แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้อาตมาจะได้วิสัชนาพระธรรมเทศนาเป็นเครื่องประดับสติปัญญาส่งเสริมศรัทธาความเชื่อแลวิริยะความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าขึ้นไปในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาอันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลายกว่าจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลา
ธรรมเทศนาในวันนี้ปรารภมาฆบูชาเป็นการสมควรที่จะทำความเข้าใจในเรื่องของมาฆบูชาตามที่จะทำได้เพื่อให้เกิดบุญเกิดกุศลเกิดแสงสว่างเกิดปัญญา บรรเทาซึ่งอาสวะกิเลส มาฆบูชาเป็นการหัดกระทำการบูชาเนื่องในวันอันตรงกับวันประชุมสังฆสันนิบาตทั้งหมดในพระศาสนาในครั้งนั้นเป็นการประดิษฐานคณะสงฆ์เป็นปึกแผ่นในการประกาศว่าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ ถ้าวันวิสาขบูชานั้นเป็นเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาเป็นวันเกี่ยวกับพระธรรม ก็มีการเปิดเผยพระธรรมเป็นครั้งแรกและมีผู้บรรลุธรรมแต่ยังไม่ถึงกับเป็นคณะสงฆ์ พอมาถึงวันมาฆบูชานี้ พระสงฆ์มีตั้ง ๑๐๐๐ กว่ารูป เรียกว่าเป็นปึกแผ่นประดิษฐานลงไปแล้ว พระองค์ประทับเป็นประธานประกาศหลักแห่งพระพุทธศาสนาว่าเป็นอย่างนี้อย่างนี้ จึงได้ชื่อว่าเป็นวันที่ประดิษฐานคณะสงฆ์หรือเป็นวันพระสงฆ์ คนพวกอื่นก็เข้าใจเป็นอย่างอื่นก็ตามใจเขา นี่เรามีเรื่องของเหตุการณ์ที่ตามที่เป็นจริงนั่นแหละ เป็นเครื่องกำหนดว่าวันไหนเป็นวันพระพุทธ วันไหนเป็นวันพระธรรม วันไหนเป็นวันพระสงฆ์ ดังที่กล่าวมานี้ แต่ความสำคัญมันก็อยู่ที่จะต้องประพฤติให้ถูกต้อง สำเร็จประโยชน์ ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนานั้นเอง มีความสมบูรณ์อยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่เป็นพระศาสนา สำหรับการปฏิบัติก็มี ๓ ข้อดังกล่าวแล้ว ก็ถ้าวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งการเคารพบูชาศึกษาถึงเรื่องนี่แล้วนี่แหละมันก็อีกสาม สามคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบจึงจะชื่อว่ามีพระพุทธศาสนา มันก็มีปัญหาอยู่ว่า เดี๋ยวนี้เรามีกันแล้วหรือยัง เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันครบแล้วหรือยัง ถ้ามี มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ชนิดไหน เป็นชนิดที่แท้จริงหรือชนิดที่เป็นเพียงผิวเปลือกไม่ใช่เนื้อใน ไม่ใช่ส่วนที่เป็นหัวใจ นี่แหละเป็นสิ่งที่จะต้องใคร่ครวญ ดังนั้นจึงจะขอวิสัชนาโดยหัวข้อในวันนี้ว่า พระรัตนตรัยที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก ฟังดูแล้วก็คล้ายกับดูหมิ่น พระรัตนตรัยที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก พูดแล้วก็เป็นการดูหมิ่นว่าคนเหล่านี้ไม่รู้จักพระรัตนตรัย แต่คอยฟังดูให้ดีๆ ว่ามันมีอยู่หรือไม่ มันถึงที่สุดแล้วหรือยัง รู้จักครึ่งๆ กลางๆ ก็เรียกว่าไม่รู้จัก น่ะมันต้องรู้จักถึงที่สุด เป็นชาวพุทธกันมากี่ปีกี่สิบปี ยังเหลือพระรัตนตรัยที่ยังไม่รู้จักนี่มันก็ดูกระไรอยู่ รีบมาทำการแก้ไขสิ่งบกพร่องเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปเสียโดยเร็ว พระรัตนตรัยที่ท่านควรจะรู้จักมันยังมีชนิดที่ท่านยังไม่รู้จัก นี่ก็เพราะว่ามองข้ามไปเสียก็ได้ มองข้ามไปก็ไม่รู้จักเหมือนกัน หรือว่าถูกซ่อนไว้เสียโดยไม่เจตนาแต่มันเหมือนเป็นการซ่อนไว้เสียก็ไม่รู้จักเหมือนกัน หรือว่าเกิดมาในหมู่ชนที่ไม่รู้จักพระรัตนตรัยถึงที่สุด อย่างนี้มันดูถูกบรรพบุรุษมากไปหน่อยต้องขออภัย เกิดมาในหมู่ชนที่ยังไม่รู้จักพระรัตนตรัยถึงที่สุดจริงหรือไม่จริง คอยดูกันต่อไป ถ้าจะรู้จักก็แยกกันเป็นอย่างๆ พิจารณากันทีอย่างๆ ทีละอย่างๆ ละอย่าง ละอย่าง มันสะดวกดี พูดกันอย่างลึกซึ้งชนิดที่ท่านทั้งหลายไม่รู้จักก่อน พระพุทธเจ้าไม่ใช่บุคคลคนคนนั้น ฟังดูให้ดี ไม่ใช่บุคคลคนคนนั้นที่เกิดในประเทศอินเดีย ที่เป็นบุตรของพระเจ้าสุทโธทนะ พระนางมายา แต่งงานแล้วออกบวช พระพุทธเจ้าไม่ใช่บุคคลคนคนนั้น บุคคลคนคนนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพาน พระพุทธเจ้าแท้จริงยังไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพานนี่เราก็พูดกันจบไป พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้และนิพพาน แต่ตัวพระพุทธเจ้าจริงๆ องค์จริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นไม่ได้ทำอย่างนั้น ที่มันประสูตินั้นเจ้าชายสิทธัตถะที่มันออกบวชน่ะเจ้าชายสิทธัตถะ ที่ตรัสรู้ก็โพธิสัตย์สิทธัตถะ ที่นิพพานนั้นไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้า มันเรื่องของกิเลส สิ่งที่มันนิพพานน่ะมันคือกิเลส ไม่ใช่พระพุทธเจ้าหรอก และถ้าจะหมายความตายก็ของร่างกายน่ะไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่แท้จริงพระองค์จริงไม่ได้เกิดไม่ได้ตายไม่ได้ประสูติไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพาน มันเป็นคุณธรรมพิเศษอันหนึ่ง คือความที่สามารถรู้ความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์และทางถึงความดับทุกข์ คุณสมบัติอันนั้นน่ะที่ทำให้รู้อย่างนั้นน่ะมันเป็นนามธรรม เป็นธรรมยิ่งกว่านามธรรมเสียอีก เลยไม่ได้มีการประสูติตรัสรู้นิพพานอะไรแค่มีตลอดกาล ตลอดกาลนิรันดร ไอ้คนธรรมที่คุณธรรมที่ทำให้มีการรู้เรื่องอริยสัจก็ดี เรื่องอะไรก็ดีมันมีอยู่ตลอดเวลา ใครปฏิบัติถูกต้องถึงยังต้องมีปรากฏทันที ถ้าไม่ได้ปฏิบัติมันก็ไม่ปรากฏก็เงียบหายไป นี่ขอยืนยันว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ใช่บุคคลคนนั้น ไม่ใช่บุคคลที่รู้จักกันทั่วไปว่าพระสิทธัตถะที่นั่นเป็นบุคคลนั้น อะไรแล้วก็มีการบวชมีการตรัสรู้มีการสอนมีการนิพพานนี่ นี้ยังจะเรียกว่าพระพุทธเจ้าที่คุณรู้จัก พระพุทธเจ้าเท่าที่ท่านทั้งหลายรู้จักน่ะคืออย่างนี้ แต่พระพุทธเจ้าที่ลึกลงไปกว่านี้ยังไม่รู้จัก จริงไม่จริงไปคิดดูเอง และพระธรรมก็ไม่ใช่สิ่งสิ่งนั้น ไม่ใช่คำสอน ไม่ใช่คำสวด ไม่ใช่พระไตรปิฎก ไม่ใช่สิ่งที่เรียกกันว่าพระธรรมที่แบกกันไปแบกกันมา พิมพ์กันแล้วพิมพ์กันอีก พระธรรมไม่ได้เป็นสิ่งของไม่ได้เป็นวัตถุไม่ได้เป็นศีลไม่ได้เป็น แต่ว่ามันเป็นความจริงของธรรมชาติ ความจริงของธรรมชาติน่ะไม่ได้เป็นวัตถุไม่ได้เป็นอะไร คำว่าความจริงความจริงนี่ก็พูดยากว่าหมายถึงอะไร ตัวมันอยู่ที่ไหน ความจริงของธรรมชาติในสี่ความหมายนะ ตัวธรรมชาติ ตัวกฎของธรรมชาติ ส่วนหน้าที่ของกฎของธรรมชาติ ตัวกฎที่เกิดจากหน้าที่ ความจริงทั้งสี่นี้คือตัวพระธรรม ไม่ใช่เอาใส่หีบแบกไปแบกมา มีเวลามีใครตายก็แบกไปบ้านนั้นไปสวด ก็เรียกว่าหีบพระธรรม พระธรรมคือกฎความจริงของธรรมชาติในความหมายสี่อย่าง นี้ในความหมายสามอย่างก็ได้คือ ปริยัติธรรม ปฏิปัตติธรรม ปฏิเวธธรรม เรียนให้รู้ ปฏิบัติให้ได้ ได้รับผลของการปฏิบัติตามจริงสามประการนี้ก็เรียกว่าองค์พระธรรมที่แท้จริงที่ท่านทั้งหลายไม่สนใจไม่รู้จัก รู้จักพระธรรมแต่ที่เอามาสวดได้ เอามาอ่านได้ เอามาทำพิธีต่างๆ ได้ พระธรรมที่ยังไม่รู้จักจึงยังมีอยู่ พระสงฆ์พระสงฆ์ก็ไม่ใช่คนนั้น ไม่ใช่คนนุ่งเหลืองห่มเหลืองคนนั้น บวชกันตามพิธีของการบวช ไม่ใช่คนคนนั้น แต่มันเป็นผู้ที่กำลังดับทุกข์อยู่ จะหมายถึงจิตใจและร่างกายนี้นามรูปก็ได้ทำมาจัดเป็นบุคคล นี้คนที่กำลังปฏิบัติเพื่อดับทุกข์อยู่ เหลืองก็ได้ไม่เหลืองก็ได้ หัวโล้นก็ได้ หัวรกก็ได้ ถ้าว่าเขากำลังปฏิบัติดับทุกข์อยู่และก็มันเป็นพระสงฆ์ นี่พระสงฆ์อย่างนี้ให้รู้จักหรือไม่รู้จัก สุปะฏิปันโนก็แล้วกันน่ะ ถ้าเป็นสุปะฏิปันโนแล้วก็เป็นพระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ไม่รู้จัก ไอ้ความไม่รู้จักน่ะมันมีลักษณะอย่างนี้ ถ้าไม่เคยนึก เคยรู้สึก เคยเข้าใจ ก็เรียกว่ายังไม่รู้จัก รู้จักแต่ผิวๆ แต่เปลือกๆ แต่ที่เอามาทำเป็นพิธีรีตรอง แล้วก็ทำแต่ปากว่าเท่านั้นน่ะใจไม่รู้จักหรอก ปากก็ว่าซะยืดยาว สวดกันได้เป็นยืดเป็นยาวเรื่องพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ นี้มันก็ยังไม่ใช่องค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง
เอ้า, มาดูกันอีกด้านหนึ่ง อีกมุมหนึ่ง พุทธะ พระพุทธนี่คือผู้บอก พระธรรม ธรรมะนี่คือสิ่งที่เอามาบอก พระสงฆ์น่ะคือ การทำตามคำที่บอก ผู้บอกใครก็ได้ถ้าบอกเรื่องดับทุกข์ก็เป็นพระพุทธ สิ่งที่บอกก็เรื่องดับทุกข์น่ะ คือพระธรรม พระธรรมคือเรื่องที่เอามาบอก และถ้ามีการทำตามคำที่บอกนั้นเป็นพระสงฆ์กันหมดเลย แม้ว่าจะอยู่ในระดับเล็กๆ น้อยๆ ต่ำๆ เตี้ยๆ มันก็ยังอยู่ในความหมายนั่นแหละ นั้นพยายามรู้จักไอ้ตัวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์โดยวิญญาณ โดยความหมายที่ลึกซิ้ง ถ้าเป็นผู้บอกหรือสิ่งที่บอกแล้วก็การทำตามคำที่บอก นี้อีกนัยหนึ่งผู้ชี้ทางน่ะคือพระพุทธ ตัวทางที่ชี้นั้นคือพระธรรม ตัวผู้ที่เดินตามทางนั้นคือพระสงฆ์ ทางในที่นี้นะเป็นทางทางจิตใจไม่ใช่ทางเดินตามถนน ทางที่จิตใจจะเดินไปว่าเดินไปอย่างไร ใครเป็นผู้บอกทางอันนี้ก็เป็นพระพุทธ หรืออะไรก็ได้เป็นผู้บอกทางอันนี้ หมายถึงจิตหรือว่าร่างกาย จิตรวมกันเป็น บอกได้แล้วกันไม่ต้องเป็นตัวเป็นตนอะไรหนักหนา ตัวหนทางก็คือแนวพระธรรมปฏิบัติอย่างไรจะนำไปสู่ความดับทุกข์ เดินในที่นี้ก็ปฏิบัติตาม ปฏิบัติตาม คำว่าปฏิบัตินี่ถ้าภาษาวัตถุก็คือการเดิน ภาษานามธรรมคือการปฏิบัติทั้งกาย วาจา ใจคำเดียวกันนั้นน่ะ
มาดูอีกบรรยายหนึ่ง พระพุทธคือผู้จุดแสงสว่าง พระธรรมคือแสงสว่าง พระสงฆ์คือผู้ใช้ประโยชน์ของแสงสว่างนั้น ผู้จุดแสงสว่างในทางนามธรรมหรือทางจิตใจ กิริยาเดียวกับจุดตะเกียง จุดกันแล้วมันก็สว่าง ถ้าจุดธรรมะมันลุกโพลงขึ้นมาก็สว่างในจิตใจ นี่จุดไฟให้เกิดขึ้นในจิตใจ ผู้จุดนี่คือพระพุทธเจ้า พระพุทธ แสงนี่คือพระธรรม ผู้ใช้แสงให้เป็นประโยชน์นั้นน่ะคือพระสงฆ์ นี่ดูมันจะเป็นกันเสียหมดทุกคนน่ะคิดดูให้ดี การปฏิบัติธรรมก็ดี การเดินตามทางธรรมก็ดี การใช้แสงสว่างก็ดี เป็นกันหมด ทั้งพระทั้งฆราวาสน่ะ เป็นผู้ทำอย่างนี้ละก็เรียกว่าพระสงฆ์ แล้วก็มีมีมีสิ่งที่บอก มีสิ่งที่ชี้ให้ มีแสงสว่างที่จุดขึ้นแล้วรักษาไว้ได้ นี่คือมีพระธรรม ต้องมีอย่างนี้ต้องมีอย่างนี้ นี่ถ้าว่าสามารถกระทำตนเป็นผู้บอกก็ได้ ทำตนเป็นผู้ชี้ทางก็ได้ ทำตนเป็นผู้จุดแสงสว่างก็ได้ ทำไปตามกำลัง ทำไปตามสติปัญญาไม่ต้องถึงที่สุด รู้เท่าไรก็บอกเท่านั้นแหละ ถ้าอยากบอกให้คนที่รู้มันจะเป็นโกหก มันจะเป็นการหลอกไปเสีย รู้ด้วยการปฏิบัติมาแล้ว ดับทุกข์ได้จริง นี้อย่างนี้บอกได้ทันทีเลยว่าทำอย่างนี้สิแล้วมันจะดับทุกข์ได้อย่างนี้ นี้ก็อยู่ในพระรัตนตรัยชนิดที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักหรือยังไม่สนใจ เอาแต่เรื่องเสียงเสียง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นี่มันพระรัตนตรัยของนกแก้ว นกขุนทอง ของจานเสียง ของอะไรก็แล้วแต่ทีมันทำเสียงได้ก็แล้วกัน ไม่ใช่ตัวจริง
เอ้า, ทีนี้จะดูให้ลึกไปอีก ที่ว่าพระพุทธเป็นเพียงเป็นผู้บอกนั้นน่ะ ท่านไม่ใช่เพียงแต่ผู้บอก ผู้ชี้ ผู้จุด แต่ท่านได้บรรลุสิ่งนั้นแล้วมีความสะอาด สว่าง สงบแล้ว ท่านปฏิบัติแล้ว บรรทุ บรรลุธรรมธรรมะแล้ว มีสิ่งนั้นๆ แล้ว จึงทำหน้าที่ของท่านคือช่วยผู้อื่น ธรรมะก็ไม่ใช่แต่ว่าเป็นสิ่งที่บอกหรือถูกบอกถูกชี้ ถ้านั้นน่ะไม่ไม่ใช่เพียงเท่านั้นมันเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ได้จริง ดับทุกข์ได้จริง ดับทุกข์ได้จริง มันอยู่ที่ตรงนี้ ธรรมะน่ะคือสิ่งที่มันดับทุกข์ได้จริง บอกบอกได้ถ้าดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่ธรรมะ มันไม่ใช่เพียงแต่บอก แต่ว่ามันเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ได้จริง ที่พระสงฆ์พระสงฆ์ก็ไม่ใช่เพียงแต่ว่าอยู่กันเป็นหมู่ภิกขุสังโฆ หมู่แห่งสงฆ์ไม่ใช่อยู่กันเป็นหมู่จึงเรียกว่าสงฆ์ ถ้าอยู่กันเป็นหมู่เรียกว่าสงฆ์น่ะหมู่อะไรมันเป็นสงฆ์ไปหมด แต่พระสงฆ์ในภาษาคำพูดไม่ใช่ภาษาในทางศาสนา แต่พระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดับทุกข์แล้ว หรือกำลังปฏิบัติดับทุกข์เข้าไปเข้าไป ปฏิบัติดับทุกข์เข้าไปนั้นน่ะเรียกพระสงฆ์พระสงฆ์อยู่ที่นั่น ที่ดูให้ละเอียดเฉพาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในลักษณะอย่างนี้ที่ไม่เคยสนใจ ทีนี้ไม่เคยรู้จักมาถึงขนาดนี้ ทีนี้มาพูดถึงการมาถึงพระรัตนตรัย ถึงพระรัตนตรัย ฟังกันดูให้ดีมีคำว่าถึง มันไม่ใช่เพียงแต่บอกให้ว่า นั้นมันเป็นเพียงพิธีพิธีสำหรับจะถึงพระรัตนตรัยยังไม่ใช่การถึงอย่างมันเป็นพิธีเหมือนพิธีรับน้องใหม่ ยังไม่ได้เป็นอะไร ไม่ใช่เพียงแต่ให้กล่าวบทสรณคมณ์ สวดดูแล้วในพระบาลีทั้งหลายพระพุทธเจ้าไม่เคยบอกอย่างที่เรากำลังบอกอย่างที่พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสคำเหล่านี้ ไม่เคยตรัสคำเหล่านี้แปลกมั้ย ท่านก็ไม่มีเรื่องที่ต้องตรัสเหล่านี้ซึ่งเป็นเพียงทำพิธีทำพิธี ท่านไม่ทำพิธีแต่ท่านสอนสอนสอนสอนทุกอย่างที่ให้รู้จักดับทุกข์ พอผู้นั้นฟังเข้าใจเห็นจริงทุกอย่างว่าดับทุกข์ได้จริงอย่างนี้ ผู้นั้นจึงว่าออกมาเองโดยที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ชักสวดหรือนำให้ว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้นำให้ว่า ไม่ได้ชักสวดให้ว่าผู้นั้นน่ะประกาศตัวออกมาเองว่าเข้าถึงพระพุทธ เข้าทั้งพระธรรม เข้าทั้งพระสงฆ์เป็นที่พึ่งเป็นตลอดชีวิต คนถึงว่าเอาเองพระพุทธเจ้าไม่ได้ว่า ไม่ได้ชักสวด นี่บทพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ สังฆัง พระพุทธเจ้าไม่เคยว่า เดี๋ยวนี้เราว่ากันร้อยหนพันหนหมื่นหนก็ไม่เห็นอะไรผิด เพราะมันดีแต่ว่า เป็นเรื่องของผู้ที่เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว พอใจแล้ว ยินดีรับเอาเป็นสรณะแล้วจึงว่าออกมาเอง บทสรณคมณ์นี่เป็นบทที่ผู้เห็นธรรมะแล้วว่าออกมา เดี๋ยวนี้เขายังไม่รู้เรื่องอะไรเลย จับตัวมาแล้วมาทำพิธีบวชเป็นเณร เป็นคริสต์ หรือพุทธก็ให้ว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ อย่างไปจับฝรั่งมาเป็นชาวพุทธก็ให้มันว่าพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ สองสามคำก็เสร็จแล้วเป็นแล้วนี่ มันเป็นเสียอย่างนี้ มันจึงไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง
มีพระรัตนตรัย ถึงพระรัตนตรัย มันคนละความหมาย ถึงแต่ปากก็ได้ ถึงแต่จิตใจก็ได้ คำว่าถึงนี่ต้องถึงด้วยจิตใจ ถึงแต่ปากมันไม่มี ต้องมีมีมีพระรัตนตรัยต้องมีคุณธรรมจริง ไม่ใช่มีเสียงที่ท่องไว้ได้ จำไว้ได้ในใจไม่ใช่ว่ามีพระรัตนตรัย การอาศัยพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งนั้นน่ะต้องปฏิบัติแล้ว ได้รับผลเป็นการดับทุกข์แล้ว ไม่ใช่อาศัยแต่การว่าว่าบทเหล่านี้ว่าบทเหล่านี้นั้นแหละคืออาศัยและก็ดับทุกข์ คำว่าอาศัยอย่างนั้นน่ะเป็นอาศัยเป็นพิธี ให้รวมความว่าที่เป็นเพียงพิธีนั้นยังไม่ใช่ตัวจริง ยังเป็นเพียงพิธี ยังเป็นเพียงเปลือก นั้นขอให้ถึงตัวจริง ถึงตัวจริงแล้วจะไปรวมที่จุดเดียวกันหมดคือความดับทุกข์น่ะ เดี๋ยวจะพิจารณาให้ดูว่ามันไปรวมอยู่ที่ความดับทุกข์อย่างไร ดูกันที่ผิวนอกนี้ก่อน พระรัตนตรัยของคนหลายหลายระดับ พระรัตนตรัยของคนหลายระดับ ดังนั้นพระรัตนตรัยก็พลอยมีหลายระดับไปด้วยตามที่คนมันมีหลายระดับ แล้วถือแล้วถึงจึงมีกันหลายระดับ ตัวอย่างเช่น พระรัตนตรัยของเด็กๆ เด็กลูกเล็กๆ มีพระรัตนตรัยได้เท่าไหร่ ได้ที่ได้เท่าที่คุณพ่อคุณตาสอนให้ว่าเท่านั้นแหละ ถ้าว่ามันจะได้รับการสอนมากกว่านั้น มันก็มีพระพุทธพระพุทธรูปในโบสถ์ พระธรรมที่เขาแบกไปแบกมา พระสงฆ์ที่ตัวเหลืองๆ มาบิณฑบาตตอนเช้าๆ นี่ พระรัตนตรัยของเด็กมันมีเพียงเท่านี้ ทีนี้ของผู้ใหญ่บางคนก็มีเพียงเท่านี้ไม่ดีกว่าเด็ก พระรัตนตรัยของปุถุชนไม่รู้ธรรมะมันก็อยู่ที่ตรงนี้แหละ อยู่ที่ทำพิธีรีตรองนี่ พระรัตนตรัยของเจ้านาคก็เหมือนเหมือนกันแหละ พระรัตนตรัยของเจ้านาคผู้จะบวชเดี๋ยวนี้ก็เหมือนพระรัตนตรัยของเด็กๆ ไม่เคยสนใจมาแต่ก่อน บางทีมาเรียนวันนี้บวชวันนี้ก็มี มันเรียนเรียนเรียนคำบวชวันนี้บวชวันนี้ พระรัตนตรัยอย่างนี้จะมีได้ยังไง พระรัตนตรัยของเจ้านาค พระรัตนตรัยของเด็กๆ ก็มีเพียงเท่านี้ พระรัตนตรัยของผู้แก้บนยิ่งแล้วใหญ่ มันพูดแต่เพียงแก้บนให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ช่วยนี่ มันจะลมๆ แล้งๆ พระรัตนตรัยอย่างนี้นี่ ถ้ามันสูงขึ้นมาสิ สูงขึ้นมาของอุบาสก อุบาสิกาที่ได้ศึกษาเล่าเรียน รู้ความหมายมากกว่านี้ก็ก็มีอยู่มีอยู่อีกระดับไม่เหมือนของเด็กๆ ไม่เหมือนไม่เหมือนของเจ้านาค เพราะเคยเบื่อหน่ายต่อความทุกข์ หวังจะดับทุกข์ หวังว่าพระพุทธเจ้าในรูปของพระพระธรรมพระคุณจะช่วยดับทุกข์ได้ มีจิตใจเข้าถึงอย่างนี้เรียกว่านั่งใกล้อุบาสก นั่งใกล้พระรัตนตรัย อุบาสิกานั่งใกล้พระรัตนตรัย เพราะว่าเดี๋ยวนี้หัวใจรู้เรื่องพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พอสมควรแล้ว ถ้ายังเป็นเพียงนกแก้วนกขุนทองก็เป็นอุบาสกอุบาสิกาชนิดนกแก้วนกขุนทองหรือไม่มีน่ะ ไม่มีนั่งใกล้ด้วยจิตใจ นั่งใกล้พระพุทธรูปได้ นั่งใกล้ตู้พระไตรปิฎกก็ได้ นั่งใกล้พระลูกหลานก็ได้ มันไม่นั่งใกล้โดยความหมายที่ต้องการน่ะ คือไอ้จิตใจมันมีสิ่งนั้น จิตใจคลุกเคล้าระคนทำด้วยกันกับสิ่งนั้นก็เรียกว่านั่งใกล้ เป็นอุบาสกบ้างเป็นอุบาสิกาบ้างอย่างนี้มันก็ค่อยยังชั่ว เป็นพระรัตนตรัยที่สูงขึ้นไป นี่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามีและยิ่งยิ่งยิ่งถึงมากขึ้นไป ถึงมากขึ้นไป พอเป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระรัตนตรัยที่เต็มตัวเต็มตัวจนต้องไม่ไม่ไม่ไม่ไม่ถึงไม่ถือไม่ต้องมีกันอีกต่อไป มันหมดความจำเป็นที่จะถึงจะถือแล้ว ถ้าเป็นพระอรหันต์เป็นเสียเอง นี่พระรัตนตรัยจึงมีหลายแบบหลายชั้นค่อยศึกษากันดูให้ดีๆ อย่าทำเล่นกับสิ่งเหล่านี้ เดี๋ยวจะมีพระรัตนตรัยที่มิใช่พระรัตนตรัยนั้น พระรัตนตรัยที่ไม่ใช่พระรัตนตรัยนี่มันเสียหายมากทีเดียว มันคล้ายๆ กับมีของปลอมหรือมีอะไรที่ใช้ไม่ได้ ศึกษาให้รู้ ปฏิบัติให้รู้ ได้รับผลของการปฏิบัติแล้วก็รู้รู้รู้ ที่จะมีพระรัตนตรัยที่แท้จริง ทีนี้ทิดสึกใหม่มีพระรัตนตรัยบ้าบ้าบอบออะไรของแกก็ไม่รู้ ทิดสึกใหม่ บวชตั้งพรรษาหลายพรรษาทิดสึกใหม่ มีพระรัตนตรัยอีกแบบหนึ่งที่ตอนเช้าวันนี้ค่ำไปดูหนังถูกตีหัวกลับมา นี่ทิดสึกใหม่จะเป็นอย่างนี้ พระรัตนตรัยของทิดสึกใหม่นั้นดูมันประหลาดที่สุดมันอีกแบบหนึ่งต่างหาก โดยมากนะนี่พูดถึงโดยมากนะ ทิดสึกใหม่ที่ถูกต้องเป็นบัณฑิตที่แท้จริงก็มีเหมือนกันนะ ไปดูเอาเองไปพิจารณาเอาเอง พระรัตนตรัยของเด็ก ของเด็กทารก ของเด็กวัยรุ่น ของผู้ใหญ่ ของปุถุชน ของอุบาสกอุบาสิกา ของเจ้านาค ของคนแก้บน ของคนสึกใหม่ประหลาดๆ ทั้งนั้นแหละ ไม่รู้เอามาแต่ไหน ถ้าเป็นพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนามันต้องเกี่ยวกับธรรมะ เกี่ยวข้องกับธรรมะ คือบอกธรรมะ บอกให้รู้ บอกให้ปฏิบัติแล้วก็มีการปฏิบัติมันอยู่แต่กับธรรมะทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับเสียง
อ้าว, ทีนี้ดูกันต่อไปเรื่องการอ้างคุณพระรัตนตรัยนี่ได้ยินอ้างกันอยู่เสมอ อ้างคุณพระรัตนตรัย ไม่รู้จักพระรัตนตรัยก็อ้างได้ เพราะเขาสอนให้อ้างนี่ บนนี่ อ้างนี่ ที่เขาสอนเด็กๆ ให้มันอ้างให้มันบนนี่เด็กๆเขาก็อ้างคุณพระรัตนตรัยโดยที่ไม่รู้จักพระรัตนตรัยไม่มีพระรัตนตรัย บางทีก็ถือไสยศาสตร์ด้วยซ้ำไป ปากก็อ้างคุณพระรัตนตรัยแต่ว่าใจมันถือไสยศาสตร์เชื่อผีสางเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชนิดไหนก็ไม่รู้ อย่างนี้น่ะอ้างคุณพระรัตนตรัย อ้างละเมอละเมอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก แล้วก็ยังอ้างคุณพระรัตนตรัย นี่มันคนไม่รู้คนหลับตาพูด มันจะอ้างโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก มันมีอะไรศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกล่ะที่ยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย อะไรมันยิ่งไปกว่าพระรัตนตรัย ถ้าพูดว่าพระรัตนตรัยมันหมดแล้ว เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกซะแล้วไม่ต้องอ้างซ้ำอีก นี่ระวังให้ดีเถอะอย่าทำกันแต่ปากละเมอละเมอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในสากลโลกก็คือพระรัตนตรัยนั่นแหละ แต่ถ้ามันอ้างเอาเฉยๆไม่มีหรอก มันมีแต่ลมที่อ้างเสียงที่อ้าง ถ้ามันไม่ปฏิบัติแล้วมันไม่มีพระรัตนตรัยมาอ้างหรือมาช่วย คุณพระรัตนตรัยจะมีเฉพาะแต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระรัตนตรัย คนเอาเปรียบมันไหว้เฉยๆ ไม่ได้ปฏิบัติอะไรก็อ้างเอา อ้างเอาอ้างเอาอย่างนี้มันไม่มี มันก็ลมๆแล้งๆ ไม่มีพระรัตนตรัยที่มานั่งคอยให้คนเหล่านี้อ้างไม่มีไม่มีเชื่อฉันเถอะว่ามันไม่มี พระรัตนตรัยมีต่อเมื่อมีการปฏิบัติถูกต้องตามทางธรรมะนั่นน่ะแหละ พระรัตนตรัยจะมีที่นั่นแหละไม่ต้องอ้างท่านช่วยเอง พระรัตนตรัยไม่ต้องอ้างให้ช่วยท่านช่วยเอง ขอให้มีพระรัตนตรัยเถอะมันช่วยเองทันทีน่ะ อย่างมีแสงสว่างนี่ไม่ต้องขอร้องให้มันทำให้สว่างให้เห็น มันเห็นทันทีถ้ามันมีแสงสว่าง ไม่ต้องขอร้องให้แสงสว่างช่วยอะไรอีกมันก็เห็น นี่ถ้ามีพระรัตนตรัยจริงๆ มันช่วยเสร็จในตัว ไม่ต้องมาอ้างให้ช่วยกันอีกป่วยการ ที่อ้างพระรัตนตรัยให้ช่วยอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมันเป็นไสยศาสตร์ ไม่ใช่พุทธศาสตร์ พระพุทธเจ้าให้พึ่งตัวเอง ให้ทำด้วยตนเอง เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง พึ่งตนเองพึ่งธรรมะนั้นน่ะคือพุทธะ แต่นี้มันอ้างในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตัวก็ไม่รู้จักได้แต่ว่าตามธรรมเนียม หลับตาว่าตามธรรมเนียมอย่างนี้ยังเป็นไสยศาสตร์อยู่ และจะอ้างพระรัตนตรัยก็ยังเป็นไสยศาสตร์อยู่เพราะไม่รู้ว่าอ้างอะไร อ้างอย่างลมๆ แล้งๆ อ้างอย่างละเมอเพ้อฝันเป็นยังเป็นไสยศาสตร์อยู่ ไม่เป็นพุทธ ถ้ารู้จักปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วมันก็เกิดผลเป็นปฏิกิริยาขึ้นมาช่วยดับทุกข์ได้จริงนี่เป็นพุทธศาสตร์ ในการอ้างคุณพระรัตนตรัย นั้นช่วยกันระวังให้ดีๆ ฟังธรรมะให้มีฟังธรรมะให้มีอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วก็ไม่ต้องอ้างไม่ต้องอ้อนวอนอะไรหรอก ไม่มีเรื่องต้องอ้อนวอนหรอกช่วยทันที คุ้มครองทันที ให้ความสุขสงบเย็นถึงที่สุดทันที แล้วแต่ว่าจะมีกันในระดับไหนในระดับไหน นี่เข้าใจว่าพระรัตนตรัยหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานั่งคอยอยู่หรอกอ้างอะไรได้เมื่อนั้น บางคนเอาเปรียบอ้างฟรีมันไม่ทำอะไรมันอ้างฟรีฟรีมาช่วยนี่ อย่างนี้มันมีไม่ได้ โดยมากมันเป็นเสียอย่างนี้ อ้างฟรียังไม่ได้ทำอะไร อ้างอย่างนั้นแหละก็เชื่อว่าช่วย อย่างนี้ไม่ใช่พระรัตนตรัยไม่ ไม่มานั่งคอยท่าให้เราอ้างฟรีอยู่อย่างนี้ มีแต่ต้องปฏิบัติต้องปฏิบัติให้ถูกต้องให้ถูกต้องอันนั้นมันก็จะช่วย พระรัตนตรัยแท้จริงช่วยทันทีเมื่อมีผู้ปฏิบัติถูกต้อง พุทธบริษัทแท้จริงไม่ต้องอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย ถ้ายังต้องอ้างคุณพระศรีรัตนตรัยก็ยังเป็นพุทธบริษัทไม่ถึงขนาด ยังขี้ขลาดยังขี้กลัวยังไม่มีธรรมะที่เป็นที่พึ่งที่แน่ใจแก่ตัวเอง ขอให้เราปรับปรุง การรู้จักพระรัตนตรัยยิ่งขึ้นไป การถึงพระรัตนตรัยยิ่งขึ้นไป การมีพระรัตนตรัยหรือการถึงพระรัตนตรัยยิ่งขึ้นไปกว่าที่แล้วมา เหลือแต่อาศัยได้คุ้มครองแท้จริงโดยไม่ต้องอ้างไม่ต้องอ้าง ถ้ายังต้องอ้างมันก็ยังไม่มี ถ้ามันมีแล้วมันไม่ต้องอ้างมันช่วยเลยพระรัตนตรัยเป็นอย่างนั้น
ทีนี้ก็จะมาถึงคำว่าที่ไหนและเมื่อไหร่ ขอตอบสั้นๆ ชัดๆ ช่วยฟังให้ดีๆ จดจำให้ได้ดิบให้ดี มีการดับทุกข์ที่ไหนมีพระรัตนตรัยที่นั้น มีการดับทุกข์เมื่อไหร่มีพระรัตนตรัยเมื่อนั้น ลองทำให้มีการดับทุกข์สิ มันมีพระพุทธพระพุทธนี่ที่เป็นความรู้เรื่องดับทุกข์ มันก็มีพระธรรมที่เป็นธรรมตัวการดับทุกข์ และก็มีตัวผู้ได้รับประโยชน์จากการดับทุกข์ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบในเมื่อมีการดับทุกข์ ดับทุกข์ถูกต้องตามหลักแห่งพระพุทธศาสนาที่ไหนเมื่อไร ก็มีพระรัตนตรัยที่นั่นและเมื่อนั้น ไม่ต้องเลือกที่ไม่จำกัดที่ อกาลิโกก็คือไม่จำกัดเวลาและไม่จำกัดที่ และยังไม่มีคำเรียกในในในภาษาบาลี เอาว่าเองละกันนะ มีการดับทุกข์ที่ไหนมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ครบถ้วนอยู่ในนั้น จริงไม่จริงไปดูเอาเอง ถ้ายังไม่มีการดับทุกข์ก็ยังมีพระรัตนตรัยที่ยังไม่ถึงขนาด บางทีก็ยังมีแต่พิธีรีตองเป็นเปลือกพระรัตนตรัย เป็นสัญลักษณ์ พระรัตนตรัยเป็นเครื่องพิธีรีตรองเป็นของเด็กเล่นมากกว่า เพราะเด็กๆ มันบนบานสานกล่าวไว้ อย่างนั้นไม่ใช่พระรัตนตรัยที่แท้จริง เอาเถอะถ้าว่ามันยังทำอะไรไม่ได้ให้มันพยายามทำอย่างนั้น ไปพลางก่อนก็ได้เหมือนกัน แต่อย่าให้มันหยุดอยู่เพียงเท่านั้น ให้มันเลื่อนขึ้นไปเลื่อนขึ้นไปจนถึงว่าดับทุกข์ได้ก็มีการดับทุกข์ได้จนมีครบพร้อมขึ้นมาทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ปัญญารู้เรื่องดับทุกข์เป็นพระพุทธ การดับทุกข์เป็นพระธรรม จิตใจที่ได้รับประโยชน์จากการดับทุกข์น่ะเป็นพระสงฆ์ จึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์พร้อมครบถ้วนอยู่ในขณะหรือในสถานที่ที่มีการดับทุกข์ จึงขอพูดว่ามีการดับทุกข์ที่ไหนเมื่อไหร่ก็มีพระรัตนตรัยอย่างแท้จริงที่นั่นและเมื่อนั้น ทีนี้ควรจะถามว่าไอ้เด็กๆ มันอ้างพระคุณพระรัตนตรัยมันก็มีการดับทุกข์นะคือมันความสบายใจ ถ้ามันได้บนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันก็สบายใจกันบ้างเล็กน้อย นี่ก็เป็นการดับทุกข์เหมือนกันนะเอาก็ได้ ก็เป็นพระรัตนตรัยขนาดเด็ก สำหรับเด็กๆ ด้วยกันขนาดนั้นยังไม่ถึงขนาด ดับทุกข์ได้จริงดับทุกข์ได้จริงเต็มขนาดเมื่อไร ก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เต็มขนาดเมื่อนั้น มีพระรัตนตรัยพอเป็นพิธีรีตรองก็พอเป็นพิธีรีตรอง หรือเป็นของบนบานสานกล่าวมันก็เป็นเครื่องทำให้สบายใจได้บ้างแต่ไม่ถึงไม่ถึงที่สุดไม่สิ้นเชิง ทีนี้ก็ดูความเป็นรัตนะรัตนะที่เรียกว่า รัตนะ รัตนตรัย อะไรเป็นรัตนะรัตนะ รัตนะคำนี้แปลว่าเครื่องให้เกิดความยินดี เครื่องให้เกิดความยินดีพอใจ ตัวหนังสือแปลว่าอย่างนั้น สิ่งไรช่วยให้เราหมดทุกข์ ดับทุกข์ชนิดไหนก็ตาม เราจะพอใจเราจะยินดี เช่นทรัพย์สมบัติเงินทองนี่มันช่วยแก้ปัญหาในระดับโลก ระดับรูปร่างกายได้ เราก็ยินดีพอใจ เงินทองข้าวของมันก็เป็นรัตนะได้ในชั้นนี้แต่ในชั้นลึกมันช่วยไม่ได้ มันช่วยดับทุกข์ในชั้นที่เป็นกิเลสตัณหาไม่ได้ พระรัตนตรัยช่วยได้ นั่นก็เป็นรัตนะยิ่งกว่า รัตนะยิ่งกว่า เป็นไปในทางจิตใจ ช่วยได้ช่วยให้ชื่นใจช่วยให้อิ่มใจ ในความหมายของคำว่ารัตนะมันอยู่ที่ดับทุกข์ได้ เป็นแก้วแหวนเงินทองรัตนะ โลกๆก็ดับทุกข์โลกๆ เป็นธรรมะชั้นจิตใจก็ดับทุกข์ชั้นจิตใจก็เรียกว่าเป็นรัตนะได้ด้วยกันแต่มันก็มีอยู่เป็น ๒ ชั้น เรื่องเงินทองข้าวของไม่ต้องพูด ใครๆ ก็ทำได้มีได้แต่ว่าทางจิตใจนี่ไม่ค่อยจะมีใครรู้ ต้องช่วยกันมากในเรื่องนี่ ชั้นที่เป็นจิตใจทำให้ดับทุกข์ได้พอใจเป็นสุข ทีนี้ก็ดูที่คำว่า ตรัย ตรัยแปลว่า สาม สาม และทำไมต้องมีสามเพราะมันมันเกี่ยวพันกันจนแยกกันไม่ได้ สำคัญกันจนแยกกันไม่ได้ เช่นผู้จุดไฟกับแสงสว่างกับผู้ได้รับแสงสว่างนี่มันแยกกันไม่ได้ ถ้าไม่มีผู้จุดไฟแสงสว่างก็ไม่มี จุดไฟแล้วไม่มีแสงสว่างก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีผู้ได้รับประโยชน์จากแสงสว่างก็เท่ากับไม่ได้จุด ถ้ามันสมบูรณ์มันก็ต้องมีครบทั้งสาม ครบทั้งสาม ผู้บอกทาง ตัวทาง ผู้เดินทาง ผู้จุดไฟ ผู้อะไรนะแสงสว่างและผู้ได้รับแสงสว่าง ให้มันครบเพราะถ้าขาดไปเสียอันหนึ่งมันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ มันค้างเติ่งเป็นหมันอยู่ นั้นจึงอุปมาเปรียบพระรัตนตรัยว่าอย่างน้อยต้องสามขาจึงจะพิงอาศัยกันอยู่ได้ สองขาอยู่ไม่ได้ ขาเดียวอยู่ไม่ได้ พอได้สามขาอิงอาศัยกันอยู่กับกันได้พระรัตนตรัยจึงถูกอุปมาว่าต้องอิงอาศัยกันเช่นเดียวกับไม้สามขา จะมีแต่พระพุทธก็ไม่สำเร็จ จะมีแต่พระธรรมก็ไม่สำเร็จ แต่ถ้าความหมายอันแท้จริงน่ะมันลึกนะ ในพระธรรมจะมีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระสงฆ์ที่แท้จริงก็มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในพระพุทธที่แท้จริงก็มีทั้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ถ้าแยกกันเป็นอย่างๆ แล้วความหมายคุณค่ามันก็ต่างต่างกันออกไป ต้องมีครบเอามารวมกันเป็นสิ่งเดียว เพราะฉะนั้นพระรัตนตรัยมีหนึ่งเท่านั้นนะ มีหนึ่งเท่านั้น มันหนึ่งในสาม สามรวมกันเป็นหนึ่ง หนึ่งในสาม เช่นเดียวกับมรรคมีองค์แปดน่ะ มีหนึ่งเท่านั้นน่ะแต่มีแปดแปดองค์ประกอบ พระรัตนตรัยนี้ก็ต้องเรียกว่ามีหนึ่งเท่านั้นแหละ รวมกันอยู่เป็นสาม สามรวมกันอยู่เป็นหนึ่ง นี่คำว่าตรัย ตรัย รัตนตรัย สามรัตนะ สามที่รวมกันเป็นหนึ่งน่ะถ้าไม่รวมกันเป็นหนึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ ไม่สำเร็จประโยชน์ถ้าแยกกันอยู่ นี่คำว่าตรัย ตรัย ทีนี้ก็มาพิจารณาว่าตรัย รัตนะ และไตรสรณะ ไตรสรณ์ ไตรสรณะ ไตรสรณาคมน์ ไตรสรณะที่ระลึกถึงสามประการน่ะสามประการ เมื่อเกิดอันตรายความทุกข์อะไรคุกคามนี่ก็ต้องมีสิ่งที่ระลึกถึงเป็นที่อุ่นใจ พระรัตนตรัยก็เป็นอย่างนั้นนะ พระธรรมพระสงฆ์ก็เป็นอย่างนั้น ระลึกถึงแล้วอุ่นใจ เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เป็นการระลึกก็เรียกว่า สรณะเป็นการพึ่งอาศัย ก็เรียกว่า สรณะ คำคำนี้มีความหมายสองอย่างช่วยจำไว้ให้ดี สรณะแปลว่าที่ระลึกก็ได้ แปลว่าที่พึ่งพาก็ได้ มันก็ความหมายเดียวเดียวกันแหละ ถ้ามันระลึกถึงแล้วอุ่นใจหายกลัวมันก็เป็นที่พึ่งอยู่ในตัว ต้องการที่พึ่งเพียงระลึกพอระลึกแล้วมันก็เป็นที่พึ่งขึ้นมา คำคำนี้จึงมีความหมายได้สองอย่าง ระลึกถึงก็ได้ ที่พึ่งก็ได้ ทีนี้ก็พึ่งอะไร พึ่งอะไรโดยแท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นหลักว่าต้องพึ่งตนนะไม่ใช่พึ่งสิ่งอื่นนะธรรมะ อตฺตทีปา อตฺตสรณา ธมฺมทีปา ธมฺมสรณา นั้นน่ะมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นที่ระลึก มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีธรรมะเป็นที่ระลึก มันเป็นเรื่องเดียวกันน่ะ ถ้าจะมีตนเป็นที่พึ่งก็ให้ทำตนให้มีธรรมะก็มีพระรัตนตรัยอีกเหมือนกัน การพึ่งตนก็คือพึ่งธรรม การพึ่งธรรมก็คือพึ่งตน มันประหลาดที่ว่าพระพุทธเจ้าย้ำแต่เรื่องพึ่งตนพึ่งธรรมะไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง แต่แล้วมันมีคำสอนเบื้องต้นซึ่งคนคนทีหลังเขาประดิษฐ์ขึ้นมาประดิษฐ์ขึ้นมา ว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ นี่คำพูดชั้นหลังทั้งนั้น แม้พระพุทธเจ้าจะตรัสอย่างนี้บ้างว่าพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์แต่ท่านก็ประกบท้ายด้วยคำว่าเป็นอริยสัจ ๔ ตามที่เป็นจริงโน่น ถ้าไม่เห็นอริยสัจ ๔ ตามที่เป็นจริงไม่มีความหมายแห่งการพึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ พึ่งพระพุทธ พึ่งพระธรรม พึ่งพระสงฆ์ก็ต้องมีธรรมะ ยังไม่ เขมาเขมสรณทีปิกคาถา เขมาเขมสรณทีปิกคาถา คาถาที่สวดกันทุกวันทุกวันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เห็นอริยสัจ ๔ ตามที่เป็นจริง ทีนี้มันต่อเนื่องกันแหละพึ่งตัวเองกับพึ่งธรรมะ พึ่งตัวเองกับพึ่งธรรมะเป็นสิ่งเดียวกันอย่างนี้
ข้อต่อไปก็อยากจะให้สังเกตว่าการเห็นธรรมะ การเห็นธรรมะ ธรรมจักษุเห็นธรรมะ นั่นล่ะเป็นที่ตั้งของพระรัตนตรัยมีการเห็นธรรมะธรรมจักษุเกิดที่ไหน เมื่อนั้นจะมีพระรัตนตรัยครบถ้วน มีธรรมจักษุที่ไหนก็มีพระรัตนตรัยที่นั่นเมื่อนั้นเหมือนกับว่าดับทุกข์ที่ไหนก็มีพระรัตนตรัยที่นั่น เดี๋ยวนี้เอาเพียงว่ามีการเห็นธรรมะ เกิดธรรมจักษุขึ้นมา ในสิ่งที่เรียกว่าธรรมจักษุเห็นธรรมะนั้นน่ะมันมีตัวผู้เห็น มีสิ่งที่ถูกเห็น ได้รับประโยชน์ของการเห็น ธรรมจักษุนั้นต้องมีผู้เห็น มีผู้รู้ก็มีตัวสิ่งที่เห็นคือตัวธรรมะกับความรู้ และผู้เห็นก็ได้รับประโยชน์ นี่จึงว่ามีธรรมจักษุที่ไหนมีพระรัตนตรัยที่นั่น ถือเป็นหลักอย่างนี้ก็ได้ ขอให้ทุกคนพยายามอย่างยิ่งให้มีธรรมจักษุ ไม่ใช่เพียงแต่อ่านหนังสือจำไว้ได้ จะมีดวงตาเห็นธรรมชักจะอู้ ทีได้เห็นอย่างนี้เข้ามาถึงและเกิดความทุกข์อย่างนี้เอากิเลสออกไปเสียเห็นชัดว่าความทุกข์นี่ต้องดับไป มันพยายามทำให้กิเลสดับไป ความทุกข์ก็ดับไปเห็นชัดด้วยปัญญาอย่างนี้เรียกว่าธรรมจักษุ ไม่ได้เห็นเพียงว่าเห็นสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นธรรมดาสิ่งนั้นมีความดับเป็นธรรมดาก็มันเรื่องเดียวกันแหละ ที่มันมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดามีเหตุมีปัจจัยเกิดขึ้นมา เอาเหตุเอาปัจจัยมาดับลงไป จึงเห็นว่าถ้ามีความเกิดเป็นธรรมดาก็ต้องมีความดับเป็นธรรมดา เป็นความรู้ที่เนื่องถึงกันหมด รู้ความจริงข้อนี้ความจริงก็ปรากฏขึ้นมา รู้แล้วก็สว่างไสวแจ่มแจ้งได้รับประโยชน์ เราพยายามให้มีธรรมจักษุเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นทุกเวลาทุกคืนทุกวันก็นั่นจะมีพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น มีพระรัตนตรัยเพิ่มขึ้นฟังแล้วก็น่าหัว พระรัตนตรัยก็สามนะไม่มีมากกว่านั้นแต่ว่าเรียกพระคุณคุณสมบัติอานิสงค์เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นมากขึ้นเข้มข้นขึ้นด้วยการมีธรรมจักษุ พิจารณาธรรมะอยู่เรื่อยไปเกิดธรรมจักษุขึ้นมาเท่าไร พระรัตนตรัยโดยเนื้อหาสาระก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น ขอให้สนใจทำให้เกิดธรรมจักษุ เพราะว่าพระรัตนตรัยนั้นบรรจุอยู่แล้วในธรรมจักษุ พระรัตนตรัยที่ท่านยังไม่รู้จัก ขอให้พยายามให้รู้จักพระรัตนตรัยที่ท่านยังไม่รู้จัก ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นองค์วัตถุที่ตั้งที่พึ่งที่อาศัยของพุทธบริษัท ถ้ามัวแยกกันอยู่ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องมีพระรัตนตรัยที่จับกลุ่มเป็นสิ่งเดียวกันไม่แยกกัน เห็นธรรมะมีธรรมะที่เห็นแล้วก็ได้รับประโยชน์จากการเห็นธรรมะ นี่คือมีพระรัตนตรัยต้องเป็นอย่างนี้ ไปซื้อพระพุทธรูปมาองค์หนึ่งตั้งเอาไว้ ไปซื้อพระไตรปิฎกมาตั้ง(เสียงหายไป นาทีที่ 0.57.03-0.57.04)ก็คนมันนั่งอยู่ข้างๆ แล้วรูปหล่อก็ได้แล้วก็มีพระรัตนตรัยมีพระรัตนตรัย หรือไม่สำเร็จประโยชน์อะไรนอกจากว่าเอามาเป็นพิธีรีตรองทำให้สบายใจได้บ้าง ต่อให้ฉลองพระพุทธรูปสักร้อยครั้ง ฉลองพระไตรปิฎกให้ได้ร้อยครั้งมันก็ไม่มีขึ้นมาก็มันมีขึ้นมาไม่ได้ มันไม่มีผลแห่งความสะอาดสว่างสงบไม่ได้ มันเรียกว่ามันไม่เลื่อน มันไม่เลื่อนเพราะมันไม่รู้จักไอ้ที่สูงไปกว่า นั้นขอให้รู้จักพระรัตนตรัยที่แท้จริงที่เป็นตัวจริง ทบทวนอีกทีว่าไม่ใช่คนคนนั้นคือพระพุทธเจ้า ฟังแล้วมันน่าหัว พระพุทธเจ้าไม่ใช่คนคนนั้น ไม่ใช่เด็กชายสิทธัตถะที่คลอดที่เมืองนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วออกบวชตรัสรู้นิพพานไม่ใช่คนคนนั้น พระพุทธเจ้าคือปัญญาที่เห็นธรรมะแจ่มแจ้งชัดเจนพอที่จะบอกสอนผู้อื่นได้ นี่ไม่เคยเกิดไม่เคยตายไม่เคยเปลี่ยนแปลงอะไรอยู่อย่างนั้นตลอดกาล ลองปฏิบัติเถอะมันมีขึ้นมาในใจทันที ปฏิบัติให้ถูกต้องพระพุทธมีขึ้นมาในใจทันที เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้านั้นไม่ได้จำกัดอยู่ที่เด็กคนนั้นหรือคนคนนั้น ที่เกิดออกมาแล้วออกบวช พระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ประสูติไม่ตรัสรู้ไม่นิพพาน พูดอย่างนี้เขาด่าแล้ว พระพุทธเจ้าที่แท้จริงไม่ได้ประสูติไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพาน มันเป็นนิรันดรเป็นอนันตกาล จิตที่รู้ธรรมะในพระพุทธเจ้า อบรมจิตให้ดีเมื่อไรเกิดเมื่อนั้นแหละ อบรมจิตให้ดีเมื่อไรเกิดเมื่อนั้นที่ไหนก็ได้ ผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ได้พูดกันอย่างนี้เลย อบรมจิตให้รู้ธรรมให้เห็นธรรมะ พอพุทธะก็มาทันที ปรากฏในจิตนั้นทันที นี่พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ใช่คนคนนั้น พระธรรมะองค์จริงไม่ใช่สิ่งสิ่งนั้น ไม่ใช่ตู้พระไตรปิฎกไม่ใช่เสียงที่พูดอยู่บนธรรมาสน์ แต่เป็นความจริงของธรรมชาติที่รู้แล้วดับทุกข์ได้ พระสงฆ์ไม่ใช่บวชเหลืองๆโกนหัว แต่ผู้ที่ปฏิบัติปฏิบัติปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ โกนหัวก็ได้ไม่โกนหัวก็ได้ หญิงก็ได้ชายก็ได้ นี่คือพระสงฆ์น่ะพระสงฆ์ เอาแต่เนื้อแท้เอาแต่ใจความสำคัญในภายในก็เป็นอย่างนี้ เอาว่าพระพุทธะเป็นผู้บอกบอกทาง ธรรมะตัวทาง พระสงฆ์คือการเดินทางอย่างนี้ก็ได้ พระพุทธผู้ชี้ทางแล้วก็มีตัวทางนี่ผู้เดินทาง ผู้จุดไฟแล้วมีแสงสว่างไว้ใช้แสงสว่าง แต่ใจความสำคัญน่ะอยู่ที่บอกและสิ่งที่บอกและก็ทำตาม ในสากลจักรวาลทั้งหมดในอนันตกาลทั้งหมดมันมีสิ่งนี้นะ อยากจะบอกให้ท่านได้ฟังได้ยินว่าพระรัตนตรัยในสากลจักรวาลในอนันตกาล มันมีผู้บอกมีสิ่งที่บอกและมีการทำตามบอกอย่างนั้นน่ะไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ศาสนาไหนก็มีอย่างนี้ ผู้บอก ผู้ สิ่งที่บอกและก็ทำตามคำบอกมันมีอยู่ทั่วไปในจักรวาลและก็มีอยู่ตลอดกาลนิรันดรเมื่อไรก็ได้แต่ต้องมีผู้บอกจะมีสิ่งที่บอกแล้วก็มีผู้ปฏิบัติตามได้รับประโยชน์ เพียงแต่ว่ามันไม่เท่ากัน มันไม่ขนาดเดียวกันหรือมันไม่ตรงกันในโดยเนื้อหานะ แต่ต้องมี ในโลกในจักรวาลนี้ไม่ขาดหรอก ไม่ขาดผู้บอกและสิ่งที่บอกและการทำตามคำบอก พระรัตนตรัยมีในสากลจักรวาล จำกัดให้แคบเข้ามาเฉพาะในพุทธศาสนากับผู้รู้เรื่องอริยสัจแล้วบอก ความรู้เรื่องไอ้มรรคมีองค์ ๘ น่ะเป็นสิ่งที่บอก ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้นี้คือผู้ได้รับประโยชน์จากการบอก นี่คือตัวพระรัตนตรัยโดยเนื้อหาโดยสาระโดยใจความ ถึงพระรัตนตรัยก็หมายถึงว่ามันดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้แล้วก็พอใจ แล้วก็ออกมาเองบอกออกมาเองพอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้มีใครมาจ้างให้ถือให้ถึง ไม่มีใครมาชักมาจูงด้วยคำพูดเหล่านี้ แต่เดี๋ยวนี้จะทำอย่างไรได้เวลามันล่วงมาถึงขนาดนี้มันทำไม่เป็นทำไม่ถูกเดี๋ยวเด็กมันเข้ามาใหม่ก็ต้องใช้พระรัตนตรัยแบบชักบอกกันบอกบอกให้ว่าตาม ก็เป็นพระรัตนตรัยชั้นที่บอกให้ว่าตาม พระรัตนตรัยชั้นที่สอนให้เคารพไปตามขนบธรรมเนียมประเพณี ให้เป็นสูงขึ้นไปเป็นเพียงว่าปฏิบัติตามนั้นได้รับผล พระรัตนตรัยจึงมีอยู่หลายชั้นหลายระดับแล้วก็มีพระรัตนตรัยอยู่ชั้นหนึ่งระดับหนึ่งซึ่งท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก พระรัตนตรัยซึ่งท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก มันดูถูกกันหน่อยไหม ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก จะจริงหรือไม่จริงก็ดูกันอาเอง รู้จักแต่ชั้นแรกๆ ชั้นผิวๆ ชั้นที่ยังไม่รู้จักนั้นยังมีอยู่ เอาหละเป็นอันว่ามารู้จักกันเสียที ต้องรู้จักควรรู้จักและรู้จักให้จนได้ พระรัตนตรัยที่ยังไม่รู้จัก มีการดับทุกข์ที่ไหนมีพระรัตนตรัยที่นั่น มีการเห็นธรรมที่ไหนมีพระรัตนตรัยที่นั่น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ลูกใครหลานใครไม่เกิดไม่ตาย พระธรรมก็เหมือนกันไม่มีใครทำขึ้นมาได้มันของธรรมชาติเป็นของธรรมชาติไม่มีใครสร้างได้ทำได้ ที่เขียนที่บันทึกนี่มันเป็นเรื่องบันทึกเรื่องของธรรมชาติ พระสงฆ์ไปอยู่ที่ปฏิบัติดับทุกข์ได้ ถ้ามีการเคลื่อนไหวที่จะดับทุกข์ได้แล้วก็มีพระสงฆ์ พระรัตนตรัยที่ยังไม่รู้จักหรือรู้จักกันน้อยไม่รู้จักกันให้ถึงที่สุด
เอาหละเวลาที่เหลืออยู่ต่อไปนี้ก็จะพูดถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็พุทธะโดยเฉพาะ เพื่อประโยชน์แก่ลูกเด็กๆ มากกว่าขอโอกาสหน่อย พระพุทธะ พระพุทธเจ้าบอกแล้วว่าไม่ได้ลูกใครหลานใครไม่ได้เกิดไม่ได้ตายไม่นิรันดร แต่เดี๋ยวนี้มันมีพระพุทธเจ้าชนิดหนึ่งปั้นขึ้นมาได้หล่อขึ้นมาได้ ปั้นพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าเด็กๆ ก็ว่าพระพุทธเจ้าหล่อพระพุทธรูปขึ้นมา และแถมเบิกพระเนตรให้พระพุทธเจ้าด้วยรึ เก่งเท่าไร เมื่อชาวบ้านนี่เบิกพระเนตรให้พระพุทธเจ้า เจิมให้พระพุทธเจ้านี่มันใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า เจิมพระพุทธรูปนี่มันต้องใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า นี่พระพุทธธาตุมาเป็นเรื่องประหลาดๆ มาสมโภช สมโภชแต่งตั้งให้เป็นพระพุทธเจ้า ที่จริงมันจะกินเหล้ามากกว่ามาสมโภช นี่มันก็สมโภชก้อนอิฐหรือทองเหลืองอะไรให้เป็นพระพุทธเจ้า ทำพุทธาภิเษกเสกก้อนอิฐก้อนหินให้เป็นพระพุทธเจ้า พุทธาภิเษกพุทธาภิเษกเราไม่ศึกษา นี่พระพุทธเจ้าถูกกระทำถึงขนาดนี้นี่ พระพุทธเจ้าน่ะกำลังอยู่ในสภาพอย่างนี้ และทีนี้ก็ดูต่อไปว่าไอ้สิ่งที่กระทำขึ้นมาอย่างนี้น่ะมันปิดบังพระพุทธเจ้าที่แท้จริง พระพุทธเจ้าที่ทำขึ้นมาโดยบุคคลสมมุติอย่างนี้ปิดบังพระพุทธเจ้าที่แท้จริง ที่ธรรมดามันก็ปิดบังอยู่แล้ว เพราะไม่สติปัญญาที่จะที่จะเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มีพระพุทธรูปน่ะจะบังพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มีพระธาตุหลงอยู่ที่พระธาตุบังพระพุทธเจ้าพระองค์จริงติดอยู่ที่กระดูก พระเขี้ยวแก้วยิ่งแล้วใหญ่เลย พระเขี้ยวแก้วนี่มีปัญหามากไม่น่าพูดอย่าพูดดีกว่า มันจะดูถูกไอ้เจ้าของพระเขี้ยวแก้วมาก ถ้าคิดว่าพระเขี้ยวแก้วบังพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ต้นโพธิ์น่ะบังพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เอาผ้าไปหุ้มต้นโพธิ์เอาไม้ไปค้ำโพธิ์ค้ำโพธิ์อยู่นั่นแหละ พระเจดีย์บังพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปก็บังพระพุทธเจ้า พระเครื่องก็ยิ่งบังพระเครื่องแขวนคอยิ่งบังพระพุทธเจ้า ที่ว่าผ้าเหลืองก็บังพระพุทธเจ้า พูดคำว่าเหลืองเหลืองเหลืองก็ศาสนายังมีโบสถ์วิหารอย่างที่เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งบังพระพุทธเจ้า ยกเว้นโบสถ์ของเรานะโบสถ์นี้ไม่บังพระพุทธเจ้า ไอ้โบสถ์ที่บังพระพุทธเจ้าน่ะมันพอเด็กๆ เข้าไปในโบสถ์นั้นแล้วเข้าใจพระพุทธเจ้าผิดหมดผิด ทำไมพระพุทธเจ้ามานั่งบนบัลลังค์งาช้างข้างบนมีเศวตฉัตรแหมเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไรกัน โบสถ์อย่างนั้นน่ะมันทำให้เด็กเข้าใจพระพุทธเจ้าผิด จึงเรียกว่าโบสถ์บังพระพุทธเจ้า สิ่งที่บังพระพุทธเจ้ามันยังมีมากนัก เตลิดเลยมาถึงว่าพระพุทธรูปพระพุทธเจ้ามาหักคอคนได้นะ พระพุทธเจ้าพระพุทธรูปบางองค์หักคอคนได้ พระพุทธเจ้าพระพุทธรูปบางองค์ขอลูกได้ ไม่มีลูกขอลูกได้ สวนโมกข์เก่ามีองค์หนึ่งเขาไปขอลูกกัน พระพุทธเจ้าแบบนี้แบบไหนกันเล่ารู้จักไว้ด้วยว่ามันไม่มีแล้ว สิ่งที่ทำขึ้นมาแทนพระพุทธเจ้านั้นกลับปิดบังพระพุทธเจ้าเสียทุกอย่างเลย ก็ไปหลงติดอยู่ที่ตรงนั้นติดอยู่ตรงเปลือกไม่ทะลุเข้าไปข้างในไม่เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง นี่โบสถ์บางโบสถ์เข้าไปแล้วเข้าใจพระพุทธเจ้าผิด มันจะพูดไปมากก็ไม่ได้มันก็ไม่ดี ได้เห็นพระพุทธรูปบางองค์มีเหรียญตรา มีเหรียญตราแขวนไว้ที่ฐานพระมันไปไกลขนาดนี้ นี่เรื่องของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เคยเห็นโบสถ์ ไม่รู้จักโบสถ์ พูดอย่างนี้ก็ถูกด่าว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงๆ ที่เป็นคนนี้เรียนกันตั้งแต่โน้นไม่รู้จักโบสถ์ เพราะสิ่งที่เรียกว่าโบสถ์มันยังไม่มี มันยังไม่มี มันเพิ่งมีเมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว สังฆกรรมก็ทำที่ตรงไหนก็ได้กลางดินก็ได้ในวิหารที่อยู่อาศัยก็ใช้ได้ ทำกันก็ทำได้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโบสถ์โบสถ์เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ เพราะว่าพระพุทธรูปยังไม่มี พระพุทธเจ้าจึงไม่รู้จักโบสถ์ โบสถ์คือสิ่งที่พระพุทธเจ้ายังไม่รู้จักและพระพุทธเจ้าจะรู้จักฉัตรได้อย่างไรเอามากั้นอยู่บนบนพระเศียรน่ะ ทั้งที่องค์เล็กๆ ก็มีทำฉัตรนะ ทำฉัตรงอๆ แล้วก็แขวนฉัตรไว้บนพระเศียรพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ก็มีฉัตร นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก ฉัตรฉัตรนี่พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก ไอ้เบาะไอ้นวมนี่ก็ไม่รู้จัก เบาะนวมบนธรรมาสน์นี่พระพุทธเจ้าไม่รู้จักไม่เคยใช้ไม่เคยทำ ไอ้เสนาสนะที่สวยงามงดงามอย่างนี้ไม่ไม่ไม่มีทางจะรู้จัก กุฏิพระพุทธเจ้าก็เหมือนกระท่อมคนขอทานไปดูที่อินเดียที่มันยังเหลืออยู่ที่ไม่ได้ตกแต่งที่เป็นพระคันทกุฎีโดยแท้จริงมันเล็กๆ เท่ากับห้องคนขอทานแล้วก็ไม่มีอะไร เรื่องราวในพระบาลีก็แสดงว่าอย่างนั้น ท่านไม่รู้จักไอ้ตึกใหญ่ๆ และอยู่กันอย่างเศรษฐี พระพุทธเจ้าไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ พระพุทธเจ้าอยู่สุญญาคารหรือที่ว่างโคนไม้ในถ้ำป่าละเมาะที่เรียกว่าสุญญาคารเป็นเพิงกับต้นไม้ก็เรียกว่าเป็นเพิงกับต้นไม้ ประสูติใต้ต้นไม้ ตรัสรู้ใต้ต้นไม้ อยู่ใต้ต้นไม้ สอนใต้ต้นไม้ รู้จักแต่โคนไม้ ไม่รู้จักตึกราคาแสนราคาล้าน และพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้นั่งธรรมาสน์ราคาพันๆ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้น่ะไม่มี พูดตอนกลางดินพูดได้ตลอดเวลาไม่ว่าตรงไหน พระพุทธเจ้าไม่รู้จักธรรมาสน์แม้อย่างนี้ด้วยซ้ำไปเอาสิ ธรรมาสน์นี้ก็ไม่กี่สตางค์ ท่านไม่รู้จักท่านไม่เคยใช้ นึกสิ่งที่ท่านรู้ไม่ได้ ก็พอขึ้นธรรมาสน์มีบทพิณพาทย์ประโคม ลงพิณพาทย์ ลงธรรมาสน์พิณพาทย์ประโคม พระพุทธเจ้าไม่รู้จักหรอก เอาพระพุทธเจ้ามาเดี๋ยวนี้พอขึ้นธรรมาสน์ประโคมแล้วท่านเฮ้อ,นี่มันทำอะไรกันมันบ้าหรือดี พระขึ้นธรรมาสน์ก็ประโคมพพิณพาทย์ พระลงจากธรรมาสน์ก็ประโคมพพิณพาทย์ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าไม่รู้จักไม่รู้จักด้วยประการทั้งปวง รู้ไว้แต่ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จัก เราจึงช่วยกันระวัง มันจะเสียเวลาเปล่าจะเปลืองเปล่า พระพุทธเจ้าไม่มีใครเคยเอาน้ำหอมไปอาบให้ ไม่เหมือนพระพุทธรูปก็เอาของหอมของอะไรไปลูบเอ้ยลูบ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่รู้จัก พูดกันเงียบๆ หน่อยนะว่า ถ้าท่านเสด็จมาเวลานี้ ท่านจะจำศาสนาของท่านไม่ได้ ถ้าท่านเสด็จมาเวลานี้ ท่านจะจำศาสนาของท่านไม่ได้ ไม่รู้นี่มันอะไรกันนี่มันอะไรกัน เจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะอำเภอเจ้าคณะตำบลนี่พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จัก หรือแม้แต่มหาเถรสมาคมในรูปนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยรู้จัก จะเอากันยังไงเพราะท่านไม่เคยรู้จัก ของใหม่ๆ เช่นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ นี่พระพุทธเจ้าไม่เคยรู้จักและไม่อาจจะรู้จักมันไม่ต้องรู้จัก ที่เรียกว่าถ้าพระพุทธเจ้าเสด็จมาเดี๋ยวนี้ท่านจะไม่รู้จักศาสนาของท่านเอง เพราะแม้แต่โบสถ์ท่านก็ไม่รู้จัก และมาถามเอ้นี่มันทำอะไรกันไอ้อาคารหลังนี้ มันไม่มีพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าไม่เคยหวังว่าจะมีรูปของท่านสร้างขึ้นมา เพราะในอินเดียในครั้งพุทธกาลในอินเดียนั้นเขาจิตใจสูงจนเลิกรูปเคารพหมดแล้ว ไม่เฉพาะพุทธศาสนาศาสนาอื่นๆ ก็เหมือนกันไม่มีรูปเคารพหรอกในสมัยพุทธกาลนั้นจึงไม่รู้จักแต่โบสถ์รู้จักที่ไว้รูปเคารพ พระพุทธเจ้านิพพานแล้วตั้งห้าหกร้อยปีแล้วจึงเกิดทำพระพุทธรูปขึ้นมาบ้าง และก็มาทำกันใหญ่ทำกันมากมายเหมือนในสมัยนี้ ไม่มีรูปใครที่หล่อขึ้นมามากเหมือนรูปพระพุทธเจ้าคือพระเครื่องทั้งหลาย ไม่มีใครหล่อ ถูกหล่อรูปมากเหมือนพระพุทธเจ้าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่รู้จัก ถ้าเสด็จมาก็จะไม่รู้จักว่านี่อะไรกันนี่ศาสนาอะไรกันนี่ของใคร จำไม่ได้ว่านี่นี่คือพุทธศาสนา ในเรื่องความเป็นจริงที่มันเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแล้วปิดบังอะไรมากมาย ศาสนามันจึงไม่เป็นไปตามเรื่องของถูกต้องเก่าแก่ เราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็มันไม่ได้ยึดหลักความถูกต้องตามที่จะควรจะเป็นไปอย่างถูกต้อง พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นอะไรน่ะเป็นอะไร ทำลูกเด็กๆ ว่าพระพุทธรูป ทำเด็กๆ แล้วพระพุทธเจ้าคืออะไรก็คือพระพุทธรูปที่อยู่ในโบสถ์หรืออยู่ในบ้านฉันก็มีพระพุทธเจ้าของเด็กๆ ไม่รู้ว่าของคนโตๆ แล้วที่มันไม่รู้เรื่องอะไรมากกว่านั้นนั่นแหละพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นมิได้เป็นบุคคลไม่ใช่บุคคลไม่ใช่ลูกคนนั้นหลานคนนี้เกิดเป็นเป็นนามธรรม เป็นนามธรรม ที่สมมุติหน่อยก็เป็นจิตเป็นวิญญาณเป็นจิตที่รู้ธรรมะ ตรัสรู้ด้วยจิต พระพุทธเจ้าเป็นจิต อย่างนี้ก็ยังใช้ไม่ได้ นี่เป็นบุคคลเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ผีสางเทวดาอะไรก็ดี พระพุทธเจ้าโดยแท้จริงน่ะเป็นธรรม เรียกว่าธรรม ธรรมที่ดับทุกข์ได้ที่เรารู้กันได้น่ะ ข้อนี้มีพระบาลีชัด ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม โย ธมฺมํ ปสฺสติ โส มํ ปสฺสติ โย มํ ปสุสสติ โส ธมฺมํ ปสฺสติ นี้มีทั่วไป เห็นเห็นเห็นเห็นเราคือเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นเรา เห็นเห็นเห็นตัวเราที่จับจีวรเรานี่ไม่ได้เห็นเรา เห็นธรรมจึงจะเห็นเรา นั้นพระพุทธเจ้าตัวจริงเลยจิตขึ้นไปอีก ไม่ใช่จิตน่ะเป็นธรรมเป็นธรรมที่ปรากฏแก่จิต ธรรมที่ดับทุกข์ได้แล้วคือพระพุทธเจ้า แล้วพระพุทธเจ้าที่ลึกลงไปอีกก็คืออะไรดีล่ะ จะต้องขอยกให้ว่าธรรมชาติแห่งการรู้ธรรมชาติที่เป็นความตรัสรู้เป็นตัวธรรมชาติสำหรับตรัสรู้ สิ่งที่เป็นธรรมชาติสำหรับการตรัสรู้ที่มีอยู่ตามธรรมชาตินั้นน่ะคือองค์พระพุทธเจ้า เพราะสิ่งนี้ทำให้เกิดธรรม ธรรมแห่งพระพุทธเจ้า ถ้าพูดให้ไกลไปอีกพระพุทธเจ้านั่นแหละคือความว่าง ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างจากสังขารการปรุงแต่งโดยประการทั้งปวง ว่างจากนาม ว่างจากรูป ว่างจากกิเลส ว่างจากทุกๆ สิ่ง นั้นน่ะคือพระพุทธเจ้า คำพูดนี้มหายานอ้าไม่ใช่มหายานเป็นพวกเซนน่ะเขาพูดเขาพูดกันเป็นหลักประจำและพูดไกลไปกว่านี้ก็พุทธะคือความว่าง ธรรมะคือความว่าง สังฆะคือความว่าง อะไรอะไรว่างหมดว่างหมด คือว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน ว่างอย่างยิ่งที่สุดยกให้พระพุทธเจ้า ไปจบลงตรงที่พระพุทธเจ้าแท้จริงสูงสุดนั่นคือความว่าง ว่างจากการปรุงแต่งไม่มีเกิดไม่มีตั้งอยู่ไม่มีดับไปไม่มี ว่างจากสังขารการปรุงแต่ง ว่างจากนามและรูปว่างจากไอ้ตัวตน นี่มันหลายชั้น เอาตั้งแต่พระพุทธรูปจนถึงบุคคลที่เดินไปเดินมาอยู่ในอินเดียสมัยโน้น จนถึงว่าเมื่อนิพพานแล้วเหลือแต่พระธาตุบ้างเหลือแต่พระพุทธรูปขึ้นมาบ้าง แล้วก็มากลายเป็นว่าทางรูปธรรมเฟ้อเป็นรูปธรรมเป็นรูปเป็นวัตถุ เป็นพระพุทธเจ้าวัตถุหรือวัตถุสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าไปเสีย เอาธรรมะเป็นองค์พระพุทธเจ้า เอาธรรมชาติแห่งความดับทุกข์เป็นพระพุทธเจ้า เอาความว่างจากปัญหาทั้งปวง ว่างจากกิเลสและความทุกข์เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเชื่อใครใครจะพูดยังไงไม่ต้องเชื่อดูเองก็แล้วกันว่าจริงหรือไม่จริง จริงหรือไม่จริง ถ้าเห็นถึงขนาดว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ได้ประสูติไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพานอย่างนี้นับว่าเก่งพอใช้ ที่ประสูติตรัสรู้นิพพานนั้นพระสิทธัตถะบุคคลเดียวกับสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ได้เกิดไม่ได้ประสูติไม่ได้ออกบวชไม่ได้ตรัสรู้ไม่ได้นิพพานไม่ได้อะไรหมด เป็นคุณธรรมมีอยู่ในธรรมชาติเป็นเหตุให้รู้สิ่งที่ควรจะรู้ ใครปฏิบัติถูกต้องคุณธรรมนั้นก็ปรากฏแก่จิตใจพระพุทธเจ้าก็เกิดเป็นในบุคคลนั้น ท่านไม่ได้เกิดอย่างที่เราเรียนพุทธประวัติกัน ก็ไม่เป็นไรเดี๋ยวนี้มันยังไม่รู้เอาอย่างนี้กันไปก่อน นั้นการที่มาฉลองพระธรรมกันในวันนี้มาฆบูชานี่รู้จักพระธรรมให้ให้ให้มาก อย่างน้อยก็ขอให้ถึงขั้นที่ว่าผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาคตน่ะ ธรรมะพระธรรมน่ะคืออย่างนั้น มีการปฏิบัติธรรมเป็นพระสงฆ์ เดี๋ยวนี้เป็นวันพระสงฆ์มาฆบูชาเป็นวันพระสงฆ์ ก็ไม่ใช่เปลือกของท่านที่เป็นร่างกายหรือเป็นผ้าเหลืองหรือเป็นอะไรทำนองนั้น เป็นการปฏิบัติที่ดับทุกข์ได้ การปฏิบัติปฏิบัติปฏิบัติและดับทุข์ได้นั่นแหละคือองค์พระสงฆ์องค์พระสงฆ์ ในนั้นมีพระพุทธเพราะว่าการที่ปฏิบัติต้องมีความรู้เรื่องการปฏิบัตินั้น ใครจะเถียง ถ้าปฏิบัติให้ดับทุกข์ได้ในการปฏิบัตินั้นต้องมีความรู้เรื่องการปฏิบัติ ไอ้ความรู้นั่นคือองค์พระพุทธเจ้า ปฏิบิติดับทุกข์ได้ที่ไหนมีพระรัตนตรัยครบหมดเมื่อนั่น มีธรรมจักษุที่ไหนมีพระรัตนตรัยครบหมดเมื่อนั่น นี่เป็นเรื่องที่เราจะต้องเอามาพูดกันแล้ว เอามาทำสังคยานาสะสางกันเสียที ขออภัยที่ต้องใช้คำว่าพระรัตนตรัยที่ท่านยังไม่รู้จัก มันคล้ายกับดูถูกท่านทั้งหลายว่ายังไม่รู้จักพระรัตนตรัย แต่มันก็มีความจริงที่ว่าท่านยังไม่รู้จักพระรัตนตรัยในระดับนี้ในระดับนี้ ขอให้เลื่อนชั้นเลื่อนชั้นความรู้จักให้สูงขึ้นมาสูงขึ้นมาจนรู้จักพระรัตนตรัยในระดับนี้ก็จะไม่เสียทีที่ทนลำบากมาทำมาฆบูชากันที่นี่ เหน็ดเหนื่อยหมดเปลือง มันควรจะได้อะไรคุ้มกัน ขอให้เลื่อนชั้นการรู้จักพระรัตนตรัยให้สูงขึ้นไปอย่างที่ว่านี้ รู้จักพระรัตนตรัยที่ยังไม่รู้จักให้รู้จักเสีย ถ้าการมาทำความลำบากที่นี่อุตส่าห์มาทำพิธีมาฆบูชาที่นี่ก็จะได้ผลคุ้มคุ้มกัน ไม่สักว่าเป็นพิธีรีตรอง ขอให้สนใจความข้อนี้เถิดอย่าให้เป็นพิธีรีตรองที่ซ้ำๆ ซากๆ ปีแล้วปีเล่าปีแล้วปีเล่ามันก็อยู่เท่านั้น แต่ขอให้มันเลื่อนขึ้นไปเลื่อนขึ้นไปสูงขึ้นไป สว่างยิ่งๆ ขึ้นไป สงบยิ่งๆ ขึ้นไป สะอาดยิ่งๆ ขึ้นไป เป็นอิสระเป็นอิสระหลุดพ้นจากสิ่งผูกมัดทั้งหลายยิ่งๆ ยิ่งๆ ยิ่งๆ ขึ้นไป เอาหละเรื่องพระรัตนตรัยที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จัก ไม่ใช่พูดเพื่อดูหมิ่นท่านทั้งหลาย เพียงแต่เตือนไว้ว่ามันยังมีอยู่นะระวังให้ดี ในชั้นที่ท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักมันยังมีอยู่นะ ขอให้รู้จักให้รู้จักมันหมดจนถึงที่สุดเสียที เราก็จะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ถึงขนาดโดยสมบูรณ์ แล้วการทำพิธีวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา จะมีความหมายจะมีความหมาย จะมีความประเสริฐ จะมีคุณค่าสูงสุดไม่เป็นเพียงพิธีรีตรอง ไม่เป็นเพียงศาสนพิธีที่เขาชอบอวดกันนัก ศาสนพิธีถือยึดมั่นกันนักไม่สำเร็จประโยชน์ต้องเลื่อนเลื่อนเลื่อนให้เป็นของจริง เป็นศาสนธรรม เป็นศาสนสัจธรรม เป็นศาสนะดับทุกข์ เรื่องมันก็จบไปนะ ถ้ามีพระพุทธจริง พระธรรมจริง พระสงฆ์จริง เรื่องมันจบ มันจะมีมรรคผลนิพพานที่แท้จริงที่ดับทุกข์ได้จริง นี่เราไม่ได้เป็นพุทธบริษัทแท้จริง ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานกันได้โดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ความรู้ ความตื่น ความเบิกบานยังไม่ถึงขนาด ยังไม่ถึงสูงสุด ขอให้ปรับปรุงปรับปรุงขยับขยายให้รู้ ให้ตื่น ให้เบิกบานยิ่งๆ ขึ้นไป รู้จักพระรัตนตรัยชั้นสูงสุดนี้แล้วก็จะถึงที่สุด เรื่องความรู้ก็ดี เรื่องการปฏิบัติก็ดี เรื่องผลของการปฏิบัติก็ดีจะถูกต้องถูกต้องถูกต้อง มันจะจบจะหมดปัญหาของการพยายามที่จะดับทุกข์หรือเป็นพุทธบริษัท นี่พูดมาก็มากมาย เรื่องจนจะไม่มีแรงพูด มันต้องหยุดขอสรุปความว่าขอให้ทุกคนได้รับประโยชน์ในการมาทำมาฆบูชาที่นี่ จะเรียกว่าบูชาบูชาก็ขอให้เป็นบูชาจริงอย่าเป็นบูชาเพียงเป็นพิธี แม้แต่จุดธูปจุดเทียนจะมีดอกไม้ดอกไร่ก็ขออย่าให้เป็นเพียงพิธี คือในใจมันรู้ความจริงถึงที่สุด อยู่ในใจจริงๆ แสดงออกมาด้วยการทำกิริยาท่าทางจุดธูปจุดเทียนมีดอกไม้ ทำอย่างจุดธุปจุดเทียนดอกไม้นี่มันต้องหลอกลูกเด็กๆ มากกว่า ขออภัย นี่สำหรับผู้ที่ยังไม่รู้มากกว่า ถ้าผู้รู้จริงมันต้องบูชาด้วยอะไรที่อยู่ในใจ บูชาด้วยการปฏิบัตินั่นแหละ ความอดกลั้นอดทนนั่นเป็นเครื่องบูชา บูชาด้วยความเสียสละความอดกลั้นอดทน นั่นเป็นบูชาแท้จริงบูชาด้วยการปฏิบัติ แต่ว่ารักษาบูชาด้วยวัตถุสักการะนี่ไว้ให้ลูกเด็กๆ ไว้คนชั้นชั้นต้นๆ ที่จะกำลังจะเข้ามา ถ้าเราจะทำว่างก็ทำด้วยจิตใจที่ว่าสูงกว่านั้นน่ะ พูดไปเดี๋ยวก็จะทำลายพิธีประเพณีอะไรบางอย่างเสียอีก ไม่ต้องทำลาย ยกดอกไม้ขึ้นบูชานี่ก็ของอย่างนี้แสดงออกทางจิตใจ ความรู้ในจิตใจ ความรู้สึกในจิตใจแสดงออกมาในการถือดอกไม้ธูปเทียนบูชา เอ้า, ดีเหมือนกันบูชาครบทั้งทางวัตถุ ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา ทั้งทางจิตใจหมดเลยไปนึกอย่างนั้น ทางวัตถุและวัตถุก็บูชา ทางกายก็ทำพิธีบูชา วาจาก็ว่าบูชา จิตใจก็กำหนดลงไปเป็นการบูชาบูชาบูชา เตรียมพร้อมเพื่อการทำมาฆบูชาซึ่งจะทำกันในวันนี้ ให้พร้อมอย่างนี้จงทุกๆ คนเทอญ ธรรมเทศนาซึ่งมีเพื่อการเตรียมพร้อมสำหรับทำมาฆบูชาก็สมควรแก่เวลาขอยุติเอาไว้แต่เพียงเท่านี้ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
มาฆบูชา ภิกษุไม่ต้องเวียนไม่ต้องเดินเวียน มีหุ้นส่วนในการเดินเวียนแต่ว่าก็เดินเวียนเวียนด้วยจิตใจ ไม่ได้เวียนด้วยร่างกาย แต่ว่าในจิตใจนี่เวียนเวียนเวียนรอบพระพุทธคุณ พระธรรมคุณโดยจิตใจนี่เวียนเวียนเวียนเวียน ไม่จุดสิ อ้าไม่จุดไม่จุดนี่ก็ไม่จุด ไม่จุดไฟนอกแต่จุดไฟใน เตรียมใจให้พร้อมเตรียมใจให้ว่างหลับตาไม่มีอารมณ์ จิตก็วางหงาย วางหลอกตัวจิตเรียกจิตตายจิตตะวันออกจิตตะวันตกจิตบุญจิตวางมีแต่ความว่าง ทำจิตใจถึงความว่างนั่นแหละถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธคือความว่าง พระธรรมคือความว่าง พระสงฆ์คือความว่าง มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในจิตใจ กล่าวคำบูชาด้วยวาจา
(สวดมนต์นาทีที่ 1.29.12-1.34.13)เอ้าทายกทายิกาทั้งหลายจุดธูปจุดเทียนแล้วยืนขึ้น จุดธูปจุดเทียนแล้วยืนขึ้น จุดเทียนแล้วยืนขึ้น จุดธูปจุดเทียนแล้วยืนขึ้น หลับตาเสียทำจิตใจให้ว่างเหมือนคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คือความว่าง เอ้าแล้วหันธัมยังนโม (สวดมนต์นาทีที่ 1.35.05-1.35.44) วันนี้เป็นวันมาฆปุรณมีแห่งเดือนสาม พระจันทร์ประกอบด้วยฤกษ์มาฆะ ตรงกับฤกษ์ที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกในที่ประชุมสงฆ์พร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ คือ พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป ล้วนแต่เป็นพระขีนาศก อุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ไม่มีการนัดหมาย ก็มาประชุมกันยังสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ณ เวฬุวันาราม เวลาตะวันบ่ายในวันมาฆปุรณมีเช่นวันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทำวิสุทธอุโบสถทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกในที่ประชุมนั้น การประชุมอย่างนี้ได้มีครั้งเดียวเท่านั้น บัดนี้เราทั้งหลายมาประจวบแล้วกับวันวันมาฆปุรณมี คล้ายกับวันจาตุรังสันนนิบาตนั้น ระลึกถึงอยู่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเคารพ บูชา พระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุ ๑,๒๕๐ รูปด้วยเครื่องสักการะทั้งหลายมีธูปเทียนดอกไม้เป็นต้นรอบเจดียสถานนี้ซึ่งเป็นพยานของพระผู้มีพระภาคเจ้าของพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์ แม้เสด็จปรินิพพานนานแล้วแต่ยังเหลืออยู่โดยพระคุณทั้งหลาย จงทรงรับขึ้นสักการะบรรณาการของคนยาก ของข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนานเทอญ
เดินเวียนปะทักษิณ ภิกษุมีส่วนร่วมด้วยการสวดโดยไม่ต้องเดินเดินด้วยจิตใจ ทายกทายิกาทั้งหลายเดิน เอ้าออกเดินโดยเอามือขวาไว้ทางพระพุทธรูป
(นาทีที่ 1.39.45-1.48.40) สวดมนต์ภาษาบาลี
(นาทีที่ 1.48.41-1.50.23) ภาษาใต้ค่ะถอดแล้วแต่ไม่มั่นใจว่าถูกต้อง จบตรงไหนหยุดตรงนั้นปักธูปปักเทียนตรงนั้นเลยไม่ลำบาก หยุดตรงไหนปักธูปปักเทียนตรงนั้นปักไว้ในอย่าปักไว้นอกเดี๋ยวจะไหม้ป่า หยุดเอ้ยจบตรงไหนหยุดตรงนั้นปักธูปปักเทียนกับทราย....เดี๋ยวจะไหม้ป่า การทำมาฆบูชาของเราในวันนี้เป็นอันว่าเสร็จสิ้นลงด้วยดีสมตามความประสงค์ทุกทุกประการและขอให้มีความพอใจในการกระทำนี้ว่าถูกต้องถูกต้องเป็นการระลึกถึงคุณพระอรหันต์ทั้งหลายประชุมกันในวันนี้มีพระพุทธองค์เป็นประมุขเป็นการประดิษฐานพระศาสนาให้มั่นคงลงไปในโลกมั่นคงลงไปในโลก ขอให้รักษาความหมายอันนี้ไว้ตลอดไปไปตลอดไป ประดิษฐานคณะสงฆ์มั่นคงลงไปในโลกช่วยกันทำหน้าที่ ศึกษาเล่าเรียนปฏิบัติได้ผลแล้วต้องสอนต่อต่อต่อกันไป ขอให้ทุคนมีความตั้งใจตรงกันเป็นอันเดียวอย่างนี้เพื่อสืบอายุพระศาสนาไว้ตลอดกาลนิรันดร ปิดประชุม ปิดประชุม