แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้จะได้พูดกันถึง อตัมมยตาให้เป็นที่เข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นด้วยการใช้อุปมา สิ่งที่เรียกว่าอุปมานี่ก็ช่วยได้มากคือ พูดจากสิ่งที่เราเข้าใจดีอยู่แล้วออกไปยังสิ่งที่เรายังไม่เข้าใจด้วยการเปรียบเทียบกัน นี่เรียกว่าอุปมาใช้มากในการศึกษาธรรมะ
ในวันนี้อยากจะอุปมาด้วยออกซิเจน ท่านทั้งหลายก็รู้เรื่องออกซิเจนอยู่ดีซึ่งเป็นใจความสำคัญว่ามันขาดไม่ได้ ชีวิตนี้ขาดออกซิเจนไม่ได้ ถ้ามันไม่พอเราก็ไม่สบายเอามากๆ ถ้ามันขาดเลยเราก็ตายในไม่กี่นาที อตัมมยตานี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันขาดมากไปเราก็มีความทุกข์มากมาย ถ้ามันขาดเลยเรามีการการตายทางวิญญาณ คำว่า “ตายทางวิญญาณ” นี่มีความหมายอย่างเดียวกับที่ใช้ใน Bible Jesus รู้ดีรู้ชั่วแล้วกินเข้าไป กินผลไม้รู้ดีรู้ชั่วแล้วก็ตาย ในที่นี้หมายถึง เป็นทุกข์ มันเหลือจะทนได้ แต่ถ้ามันมากไปอีกก็จะเป็นบ้าจะฆ่าตัวตายก็ได้ จะเป็นบ้าเองก็ได้ คือหมดคุณค่าของชีวิต นี่เรียกว่าตายทางวิญญาณ อตัมมยตาก็มีความหมายมากถึงอย่างนั้นถ้าขาดเลยก็จะต้องตายทางวิญญาณ
เราจะมองดูกันใน ๓ ความหมาย ความหมายที่หนึ่งคือ “ป้องกัน” ความหมายที่สองคือ “ต่อต้าน” ความหมายที่สามคือ “ทำลาย” เป็นที่รู้กันอยู่ว่าออกซิเจนป้องกันไม่ให้เกิดความผิดแปลกเข้ามาในร่างกาย และก็ต่อต้านเชื้อโรคมันเข้ามาในร่างกาย แล้วมันก็ทำลายเชื้อโรคหรืออันตรายที่เข้ามาในร่างกาย ดูให้ดีให้ครบทั้ง ๓ ประการก็จะสมบูรณ์ ป้องกัน ต่อต้าน และทำลาย
เมื่อมีอตัมมยตาป้องกันไม่ให้เกิดอาการที่เรียกว่าบวก ลบ มันทำให้หมดความหมายความเป็นบวก เป็นลบ นี่ป้องกัน ป้องกัน นี้ถ้ามันเกิดเป็นบวก เป็นลบขึ้นมา มันก็ต่อต้านไม่ให้มีอิทธิพลแก่จิตใจ ในที่สุดมันก็ทำลายความหมายคุณค่าของความเป็นบวกหรือเป็นลบนี่ให้หมดสิ้นไป นี่คืออุปมาของอตัมมยตาด้วยออกซิเจน ด้วยออกซิเจนที่ท่านรู้จักดีอยู่แล้ว ขอให้ท่านรู้จักใช้อตัมมยตาเหมือนกับที่รู้จักใช้ออกซิเจน
เมื่อท่านประสบความสำเร็จในการปฏิบัติอานาปานสตินี่ ท่านก็จะมีความรู้เรื่องอตัมมยตาอย่างเพียงพอ อย่างเพียงพอ ไอ้ความรู้เรื่องอตัมมยตานี่ ป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบ แล้วเรารู้เรื่องมายา มายา หลอกลวงของสิ่งต่างๆ ดี ทำให้เกิดความหมายตรงกันข้าม อตัมมยตาป้องกันไม่ให้เกิดความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบขึ้นมา ครั้นเมื่อเผลอไปบ้างหรือมีอวิชชาบ้าง มันเกิดความรู้สึกเป็นบวกหรือเป็นลบขึ้นมาแล้วความรู้เรื่องอตัมมยตาก็จะต่อต้านไม่ให้ความรู้สึกเป็นบวก เป็นลบเจริญต่อไป หรือจะรู้จักไอ้ความเป็นบวกเป็นลบว่าเป็นมายา อย่างกับว่ามันเป็นเพียง ความรู้สึกอันนี้มันเป็นเพียงระบบประสาทรู้สึกหรือความรู้สึกของระบบประสาทไม่ต้องมีความหมายเป็นตัวกู ว่ากูจะได้กูจะเสีย กูจะอยู่ หรือกูจะตายนี่อย่างนี้มันไม่มี ความรู้เรื่องอตัมมยตามันต่อต้านไม่ให้ความรู้สึกบวกลบนั้นทำหน้าที่ได้
เมื่อความรู้เรื่องอตัมมยตาสูงสุด สูงสุด ยิ่งขึ้นไปจนถึงสูงสุด มันก็ขจัดนิสัย นิสัยความเคยชินที่จะเป็นบวกหรือเป็นลบออกไปโดยสิ้นเชิง ถึงที่สุดแห่งความรู้อันนี้ก็เรียกว่าเป็น “อตัมมโย” คือเป็นพระอรหันต์ เมื่อถึงขั้นนี้ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ท่านหัวเราะหรือร้องไห้ได้ ไม่มีอะไรมาทำให้ท่านดีใจหรือเสียใจได้ กระทั่งว่าจะไม่มีความรู้สึกที่เป็น Dualism ใดๆ ทุกๆ คู่ ปัญหาทางจิตทางวิญญาณจะไม่มี จะไม่มีอาการที่เป็นทุกข์ทรมานทางจิตทางวิญญาณใดๆ มองดูง่ายๆ จะเห็นได้ว่าความรู้สึกหนักในชีวิตนี่ มันเกิดมาจากความรู้สึกยึดถือในบวกและลบ เมื่อไม่มีความหมายเป็นบวกและลบ มันจะไม่มีความรู้สึกมีปัญหาใดๆ มันไม่มีความหนัก ไม่มี Burden of life ถ้าถึงที่สุดแห่งอตัมมยตา อาการของกิเลสทั้งหลายก็เป็นความร้อนทรมานก็ดี เป็นความมืด มืดมัวหลงใหลก็ดี ผูกพัน ผูกพัน เป็นภาระผูกพันก็ดีไม่มี เกิดไม่ได้ ถ้าเราไม่อยู่ใต้อำนาจของความเป็นบวกหรือเป็นลบของสิ่งนั้นๆ
ยกตัวอย่างมาพิจารณาบ้างตามสมควรเช่น “ความรัก” ท่านก็รู้จักมันพอสมควรแล้วความรักโดยเฉพาะความรักทางเพศ ถ้าเรามีความรู้เรื่องอตัมมยตา ไม่หลงบวกหลงลบแล้วความรักมันเกิดไม่ได้ เช่นความรักทางเพศที่ทำอันตรายคน เป็นบ้าฆ่าตัวตายอะไรเหล่านี้มันทำไม่ได้ นี่เรื่องความรักควบคุมได้ เราจะควบคุมความรักได้แม้ว่าจะต้องมีความรักก็มีได้ โดยที่ไม่ต้องเป็นอันตราย อตัมมยตาทำให้รู้จักความรักว่ามันเป็นเพียงความรู้สึกทางระบบประสาทหรือทางจิตใจ ทำให้มืด ทำให้โง่ ทำให้หลงไป เราก็หยุดได้ แต่เราก็จะบริโภคความรัก หรือรสของเพศนั้นได้โดยที่ไม่ต้องรับความทุกข์ถึงขนาดนั้น
เมื่อไม่มีอตัมมยตาก็จะมีความรักชนิดที่กัดเจ้าของ ขอให้เข้าใจคำว่า “กัดเจ้าของ” ให้ดีดี ไม่มีอตัมมยตาแล้ว อะไรมีมา มีไว้ มีอยู่ก็จะกัดเจ้าของ จะมีความรักที่จะกัดเจ้าของ ความรักกลายเป็นการทนทรมานไป ถ้ามีอตัมมยตาควบคุมไว้ได้ความรักก็จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นจะกลายเป็นสิ่งที่ใช้เป็นประโยชน์ได้ จะเป็นอาหารเพื่อความปกติของชีวิตนี้ก็ยังได้ นี่เรียกว่า อตัมมยตาควบคุมความรักไม่ให้กัดเจ้าของ จะใช้เป็นประโยชน์ในการที่จะมีคู่ มี Partner สำหรับเดินทางไปในชีวิตสู่ความสูงสุดในชีวิตก็ยังได้
เมื่อมีอตัมมยตาความรักอย่างกิเลส มันก็จะกลายเป็นความรักอย่างที่เป็นธรรมะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อะไรได้โดยง่าย ไม่มีอตัมมยตาความรักก็ลงไปในความตกต่ำเป็นความรักของกิเลสที่กำลังเป็นปัญหาอยู่ในโลกทั่วโลก ปรากฏข่าวให้เห็นอยู่ทุกวัน สรุปความว่ามีอตัมมยตาแล้วก็จะควบคุมความรักได้ ไม่ให้มีความรักชนิดที่เป็นโทษเป็นอันตราย แล้วมีแต่ความรักที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ นี่เรื่องของอตัมมยตาเกี่ยวกับความรักในชีวิตประจำวัน
ทีนี้ก็มาถึงสิ่งที่ตรงกันข้ามคือ “ความโกรธ” ไม่มีอตัมมยตาไม่สามารถจะควบคุมบวกลบ เมื่อเป็นลบมันก็โกรธ มันก็โกรธ คิดดูสิความโกรธนี่เคยโกรธกันมาแล้วทั้งนั้น มันร้อนเท่าไร มันทำอันตรายเท่าไร มันฆ่าคนได้ง่ายๆ นี่เป็นเรื่องของความโกรธ ถ้าความรู้เรื่อง อตัมมยตามีอยู่ มันไม่โกรธหรอก มันโกรธไม่ได้ ถ้าในกรณีที่ความโกรธหรืออาการที่โกรธมันจะมีประโยชน์บ้าง เราก็มี artificial angry ได้ แปลกดีไหม ถ้าเด็กๆ เขาดื้อเราจะแสดงอาการโกรธให้เขาเห็น เราไม่ต้องโกรธด้วยความโกรธของกิเลสเป็นโกรธอย่าง artificial ก็ทำได้ นี่ก็ด้วยอำนาจของ อตัมมยตา
ท่านทั้งหลายก็รู้จัก “ความโกรธ” กันดีแล้วว่ามันเป็นน้ำหวาน เมื่อแรกเริ่ม เมื่อเบื้องต้นมันเป็นน้ำหวาน แต่พอในสุดท้ายที่สุดมันกลายเป็นยาพิษ ความโกรธมันเป็นอย่างนั้น นั้นเราไม่โกรธเราไม่ต้องโกรธนี่มันสบายกว่า สบายมาก ชีวิตนี้มันมันเย็น ความโกรธ นั้นเปรียบด้วยไฟชนิดหนึ่งมันร้อน ขอให้รู้จักใช้ อตัมมยตาในการควบคุมความโกรธ ความโกรธนี้ยังควบคุมยากกว่าความรัก ระวังดูให้ดีดีมันเป็นเรื่องที่ผลุนผัน ผลุนผัน รวดเร็วและรุนแรงควบคุมไว้ไม่ได้ แล้วมันก็ฆ่าบิดามารดาของตัวเองได้ ฆ่าตัวเองก็ได้ ฆ่าบิดามารดาก็ได้ ทำความเจ็บปวดให้แก่บิดามารดาอย่างยิ่ง นั้นขอให้เกลียดกลัว ความโกรธ ไว้มีเครื่องมือที่จะกำจัดความโกรธคือ อตัมมยตา
ทีนี้ก็มาถึง “ความเกลียด” ท่านทั้งหลายคงจะรู้สึกรู้จักกันดีว่าเกลียดใครสักคนหนึ่งเท่านั้น พอได้ยินเสียงเขาเท่านั้นแหละก็เป็นทุกข์ เพียงแต่ได้ยินเสียงเขาก็เป็นทุกข์ พอเห็นหน้าเขาก็ยิ่งลำบากมาก นี่ความเกลียด ทำให้อยากจะไม่อยู่ร่วมโลกกับคนๆ นี้ ไม่อยากอยู่ร่วมโลกกับคนที่เราเกลียด มันก็ทำลายความสงบสุข และก็ความตายทางวิญญาณ ทุกคนไม่ชอบสิ่งที่เกลียดไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ หรือเป็นบุคคล หรือแม้แต่เป็นสัตว์เลี้ยง ถ้าเกลียดแล้วไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยินไม่อยากจะอยู่ด้วยกันหรือร่วมกัน นี่เพราะมันติดบวกหรือลบมากเกินไป ความเป็นลบมากเกินไปทำให้เกลียด ความหวังบวกมากเกินไปทำให้เกิดลบ กำจัดความเกลียดเสียด้วย อตัมมยตา
เพียงแต่เห็นชื่อของเขาที่เราเกลียดในหน้าหนังสือพิมพ์เท่านั้นมันก็ทำให้เราปั่นป่วน สูญเสีย Equilibrium ไปเยอะแยะ บางคนฉีกหนังสือพิมพ์ ถามว่าฉีกทำไมเพราะมันมีชื่อของคนที่เขาเกลียด นี่คนนี้มันจะเป็นฮิททีเรียเพราะความเกลียด ขอให้ดูให้ดี ไอ้ความเกลียดมันก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่เราอยู่โดยที่ไม่ต้องมีความเกลียดอะไรดีกว่า เมื่อเราเห็นใครคนใดคนหนึ่ง ดี ทำดีทำประโยชน์กับคนที่เราเกลียดเราก็เพิ่มความเกลียดในคนนั้นขึ้นมาทันที ถ้าใครไปดีกับคนที่เราเกลียดเราก็พลอยเกลียดคนนั้นเข้าไปทันที เราก็เพิ่มคนเกลียดของเรามากขึ้น มากขึ้นในโลก ถ้าเราเห็นใครคนใดคนหนึ่งทำอันตรายคนที่เราเกลียด ขัดแย้งคนที่เราเกลียดเราก็รักคนที่เป็นเพื่อนเกลียดกัน เราก็มีเพื่อนที่เลวๆ มากขึ้นในโลก
ทีนี้มาถึง “ความกลัว” ความกลัวนี้มันลำบากมาก แต่มันเป็นสัญชาตญาณมันก็ทำความทุกข์ให้มากทีเดียว สิ่งใดที่เป็น Negative เราก็กลัว ทำอันตรายจิตใจของเราไม่มีความผาสุก เราก็อยู่ด้วยความกลัว เราคิดนึกขึ้นมาก็ได้ ในโลกนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ก่อให้เกิดความกลัว เรื่องทางการเมือง ทางเศรษฐกิจ ทางอะไรต่างๆ ก็ล้วนแต่ก่อให้เกิดความกลัว แม้ในสิ่งที่เป็น Positive เราก็ยังกลัว กลัวว่ามันจะสูญหายไป เราอยู่ด้วยความกลัวว่าไอ้ Negative จะเข้ามา ไอ้ Positive จะออกไปนี่ มันก็อยู่ด้วยความกลัว อย่างนี้ทรมานจิตใจสักเท่าไร
เราอาจจะคิดขึ้นมาด้วยความคิดที่ผิดๆ เพราะความยึดมั่นในเรื่องบวกและลบ เราอาจจะฝันร้ายเราอาจจะกลัว กลัว กลัวอย่างไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว ความที่ติดในบวกในลบนี่มันทำให้เกิดความกลัว ไม่มีอำนาจแห่งบวกและลบแล้วเราไม่อาจจะเกิดความกลัว นี่ขอให้มองดูอย่างนี้ อตัมมยตากำจัดความหมายแห่งบวกและลบ อตัมมยตาก็ป้องกันความกลัว ต่อสู้ความกลัว ทำลายความกลัวก็ได้โดยสิ้นเชิง
ทีนี้ก็มาถึง “ความตื่นเต้น” ความตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี่เป็นมายาที่สุด แต่เราก็ชอบ เราไปดูกีฬาแล้วตื่นเต้น เราไปดูกายกรรม การแสดงที่ยากที่ลำบาก เขาเรียกกันในภาษาไทยว่า กายกรรม ก็ตื่นเต้น ตื่นเต้น ความตื่นเต้นทั้งหลายเป็นในทางบวกก็มีทางลบก็มี เพราะว่าเรามันหลงในเรื่องบวกและเรื่องลบ ถ้าเรามี อตัมมยตา ไม่มีความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบ ไปดูกีฬาไปดูกายกรรมไม่มีความหมายเสียสตางค์เปล่า
ความตื่นเต้นในทางลบ เราไปดูมวย ไปดูการ dual การต่อสู้ ไปดูการต่อสู้ระหว่างวัวกับคนที่ประเทศสเปนอย่างนี้ นั้นเป็นเรื่องโง่ของความตื่นเต้นที่มาจากความหลงใหลในความหมายของบวกและลบ ขอให้ดูให้ดีว่ามันทำลาย Equilibrium ทำลาย Balance ของจิตเหลือประมาณ แล้วมีประโยชน์อะไรหล่ะ ความตื่นเต้นไม่ใช่ความสุขขอให้ดูให้ดี มันสูญเสียความสงบความปกติ หัวใจจะเต้นแรง ความดันสูง ความตื่นเต้นนั้นดีอะไร ขอให้มี อตัมมยตา ให้ควบคุมความตื่นเต้นชีวิตนี้จะเย็นมากขึ้น ชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของมากขึ้น
มีคนเอาวีดีโอกายกรรมมีชื่อเสียงที่สุดของเมืองกวางเจาในประเทศจีนมาให้ดู ทุกคนไปดู เสียค่าดูอย่างน้อยชั้นต่ำสุด ๑๕๐ บาท ก็ได้ความตื่นเต้น ความตื่นเต้นนี้มีอิทธิพลมาก ยอมให้คนเสียเวลาเสียเงิน เสียอะไรไปดู ขอถามว่านี่มันมีประโยชน์ ให้ชีวิตมันสั้นเข้าหรือให้ชีวิตมันยาวออกไป ความตื่นเต้นนี้ทำให้ชีวิตสั้นเข้าหรือให้ยาวออกไป จะถามครั้งสุดท้ายว่ามันทำให้เราโง่หรือให้เราฉลาด ความตื่นเต้นนี่มันทำให้เราโง่หรือมันทำให้เราฉลาด มันก็เป็นปัญหาอันหนึ่งนะ เพราะว่าเราเสียเงิน เสียเวลาเสียเรี่ยวแรงไปเพื่อดู เพื่อหา เพื่อมีความตื่นเต้น ตื่นเต้นนี่กันมาก ทำให้ต้องการมีอะไรใหม่ๆ แปลกๆ เรื่อย ต้องจ่ายเงินเรื่อยเพราะหลงในรสของความตื่นเต้น ความตื่นเต้นจนตัวสั่น
นั้นขอให้สนใจ อตัมมยตา มันเป็น..ไอ้ ป้องกัน ต้านทานและทำลายปัจจัยแวดล้อมทั้งหลาย ที่จะทำให้เกิดความตื่นเต้นและเสียความสงบสุข บางคนอาจจะคิดว่าถ้าไม่รู้จักตื่นเต้นเสียเลยจะเป็นคนบ้า ไม่จริงหรอก คนที่คิดอย่างนั้นแหละเป็นคนบ้า ไม่มีใครทำให้พระอรหันต์หัวเราะได้ไม่มีใครทำให้พระอรหันต์ร้องไห้ได้ แต่พระอรหันต์ก็ไม่ใช่คนบ้า
เอ้า,ทีนี้ขอให้ดูถึง “ความวิตกกังวล” ความที่เยื่อใยเหนียวแน่นของความรู้สึกที่เป็นบวกเป็นลบนี่ เราเรียกว่า ความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ สิ่งที่ยังไม่มาข้างหน้าเราก็เอามาวิตกกังวล อยากจะหาอยากจะมีอยากจะได้ ที่มันเคยมี และผ่านไปแล้วเราก็มาอาลัยอาวรณ์ระลึกถึง ที่ล่วงไปแล้ว นี่ความหลงบวก หลงลบนี่ มันทำให้กระหายในอนาคตข้างหน้า และทำให้อาลัยอาวรณ์ผูกพันสิ่งที่เป็นอดีตที่ล่วงไปแล้ว วิตกกังวลอาลัยอาวรณ์นี่ทรมานจิตใจที่สุด
เวลาเรานอนไม่หลับ นอนไม่หลับ คืนนี้นอนไม่หลับ ก็ตรวจดูมันมีวิตกกังวลอนาคตข้างหน้าอย่างใดอย่างหนึ่งที่เราหลงบวกหลงลบ แล้วเราก็ผูกพันกับอดีต อดีตที่ล่วงไปแล้วอาลัยอาวรณ์ผูกพัน ข้างหน้าก็ได้ข้างหลังก็ได้ นี่ทรมานจิตใจ นอนจะไม่หลับ ตื่นก็ไม่เป็นสุข นอนก็ไม่หลับ เพราะมันหลงบวกหลงลบ ถ้ามี อตัมมยตาแล้วอาลัยอาวรณ์ไม่มี
ผูกพันอยู่กับข้างหน้าหรืออนาคตเป็นวิตกกังวล ผูกพันอยู่กับข้างหลังที่ล่วงไปแล้วก็เป็นอาลัยอาวรณ์ มันก็เสียความสมดุล คนเป็นอันมากจะถูกทรมานอยู่ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ นอนไม่หลับจนต้องกินยานอนหลับ ในที่สุดมันก็เป็นโรคประสาท นี่ขอให้รู้จักเชื้อโรคเล็กๆ ละเอียดแต่ร้ายกาจที่สุด คือ อาลัยอาวรณ์ มีแต่ อตัมมยตา เท่านั้นที่จะกำจัด do away with this (นาทีที่ 01:08:45) ได้ขอให้สนใจไว้อย่างหนึ่งเป็นยา นอนหลับง่ายโดยไม่ต้องกิน
ทีนี้ก็จะมาถึง “ความริษยา” ความริษยา ความไม่อยากให้ใครได้ดี ดีกว่า เหนือกว่า ถ้ามีใครดีกว่าเหนือกว่าก็มีความทุกข์ แล้วก็คิดอยากจะทำลายเขาเสีย อย่างนี้เรียกในภาษาไทยว่า ริษยา ในบาลีว่าอิจฉาริษยา อิจฉา ริษยา ในภาษาไทย มันเป็นเรื่องของหลงบวกหลงลบมากเกินไป เราไม่อยากให้ใครดีกว่าเรา ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไร มีแต่ไม่อยากให้ใครดีกว่าเรา เรื่องนี้ถ้าพูดตามที่เป็นจริงกันแล้วทุกคนมี ทุกคนมีความริษยาไม่มากก็น้อย เห็นเขาแต่งตัวสวยกว่าเรา เราก็รู้สึกวุ่นวายใจด้วยความริษยา เห็นใครมีอะไรสะดวกสบายมากกว่าเรา เราก็วุ่นวายใจเราก็ริษยา เพราะความริษยา มันไม่ Balance หรอก มันริษยาเพราะมันไม่ Balance ในแง่ลบมันก็ริษยาได้ เราเลวกว่าเขา ในแง่บวกก็ริษยาได้เราดีกว่าเขา ไอ้ความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบนี่นำให้เกิดความริษยา
ผู้หญิงคนหนึ่งสวยมากเข้ามาในที่นี่ ผู้หญิงที่ไม่สู้จะสวยก็เกิดริษยาโดยอัตโนมัติ โดยอัตโนมัติ ผู้ชายคนหนึ่ง Smart สวยมากเข้ามาในที่นี่ ผู้ชายคนที่ไม่สวยไม่ Smart มันก็มีริษยาแล้วโดยอัตโนมัติ นั้นระวังให้ดี ระวังให้ดี ริษยานี้เกิดโดยอัตโนมัติ เกิดแล้วกัดหัวใจที่สุด กัดหัวใจที่สุด พอความริษยาเกิด มันก็กัดหัวใจผู้ที่ริษยานั้นทันทีแล้วก่อนด้วย ผู้ที่ถูกริษยาไม่รู้ ยังไม่รู้เลย ผู้ที่ถูกริษยาไม่มีผลอะไรเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำไป แต่ผู้ที่ริษยาจะถูกเป็นทุกข์ กัดหัวใจก่อนด้วยความริษยา นี่เราจึงทรมานใจมากเหมือนกันด้วยความริษยา ซึ่งเกิดได้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อมันมีผู้หรือสิ่งอะไรที่สูงกว่าดีกว่าเข้ามาเป็นผู้เปรียบเทียบ
เราอย่ารู้สึกอิจฉาริษยาเขาทั้งวันทั้งคืน ทั้งวันทั้งคืน ริษยาเขา คนที่ถูกริษยาไม่รู้สึกอะไรเลยก็ได้ ก็ยังนอนหลับสบาย มันเสียหายมากขนาดนี้ ความริษยาเกิดมาจากความหลงบวก หลง Positive มากเกินไปจึงเกิดริษยา
เราอ่านพบข้อความใน Bible ถัดมาจากเรื่องที่พระเจ้าห้ามไม่ให้กินผลไม้รู้บวกรู้ลบ หน้าถัดมา เมื่ออาดัม อีฟเขากินลูกไม้นี้เข้าไปแล้วมีความรู้จักบวกลบแล้ว ลูกหลานของเขา ลูกหลานของอาดัม อีฟ พี่ชายมันก็หลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า เพราะว่าพ่อมันรักน้องชายมากเกินไป พี่ชายทนไม่ได้ พี่ชายอยากจะให้พ่อรักตัวเองบ้างก็หลอกน้องชายไปฆ่าเสียในป่า นี่เพราะว่าพี่ชายมัน Attach Positive มากเกินไป ความริษยามาจากความหลงในทางบวกมากเกินไป
ในทางลบก็เหมือนกัน เมื่อเรายึดถือในลบมากเกินไป เราก็จะเห็นเป็นปมด้อยแก่เราไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็ทำให้เกิดความริษยาผู้ที่มีปมเด่น เพราะเรายึดในลบมากเกินไป เราก็รู้สึกเกลียดชังผู้ที่มีปมเด่น นั้นปมด้อย ลบนี่ก็ทำให้เกิดความรู้สึกริษยาได้เหมือนกันแหละ เป็นอันว่าทั้งบวกและทั้งลบมันเป็นเหตุให้เกิดความริษยา ความริษยาเป็นเอามากจนถึงกับว่าไม่อยากให้ใครมีอะไรดี สวย มีค่าอะไรเหมือนๆ เรา เหมือนเรา นี่มันจึงมีปัญหาขึ้นอีกทางหนึ่ง ที่ว่าเราจะต้องหาอะไรมาให้มี ให้ดี ให้สวย ให้เด่น ให้อะไรกว่าคนอื่น นี่เป็นเหตุให้ลำบากมาก ความริษยานี่เป็นเหตุให้เราต้องใช้เงินมาก
ในที่สุดก็อยากจะพูดถึง “ความหวงและความหึง” ความหวงและความหึงมันคู่กัน ความหวงว่าจะเอาไว้เป็นของเราอย่างเดียว เป็นของเราอย่างเดียวไม่อยากให้ผู้อื่น หรือริษยาแล้วก็ไม่อยากจะให้ผู้อื่นมี ก็เลยไม่อยากจะให้ผู้อื่นได้มีมากขึ้นมา เราหวงเอาไว้ เราตระหนี่ เราหวง หวง หวง ในทางวัตถุนี่เราเรียกว่าเราหวง หวง หวง แต่ถ้าในทางจิตใจก็จะเรียกว่า หึง สามีรักภรรยามาก รักภรรยามาก จนไม่อยากให้ใครมามองดูภรรยาของเขานี่ ถ้าว่าภรรยารักสามีมากเกินไป บวกเกินไปจนเป็นหึงแล้ว ก็ไม่อยากให้สามีนั้นไปบ้านผู้อื่น สัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่นนั้นเรียกว่าหึง ความหวงเข้มข้นมากเข้าก็กลายเป็นความหึง ทุกคนมีความหวงและความหึงไม่มากก็น้อย
หาคำในภาษาอังกฤษสั้นๆ ไม่ได้เพียงว่า หวง และ เพียงว่า หึง ช่วยกันคิดหน่อยเอาไปคิดเอาเองก็ได้ หวงและหึง ผู้ชายหึงไม่อยากให้ใครมองดูภรรยาของเขา เขาไปทำงานอยู่ที่ Office ภรรยาอยู่ที่บ้านเขาทนทุกข์ตลอดเวลาที่ทำงานที่ Office ถ้าเขาหึง ถ้าภรรยาหึงพอสามีเขาออกไปจากบ้าน เขาก็ตกนรกหมกไหม้ในใจตลอดเวลา นี่คำว่า หึง หึง ขอให้หาความหมายให้มันอย่างเพียงพอ ถ้าความหึงเข้มข้น เข้มข้น เขาก็จะเป็นบ้า เขาอาจจะฆ่าภรรยาของเขาได้โดยที่ไม่ทันรู้ เขาอาจจะฆ่าสามีของเขาได้ไม่ทันรู้ ด้วยอำนาจของความหึงที่มันมากเกินไปจนเป็นบ้า ภรรยากับสามีทะเลาะกันมากที่สุด มากที่สุดนั้นเพราะความหึง ถึงกับเป็นบ้า
เอาละเป็นอันว่า บวกหรือลบนี่เป็นต้นเหตุแห่งความหึง ลบก็เป็นต้นเหตุแห่งความหึงได้เหมือนกัน ถ้าภรรยาสามีของเราไม่สวยเราก็หึง เมื่อมีคนสวยเข้ามาเกี่ยวข้อง เข้ามาเกี่ยวข้อง ภรรยาของเราไม่สวยผู้ชายสวยเข้ามาเกี่ยวข้องเราก็หึง สามีของเราไม่สวยผู้หญิงที่สวยเข้ามาเกี่ยวข้องเราก็หึง นี่ความหวงและความหึงนี่ทรมานจิตใจตลอดเวลาได้ ตลอดเวลาได้ จนเป็นบ้าได้ในที่สุด คิดว่าจะต้องเติมคำว่า Crazy Crazy เข้าข้างหน้าคำว่า Positiveness มันจึงจะมีค่าเท่ากับหึง
เรามีอตัมมยตาไม่หลงบวกไม่หลงลบ ความหวงและความหึงเกิดไม่ได้ เกิดไม่ได้ นี่เราจะพบชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ เราต้องการชีวิตใหม่ที่ไม่กัดเจ้าของ เราเอาอิทธิพลของบวกและลบออกไปเสีย เราก็จะไม่มีทุกอย่างที่ออกชื่อมาแล้ว เราจะไม่มีความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความอิจฉาริษยา ความหึง ความหวง นี่ประโยชน์ของอตัมมยตา
เราจะเป็น Artist Artist ที่สุดของ Artist เราจะมีอะไรเป็น Artist Artistic ไปหมดเลย เราจะมีความรักอย่าง Artistic ความโกรธอย่าง Artistic ความเกลียดอย่าง Artistic ความกลัวอย่าง Artistic อะไรก็ Artistic ไปหมดเลยมันไม่กัดเจ้าของ มันจะไม่มีการกัดเจ้าของนี่ชีวิตเย็น ชีวิตที่อยู่เหนือ Positive และ Negative ต่อไปนี้บวกหรือลบ Positive หรือ Negative จะไม่เป็นปัญหาแก่เรา จะไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ แก่เรา คือจะไม่เกิดไอ้สิ่งเลวร้ายเหล่านี้ทั้งหมด
เราก็จะมีชีวิตเย็น เย็น ไม่มีร้อน แล้วก็ชีวิตอิสระ อิสระที่สุด ดีที่สุด แล้วจะมีชีวิตที่สะอาดที่สุด เท่านี้ก็พอแล้ว เย็นที่สุด อิสระที่สุด สะอาดที่สุดนี่ก็พอแล้ว คุ้มค่าแล้วที่จะมาศึกษาเรื่อง อตัมมยตา นับว่า ได้ผลคุ้มค่าแล้ว ที่อุตสาห์มาศึกษาธรรมะ ธรรมะ เพื่อจะให้ได้สิ่งที่ทำให้อยู่เหนือบวกเหนือลบ
ขอให้ท่านมีความรู้สึกแจ่มแจ้งชัดเจนมาหาสิ่งนี้ อย่าให้มืดมนว่าไม่รู้ว่ามาหาอะไรตามๆ เห่อๆ กันมาว่าดีที่สุด แล้วก็ไม่รู้ว่าดีอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร นี่มาเอเชียมาศึกษาธรรมะนี่ต้องรู้ให้ชัดว่ามาเพื่อได้สิ่งนี้ แล้วก็จะหมดปัญหาในชีวิต จะได้ชีวิตใหม่ ขอให้สนใจ ถ้าปฏิบัติอานาปานสติสำเร็จทั้งชุดแล้ว ก็จะได้สิ่งนี้โดยแน่นอน
ถ้าเรามีอตัมมยตา เราก็อยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative ถ้าอยู่เหนือ Positive และ Negative เราก็อยู่เหนือโลก เหนือโลก เหนือ Universal เหนือจักรวาลไปเลย ขอให้คิดดู โลกจะอยู่ข้างล่าง อยู่ข้างใต้จะไม่ทำปัญหาใดๆ ให้แก่เรา ไม่เป็นภาระหนักแก่เรา ไม่มีปัญหาแก่เรา อย่างนี้ในภาษาธรรมะเรียกว่าเหนือโลก เหนือโลก Ultra mundane (นาทีที่ 1.50.09)and เหนือโลก
ความรู้เรื่อง อตัมมยตานี่ช่วยให้เราอยู่เหนือโลก คืออยู่เหนือปัญหา ปัญหาแห่งชีวิต ปัญหาแห่งชีวิตก็แล้วกัน นั่นแหละคือโลก เราจะอยู่ในโลกที่ไม่มีปัญหาแก่เราเลย ดีหรือชั่ว บวกหรือลบ ได้หรือเสีย แพ้หรือชนะ ทุกๆ คู่ๆ Pair of opposite ทุกๆ คู่มีแต่ในโลกเท่านั้น มีแต่ในโลกเท่านั้น เหนือโลกไม่มี เมื่ออยู่เหนือโลกได้แล้วก็ไม่มี Pair of opposite บวกหรือลบที่จะรบกวนเรา สรุปความได้อย่างนี้
ขอให้ท่านพยายามประสบความสำเร็จในการมีอตัมมยตา ถ้าการศึกษาหรือการปฏิบัติใน session เดียวไม่สำเร็จ ท่านก็พยายามต่อไปๆ กี่ session ก็ได้ จนได้ประสบ มี ความมี มีอตัมมยตา แล้วเรื่องก็จะจบการเป็นมนุษย์
วันนี้เวลาก็หมดแล้วยุติการบรรยาย แล้วก็ขอบคุณที่เป็นผู้ฟังที่ดี พูดมากไปหน่อย ต้องอดทน