม่โดยแน่นอน
ทีนี้ก็มีปัญหานิดหน่อยเกี่ยวกับคำว่าใหม่ ใหม่ คำว่าใหม่นี้ มันใหม่ของคนที่ไม่รู้จัก คนที่ไม่เคยพบเคยรู้จัก ก็ดูเป็นของใหม่ ที่จริงชีวิตแบบนี้เป็นของเก่า เก่ามาก เป็นพัน ๆ ปีมาแล้วแหละ ผู้ที่เป็นอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์ในพุทธศาสนานี้ เขามีชีวิตแบบนี้กันทั้งนั้นละ มันไม่ใช่ของใหม่ มันเป็นของเก่า เก่าเหลือประมาณ แต่มันก็ใหม่สำหรับเราที่ยังไม่รู้จักนะ
เดี๋ยวนี้เราก็มาตั้งต้นหาชีวิตใหม่ มีวัตถุประสงค์จะได้ชีวิตใหม่ ซึ่งปราศจากความทุกข์ แต่แล้วมันก็น่าหัว น่าขัน น่าหัวที่สุด ที่เราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์ เราไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความทุกข์โดยแท้จริง แล้วเราก็จะหาความดับทุกข์ได้อย่างไร อีกทางหนึ่ง ชีวิตมันเป็นทุกข์ได้ เป็นทุกข์ได้อย่างยิ่งโดยที่เราไม่รู้จักความทุกข์นะ เราไม่รู้จักความทุกข์ แต่มันก็เป็นทุกข์ได้อย่างเต็มที่ นี่นะมันเป็นของที่น่าคิด
ดังนั้นสิ่งแรกที่สุดที่เราจะต้องทำก็คือ รู้จักความทุกข์ให้ชัดเจน ให้ถูกต้อง รู้จักความทุกข์ที่มันกำลังกัดเราอยู่ กัดเอา กัดเอา กัดเอาอยู่ทุกวันนี้ จะต้องรู้จักสิ่งนี้เป็นสิ่งแรก
ทีนี้เราจะไปหาดูที่ไหน จะไปหาดูที่ไหน ข้อนี้ก็มีหลักที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความทุกข์ก็ดี เหตุให้เกิดความทุกข์ก็ดี ดับทุกข์สิ้นเชิงก็ดี วิธีดับทุกข์ก็ดี เราบัญญัติไว้ในตัวร่างกาย ที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ที่ยังเป็น ๆ ที่ยังไม่ตายนี่ ข้อนี้มันหมายความว่า จะไปหาความรู้ในร่างกายที่ตายแล้วนี้ไม่ ไม่ได้ ไม่ ไม่มีทางนะ ไปหาความรู้นี้จากวัตถุสิ่งของใด ๆ อื่น ๆ ก็ไม่มีทาง จะต้องศึกษามันจากชีวิตที่ยังเป็น ๆ ที่ยังเต็มไปด้วยความทุกข์
เราไม่อาจจะศึกษาหรือหาพบความจริงเหล่านี้จากพระคัมภีร์ จากหนังสือต่าง ๆ ที่เรียกว่าเป็นเรื่องพุทธศาสนา ท่านทั้งหลายหลงใหลในหนังสือ เพราะอ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนามาก พุทธศาสนาในประเทศไทย ในพม่า ในลังกา หาอ่านกัน ท่านจะไม่พบความจริงข้อนี้นะ มันเป็นเรื่องเปลือกกันโดยมาก
เดี๋ยวนี้หนังสือเรื่องพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับพุทธศาสนานี้ พิมพ์ขึ้นมากเหลือเกิน ท่านซื้อให้หมดนั้นก็จะต้องใช้เงินเป็นหมื่น ๆ บาทละ แต่แล้วมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ ช่วยได้เพียงให้ท่านหาวิธี รู้จักวิธีที่จะไปค้นหาจากชีวิต จากร่างกาย จากชีวิตเป็น ๆ อย่างที่ว่ามาแล้ว
พระคัมภีร์ที่เรียกในพุทธศาสนาว่า พระไตรปิฎกนี่ มันจึงเกิดมีเป็น ๒ อย่าง คือ หนังสือเหล่านั้น พระคัมภีร์เหล่านั้น ที่เรียกว่าพระคัมภีร์ข้างนอกนั้นนะ สำหรับที่ให้เราหาพบพระคัมภีร์ข้างใน คือตัวชีวิต ตัวร่างกายที่ว่ายาวเพียงวาเดียวนี้ มันจะเป็นพระคัมภีร์ หรือพระไตรปิฎกอีกเล่มหนึ่ง แล้วก็อยู่ข้างใน นี่เรายังจะต้องเรียนพระคัมภีร์ข้างใน อย่างที่ท่านมาศึกษาธรรมะ มาปฏิบัติอานาปานสติเหล่านี้ ก็คือเป็นการเรียนพระคัมภีร์เล่มข้างใน ข้างในชีวิต ที่จะช่วยได้จริง
ท่านจะศึกษาธรรมะหรือพุทธศาสนาจากหนังสือทั้งหลาย พระคัมภีร์ทั้งหลายให้หมดให้สิ้นให้แตกฉาน อย่างมากท่านก็จะเป็นเพียง Professor สอนพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ท่านไม่พบสิ่งที่เรียกว่าชีวิต หรือจะดับทุกข์แห่งชีวิตได้ จนกว่าจะมาสนใจพระไตรปิฎกที่เป็นนามธรรม คือตัวชีวิตเอง
เป็นอันว่าสิ่งแรกที่จะต้องศึกษา คือตัวความทุกข์ ตัวความทุกข์ แล้วจึงค่อยเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ความดับทุกข์ ทางถึงความดับทุกข์ ไปตามลำดับ
เดี๋ยวนี้เรามาศึกษาตัวความทุกข์โดยตรงว่ามันคืออะไร คำว่าทุกข์ ทุกข์ ในความหมายทั่วไปก็คือสิ่งที่ทรมาน ภาษาไทยหรือคำชัดเจนคือ ทรมาน Tormenting Tormenting ในทุก ในทุกทิศทาง ในทุกทาง ในทางบวกก็ได้ ทางลบก็ได้ มันเป็นเรื่องทรมาน ให้เกิดปัญหา ให้เกิดความลำบาก นั่นละคือตัวทุกข์ ตัวทุกข์ก็คือตัวทรมาน ที่เป็นแง่ลบ มันก็ทรมานชัด ๆ กัดเอาเจ็บปวด แต่ที่เป็นแง่บวก มันก็ทรมานอย่างหลอกลวง มองไม่เห็น แล้วกลับไปรักมันเสียอีกนะ มันเป็นคำพูดที่คงจะไม่มีใครเชื่อ แต่มันก็มีอยู่จริง คือไปรักไอ้สิ่งที่เป็นความทุกข์ รักอย่างยิ่งในสิ่งที่ให้เกิดความทุกข์ นี่ในแง่บวกมันมีความลับอยู่มาก
เราหลงรักสิ่งที่จะทำให้น้ำตาไหลกันอยู่ทั่ว ๆ ไปในโลกนี้ ที่เรียกว่า ความรัก ความพอใจในความน่ารัก ในกามารมณ์ ในอะไรต่าง ๆ ก็หลงรักอย่างยิ่ง บอกได้ว่า รักสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด รักสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด รักสิ่งใดสิ่งนั้นแหละมันกัด แง่บวก เพราะความรักมันเป็นความโง่ชนิดหนึ่ง การรักมันคือการกระทำไปด้วยความโง่ มันจึงถูกกัด มันมีผลมาจากความโง่ ไปหลงรัก ยึดถือ ยึดมั่น Attach อย่างหลับหูหลับตา จึงถูกกัดด้วยสิ่งที่รัก หรือ Attach นั่นเอง ลองคิดดูสักนิดเดียวว่า ไอ้ความรักเป็นของร้อนหรือของเย็น ลองหาความรักที่ชนิดที่เย็นดูสักนิดหนึ่ง จะพบได้ที่ไหน ความรักเย็นหาไม่พบ หรือดูได้ง่าย ๆ ที่ว่ามัน มันง่ายขึ้นมาอีกว่า ความดีใจกับความเสียใจ ดูให้ดี ความดีใจก็ไม่ใช่ความสงบ เช่นเดียวกับความเสียใจ มันไม่ใช่ความสงบ ดีใจเป็นเรื่องบวก เสียใจเป็นเรื่องลบ เรื่องลบ แต่ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ใช่ความสงบ ไม่ใช่ความเย็น แต่คนก็เข้าใจผิดไปว่า ดีใจ ดีใจ ดีใจ เป็นสิ่งที่น่าปารถนา เป็นความเย็น เป็นความสุข มันดีใจในสิ่งใด ท่านจะต้องเหนื่อยทางวิญญาณนะ เหนื่อยทางจิตทางวิญญาณเพราะสิ่งนั้น ไม่ดีใจและไม่เสียใจทั้ง ๒ อย่างนี้ เป็นความสงบ หรือเป็นความเย็น ฉะนั้นอย่าไปหลงสิ่งที่เป็นบวกเลย
อย่างพอบอกว่าจะมีชีวิตชนิดที่ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ทั้ง ๒ อย่างนั้น ท่านก็สั่นหัวเสียอีก สั่นหัวเสียอีก เพราะว่ามีความเสพติด เสพติดเหมือนยาเสพติดในส่วนที่เป็นฝ่ายบวก หรือดีใจ ๆ นี่เราพูดได้ว่าทุกคนในโลกนี้หลงบวก หลงบวก ยึดมั่นถือมั่นในความเป็นบวก ให้พร ให้พรกันนี่ ล้วนแต่ให้ความเป็นบวก ความเป็นบวก มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ก็เป็นเรื่องอยู่เหนือความทุกข์ไม่ได้ เพราะว่ามันติดไอ้สิ่งที่เป็นบวก ที่มันกัดอย่างซ้อนเร้นที่สุด ลึกซึ้งที่สุด
ทีนี้พอบอกท่านว่า เหนือบวก เหนือลบโดยประการทั้งปวง ก็จะเป็นพระอรหันต์ ท่านก็สั่นหัวอีก สั่นหัวอีก ท่านก็ไม่เอาอีก แต่ในที่สุดความจริงมันก็ยังเป็นความจริงอยู่นั่นนะ เราต้องอยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกและความเป็นลบเท่านั้นแหละ จึงจะมีความสงบ ชีวิตที่อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวกเป็นลบเท่านั้นนะที่จะไม่กัดเจ้าของ
เรามายอมเสียเวลากันสักหน่อย มาศึกษาที่ตัวความทุกข์กันอย่างละเอียดลออสักหน่อย แต่ต้องขอให้นึกถึงเรื่องที่เป็นชั้นลึกลงไป คือเรื่องทางวิญญาณ หรือทาง Spirituality จึงจะพบไอ้สิ่งเหล่านี้
สิ่งแรกที่เราจะสังเกตได้ไม่ยากก็คือ ความร้อนหรือการแผดเผา ที่มีอยู่ในชีวิต ความรักก็แผดเผา ความโกรธก็แผดเผา ความโง่ก็แผดเผา ไอ้ความร้อนทาง Spiritual ซึ่งคนธรรมดาไม่สนใจ แล้วก็กลับ กลับจะหลงรักมันเสียอีกทั้งที่มันแผดเผา มันมีความหลอกลวงอยู่ในความแผดเผา ความรักมีการแผดเผา แต่คนยิ่งชอบความรัก เพราะว่ามันมีความหลอกลวง มีเสน่ห์หรือรสอร่อยที่เป็นความหลอกลวงอยู่ในความรัก จึงถูกความรักแผดเผา ในความโกรธก็เหมือนมีเสน่ห์ ได้โกรธเขา ได้ตีเขา ได้ด่าเขา ก็สบายใจ ก็มีความอร่อย ได้โง่ ได้หลงใหล อยู่ด้วยความสงสัย สงสัย มีความหวังในวิมาน ในอากาศ ไม่มีที่สิ้นสุด ความโง่มันก็แผดเผาอีก อยู่ทั้ง ๓ อาการนี้มันแผดเผา ความรักแผดเผา ความโกรธแผดเผา ความโง่แผดเผา
ความโง่ ถึงขนาดเอากามารมณ์ เรื่อง Sex นี้นะเป็นนิพพาน มีมาหลายพันปีแล้ว ปรากฏอยู่ในพระบาลี เอากามารมณ์เป็นนิพพานมันก็มีอยู่พวกหนึ่ง นี่ความโง่อย่างนี้มันก็มีตั้งหลายพันปีมาแล้ว มีคำพูดเกิดขึ้นมาว่า กามเทพ พระเป็นเจ้าแห่งกาม เอากามเป็นพระเป็นเจ้า มีโบสถ์ มีอะไรเหมือนกับพระเจ้าต่าง ๆ ละ อย่างเช่นในอินเดียก็ปรากฏอยู่ ของพวกที่เอากามารมณ์เป็นนิพพาน
ลัทธิตันตริก ตันตริกบางนิกายก็เป็นเช่นนี้ บูชากามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุด เขาแก้ตัวว่าเป็นเครื่องมือไปนิพพานบ้าง เป็นตัวนิพพาน มันเป็นเรื่องของความโง่ ความไม่รู้ตามธรรมชาติชักจูงไปได้มากถึงอย่างนั้น ก็เป็นของธรรมดาที่สุดที่จะเป็นได้ถึงขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของความโง่
ได้ยินว่ามหาตมะคานธีได้เป็นผู้ขอร้อง ได้พยายามขอร้องให้เลิกเสีย ที่มันมีเหลืออยู่บ้างประปรายในอินเดีย ก็ขอร้องให้เลิกโบสถ์ชนิดนี้เสีย
พูดกันอย่างตัดบทเสียทีก็ได้ เรื่องเกี่ยวกับกามารมณ์ โดยเฉพาะเรื่องทางเพศ ทาง Sex นี่ ซึ่งมันเป็นมาโดยสัญชาตญาณ ว่ามันเป็นเรื่องที่หลอกลวงที่สุด โดยสัญชาตญาณที่มีแต่ความโง่ ขอพูดกันตรง ๆ อย่าเห็นเป็นเรื่องหยาบโลนว่า กามารมณ์หรือกิจกรรมทางเพศ การปฏิบัติกิจกรรมระหว่างเพศที่เรียกว่ากามารมณ์นั่น ข้อแรกนะมันก็สกปรก สกปรก เป็นของสกปรก มีสิ่งสกปรก นี่ข้อหนึ่ง แล้วมันก็น่าเกลียด น่าเกลียดจนต้องซ่อนเร้น ต้องปกปิดไม่ให้ใครเห็น แล้วมันก็กิน Energy มากที่สุดในการปฏิบัติกิจกรรมทางเพศ แล้วมันก็ง่าย ง่ายธรรมดาที่สุดจนสุนัขก็ทำเป็น สุนัขก็ทำเป็นนะ แล้วผลสุดท้ายคือบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว ความรู้สึกที่บ้าวูบเดียวนี้ ๕ อย่างนี้นะขอให้ช่วยคิดดูเถอะ สกปรก แล้วมันน่าเกลียด แล้วกินแรงงานมาก ธรรมดาจนสุนัขก็ทำเป็น แล้วก็บ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียว ผลของมันคือบ้า เป็นอารมณ์วูบเดียว วูบเดียวนี้ มันจะเป็นของวิเศษไปได้อย่างไร แล้วไปหลงเข้าแล้วมันจะไม่กัดนั้นจะเป็นไปได้อย่างไร ธรรมดาที่สุดยังไม่ได้พูด (นาทีที่ 58:46 เป็นคำพูดที่ท่านอาจารย์พูดกับผู้แปล)
ขอให้รู้จักชีวิตที่มันกัด เพราะว่ามันไปหลงใหลในเรื่องกามารมณ์ เมื่อยังต้องเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ ก็รู้จักหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ ซึ่งมันน่าเกลียด แล้วก็ต้องแยกกามารมณ์ออกไปเสียจากเรื่องการสืบพันธุ์ ต้องใช้คำว่า คนโง่ในโลกเอาเรื่องกามารมณ์ไปผูกพันเป็นสิ่งเดียวกับกามารมณ์(นาทีที่ 59:51 น่าจะเป็นคำว่าการสืบพันธุ์) กามารมณ์ไม่ใช่เรื่องสืบพันธุ์ กามารมณ์เรื่องบ้า เรื่องโง่ เรื่องหลง เรื่องการสืบพันธุ์มันมีเหตุผลที่ว่าจะต้องมี แล้วก็จะต้องมีการสืบพันธุ์ แต่ว่าไอ้การสืบพันธุ์มันไม่สนุก มันน่ารังเกียจ ธรรมชาติ ธรรมชาติ พระเจ้าธรรมชาติ หลอกคนโง่ เอากามารมณ์มาติดไว้กับการสืบพันธุ์ เอากามารมณ์มาเป็นค่าจ้างให้คนมันสืบพันธุ์ ถ้าเราโง่ เราก็หลงกินเหยื่อที่เขาจ้างให้ด้วยกามารมณ์ มันก็เพื่อสืบพันธุ์ รู้จักแยกกันออกให้เด็ดขาด เราจะไม่ถูกกามารมณ์กัดเอาในชีวิต
กามารมณ์เป็นสิ่งที่แยกออกได้จากการสืบพันธุ์ เป็นคนละเรื่อง คนละเรื่อง ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน เว้นไว้แต่คนโง่ เอาไปเป็นเรื่องเดียวกัน ดูตัวอย่างพระอริยะเจ้าที่เป็นผู้ครองเรือนนะ เป็นฆราวาสนะ พระอริยะเจ้าชนิดที่ครองเรือนเป็นฆราวาส ก็มี เช่น พระโสดาบัน สกิทาคามีนี้ ก็มีการสืบพันธุ์ แต่มิใช่ด้วยอำนาจกามารมณ์ ไม่ได้หลงใหลในกามารมณ์ ไม่ได้กินค่าจ้างหรือเหยื่อล่อ คือกามารมณ์ ก็มีการสืบพันธุ์ได้โดยเหตุผลที่เป็นความถูกต้อง โดยไม่ต้องอาศัยกามารมณ์มาล่อ มาหลอกให้โง่ แล้วก็ทำการสืบพันธุ์ นี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เห็นได้ว่ากามารมณ์นี้แยกออกได้จากการสืบพันธุ์ ฉะนั้นเรานี่นะควรจะรู้จักเป็นอย่างนี้ ตามรอยท่านอย่างนี้ ไม่ได้เป็นลูกจ้าง เป็น กินเหยื่อคือกามารมณ์แล้ว ก็ทำการสืบพันธุ์อย่างโง่เขลา
ถ้าท่านยังต้องเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ เพราะหลีกไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็น Instinct ท่านก็ต้องรู้จักควบคุมมัน ควบคุมมันอย่าให้มันมีอำนาจ มีอำนาจเหนือไอ้ชีวิต รู้จักควบคุมมัน ให้มันอยู่ภายใต้การบังคับของเรา อย่าให้เราอยู่ใต้อำนาจของมัน ที่จะไปบูชาพระเจ้ากามเทพ ถ้ามันเป็นความรู้สึกที่ต้องมี ก็ต้องมีอย่างสติสัมปชัญญะไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ชนิดที่เป็นนาย อย่าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ชนิดที่เป็นทาส เป็นขี้ข้าของมัน แล้วเราก็จะไม่มีความร้อนหรือถูกแผดเผาอันเนื่องด้วยกามารมณ์
จะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ได้ แต่มันจะเป็นที่น่าหัวของคนบางคน คือมีกามารมณ์หรือ Sex นี้อย่างกับว่าเป็นอาหาร เป็นอาหารฟังดูให้ดี ๆ มี Instinct อยู่ในจิตใจ มีต่อม มี Gland มีไอ้ความรู้สึกทางเพศทางกามารมณ์โดยต่อม Gland ในร่างกายที่ธรรมชาติมันสร้างมา พอถึงมีอายุขนาดเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็ต้องการ ต้องการอย่างทนอยู่ไม่ได้ เหมือนกับที่ต้องการอาหารอย่างนั้นแหละ จึงต้องไปเข้าเกี่ยวข้องกับกามารมณ์เหมือนอย่างกับว่าเมื่อหิวอาหาร ก็กิน แล้วก็หายหิว ถ้ามันมีเพียงเท่านั้น คืออยู่ในระบบศีลธรรม ศีลธรรมของศาสนาทุกศาสนา ทุกศาสนามีคำสั่งสอนให้ไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ในลักษณะที่ถูกต้อง ถูกต้อง ถือศีลเกี่ยวกับข้อนั้น เช่น ศีลข้อ ๓ ในศีล ๕ ในพุทธศาสนานี้ ไม่ไปหลงเป็นทาสของกามารมณ์ ประพฤติอย่างถูกต้อง อย่างฉลาดเกี่ยวกับกามารมณ์ มันก็จะเป็นเสมือนหนึ่งอาหารชนิดหนึ่ง แล้วก็เป็นเรื่องเล็กน้อย บริโภคโดยที่ไม่ต้องหลงเป็นทาสของกามารมณ์ เราก็จะไม่ถูกไฟเผา ไม่ถูกไฟของกามารมณ์เผา ชีวิตนี้จะไม่มีความร้อน แม้แต่เรื่องที่เกี่ยวกับกามารมณ์
ขอให้เห็นประโยชน์ของศีลธรรม เคารพศีลธรรมของศาสนา ที่จะมาป้องกันความทุกข์ มันถูกเผาด้วยกามารมณ์ในข้อนี้ ถือศีลธรรมของศาสนานั้นให้ถูกต้อง ให้พอดี ก็จะพ้นจากการถูกแผดเผาอันเนื่องด้วยกามารมณ์
เราดูตัวอย่างคนโง่ที่บูชากามารมณ์เป็นอย่างไรบ้าง เขามีกามารมณ์เป็นสิ่งเสพติดยิ่ง ๆ กว่ายาเสพติดใด ๆ แล้วเขาได้พบ ได้ประสบกับโชคชะตาอย่างไร แล้วก็น่าหัวที่ว่า นำไปสู่การฆ่าตัวเองตายก็ได้ เป็นอันธพาลเลวร้ายอาละวาดเดือดร้อนกันไปทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ ก็เพราะมันบูชากามารมณ์
เมื่อเราดูในแง่ของความแผดเผาให้ร้อนนี้เสร็จแล้ว เราก็ดูในแง่อื่นต่อไป ในเรื่องของความทุกข์ ในที่นี้เราก็จะดูในแง่ที่ว่าเป็นของหนัก Burden of life มีความหมายว่าเป็นของหนัก ถ้าเราโง่ มีตัวกู มีตัวกู มีชีวิตเป็นตัวกู มีชีวิตเป็นของกู สิ่งที่เรียกว่าความหนักก็เกิดขึ้น พุทธศาสนามีหลักง่าย ๆ ว่า ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นตัวชีวิตนี่ เป็นของหนัก หนักเพราะโง่เข้าไปยึด เป็นตัวกู เป็นของกู ไม่มีความหนักอะไรจะหนักมากเท่ากับสิ่งที่เรียกว่า ตัวกู ดูภาระหนัก ของหนักในตัวชีวิตกันในแง่นี้บ้าง
ทารกในครรภ์หรือว่าคลอดออกมาใหม่ ๆ ยังไม่มีความรู้สึกคิดนึกประเภทตัวกู กินนมอิ่มแล้วก็นอนหลับ หิวก็กินแล้วก็นอนหลับ ไม่มีความรู้สึกเป็นตัวกู สิ่งที่เรียกว่าความหนัก หรือภาระหนักก็ไม่มีแก่ทารกในระดับนั้น พอทารกโตขึ้นมา มีความรู้สึกเป็นตัวกู เช่น พออร่อยก็กูอร่อย พอไม่อร่อยก็กูไม่อร่อย ความรู้สึกเป็นตัวกูเกิดขึ้นมา เมื่อนั้นไอ้ภาระหนักหรือสิ่งที่เรียกว่าภาระหนัก ก็เริ่มมีแก่เด็ก เด็กนั้น โตขึ้นก็ยิ่งมีตัวกูของกูมากขึ้น ตัวกูของกูมากขึ้น เขาก็มีภาระหนักเพิ่มขึ้น ๆ นี่เรียกว่า ภาระหนักแห่งชีวิตคือ ตัวกู
ที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ใหญ่เต็มที่แล้วนี้ มันมีความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกู มากขึ้น ๆ เอาร่างกายเป็นตัวกูก็ได้ เพราะมันทำอะไรได้ เอาความรู้สึก สุข ทุกข์ บวก ลบ เป็นตัวกูก็ได้ เอาความสำคัญมั่นหมายว่าอย่างนั้น อย่างนี้เป็นตัวกูก็ได้ เอาความคิดนึกเป็นตัวกูก็ได้ แม้แต่ Consciousness ทาง ตา หู จมูก ลิ้น ใจ กายนี้ ก็มาเป็นตัวกูก็ได้ ตัวกูมันมากขึ้น ๆ ๆ สรุปแล้วก็ว่าขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นตัวกูนั้นนะมันเป็นภาระหนัก
ทีนี้มันก็มีสิ่งที่เนื่องกัน คือมีตัวกู แล้วมันก็ต้องมี ของกู ตัวกูเรียกว่า อัตตา ของกูเรียกว่า อัตตนียา อัตตนียา แปลว่า สิ่งที่มันเนื่องกันอยู่กับตัวกู เราก็มีตัวกู แล้วก็มีสิ่งที่เนื่องกันอยู่กับตัวกู นั่นคือของกู ตอนเด็ก ๆ ก็มีตัวกู เพราะว่ามีความรู้สึกที่เป็นของกู ของเล่นอันสวยงามของกู บิดา มารดาของกู โตขึ้นมานั่นนี่ก็ของกู เพราะผู้ใหญ่ก็ล้วนแต่บอกว่าของลูก ของหนู ของหนู นั่นของหนู นี่ของหนู มันก็มีของกู ของกูมากขึ้น จนเป็นผู้ใหญ่แล้วมันก็มีทรัพย์สมบัติเป็นของกูมากมาย มีเกียรติยศชื่อเสียงเป็นของกูมากมาย มีบุตร ภรรยา สามี มีลูก มีหลาน เป็นของกู ของกูมากมาย นี่เรียกว่าที่เป็นของกู แล้วก็เป็นภาระหนักด้วยกันเช่นเดียวกับตัวกู
นี่มันเป็นคำอธิบายที่ชัดเหลือเกินแล้วว่า ชีวิตมันกัดเจ้าของ ชีวิตมันกัดเจ้าของ ชีวิตโง่มันมีตัวกูมันมีของกู มันเป็นภาระหนักอยู่ใน ทับอยู่จิตใจ ทั้งวัน ทั้งคืน แม้แต่เวลาหลับมันก็ยังฝันนะ เป็นภาระหนัก นี่เรียกว่ามันกัดเจ้าของ
เพราะฉะนั้นถ้าลูกเด็ก ๆ เล็ก ๆ มันมาบอกเราว่า คุณอย่ามีชีวิตเป็นของคุณ อย่ามีชีวิตเป็นตัวกูของกูสิ ชีวิตจะไม่กัดเจ้าของ คุณอย่าไปตบหน้าเด็ก ๆ คนนั้นเลย มันเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด เป็นอาจารย์ที่สูงสุด ที่มันจะมาบอกเราว่า อย่าเป็นเจ้าของชีวิตสิ มันจะไม่มีชีวิตเป็นของหนัก ของหนักคือชีวิตจะไม่กัดเจ้าของ
เรามีตัวกูซึ่งมิใช่เป็นตัวกู หรือว่าเรามีตัวเราชนิดที่มิได้เป็นตัวเราอันแท้จริง ไม่ใช่ Real I มันมายา I มันหลอกลวง เราอย่ามีตัวกูซึ่งหลอกลวงนี้เป็นตัวกู พุทธศาสนาต้องการจะสอนอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะยึดถือเอาเป็นตัวกูหรือเป็นของกูได้ มันมีแต่ร่างกายกับจิต จิตใจ Body and Mind เท่านั้นแหละ ทีนี้จิตใจมันโง่ มันโง่ มันเอาตัวเองเป็นตัวกู ตัวเองเป็นตัวกู อะไร ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวกู มันก็เอาเป็นของกู นี่มันเป็นคนโกง คนคดโกง คนไม่ซื่อ แล้วเป็นคนโง่ มันไม่ใช่ตัวกู มันธรรมชาติของร่างกายและจิตใจ เพราะอะไร ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องนี้ก็เป็นของธรรมชาติ มันก็โกง ปล้นเอามาเป็นของกู ธรรมชาติมันเป็นเจ้าของที่แท้จริง มันก็ตบหน้าเอานะ คือกัดเอาเจ็บปวด อย่าได้เป็นโจรปล้นเอาธรรมชาติมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู ร่างกายจิตใจนี้ก็ของธรรมชาติ ไม่ใช่ตัวกู สิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ก็เป็นของธรรมชาติ มิใช่ตัว ไม่ใช่ของกู การที่ทำจิตใจให้ฉลาดไม่เอามาเป็นตัวกูของกูนี้นะมันเป็น Artistic ที่มีประโยชน์ที่สุด ที่น่าสนใจที่สุด ที่มีค่าที่สุด
ความโง่ ความไม่รู้ของจิต ของ The Mind นั่นละ เรียกว่า อวิชชา อวิชชา แปลว่า ปราศจากความรู้ที่ถูกต้อง อวิชชาของจิตนะทำให้เราไปเอาของธรรมชาติมาเป็นตัวเราบ้าง มาเป็นของเราบ้าง เราจึงเป็นโจร เป็นขโมย ปล้นของธรรมชาติมาเป็นของเรา แล้วก็ถูกตบหน้าเอาโดยธรรมชาติ มีอวิชชา อวิชชาเป็นมูลเหตุให้เราโง่ ทำให้ชีวิตนี้มีความเจ็บปวด หรือกัดเจ้าของ เพราะอวิชชา อวิชชา ช่วยจำไว้ให้ดี อวิชชา
อวิชชา เป็นธรรมดาที่สุดที่จะให้เกิด อุปาทาน Ignorance ให้เกิด Attachment เป็นธรรมดาที่สุด มันมีหน้าที่ของมันอย่างนั้น แล้วก็มี Attach Attach ยึดมั่นด้วยจิตใจ กอดรัดไว้ด้วยจิตใจในสิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา มาเป็นของเรา แล้วมาติดอยู่ในใจเรา คนโง่มันมีเงินมาก ไปฝากไว้ในธนาคาร แต่ความยึดมั่นถือมั่นมันก็ยังเอามาวิตกกังวลอยู่ในจิตใจในชีวิต แม้ว่าฝากอยู่ในธนาคาร มันก็มาสุมอยู่บนศีรษะเป็นความรู้สึกวิตกกังวล ไม่มีความสุข นี่เรียกว่าอวิชชา ทำให้เกิดอุปาทาน แล้วสิ่งที่เป็นตัวเราหรือเป็นของเรามันก็กัดเรา กัดเรานี้ อวิชชาให้เกิดอุปาทาน สำหรับคนโง่ก็มีอวิชชา เอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารแล้วมันก็ยังมา ภาษาไทยมันหยาบคายหน่อยนะ สุมอยู่บนกบาล สุมอยู่บนศีรษะของคนที่เป็นเจ้าของ มันกลัวธนาคารจะล้ม มันคิดนึกสารพัดนา ๆ ต่าง ๆ แม้เงินไปฝากอยู่ในธนาคาร มันก็ยังมาสุมอยู่บนกบาลของคนโง่นี่
ศีรษะ ภาษาหยาบคาย ศีรษะ กะโหลก กะโหลกศีรษะ (นาทีที่ 1:43:20 เป็นคำพูดที่ท่านอาจารย์พูดกับผู้แปล)
ทีนี้มันไม่ใช่เพียงแต่เงินอย่างเดียว บ้านเรือน รถยนต์ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายในบ้าน ในเรือน บุตร ภรรยา สามี ลูกหลานอะไร มันก็เป็นของที่ตั้งอยู่ตามธรรมชาตินะ แต่มันมี Attachment แล้ว มันก็มาอยู่บนกบาลนะ ภาษาไทยหยาบคายหน่อย มันสุมอยู่บนกบาลของคนที่ยึดมั่นถือมั่นนั้นแหละ คือ ของหนัก ของหนัก Burden of Life Burden of Life มันอยู่ที่นั่น อะไร ๆ มันก็สุมอยู่บนกบาล
ตัวกู ๆ ของกู ๒ สิ่งนี้มาอยู่บนศีรษะ แม้ร่างกาย ร่ายกายนี้นะ มันก็กลายเป็นมาอยู่บนศีรษะ มันหนักอยู่ในความรู้สึกคิดนึก แม้ร่างกายแท้ ๆ นี้มันอยู่เป็น ร่างกายส่วนล่างมันก็มาอยู่บนศีรษะ เป็นร่างกายของกู นำไปสู่ความคิดนึกรู้สึกว่าชีวิตของกู ทรัพย์สมบัติของกู เกียรติยศชื่อเสียงของกู ความได้ของกู ความเสียของกู ความขาดทุน กำไรของกู ความแพ้ชนะของกู มันเป็นของกูไปหมด มันก็เลยยิ่งกว่าโลก ยิ่งกว่าโลกทั้งโลกนะมาสุมอยู่บนกบาลนะ มาสุมอยู่บนศีรษะ นี่ละภาระหนักของชีวิต
สัญลักษณ์กางเขนของคริสเตียนนะดีที่สุด มีความหมายที่สุด ไอ้ Capital I มีความหมายเท่ากับว่า Self หรือกู หรือของกู The cutting of the self สัญลักษณ์ไม้กางเขน ตัดไอ้ความรู้สึกว่ากู ว่าของกู ออกไปเสีย เป็นคริสเตียนที่ดี ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักคริสเตียนที่ดีนั้นนะ เขาก็จะไม่มีของหนักอยู่บนกบาล ท่านที่เป็นคริสเตียนพูดว่า กางเขนนะเป็นบันไดไปสู่พระเจ้า ถูกที่สุดนะ ถูกที่สุด สัญลักษณ์กางเขนมีความหมายว่า ตัดตัวกู ตัดตัวกู ตัดตัวกูออกเสียให้หมด จิตก็เกลี้ยงไม่มีตัวกู ก็จะถึงพระเจ้า จิตที่เกลี้ยงที่เป็นอิสระจากตัวกูก็ถึงพระเจ้า ถูกที่สุด ถูกที่สุด จิตชนิดนี้ไม่มี Burden of Life ไม่มีภาระหนักแห่งชีวิต เรื่องเดียวกัน ถ้าเราเอาตัวกูของกูออกไปเสียให้หมด เราก็จะพบ Freedom of Life เดี๋ยวนี้เราเป็นทาสแห่งตัวกู เราไม่มี Freedom of Life มันก็เป็นความทุกข์เหมือนกัน เราจะพูดถึงไอ้ความถูกผูกพัน ไม่มี Freedom ของชีวิตนี้ในวันหลัง
ในวันนี้เวลาหมดมันแล้ว ต้องขอยุติไว้ทีก่อน
ขอบใจที่เป็นผู้ฟังที่ดีด้วยความอดทน คน ๆ นี้มันพูดมาก พูดน้อย ๆ ไม่เป็น
ปิดประชุม