แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดกันโดยหัวข้อว่า “ชีวิตใหม่และหนทางให้เข้าถึงชีวิตใหม่” ในตอนแรกๆ เราก็ได้พูดกันมาแล้วว่า ท่านทั้งหลายกำลังแสวงหาชีวิตใหม่ซึ่งจะเป็นที่พอใจ เพราะเป็นชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ มีแต่ความสงบเย็น ทีนี้ความจริงมันมีอยู่ว่า ไอ้ชีวิตที่ไม่มีปัญหาไม่มีความทุกข์มันเป็นชีวิตเก่า เก่าแก่ที่สุด เก่ามาตั้งแต่ครั้งไหนก็เหลือที่จะกล่าว ไอ้ชีวิตที่มันเกิดมีความทุกข์ มีการความรบกวนนี่มันชีวิตใหม่ แต่นี่เราไม่รู้จักชีวิตเก่า เมื่อเรามาอยู่กับชีวิตชนิดที่รบกวน เลยถือเอาชีวิตที่รบกวนนี่เป็นชีวิตเก่า แล้วก็จะต้องการชีวิตใหม่ที่ไม่มีความรบกวน ก็ได้เหมือนกัน
ความที่ไม่สงบหรือว่าไม่ถูกต้องนี่ มันเป็นของเพิ่งเกิด เช่นเดียวกับว่า ทะเล คลื่นนั้นเป็นของใหม่ เกิดคลื่นขึ้นมาเดี๋ยวก็ดับไป เกิดคลื่นขึ้นมาเดี๋ยวก็ดับไป นี่คลื่นนี้เป็นของใหม่ ถ้าไม่มีคลื่นนั่นคือ ความเป็นของเก่า ชีวิตของเราไม่มีคลื่นไม่มีความทุกข์ไม่มีปัญหานี่ ของเดิมแท้ๆ มันของเก่า แต่เราอย่ารู้สึกด้วยความคิดนึกของเราเองเดี๋ยวนี้ว่าเป็นของใหม่เพราะเราเพิ่งจะรู้จัก
ชีวิตเก่าของเรานี่ คือเป็นชีวิตที่มีคลื่น มีคลื่นเกิดอยู่สมอ ชีวิตที่เรามีในปัจจุบัน มีในปัจจุบัน มันเป็นชีวิตที่มีคลื่นเกิดอยู่เสมอ เกิดดับ เกิดดับอยู่เสมอ นี่ก็หมายความว่า ชีวิตนี้มีการเกิดแห่งตัวตน ตัวกู มีการเกิดทั้งตัวกู ตัวกู เกิด เกิดอยู่เสมอ มีบวกมีลบ มีบวกมีลบอยู่เสมอ ตัวกูหรือบวกหรือลบนี่มันเป็นเหมือนกับคลื่นซึ่งมันเกิดเสมอดับเสมอ เกิดเสมอดับเสมอนี่เป็นชีวิตปัจจุบันที่เราไม่ปรารถนา เราต้องการจะมีชีวิตใหม่ที่สงบเงียบ ถ้าเราเอาความรู้สึกว่าตัวกู หรือความรู้สึกที่เป็นบวกและเป็นลบออกไปได้ หมดปัญหา มันก็หมดปัญหา นี่มันจะเป็นชีวิตใหม่ของเรา ชีวิตเก่าชีวิตนิรันดรจะมาเป็นชีวิตใหม่ของเรา ดูให้ดีดีมันเล่นตลกกันอยู่
ปัญหามันอยู่ที่ว่าเราไม่อาจจะห้ามการเกิดแห่งตัวกู หรือห้ามความรู้สึกที่จะเป็นบวกหรือเป็นลบเพราะเราไม่มีความรู้ เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องนี้เสียเลย หนทางที่จะปฏิบัติมันก็ต้องมีการควบคุมการเกิดแห่งตัวกู มีการควบคุมความเป็นบวกและเป็นลบ จนถึงกับว่ากำจัดออกไปหมดสิ้นเลย กำจัดออกไปหมดสิ้นเลย
ท่านเห็นได้เองแล้วว่า คลื่นนั้นเป็นของใหม่ แล้วก็เป็นของไม่จริงเป็นของหลอกตา คลื่น ถ้าน้ำจริงๆ น้ำจริงๆ มันไม่เป็นคลื่น น้ำกับคลื่นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ถ้าเราป้องกันไม่ให้คลื่นเกิด ไอ้น้ำโดยแท้จริงมันก็ปรากฏ ข้อนี้ก็เหมือนกัน กำจัดตัวกูออกไปเสีย ความเป็นบวกเป็นลบออกไปเสีย เราก็จะได้ชีวิตจริง
ตัวกูก็ดี ความเป็นบวกเป็นลบก็ดีเป็นของใหม่ New product เป็นของใหม่ พอมีมาก็มีทุกข์ ไม่มีมาก็ไม่มีทุกข์ เรารู้จักความไม่มีอยู่จริง มิใช่ตัวจริง มิใช่ของจริง ของสิ่งที่เรียกว่า Self กันเสียก่อน Self กู กันเสียก่อน แต่ต้องเข้าใจไว้ด้วยว่าในลัทธิอื่น ในศาสนาอื่นนั้น เขาสอนหรือเขาถือว่า มีตัวตนที่แท้จริง มีตัวตนที่แท้จริง มี Self ที่แท้จริง กระทั่งมี perpetual self (นาทีที่ 13:56) มีอะไรในแบบลัทธินั้น ขอให้เข้าใจว่านั่นเป็นลัทธิอื่น ลัทธิอื่นไม่ใช่พุทธศาสนา
พุทธศาสนาบอกว่า ความจริง คือ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตัวตน ความที่ไม่มี Self นั่นแหละคือความจริง ไอ้สิ่งที่เรียกว่า Self นั้นจะเป็นความจริงถาวรไปไม่ได้ ความจริงที่ถาวรคือ ความไม่มีตัวตน แล้วไอ้ความคิดความนึกรู้สึกว่าตัวตนมีมาเป็นครั้งคราว เป็นครั้งคราว เหมือนกับคลื่น เราจะถืออย่างที่ เดสการ์ พูด .....ปิโต เออโก ซั่ม นี่ (นาทีที่ 16:32) ฉันรู้สึกฉันคิดนึกได้ ดังนั้นฉันมีอยู่ อันนี้ไม่ได้ มันเป็นความเข้าใจผิด ความถืออย่างนี้ก็เคยถือมาแล้วก่อนพุทธกาลก็มี ไม่ใช่พึ่งเมื่อ เดสการ์ (นาทีที่ 16:49) พูดขึ้น จะถืออย่างนั้นไม่ได้ว่าฉันรู้สึกฉันคิดนึกได้นั้น ฉันต้องมี ตัวฉันต้องมี ไม่ได้
จิตหรือความรู้สึกคิดนึกของจิตนั้นมันมิใช่เป็นของจริงเป็นของเด็ดขาด มันเกิดมาจากการกระทบของสิ่งต่างๆ ของ ถึงแม้เป็นภายนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กับไอ้ของที่เข้ามากระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีผลเกิดขึ้นเป็นจิตคือความคิด ความคิดเป็นบวกเป็นลบนี้ ตัวจิตเองมันก็เป็นของใหม่ จิตชนิดนี้เป็นของใหม่เกิดเป็นคราวๆ พร้อมกับความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วนั่นไม่ใช่ตัวจริงไม่ใช่ของจริง ไม่ได้มีจิตหรือตัวตนชนิดที่ถาวรตัวเดียวกันตลอดกาลไม่ใช่ เป็นของเกิดใหม่ดับ เกิดดับ เกิดดับเหมือนกับคลื่นนั้นเหมือนกัน
แม้ว่าทางพุทธศาสนาจะถือว่า จิต นี้ก็เป็นธาตุ Element ชนิดหนึ่ง มันก็เป็นธาตุที่ไม่ได้มีอยู่หรือปรากฏอยู่ตลอดกาลนิรันดร มันปรากฏ ปรากฏเฉพาะโอกาสที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่งกันมันจึงปรากฏหรือเรียกว่ามันเกิดขึ้น นี่ขอให้เข้าใจในสิ่งที่เรียกว่า “จิต” จิตนี่ จึงเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้มีปัญหานี่ว่าไม่ได้เป็นของมีอยู่จริง ตามลัทธิพุทธศาสนาถือว่าเพิ่งปรากฏ รวมตัวปรากฏจากการกระทบของอายตนะ Sense organ Sense object ถึงกันเข้าเมื่อไร สิ่งที่เรียกว่า จิต ก็ปรากฏเมื่อนั้น
สิ่งที่เรียกว่าตัวตนหรือตัวฉันนั้นเป็น Concept ที่เพิ่งเกิดขึ้นแก่จิตตามโอกาสที่มีปัจจัยมาแวดล้อม มาแวดล้อม มันเป็นเพียง Concept ของจิตไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่จริง และก็ไม่ใช่ตัวจริงของจิต เมื่อมีสิ่งแวดล้อม คือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอกกระทำแก่จิต ปฏิกิริยาออกมาเป็น Concept ว่าตัวตน ว่าตัวฉัน ว่าตัวกู สรุปความว่าตัวฉันหรือตัวกูเป็นเพียง Concept เป็น New product ที่จิตสร้างขึ้นมาชั่วขณะ ชั่วขณะ
จิตมี Conception ได้ตามสิ่งที่มากระทบซึ่งมีต่างๆ ต่างๆ Conception ของจิตก็มีมาก Concept นี่มีมาก แล้วก็ตัวจิตเองมันก็ถือเอาว่าเป็นตัวจริง เป็นของจริง เป็นความจริงของเรา แล้วเรา เรา เรา นี่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า Concept ของจิต มันจึงคิดว่าจริง จริง จริง เราก็มีอยู่จริง ของเราก็มีอยู่จริง Category ต่างๆ ของจิตก็มีอยู่จริงนี่เป็นอย่างนี้ รู้จักว่าไอ้สิ่งที่เรียกว่าเรา เรา นั้นมิใช่สิ่งที่มีอยู่จริง เป็นเพียง Conception ของจิต
ในร่างกายนี้ ในร่างกายนี้ มันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่า ระบบประสาท ระบบประสาท Nervous System นี่มีอยู่ ทีนี้มามีอะไรเข้ามากระทบร่างกาย แล้วกระทบระบบประสาท ปฏิกิริยามันก็เกิดขึ้น เป็นเหตุการณ์ เหตุการณ์ Situation อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น เหตุการณ์นั้นแหละสำคัญ ถ้ามันเป็นความรู้สึกที่ ทำให้เกิดความรู้สึกที่ถูกใจมันจะเป็นบวก เหตุการณ์นั้นไม่รู้สึกถูกใจแก่จิตแล้วมันจะเป็นลบ นั้นตัวกูมันเพิ่งเกิดเมื่อสิ่งนี้มากระทบแล้ว ถ้าเหตุการณ์ที่เป็นบวกเกิดขึ้น ตัวกูบวกก็เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เป็นลบเกิดขึ้น ตัวกูลบก็เกิดขึ้น ตัวกูนี้เกิดหลังเหตุการณ์ขอให้เข้าใจให้ดีดี ไม่ใช่เกิดอยู่ก่อน
ตัวกูคลอดออกมาจาก Situation ที่มากระทบระบบประสาท เช่นว่ามันไม่ได้กินอาหาร มันขาดอาหาร มันหิว ความหิวเกิดขึ้นแก่ระบบประสาทต่อมาจึงเกิด concept ว่ากูหิวนั่น มีการกิน มีการกินแล้วจึงเกิด Concept ว่ากูกิน ต้องมีอาการอร่อยแก่ลิ้นก่อน มันจึงเกิดความคิดว่ากูอร่อย ไอ้กู หรือ ไอ นี่มาทีหลังเหตุการณ์เสมอ ถือว่าเป็น Product ของเหตุการณ์นั้นๆ ก็ได้ นี่คือความที่ไม่มีตัวจริงไม่ใช่ของจริงของสิ่งที่เรียกว่า “ตัวกู” ขอให้รู้จักไว้ตัวกูนี่มันเป็นมายาถึงขนาดนี้
ฟังดูการพูดอย่างนี้มันเป็น illogic มันเป็น illogical แต่ความจริงของธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ถือตามกฎ Logic ธรรมดาสามัญที่พูดกันอยู่นี้ไม่ได้ ต้องถือตามความจริงที่ว่ามันเป็นอยู่อย่างไร จิตก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง สิ่งแวดล้อมต่างๆ ก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง พอมาถึงกันเข้าก็เกิด Reaction ออกมาอย่างนั้นอย่างนี้ ความรู้สึกที่เรียกว่า จิตคิดนึกได้นี้ก็เป็น Reaction อันหนึ่งเท่านั้น แล้วความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกู นี่ก็ มันก็เป็น Reaction ที่เกิดขึ้นเท่านั้น ผสมกันเข้ากับตัวกู มันฟังยากสำหรับท่านทั้งหลายที่ว่า ผู้กระทำนั้นมันเกิดทีหลังการกระทำ มันผิด Logic อย่างนั้น แต่ความจริงเป็นอย่างนั้น Self หรือ Ego ผู้กระทำนั้นจะเกิดทีหลังการกระทำ เป็นปฏิกิริยาของการกระทำ
ความคิดอย่าง Logical or Philosophical เอามาใช้กับสิ่งนี้ไม่ได้ ขอยืนยันว่าอย่างนี้ ถ้าท่านยังไม่เชื่อท่านก็ไปคิดดูเรื่อยๆ ไปเถอะท่านจะพบว่ามันไม่เป็นอย่างกฎเกณฑ์ทาง Logic หรือ ทาง philosophy ที่เรามีๆ กันอยู่ ผู้กระทำเป็นเพียง Concept มันเป็นเพียง concept ไม่ใช่ตัวจริง ส่วนการกระทำนั้นเป็น Situation ของธรรมชาติ ของธรรมชาติ พอมาเข้ามาถึงกับจิตแล้วมันก็เกิดความคิด ความเชื่อ ความยึดถือว่าตัวกู ตัวกู ซึ่งเป็นเพียง Concept ไม่ใช่ของจริง
แม้ว่าสิ่งที่เราเรียกว่าจิตหรือ Mind มันจะเป็นธาตุ Element ตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง มันก็เป็นสักว่าธาตุเท่านั้นแหละ เป็นสักว่าธาตุเช่นเดียวกับธาตุทั้งหลายมากมาย ธาตุมากมายในโลกนี้ มันเป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง จากธาตุล้วนๆ ชนิดนี้เป็น Soul เป็น Ego เป็นอะไรไม่ได้หรอก มันทำอะไรไม่ได้ในตัวมันเองนอกจากจะมีการประกอบกันเข้ากับธาตุอื่นๆ อีกหลายๆ ธาตุ Function ของมันจึงจะมี ธาตุจิต ธาตุใจนี่มันมี Function ในตัวเองไม่ได้ มันต้องมีประกอบกันกับธาตุอื่นๆ อีกหลายธาตุ Function จึงจะเกิดแล้วก็มี Concept อย่างนั้นอย่างนี้กระทั่งมี Concept ว่ากู ว่า I ว่าบวก ว่าลบ ว่าอะไรต่างๆ แปลว่าสิ่งที่เรียกว่าจิตหรือ Mind ซึ่งก็เป็นธาตุจริงเหมือนกันแหละตามธรรมชาติจริงๆ แต่ไม่อาจจะเป็นตัวกูหรือ เป็น Ego เป็น Soul เป็นอะไรได้
ท่านเรียนวิทยาศาสตร์อย่างปัจจุบันเรียนฟิสิกส์ ท่านจะไม่ได้ยินคำว่า Element of mind Element of voidness อย่างนี้เป็นต้นท่านไม่เคยได้ยินใช่ไหม แม้ได้ยินท่านก็ไม่จัดว่า mind หรือ voidnessว่าเป็น Element ก็ได้ แต่ในทางธรรมะ ในทางธรรมะนี่มี มีธาตุ มีธาตุมากมายต่างไปจากวิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ที่เรียนกัน นั้นขอให้รู้จักว่า Mind ก็เป็นธาตุ Element ชนิดหนึ่ง Void voidness แล้วแต่จะเรียกก็เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งต้องเข้ามารวมกันกับธาตุต่างๆ หลายๆ ธาตุ หลายๆ ธาตุ จึงจะเป็น Situation อันใดอันหนึ่งขึ้นมาได้ นี่ขอให้เข้าใจข้อที่ว่าไอ้ธาตุ ธา-ตุ ธาตุล้วนๆ จะเป็น Soul เป็น Ego ของใครของมันของเราอะไรไม่ได้ทั้งนั้น มันก็เป็นเพียงสักว่าธาตุ ธาตุตามธรรมชาติ
สรุปความว่า Soul ก็ดี Ego ก็ดี Concept ว่า I ว่าอะไรต่างๆ ก็ดี มิได้มีอยู่จริง มิได้เป็นตัวจริง มันเป็นผลเกิดจากการปรุงแต่งของธาตุหลายๆ ธาตุ ธาตุหลายๆ ธาตุทำให้เกิดความรู้สึกคิดนึกอันนี้ขึ้นมาหรือว่าทำให้ธาตุแห่ง Mind Mind element ทำหน้าที่ออกมา แล้วเกิดความรู้สึกเป็นตัวกูเป็นตัวตนอย่างนี้ แม้ว่าคนทั้งหลายในโลกเขาจะถือว่า Soul หรือ Ego เป็นตัวจริงเป็นของจริงเป็นได้โดยตัวมันเอง เราไม่มีความคิดเช่นนั้นในทางธรรมะ มันเป็นเพียง Concept ของไอ้หลายๆ ธาตุมันปรุงขึ้นมา สรุปความว่า Soul หรือ Ego นั้นมิใช่ตัวจริง เป็น Product ของ Concept ความโง่อวิชชาของจิตเท่านั้นแหละ
ในอินเดียคำสอนของลัทธิ อุปนิษัท ฮินดู อุปนิษัท แม้ชั้นสูงสุดของอุปนิษัทเขาก็สอนว่ามี Soul มีอาตมันและจริงในตัวเองถาวรในตัวเอง ตัวเดียวนี่เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก ฮินดูอุปนิษัทสอนอยู่อย่างนี้ เป็นพื้นฐานในอินเดีย พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นท่ามกลางคำสอนอย่างนี้ ท่านสอนเป็นอย่างอื่น คือไม่มี Soul ไม่มีอาตมัน จึงเป็นอันใหม่ อันสุดท้ายที่สอนในอินเดีย สอนไม่มีอาตมัน แต่คำสอนอุปนิษัทอย่างนี้ก็มาสอนอยู่แถวนี้ทั่วไปแล้วในเอเชียก็ว่าได้ พุทธศาสนามาทีหลัง พุทธบริษัทโง่ๆ ขอใช้คำอย่างนี้ก็พูดผิดๆ พุทธบริษัทโง่ๆ ก็เลยพูดตามคำสอนของอุปนิษัทฮินดูอุปนิษัท เลยคำสอนนี้ปนเปอยู่ในพุทธบริษัทพูดกันผิดๆ อย่าไปถือเอา อย่าไปถือเอา ว่านั่นเป็นพุทธศาสนาเลย
ขอให้ท่านแยกกันเสียให้เด็ดขาดระหว่างลัทธิที่ว่ามีอาตมันและไม่มีอาตมัน ถ้ามาเรียนพุทธศาสนาก็ต้องมาเรียนอย่างไม่มีอาตมัน คำสอนในคริสต์เตียนคงไม่หยิบ Point อันนี้ขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อะไรคือยอมรับตามความคิดนึกของคนทั่วไปคนธรรมดารู้สึกโดยสัญชาตญาณว่ามีอาตมัน มี Soul นี่รู้สึกโดยสัญชาตญาณอย่างนี้ก็ไม่ใช่ถูกต้องเป็นอวิชชาเหมือนกัน แล้วก็มีปัญหาแต่เพียงว่าจะกำจัดความทุกข์อย่างไร พระพุทธศาสนาจะกำจัดความทุกข์ลึกลงไป ลึกลงไปถึงความรู้ที่ว่าไม่มีอาตมัน ไม่มีอาตมันแล้วก็ไม่มีบวกไม่มีลบ แล้วเราก็กำจัดความทุกข์ได้สิ้นเชิง
ท่านคงจะประหลาดใจในเมื่อได้ยินว่า ในพุทธศาสนานี่ยังถือว่าความไม่รู้ ความโง่หรือ Ignorance Ignorance ก็เป็น Element อันหนึ่ง เป็นธาตุอันหนึ่งเหมือนกัน เหมือนกับธาตุทั้งหลายมากมาย Ignorance ก็เป็น Element อันหนึ่ง แล้วก็มีอยู่ทั่วไป ทั่วไปใน Atmosphere ของ Universe นี่ พร้อมที่จะเข้ามาทำงานร่วมกับธาตุอื่นๆ ทีนี้พอเกิด Situation อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแก่ร่างกายและจิตใจนี่ Element Ignorance เข้ามาทำงานด้วย นี่คือโดยมาก โดยธรรมดา นี่คือปกติของชีวิตของสัตว์ทั้งหลายทั่วไป มีการปรุงแต่งด้วยธาตุอวิชชาจึงเป็นโอกาสให้เกิด Concept ว่า I ว่าบวก ว่าลบอะไรขึ้นมา
ทุกๆ วัน ทุกๆ วัน เมื่อตาของเราเห็นรูป เมื่อหูของเราได้ยินเสียง เมื่อจมูกได้กลิ่น เมื่อลิ้นได้รส เมื่อกายได้สัมผัสผิวหนัง เมื่อจิตใจรู้สึกอารมณ์อะไรก็ตาม Element of Ignorance เข้ามาทำงานด้วยเสมอโดยที่เราไม่รู้สึกตัวโดยที่เราป้องกันไม่ได้ อวิชชา ธา-ตุ อวิชชา ธา-ตุ element of Ignorance เข้ามาทำงานด้วยเสมอ นี่เราไม่รู้สึก มันก็ถูกกระทำไปตามอำนาจของธาตุอวิชชา มันจึงเป็นไปในทางผิด นำไปสู่ Concept ว่ามี Soul มี Ego มี Positive มี Negative อะไรอย่างนี้ นั่นด้วยอำนาจของ Element of Ignorance
นี่ถ้าเป็นไปได้ว่า คนๆ หนึ่งเขาศึกษาดีแล้ว เขาจะมีความสามารถปิดกั้นธาตุของ Ignorance แต่ยังมีอีกธาตุหนึ่งคือวิชา วิชา insight ความรู้อย่างถูกต้องก็เป็นธาตุเหมือนกัน วิชา วิชา ตรงกันข้ามกับอวิชชา ก็เป็นธาตุเหมือนกัน วิชาธาตุ หรือธาตุแห่ง lighter มันก็ทำงานมันก็ป้องกันไว้ได้ไม่ให้เกิด Concept ว่า I ว่าบวกว่าลบนี่ ธาตุสองธาตุนี้ตรงกันข้าม แต่เราไม่มีธาตุวิชา ยังไม่มีธาตุวิชา ธาตุอวิชชายังครอบงำเราอยู่ตลอดเวลา เราจึงมีชีวิตอย่างนี้ เราจะหาทางออกโดยการสร้างธาตุวิชาขึ้นมา นี่เราจึงมาเจริญอานาปานสติ
อวิชชานี่เป็นธาตุก็ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา มีการสอนผิดๆ สอนผิดๆ สอนพุทธศาสนาผิดๆว่ามีอวิชชาอยู่ตลอดเวลา หมายความว่ามีอวิชชาในจิตมนุษย์อยู่ตลอดเวลานี่ไม่ถูกหรอก ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาแต่มาเป็นคราวๆ จะพูดได้ว่าอวิชชาธา-ตุนี่ พร้อมอยู่เสมอในที่ทุกแห่งที่จะเข้ามาสู่จิต ส่วนวิชาธา-ตุนั้นยาก ยากที่จะเข้ามา มันมีอยู่พร้อมเหมือนกันแหละแต่มันยากที่จะเข้ามา เพราะว่าโอกาสนี่มันให้โอกาสแก่อวิชชาธา-ตุเสียโดยมาก วิชาธา-ตุหรืออวิชชาธา-ตุไม่อาจจะมีอยู่ตลอดเวลาเหมือนที่เขาสอนกัน สอนผิดๆว่าอวิชชามีตลอดเวลา กิเลสมีตลอดเวลาอย่างนี้มันไม่ถูก พุทธศาสนามีหลักว่ามีเกิดมีดับ มีเกิดมีดับของสิ่งต่างๆเหล่านี้ ต้องมีสิ่งๆ หนึ่งที่นำมาคือสติ สติจะป้องกันไม่ให้เกิดอวิชชา หรือสติจะนำมาซึ่งวิชา นี่สติ สติ คำท้าย คำท้ายของอานาปานสติ สติ สติ นี่ เราจะฝึกฝนให้ดีที่สุดจนป้องกันอวิชชาแล้วก็นำมาซึ่งวิชา นั้น “New way of life” คือ “อานาปานสติ” จะนำไปสู่ New life ขอให้สนใจ
สติ สติ สามารถที่จะป้องกันหรือกำจัดอวิชชา อวิชชาธา-ตุ ออกไป แล้วก็เปิดโอกาสหรือนำเข้ามาซึ่งวิชาธา-ตุ Element of wisdom, Element of Enlightenment มีประโยชน์มากอย่างนี้ เดี๋ยวท่านก็จะเข้าใจผิด รักสติ เอาสติเป็น Soul เป็น Ego ขึ้นมาอีก นี่ก็ยิ่งผิดอีก แม้สติก็จะเป็น Soul เป็น Ego ของใครไม่ได้ คงเป็นสักว่าธาตุหรือ ธา-ตุ เหมือนกันหมด แม้สติก็เป็นธาตุ เป็น ธา-ตุ ท่านอาจจะคิดว่าบ้าแล้วก็ได้อะไรๆ ก็เป็นธาตุไปเสียหมด มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ในพุทธศาสนาก็ถือเอาทุกสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์หรือไม่มีปรากฏการณ์อะไรก็เป็นตามธรรมชาติเป็นธาตุตามธรรมชาติ ธาตุ ธา-ตุ ในพุทธศาสนาจึงนับไม่ไหวมากจนนับไม่ไหว
ในที่นี้ก็ขอให้เข้าใจว่าแม้แต่สติก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ อย่ารักอย่าพอใจเอามาเป็นอัตตาเป็นตัวตนเป็นอะไร แม้แต่จะไม่เอาสติในความหมายที่ว่าเป็นบวก สตินี้จะมีอำนาจกำจัดความเป็นบวกและความเป็นลบได้ นี่คืออานาปานสติมีความสำคัญอยู่ที่คำว่าสติ สติ สติ มากำจัด Egoism ออกไปเสีย กำจัดความเป็นบวกเป็นลบออกไปเสีย
คำว่าธาตุ ธา-ตุ ธาตุ Element นี่ ในวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนกันนำไปสู่ความรู้ว่าเป็นสิ่งสุดท้ายสิ่งเล็กที่สุด สุดท้ายที่เล็กที่สุดที่เราจะแบ่งมันอีกได้ หมายความว่าแบ่งอีกไม่ได้แล้วมันเป็นอันสุดท้ายอันเล็กนั้น คำว่าธา-ตุในภาษาวิทยาศาสตร์ แต่ว่าธา-ตุ ธา-ตุ ในภาษาธรรมะนั้นไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่อย่างนั้น ธา-ตุหมายความว่าสิ่งที่มันทรงอยู่ได้โดยตัวมันเองของธรรมชาติ ของธรรมชาติสิ่งที่ทรงอยู่ได้ด้วยตัวมันเอง โดยธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เพื่อธรรมชาติ ไม่อาจจะเอามาเป็นของเรา ไม่อาจจะเอามาเป็นตัวเรา ไม่อาจจะเอามาเป็นของเรา นี่คือว่าธาตุ ธา-ตุ ขอให้เห็นสิ่งทั้งปวง ธาตุทั้งหลายโดยความเป็นของธรรมชาติ เอามาเป็นตัวเราเป็นของเราไม่ได้ นี่คือความหมายของคำว่า ธา-ตุ ในภาษาธรรม
ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุ ในส่วนที่เป็น Physic Physical เป็นรูปก็เป็นธาตุ ส่วนที่เป็นนามเป็น Mental ก็เป็นธาตุ ส่วนที่เป็น spiritual นั้นละเอียดไปกว่านั้น ก็เป็นธาตุ มันไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธาตุ นี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้ เมื่อเป็นเพียงสักแต่ว่าธาตุ ธาตุ ธาตุ ไม่อาจจะมาเป็นตัวกู มาเป็นของกู
ยิ่งไปกว่านั้นอีกคือทุกสิ่งจริงๆ ก็คือว่า สิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุง concocited thing ก็ดี สิ่งที่ไม่มีเหตุปัจจัยปรุง unconcocted thing ก็ดี มันก็เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ เอาเป็นตัวตนไม่ได้ หรือจะมองไกลไปถึงคำที่เขาพูดกันว่าเป็น nominar ทั้งหลายและ numinous (นาทีที่ 01:25:05) อันนั้นรวมกันทั้งสองอย่างก็สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ ธาตุตามธรรมชาติ ไม่เอามาเป็นตัวตนได้ เรียกว่า สังขตะธาตุ อสังขตะธาตุ ทั้งสองธาตุไม่อาจจะเอามาเป็นตัวตนได้
ต้องขออภัยนะ เผื่อที่นั่งอยู่ที่นี่มีคริสต์เตียน มีคริสต์เตียน ก็จะพูดว่า แม้พระเจ้าก็เป็นธาตุตามธรรมชาติ ไม่ยกเว้นอะไร จะซาตานหรือพระเจ้าหรืออะไรทุกอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นที่มีเรียกชื่อแล้วก้อ สักว่าเป็นธาตุตามธรรมชาติ เมื่อใดท่านมีความรู้ถึงขนาดนี้ ความรู้สูงสุดถึงขนาดนี้ ความไม่มีอะไรนอกจากธาตุตามธรรมชาติทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมดทั้งสิ้นเป็นเพียงธาตุตามธรรมชาติ ความรู้อันนี้มีเมื่อไร เมื่อนั้นท่านจะมี อตัมมยตา เรารู้ว่า เป็นสักว่าธาตุตามธรรมชาติ
เดี๋ยวนี้เราก็หลงเอาบางอย่างเป็นธาตุตามธรรมชาติ แต่บางอย่างเป็นตัวเรา บางอย่างเอามาเป็นตัวเรา แล้วเราเข้าใจผิดตรงกันข้ามจากที่มันเป็นจริงเสมอ จนเราพูดได้ว่า เมื่อเรามี เมื่อใดเรามีความรู้ตรงกันข้ามจากที่เรากำลังมีอยู่นั่นแหละ มันจึงจะเป็นความจริง ภาษาบาลีเรียกว่า อันยถา อันยถา โดยประการอื่นจากที่เรากำลังมีอยู่ เรากำลังเป็นคนโง่ เรากำลังไม่รู้ตามที่เป็นจริง เราก็รู้อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ เมื่อใดเรารู้โดยความเป็นตรงกันข้ามจากที่เรากำลังมีอยู่ เมื่อนั้นเราจะรู้ความจริง เช่นรู้ว่าทั้งปวงไม่มีอะไร มีแต่ธาตุตามธรรมชาติเอามาเป็นตัวตนไม่ได้ นี่เราจึงมี “อตัมมยตา”
เดี๋ยวนี้เรามีความรู้ไม่ถูกต้อง ว่าร่างกายนี้ ร่างกายนี้ รูปร่างกายนี้ ส่วน Nervous System อะไรนี้ก็เที่ยงเป็นของเรา จิตใจรู้สึกคิดนึก ความรู้สึกคิดนึกอะไรก็เป็นของเที่ยงไปเป็นของเรา ความสุขเป็นของเที่ยงเป็นของเรา ความทุกข์เป็นของเที่ยง แก่เรา Positive Negative เป็นของเที่ยงแก่เรานี่ เรารู้ผิด คือรู้เป็นเที่ยง เที่ยง เป็น Permanent เป็นนิจจังเสียหมด เราจะต้องรู้ว่ามันเป็นอนิจจัง มันเปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัยหรือตามที่มันมาปรุงแต่งกันเข้า แล้วมันก็เปลี่ยนแปลง นี่เราต้องรู้ข้อความเป็นจริง อย่าให้ผิดจากความเป็นจริงแล้วมาถือว่าเป็นความจริง เราเอาความไม่จริงมาถือว่าเป็นความจริง
แต่แล้วมันก็มีอะไรบางอย่าง บางอย่างที่มันน่าหัวหรือมันแปลก มันน่าหัว ซึ่งเป็น Humanism ไปก็ได้ ว่าทุกอย่างมีความจริง ทุกอย่างมีความจริง ช่วยฟังให้ดีดีว่า ทุกอย่างมีความจริง ในความไม่จริงก็มีความจริงของความไม่จริง ในสิ่งที่เราเรียกว่าไม่จริง ไม่จริง มันก็ยังมีความจริง จริงของความไม่จริง มันมีความไม่จริงแต่เราดูให้ดี มันมีความจริงของความไม่จริง เดี๋ยวนี้เราไปเอาความไม่จริง เอาความจริงของความไม่จริงมาเป็นความจริง มันเป็นความจริงปลอม มันเป็นความจริงที่ไม่จริง ไม่ว่าอะไรทุกอย่างเป็นความดี ความชั่ว ความอะไรก็ มันมีความจริงของสิ่งนั้นๆ เสมอ Positive ก็มีความจริงของความเป็น Positive Negative ก็มีความจริงของความเป็น positive ในความไม่จริงก็มีความจริงของความไม่จริง นั้นเราจงเอาความจริงให้มันถูกต้อง ความจริงที่ถูกต้อง ความจริงที่มีประโยชน์ เราจะเรียกว่าอริยสัจ คือความจริงที่มีประโยชน์ ความจริงที่นำไปสู่ความดับทุกข์ เมื่อพูดถึงความจริง ความจริงระวังให้ดีดี ทาง Logic ทาง philosophical มันหลอกเราก็ได้ เราเห็นว่ามันมีความจริงในสิ่งทุกสิ่ง แต่ว่าเรารู้จักเอาความจริงที่มีประโยชน์ อย่าเอาความจริงที่ไม่มีประโยชน์มาเป็นความจริง
พูดจำง่ายๆ ให้จำง่ายๆ เราก็พูดว่า ในความโกหกก็มีความจริง มันมีความจริงของความไม่จริง มีความจริงของความโกหก ถ้าเรารู้ความจริงได้หมดอย่างนี้แล้วก็เรียกว่า รู้จักความจริงโดยสิ้นเชิง ความโกหกก็มีความจริงของความโกหก ความจริงของคนไม่รู้นั้นหรือคนโง่เราเรียกว่า Relative truth “สมมติสัจจะ” Relative truth แต่ความจริงของคนรู้ ของคนไม่โง่ ของคนฉลาดเราเรียกว่า ultimate Truth หรือ “ปรมัตถสัจจะ” สองสัจจะสองความจริงอย่างนี้
พอเราเกิดมาเราก็ได้รับมอบหมายให้แต่สมมติสัจจะ เราจึงรู้แต่สมมติสัจจะ คือ สัจจะที่โกหกอยู่ในตัวมันเอง พอเราเกิดมาเราก็มีความรู้แต่สมมติสัจจะ ไม่มีใครสอนปรมัตถสัจจะแก่เรา แก่เด็กทารก ถ้าไปสอนให้เด็กทารกก็ไม่เชื่อไม่ยอมรับก็ได้ นี่เราเดี๋ยวนี้ก็ได้ผ่านชีวิตมามากแล้วโดยสมมติสัจจะ มันถึงเวลาแล้วควรแล้วที่จะมารู้ไอ้ปรมัตถสัจจะกันเสียบ้าง นี่ซึ่งเราจะได้ศึกษากันต่อไป
ถ้าเราจะบอกลูกเด็กๆ ของเราว่าอร่อยหรือไม่อร่อยก็ทำความลำบากให้เราเท่ากัน สวยหรือไม่สวยก็ทำลำบากให้เราเท่ากัน หอมหรือเหม็นก็ทำลำบากให้เราเท่ากัน นั้นลูกเด็กๆ ก็ไม่เชื่อแน่ๆ ลูกเด็กๆ ของเราไม่เชื่อแน่ๆ ถ้าเราจะบอกลูกเด็กๆว่า Positive or Negative มันทำความลำบากให้แก่เราเท่ากัน ลูกเด็กๆ มันก็ไม่เชื่อ เราต้องรอจนกว่าจะมีผ่านชีวิตนี่มาพอสมควรรู้จักสิ่งเหล่านี้ดี เราจึงจะรู้ว่ามันไม่ไหว ทั้ง Positive และทั้ง Negative ตอนนี้แหละเป็น Ultimate truth ทีแรกก็มี Relative truth Relative truth มรดกมอบให้กันมาแต่ Relative truth สมมติสัจจะทั้งนั้น มันก็รู้แต่สมมติสัจจะ เดี๋ยวนี้มันถึงเวลาแล้วที่จะมาสนใจเรื่อง Ultimate truth
สัตบุรุษ สัตบุรุษคือผู้ที่ปฏิบัติ ปฏิบัติศาสนาอย่างไม่ถึงขนาด ทายกทายิกา Follower ของศาสนานี่เขาเรียกตัวเองว่า เป็นผู้ปฏิบัติศาสนา เขาก็ยังไม่ยอมรับข้อนี้ ไม่เชื่อข้อนี้ ไม่ยอมรับข้อนี้ ถ้าเราบอกทายกทายิกา คนวัด คนวัดเหล่านี้ว่า ทั้งดีและทั้งชั่วมันกัดเราเท่ากัน ทั้งกุศลทั้งอกุศลมันกัดเราเท่ากัน มันทำความทุกข์ให้เราเท่ากัน เขาไม่เชื่อนะ เขาไม่เชื่อ Good and Evil มันกัดเราเท่ากัน เหมือนที่พระเจ้าบอกอาดัมกับอีฟ เขาไม่เชื่อนะ เพราะฉะนั้นเราไม่เข้าถึงตัวศาสนา ตลอดเวลาที่เราไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มันยึดถือไม่ได้ ทั้ง Positive และ Negative คนแรกเข้ามาปฏิบัติศาสนานี่หลงใหล Positive บ้าคลั่ง positive อยากได้สวรรค์ อยากได้โลกพระเจ้าอยากได้อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ นี่เขาไม่รู้ความจริงข้อนี้ว่าทั้ง Positive และ Negative นี้เป็นสิ่งที่ต้องเอาออกไป เอาออกไป Do away with either นี่มันยากอย่างนี้การที่จะเข้าถึง ปรมัตถสัจจะ หรือ Ultimate truth
Relative truth สมมติสัจจะช่วยให้เราติด Positive เกลียดกลัว Negative เป็นปัญหายุ่งไปหมด Ultimate truth ช่วยให้เราอยู่เหนือ เหนือ Positive เหนือNegative เหนือดีเหนือชั่ว เหนือบุญเหนือบาป เหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือทุกอย่าง มันต่างกันถึงขนาดนี้ ความลำบากมันทำให้ มันเกิดขึ้นเพราะความยุ่งยากเกี่ยวกับภาษาอยู่เหมือนกัน คนธรรมดาจะรู้จักเพียงว่าสุขและทุกข์ แล้วเขาก็ชอบความสุข Attach กับความสุขที่เป็น Positive เราบอกว่าเหนือสุขเหนือทุกข์ เหนือ Positive และเหนือ Negative แล้วเขาก็ว่าจะได้อะไร เขาก็ยังติดความสุข เราก็บอกเขาว่า ความสุขซึ่งอยู่เหนือความสุข ความสุขที่เหนือความสุข จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง พูดอย่างภาษาสมมติสัจก็ว่าความสุข แต่ถ้าพูดอย่างปรมัตถสัจก็ว่า สิ้นสุดแห่งความทุกข์ สิ้นสุดแห่งอิทธิพลของ Positive และ Negative สิ้นสุดแห่งความหมายของคำว่า สุขและทุกข์ นั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง นี่มันยากที่จะพูดให้เข้าใจในท้องถนน
เราบอกเขาว่าความสุขที่หมดความหมาย หมด quality แห่งความสุข หมดความหมายแห่งความสุขนั่นแหละคือความสุขที่แท้จริง แล้วเขาก็ว่าเราบ้า ต่อเมื่อใดเราหมดความโง่ว่าตัวตน ว่า Self ว่า Soul ว่าตัวตนนี่ เมื่อนั้นแหละมันจะหมดไปทั้งความสุขและความทุกข์ จะอยู่เหนือความสุขเหนือความทุกข์ เหนือบวกเหนือลบ เหนือ Positive เหนือ Negative ทุกอย่าง เราต้องหมด egoism หมดตัวตนนี้เสียก่อน
ดังนั้น เราจงพยายามบอกตัวเรา บอกตัวเองว่า I am I which is not really I แล้วเราก็บอกเพื่อนของเราว่า You are you which is not really you ถ้าท่านเข้าใจประโยคนี้ได้ก็ช่วยได้ ช่วยได้ อตัมมยตาก็มาทันที เขาว่าเราบ้าก็ไม่เป็นไร นี่คือว่า How life ของ New way of new life เป็นอย่างนี้ เราจะพูดกันพรุ่งนี้วันนี้มันหมดเวลาแล้ว จะพูดถึงตัว New way ให้ชัดลงไป คือสิ่งที่เราจะได้รับจากการปฏิบัติอานาปานสติ วันนี้หมดเวลา
ขอยุติและขอบใจที่อดทนฟังอย่างยิ่ง เคยใครทนนั่งฟังอะไรตั้งสองชั่วโมงอย่างนี้บ้าง เคยไหม มีไหม ไม่มี