แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปัจจัยที่ห้าหรือสิ่งประเล้าประโลมใจ สิ่งประเล้าประโลมใจนี่บางทีก็ถูกมองไปในทางฝ่ายกิเลสหรือในทางที่ตรงกันข้าม แต่เดี๋ยวนี้อยากจะให้มองในทางที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ในฐานะเป็นปัจจัยที่ห้าที่เราจะต้องมี ให้เราพูดกันแต่ปัจจัยทั้งสี่ มีเพียงสี่มันก็เป็นเรื่องของร่างกายเท่านั้นแหละ แล้วเรื่องของจิตใจน่ะมันเอาไปไหนเสีย เมื่อชีวิตมันมีทั้งร่างกายและจิตใจ มันก็ต้องมีปัจจัยสำหรับจิตใจด้วยเรียกว่าปัจจัยที่ห้า คือสิ่งประเล้าประโลมใจ ทีนี้ในทางภาษาไทยนี้มันก็ฟังไปในทางเป็นกิเลสประเล้าประโลมมันเป็นเรื่องของกิเลส อย่ามองไปแต่ในด้านนั้น ด้านเดียวมันต่ำเกินไป ให้มันประเล้าประโลมใจให้เป็นไปในทางที่ถูกต้อง ที่สูงหรือเป็นไปเพื่อนิพพานก็ได้ สิ่งประเล้าประโลมใจนี่ มันอยู่ในคำว่าปัจจัยที่เป็นเหตุให้เกิดผล ก็เป็นไปในทางฝ่ายจิตใจที่ถูกต้อง มันก็จะเป็นเหตุปัจจัยแก่ทางบรรลุมรรคผลไปนู่น ที่นี่เรามีโรงมโหรสพทางวิญญาณ ตึกหลังนั้นน่ะเรียกว่า Spiritual Entertainment สิ่งประเล้าประโลมใจทางวิญญาณ เข้าไปศึกษาก็สนุกดีดูรูปภาพ แล้วก็ดูธรรมะที่เป็นปัจจัยในทางก้าวหน้าในทางธรรม นี่ก็ขอให้นึกถึงปัจจัยที่ห้าจะต้องมีเพื่อประโยชน์ทางฝ่ายจิต ในทางฝ่ายวิญญาณ และทางสติ ปัญญา ก็เพื่อบรรลุมรรคผลนิพพานนั่นแหละ หลักธรรมะชั้นสูงในตอนที่จะบรรลุมรรคผลนั้นน่ะ จะมีการกล่าวถึง ปีติ และสุขะ ปัสสัททิ ปิติสุข ปัสสัททิ ณ ตอนนั้นต้องมีปีติ มีสุขนะจึงจะมี ยะถาภูตะ ญาณะทัสสะนะ มันต้องการความสุขเป็นพื้นฐานแล้วก็จิตมันก็จะเกิด ปัสสัททิ ลงไป แล้วก็เกิด ยะถาภูตะ ญาณะทัสสะนะ บรรลุธรรม ปีติ ปัสสัททิ อุเบกขา มันก็มีส่วนกระตุ้นในฝ่ายบวก มันจึงจะเป็นการบรรลุมรรคผล ทีนี้ก็จะพูดถึงคำว่ามันจำเป็นๆ มันจำเป็นสำหรับจิตสำหรับชีวิต มันต้องการสิ่งหล่อเลี้ยงในด้านจิต ชีวิตจึงจะถูกหล่อเลี้ยงโดยสมบูรณ์ทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ สิ่งประเล้าประโลมใจทางจิตนี่มันไม่ได้เป็นอาหาร หรือมันไม่ได้เป็นวัตถุปัจจัยสี่ มันก็เป็นนามธรรม แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็ต้องการสิ่งหล่อเลี้ยงจิตใจที่เป็นนามธรรมคือ ความร่าเริงบันเทิงใจตามแบบของสัตว์เดรัจฉานน่ะ เรียกว่าจิตใจมันต้องการความกระตุ้น นี่ก็เป็นของธรรมชาติไป เป็นของธรรมชาติตามธรรมชาติที่มันต้องมีสิ่งๆนี้ คือสิ่งประเล้าประโลมใจ ถ้าไม่อย่างนั้นไก่ไม่ขันหรอก นี่ก็ขันจ๊อกๆอยู่นี่ เมื่อเวลาขันนั่นมันสบายใจ ๆ วัวควายตามทุ่งนาก็เหมือนกันมีโอกาสมีเวลาที่แสดงความร่าเริงสบายใจ มันก็ทนอยู่ไม่ได้มันต้องทำอย่างนั้นแหละ นี่มันเป็นปัจจัยที่ห้า นี่เราก็ต้องมีปัจจัยที่ห้าหรือว่าสิ่งประเล้าประโลมใจ ให้ครบถ้วนด้วยแล้วก็ตามแบบแห่งชีวิตของตนๆว่าอยู่ในแบบไหน ในที่นี้ก็อยากจะพูดถึงวรรณะ วรรณะทั้งสี่ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะพรต วรรณะพราหมณ์คือผู้สอนวรรณะ ไวศยะ คือนักธุรกิจทั้งหลาย แล้วก็วรรณะศูทรก็คือผู้รับใช้ วรรณะสี่นี่ขอทำความเข้าใจหน่อยว่า เลิกไม่ได้หรอกมันเลิกไม่ได้ ที่ว่าพุทธศาสนาเลิกวรรณะน่ะดูให้ดีๆ ฟังให้ดีๆ วรรณะโดยกำเนิดเท่านั้นแหละที่เลิกได้ วรรณะสี่โดยกำเนิดน่ะเลิกได้โดยพระพุทธเจ้าท่านว่าท่านเลิกไม่รู้ไม่ชี้ บัญญัติมรรคผลเพื่อทุกคนไม่เลือกวรรณะ แต่ถ้าวรรณะการงานนี่มันเลิกไม่ได้น่ะมันเลิกไม่ได้ ต้องทำการงานตามหน้าที่เมื่อทำตามหน้าที่อะไร ทำงานอะไรมันก็เป็นวรรณะนั้น พวกนักรบก็เป็นนักรบ พวกออกพราหมณ์ก็สอนไปตามเรื่อง ฉะนั้นแต่ละวรรณะๆก็ต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจ หรือปัจจัยที่ห้าตามแบบของตน ๆ พวกกษัตริย์พวกนักรบก็หาไอ้ความบันเทิงประเล้าประโลมใจตามแบบที่เหมาะสม พวกพราหมณ์พวกครูบาอาจารย์แม้แต่เป็นบรรพชิตก็ต้องมีสิ่งประเล้าประโลมใจที่เหมาะสม ซึ่งเราก็พูดถึงกันบ่อยๆ เรียกว่ามีปีติในธรรม มันก็เป็นสิ่งประเล้าประโลมใจสำหรับวรรณะอาจารย์ ทีนี้วรรณะคนทั่วไปนักธุรกิจทั้งหลายเค้าก็ต้องมีตามแบบของเขาแหละ อย่าให้มันเป็นทุจริตก็แล้วกัน แล้ววรรณะศูทร วรรณะกรรมกร ก็ต้องมีตามแบบของตนๆที่พอเหมาะพอสม นี่ก็เรียกว่าต้องมีกันทั้งสี่วรรณะ ที่มันถูกต้องหรือที่มันบริสุทธิ์ไม่เป็นอันตรายก็คือการฝึกฝนที่เพลิดเพลิน ฝึกหัดซักซ้อมหน้าที่ ทำเครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวรรณะของตนให้มันเพลิดเพลินไปเลย นักรบก็ทำลูกศร ทำไอ้คันศร ทำไอ้เครื่องมือเครื่องรบ บรรพชิตเราก็ทำเครื่องมือเครื่องใช้ที่เป็นอุปกรณ์แห่งการปฏิบัติธรรม แม้แต่ชาวนาสมัยโบราณที่ผมเห็น พอใจเป็นสุขเหลือประมาณเมื่อได้ทำอุปกรณ์ของการทำนานั่นแหละ ทำไถ ทำคราด ทำอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็พอใจอย่างยิ่งดูเป็นไม่ใช่งานอดิเรกซะแล้วเมื่อเกิดความพอใจเกินกว่านั้นเสียแล้ว แล้วเขาก็ถือว่าเป็นสิ่งที่จะอวดฝีมือศิลปะแสดงความพอใจกันด้วยสิ่งเหล่านั้น ไอ้ลูกชาวนาสมัยก่อนถ้ามันจะอวดกันบ้าง มันก็เอาแหที่ทำมาสวยๆ เอาสุ่มปลาที่ทำมาอย่างดีฝีมือเลิศเนี่ยเอามาเป็นเครื่องอวด เป็นเครื่องพอใจโชว์ฝีมือกัน แต่เดี๋ยวนี้มันอวดกันด้วยเครื่องทรานซิสเตอร์นู่น พัดลมนู่น ทีวีนู่น มันทำเล่นเป็นลูกชาวนาสิ มันเปลี่ยนมากเป็นอย่างนี้แหละ แทนที่มันจะถือแหถือสุ่มไปอวดประกวดกัน มันก็อยากจะอวดพัดลมว่าของฉันดีกว่าของแก นี่มันเปลี่ยนมันเปลี่ยนเอามากๆเพราะฉะนั้นเหตุการณ์มันก็ต้องเปลี่ยน ไม่งั้นมันก็มีปัญหายุ่งยากขึ้นมาโดยไม่ต้องสงสัย นี่เราบรรพชิตทั้งหลายเป็นวรรณะหนึ่ง พูดให้ถูกต้องบรรพชิตเราก็เป็นวรรณะหนึ่งเหมือนกันแหละ แม้จะไม่ได้เรียกวรรณะพราหมณ์ก็เป็นวรรณะที่ต่างจากคฤหัสถ์ ในบทปัตเวทน่ะ เววันนิยัมปิ อัจชูปัตถโต เววันนะ(นาทีที่ 10:30) วรรณะต่างๆพิเศษไปจากคนธรรมดา แล้วก็มีวรรณะต่างวิวรรณะ วรรณะที่ต่างจากคฤหัสถ์ เป็นพระแล้วยังมีวรรณะ ยังมีอะไรๆที่เป็นเรื่องถูกต้องกับวรรณะ แล้วก็มีสิ่งประเล้าประโลมใจให้ถูกต้องกับวรรณะของเรา เท่าที่จะมองเห็นกันง่ายๆเราก็มีความเพลิดเพลินที่จะได้จากปริยัติ ศึกษาปริยัติ ที่จะได้จากปฏิบัติ คือปฏิบัติถูกต้องพอใจยินดีปรีดา แล้วก็ได้จากปฏิเวธคือผลสำเร็จของการปฏิบัติ นี่จะให้ความเพลิดเพลินอย่างยิ่งให้ความเพลิดเพลินอย่างยิ่งถ้าว่าปฏิบัติอะไรสำเร็จ ฉะนั้นขอให้เรียนปริยัติให้เป็นสุขสนุก ให้ถูกต้องเป็นสุข มันก็ต้องถูกต้อง เดือนนี้มันมีนักศึกษา ระดับปริญญาสำเร็จปริญญามหาวิทยาลัยทางโลก แล้วก็มาอย่างงอมแงมมาเป็นโรคประสาท แล้วก็เป็นผู้หญิงโดยมาก เป็นโรคประสาทชนิดที่จะเป็นบ้าอยู่แล้ว นี่ปริยัติที่มันลูบคลำไม่ถูกต้องมันเป็นงูพิษขึ้นมา ถ้ามันมีธรรมะบ้างมันเรียนให้ถูกต้องให้พอดีก็จะไม่มีปัญหาอย่างนี้ เมื่อวานซืนนี้ก็ยังมาอยู่คนหนึ่งเลย หน้าตาดีอย่างนี้ ก็จะช่วยอย่างไรล่ะ เป็นโรคประสาทชนิดที่พูดกันก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องเลย แล้วธรรมะจะช่วยได้อย่างไร มันต้องมีธรรมะก่อนหน้านั้นก็เรียนไปอย่างถูกต้องตามหลักของธรรมะ อย่าเรียนด้วยกิเลสตัณหา ถ้าเรียนด้วยสติปัญญามันก็จะพอดี มันก็จะสนุกสนานมันก็จะไม่เครียด แต่นี่มันตาโรยแล้วก็ผอม สอบปริญญาได้มาเกือบตาย เนี่ยปริยัติที่มันทำไม่ถูกเรื่องมันไม่ให้ในสิ่งที่เรียกว่าประเล้าประโลมใจ มันคล้ายเป็นเครื่องทรมานใจไปเสียอีก ถ้าเราเรียนปริยัติในรูปแบบเก่าก็ดีในรูปมหาวิทยาลัยก็ดี ผมรู้สึกว่ามันมี มีมากทีเดียวโอกาสมากทีเดียวที่จะได้รับความพอใจประเล้าประโลมใจ แล้วก็ไม่เครียดๆ สนุก พอดี ก็ต้องฉลาดต้องรู้จักเรียน ผมไม่เคยประสบปัญหานี้ เรียนปริยัติในโรงเรียนก็ดี เรียนในป่าก็ดี ไม่เคยประสบปัญหาที่ยุ่งยากลำบากเพราะพระไตรปิฏก มันกลายเป็นสนุกก็สนุก พบสิ่งใหม่แล้วก็ยิ่งสนุกๆ ปริยัติให้ความเพลิดเพลินใจ ไม่ทรมานใจไม่เรียนแล้วจบแล้วก็เป็นวัณโรคหรือว่าเป็นโรคประสาท มันจะมีมากขึ้นทุกทีเพราะว่าเขายุๆๆๆให้มันเรียนอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง ไม่ได้รับความเพลิดเพลินใจประเล้าประโลมใจจากปริยัติ นี่ปริยัติจะกลายเป็นงูพิษ อรคตู(นาทีที่ 14:31)ปริยัติอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรียก แล้วทีนี้ก็มาถึงการปฏิบัติถูกต้องพอดี มัจฉิมาแล้วมันก็ประเล้าประโลมใจอย่างยิ่ง ไอ้ที่ว่าปฏิบัติเคร่งผมถือว่ามันบ้านนะผมไม่ชอบคำว่าเคร่งน่ะ มันบ้าบิ่นอะไรชนิดหนึ่ง ไอ้เคร่งๆๆ หรือว่าถ้าจะใช้คำว่าเคร่งมันก็ต้องมีความพอดีในความพอดี มีความพอดีมาก ทีนี่มันเคร่งมันเครียดๆมันเคร่ง โดยเครื่องนุ่งห่มก็แสดงความเคร่งกริยาท่าทางก็แสดงความเคร่ง ให้การปฏิบัติโดยตรงมันก็แสดงความเคร่ง ถ้าเคร่งแล้วมันก็เป็นฝ่ายนู้นน่ะเป็นที่สุดเป็นอันติมะ เป็นอันตะ ฝ่ายเคร่งก็ฝ่ายนู้นน่ะ ถ้าหย่อนมันก็ใช้ไม่ได้ แต่พอดีๆนั่นแหละใช้ได้ ขอให้การปฏิบัติธรรมของเรานั้นมีลักษณะที่เรียกว่าพอดีๆ อย่าให้มันเรียกว่าเคร่งหรือครัดหรือเครียดไปเลย มันจะบ้า ถ้าหย่อนมันก็ไม่ไหวแล้ว ถ้าหย่อนก็ไม่ไหว เหลวเหมือนกัน ถ้าพอดีล่ะก็ใช้ได้ ไอ้คำที่มันน่าสงสารมีอยู่คำหนึ่งที่มันดีที่มันถูกต้อง มันถูกมองไปในแง่หย่อนหรือแง่ลบไปเสียอีก คือคำว่ามัธยัสถ์ มัธยอัสสะถะ เป็นมัธยัสถ์ มัธยัสถ์กันพอดีนะ ไม่ใช่กระเบียดกระเสียนหรืออดทน แต่เดี๋ยวนี้คนเขาชอบใช้คำนี้ในลักษณะที่ต้องทนๆ อดๆ อยากๆ มัธยัสถ์ นี่คำพูดมันทำพิษซะแล้ว มัจฉิมาปฏิปทาเนี่ยคำนั้นจะรักษาไว้ให้ได้ให้พอดีนี่เป็น มัจฉิมาปฏิปทา มันก็จะไม่มีปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้น โดยปริยัติมันก็บอกถูกต้องพอดีโดยปฏิบัติก็ถูกต้องพอดี มันก็เลยผล ผลมันก็เป็นผลของความถูกต้องพอดี นี่เราก็มีสิ่งประเล้าประโลมใจหรือความสุขอยู่ในตัวนั่นแหละ เป็นตัวเรียนปริยัติ ตัวปฏิบัติจยังไม่ได้ผลของการปฏิบัติก็ไม่ต้องพูดถึง สิ่งเหล่านี้มันก็จะรวมเรียกรวมๆกันแล้วก็ร่วมเรียกธรรมะปีติ โดยที่มันเป็นคำมีใช้อยู่แล้วในพระบาลีไม่ต้องบัญญัติใหม่หรอก ธรรมะปีติ สุขังเสติ จะต้องมีคำว่าธรรมะเข้ามาประกอบเป็นปีติที่เกิดจากธรรม มันปีติที่เกิดจากกิเลสหรืออธรรมแล้วมันก็ใช้ไม่ได้หรอก กิเลสมันก็ให้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าปีติเหมือนกันน่ะแต่มันปีติแบบกิเลสเป็นแบบที่มีอาสวะ ถ้าเป็นปีติแบบที่ไม่เจือกับกิเลสไม่เจือกับอาสวะมันก็ใช้ได้ ธรรมะปีตินี้จะช่วยให้เราสบาย เยือกเย็น มีความสุข ไม่ดิ้นรน ไม่เครียดครัด ฉะนั้นธรรมปีติมันก็หล่อเลี้ยงโพธิ ถ้าว่ากิเลสโกปีติมันก็หล่อเลี้ยงกิเลส ซึ่งมันเกิดตามธรรมดาปีติจากกิเลสมันก็ประกอบกิจชนิดนั้นมันก็ยิ่งปีติซาบซ่านไปแต่ว่ามันหล่อเลี้ยงกิเลสหรือมันหล่อเลี้ยงไอ้สัญชาตญาณ แต่ถ้าว่าเป็นธรรมปีติที่เราจัดเราส่งเสริมขึ้นมาแล้วมันจะหล่อเลี้ยงโพธิ หรือว่าพาวิตญาณ ญาณ ๆ นี่สังเกตุดูให้ดีมันมีอยู่สองญาณ ถ้าไปตามสัญชาตญาณมันก็คล้ายๆกับว่ามันไม่ตื่นน่ะ มันไม่ค่อยจะตื่นจากหลับ เมื่อเป็นสัญชาตญาณมีความรู้สึกตามสัญชาตญาณ จะขี้ขลาด จะหนีภัย จะกินอาหาร จะประกอบกิจ เมถุนธรรมเหล่านี้ มันเป็นตามสัญชาตญาณยังเป็นกิเลส ยังเป็นไปเพื่อกิเลสมันไม่ใช่เป็นไปเพื่อโพธิ ความรู้สึกของเราให้แยกให้เด็ดขาดอย่างหนึ่งเป็นไปเพื่อกิเลสอย่างหนึ่งเป็นไปเพื่อโพธิ เกิดมาจากท้องมารดามันก็เอาสัญชาตญาณติดมา โพธิยังไม่ได้มีเพราะมันยังไม่ได้ทำสัญชาตญาณให้กลายเป็นโพธิ ทีนี้ปล่อยไปตามสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติปล่อยไปตามสิ่งแวดล้อมมันก็เป็นไปในทางกิเลสเสมอไป ก็เกิดมาจากท้องแม่มันก็ได้รับการประคบประหงม ให้มีของพอใจมาล่อกันตั้งแต่เล็กๆยังจะไม่รู้ความหมายมีพวงดอกไม้มีพวงปลาตะเพียนอะไรก็ไม่รู้ สวยๆงามๆมาแขวน แล้วก็มีการขับกล่อมด้วยเสียงที่ประเล้าประโลมใจที่สุด มันก็เกิดความรู้สึกน้อมเอียงไปในทาง ทางนั้นน่ะทางบวกที่เป็นไปตามสัญชาตญาณ ต้องการอร่อยต้องการพอใจ มันก็สร้างความรู้สึกประเภทบวก ประเภทที่จะเป็นกิเลสเอา แต่พอมันไม่ได้อย่างใจ ไม่ถูกใจมันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทลบ ก็โกรธแค้นขึ้นมา นั้นเด็กทารกเกิดขึ้นมามันก็ถูกฝึกฝนให้เป็นบวก เกิดกิเลสประเภทบวก เป็นราคะ หรือ โลภะในทางหนึ่ง อ้าวพอไม่ถูกใจมันก็ทำให้เกิดกิเลสประเภทโทสะ หรือ โภทะซึ่งเป็นฝ่ายลบ เด็กทารกของเราถูกแวดล้อมให้มีความรู้สึกสองประเภทนี้ ที่ให้เกิดโพธิอย่างถูกต้องอย่างพอดี มันไม่ค่อยมีหรือว่าเรียกมันไม่มี ๆ ด้วยเหตุอะไรก็สุดแท้แต่ เพราะพ่อแม่หรือพี่เลี้ยงเค้าไม่มีความรู้เรื่องนี้ พ่อแม่หรือพี่เลี้ยงก็คอยแต่จะสบายที่สุด ร้องเพลงขับกล่อมให้สบายที่สุด ให้กินอาหารอร่อยที่สุด ให้ประคบประหงมให้อบอุ่นนิ่มนวลที่สุด แล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไอ้ลูกทารกมันจะเป็นอย่างนั้น มันก็ค่อยๆติด บางเวลามันขัดใจ มันโกรธ มันไม่อร่อยไม่พอใจ มันก็มีกิเลสประเภทตรงกันข้ามไป ฝ่ายลบน่ะฝ่ายโทสะ ฝ่ายโภทะขึ้นมา ถ้าไม่บวกไม่เป็นลบมันก็เป็นโง่เท่าเดิมน่ะ โมหะ โมหะไปตามเดิมน่ะ กิเลสประเภทยินดีก็เกิดกิเลสประเภทบวก กิเลสยินร้ายมันก็เกิดกิเลสประเภทลบ อภิชาฝ่ายบวก โทมนัสฝ่ายลบ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำสองคำนี้ ไม่ค่อยได้ใช้คำว่ายินดียินร้ายเหมือนที่เราใช้ชอบใช้ ใช้คำว่าอภิชาซึ่งเป็นเรื่องยินดี โทมนัสมันเป็นเรื่องยินร้าย พรหมจรรย์ทั้งหมดเป็นไปเพื่อนำออกเสีย ซึ่งอภิชาและโทมนัสในโลก เด็กทารกก็ถูกแวดล้อมให้มีความรู้สึกเป็นบวกเป็นลบยิ่งขึ้น แล้วก็ได้รับคำส่งเสริม การส่งเสริมให้รู้สึกเช่นนั้น ให้อร่อย ให้สนุก ให้พอใจ ให้หัวเราะ ทีนี้ถ้าว่ามันเป็นเรื่องบวกหรือเรื่องลบมันก็ต้องเกิดตัวตน เรื่องบวกเกิดตัวตนบวกเป็นตัวตนบ้าที่เอา เรื่องลบก็เกิดตัวตนลบที่จะทำลาย ถ้าว่าเด็กๆมันเดินไปชนเก้าอี้ เด็กเล็กๆนะ มันก็เจ็บมันก็เป็นลบ มันก็เกิดตัวตนลบมันก็โกรธ มันก็เตะเก้าอี้ ก็ทำลายเก้าอี้ ทางพี่เลี้ยงก็ดีเหลือแสนช่วยประสมช่วยตีเก้าอี้ให้ด้วย ๆ นี่มันกลายเป็นสอนให้ตัวตนหนักขึ้นไปอีก ถ้าอะไรมาทำให้เด็กเล็กๆเจ็บ พี่เลี้ยงมันก็จะช่วยตีสิ่งนั้น นี่มันมาช่วยสอนลัทธิตัวตนกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กว่าจะโตมันก็เต็มไปด้วยกิเลสประเภทตัวตนๆ อย่างนี้ก็ใช้คำว่าตัวตนน่ะ กูแทน แทนความจริง มันใช้คำว่า ตัวกู ซึ่งไม่ใช่ ซึ่งที่แท้มันไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าตัวกู ไม่ใช่ตัวตน เราก็ได้ใช้คำนี้ได้สอนให้กับลูกเด็กๆมันก็มีตัวกู จนเด็กเค้าโง่มาตั้งแต่เล็ก มันมีตัวกู มันมีตัวตน ถ้ามีดบาดนิ้วมันก็ว่ามีดบาดกู มันไม่ได้คิดว่ามีดบาดนิ้วหรือว่าเป็นเพียงวัตถุธาตุผ่านไปในวัตถุธาตุเท่านั้น มันไม่พูดว่ามีดบาดนิ้ว แต่มันจะคอยพูดว่ามีดบาดกู ถ้ามีดบาดนิ้วมันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีดบาดกู กูมันจะตาย นี่มันก็สร้างไอ้ความโกรธ ความกลัว ความอะไรขึ้นมาอีกมากมาย เรียกว่าพอเกิดมาจากท้องมารดามันก็ถูกจับยัดเข้าไปในโรงเรียนที่สอนผิดๆ ความเป็นอยู่ที่แวดล้อมเด็กทารกอยู่มันทำให้เกิดตัวตน เกิดตัวกู ไม่บวกก็ลบเรื่อยไป พ่อแม่ยิ่งรักมากเท่าไรยิ่งส่งเสริมความรู้สึกอันนี้มากขึ้นเท่านั้น ให้กินดี ให้อยู่ดี ให้เล่นดี ให้อะไร ให้ของแพงๆ แพงเท่าไหร่ก็ไม่ว่า ไม่เห็นว่าพ่อแม่คนไหนมันจะสอนลูกว่า ไอ้นี่มันทำให้เราโง่นะ ให้พาไปที่ร้าน ที่ร้านขายของเล่น ๆที่แพงๆมากๆที่แพงมาจากเมืองนอก แล้วพ่อแม่ก็บอกว่า ถ้าแกชอบแล้วฉันก็จะซื้อให้ นี่มันแพงเท่าไรก็ตามใจมันนะ พ่อแม่ไม่ได้บอกลูกว่า ไอ้เหล่านี้มันทำให้เราโง่นะลูกเอ๋ย เค้ามีไว้หลอกเรา มีทำไว้ล้วงกระเป๋าเรา สำหรับทำให้เราโง่ ก็ไม่มีใครพูดอย่างนี้ มีแต่แกต้องการแล้วฉันก็จะซื้อให้แก ของกินที่อร่อย ที่อร่อยเกินธรรมดาเกินจำเป็นที่แพงก็อุตส่าห์พาไปกินร้านอาหารที่มันแพงๆนี้ ไม่ได้บอกลูกว่าไอ้เหล่านี้มันทำไว้สำหรับให้เราโง่ เค้าทำไว้สำหรับล้วงกระเป๋าเรา เด็กๆก็ได้รับการประคบประหงมให้ติดในฝ่ายบวกๆ นึกว่าเมื่อมีฝ่ายบวกแล้วไม่ต้องกลัว ฝ่ายลบมันต้องตามมา คนมันบวกทุกทีเสมอไปไม่ได้ มันก็มีฝ่ายลบ มันก็อยู่ด้วยตัวตนฝ่ายบวก ตัวตนฝ่ายลบอยู่อย่างนี้เสมอไป ซึ่งเราจะมีความรู้สึกที่ถูกต้องได้โดยยาก คำกลอนโบราณของแถวนี้ภาคใต้นี้มี คำที่ดีมาก ผมก็ไม่เคยพบในบาลีเหมือนกัน ลูกทารกเหล่านี้พอโตมาก็หนีทิ้งพ่อแม่ตามโจรไป หนีพ่อแม่ตามโจรไป มันทิ้งสัญชาตญาณล้วนๆที่บริสุทธิ์มันไปฝ่ายกิเลส มันหนีไปฝ่ายกิเลสตามไป ตามโจรไปหมายความว่าไปทำชั่วไปทำกิเลส ตามกิเลสเข้าสมัครพรรคพวกของกิเลส แล้วมันก็ได้รับความเจ็บปวดๆ เพราะหนีตามโจรไปเป็นโจรมันก็ทำตามแบบโจรมันก็ได้รับความเจ็บปวด จนกว่ามันจะมีสติปัญญารู้สึกตัวมันจึงจะทิ้งหนีโจรกลับมาหาพ่อแม่ ลูกเด็กๆนี่ ข้อเท็จจริงของชีวิตมันเป็นเสียอย่างนี้ มันต้องไปเข้ากับความผิด ได้รับโทษของความผิด ความบาปก่อนแล้วมันจึงจะรู้สึกตัว มันจึงจะเข็ดหลาบ แล้วมันจะหนีออกมา ใครจะเป็นผู้ไถ่ ไถ่บาปอันนี้ ถ้าเขาถือพระเจ้าเค้าก็จะว่าพระเจ้าจะช่วยไถ่บาปอันนี้ แต่เราไม่มีพระเจ้า เรามีแต่ธรรมะ แล้วก็มีตัวเอง มีธรรมะเป็นที่พึ่ง มีตัวเองเป็นที่พึ่ง ชีวิตมันสอนความเจ็บปวด มันจึงจะค่อยๆถอยหลังออกมา
พูดถึงคำว่าปีติ ปีติก็ขอให้รู้ว่ามันมีสองชนิด ปีติชนิดที่มันเป็นของฝ่ายกิเลสและปีติชนิดที่เป็นของฝ่ายโพธิ ฉะนั้นมันจงระวังคำว่าเพลิดเพลิน เป็นกิเลสแล้วมันก็ส่งเสริมตัณหา ตัณหานี่ลักษณะเป็นของนันทิ ราคะ สหคตาเสมอไป กำหนัดเป็นอำนาจของความเพลินเสมอไป ไอ้นันทิ หรือปีติอย่างนี้ไม่ไหวหรอก มันต้องเป็นปีติชนิดที่เป็นธรรมะ เป็นธรรมปีติ เราจะรู้ว่าอะไรเป็นข้าศึก อะไรมันเป็นมิตร ผม อยากจะพูด ขออภัยว่าอยากจะพูดตรงๆสักหน่อยว่า เดี๋ยวนี้กล้องถ่ายรูปกำลังฮิตนี่ มันจะกลายเป็นบริฐานที่เก้าของพวกเรา ระวังกันหน่อย บริฐานแปดไม่พอ มันจะกลายเป็นบริฐานที่เก้าขึ้นมาด้วยกล้องถ่ายรูป เดี๋ยวนี้แม่ชีก็มีกล้องถ่ายรูป มาที่นี่ ถ่ายรูปกันอยู่นั่นแหละแม่ชีเด็กๆ มันจะกลายเป็นปัจจัยอันหนึ่งซึ่งเป็นปีติอะไรก็เหมือนมันไม่ใช่ปีติที่ปลอดภัยแล้ว ต่อไปมันจะมีคอมพิวเตอร์เป็นปัจจัยที่สิบ มันจะบรรจุแต่ข้อมูลว่าแม่ยายคนไหนมีลูกสาวยังไงสวยเท่าไร มีทรัพย์สมบัติเท่าไร ถ้ามันมีคอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป มันจะเป็นซะอย่างนั้น นี่มันจะเดินไปในทางที่ว่ากิเลสต้องการ ฉะนั้นขอให้ระวังสิ่งเหล่านี้อย่าให้มันครอบงำจิตใจ ไอ้กล้องถ่ายรูปนี่ผมก็เคยเล่น แล้วก็เล่นมากเสียกว่าพวกคุณเสียอีก แต่เล่นในฐานะที่เป็นอุปกรณ์แห่งการศึกษานั่น เป็นอุปกรณ์แห่งการศึกษาก็ศึกษาโบราณคดีบ้าง ศึกษาศิลปะบ้างอะไรบ้าง มันก็มีแต่ไอ้เรื่องอย่างนั้นน่ะ อย่าให้มันเป็นอุปกรณ์แห่งการส่งเสริมความเพลิดเพลินในทางกิเลส มันไม่อาจจะเกิดธรรมปีติ ไม่อาจจะเกิดธรรมปีติ ฝ่ายข้าศึกกามหรือ กิเลสกามนั้น มันมีเสน่ห์มากเสียยิ่งกว่าฝ่ายธรรมะเสียอีก คำว่าอัสสาทะ อัสสาทะ ผมเห็นเขาแปลกัน ในคำแปลในสันสกฤตเขาแปลว่า คุณ คุณเฉยๆ แต่ที่จริงคำนี้ไม่ใช่คุณเฉยๆไม่ใช่คุณกลางๆมันหมายถึงคุณค่า ที่หลอกลวงให้รัก ให้หลงรัก ให้เพลิดเพลิน ให้เป็นย้อมจิต ย้อมใจ มันเป็นคำคู่กับคำว่า อาทีนว อาทีนว โทษ เลวทราม ไม่น่ารักไม่น่าพอใจ แต่อัสสาทะนี่เสน่ห์ อันน่ารัก ไม่ได้เป็นคำกลางๆว่าคุณ ว่าคุณค่าเฉยๆ เพราะฉะนั้นระวังอัสสาทะที่มันจะเกิดจากไอ้สิ่งเหล่านี้ ถ้าปัจจัยที่ห้ามันมีอัสสาทะไปในทางกิเลสแล้วมันก็เสีย มันก็เป็นเรื่องยุ่ง เพราะฉะนั้นจงรู้จักใช้ไอ้สิ่งที่เรามีที่เราจะเกี่ยวข้องนี่ ชนิดที่มันจะไม่หลอกลวงเรา ไม่ทำอัสสาทะหรือมีเสน่ห์แก่เราที่ทำให้เราโง่ ให้มันกลายเป็นว่าทำให้เราฉลาดเสมอไป แล้วเราก็จะไม่มีอัสสาทะ แล้วก็จะไม่ต้องรับโทษคือ อาทีนว อาทีนวคือโทษอันต่ำทราม อัสสาทะคือเสน่ห์อันหอมหวนอันหลอกลวง อย่าไปหลงอัสสาทะเราก็จะไม่มีปีติของกิเลส ปีติของกิเลสในสิ่งที่เรียกว่าอัสสาทะก็เต็มไปด้วยปัจจัยแห่งกิเลส ก็เป็นรูป เสียง กลิ่น รส บถพระ(นาทีที่ 34:05) ธรรมารมณ์ใดๆก็ตาม มันให้เกิดอัสสาทะแก่กิเลสได้ทั้งนั้นแหละ แต่ต้องควบคุมไว้ให้ดีให้มันเกิดปัญญา ให้เป็นการศึกษา ให้อุปกรณ์เหล่านี้มันเป็นให้การศึกษาให้ประโยชน์แก่การศึกษา จะต้องระวังฝ่ายลบหรือฝ่ายผิดฝ่ายศัตรูไว้เสมอ เมื่อเราเรียนนักธรรมตรี เราก็เรียนเรื่อง อันตรายแห่งภิกษุใหม่ เรียนนักธรรมะตรีนี่ พอเรียนนักธรรมโท เราก็เรียนเรื่องเมถุนสังโยค เมถุนสังโยคะ มันคนละชั้นคนละระดับ ระวังไอ้เมถุนสังโยคนี่มันเป็นสาทฝ่ายที่จะพาไปหากิเลส เมถุนสังโยค ๗ ประการ เข้าไปก็จะว่าจะถามว่าเดี๋ยวนี้ใครยังจำได้ ที่นั่งอยู่ในที่นี่ทั้งหมดใครจำได้ ลองว่ามาให้ครบทั้งหมด ๗ ประการ มันจะหายไปจากในความทรงจะซะแล้ว เช่นเดียวกับอันตรายภิกษุบวชใหม่ ๕ ประการ มันไม่ค่อยจะมีเหลืออยู่ในความทรงจำ อันนี้มันก็ยากที่จะมีธรรมปีติ เมถุนสังโยคนี่มันน่ากลัว มันน่ากลัวที่สุด สัมผัสโดยตรงกับเพศตรงกันข้าม มันเป็นข้อแรก แล้วก็ได้เล่นหัวหยอกเย้า นี่มันเป็นข้อต่อมา แล้วมันก็ได้จ้องดู ๆ ดูความเป็นหญิงหรือความเป็นชายแล้วแต่มันจะเป็นคนหญิงหรือจะเป็นคนชาย แล้วมันก็จะได้ยินเสียงอยากที่จะได้ยินเสียง แล้วมันก็เอาสัญญาเก่าๆมาคิดมานึกว่าได้สัมผัสกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วมันก็คอยเห็นพวกหนุ่มๆพระบดีบุตรน่ะ ที่มีความบันเทิงรื่นเริงในทางกาม แล้วข้อสุดท้ายมันจะประพฤติพรหมจรรย์เพื่อได้ไปเกิดเป็นเทพเป็นเทวดา มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าไม่มีความหมาย แม้แต่คำว่ากำลังประพฤติพรหมจรรย์เพื่อไปเกิดเป็นเทพในเทวโลก ซึ่งสมบูรณ์ด้วยกามารมณ์ ทีนี่มันก็ยังมีความหมายมากอยู่ ทำอะไรก็เพื่อกามารมณ์ เมถุนสังโยคข้อสุดท้าย ทำอะไรๆก็เพื่อกามารมณ์ ถ้าเราจะพูดว่าเดี๋ยวนี้เราเรียนมหาวิทยาลัยแล้วเพื่อรับปริญญาให้ได้ แต่ปริญญานี้มันเพื่ออะไร ถ้าว่าปริญญานี้มันเป็นไปเพื่อว่าได้แม่ยายที่รวย มีลูกสาวที่สวย มีอะไรทำนองนี้จะว่ายังไง เดี๋ยวนี้เรียนมหาลัยเพื่อไปเกิดในเทวโลก ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อเกิดในเทวโลกหรือเปล่า มันก็ยังเป็นเมถุนสังโยคที่น่ากลัวอยู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งลืม ๆ อันตรายของภิกษุบวชใหม่ นักธรรมชั้นตรีดูเหมือนเล่นๆ พอมาถึงนักธรรมชั้นโท เมถุนสังโยค ๗ ประการนี่มันยิ่งหนักเข้าไปอีก แล้วมันจะพอครอบเอาโดยไม่รู้สึกตัว เพราะฉะนั้นจึงมีสติ สัมปชัญญะ มีหิริ มีโอตตัปปะ อย่าให้มันครอบงำเอาง่ายๆ มันจะได้มีสิ่งที่พอใจ ธรรมปีติ ธรรมปีติ อย่าให้เป็นกิเลสปีติ ธรรมปีติมันจะไม่เป็นปัจจัยที่ห้าสำหรับหล่อเลี้ยงดวงจิตดวงวิญญาณ ธรรมปัจจัย ธรรมปีติ ขอให้มีทั้งโดยปริยัติ โดยปฏิบัติ โดยปฏิเวธ อย่างที่กล่าวมาแล้ว ขอให้มี มีคาถาที่ท่านแต่งขึ้น ให้ชอบใจปริยัติเหมือนกับนางฟ้า มุนินทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีปาณีนัง สะระนัง วาณี มัยหัง ปิณิยะตัง มะนัง เขาใช้เป็นคาถาให้ผู้ที่เรียนเรื่องพระไตรปิฎกนี่ ท่องประจำถือเป็นหลักตลอดเวลา พระไตรปิฎกนั่นแหละคือวาณีคือนางฟ้า เกิดมาแต่ดอกบัวคือพระโอษฏ์แห่งพระพุทธเจ้าผู้เป็นจอมแห่งมุนิทะ วะทะนัมพุชะ คัพภะสัมภะวะ สุนทะรีนี่ล่ะ เรารู้สึกอย่างนี้กันหรือเปล่า เรารักการเรียน การศึกษาเหมือนกับมันเป็นนางฟ้าหรือเปล่า แต่ว่านางฟ้าชนิดนี้ ปาณีนัง สะระนัง วาณี เป็นที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลาย มัยหัง ปิณิยะตัง มะนัง จงเข้ามาครองงำจิตใจของข้าพเจ้าให้ติดแน่นอยู่เลย จงมาครอบงำจิตใจของข้าพเจ้าให้มันติดแน่นอยู่เลย นี่ถ้าปริยัติของเราเป็นอย่างนี้ เราก็จะมีธรรมปีติเหลือประมาณ ในการที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจโดยวิถีทางแห่งปริยัติ ทีนี้ก็ปฏิบัติ ปฏิบัติมันก็มีศีลเป็นที่พอใจของตัวยกมือไหว้ตัวเองได้เสมอ แล้วก็มีธุดงค์ซึ่งผมอยากจะขอร้องว่าอย่ารังเกียจธุดงค์ในทุกความหมาย ด้วยอาหารการกินก็ดี ขอให้มันเป็นการกำจัดกิเลส โดยเครื่องนุ่งห่มก็ดีให้มันกำจัดกิเลส ที่อยู่อาศัยก็ดี ยารักษาโรคก็ดี อย่างที่เราสอนกันเฉยๆ แต่ไม่ค่อยที่จะได้ปฏิบัติ จะไปสวนสนหรือมาสวนโมกข์ก็ขอให้เวลาที่มันได้เสพครบกับสิ่งที่เรียกว่า ธุดงค์ ธุสังฆะนี่ให้มากๆ ปฏิบัติจะเกิดเป็นปัจจัยที่ห้า หล่อเลี้ยงวิญญาณโดยธุดงค์นั่นเองๆ เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นสิ่งที่ไม่ชอบหรือรังเกียจ หรือน่าเกลียดไปซะอีก ธุดงค์ๆมันไม่ได้เป็นที่น่ารัก น่าพอใจ นี่ถ้าปฏิบัติสมาธิก็ขอให้รสของสมาธินั่นแหละ เป็นความสุข เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงทางวิญญาณ ปฐมฌานมีความสุขเกิดจากวิเวกจากกามน่ะ วิเวกจากกาม ทุติยฌานมีความสุขเกิดจากปีติ ตติยฌาณมีความสุขเกิดจากการเว้นเสียซึ่งปีติ สุขในอุเบกขา อุเบกขามีความสุขเหลือประมาณในจตุตยฌาน มองดูความสุขมีทั้งในฌานทั้งสี่ ยิ่งไปถึงรูปฌาน ยิ่งละเอียดก็ยิ่งปราณีตเข้าไปอีกไม่ค่อยจะเห็นตัว แต่ว่าที่มันจะเข้าฌาญนานนับเดือนไม่เขยื้อนไม่เคลื่อนกายาได้นี่มันเป็นพวกรูปฌาน สมาธิที่มีสุขปีติหล่อเลี้ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ทุติยฌานนะ ลองฝึกอาณาปานสติก็ไม่ยาก จะได้ไอ้ความสุขเหล่านี้โดยไม่ยาก ลองฝึกอาณาปานสติ คือทำกรรมฐานให้มันถูกต้อง ตามวิธีของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสว่า ภาวนา สมาธิภาวนาที่เย็นก็คือ อาณาปานสติ อย่างอื่นมันร้อน และมันยุ่งท่านไม่เคยแนะนำ อย่างพระภิกษุเกิดฆ่าตัวตายกันมาก ท่านก็ใช้ไปเจริญอาณาปานสติ เพราะว่ามันจะเย็น มันจะหยุด แล้วพระองค์เองก็ว่าอยู่ด้วยอาณาปานสติ เป็นวิหารธรรม จึงได้ตรัสรู้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คล้ายๆกับว่าท่านมีข้อเดียวเท่านั้นแหละ ที่สวนโมกข์เราก็ถือข้อนี้แหละเป็นหลัก แบบเดิมของพระพุทธเจ้า พุทธทาสโง่ไม่สามารถจะปฏิบัติแบบใหม่ใดๆอะไรได้ เพียงที่บัญญัติขึ้นมามากมายในวิสุทธิมรรคเราก็ไม่เอาหรอก เราก็ไม่อยากหรอกไม่อยากจะแตะต้อง สมัยนี้วิสุทธิมรรคมันพันปีมันก็บัญญัติขึ้นหลายสิบแบบ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีแบบต่างๆนานา เราไม่เอา เราเอาแบบเดิมแท้แบบเดียวของพระพุทธเจ้า แล้วอย่าเรียกว่าแบบสวนโมกข์นะไม่เอานะ มันแบบของพระพุทธเจ้านะเดิมแท้ของพระพุทธองค์นะ สวนโมกข์ไม่มีแบบสวนโมกข์หรอก มีแบบอาณาปานสติของพระพุทธเจ้านั่นแหละ ขอให้สวามิภักดิ์ จงรัก ซื่อตรงกับแบบนั้น แล้วไปศึกษาให้ดี มันยังมีเรื่องที่ละเอียดที่ต้องศึกษาอีกมาก อาณาปานสติสองสามคำในโรงเรียนนั้นไม่พอ เพราะอาณาปานสติที่กล่าวไว้ลุ่นๆสั้นๆ ในมหาสติปัฏฐานสูตรน่ะไม่พอ มหาสติปัฏฐานสูตรมันของพูดน่ะ มันของเพิ่มใหม่พูดใหม่ มีความไม่สมบูรณ์อยู่หลายๆอย่าง ถ้าจะใช้อาณาปานสติก็ต้องใฝ่เอา อาณาปานสติในอาณาปานสติสูตรอุปริปปัณณาสก์ มัจฌิมะนิกายนู่น อย่าไปเอาในมหาสติปัฏฐานสูตรในทีฆนิกายเลย อย่าไปเอาเลย ถ้าผมพูดอย่างนี้มันถูกด่านะ ผมรู้เหมือนกันแหละว่าถูกด่า เพราะเขายึดมั่นกันในมหาสติปัฏฐานสูตรกันมาก แต่แล้วไปดูมันไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันเป็นแนวเป็นอะไรต่ออะไรติดต่อกันโดยตลอด ตั้งแต่จุดตั้งต้นจนถึงมรรคผลนิพพาน บัญญัติเป็นหมวดๆหมวดเอาไว้ จนไม่แสดงการปฏิบัติเอาเสียเลย ถ้าอานาปานสติสูตรต้องแสดงการปฏิบัติต้องกำหนดลมหายใจๆ รู้จักลมหายใจที่เนื่องกับร่างกาย และทำให้มันระงับ ลมหายใจ ระงับร่างกายนี่ก็ระงับ แล้วทำให้เกิดปีติขึ้นมาในหมวดเวทนา ในหมวดที่สอง มีปีติมีสุขไม่รู้ ไอ้หมอนี่แหละมันปรุงแต่งความคิด ลดมันเสียๆ ลดจิตสังขารเสีย และหมวดที่สามมันเล่นงานกับจิตรู้จักจิตทุกชนิดๆ ทุกชนิดบังคับมันได้ บังคับจิตให้บันเทิงกันได้ ตั้งมั่นเป็นสมาธิก็ได้ให้ปล่อยให้วางก็ได้ พอมาถึงหมวดที่สี่ก็วิเศษแสนที่จะวิเศษ มันรู้อนิจจังในทุกความหมาย แล้วก็มารู้ทุกขังโดยอัตโนมัติคล้ายๆมันรู้อนิจจัง มารู้ทุกขัง เมื่อรู้อนิจจัง ทุกขัง มันก็ต้องรู้อนัตตาเป็นธรรมดา อนิจานุปัสสีมันกินความมาถึงรู้อนัตตา แล้วก็มารู้วิราคะที่อุปทานคลายออกๆเป็นวิราคานุปัสสี แล้วมันก็มีนิโรทานุปัสสีดับๆดับแห่งอุปาทา ดับๆแห่งทุกข์ มาแถมพิเศษเกินจำเป็นว่า ปฏินิปาทานุปัสสี รู้ว่าเดี๋ยวนี้หมดแล้ว สลัดคืนหมดแล้ว รู้อีกด้วยจุดตั้งต้นจาก ก ถึง ฮ เลยแหละอานาปานสติสูตรในมัจฌิมนิกาย จนอาณาปานสติในมหาสติปัฏฐานสูตร พูดนิดเดียวสองสามคำให้กำหนดลมหายใจ รู้สั้นยาวเท่านั้นแหละก็พอ เหมือนคนชักเชือกให้เครื่องลูกโม่ลูกกลึงไว้สำหรับปั้นหม้อก็มีแค่นั้น ถ้าไปเทียบกับอาณาปานสติในมัจฌิมนิกายแล้วก็ผิดกันมหาศาล ก็ขอเสนออาณาปานสติในมัจฌิมนิกาย แล้วจะได้พบกับความเย็นความสงบใจไปตั้งแต่ต้น ตั้งแต่กายานุปัสสนานี่จะพบความเย็นใจเป็นสุขเย็นใจ ชนิดเข้าฌานนานนับเดือนไม่เขยื้อนกายา จำศีลกินวาจาได้แน่นอน
ในการปฏิบัติเราจะได้รับสิ่งประเล้าประโลมใจ ไม่ใช่แต่จะได้เพื่อสิ้นกิเลสอย่างเดียว แต่จะได้สิ่งประเล้าประโลมใจทำจิตใจให้ชื่นบานทำระบบประสาทให้แจ่มใสสดใส ให้เข้มแข็ง ให้เรียกว่าจากสมาธิภาวนา อ้าวทีนี้มันไปถึงวิปัสนาภาวนา ก็ยิ่งมีสิ่งประเล้าประโลมใจ ละเอียดปราณีตสูงขึ้นไปฝ่ายวิปัสนาภาวนะ แปลว่าเห็นแจ้ง เห็นแจ้ง อนิจจังเป็นข้อแรก ผมใช้คำว่า ๙ ตา ๙ ตา เป็นตา ตา ตา ตา หรือจะ อนิจตา ทุกขตา อนัตตตา มันตั้งตนด้วยการเห็นอนิจจังนี่สำคัญมาก ถ้าไม่เห็นอนิจจังแล้วจะไม่เห็นธรรมะต่อไป เห็นความไหลเรื่อยเปลี่ยนแปลงเรื่อยของสังขารทั้งปวง สังขารทั้งปวงเปลี่ยนแปลงเรื่อย คำว่าสังขาร สังขารนี่ก็อย่า อย่าให้ความหมายมันผิดๆเหมือนชาวบ้าน สังขารก็คือร่างกาย สิ้นสังขารก็คือตาย อย่างนี้นี่มันสำหรับชาวบ้านพูด พวกเราอย่าพูดทำนองนั้นมันไม่ไหวแล้ว สังขาร สังขาระก็แปลว่าปรุงแต่ง ไม่เกี่ยวกับร่างกายล่ะ ปรุงแต่ง ๆ ในความหมายสามประการน่ะ สังขารคือสิ่งที่ทำการปรุงแต่งหรือผู้ปรุงแต่งนี่ก็เรียกว่าสังขาร แล้วสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง ถูกมันปรุงแต่งก็เรียกว่าสังขาร แล้วการปรุงแต่งกริยาอันนั้นก็เรียกว่าสังขาร ภาษาฝรั่งที่ฟังดูเหมาะๆ ที่จะพูดง่ายๆว่า Conditioner ผู้ปรุงแต่ง แล้ว Conditioned เติม ed เข้าไปก็คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่ง แล้ว Conditioning เติม ing เข้าไปก็คือการปรุงแต่ง ทั้งสามความหมายอย่างนี้เรียกว่าสังขาร ดับสังขารคนไม่ต้องตาย ดับสังขารยิ่งสบาย ดับสังขารซะได้มันยิ่งสบาย ผู้ปรุงแต่ง สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง แล้วก็การปรุงแต่งนี่คำว่าสังขาร หมายความของพุทธศาสนา ถ้าเราเห็นความไม่เที่ยง ๆ ของสังขารอันนั้นน่ะคือเห็นอนิจจัง อนิจจัง ในมัจฌมนิกายมีสูตรอยู่สูตรหนึ่งจะเรียกว่า อารกสูตรนะทำนองนี้นะ ชื่อผมก็จำไม่ค่อยได้หรอก เดี๋ยวนี้แย่มากเลยความจำ พระพุทธเจ้าตรัสว่าในเมืองไกลพู้น มีศาสดาชื่อ อารกะ สอนอนิจจังเหมือนที่เราสอน ๆ นี่ก็เท่ากับยอมรับว่าความรู้เรื่องอนิจจังนี่ไม่ใช่มีแค่พระองค์สอน ก็มีคนสอนเพราะมันเป็นจุดเบื้องต้น แต่เขาอาจจะสอนแค่อนิจจัง ไม่สอน ทุกขัง ไม่สอนอนัตตาก็ได้ ผมเปิดดูใน Dictionary ....(นาทีที่ 51:50) ก็พบว่าคนกรีซ ที่ชื่อ ฮีลัสติกัส(นาทีที่ 51:52) พ้องๆสมัยกับพุทธกาล ไอ้คนนี้มันสอนลัทธิ แพนทารี่(นาทีที่ 52:01) แพนทารี่ แพนทา แปลว่าทั้งหมด รี่ แปลว่าหลาย แพนทารี่ ทั้งหมดหลาย ทั้งหมดหลาย มันจะมองว่าเป็นนี่ก็ได้ ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะไม่รู้จักตัวแต่ก็จะต้องได้ยินว่ามีคนสอนเรื่องนี้ เรื่องอนิจจัง ทุกอย่างหลาย ๆ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับในความหมายที่เป็นธรรมะที่จะมีประโยชน์ เขาหาว่าบ้า ไอ้บ้า ที่ว่าทุกอย่างหลาย แล้วเขาสอนเรื่องว่าอะไรล่ะ ว่า ออกซิเคียว(นาทีที่ 52:33) เป็นออกซิเคียวเป็นของลึกลับไม่มีประโยชน์อะไร คำสอนเรื่องอนิจจังก็เลยตายด้านๆ แล้วพอมาถึงพระพุทธศาสนาเรานี้ จะต้องเป็นจุดตั้งต้นที่สำคัญอย่างยิ่ง ต้องเห็นอนิจจัง ไม่เห็นอนิจจังไม่มีจุดตั้งต้นแห่งวิปัสสนา อนิจจังคือเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ จะไปเอากับเรื่องที่สิ่งเปลี่ยนแปลงเรื่อยมันก็กัดเอา มันก็เป็นทุกข์ มันก็เป็นทุกข์เพราะอนิจจังนี่แหละ มันก็เห็นทุกข์เป็นอนิจตาก็ต้องเป็นอนิจตา ทั้งทุกขตา อนิจตา นี่เราบังคับไม่ได้ ต่อสู้ไม่ได้นี่แหละคือเป็นอนัตตา วิปัสสนามันต้องตั้งต้นด้วยอนิจตา แล้วก็มาทุกขตา แล้วก็มาอนัตตตา ประเด็นต่อไปนี้ โอนี่เป็นธรรมดาของธรรมชาติ เป็นอย่างนี้เองมันตั้งอยู่อย่างนี้เอง เรียกว่า ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมัฏฐิตัตตาตั้งอยู่อย่างนี้เองตามธรรมชาติ เมื่อเห็นชัดมันอ้าว มันเป็นกฏตายตัวโว๊ย มันเป็นธัมนิยามตา ธัมมนิยามตาเป็นกฏตายตัว รวมกันเรียกว่า อิทัปปัจยตา คือคามที่สิ่งทั้งเหตุทั้งปวงต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ทีนี้ได้มาอีกสามตาใช่มั้ย ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมนียามตา อิทัปปัจจยตา ได้มาอีกสามตา ไม่ต้องกลัวพอเห็น อิทัปปัจจยตา ล่ะก็เห็นว่าโอ้โห มีแต่กระแสแห่งความหลายไม่มีตัวตนนี่ สุญญตา สุญญตา เห็นไม่มีตัวตนว่างจากตัวตนเห็นสิ่งเมตตา พอเห็นว่างจากตัวตนก็ โอ้มันเป็นเช่นนี้เองโว้ยๆ เพราะเห็นตถาตา หรือ ตถัตตา พอเห็นตถาตา ตถัตตา เช่นนี้เอง ๆ ก็กูไม่เอากับมึงแล้วโว้ย นี่ อตัมมยตา อตัมมยตา เราก็ได้มาอีกสามตา สุญญตา ตถัตตา แล้วก็อตัมมยตา ชุดละสามๆสามตารวมเป็น ๙ ตา นี่ตัวแท้ของวิปัสสนา พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติญาณของวิปัสสนาไว้อย่างชัดเจนเหมือนกับวิปัสสนา ญาณ ๙ ที่เขาบัญญัติทีหลัง วิปัสสนาญาณ ๙ ที่เราเรียน คณะอาจารย์ไหนก็ตามสมัยวิสุทธิมัคค์หรือสมัยไหนก็ไม่รู้ก็บัญญัติให้เป็น ๙ แล้วก็เรียกว่าวิปัสสนา ของผมว่าวิปัสสนานั้นก็ไม่เป็นไรหรอก มันก็คงนำไปสู่วิปัสสนา ที่ผมชอบไอ้ ๙ ตา ๙ ตานี่ ก็ลองวิปัสสนาญาณ ๙ แล้วมันก็จะมาสู่อนิจตา ทุกขตา อนัตตา ธัมมัฏฐิตัตตา ธัมมนียามตา อิทัปปัจจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตา จบ อตัมมยตา พอกันทีไม่ให้มันถูกปรุงแต่งอีกต่อไปนี่ มันมาจากตถาตา เห็นตถาตามันจึงเป็นตถาคต ตถา ตถาก็มีความหมายอย่างเดียวกับตถัตตา ตถา ตถาคืออย่างนั้นหรือเช่นนั้น ความเป็นอย่างนั้น ความเป็นเช่นนั้นเรียกว่า ตถาตา ที่เรามานึกถึงคำว่า ตถาคตะ ตถาคโต ตถาคโตเนี่ย เรามักจะแปลกันมาอย่างนั้นไปอย่างนั้น ผมเห็นว่าไม่มีเหตุผลซะแล้ว ต้องแปลว่าผู้ถึงซึ่งตถานี่ ตถาคต ผู้ถึงซึ่งตถา ผู้ถึงซึ่งตถา คือถึงซึ่งพระนิพพาน ถึงอสังขตะก็เป็นตถาคต คำว่าตถาคตนี่หมายความว่าพระอรหันต์ทั้งปวง พระพุทธเจ้าถ้าพระพุทธเจ้าได้เรียกว่าพระองค์ว่าตถาคตก็เหมือนกับว่าพระองค์ถึงซึ่งตถาเหมือนกับอรหันต์ทั้งหลาย ข้อนี้มันสำคัญตรงที่จะไปทำความหมายหรือความเข้าใจแก่อันตคาหิกทิฏฐิ ๑๐ อย่าลืม อันนี้สำคัญมาก เรื่องอันตคาหิกทิฏฐิ ๑๐ นี่อย่าลืมมันมีคำที่แปลผิดๆว่า ตถาคตหลังจากตายแล้วมีอีก ตถาคตหลังจากตายแล้วไม่มีอีก ตถาคตหลังจากตายแล้วมีอีก ก็ไม่มี ๆ อีก มันก็มีอีก คำว่าตถาคตในนักธรรมโทแปลว่า มันถูกตรงกับความหมายหรือไม่ มันแปลว่าสัตว์บ้างมันแปลว่าอะไรบ้าง ด้วยอาศัยความหมายของคำ คำว่าตถาคตมันแปลว่าถึงซึ่งตถาแล้วนั่นล่ะ คือสำเร็จ สำเร็จถึงที่สุดแล้ว อาจจะใช้ในลัทธิอื่นก็ได้ ก็ขอให้มีความหมายว่าถึงที่สุดแล้วเหมือนกัน ผู้ที่เป็นอรหันต์คือถึงที่สุดของความเป็นมนุษย์แล้ว ตายแล้วจะมาเกิดใหม่อีกหรือไม่ พวกหนึ่งว่าเกิดอีกพวกหนึ่งบอกว่าไม่เกิดอีก พวกหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ ไม่เกิดก็ไม่ใช่ ตถาคตคำนั้นต้องแปลว่าพระอรหันต์ ผู้ถึงซึ่งตถาตายแล้วเกิดหรือไม่เกิด หรือไม่ทั้งสองอย่าง นี่มันเป็นคำที่จะต้องเข้าใจความหมายถูกต้อง ที่เราเรียนๆมามันก็ต้องขออภัยบางอย่างมันไม่ถูกต้อง บางอย่างมันแคบ บางอย่างมันเฉ ขอให้เรียนกันใหม่เถอะ นักธรรมตรีน่ะเรียนใหม่เถอะ แม้ในระดับมหาวิทยาลัยขอให้เรียนใหม่ ขอให้เรียนนวโกวาทกันเถอะ เรียนธรรมวิภากกันใหม่ ให้เข้าใจถูกต้อง ถูกความหมาย ผมจะเรียกว่านักธรรมชั้นพิเศษ จบชั้นเอกแล้วขอให้เรียนชั้นพิเศษอีกที ให้เข้าใจความหมายของธรรมทุกคำๆ ธรรมะ ธรรมะอย่างนี้มันแปลว่า หน้าที่ แปลว่าเสียงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าสอนว่าอะไร ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ธรรมะสำหรับภรรยาก็หน้าที่ที่ภรรยาจะต้องปฏิบัติ ธรรมะสำหรับสามีก็คือหน้าที่ที่สามีจะต้องปฏิบัติ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็หน้าที่ที่พระพุทธเจ้าจะต้องปฏิบัติ คำว่าหน้าที่ หน้าที่นี่ล่ะ เป็นความหมายที่ถูกต้องของคำว่าธรรมะ ธรรมะ พูดกันก่อนตั้งแต่พระพุทธเจ้าเกิดนะ มันเป็นมนุษย์คนแรกสังเกตุเห็นไอ้สิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ๆมันสำคัญอย่างยิ่งไม่ทำก็ตายแหละ มันจึงพูดคำนี้ขึ้นมา คือหน้าที่ หน้าที่ของสิ่งมีชีวิตจะต้องทำ นั่นแหละคือธรรมะแหละ เมื่อเขาเรียนรู้น้อย รู้ต่ำเขาก็สอนกันต่ำๆ ไอ้คำว่าหน้าที่ ธรรมะนี่ก็มาเรื่อยๆมาจนถึงยุคพระพุทธเจ้า ท่านสอนหน้าที่สูงสุดหลุดพ้นเหนือกิเลส เหนือความทุกข์ทั้งปวงนั่นล่ะคือธรรมะสมบูรณ์ ธรรมะ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ ไม่ทำก็คือตาย สอนให้คนถือธรรมะก็คือ ให้ทำหน้าที่ขออย่าให้บกพร่อง นี่คือความรู้เพียงนวโกวาทมันก็ไม่ได้บอกอย่างนี้ แปลว่าควรจะต้องเรียนให้ถึงที่สุด ธรรมะแปลว่าหน้าที่ คือสิ่งที่ช่วยให้รอด ไม่มีธรรมะก็คือตาย ตายโดยกายหรือตายโดยจิตใจก็ได้ ไม่มีหน้าที่ก็คือตาย คำสอนปัจจุบันทุกวันนี้ไม่ว่าคนทุกข์ยากเย็นเข็ญใจไม่ว่ามั่งมี ขอให้ทำหน้าที่แล้วเขาก็จะมีธรรมะ ธรรมะ นี่ตัวอย่างที่ว่าเราเรียนนวโกวาทกันใหม่เถิด ขอให้เข้าใจลึกไปถึงความหมายที่สุดของมัน ก็น่าเห็นใจคนบวชเข้ามาสองสามวันจะให้มาเรียนลึกๆมันก็เรียนไม่ได้ เรียนเท่าที่นวโกวาทสอนให้ก็เยอะแยะเหลือเกินรู้แต่ว่ามันยังไม่ถึงที่สุด เรียนนวโกวาทซะใหม่ นักธรรมโท นักธรรมเอกมันชั้นพิเศษ มันจะรู้ธรรมะ และขอให้มีความสนุกสนานเพลิดเพลิน พอใจกับการเรียนปริยัติ การปฏิบัตินับตั้งแต่ธุดงค์ถึงสมถะถึงวิปัสสนา จะให้ความพอใจๆ เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงทางวิญญาณให้มีความสุขด้วย แล้วก็จะให้ผลสุดท้ายคือความสิ้นอาสวะด้วย หลังจากวิปัสสนาแล้วมันก็มีอะไรล่ะมันก็ต้องมีนิพพาน อ้าวทีนี้คำว่านิพพาน นิพพานเนี่ยก็เอาอีกแล้ว มันก็มีปัญหามันบัญญัตินิพพานกันว่าตายไปหมดแล้ว ตายแล้วจึงจะได้นิพพาน มันบ้าบอที่สุด เอาไปทำไมล่ะตายแล้ว มันต้องได้ทั้งที่มันไม่ตายสิ ไอ้นิพพาน นิพพานไปดูในพระไตรปิฎก ตรงไหนบ้างที่แปลว่าตาย ทั้งพระไตรปิฎกมันไม่มีหรอกคำว่านิพพานแปลว่าตาย ตายมันมีคำอื่น มรณะหรือคำอื่น ไม่ว่าจะตายอย่างที่เรียกว่าตายมันก็ไม่เคยใช้คำว่านิพพาน ใช้คำว่าปรินิพพานนั้นใช้เฉพาะบางกรณีเท่านั้นน่ะ การปรินิพพานจะมีสามเดือนแต่นี้ ตรงปลงอายุสังขารนี้ก็ไม่ได้ใช้คำว่านิพพาน ใช้คำว่าปรินิพพานตรงไหนใช้คำว่านิพพานตรงนั้นนี่เย็น เป็นความหมายแห่งเย็น ตามความหมายเดิมของคำว่านิพพาน นิพพานแปลว่าไปหมดแห่งความร้อน ผมคิดความคำแปลของคำนี้ก็เอาตามความหมายเดิม คิดไม่ออกก็เอาความหมายเดิมของคำว่านิพพาน นิพพานแปลว่าเย็น เพราะว่าในครัวในตลาดเขาก็ว่าพูดคำว่านิพพาน นิพพาน ของที่ยังร้อน กินไม่ได้ ข้าวต้มก็ดี อะไรก็ดี ร้อนกินไม่ได้รอให้มันนิพพานแล้วมันก็เย็น พอไฟที่มันลุกโพลงๆ ดับลงไปก็เรียกว่านิพพาน ในครัวก็มีคำว่านิพพานใช้ หมายถึงดับแห่งไฟหรือเย็นแห่งของร้อน ปัจโช ตัจเส วนิพพานัง เหมือนนิพพานแห่งไฟน่ะ ปัจโช ตัจเส ปัจโชโตมันคือไฟ ปัจโช ตัสสะ เอวะนิพานัง เหมือนกับปัจนิพพานแห่งไฟ ใช้กับคำว่าไฟคือดับเย็น บางสูตรนั้นมีคำว่านิพาปะยะ เป็นช่างทองหลอม หลอมทอง หลอมละลายเคว้งแล้วเขาจะทำให้มันเย็นเพื่อจะได้ทำเป็นรูปพรรณต่อไป ตรงนี้คำบาลีว่า นิพาปะยะ ไอ้ทำทองที่มันหลอมละลายอยู่ในเบ้าให้มันเย็น ก็ใช้คำว่านิพาปะยะ ทำให้มันนิพพาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทำให้มันสูญสิ้นไป ทำให้มันเย็น นิพพานะ นิพพา นะแปลว่าสิ้นไปแห่งความร้อน ถ้าไปพูดกับพวกฝรั่ง ผมเห็นว่าใช้คำว่า Quench คำนั้นล่ะดีที่สุด Quench ซึ่งแปลว่าหมดไปก็ได้ แต่หมดไปแห่งความร้อน Quenching ของความทุกข์ของกิเลสของปัญหา แปลนิพพานว่า Quench อย่าแปลว่าตายเลย ถึงมันจะมีความหมายว่าสิ้นกิเลส มันก็มีความหมายของคำว่า Quench อยู่นั่นแหละ คือกิเลสมัน Quench ไป แล้วความทุกข์มันก็ Quench ไป คำว่า Quench นี้มีความหมายดีมาก คือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาหมดไปเค้าเรียกว่า Quench, Quenching out each, quenching output. Quenching เราก็ได้ความเย็นนะ ในการปฏิบัติไปรเวท มันก็ได้มาซึ่งความเย็น ได้ชีวิตที่เย็น ได้ความเย็นอกเย็นใจนั่นแหละคือนิพพาน นี่เป็นสิ่งหนึ่ง ประเล้าประโลมใจหล่อเลี้ยงจิตใจอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีความหมายที่สมบูรณ์ก็เอาความหมายของคำว่า นิพพุติ นิพพุติ คำเดียวกับนิพพานแต่ยังไม่ถึงระดับสูงสุด เราพูดกันอยู่ทุกวันให้พรเขาอยู่ทุกวันแต่เราก็ยังก็ยังไม่รู้จักนี่มันแย่มากนะ สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ ใครไม่เคยว่าบ้าง เวลาให้ศีลจบก็ สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา สีเลนะ นิพพุตติง ยันติ แล้วทำไมไม่รู้ว่านิพพุตติ ยันตินั่นคืออะไร จะให้เขาเดี๋ยวนี้ให้เขาอยู่ในโลกนี้ด้วยนิพุตติงน่ะ มันคือความหมายแห่งนิพพานในความหมายที่ว่าเย็น ขอให้คุณมีชีวิตเย็น มีการเป็นอยู่อย่างเย็น เย็นอกเย็นใจมีนิพพุตติ ผู้ใดมีนิพพุตติผู้นั้นได้รับสิ่งประเล้าประโลมใจสูงสุดๆไม่มีอะไรแล้ว ก็ขอให้เราได้นิพพุตติมาเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตเถิด ส่วนนิพพานะจะอยู่ข้างหน้าโดยแน่นอนโดยอัตโนมัติ เดี๋ยวนี้มีนิพพานน้อยๆ นิพพานน้อยๆไปพลาง เป็นนิพพุตติ นิพพุตติ เป็นคำที่ใช้กันมาแล้วในครั้งพุทธกาล นิพพุตติ นิพพุตติ นิพพุตโต นิพพุตตา แล้วแต่เทศน์ หรือจะเป็นในธรรมบทหรืออันไหนผมก็จำไม่ค่อยได้ ก็แล้วแต่ว่า ในการประกวดหญิงสาวให้เจ้าชายสิทธัตถะเลือก ก็พอเจ้าชายสิทธัตถะมาสู่ที่ประชุมนั้น หญิงสาวคนหนึ่งชื่อโภตมียะ (นาทีที่ 01:07:26) เป็นสากยะ สากยาณี พูดว่า นิพพุตาโนนิโสภาตา นิพพุโตนะโสติปิโต ที่ว่าบุรุษนี้เป็นบิดาของใคร บุรุษนี้เป็นลูกของใครบิดาก็จะเป็น นิพพุโต เป็นลูกของแม่คนไหน มารดานั้นก็จะเป็นนิพพุตา นี่คำนี้ใช้ตามบ้านแม้แต่หญิงธรรมดาเขาก็พูดเป็น นิพพุโต นิพพุตา นิพพุติ นี่เป็นคำธรรมดาที่สุดนี่แล้วเราก็ไม่รู้จักใช้ แล้วก็ไม่เอามาใช้นี่มันเป็นความไม่รู้อย่างยิ่ง ให้พรเขาให้มี นิพพุติ นิพพุติ มันก็ต้องมีรู้ว่ามันเป็นสิ่งที่พึงปรารถนาแหละ ให้มันเป็นปัจจัยที่ห้า ให้มีความเย็น เย็นอกเย็นใจ เป็นปัจจัยที่ห้าหล่อเลี้ยงชีวิต อยู่เป็นประจำวันในโลกนี้ นี่เราพูดเรื่องปัจจัยที่ห้าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงประจำวัน แล้วก็ให้เป็นธรรมปัจจัย อย่าให้เป็นกิเลสปัจจัย
ขอพูดกามารมณ์สักเรื่องหนึ่ง ไอ้กามารมณ์นี่ปรารถนากันนักนะทั้งมนุษย์และเทวดานะ เอามาเป็นเครื่องสนับสนุนความสุข แต่ระวังให้ดี มันไม่ใช่ความต้องการของธรรมชาติ เรื่องเพศ คำว่าเพศหญิง เพศชายนี่ อย่าเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องกามารมณ์ไปเสียตระพรึด ที่แท้โดยสัญชาตญาณอันลึกซึ้งของธรรมชาติแล้วมันเพื่อเป็นเรื่องของการสืบพันธุ์ไว้ อย่าให้ตายหมด ๆ ถ้าไม่มีการสืบพันธุ์ไว้มันก็ตายหมด มันต้องมีการสืบพันธุ์ ทีนี้การสืบพันธุ์ทำให้มีการคลอดบุตรออกมา มันไม่ใช่เรื่องสนุก มันเป็นเรื่องยุ่งยากลำบากเจ็บปวดมันไม่มีใครอยากทำ แต่ว่าธรรมชาติมันฉลาดกว่ามันเหนือกว่ามันเอากามารมณ์มาปะเข้าไว้ข้างหน้า หลอกให้ชีวิตสัตว์มีชีวิตทั้งหลายรับจ้าง แล้วก็สืบพันธุ์ มันเห็นแก่กามารมณ์แล้วมันทำกิจกรรมอันนั้นแล้วมันก็ได้การสืบพันธุ์มา นี่ก็เรียกว่าจ้างคนโง่ให้สืบพันธุ์ก็แล้วกันน่ะ เพราะฉะนั้นกามารมณ์มีความหมายอย่างหนึ่ง จ้างคนโง่ให้สืบพันธุ์ การสืบพันธุ์นี่เป็นความต้องการของธรรมชาติเพื่อไม่ให้มนุษย์นี่สูญพันธุ์ เพราะฉะนั้นอย่ามองไอ้เรื่องเพศนี่เป็นเรื่องกามารมณ์ เป็นประเสริฐ เป็นบูชา เป็นลัทธิบูชากามารมณ์ มันเป็นค่าจ้างให้คนโง่ในการสืบพันธุ์ แล้วมันมีอวัยวะสำหรับสืบพันธุ์มาด้วยเสร็จ คำว่าเพศนี่เพศเพื่อกามารมณ์หรือเพศเพื่อสืบพันธุ์ ถ้าเพศเพื่อกามารมณ์มันก็เท่ากองไฟ แต่ถ้าเพศเพื่อสืบพันธุ์มันยังตรงกับความต้องการของธรรมชาติอยู่มาก แล้วก็มีเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ธรรมชาติมันเก่งมาก มันทำให้คนที่ไม่อยากทำในสิ่งนั้นกลายเป็นอยากทำ โดยมีกามารมณ์มาล่อ มาเป็นค่าจ้าง ลองคำนวนดูว่าใครบ้าง หนุ่มสาวในโลกนี้ ปัจจุบันนี้ ใครให้มันแต่งงานเพื่อการสืบพันธุ์ มันแต่งงานเพื่อกามารมณ์ทั้งนั้นแหละ แล้วมันก็รับค่าจ้างเขาไปโดยไม่รู้สึกตัว มันก็ได้สืบพันธุ์ออกมา ถ้าพูดถึงการสืบพันธุ์แล้วสั่นหัวด้วยกันทั้งนั้นน่ะ มันทั้งยุ่งยากทั้งเจ็บปวดทั้งอะไรหลายๆอย่าง แต่กามารมณ์เข้ามาติดไว้ข้างหน้าเช่นเอาน้ำตาลติดไว้ ติดไว้ที่ยาน่ะเหมือนหลอกให้คนกินยาเอาน้ำตาลมาหุ้มไว้ มันหลอกให้ทำการสืบพันธุ์ ทั้งที่กามารมณ์นี่เป็นเรื่องบ้าวูบเดียว ช่วยๆจำคำนี้ว่ากามารมณ์เป็นเรื่องบ้าวูบเดียว กามารมณ์กิจกรรมทางเพศเนี่ยไม่ใช่เรื่องสืบพันธุ์ กิจกรรมทางเพศ มันสกปรก มีสิ่งที่ต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งสกปรก เรื่องอวัยวะเพศอะไรก็ตามมันน่าเกลียดมาก มันน่าเกลียด ถ้าไม่น่าเกลียดมันก็สืบพันธุ์กันกลางถนนแน่ มันต้องไปทำเหย้าเรือนปกปิดมิชิด เพราะว่ามันน่าเกลียด มันจะปกปิดความน่าเกลียด คำว่าเคหะ เคหะ เนี่ยปกปิดความน่าเกลียดที่มนุษย์จะทำการสืบพันธุ์มันจะต้องหาที่บงที่บัง กามารมณ์นี่ทั้งสกปรกด้วย น่าเกลียดด้วย แล้วกินแรงงานมากที่สุดด้วย ในขณะที่ประกอบกิจอันนั้นน่ะ กินแรงงาน พลังงานมากที่สุดด้วย แล้วมันธรรมดาๆจนหมาก็ทำเป็นก็ขอให้คิดว่าอย่างนั้น มันธรรมดาถึงขนาดนั้น แล้วผลที่สุดของมันก็บ้าวูบเดียว วูบเดียวนี่ยิ่งกว่าแฟลตถ่ายรูปเสียอีก มันบ้าวูบเดียวแล้วก็จบเรื่อง นี่กามารมณ์มันเรื่องบ้าวูบเดียว แต่ทำไมจึงมีพระเจ้ากามเทพ พระเจ้าที่บูชากามารมณ์ในสวรรค์เต็มไปด้วยกามารมณ์แล้วคนก็ยังว่าดีๆๆ กามารมณ์มันเรื่องบ้าวูบเดียว แล้วก็เป็นปัญหาไปหมดทุกอย่าง ไอ้ที่มันเฟ้อจากความเป็นจริงนี่มันเพื่อกามารมณ์ทั้งนั้น เพื่อความเอร็ดอร่อยทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจทั้งนั้นล่ะ แล้วเดี๋ยวนี้ก็กำลังจะพูดว่า เค้ากำลังจะประกวดนางงามกันอีกใช่มั้ย(หัวเราะ) ซื้อหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่งที่คุณจะดูเป็นสิ่งแรกเรื่องแรกนี่คุณจะดูอะไร มันก็ดูแต่ภาพนางงาม มันเป็นเอามากถึงอย่างนั้นนั่นล่ะ แล้วทำไมไม่ดูกามารมณ์เป็นเรื่องบ้าวูบเดียวประกวดนางงามนี่มันคือประกวดนางหน้าด้าน มันไม่มีหิริและโอตัปปะ ถ้าคุณปัจเวกจีวรว่าไว้ อิริโกปิจฉาทะนะถัง นี่ใช่มั้ย อิริโกปิจฉาทะนะถัง ปกปิดอวัยวะที่ทำให้หิริโอตัปปะให้เสียไป ให้สูญไป ถ้าไม่เอาผ้ามานุ่ง มันก็หิริโอตัปปะมันก็หายไปหมด แล้วไอ้ผ้านุ่งมันปกปิดหิริให้มีความละอายอยู่ มันมีหิริและโอตัปปะ พอเอาผ้านุ่งออกมันก็ไม่มีหิริโอตัปปะ ประกวดนางงามนี่คือวิธีที่เขาประกวดกันมันคือประกวดคนไม่มีหิริและโอตัปปะเพราะมันเอาผ้านุ่งออก จนเห็นอะไรเป็นอะไรไปอย่างนี้ แล้วมันก็ไปบ้าตามฝรั่งว่านางงามต้องแต่งตัวอย่างนี้ ถ้ามันไม่เอาตามแบบไทยๆเรา ถ้านางงามมันต้องนุ่งผ้านุ่งผ่อนชนิดที่ไม่ทำลายหิริและโอตัปปะ ถ้าไม่มีหิริและโอตัปปะแล้วจะให้เรียกว่าอะไร ถ้าไม่เรียกว่าหน้าด้าน การประกวดนางงามก็คือประกวดคนไม่มีหิริและโอตัปปะ แล้วมันไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งเพราะผู้หญิงที่มันมีความสวยตามธรรมชาติแยะนะ ผมก็ยอมรับนะว่าผมมองนะ ผู้หญิงที่มาที่นี่ปีละหลายๆพันคนเนี่ย ก็หลายคนเหลือเกินที่มันสวยอยู่ตามธรรมชาติ แต่มันไม่ได้เมคอัพ มันไม่ได้มีเงินมีสตางค์ที่จะเมคอัพนั่นนี่โน่นนี่มันไม่มีเงินมันจน มันยากจน แล้วมันก็ไม่มีโอกาสที่จะฝึกกิริยาท่าทางให้กะล่อน มันไม่มีทางที่จะพูดจาให้กะล่อน มันไม่สามารถจะทำความกะล่อน ให้ถูกกับความกะล่อนให้ถูกกับผู้จัดนางงามหรือผู้ตัดสินการประกวด นั่นมันกะล่อนมาก เพราะนางงามทุกคนต้องมีความกะล่อนให้พอนะ มันจึงจะได้รับชนะประกวด บางทีก็น่าสงสารคนสวยยากจนมีฝ้ามีอะไร มันไม่มีเงินที่จะเมคอัพเพราะมันยากจน เพราะฉะนั้นการประกวดนางงานนี่มันทำการอยุติธรรมอย่างยิ่งต่อธรรมชาติ ผู้ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติมันก็ไม่ได้ชนะประกวดเลยมันไม่มีเงินที่จะเมคอัพ แล้วมันไม่ได้สร้างความกะล่อน มันไม่ได้ฝึกความกะล่อน อากัปกิริยาท่าทางหรือการพูดจา มันก็ไม่ถูกใจคนที่ตัดสิน ตัดสินไอ้ความงามนั่นน่ะ นี่ดูสิว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวงสักเท่าไหร่ ไอ้เรื่องประกวดนางงาม มันไม่ยุติธรรมแก่ธรรมชาติมันไม่ยุติธรรมกับผู้หญิงที่ยากจน แล้วมันก็เป็นเรื่องตบตาที่สุด เพราะฉะนั้นขอให้รู้ไว้ว่าเรากำลังมีปัญหาโลกกำลังมีปัญหา ผู้ที่จะมีธรรมะเป็นหลักมันมีปัญหาอย่างนี้แหละ เพราะมันมีแต่เรื่องส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมกิเลส ส่งเสริมกิเลส ไปเสียทุกหัวระแหง สิ่งที่มันเกินจำเป็นมันส่งเสริมกิเลสทั้งนั้น เราไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งเหล่านั้น ไปดูไอ้โฆษณาสินค้าที่เต็มไปในหน้าหนังสือพิมพ์ ผมดูแล้วโอ้นี่มีอยู่อย่างเดียวที่ว่าจำเป็น ไม่ต้องมีสิ่งเหล่านี้เราไม่ตาย เราไม่ตาย ไอ้ของเหล่านั้นไม่จำเป็นทั้งนั้นแหละที่เต็มพราวไปหมดทั้งหน้าหนังสือพิมพ์ เห็นแล้วมันทำสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะมันไปลุ่มหลงในเรื่องกามารมณ์ในเรื่องความงาม ถ้าผมพูดอย่างนี้มันจะจริงมั้ย คุณไปซื้อหนังสือพิมพ์มาฉบับหนึ่ง สิ่งแรกที่คุณจะดูก็คือภาพนางงาม ในหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาวันนี้ มันไม่ไช่เรื่องอื่น มันมีอิทธิพลมากถึงอย่างนี้เหรอ ขอคัดค้านว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งแก่คนยากจน ไม่ยุติธรรมแก่ธรรมชาติ ธรรมชาติสร้างความสวยงามมาแต่คนหลายๆคน แต่น้อยคนที่สุด ที่จะใช้ความงามนั้นไปประกวดชนะได้ เพราะเขายากจน เพราะเขากะล่อนไม่เป็น เพราะเขายังมีหิริและโอตัปปะ เขาจึงเข้าประกวดไม่ได้ นี่ไม่ไช่ว่าจะมาพูดร้ายนินทาว่ากล่าวอะไร จะพูดความจริงที่กำลังเป็นปัญหาแก่พุทธบริษัทหรือผู้ที่จะประกอบตนอยู่ในธรรมะ หรือผู้ที่จะมีสิ่งประเล้าประโลมใจที่สะอาดบริสุทธิ์หมดจด อย่าเอาเรื่องกามารมณ์เรื่องนางงามเหล่านี้มาเป็นสิ่งประเล้าประโลมใจได้อย่างไร มันก็พาไปหากิเลสหมด มันก็ไม่หาธรรมะ นี่ผมเรียกว่าสิ่งประเล้าประโลมใจ ปัจจัยที่ห้า ต้องมี ถ้าไม่มีแล้วมันเหี่ยวแห้งซบเซา แต่แล้วมันต้องมีอย่างถูกต้อง ต้องมีอย่างถูกต้อง อย่าให้มันหล่อเลี้ยงด้วยกามารมณ์ อย่าให้ประเล้าประโลมใจด้วยกามารมณ์ แต่ขอให้มันเป็นธรรมะ ธรรมะ ธรรมปีติ ธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิตใจ ประเล้าประโลมจิตใจให้เป็นสุข เยือกเย็นเป็นนิพพุติ เป็นนิพพาน วันนี้พูดแต่เรื่องนี้เรื่องเดียวว่าประเล้าประโลมใจเป็นสิ่งที่จะต้องมีแก่สิ่งที่มีชีวิตทั้งหลาย และขอให้เรียกว่าเป็นปัจจัยที่ห้า อย่ารู้จักแต่ปัจจัยทั้งสี่ของร่างกาย จงรู้จักปัจจัยที่ห้าของจิตของวิญญาณด้วย แล้วปัญหาต่างๆก็จะหมดไปอย่างน้อยเราก็เราต้องมีความสุขของเรา เมื่อคนอื่นไม่มีก็ตามใจเขา เราต้องมีความสงบสุขมีความพอใจของเรา ฉะนั้นขอให้แสวงหาสิ่งประเล้าประโลมใจในปริยัติ ในปฏิบัติ ในปฏิเวธ ดังที่กล่าวไปแล้ว ถ้ามาสวนสนหรือไปสวนโมกข์ขอให้ได้รับสิ่งประเล้าประโลมใจจากการปฏิบัติ ปฏิบัติศีล ธุดงค์ สมาธิหรืออะไรก็ตาม อย่าไปหวังอย่างอื่นนะ ถ้าจะหวังการเล่าเรียน ในมหาวิทยาลัยถมไปมากมาย แต่ถ้าว่ามันจะเป็นสิ่งที่ประเล้าประโลมใจลึกขึ้นไปก็ขอให้เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ปฏิเวธไม่ต้องพูดน่ะ ถ้าได้มา มา มา มันก็ได้ผลเต็มที่เมื่อนั้น นี่เรารู้จักชีวิตด้วยการหล่อเลี้ยงชีวิตให้ยิ่งๆขึ้นไป ปรับปรุงการศึกษาให้ลึกๆๆเข้าไป นักธรรมตรียังตื้นนัก นักธรรมโทก็ค่อยยังชั่ว นักธรรมเอกก็ว่าดี แต่ไม่ถึงที่สุด ยังไม่สามารถที่จะเข่นฆ่ากิเลสได้ ปริยัตินี่เป็นนักธรรมชั้นพิเศษ รู้เรื่องเบญจขรรค์ รู้เรื่องกิเลส รู้เรื่องความทุกข์ รู้คำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี้ ให้ดีให้ถูกต้องให้ลึกถึงตัวจริง ซึ่งยังต้องมีเรื่องที่จะต้องพูดกันอีกมากแต่ว่าไปคิดเอาเองก็พอเห็นได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นตัวจริง มันก็เป็นเรื่องเปลือก เป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องอะไรไปเสียหมด แม้แต่เด็กๆก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าพระองค์จริง รู้จักเพียงพระพุทธรูป มันไม่ไหวนะ เราจะมีความสุขทางธรรมะที่ไหนมา ไม่รู้จักธรรมะตัวจริง ไม่รู้จักพระนิพพานในความหมายที่ถูกต้อง เอาแล้วไก่มันบอกว่าหมดเวลาแล้ว ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้ อย่าลืมเรื่องปัจจัยที่ห้า สิ่งประเล้าประโลมใจทางวิญญาณ เข้าใจให้ดีและหามาให้ได้ และให้ประสบความก้าวหน้าในเรื่องนี้กันทุกๆองค์ เทอญ