แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดเรื่อง อตัมมยตา อตัมมยตา ขอได้โปรดจดจำคำนี้ไว้เป็นพิเศษโดยภาษาบาลี มันเป็นคำที่แปลก แล้วมันยังแปลกมากจนถึงกับว่ามันเป็นสิ่งที่ท่านกำลังเที่ยวแสวงหาโดยไม่รู้ว่าแสวงหาอะไร เท่าที่ได้ทราบหรือได้สังเกตเห็น ท่านมาเมืองไทยนี่ จะแสวงหาอะไรก็ยังไม่รู้เพียงแต่รู้ว่าสิ่งที่มีอยู่หรือชีวิตชนิดที่กำลังเป็นอยู่นั้นไม่เป็นที่พอใจ นั้นต้องการจะออกแสวงหาชีวิตใหม่ที่เป็นที่พอใจ แต่ท่านก็ไม่รู้ว่ามันอะไร มันเป็นอย่างไร ทั้งที่เที่ยวแสวงหาอยู่นี่มันน่าหัว แสวงหาสิ่งซึ่งไม่รู้ว่าอะไร นี่คือความแปลก ไปเกาะสมุยบ้าง ไปเกาะพงันบ้าง มาสวนโมกข์บ้าง หลายๆ แห่งเพื่อแสวงหาสิ่งซึ่งไม่รู้ว่าอะไร ขอบอกท่านว่าสิ่งนั้นมันคือ อตัมมยตา
อีกส่วนหนึ่งก็ได้ยินมาว่า บางคนต้องการจะหาตัวเอง จะหาให้พบตัวเองและรู้จักตัวเอง ข้อนี้ก็เป็นความจริงอย่างยิ่งเพราะว่าถ้าไม่รู้จักว่าตัวเอง ตัวเองคืออะไรแล้ว มันก็ไม่รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาให้แก่ตัวเอง ปัญหามันก็เนื่องกันอยู่ที่ว่า ไม่รู้จักตัวเองว่าเป็นอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะหาอะไรมาทำให้ตัวเองพอใจหรือเป็นสุข ถ้ารู้จักตัวเองหรือหาพบตัวเองอย่างแท้จริงถูกต้องแล้วมันก็จะง่ายที่จะรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ตัวเองกำลังขาดอะไรอยู่ ตัวเองจะต้องหาอะไรมาเพิ่มให้ นั้นการรู้จักตัวเองจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เดี๋ยวนี้ก็เป็นการบอกล่วงหน้าว่า ท่านเที่ยวหาสิ่งซึ่งกำลังจะพูดถึงกันนี่คือ อตัมมยตา โดยที่ท่านไม่รู้สึกตัว ขอโทษที่จะต้องกล่าวอย่างนี้
ขอโทษที่จะต้องกล่าวอย่างนี้ อีกเรื่องหนึ่งก็คือว่า ท่านแสวงหาที่ฝึกสมาธิ ฝึกวิปัสสนา ดูเหมือนกับจะแตกตื่นกันมากอย่างกับว่าตื่นเพชรหรือตื่นทองเที่ยวแสวงหา นี่ก็เที่ยวแสวงหาวิปัสสนา สำนักวิปัสสนา ปฏิบัติวิปัสสนาแต่ก็ยังไม่รู้ว่าเพื่อประโยชน์อะไรได้แต่เดาๆ เหมาๆ ไปว่ามันคงจะได้สิ่งที่ดีที่เรายังกระหายอยู่ แต่แล้วก็ขอบอกท่านทั้งหลายว่าการฝึกวิปัสสนานั้นเมื่อถึงที่สุดแล้วก็จะได้ “อตัมมยตา” นั่นเอง
เดี๋ยวนี้มันจะพูดได้ว่าทั้งโลกกำลังตื่นวิปัสสนาเหมือนการตื่นเพชรตื่นทอง แต่เขาหารู้ไม่ว่าวิปัสสนานั้นจะให้อะไรในที่สุด อันนี้ขอยืนยันว่าวิปัสสนานี้เมื่อทำสำเร็จแล้ว มันจะได้สิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา
“วิปัสสนา” แปลว่า เห็นอย่างแจ่มแจ้งตามที่เป็นจริง ตามที่มันเป็น ถ้าใครเห็นสิ่งทั้งปวงโดยวิปัสสนาอย่างนี้ คือเห็นตามที่เป็นจริงอย่างนี้แล้ว เขาจะได้สิ่งที่เรียกว่า “อตัมมยตา” ที่นี่เราใช้วิปัสสนาแบบที่เรียกว่า “อานาปานสติ” ดังที่ท่านทั้งหลายได้กำลังฝึกกันอยู่ วิปัสสนาอานาปานสตินี้ก็เหมือนกันแหละ ถ้าท่านทำไปจนถึงที่สุดบทสุดท้าย ท่านก็จะได้รับสิ่งที่เรียกว่า อตัมมยตา ไม่ไปไหน
ทีนี้เราก็จะได้พิจารณาโดยเฉพาะคำว่า อตัมมยตา คำนี้ยากที่จะแปล แต่เข้าใจว่าคำแปลที่ว่า unconcoctability จะเหมาะที่สุด นี่ท่านสันติกะโรจะช่วยให้คำแปล อธิบายคำแปลของคำๆ นี้ โดยใจความสรุปแล้วก็คือว่า ความที่ “ จิตนี้เป็นอิสระ อะไรๆ มาปรุงแต่งให้เป็นอย่างนี้ อย่างนั้น อย่างโน้นไม่ได้ จิตอยู่เหนืออำนาจการปรุงแต่งของสิ่งทั้งปวงที่มันจะมาปรุงแต่งจิต ” นี่คือใจความสำคัญ
จะพูดสรุปความสั้นๆ ก็ว่า จิตของเราก็ดี อารมณ์ก็ดี Emotion ต่างๆ ของจิตนี้ก็ดีมันเป็นเสมือนหนึ่ง Product , product newly product ของสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ ตรงนี้เราจึงไม่เป็นอิสระ จิตนั้นไม่เป็นอิสระ เพราะมันถูกปรุง ถูกปรุงโดยสิ่งที่แวดล้อมใหม่ ใหม่ๆๆ อยู่เสมอ มันก็หาความพักผ่อนอันแท้จริงไม่ได้ แต่ถ้ามีอะไรมาทำให้ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่ต้องถูกปรุง ถูกปรุงอยู่เสมอนี่ก็หาความพักผ่อนได้เป็นจิตที่พอใจ สิ่งที่จะทำให้จิตไม่ถูกปรุงแต่งอีกต่อไปนี้เราเรียกว่า อตัมมยตา อตัมมยตา นี่ออกเสียงให้ถูกๆ
ขอให้มองเห็นความจริงโดยพื้นฐานนี่ก่อนว่า ความรู้สึก ความคิดนึกอารมณ์อะไรของจิตนี่มันสร้างขึ้นมาจากสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวจิตเป็นอย่างนั้นเดี๋ยวจิตเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวเป็นอย่างโน้น เดี๋ยวกลุ้มใจ เดี๋ยวไม่สบายใจ เดี๋ยวไม่พอใจ เหล่านี้มันเป็นผลของการปรุงแต่งของสิ่งแวดล้อม รู้จักความจริงที่เป็นอยู่ตามปกติของสิ่งที่เรียกว่าจิตอย่างนี้กันเสียก่อน จึงจะตั้งต้นศึกษาได้ง่าย
ความคิดหรืออารมณ์อะไรต่างๆ เหล่านั้นของจิตนั่นมันเป็น Product ของสิ่งแวดล้อมซึ่งเรียกว่าปัจจัย ปัจจัย ปัจจยะหรือปัจจัยสิ่งแวดล้อมปรุงแต่ง มีทั้งภายนอกและภายใน ปัจจัยนี่มีทั้งภายนอกและภายใน ขอให้รู้จักสิ่งเหล่านี้เป็นข้อแรก
คำว่า “ปรุง” นี่ก็เป็นคำที่แปลยากเป็น Concoct บ้าง Condition บ้างซึ่งภาษาบาลีมีคำซึ่งเหมาะสมที่สุดเรียกว่า “สังขาระ” สังขาระ คือกระทำอย่างครบถ้วนอย่างพร้อมหมดทุกอย่างนี่เรียกว่า สังขาระ เรียกว่าปรุง สิ่งแวดล้อมภายนอกนี่ก็ปรุง ภายในก็มีอยู่สำหรับปรุง แม้ที่สุดแต่ว่า Idea ของเราอันหนึ่งมันก็เกิดขึ้นมาจากไอ้สิ่งแวดล้อมที่ปรุง ไม่มีอะไรที่เป็นเรื่องของจิตที่มันไม่มาจากการปรุงของสิ่งที่แวดล้อม Function หรือ Action ของการปรุงนี่มันมีอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลา ในสิ่งที่เรียกว่าจิต มันมีสิ่งที่ปรุงให้เกิดจิตหรือเกิดความคิด จิตคือความคิดเกิดแล้วก็ปรุงสิ่งอื่นต่อไป มันเป็นผลขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นเหตุสิ่งปรุงแต่งสิ่งอื่นต่อไปอย่างนี้เป็นสายไปเลยนี่เรียกว่า Action ของการปรุง concoction นี้มีอยู่ตลอดเวลาในจิต ขอให้ดูให้เห็นสิ่งนี้ก่อน
การปรุงแต่งภายนอกนั้นเห็นได้ง่ายที่เรามีตา พอตาเห็นอะไรก็เกิดความรู้สึก ความคิด ความนึก Idea อะไรต่างๆ ขึ้นมา เรามีหู หูได้ยินก็ปรุงแต่งเป็นเรื่องของสิ่งที่ได้ยินมา เรามีจมูก จมูกได้กลิ่นมันก็มีความปรุงแต่งจะเกิดความคิดความนึกรู้สึกในเรื่องของกลิ่น เรามีลิ้นมันก็มีปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกทางลิ้นที่เรียกว่า รส เรามีผิวหนังทั่วตัวมีอะไรมากระทบผิวหนังผิวกายนี่ มันก็เกิดความรู้สึกแล้วก็ปรุงแต่งกันไปเป็นความคิดความนึกจนกระทั่งเกิดอาชญากรรมร้ายแรงก็ได้ ๕ อย่างนี้ภายนอก ขอให้สนใจให้ดีมันเป็นแม่บทหรือพื้นฐานของไอ้เรื่องปรุงแต่งทั้งหลาย
แล้วที่เป็นภายในก็คือมี ใจ สำหรับรู้สึกต่อสิ่งต่างๆ เกิดความรู้สึกขึ้นมาโดยทางจิตใจมันก็ปรุงแต่งความคิดความนึกรู้สึกต่อไปเรื่อยได้ มีความสำคัญที่สุดในสิ่งทั้ง ๖ นี้ คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ขอให้สนใจว่ามันเป็นที่ตั้งของการปรุงแต่ง
อยากจะขอร้องอย่างยิ่งว่าถ้าท่านจะศึกษาพุทธศาสนาให้สมบูรณ์แล้ว ขอให้สนใจสิ่งทั้ง ๖ นี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ นี้ เรียกโดยบาลีว่า “อายตนะ” อายตนะ คำนี้ก็แปลยากที่สุดจะแปลรวมๆ กันว่าสิ่งที่เราอาจจะรู้สึกได้ สัมผัสได้ ติดต่อได้แล้วทำให้เกิดการติดต่อสัมผัสระหว่างสิ่งทั้งปวงเรียกว่า “อายตนะ” ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่ อย่าเห็นเป็นของเด็กเล่นนะมันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดมันเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง ปัญหาทุกชนิดทุกแง่ทุกมุม มันตั้งต้นมาจาก Sense organ Sense object ๖ อย่างนี้ ขอให้สนใจเป็นพิเศษอย่างเห็นเป็นเรื่องเด็กเล่น
ถ้าเราควบคุมอายตนะทั้ง ๖ ได้ มันก็จะเท่ากับควบคุมโลกทั้งหมดได้ ท่านอาจจะไม่เชื่อแล้วฟังดูเป็นพูดเล่น เพราะว่าโลกทั้งหลายทั้งหมดที่มันจะเข้ามาสู่จิตใจของเรามันเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เราไม่รู้จักเราจัดการไม่ถูกต้องควบคุมไม่ได้ สิ่งเหล่านั้นก็เข้ามาปรุงแต่งหรือ Concoct จิตใจตลอดเวลา
การที่เราควบคุมอายตนะทั้ง ๖ ได้นั่นแหละ คือ อาการที่เรียกว่ามี อตัมมยตา เราควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ได้ นั่นคืออาการที่เรียกว่า อตัมมยตา มันจะปรุงแต่งตามชอบใจไม่ได้ เพราะว่าเราควบคุมไว้ให้อยู่ในความถูกต้องเสมอ จิตจะไม่เป็นบวก จิตจะไม่เป็นลบ เพราะควบคุมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจไว้ได้ นี่มันมีความสำคัญอย่างนี้
อยู่ข้างนอก ๕ อย่างคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย อยู่ข้างในหนึ่งอย่างคือ ใจ นั้นจงสนใจสิ่งเหล่านี้ว่ามันกำลังทำอะไร มันกำลังทำอย่างไร แล้วจะเห็นได้ต่อไปว่าไอ้เรื่องข้างนอกนี่ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย มันทำให้เกิดเรื่องข้างในคือในใจ จิตจะรู้สึกคิดนึกอะไรได้มันก็ตั้งต้นที่เรื่องข้างนอกที่ตาเห็นอะไร หูได้ยินอย่างไร จมูกได้กลิ่นอะไร แล้วมันเกิดความรู้สึกไปตามนั้น เกิด Feeling ต่างๆ แม้กระทั่งเกิดตัณหาจนกระทั่งความต้องการอย่างโง่เขลาเช่น Craving อย่างนี้ เป็นต้น มันตั้งต้นที่ข้างนอกแล้วมันเข้าไปตั้งต้นที่ข้างใน แล้วปัญหามันก็หนักมากที่เมื่อมันไปตั้งต้นข้างในแล้วมันทำงานข้างใน
จากการแวดล้อมปรุงแต่งภายนอกทำให้เกิดความรู้สึกคิดนึกในภายในนี่เป็นอันแรกก่อน และความรู้สึกคิดนึกในภายในมันย้อนกลับมาจัดการควบคุมส่งเสริมไอ้ภายนอกให้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปอีก แล้วมันย้อนกลับไปส่งเสริมในภายในให้รุนแรงไปกว่าเดิม มันอยู่กันอย่างนี้ ภายนอกตั้งต้นส่งเสริมภายใน ภายในกลับมาควบคุมส่งเสริมภายนอกให้ย้อนกลับไปส่งเสริมภายใน มันเรื่องจนยุ่ง เรื่องมันจึงยุ่งจนเราเวียนหัวหรือบางทีก็กลุ้มใจ จนทำอะไรไม่ถูกเรียกว่ามัน concoct แล้วมันเป็นอย่างนี้ ถ้ามันไม่ concoct แล้วมันจะเป็นอย่างไร
ปัจจัยที่เป็นภายในที่สำคัญที่สุดที่ควรจะรู้จักมันไว้อย่างยิ่งมีอยู่ ๓ ชื่อ ๓ชื่อ อย่างแรกเรียกว่า “ทิฏฐิ” มิจฉาทิฏฐิ wrong will มิจฉาทิฏฐิ ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีตัวกู มีตัวกู Self หรือตัวกู ทิฏฐิทำให้เกิดความรู้สึกมีตัวกู แล้วมันก็ทำให้เกิดมี “ตัณหา” ความรู้สึกว่าของกู ของกู แล้วมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า “มานะ” มานะ กูเป็นอย่างไร นี่มันเกิดความรู้สึกว่าตัวกู แล้วก็ของกู แล้วก็กูเป็นอย่างไร ทิฏฐิ ตัณหา มานะ ความรู้สึกภายใน ๓ อย่างนี้ปรุงแต่งเหลือประมาณจนหาความสงบสุขไม่ได้
คำแปลเฉพาะมานะนี้ควรจะหาให้พบนะ ไอ้ Consist จะใช้ได้ไหม ฉันเป็นอย่างไร ฉันเป็นอย่างไร
เรามีทิฏฐิว่า “ตัวกู” แล้วก็มีความคิดที่เป็นมานะที่จะเปรียบตัวกูนี้กับตัวกูโน้นว่าอันไหนดีกว่ากัน ดีกว่า เลวกว่า เสมอกัน มันก็มีตัวกูที่ถูกมานะ Classify แล้วก็มันก็ “ของกู” ก็ว่าของกูดีกว่าของท่าน ของกู ของกู ก็ยังมีการเปรียบเทียบกันว่าของใครดีกว่าใคร มันก็มีอาการเปรียบเทียบด้วย Classify ประกาศให้มันเป็นอย่างนี้อย่างนั้นอย่างโน้น อย่างนี้เรียกว่ามานะ ทิฏฐิ ตัณหา มานะ นี่แหละปัญหาอย่างยิ่งตัวการที่จะเกิดปัญหาอย่างยิ่ง แล้วมีอยู่อย่างยิ่งในเรา ถ้าท่านไม่รู้จักสิ่งนี้แล้วเป็นไม่รู้จักตัวเองแน่ ไม่รู้จัก ๓ สิ่งนี้แล้วไม่รู้จักตัวเองแน่ มันมี “self” แล้วมันมี “of self” แล้วมันมี “category of self” นี่ขอให้รู้จักไอ้ ๓ สิ่งนี้เถิดจะรู้จักตัวเอง แล้วเราจะดูกันทีละอย่างว่ามันปรุงแต่งอย่างไร
ทีแรกมันก็มี self มันก็มี Selfishness มี selfishness แล้วดูไอ้ selfishness มันสร้างความยุ่งยากลำบากเหลือประมาณ ไอ้โลกเรานี่กำลังลำบากอยู่ด้วย Selfishness ของแต่ละคน ละคน แม้ในคนเดียวนี่มันก็นอนไม่หลับ Selfishness มันเกิดขึ้นมาแล้วแม้อยู่คนเดียวมันก็นอนหลับยากวิตกกังวลหวาดกลัวผวาไปต่างๆ นี่มันปรุงอย่างนี้ไอ้ self ตัวนี้ of self นี่มันก็ของฉัน ของฉัน มันของธรรมชาติแท้ๆ ของธรรมชาติแท้ๆ มันไปปล้นไปขโมยมาเป็นของฉัน แล้วปัญหามันก็เกิดแก่ฉันมัน ไม่เกิดแก่ธรรมชาติ แล้วมันก็คิดที่ว่าเป็นอย่างไรจะดีกว่าจะเลวกว่าจะเสมอกัน นี่มันเป็นเหตุให้แข่งขันให้ต่อสู้ให้ทำร้ายให้เบียดเบียนอย่างที่โลกทั้งโลกมันกำลังต่อสู้แข่งขันแย่งชิงคิดแต่จะทำลายล้าง บางคนมันคิดจะครองโลกเลย ๓ อย่างนี้แหละมันเป็นตัวร้ายที่จะปรุงแต่งจากภายใน
เราเป็นโจร เราเป็นขโมยหรือเป็นขโมยอย่างยิ่งอยู่ตลอดเวลา โดยเราคิดว่า กู ของธรรมชาตินี่เอามาเป็นกู ถ้าว่ามีดบาดนิ้วมันก็ว่ามีดบาดกู มันไม่ได้บอก ไม่มีว่ามีดบาดนิ้วหรือธรรมชาติ มีดก็ธรรมชาตินิ้วก็ธรรมชาติมันเป็นเรื่องของธรรมชาติ พอมีดบาดนิ้วก็มีดบาดกู แล้วมันยังโง่อันที่ ๒ ว่านิ้วของกู ร่างกายของธรรมชาตินี่มันก็เอามาเป็นของกู นี่มันเป็นขโมยอยู่ตลอดเวลา ทีนี้เมื่อเราเป็นขโมยอยู่ตลอดเวลามันก็ไม่มีความถูกต้อง มันไม่มีความถูกต้องมันก็ถูกลงโทษให้เป็นทุกข์อยู่ตลอดเวลา
เรามีตัวเรา แล้วก็มีของเรา ทีนี้สิ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรานั้น มันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอไป ถ้ามันถูกใจเรา มันก็เป็น Positive ถ้ามันไม่ถูกใจเรามันก็เป็น Negative เราก็ต่อสู้กันอยู่กับ Positive และ negative ตลอดเวลา แล้วก็ต้องการที่ดีกว่า ต้องการที่ดีกว่า ต้องการที่ดีกว่าอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น แล้วเราก็ไม่สามารถจะควบคุมไอ้ค่าของ Positive และ Negative ได้ แล้วก็หลงอยู่ภายใต้การหลอกลวงของ Positive และ Negative ความเป็น Positive และ Negative มันก็ปรุงแต่งจิตใจเรา เราก็ต้องมีปัญหามากมาย ถ้าเรามี อตัมมยตา เราจะสามารถควบคุมค่าหรือความหมายของ Positive หรือ Negative
เราใช้คำพูดง่ายๆ ว่าเราถูกตบหน้า ถูกตบหน้าอยู่ด้วย Positive และ Negative ตลอดเวลา แต่มีความต้านทานอันหนึ่งเกิดขึ้นมาช่วยต้านทานเอาไว้ก็คือ อตัมมยตา เราจึงไม่ถูกตบหน้าแรงเกินไป คือถูกตบพอทนได้ หรือบางเวลาก็ตบไม่ได้ก็มีเวลาว่างที่ไม่ถูกตบอยู่บ้างสิ่งนั้นคือ อตัมมยตา มันจะช่วยให้ Positive หรือ Negative ทำอันตรายเราไม่ได้ในบางเวลาเราก็ได้การพักผ่อน หรือว่ามันทำให้ตบหน้าเราแต่เพียงน้อยๆ พอทนได้ เราก็ไม่ตาย บุญคุณหรือค่าของ อตัมมยตา มันเป็นอย่างนี้
ถ้าเรามีความรู้เรื่องอตัมมยตาสมบูรณ์ ความเป็น Positive หรือ Negative ในโลกนี้จะทำอะไรเราไม่ได้ เราก็อยู่เหนือปัญหาเหนือความทุกข์เหนืออะไรทุกอย่าง แต่เราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เรียกว่า “อวิชชา” หรือ Ignorance เราไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย เราก็ไปหลงในตัวตนในของตนในความเป็นต่างๆ ของตน Positive และ Negative จึงกัดเอา กัดเอา กัดเอา เดี๋ยวอย่างนั้นเดี๋ยวอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา จนเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้เป็นอย่างไร จะไปหาความพักผ่อนกันที่ไหน จึงเกิดการค้นคว้าในเรื่องนี้กันขึ้นมา ตั้งแต่โบราณมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้วความรู้สูงสุดก็คือเรื่องอตัมมยตา นั้นขอให้เห็นชัดว่า อตัมมยตานี่เป็นเครื่องป้องกันเราไม่ให้รับอันตรายจาก Positive และ Negative
ความไม่รู้เรื่องนี้คืออวิชชาเป็นสมบัติของเราอยู่ตลอดเวลา ขอให้เรามองเห็นความจริงข้อนี้ศึกษาความจริงข้อนี้ในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ทางวิญญาณ Spiritual ทางวิญญาณเถิด อย่าศึกษากันแต่วิทยาศาสตร์ทาง Physical หรือ mental มันไม่พอให้รู้เรื่องความที่ Positive หรือ Negative มันทำความทุกข์ให้เกิดความทุกข์อยู่ตลอดเวลา มองเห็นเรื่องนี้อย่างกับว่าเป็นวิทยาศาสตร์เถิด
ความรู้เรื่องนี้เป็นความรู้ที่เก่าแก่มาก เก่าแก่จนลืมไปจนไม่ได้ใช้ ขอแทรกนิดหน่อยตรงนี้ว่า นี่คงจะมีหลายๆ ท่านที่เป็น Born Christian เรียน Christianity มาแล้ว ขอให้ท่านสนใจสองสามใบแรกของ Old statement (นาทีที่ 01:13:33) ก่อน Christ ก่อนพระเยซูคริสต์มันมีคำพูดเรื่องนี้พระเจ้าเองโดยตรงสั่งมนุษย์ประโยคเดียวว่า “ อย่ากินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ Good and Evil ” Good and Evil นั่นแหละคือ Positive และ Negative พระเจ้าสั่งว่าอย่ากิน อาดัมกับอีฟไม่ฟังมันก็กิน พระเจ้าสั่งว่าถ้ากินแล้วต้องตาย ก็คือมีความทุกข์ ความรู้นี้เก่าแก่มาก ของพวกฮิบบูสมัยโน้นจะกี่ปี กี่พันปีมาแล้วก็ตามแต่เป็นความรู้ที่เก่าแก่มาก ที่เขารู้เรื่องว่าอย่าไปหลง Good and Evil แต่แล้วคนก็ไม่รับเอามาศึกษา มาถึงยุค Jesus Christ ก็ไม่ได้เน้นถึงเรื่องนี้ไปเน้นในเรื่องดี ดี หรือบวกมากเกินไป นี่ขอให้เข้าใจอย่างนี้ไว้ด้วย
ขอให้มองให้เห็นความสำคัญข้อนี้ว่าพระเจ้าเอง พระเจ้าเองแท้ๆ แล้วก็สั่งโดยเร็วด้วยแล้วก็ประโยคเดียวสั้นๆ ประโยคเดียวเท่านั้นว่า อย่าไปกินผลไม้ที่รู้ดีรู้ชั่ว แต่ว่าอวิชชา อวิชชา Ignorance ของอาดัมกับอีฟหรือของมนุษย์ทั้งหลายของพวกเรานี่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ ไม่เข้าใจเรื่องนี้ แล้วผลไม้นั้นมันน่ากิน Positive ทั้งหลายมันเป็นผลไม้ที่น่ากินมันก็กิน มันก็โง่ด้วยเรื่อง Positive และ Negative มันโง่ด้วยเรื่อง Positive และ Negative มันก็มีความทุกข์ มันก็เป็นบาปดั้งเดิม Original sin ดั้งเดิมมาตั้งแต่ครั้งกระโน้น มนุษย์ตลอดเวลานี้ก็ต้องเป็นทุกข์ ทนทุกข์มีปัญหาเพราะ Positive และ Negative
คำสอนนั้นมีค่ามาก แต่ชาวคริสต์เตียนเขาไม่ได้ถือว่าเป็นคำสอน เขาถือว่าเป็นเพียงบันทึกสั้นๆ ว่ามีคนดื้อต่อพระเจ้าเท่านั้น เขาไม่ถือว่านั้นเป็นคำสอนที่จะออกมาเสียจากอำนาจของ Positive และ Negative จะเป็นเพราะคนสมัยนั้นโง่เกินไปก็สุดแท้ แต่ก็มีคนฉลาดถึงกับรู้เรื่องนี้ถึงได้พูดอย่างนี้ขึ้นมา ขอให้เข้าใจได้เถอะว่าไอ้คำสอนให้ออกมาเสียจาก Positive และ Negative นี้เก่าแก่ที่สุดมาแต่สมัยที่เริ่มเขียนหรือเริ่มรู้ Bible ข้อแรกประโยคแรกตอนต้นๆ
ข้อความใน Bible บางแห่งก็มีอีกว่า ยังมีต้นไม้ต้นที่สองเรียกว่า Tree of life ใครกินผลไม้ของต้นไม้ต้นที่สองนี้แล้วก็เข้าไปอยู่กับพระเจ้าเป็นนิรันดร จะขอระบุว่าต้นไม้ต้นที่สองนี่คือ ต้นไม้อตัมมยตา กินเข้าไปแล้วทำให้ไม่หลง Good and Evil ไม่หลง Positive และNegative ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่เรียกว่าวิทยาศาสตร์สูงสุดทางจิตใจเรื่องอยู่เหนือ Positive และ Negative นี่มนุษย์รู้มาหลายพันปีแล้ว ไม่ควรจะให้เป็นหมันควรจะมาใช้ให้เป็นประโยชน์
เอาหล่ะ เรื่องแทรกพอเท่านี้ก่อน เดี๋ยวมันจะกลายเป็นสอนคัมภีร์ Bible ไปเสีย ทีนี้เราก็มาดูว่าเราได้เริ่มหลงเริ่มโง่จนตกอยู่ใต้อิทธิพลของ Positive และ Negative มาตั้งแต่เมื่อไรอีกต่อไป
ตั้งต้นมาตั้งแต่เมื่อเราอยู่ในท้องมารดา เป็น embryo นี่มันไม่มีความรู้สึกอะไร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของทารกในครรภ์ไม่ทำหน้าที่ นั้นจิตของทารกในครรภ์ว่างจากความเป็น Positive และ Negative ทีนี้ทารกนั้นคลอดออกมาจากท้องมารดาไม่เท่าไร ไม่นานเท่าไร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของเขาก็ทำหน้าที่รู้จักสิ่งต่างๆ ในทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าสิ่งที่มากระทบนั้นสบายแก่ระบบประสาทของทารกนั้นเขาก็มีความรู้สึกแบบ Positive ขึ้นมา ถ้าไม่สบายแก่ระบบประสาทของทารกนั้นเขาก็มีความรู้สึกแบบ Negative ขึ้นมา ความรู้สึกพอใจ Positive นี้เกิดขึ้นแล้ว ความรู้สึกเกิดขึ้นมาติด ติดตามมาว่ากูพอใจนี่ ความรู้สึกว่า self นี่เพิ่งเกิด เพิ่งเกิด เกิดทีหลังความรู้สึก Positive หรือ Negative ก็ตาม นี่ประหลาด มัน illogic คนที่ถือตาม Logic มันเชื่อไม่ได้มันไม่ยอมเชื่อหรอกว่า ความรู้สึกเกิดก่อนผู้รู้สึก Self ผู้รู้สึกมันเป็นมายาไม่ใช่ตัวจริง มันถูกปรุงขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่เป็น Positive หรือ Negative พอได้ความรู้สึก Positive กู กู กูพอใจ พอเป็น Negative กู กู กูไม่พอใจ ไอ้self Self นี่พึ่งเกิดทีหลัง เกิดทีหลังความรู้สึกซึ่งเกิดขึ้นทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
แม้เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ เวลานี้ขอให้คิดดูทุกๆ คนมันต้องมีความเจ็บมาถูกเข้าที่เนื้อที่เรียกว่ามันจึงจะเกิดความรู้สึกว่า กูเจ็บ ตามธรรมดาไม่มีความรู้สึกว่ากู กูอร่อย มีความอร่อยก่อนจึงเกิดความรู้สึกว่ากูอร่อย กู กู นี่มายา delusive มายาที่สุด ถูกปรุงขึ้นมาด้วยความรู้สึกของระบบประสาทที่เป็น Positive หรือ Negative ถ้าเข้าใจเรื่องนี้แล้วจะเข้าใจพระพุทธศาสนาที่ว่าอนัตตา อนัตตา มีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตนหรือไม่ใช่มีตัวตน เพราะว่าตัวตน ตัวตนนี้มันเกิดมาจากความรู้สึก Positive ก็เกิดตัวกู Positive Negative ก็เกิดตัวกู negative ไอ้ self นี่เป็นมายาที่สุด
ดังนั้นขอให้มองเห็นให้ชัดลงไปว่าไอ้ self Self หรืออัตตานี่มันเป็น Product ของความรู้สึกของจิตที่ตกอยู่ภายใต้ความหลอกลวงของ Positive และ Negative แล้วมันเป็น Self แล้วมันเป็น self ที่เป็น Positive หรือ Negative เสร็จมาพร้อมกันแล้วไม่ใช่ self เฉยๆ self กลางๆ self เพรียวๆ มันเป็น self ที่เป็น Positive หรือ negative ความรู้สึกเสร็จมาแล้ว แล้วแต่ว่าอำนาจของ Positive หรือ negative มันได้ปรุงให้มันเกิด self ขึ้นมาในกรณีนี้
ขอให้นับดูว่าวันหนึ่งวันเดียวมันเกิดกี่ร้อย self กี่พัน self ขอให้สนใจข้อนี้ให้ดีดีจะเข้าใจความจริงอันลึกซึ้ง วันหนึ่งเกิดกี่ self กี่สิบกี่ร้อยกี่พัน self ในวันหนึ่งๆ หนึ่งเดือนหนึ่งปีหลายสิบปีมันเกิดเท่าไรไม่มีตัวเลขที่จะนับ นี่เรียกว่าเราไม่มีตัวจริง ไอ้ Self นี่ไม่ใช่ตัวจริงเป็น Product ของความรู้สึกที่เกิดมาจาก Positive หรือ Negative นั่นแหละคือผลของการที่เราไม่มีความรู้เรื่อง อตัมมยตา
นั้นขอให้ดูชีวิตปัจจุบัน ชีวิตปัจจุบันของเรานี้มันถูกจับไว้หรือติดกับหรือว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positive และ Negative เท่าไร เราอยู่ภายใต้อิทธิพลของความเป็น Positive และ Negative จนตลอดเวลา เป็นทาส เป็นทาสรับใช้อิทธิพลของ Positive และ Negative ตลอดเวลา นี่ดูให้ดี นี่ชีวิตปัจจุบัน
เราจึงต้องการชีวิตใหม่โดยไม่รู้สึกตัว ต้องการจะมีชีวิตที่อยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative แต่ว่าโดยไม่รู้สึกตัว เช่นเดียวกับที่ท่านกำลังหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรและโดยไม่รู้สึกตัว เพราะเราไม่มีความรู้เรื่องอตัมมยตา ปัจจัย ปัจจยะ หรือสิ่งแวดล้อมทั้งหลายก็ปรุงแต่งเราให้เป็นบวกหรือเป็นลบอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเราก็หัวเราะ เดี๋ยวเราก็ร้องไห้ ทั้งหัวเราะและร้องไห้มิใช่ความพักผ่อน เดี่ยวเราก็ดีใจ เดี๋ยวเราก็เสียใจ ทั้งดีใจและเสียใจไม่เป็นการพักผ่อนมิใช่การพักผ่อน เราจะต้องอยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ เราจึงจะได้รับชีวิตที่เป็นอิสระและเป็นการพักผ่อน
เราเห็นได้เองโดยไม่ต้องเชื่อใคร เราดูตัวเองเห็นได้เอง ว่าเมื่อชีวิตเป็นอิสระมีความสงบอย่างยิ่งนั้นไม่มีความหมายแห่ง Gladness หรือ Sadness ดีใจก็นอนหลับยาก เสียใจก็นอนหลับยาก ยกตัวอย่างเท่านี้ไปคิดดูเถอะ ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positive และ negative เวลานั้น Peacefulness อย่างยิ่ง เสรีภาพอย่างยิ่ง สะอาดอย่างยิ่งรวมอยู่ในคำว่า สงบอย่างยิ่ง ถ้าว่ามี Positive และ negative มันก็กวนไม่มีความสงบ
แต่ว่าเดี๋ยวนี้พวกเราทุกคนในโลกกำลังบ้า Positiveness ใช่ไหม ท่านต้องการจะดีไปกว่านี้ จะดีไปกว่านี้ ก็เพราะว่ามันหลงในความหมายของ Positive ท่านก็หาความสงบไม่ได้ นั่นแหละคือเรามีอวิชชา ไปหลงเอาสิ่งที่มันจะกัดเรา จะทำให้เราเป็นทุกข์คือ Positive หรือ Negative ว่าเป็นสิ่งที่น่าปรารถนา ภาษาไทยเขาเรียกว่าเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นอาวุธเป็นดอกไม้ เราก็ไปหลง Positive แล้วมันก็กัดเอา กัดเอา กัดเอา เราก็มีชีวิตที่กัดเจ้าของ มีความดีที่กัดเจ้าของเป็นสิ่งหลอกลวง
ถ้าเรามี อตัมมยตา ทั้ง Positive และ Negative หลอกลวงเราไม่ได้ แล้วเราจะไม่ถูกอะไรกัด เดี๋ยวนี้เราก็ได้กินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้จักดีชั่วมาแล้วตั้งแต่ออกมาจากท้องมารดา อตัมมยตามีประโยชน์มีคุณค่าที่ทำให้เราอยู่เหนือ Positive และเหนือ Negative เท่ากับว่าทำให้เราอยู่เหนืออิทธิพลทุกๆ อย่างที่มีอยู่ในโลก จึงเอามาพูดกับท่านทั้งหลาย เรื่อง อตัมมยตาที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนายังไม่จบแต่เวลามันหมดแล้ว และขอยุติการบรรยายเฉพาะวันนี้ ขอบใจที่เป็นผู้ฟังที่มีความอดทน