แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้จะได้พูดกันถึงเรื่อง หนทางที่จะเข้าถึงอตัมมยตาโดยเฉพาะ อาตมาได้บอกท่านทั้งหลายแล้วว่าอานาปานสติเป็นตัวหนทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด เพราะฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจเรื่องอานาปานสติกันให้เพียงพอ
อานาปานสติ ใจความสำคัญมันอยู่ตรงคำว่า “สติ” สติ ตัวสุดท้ายเรียกว่า สติ นี้สตินี้มีในอะไรก็ได้ แต่ที่จะมีประโยชน์ที่สุดหรือได้พบมาแล้วมีประโยชน์ที่สุดนั้น มีสติในลมหายใจนี่ดีที่สุด เมื่อปฏิบัติอานาปานสติอย่างที่มีกล่าวอยู่ในพระบาลี คัมภีร์พุทธศาสนานี้ มันเป็นการปฏิบัติครบถ้วนทั้งศีลทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา อานาปานสติแบบอื่นเขาก็มีกันทั้งนั้นแหละมีเหมือนกันแต่จะไม่ครบ นี้ขอยืนยันว่า อานาปานสติที่เรากำลังศึกษาฝึกฝนอยู่นี่จะมีครบทั้งศีล สมาธิ ปัญญา
โยคีทั้งหลายในอินเดียทุกสาขา ทุกลัทธิมีใช้อานาปานสติด้วยกันทั้งนั้นแหละ เขาเรียกว่า ปราณายามะ ปราณายามะ แปลว่าการบังคับลมหายใจ แต่นี้ที่ต่างๆ ต่างๆ กันตามแบบของตัว คำว่า ปราณ หรือ ปราณะ ปราณ นี่มันมีความหมายเป็นลมหายใจก็ได้เป็นชีวิตก็ได้ เพราะคนโบราณถือว่าลมหายใจเป็นชีวิต คำว่าปราณ หรือปราณะ นี่บางทีก็เล็งถึงลมหายใจ บางทีก็เล็งถึงตัวชีวิตเลย ความรู้นี้เก่าแก่ที่สุด เก่าแก่ก่อนที่จะเกิดระบบปฏิบัติทางศาสนา
มันเป็นได้ว่าคนป่า ยุคคนป่านั่น คนป่านั่นเอง เขารู้จักลมหายใจในฐานะเป็นของประเสริฐ ฉลาดหรือพิเศษที่สุด โดยธรรมชาติ โดยธรรมชาติมันสอนให้เขา มันมีจุดตั้งต้นตั้งแต่ว่า พอเขารู้จักการหายใจที่ยาว หายใจอย่างดีอย่างถูกต้อง มันก็มีความสบาย มีความสดชื่น มีกำลังวังชาขึ้นมาทันที เหมือนอย่างที่เราเดี๋ยวนี้เราก็รู้ เพราะการหายใจยาวๆ มันเอาออกซิเจนเข้าไปมากแล้วมันก็รู้สึกสบาย แล้วมันกำจัดอารมณ์ร้ายทั้งหลาย เช่นว่า โกรธใครอยู่นี่ก็หายใจยาวๆ ความโกรธก็บรรเทาลงไป ความรู้สึกไม่สบายใจอะไรก็ตามที่มันมีอยู่ในใจลองหายใจยาวๆ มันก็ไล่กำจัดออกไป คนป่าเขาสังเกตได้ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นสิ่งสำคัญ เป็นสิ่งที่ต้องสนใจและสำคัญต้องใช้มัน ความรู้เรื่องการบังคับลมหายใจมันก็เกิดขึ้นมา
เมื่อโลหิตออก ลองหายใจให้ดี หายใจให้ละเอียด ให้ระงับตามแบบ อานาปานสติ โลหิตจะออกน้อยลงจะออกช้าลง หรือในบางกรณีอาจจะหยุดก็ได้ มันบังคับได้แม้ทางกายนี่ การหายใจที่ถูกต้องมีผลแม้ทางฟิสิกส์ ทางกาย สามารถจะลดความดันโลหิต ความดันสูงจะลดลง นี่ทางฝ่ายฟิสิกส์ ส่วนทางจิต Mood, Emotion อะไรต่างๆ ทางจิตมันก็ลดกำลังลง มันถอยกำลังลงนี่มันมีผลทางจิต มันมีผลทั้งทางกายและทั้งทางจิต นั้นมันเป็นความรู้ในรูปแบบที่ว่าเป็นศาสตร์ เป็นศาสตร์ เป็น Science ขึ้นมาแล้วตั้งหมื่นๆ ปี นี่ขอให้รู้จักอานาปานสติในลักษณะอย่างนี้ไว้ทีก่อน
มาถึงยุคพระพุทธเจ้าคงจะแพร่หลายมากในอินเดีย เด็กชายสิทธัตถะ จึงสามารถทำอานาปานสติได้ตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ เพราะนั้นศาสตร์อันนี้คงแพร่หลายมากในอินเดียสมัยนั้น แต่ว่าที่เขามีกันตามธรรมดาอย่างนั้นมันไม่ถึงที่สุดยังไม่ถึงที่สุด เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้นี่ท่านได้ค้นคว้าต้องปรับปรุงจนถึงที่สุด แล้วก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยระบบอานาปานสติ ท่านตรัสไว้อย่างนั้นว่าเมื่ออยู่ด้วยอานาปานสติเป็นวิหารธรรมอยู่เป็นประจำก็ได้ตรัสรู้ แล้วก็ได้สอนภิกษุทั้งหลายด้วยเรื่องนี้เรื่องเดียว ยืนยันไว้อย่างเดียว เรื่องเดียว ข้อเดียวคืออานาปานสติ แต่แล้วก็บางทีเรียกชื่ออย่างอื่น เช่น สติปัฏฐาน เป็นต้น จึงมีระบบที่พระพุทธเจ้าใช้และตรัสสอนเพียงเรื่องเดียวคืออานาปานสติ ไม่มากมายเหมือนอย่างเดี๋ยวนี้มีหลายสิบแบบ พระพุทธเจ้าสอนแบบเดียวคือ อานาปานสติ
๑๐๐๐ ปีล่วงมา ในยุคพุทธโฆษา เขียนคัมภีร์วิสุทธิมรรค ประดิษฐ์ขึ้นมาเป็น ๔๐แบบ เป็น ๔๐ แบบ สมาธิวิปัสสนา ๔๐ แบบ พอมาถึงยุคนี้มีคนประดิษฐ์ ประดิษฐ์ขึ้นอีกหลายๆ แบบ หลายๆ แบบ เดี๋ยวนี้เรามีกันหลายสิบแบบ นี่ก็ขอถือว่ามันประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ไม่ดีกว่า ไม่มีผลกว่า อานาปานสติ ขอให้สนใจอานาปานสติในฐานะเป็นแบบเดิมแท้ ใช้มาตั้งแต่คนป่าสมัยหินนั่นแหละ เข้าใจว่าอย่างนั้น เรื่อยมา เรื่อยมาๆ ไม่รู้กี่พันปี จนเกิดการตรัสรู้อย่างพระพุทธเจ้าด้วยอานาปานสติ ความสำคัญของอานาปานสติเป็นอย่างนี้
เวลานี้ถ้าเอามารวมกันทั้งแบบเถรวาท แบบมหายาน แบบเซน แบบทิเบต แบบอะไรเข้าไปด้วยนั้นแล้ว คงจะต้องร้อยขึ้นไป หลายสิบแบบหรือร้อยแบบนี่มันมากเกินไป ขอให้ยืนยันแบบ อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าสรรเสริญว่าเป็นแบบเงียบ เป็นแบบเย็น เป็นแบบสงบ ไม่ต้องออกเสียง อานาปานสติไม่ต้องออกเสียงไม่ต้องทำท่าทางอะไรต่างๆ ไม่ต้องใช้วัตถุนั่นนี่มาประกอบการกระทำ นี่มันเป็นแบบที่สงบ ระงับ นิ่งเงียบอย่างนี้ ขอยืนยันแบบอานาปานสติ
รายละเอียดเกี่ยวกับ อานาปานสติ ท่านอาจจะอ่านได้เอง อ่านเอาเองจากหนังสือคู่มืออานาปานสติซึ่งมีอยู่แล้วที่พิมพ์ขึ้นมาแล้ว ในที่นี้จะชี้เฉพาะที่ว่า อานาปานสติ จะนำให้เกิดความรู้ที่เรียกว่า อตัมมยตา ได้อย่างไร
ในอานาปานสติที่แบ่งออกเป็น ๔ หมวด ๔ หมวดนั่น หมวดที่ ๑ มันเป็นการเตรียมกาย เตรียมร่างกาย เตรียมระบบกาย เตรียมระบบประสาท เตรียมทุกอย่างที่เกี่ยวกับกายให้พร้อม ให้พร้อม ที่จะทำอานาปานสติ เป็นการทำอานาปานสติที่เตรียมกายให้พร้อมเพื่อทำอานาปานสติที่ยิ่งขึ้นไป ไปอ่านดูให้ดีในหมวดที่ ๑ จะพบความรู้ข้อนี้
พอถึงหมวดที่ ๒ ก็เริ่มรู้จักกายที่เกี่ยวกับจิต กายเกี่ยวข้องกับจิต รู้จักวิธีที่จะลดกำลังของจิต ลดการปรุงแต่งทางจิตหมวดที่ ๒
พอถึงหมวดที่ ๓ ก็ศึกษาเรื่องจิตโดยเฉพาะ บังคับจิตโดยเฉพาะ บังคับจิตให้เป็นอย่างนั้น บังคับจิตให้เป็นอย่างนี้ เช่น บังคับให้บันเทิง บังคับให้ตั้งมั่น บังคับให้ปล่อยนี่ หมวดนี้ก็มีอำนาจเหนือจิตเรา มีอำนาจเหนือจิต เดี๋ยวนี้จิตพร้อมแล้วที่จะรู้ สามารถที่จะรู้อย่างยิ่ง ตั้งต้นด้วยการรู้อนิจจตา รู้อนิจจตา เมื่อรู้อนิจจตาแล้วก็ไม่ต้องสงสัยหรอก ก็รู้ทั้ง ๙ ตา อนิจจตา ทุกขตา อนัตตตา ธัมมัฏฐิตตา ธรรมนิยามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตาในระยะนี้รู้ทั้ง ๙ ตา แต่ว่าในสูตรในตัวสูตร Text แท้ๆ พูดกันแต่เรื่องอนิจจตา แต่ท่านรู้อนิจจตาแล้วมันเดินออกไปเอง ไปสู่ ๙ ตา นั้นจึงมีพูดเน้นเรื่องอนิจจตา
ขอให้สังเกตให้เห็นว่า ๓ หมวดแรก หมวดกาย หมวดเวทนา หมวดจิตนั่นมีลักษณะเป็นสมาธิหรือเป็นสมถะ สมถะ เกี่ยวกับทางจิตบังคับจิต เฉพาะมีศีลรวมอยู่ในนั้นด้วย วิปัสสนา วิปัสสนาที่สมบูรณ์มามีในหมวดที่ ๔ คือธรรมานุปัสสนา แต่อยู่เฉยๆ จะมาวิปัสสนานี้ไม่ได้ ต้องเตรียมพร้อมทางกาย เตรียมพร้อมทางจิต บังคับจิตได้ที่ สมบูรณ์แล้ว มันก็จะมีวิปัสสนา อย่างนี้จิตสามารถจะเห็น อนิจจตาอย่างทั่วถึง อย่างชัดเจน อย่างละเอียดทั้งภายนอก ทั้งภายใน ทั้งทุกชนิด ทุกความหมายของอนิจจตา ดูในคู่มือนั่นน่ะ มันจะดูความไม่เที่ยงของลมหายใจ ของการหายใจ ลักษณะของลมหายใจของปิติ ของสุข ของจิตทุกชนิดเห็นความไม่เที่ยง ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงทุกอย่างครบ นี่เห็นอนิจจตา หมวดที่ ๔ เริ่มต้นวิปัสสนาโดยการเห็นอนิจจตา
Suffix ว่าตา ตา ตาในภาษาบาลี มีความหมายแต่เพียงว่า State of being Being of state เท่านั้นแหละแต่เผอิญในภาษาไทยน่ะ มันบังเอิญมันมาตรงกับคำว่า “ตา” ตา ที่แปลว่า eye eye ตานี่ เลยถือเอาคำความหมายของภาษาไทยว่า ตา ตา ได้ ๙ ตา Nine eyes nine eyes อย่างที่ออกชื่อมาแล้ว เรามี nine eyes eye คือตา eye คือเห็น เห็นคือวิปัสสนา เราก็มีวิปัสสนา ๙ อย่างได้โดยง่าย นี่อนิจจตา มีความหมายเป็นต้นเหตุเป็นต้นเงื่อนแล้วก็มี Action มี reaction ปรุงไป ปรุงไปๆ จนเห็นเป็นครบทั้ง ๙ ตา
เมื่อเห็นอนิจจังสมบูรณ์แบบมี Nine eyes แล้วทีนี้ก็มี วิราคะ คือ อตัมมยตาเริ่มทำงาน อตัมมยตาเริ่มทำงาน ทำให้อวิชชาจางออก อุปาทาน Attachment จางออก จางออก ความทุกข์ก็จางออก จางออก วิราคะ วิราคะ แปลว่า จางออก จางออก จางออก เหมือนกับสีย้อมผ้าที่ใส่น้ำมากลงไปมันก็จางออก จางออก จนหมดสี วิราคะ นี่ก็จางออก จางออกเหมือนกัน จางออกของสีที่ย้อมผ้าก็เรียก วิราคะ นี่หมายความว่า อตัมมยตาได้ทำงานแล้ว
เมื่ออตัมมยตาทำงานเกิดผลเป็นจางออก คลายออก คลายออกแห่งกิเลส แห่งอุปาทาน แห่งอวิชชา แห่งความทุกข์แล้ว ผลที่ต่อไปก็คือ ดับลง ดับลง ดับลงแห่งความทุกข์ ดับลงแห่งกิเลส ดับลงแห่งอวิชชา นี่ผลแห่งการทำงานของอตัมมยาตาเรียกว่า นิโรธะ นิโรธะ แปลว่าดับไม่เหลือ
ทีนี้ อานาปานสติขั้นสุดท้ายยังไกลไปออกถึงที่สุดว่า หมดหน้าที่ หมดหน้าที่ที่จะต้องการกระทำ เรียกว่า “ปฏินิสักขะ” เดี๋ยวนี้ไม่ยึดถือแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ไม่ยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตนเป็นบวกเป็นลบ เป็นอัตตา เป็นอัตตนียาอะไรอีกแล้ว นี่เรียกว่า “สลัดคืน” เปรียบเหมือนว่า ก่อนนี้มันโง่มันไปขโมยของธรรมชาติมาเป็นของตน เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่า โอ้ ไม่ได้คืนให้ไป ปฏินิสักขะ แปลว่า โยนกลับ โยนกลับไป
เราจะจำไว้อย่างน่าหัวก็ว่า ก่อนนี้เราเป็นขโมย ไปขโมยของธรรมชาติมาเป็นของเรา เราเป็นขโมย เราก็ต้องถูกลงโทษให้เป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เรามีอานาปานสติ จนรู้ว่าโอ้ ไม่ได้ เราไม่ขโมย throwing back ยิ่งกว่า away back คืนเจ้าของให้ไปเป็นของธรรมชาติตามเดิม เราก็หยุดเป็นขโมย เราไม่เป็นขโมย เราก็ไม่ถูกลงโทษ เราก็สบายดี จำไว้ง่ายๆ อย่างนี้เป็นอุปมา นี้เรียกว่าเรามี อตัมมยตา โดยอานาปานสติ แล้วทำให้อตัมมยตาเกิดขึ้นมา เราใช้อตัมมยตาเราได้รับประโยชน์จากอตัมมยตา โดยมี อานาปานสติ นี้ก็เป็นแบบหนึ่งเป็น Structure อันหนึ่งของการปฏิบัติ
ทีนี้เราจะมาดูอีกอันหนึ่งเป็นรูปโครง(นาทีที่ 49.39) อันหนึ่งคือ “อริยมรรคมีองค์ ๘” อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นเรื่องละเอียดอีกเรื่องหนึ่งหาอ่านได้จากหนังสือเหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้จะบอกว่าเมื่อเรามีชีวิตอยู่อย่างมีอริยมรรคมีองค์ ๘ นี่มันก็ให้เกิด อตัมมยตา อยู่ตลอดเวลาได้เหมือนกัน ดำเนินชีวิตอย่างอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละ มันให้เกิดอตัมมยตาคุ้มครองอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
ใจความสำคัญมันอยู่ที่ความถูกต้อง ภาวะของความถูกต้อง ถูกต้อง คือถูกต้องทางความคิดเห็น ความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจหรืออุดมคติเหล่านี้ถูกต้อง เรียกว่า “สัมมาทิฏฐิ” แล้วถูกต้องโดยทางความมุ่งหมายความต้องการที่เรียกว่า Aspiration มันถูกต้อง แล้วทีนี้วาจาการพูดจา กัมมันตะ การงานที่จะทำทางกาย อาชีวะการดำรงชีวิตถูกต้อง ถูกต้อง ที่มีความพยายาม พากเพียร พากเพียรถึงที่สุดอยู่อย่างถูกต้อง มีสติ สติสมบูรณ์แบบก็อย่างอานาปานสตินี่ จะเรียก สติปัฏฐาน ก็ได้ อานาปานสติก็ได้มีสติถูกต้อง ถูกต้อง แล้วสมาธิ สมาธิความตั้งใจมั่น ความดำรงจิตมั่นก็ถูกต้องนี่เรียกว่าถูกต้อง ๘ ประการ ใช้คำว่า “ถูกต้อง” ดีที่สุด
ที่ต้องสังเกตให้เห็นว่า Eight four หรือ eight Factors นั้นมัน Eight นะ จะต้องรวมกันเป็นอย่างเดียวเป็นสิ่งเดียวมันมีกำลังแปดเท่า มันรวมกันเป็นสิ่งเดียว มรรคหรือ Path มันมีทางเดียว แล้วมีชื่อเรียกใหม่ในพระบาลีว่า “อริยะสัมมาสมาธิ” มีบริขาร ๗ Noble …with seven attendance (นาทีที่ 52:46) อริยะสัมมาสมาธิมีบริขาร ๗ นี่รวมกันแล้วเป็นอย่างเดียวแล้วจะมีชื่อเรียกอย่างนี้ นี่ อริยมรรคมีองค์ ๘
ขอกำชับว่าอย่าเรียกว่า ๘ ทาง ทางเดียวมี ๘ Factors แม้ในเมื่อไทยนี้ก็ยังพูดผิดๆ ในเมืองไทยนี้ก็ยังมีพูดผิดๆ ว่า ๘ ทาง ว่ามรรค ๘ ที่จริงมรรคมีหนึ่งแล้วก็มี ๘ องค์ ทางเดียวมี ๘ องค์ประกอบที่มีประโยชน์ Qualification ของทางนี้ มันมี ๘ นี่เข้าใจชัดอย่างนี้ จำง่ายๆ ว่าทางมีทางเดียวแล้วก็มีองค์ประกอบ ๘ เช่นว่ามีแผนที่สำหรับให้เดินมีความปรารถนาของผู้เดิน มีหาอาหารได้ มีความปลอดภัย มียานพาหนะดี มีการคุ้มครองอารักขาดี มีความตั้งใจมั่นดี ทางนี้ทางเดียวแต่ว่าประกอบด้วยในสิ่งช่วยให้สำเร็จ ๘ อย่างนี่ ก็คืออันนี้
ครั้นประกอบด้วยองค์ ๘ องค์ ๘ อย่างสมบูรณ์แล้ว ซึ่งเป็นส่วนเหตุ องค์ ๘ นี้เป็นส่วนเหตุของมัน ก็มันให้เกิดองค์ที่ ๙ ซึ่งเป็นส่วนผลเรียกว่า “สัมมายานะ” ยานะ แปลว่าความรู้ ปัญญา หรือวิปัสสนา หรือ insight Enlighten คำว่ายานะ ยานะคำนี้มันมักจะแปลกันว่า Knowledge เฉยๆ มันไม่พอมันต้องถึงที่สุดแห่ง Knowledge เรียกว่ายานะ เราก็มีสัมมายานะ นี่คือตัวอตัมมยตา ตัวอตัมมยตา สัมมายานะ มีวิปัสสนา ๙ ตา ๙ ตาที่ตรงนี้ สัมมายานะ องค์ที่ ๙ องค์ที่ ๙
ทีนี้ก็มีผลออกมาเป็นองค์ที่ ๑๐ องค์ที่ ๑๐ เรียกว่า “สัมมาวิมุตติ” imagination ที่ถูกต้อง วิมุตตินี่สุดท้ายหล่ะ หลุดออกไปจากปัญหาจากความทุกข์ จากทุกอย่างที่ไม่พึงปารถนาเรียกว่าสัมมาวิมุตติเป็นองค์ที่ ๑๐
เมื่อพูดว่ามรรคมีองค์ ๘ นี่หมายถึง เหตุหรือการปฏิบัติหรือตัวการปฏิบัติมี ๘ แต่พอพูดว่ามรรคก็มีองค์ ๘ แต่มีผลอีก ๒ รวมเข้าไปด้วยก็เป็นตัวธรรมะพุทธศาสนาดีกว่า ตัวพุทธศาสนามีองค์ ๑๐ มีองค์ ๑๐ มีส่วนเหตุ ๘ มีส่วนผล ๒ เป็นความถูกต้อง ๑๐ อย่างนี้เรียกรวมตรงๆ ว่า “สัมมัตตะ” สัมมัตตะ ความถูกต้อง ๑๐ ประการ นี่มันรวมทั้งปฏิบัติเพื่ออตัมมยตา มีอตัมมยตา แล้วมีผลของ อตัมมยตาเรียกว่าสัมมัตตะ ๑๐ นี่คือตัวพุทธศาสนาที่สมบูรณ์
ท่านคงไม่ค่อยจะได้ยิน ไม่เคยได้ยินนักหรอก สัมมัตตะ ๑๐ ท่านเคยได้ยินแต่ว่า eight for path (นาทีที่ 01:05:54) eight for path ให้ผลแล้วออก ๒ อีก ๒ ก็เป็นสัมมัตตะ ๑๐ องค์แห่งการปฏิบัติมี ๑๐ องค์แห่งผลมี ๒ รวมกันเป็น ๑๐ เป็นตัวพุทธศาสนาที่สมบูรณ์ ขอให้ได้ยินได้ฟังเสียบ้างว่าสัมมัตตะ ๑๐ ความถูกต้อง ๑๐ ความถูกต้อง ๑๐ คือหมดทั้งพุทธศาสนา
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดมีพระพุทธเจ้าเองเป็นเพื่อน เป็นเพื่อนที่ดี ผู้นั้นจะพ้นจากปัญหาแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ปัญหาแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตายคือความทุกข์ทุกชนิด ผู้ใดมีพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนที่ดี ผู้นั้นจะพ้นจากปัญหาแห่งความทุกข์ทุกชนิด ที่เรียกว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าท่านใช้คำว่า “เพื่อนที่ดี” กัลยาณมิตะ กัลยาณมิตะ ท่านจะไม่ใช้คำว่า เป็นนายหรือเป็นครู หรือเป็นอะไร ท่านไม่เคยใช้ ท่านใช้คำว่า “เป็นเพื่อนที่ดี” คำนี้สำคัญมาก ขอให้เราพยายามเถิดมีพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนที่ดี จะพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เดี๋ยวนี้เรามักจะไม่เป็นเพื่อนกัน เรามักจะเป็นอาจารย์ หรือเป็นครู หรือเป็นนาย หรือเป็นอะไร ไม่ถูกตามความหมายหรอก ขอให้พยายามที่จะมีพระพุทธเจ้าเป็นเพื่อนที่ดีตามที่พระพุทธองค์ตรัส อย่างมากที่เราจะนึกไปได้ก็เพียงว่าเป็นผู้นำ เป็นผู้นำ แต่ไม่ใช่ dictatorship นะ เป็นผู้นำในฐานะที่เป็นเพื่อนที่ดี ท่านตรัสว่าเมื่อมีตถาคตเป็นเพื่อนที่ดีแล้ว ผู้นั้นจะมีสัมมัตตะ ๑๐ จะมีสัมมัตตะ ๑๐ อย่างที่กล่าวเมื่อตะกี้
มีสัมมัตตะ ๑๐ ก็มีครบหมดมีอตัมมยตา มีผลของอตัมมยตาเรื่องก็จบ โดยการปฏิบัติอานาปานสติก็ดี โดยการเป็นอยู่อย่างมรรคมีองค์ ๘ ก็ดี ทำให้เรามีเพื่อนที่ดี มีเพื่อนที่ดีอย่างที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า เรามีเพื่อนที่ดี มีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ นี่เป็นเพื่อนที่ดีครบทั้ง ๔ นี้ เราก็ไม่มีปัญหาเราก็รอด เราก็รอด
ถ้าเราจะมีคำพูดเหมือนที่คริสต์เตียนพูดหรือฮินดูพูดว่ามีการล้างบาป มีน้ำล้างบาป มีการล้างบาป พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเรื่องนี้เหมือนกัน ท่านตรัสว่าสัมมัตตะ ๑๐ ทั้งสิบนั่นแหละเป็นน้ำล้างบาปเป็นการล้างบาป โดยอุปมาท่านตรัสไว้ว่า ท่านตรัสโดยตรงๆว่าสัมมัตตะ สัมมัตตะ ๑๐ เป็นยาถ่าย ยาถ่ายกินเข้าไปแล้วถ่าย ถ่ายของไม่ดีออกหมด สัมมัตตะนี่กินเข้าไปแล้ว ทำให้อาเจียน vomit อาเจียนๆๆ ของที่เป็นโทษออกหมด สัมมัตตะเป็นยาถ่าย สัมมัตตะเป็นยาทำให้อาเจียน คือความทุกข์ทั้งปวง เหตุให้เกิดทุกข์ทั้งปวงออกไปหมด เพราะในสัมมัตตะ ๑๐ นั้นมีอตัมมยตา เพราะในสัมมัตตะ ๑๐ นั้นมีอตัมมยตา ทำให้ถ่าย ทำให้อาเจียน ทำให้ล้างบาป มีอตัมมยตาเราก็หมดปัญหา เราดูจากผลของอตัมมยตา เราจะรู้จักตัวอตัมมยตา นี่เรากำลังดูผลของอตัมมยตาเพื่อรู้จักอตัมมยตา ท่านจงดูผลประโยชน์ ผลดีที่เกิดจาก อตัมมยตาอย่างที่พูดๆ อยู่นี่ แล้วท่านจะรู้จัก อตัมมยตา มากยิ่งขึ้น
หลักคำสอนของเถรวาทก็ดี มหายานก็ดี เซนก็ดี วชิรยานก็ดีมันสรุปว่า มีความทุกข์เพราะยึดมั่นอุปาทาน ยึดมั่นในขันธ์ทั้งห้า ขันธ์ทั้งห้า ทีนี้การตัดความยึดมั่นในขันธ์ทั้งห้าออกไปเสียก็หมดทุกข์มีเท่านี้ ทุกข์เพราะยึดมั่นขันธ์ห้า ไม่ทุกข์เพราะตัดปล่อยขันธ์ห้าออกไปเสีย เถรวาทก็ดี มหายานก็ดี เซนก็ดี มีหลักอย่างนี้ ถ้าไม่มีหลักอย่างนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา นั้นเราไม่ต้องเรียนหลายนิกายหลายรูปแบบหรอก เรียนหัวใจอันเดียวว่า ตัดอุปาทานในขันธ์ทั้งห้าออกไปเสีย แล้วก็หมดทุกข์ สิ่งที่จะตัดก็คือ อตัมมยตา
ถ้าไม่มีอตัมมยตาก็ไม่มีพุทธศาสนาหรือไม่เป็นพุทธศาสนาเพราะไม่มีอะไรที่จะตัดอุปาทานในขันธ์ห้า ไม่มีพุทธศาสนาและไม่เป็นพุทธศาสนา จะไม่มีการตรัสรู้ จะไม่มีพระพุทธเจ้า จะไม่มีโลกุตตระ ถ้าไม่มีอตัมมยตา
ทีนี้เรามาดูเกี่ยวกับองค์พระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีอตัมมยตาพระพุทธเจ้าก็ไม่ออกบวช แม้พระพุทธเจ้าออกบวชแล้ว เที่ยวศึกษา ศึกษา ศึกษา แล้วก็จะติดอยู่ที่ความรู้สูงสุดของสมัยนั้น คือ “เนวสัญญานาสัญญายตนะ” คือติดอยู่ในธรรมะชั้นสูงสุด นี่ชื่อเรียกสำหรับท่าน สำหรับท่านลำบากนะ เนวสัญญนาสัญญายตนะ อาจารย์คนสุดท้ายพระพุทธเจ้าสอนความรู้อันนี้ แล้วก็บอกว่านี่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เอาไม่ใช่ที่สุด ก็ออกไปหาความรู้ที่สูงกว่าโดยอตัมมยตา ทำให้หลุดพ้นจากเนวสัญญานาสัญญายตนะ
อตัมมยตาทำให้เลื่อนชั้น เลื่อนชั้น เลื่อนชั้น จนไปถึงสุด ชั้นสุดท้ายสูงสุดเป็น โลกุตตระ ไม่ใช่เพียงแต่ชั้นสุดท้าย ทำให้เลื่อนตั้งแต่ต้น เลื่อนตั้งแต่ต้น เลื่อนตั้งแต่ต้นขึ้นไปจนถึงอันสุดท้าย นี่ใช้อตัมมยตาเป็นขั้นตอน มีทุกสิ่งมันมีอัสสาทะ อัสสาทะ เรียกว่าเสน่ห์หรือ Attractiveness Attractiveness คือ อัสสาทะ ทุกอย่างมีอัสสาทะ คนเราก็หลงติดในอัสสาทะ โดยสรุป สรุปเป็นกว้างๆ ทีแรกเราก็ติดอัสสาทะในกาม Sexuality ทั้งหลาย
ทีนี้ถ้าจิตสูงขึ้นไปมีอตัมมยตา ละอัสสาทะในกามเสียได้ แล้วก็มาถึงอัสสาทะของรูปล้วนๆ รูปบริสุทธิ์ pure form ก็มีอัสสาทะดึงดูดใจชั้นสูงชั้นละเอียด อตัมมยตาทำให้เราละจากอัสสาทะใน pure form ไปสู่อัสสาทะของ Formless ทางจิตใจชั้นสูง ทีนี้แม้แต่อัสสาทะของ Formless ก็ไม่ไหว ไม่ไหวยังมีความทุกข์ อตัมมยตาก็ทำให้ไปสู่เหนือ เหนือภพ เหนือภพ เหนือโลกคือ โลกุตตระ ถ้าเรียกอย่างภาษาบาลีก็ไปสู่นิโรธะ นิโรธะ นิพพานนี่ นิโรธ หรือนิพพานะไม่มี ไม่มีอัสสาทะ ไม่มี Condition ใดๆ
ทีนี้เรามาดู นี่เราดูประโยชน์หรือผลของ อตัมมยตาในทางธรรมะในด้านธรรมะกันมากพอแล้ว ทีนี้มาดูประโยชน์ของ อตัมมยตาในแง่ของโลกๆ ในโลกนี้กันบ้างจะรู้จักอตัมมยตาดียิ่งขึ้น ผู้หญิงคนใดมีอตัมมยตาผู้ชายเกี้ยวไม่ได้ ผู้ชายคนใดมีอตัมมยตาผู้หญิงก็หลอกให้เขารักไม่ได้ ไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้ใด นี่เรื่องโลกๆ ของอตัมมยตา ไม่ตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาใดๆ ที่เต็มไปทั้งโลก ที่มีอยู่ในโลกการโฆษณาใดๆ ไม่ตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของลัทธิใดๆ ใครสะกดจิตไม่ได้ ไม่หลงความเจริญทางวัตถุ จะลดจำนวนคนบ้าคนฆ่าตัวตาย ลดอาชญากรรมลดสงคราม ลดวิกฤตการณ์ทุกชนิดในโลก
ท่านดูในโลกปัจจุบันนี้ที่เจริญด้วยวิทยาศาสตร์เจริญด้วยวัตถุกำลังจะวินาศเพราะลุ่มหลงในอัสสาทะของเหยื่อของของหลอกลวงทั้งหลาย โลกกำลังจะวินาศ มันมีหลงในอัสสาทะแล้วมันก็อิจฉาริษยากันมันจะทำลายกันมันจะครองโลกเสียคนเดียว อตัมมยตาจะกำจัดความเลวร้ายเหล่านี้ให้หมดไปจากโลกได้
เทคโนโลยี เทคโนโลยีนำไปสู่ความรู้ทางปรมาณูทางอวกาศอะไรสารพัดอย่าง แต่ยิ่งทำให้คิดจะครองโลก อิจฉาริษยา ยิ่งอิจฉาริษยา ยิ่งมีความรู้มากยิ่งอิจฉาริษยา โลกไม่มีสันติภาพเพราะเทคโนโลยี จนกว่าอตัมมยตาจะเข้ามาควบคุม ปัญหาทั้งหลายทางฟิสิกส์ก็ดีทาง mental ก็ดี ทาง Spiritual ก็ดี ปัญหาทั้งหลายทั้งหมดจะหมดไปจากโลกเพราะรู้จักใช้อตัมมยตา คุณจะอยู่อย่าง house home life หรือ homeless life ก็ตามเถิด คุณต้องใช้อตัมมยตาทั้งนั้นแหละ
ในที่สุดจะสรุปความว่า ท่านทั้งหลายที่เที่ยวแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์ แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่อยากจะแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดของมนุษย์เพื่อแก้ปัญหาเพื่อมีชีวิตใหม่ ท่านก็ไม่รู้ว่าอะไร เดี๋ยวนี้ขอบอกว่าสิ่งนั้นคือ “อตัมมยตา” ท่านแสวงหาอตัมมยตาให้พบเถิด ท่านจะหมดปัญหาของการเที่ยวแสวงหา ท่านจะพบตัวเอง พบตัวเองว่าเดี๋ยวนี้กำลังไม่มีอตัมมยตา ท่านต้องทำให้ตัวเองมีอตัมมยตาจึงจะหมดปัญหา ท่านกำลังไม่มีอตัมมยตา ตัวเรากำลังไม่มีอตัมมยตา พบตัวเองที่แท้จริงอย่างนี้เสียก่อน แล้วก็แสวงหาอตัมมยตาให้แก่ตัวเอง
มีคำพูดที่ท่านทั้งหลายก็คงเคยได้ยิน คือว่า เราต้องการโลกของ Messiah, Messiah ในพุทธศาสนานี้เรียกว่าศรีอริยเมตไตรย โลกที่ดีที่สุดคือโลกของ Messiah พุทธก็มีอย่างพุทธ ฮินดูก็มีอย่างฮินดู คริสต์ก็มีอย่างคริสต์ มี Messiah ของตนของตน เมื่อใดมีอตัมมยตามาครองโลกแล้วเมื่อนั้นโลกนั้นเป็นโลกของ Messiah ฮินดูเขาเรียกกัลป์จี กัลป์จี (นาทีที่ 01:47:29) ชาวพุทธเรียกว่าเมตไตรย ชาวคริสต์เรียก Messiah นี่มันจะมีต่อเมื่อมนุษย์มีอตัมมยตา กิเลสไม่ครองโลก กิเลสไม่ครองโลก ธรรมะครองโลกโดยอตัมมยตา
เราเปรียบอตัมมยตาเหมือนยานอวกาศ ยกเราขึ้นจากนรกแล้วก็ไปถึงสวรรค์ ยกเราจากสวรรค์ขึ้นไปเหนือโลกเหนือภพไปสู่โลกกุตตระ อตัมมยตาจะเป็นยานอวกาศยกขึ้นไป ยกขึ้นไป ยกขึ้นไป จนถึงที่สุด ที่สุดแห่งโลก ทางการเมืองเราจะไม่มี Capitalist หรือคอมมิวนิสต์คือไม่มีตรงกันข้าม เราจะอยู่ตรงกลางมีธรรมิก Socialistism คือทุกคนรักกันอย่างเป็นเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกัน นี่เราจะเรียกว่า ธรรมิก Socialistism อตัมมยตาช่วยให้ได้อย่างนี้แล้ว ไม่เห็นแก่ตัวแล้วก็มี
เพื่อนในการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคน ทุกคน ทั้ง Universe เป็นเพื่อนคนเดียวเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วศัตรูหรือฝ่ายค้านจะมีมาแต่ไหนหล่ะ ในคัมภีร์อัลกูรอานของอิสลามมีอยู่ประโยคหนึ่งเขาพูดว่า มนุษย์ทุกคนใน Universe มนุษย์ทุกคนนั่นหล่ะเป็นมนุษย์คนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้ถ้าไม่มีอตัมมยตา ถ้ามีอตัมมยตาจะเป็นไปได้เช่นนั้นจริงๆ
นี่เราต้องการอย่างยิ่ง ต้องการอย่างยิ่งที่จะทำความเข้าใจระหว่างศาสนาทุกศาสนา ขอให้รู้จักใช้อตัมมยตามาทำความเป็นมนุษย์คนเดียวกันทั้ง Universe รวมทั้งเทวดาด้วย เปรียบเทียบโดยอุปมาอย่างหนึ่งอตัมมยตานี่เป็นน้ำอมฤต Ambrosia น้ำอมฤต กินแล้วไม่ตาย กินแล้วไม่ตาย กินแล้วไม่มีการตาย ฮินดูก็มีคำนี้ คริสต์ก็มีคำนี้ พุทธก็มีคำนี้ว่า อมฤต น้ำที่กินแล้วไม่ตาย
ขอให้ท่านทั้งหลายศึกษา ศึกษาเรื่องอตัมมยตาให้ดีที่สุดแล้วปฏิบัติอตัมมยตาให้ดีที่สุด และให้ได้รับผลของอตัมมยตาให้ถึงที่สุด ด้วยกันจงทุกๆ คน ขอยุติการบรรยายเรื่องอตัมมยตา ขอขอบคุณการเป็นผู้ฟังที่ดีของท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ปิดประชุม