แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายนี้มุ่งเฉพาะที่เป็นนักศึกษา นักเรียนที่อุตส่าห์มาจากกรุงเทพฯ ข้อแรกที่สุดที่จะพูดก็คือ ขอแสดงความยินดีและอนุโมทนาในการมาของผู้มาและผู้จัดให้มา มาในลักษณะอย่างนี้ คือเพื่อศึกษา ศึกษาธรรมะซึ่งเป็นสิ่งที่มีเหตุผลอย่างยิ่ง คือมันเป็นสิ่งที่ยังขาดอยู่ในการศึกษาที่กำลังได้รับอยู่ การที่เลือกเอาเวลาอย่างนี้เป็นเวลาสำหรับบรรยายนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อสะดวกสบายแก่ผู้บรรยายซึ่งมีอาการเจ็บป่วย เวลาหัวรุ่งอย่างนี้ค่อยสบาย หรือ มีเรี่ยวแรง จึงเลือกอย่าง เวลาอย่างนี้ เช่นนี้ก็หามิได้ เวลาหัวรุ่งนั่น มีความหมายพิเศษ ไอ้โลกมันแสดงแก่เราในอีกลักษณะหนึ่ง ถ้าสมมุติว่าเวลานี้ เธอทั้งหลายกำลังนอนคลุมผ้าอยู่บนที่นอน โลกนี้มันก็แสดงแก่เธอทั้งหลายในอีกอย่างหนึ่ง มีความรู้สึกทางกายและทางจิตต่างกันมาก เมื่อออกมาสู่สถานที่อย่างนี้ โลกนี้มันก็แสดงแก่เธอทั้งหลายอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งแปลกกันมากทีเดียว มันเป็นเวลาตั้งต้นของวัน ชีวิตจิตใจกำลังสงบ กำลังสดใส กำลังจะทำงาน แต่ถ้าเห็นความสุข นอนคลุมโปงอยู่ในที่นอนมันก็ไม่เป็นอย่างนั้น
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพลาหัวรุ่ง ก่อนรุ่งอย่างนี้ เป็นเวลาที่สูงสุดของสมองหรือสติปัญญา เราก็ต้องการจะใช้โอกาสเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน และเป็นการฝึกให้เข้มแข็งในทางหนึ่งด้วย คือ การบังคับจิต ไม่เห็นแก่ความสุขจากการนอนซึ่งมันเป็นการพ่ายแพ้แก่กิเลส มีความเข้มเข็งในทางสติปัญญาน้อยไป อย่างนั้นขอให้ถอดใจสนใจที่จะใช้เวลาอย่างนี้ หรือเวลาที่โลกมันแสดงอะไร อะไร แก่เราอย่างนี้ แม้จะอยู่ที่บ้าน ก็ขอให้ลุกขึ้น แล้วก็ไปที่โต๊ะ หรือยืน ลองตั้งอกตั้งใจทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ย่อมทำได้ละเอียดลึกซึ้งแยบคายกว่าเวลาอย่างอื่น นี่ล่ะเป็นที่เข้าใจ เป็นที่รู้จักกันมาแต่ดึกดำบรรพ์ ขอให้เรารู้จักใช้เวลาที่มันสมองจะได้ทำหน้าที่ทำการงานอย่างดีที่สุด แม้ว่าจะไม่ทำอะไร มันก็ยังเบิกบานรื่นเริง สมัยหนึ่งมีเพลงร้องสรรเสริญ ความสุขสำราญ เหมือนดอกไม้บานยามเช้า เป็นเวลาที่ดอกไม้เบิกบาน ออก เริ่มเบิกบานส่งกลิ่นอย่างยิ่ง เราก็ได้รับรสอันนี้ นี่ก็เรียกว่าโลกมันแสดงแก่เราในอีกลักษณะหนึ่ง ขอให้สนใจกันไว้บ้าง ทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลที่ว่าทำไมจึงเลือกเอาเวลาอย่างนี้มาพูดจากัน ทีนี้ข้อต่อไป ที่จะบอกให้ทราบ หรือก็ทราบกันอยู่แล้วก็ได้ จึงได้ขวนขวายมาอย่างนี้ ข้อนั้นก็คือว่า การศึกษาในโลกปัจจุบันนั้น น่ะ มันยังไม่พอ มันยังขาดอะไรอยู่บางอย่างโดยไม่รู้สึก เพราะว่าเค้ามองเห็นแต่ประโยชน์ทางวัตถุกันทั้งโลก ไม่มองกันในด้านจิตใจ แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มองกันเสียเลย ดังนั้น ในโลกนี้ก็มีการจัดการศึกษา เพียงแต่ให้ฉลาด ฉลาด ฉลาด ฉลาดสูงสุด เพื่อให้ไปหาประโยชน์ทางโลก ทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ทางอะไรก็ตามใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันทางเศรษฐกิจ ก็เป็นยุคที่เค้าบูชาเศรษฐกิจเป็นหัวใจ การศึกษามันมีแต่ฉลาด ฉลาด ฉลาด พร้อมที่จะเผชิญกับเศรษฐกิจให้ได้ตามที่ต้องการ คนโดยมากก็เป็นอย่างนั้น คนก็ยังไม่ทันจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็สนใจ แม้แต่เรื่องทางวัตถุ นักเรียนก็เรียน เรียน ตั้งใจจะเรียนให้ดีอย่างยิ่ง เพื่อได้ผลดีในการเรียน แล้วก็ได้งานทำ ชนิดที่มีรายได้มากเหนื่อยน้อย เพื่อที่จะสนุกสนาน หรือเพลิดเพลิน หรืออะไรไปตามเรื่องทางวัตถุ นี่ละการศึกษามันมีแต่ทำให้ฉลาด ฉลาดอย่างเดียว มันไม่ได้มีการควบคุมความฉลาด เธอทั้งหลายช่วยจำคำนี้ไว้ดีๆ คำว่าควบคุมความฉลาด บางคนหรือส่วนมากจะคิดแต่ว่าจะต้องไปควบคุมความฉลาดอีกทำไมเล่า เมื่อมันฉลาดแล้วก็ปล่อยมันไป นั่นแหละคือความเข้าใจผิดในการที่ไม่ควบคุมความฉลาด การศึกษาที่ให้แต่ความฉลาดอย่างเดียว (เสียงเงียบ นาทีที่ 9.09 - 9.14) มันก็ไปอย่างหนึ่งแหละ เพราะฉะนั้นมันก็จะไปในทางที่เห็นแก่ตัว สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในโลก ทั้งโลกและจักรวาลนี่ ให้จดจำไว้ให้ดี คือความเห็นแก่ตัว ถ้าไม่ควบคุมความฉลาดแล้ว มันจะน้อมไปในทางเห็นแก่ตัวเพื่อหาประโยชน์ให้มากที่สุด โดยไม่ดูหน้าใคร โดยไม่เห็นแก่ธรรมะ หรือไม่เห็นแก่อะไร มันจะต้องการประโยชน์เท่านั้นเอง เนี่ยความฉลาดที่ไม่ได้รับการควบคุม มันกลายเป็นรับใช้กิเลส ไม่ได้รับใช้สติปัญญาอย่างโพธิ แต่ไปรับใช้ความรู้ที่เป็นกิเลสก็เลยกอบโกยกันใหญ่ ได้มาก็ส่งเสริมความรู้สึกในทางกิเลสนี่ มันจึงเกิดผลร้ายขึ้นมาในโลกนี้ เนื่องจากความเห็นแก่ตัวน่ะ มันมากขึ้นทุกที มากขึ้นทุกที จนพูดได้ว่าโลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ในโลก ประโยคนี้ช่วยจำด้วย ว่าโลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวของคนในโลก ฟังดูเหมือนกับพูดเล่น แต่ว่ามันเป็นความจริง ยิ่งไปกว่าความจริง ดูย้อนมาตั้งแต่ส่วนใหญ่ ส่วนน้อยนี่จะยิ่งเห็นง่าย เวลานี้สงครามกำลังมีอยู่หลายแห่ง สงครามมีอยู่ตลอดเวลาในโลก สงครามเล็กๆ น้อยๆ นี่ก็มีอยู่ แต่สงครามใต้ดินน่ะ สงครามเลวร้ายที่สุด คิดทำลายล้างกันอยู่ในส่วนลึกๆ สงครามใต้ดินนี้มีตลอดเวลา ไม่เคยรักใคร่หรือหวังดีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ต้องการจะได้ประโยชน์ บางคนถึงกับต้องการจะครองโลกเอาเสียเลย
คอมมิวนิสต์ก็เห็นแก่ตัวสุดเหวี่ยงไปตามแบบของคอมมิวนิสต์ ประชาธิปไตยก็เห็นแก่ตัวสุดเหวี่ยงไปตามแบบของเสรีประชาธิปไตย เสรีนี่ใช้ความคิดของเขา ที่เหลือนอกนั้นที่ไม่นิยมคอมมิวนิสต์หรือเสรีประชาธิปไตยก็ยังเห็นแก่ตัว เห็นหมดเลย เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นเลย มันจึงพูดกันไม่รู้เรื่อง อย่ามาศึกษากันเรื่องความสงบ มันไม่รู้เรื่อง เพราะมันมีแต่ความเห็นแก่ตัว เนี่ยโลกกำลังเป็นอย่างนี้ ทีนี้ก็ดูต่ำลงมา ต่ำลงมา แต่ละประเทศก็เห็นแก่ตัวไปตามแบบของตน หรือตามความจำเป็นของตน ไม่มีใครกล้ายึดถือธรรมะเป็นหลัก เพราะกลัวว่าจะเสียเปรียบให้ความเห็นแก่ตัวมัน นี่ดูส่วนบุคคล ดูส่วนบุคคล อันธพาลยังเต็มบ้านเต็มเมือง อาชญากรรมเลวร้ายมากขึ้นทุกที เมื่อมันกลัดกลุ้มมืดมนไปหมด มันก็มีความเสื่อมศีลธรรมถึงขนาดหนักชนิดที่ไม่เคยมี ดูตามหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็น่าสังเวช ลูก เอ้ย พ่อข่มขืนลูก นี่มันมีมากขึ้นมาทุกปีในหน้าหนังสือพิมพ์ แม้กระทั่งที่มิใช่พ่อ อย่างนี้มันหาดูยากในสมัยก่อนนู้น มันก็ยังเคารพศีลธรรม บูชาศีลธรรม เดี๋ยวนี้เห็นเป็นเรื่องธรรมดา เห็นแก่ความใคร่ของกิเลสเป็นสิ่งทำได้ ก็มีการเบียดเบียนกัน เบียดเบียนกัน เอาเปรียบกัน หลอกลวงกัน อย่างที่เรียกว่าหาความสงบสุขไม่ได้ แล้วมันก็ทำลายธรรมชาติ เพราะความเห็นแก่ตัวได้รับผลร้ายมหาศาล (เงียบตั้งแต่นาทีที่ 14.32 – 15.21) ตามท่ารถท่าเรือ กลางถนนหนทาง ขอให้สังเกตดูให้ดี เต็มไปด้วยผลของการเห็นแก่ตัว หาความเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่ได้ มักก็รกรุงรัง มันเป็นเรื่องของการเห็นแก่ตัว ทุกคนทำหน้าที่เพื่อหาประโยชน์ของตัว ไม่คิดถึงประโยชน์ของผู้อื่น ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเน้นมากข้อนี้ประโยชน์ของผู้อื่น หรือประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายร่วมกัน ท่านเน้นมาก เดี๋ยวนี้เรากำลังมุ่ง จ้องแต่ประโยชน์ของตัว ลองไปพิจารณาดูเถอะ มันจะเกิดผลอย่างไร
ธรรมชาติมันไม่ได้สร้างคน ไม่ได้สร้างโลกมาสำหรับอยู่กันเป็นคนคน แต่ธรรมชาติสร้างมาสำหรับอยู่ร่วมกัน ขอให้ดูให้ดี มนุษย์ก็ต้องอยู่ร่วมกัน สัตว์เดรัจฉานก็อยู่ร่วมกัน ต้นไม้เป็นไร่ พฤกษาชาติทั้งหลายก็ยังมีการอยู่ร่วมกันจึงจะมีความเจริญรุ่งเรือง ปลอดภัย นี่มันเป็นอย่างนั้น แต่พอมนุษย์คิดว่า กูก็กู มึงก็มึง มันก็เลยทำลายประโยชน์ส่วนรวม ฝ่ายตรงกันข้าม เพื่อจะเอาประโยชน์ เพราะฉะนั้นการฆ่ากันตายก็มีมากขึ้น ผู้ร่ำรวยถูกฆ่าตายมากขึ้น ปัญหามากขึ้น มากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัว ดูเองก็เห็นได้ไม่ต้องพูด เดี๋ยวเวลาก็หมด ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น ว่าโลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว เราหวังว่าการกีฬาจะช่วยกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่ผลมันกลับตรงกันข้าม เป็นนักเรียน นักศึกษาก็คุ้นเคยกับการกีฬา ชอบดูมวย ชอบดูกีฬา ชอบดูของแปลกๆ ในหัวใจของนักกีฬาเมื่อลงสู่สนามกีฬา มันเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว เต็มไปด้วยความคิดที่จะเอาเปรียบ ให้ได้เปรียบ ให้ได้ชนะ จนล่วงละเมิดกติกาอยู่บ่อยๆ จนต้องถูกลงโทษ มันคือความเห็นแก่ตัว กีฬาเลยไม่กำจัดความเห็นแก่ตัว กีฬาเลยช่วยส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ให้เข้มข้น ให้รุนแรง ให้เร็ว นี่ละเรียกว่า โลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัว เอาละเป็นอันว่าพอกันที สำหรับว่าโลกนี้มันไม่ควบคุมความฉลาด ปล่อยให้ความฉลาดเป็นไปตามอำนาจของความเห็นแก่ตัว ความฉลาดไปรับใช้ความเห็นแก่ตัว ปัญหามันก็ท่วมโลก
ทีนี้เราก็หมายถึงเรา เราจะแสวงหาสิ่งที่ควบคุมความฉลาด เมื่อก่อนนู้นการศึกษา ก็มาแฝกอยู่กับศาสนา หรือว่าศาสนาเข้ามาแฝกอยู่กับการศึกษา ไอ้การศาสนาที่มาแฝกอยู่กับการศึกษาน่ะ มันช่วยควบคุมความฉลาด เดี๋ยวนี้มนุษย์เจริญๆ ทางวัตถุ จนล้มในทางวัตถุ เพราะเห็นว่าศาสนานี้ไม่จำเป็น มาถ่วงความเจริญทางวัตถุ ออกไป จัดให้ออกไปเสียเป็นเรื่องของส่วนตัวบุคคล ใครอยากมีความรู้ทางธรรม ทางศาสนาไปหาเอาเอง ไม่ต้องมีอยู่ในหลักสูตรที่บังคับ ได้ยินว่าในบางรัฐในประเทศอเมริกา กวดขันถึงกับว่า เอาศาสนามาสอนในสถานศึกษาไม่ได้ ถือว่าเป็นการผิดกฎหมายไปเลย อย่างนี้ก็มี ประเทศอื่น ๆ ก็ทำตามอย่าง ประเทศไทยก็ตามอย่าง เดี๋ยวนี้พอจะมีขึ้นมาบ้างก็กะปริดกะปรอยเต็มที ก็ยังไม่สามารถที่จะควบคุมความฉลาด มันจำเป็นที่เราจะต้องหาเอาเอง มนุษย์เค้าบูชาเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ ซึ่งจะมีอำนาจเงิน อำนาจอาวุธอำนาจอะไรอีกต่างๆ (เงียบตั้งแต่นาทีที่ 21.28 – 21.37) เหตุผลควรแก่การอนุโมทนา จึงขออนุโมทนาในการที่มาเพื่อการศึกษาธรรมะ ที่จะนำไปใช้ควบคุมความฉลาด ขอให้ตั้งใจจริงเพื่อให้สำเร็จประโยชน์คนคนอื่นเค้าจะไม่เอามันก็ตามใจเค้าเถอะ แต่เราจะมีธรรมะเข้ามาควบคุมความฉลาดให้ชีวิตของเรามีความถูกต้อง ทั้งในเรื่องของวัตถุและจิตใจ ไอ้คำสองคำนี้ก็ ช่วยกันเข้าใจดีๆ นิยมวัตถุเป็นวัตถุนิยมมันก็บ้าวัตถุ นิยมจิตเป็นจิตนิยมมันก็บ้าจิต แต่นิยมพร้อมกันทั้งสองอย่าง เพื่อให้มีความถูกต้องทั้งทางกายและทางจิต เรามาเรียกกันเสียใหม่ว่า ธรรมะนิยม ธรรมะนิยมก็จำไว้ แม้มันจะเป็นคำใหม่ ก็จำให้ดีว่าเป็นธรรมะนิยม ที่ถูกต้องทั้งทางจิตและทางวัตถุ สนใจแต่ทางวัตถุอย่างเดียวเป็นวัตถุนิยมนั้น น่ะ มันส่งเสริมกิเลสเหลือประมาณ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมีความสงบสุข ส่งเสริมหรือหลงใหลทางจิต เป็นจิตนิยมไม่สนใจวัตถุ มันก็ขาดไปครึ่งหนึ่ง จิตก็สนใจ วัตถุก็สนใจแต่ไม่ถึงกับสุดเหวี่ยง เรามาอยู่ตรงกลาง ระหว่างกายกับจิตใจ หรือว่าเอามารวมกันก็ได้ เกิดเป็นธรรมะนิยมขึ้นมา นี่ละ ขอให้หายใจเป็นธรรมะนิยม (เงียบตั้งแต่นาทีที่ 23.55 – 25.16) ชีวิตนี้เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนา จะเอาตามที่มันคลอดออกมาจากท้องมารดา แล้วเป็นไปเองโดยไม่รู้ทิศทางนี่เป็นไปไม่ได้ มันต้องพัฒนาให้ถูกต้อง เป็นธรรมะนิยม ดังที่กล่าวมาแล้ว ข้อนี้ก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ธรรมชาติให้ชีวิตมาในลักษณะที่ สัตว์ที่เป็นเจ้าของชีวิตนั่นแหละจะต้องพัฒนา พัฒนา พัฒนาให้มันถูกต้องขึ้นมาทั้งทางกายและทางจิต ให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ เป็นธรรมสำคัญอันหนึ่งที่ควรจะฝังอยู่ในจิตใจ ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ แต่อย่าให้มันเป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญาบ้าๆ บอๆ คนเป็นอันมามากบูชากามารมณ์ ต้องการกามารมณ์สุดเหวี่ยง เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ อย่างนี้เคยโง่กันมาเป็นพันๆ ปีมาแล้ว ขอให้ทราบไว้ บูชากามอารมณ์เป็นสิ่งสูงสุดนี่ละ เคยโง่กันเป็นพันๆ ปีมาแล้ว มันมีปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ ที่กล่าวถึงทิฐิความคิด ความเห็นของมนุษย์เรื่องนิพพาน มีอยู่พวกหนึ่งเอานิพพานเป็นอารมณ์ เอ้อ, เอาเอากามารมณ์เป็นนิพพาน เคยหลงใหลกันมาเต็มที่แล้ว จนค่อยๆ ฉลาดขึ้น แล้วก็มาเอาความสุขทางจิตในขั้นต้นๆ คือสมาธิ ที่เรียกว่าสมาธิหลายรูปแบบ เป็นรูปฌาน กระทั่งเป็นอรูปฌานเป็นนิพพาน มันไม่สำเร็จประโยชน์คือความสงบสุข เพราะกามารมณ์มันให้ความสงบสุขไม่ได้ มันให้แต่ความโง่ ความหลงไปตามแบบนั้น มันให้ความรู้สึกที่จะเอาเปรียบ จะแย่งชิง จะต่อสู้ กอบโกยนั่น มันเป็นนิพพานไปไม่ได้ และมันก็เป็นการหลอกลวงทางระบบประสาท ทางระบบประสาท กามารมณ์นี่เป็นความรู้สึกทางระบบประสาทที่เป็นความหลอกลวง ที่ใครไปหลงมันแล้วก็โง่ เป็นเหยื่อ หรือรับจ้างธรรมชาติโดยไม่รู้สึกตัวเพื่อการสืบพันธุ์ ธรรมชาตินี่แปลกประหลาดจนเราไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี เป็นพระเจ้ายิ่งกว่าพระเจ้า มนุษย์ไม่ยินดีจะสืบพันธุ์ เพราะลำบากยุ่งยาก สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกันแหละ แต่เขามีสิ่งที่เหนือกว่า ธรรมชาติมีสิ่งที่เหนือกว่าของกามารมณ์มาปะหน้าเข้าไว้ให้ สัตว์ก็โง่หลงใหลกินเหยื่อกินค่าจ้าง คือกามารมณ์ จึงทำการสืบพันธุ์ไปโดยสมัครใจ นี่เรียกว่าธรรมชาติฉลาด เราจะไม่หลงใหลในเรื่องอย่างนี้ จะพัฒนาให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้ นั่นคือความสงบเยือกเย็น ได้ชีวิตชนิดที่สงบเยือกเย็น กามารมณ์เป็นความเยือกเย็นหรือไม่ มันเป็นเรื่องที่สัญชาตญาณมันต้องการ บวกผสมกับความไม่รู้ ความไม่ฉลาดของมนุษย์เอง มันก็กลายเป็นเรื่องหลงใหล ชีวิตนี้มันก็เลยเร่าร้อนเพราะมันไม่ถูกต้อง มันกลายเป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ ช่วยจดจำคำนี้ไว้ให้ดี ชีวิตที่กัดเจ้าของ มันเป็นชีวิตของคนโง่ ดำเนินชีวิตมาอย่างไม่ถูกต้อง ชีวิตมันก็กัดเจ้าของ เห็นได้ชัดว่ามันตั้งต้นมาแต่ความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ความเห็นแก่ตัวไปในทางบวกถูกใจมันก็เกิดกิเลสประเภทบวก คือความโลภ ความกำหนัดยินดี ถ้าว่ามันเป็นไปในทางลบ คือไม่ถูกใจ มันก็เกิดกิเลสประเภทลบ คือโทสะ หรือ โภฑะ (นาทีที่ 21.06) ความโกรธความประทุษร้าย ถ้ามันยังไม่แน่ว่าบวกหรือลบ หรือไม่รู้สึกเป็นยินดีหรือยินร้าย สุขหรือทุกข์ มันก็ยังเป็นที่ตั้งแห่งความสงสัย ผูกพันอยู่นั่นแหละ มันก็เกิดกิเลสประเภท โมหะ จำง่ายๆ ถ้าความรู้สึกเป็นไปทางบวก อยากได้ อยากเอา อยากมี อยากยึดครอง อยากเสวย อยาก มันก็เกิดประเภทบวก ดึงเข้ามาหาตัว ดึงเขามาหาตัว เรียกว่าโลภะ ราคะ ถ้ามันไม่ถูกต้องแก่ความต้องการมันก็ตีกลับออกไป ผลักออกไป จะฆ่าเสียเลยนี่ อย่างนี้เป็นกิเลสประเภทลบ คือโทสะ ประทุษร้าย โกรธเคือง คับแค้น ฆ่าฟันกัน แต่ถ้ายังไม่แน่ ยังหวังอยู่ ก็หลงใหล มัวเมาอยู่ในความหวัง ให้ชีวิตอยู่ในความหวัง ด้วยการสร้างวิมานในอากาศ ไม่ใช่ความสงบสุข มันร้อน ชีวิตนี้จะกัดเจ้าของ ฟังให้ดีๆ ชีวิตนี้ ชนิดนี้ ที่มันตั้งต้นขึ้นมาด้วยความเห็นแก่ตัวและมีกิเลสเป็นอันมากนี่ ชีวิตนี้จะกัดเจ้าของ ขอใช้คำหยาบคายว่า สมน้ำหน้ามัน ไอ้คนชาติโง่ มีชีวิตชนิดที่กัดเจ้าของ มันเป็นชีวิตที่เต็มอยู่ด้วยความรักอย่างโง่ ความโกรธอย่างเป็นบ้า ความเกลียดอย่างไม่มีอะไรดี ความกลัวไม่รู้ว่าจะขจัดออกไปอย่างไร ความตื่นเต้นนั่นนี่ไม่มีที่สิ้นสุด ไปหามาตื่นเต้นนี่ ความวิตกกังวล สิ่งที่ยังไม่มาถึง อาลัยอาวรณ์สิ่งที่ล่วงลับไปแล้ว มีความอิจฉาริษยา ทรมานตัวเองอยู่ในความอิจฉาริษยา และก็ความหวง ความหึงอันเข้มข้นของความหวง นี่เป็นตัวอย่างที่เพียงพอแล้ว ที่จริงมันมีมากกว่านี้อีก ชีวิตที่กัดเจ้าของ มันเต็มอยู่ด้วยความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น (เสียงหาย 33.40-33.49) สิ่งเหล่านี้กัดเจ้าของ มันเป็นชีวิตของคนโง่ เป็นชีวิตที่กัดเจ้าของ เราต้องการจะมีธรรมะ เพื่อจะมีชีวิตที่ไม่กัดเจ้าของ แต่ว่าเป็นความเย็น ตามความหมายของคำว่า นิพพาน
ดังนั้นขอให้ตั้งใจฟัง ให้จดจำให้ดีว่า นิพพาน แปลว่าเย็น เท่านี้ก็พอ นิพพาน คำนี้แปลว่าเย็น นิพพานในพระพุทธศาสนา ในพระไตรปิฎก ในคำตรัสของพระพุทธเจ้านี่ แปลว่าเย็น แต่พวกครูในโรงเรียน เอามาจากไหนไม่รู้ นิพพาน แปลว่าตาย ตาย และตายของพระอรหันต์ นี่เคยเรียนกันมาอย่างนี้ ก็ขอให้เข้าใจว่าเป็นคำสอนที่ผิด นิพพาน นิพพานไม่ได้แปลว่าตาย แล้วพูดว่าตายของพระอรหันต์ด้วยนี่เรียกว่าโง่ใหญ่ เพราะพระอรหันต์ตายไม่ได้หรอก พระอรหันต์มีคุณธรรมเป็นคุณค่าทาง ทางธรรม เป็นสิ่งที่ตายไม่ได้ ร่างกายตายได้ แต่ความเป็นพระอรหันต์น่ะไม่รู้จักตาย นิพพานแปลว่าเย็น ทำไมเย็น เพราะไม่ไฟในจิตใจ อะไรคือไฟ กิเลสนั่นแหละคือไฟ โลภะโทสะ โมหะ นั่นแหละคือไฟ เกิดความกลัว ความตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวง หึงไม่เสียเวลาหรอกที่เธอจะจำคำเหล่านี้ไว้ เหมือนกับเครื่องเตือนใจว่าเสนียดจัญไรมันมีอยู่ที่ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล ความอาลัยอาวรณ์ ความอิจฉาริษยา หึงหวง ความรักนั้นน่ะมันมีความหมายไปทางกิเลส ถ้าเป็นไปในทางโพธิปัญญานี่เขาเรียก เมตตากรุณา เช่นแม่รักลูก พ่อรักลูก น่ะ ไม่ใช่ความรักของกิเลส แต่มันเป็นความเมตตากรุณาโดยสัญชาตญาณก็ได้โดยญาณ เป็นญาณโดยความรู้ที่พัฒนาขึ้นมาแล้วก็ได้ ขึ้นต้นด้วยความรักนี้เข้าใจเสียให้ถูกต้อง ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วมันกัดเจ้าของ แล้วเราจะมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คือมีธรรมะควบคุม ความรัก ความเกลียด ความโกรธ ความกลัว ความตื่นเต้น โดยเฉพาะสิ่งที่หลอกลวงที่สุด คือ ความตื่นเต้น ความอร่อยจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าความตื่นเต้น ไปดูมวย ไปดูกีฬา ไปดูสิ่งที่เรียกว่าน่าอัศจรรย์อะไรต่างๆ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันไปหาความตื่นเต้นมากระตุ้นความรู้สึก ความรู้สึกที่ถูกกระตุ้น ไปหาความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าความตื่นเต้น ความตื่นเต้นมันปลุกเร้า คนจึงหลงใหลในความตื่นเต้น ไปดูมวยปลุกความตื่นเต้น ไปดูกีฬาปลุกความตื่นเต้น ไปดูการแสดงปลุกความตื่นเต้น ถ้าจะไปดูก็ไม่เป็นไร แต่ไปดูให้เห็นความจริงว่า โอ้ มันไม่ต้องทำอย่างนี้ ไปดูความโง่ของคนตื่นเต้นก็แล้วกันเถอะ ทั้งโลกกำลังตื่นเต้น กีฬามวยเป็นกีฬาของโลก โลกแห่งความโง่ โลกแห่งการบูชาความตื่นเต้น ก็อ้างข้อแก้ตัวเพื่อจะฝึกกำลังฝึกพละกำลังฝึกอะไรต่างๆ ก็เพียงแต่ฝึกอย่างนี้มันเก็บเงินไม่ได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน เก็บขายบัตรผ่านประตู ในความตื่นเต้นมันรุนแรง มันเร่งให้คนไปดูเสียค่าผ่านประตูเท่าไหร่ก็ไม่ว่า นี่ขอเน้นเป็นพิเศษว่าไอ้ความตื่นเต้นน่ะ อย่าไปบูชากับมัน ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวนี้ก็ไม่ไหว ความตื่นเต้นนี่ยิ่งร้ายกาจ วิตกกังวลไม่มีประโยชน์อะไร ทำให้ดีก็ไม่ต้องวิตกกังวล ไม่ต้องหิว ไม่ต้องหิวด้วยความอยาก ทำให้ดีด้วยความไม่อยากดีกว่า อาลัยอาวรณ์ที่ล่วงไปแล้วมันก็ล่วงไปแล้ว แต่ความรักโง่ๆ มันเหลืออยู่มันก็อาลัยอาวรณ์ไม่มีที่สิ้นสุด
ความอิจฉาริษยานั่นน่ะ ขบขันที่สุด เราอิจฉาริษยาใคร ไอ้เราร้อนเป็นไฟได้ทันทีที่อิจฉาริษยา แต่ผู้โน่น ผู้ที่เราริษยาเค้าไม่รู้เลยก็ได้ ยังนอนหลับสบาย แต่ผู้ที่ริษยานี่ เหมือนกับอยู่กลางกองไฟ ไฟเผาคนนี้ก่อน นี่อย่าทำเล่นกับความริษยานะ มันเลวร้าย ความหวง ความหึงก็เหมือนกัน เผารนจิตใจไม่ให้มีความสงบสุข รวมกันหมดนี้แล้วเรียกว่า ชีวิต ที่กัดเจ้าของ ถ้าไม่มีสิ่งนี้แล้ว เค้าเรียกว่าชีวิตที่อยู่กับนิพพาน เย็น เย็น เย็น ไม่กัดเจ้าของ คำว่า นิพพาน นิพพาน นี่ตามตัวหนังสือ หรือคำพูดแท้ๆ ที่ชาวบ้านครั้งกระนู้น เค้าพูดกันอยู่ในบ้านในเรือน ไม่เกี่ยวกับธรรมะนี่ หมายความว่า เย็น เย็น ใช้คำว่านิพพานนี่แหละ กับวัตถุสิ่งของ เช่น ไฟดับ เรียกว่าไฟนิพพาน ข้าวต้มร้อนนักกินไม่ได้ ก็ต้องรอให้มันนิพพานลงสักหน่อยจึงจะกินได้ ความที่ของร้อนเย็นลงนี่เรียกว่านิพพาน ไม่ได้เกี่ยวกับความตายหรอก เป็นจริงที่เราเคยเรียนกันมาแล้ว ภาษาอังกฤษคำที่เหมาะสมจะใช้กับคำว่านิพพานนั้นคือ Quench ถ้าไม่เลวร้ายร้อนรนกระวนกระวาย สงัดลง อาการอย่างนั้นคืออาการของนิพพาน Quenching ของให้ความร้อนอกร้อนใจ ความทุกข์ทั้งหลาย นั่นคือความหมายของนิพพาน มันจะมีความสงบและมันก็สะอาดเกลี้ยง มันจึงเป็นอิสระเป็นเสรีภาพ เมื่อใดจิตมีเสรีภาพ เราก็สบาย การที่จิตสะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็น นี่ มีเสรีภาพอย่างยิ่งนี่เรียกว่านิพพาน อย่าเข้าใจว่านิพพานคือความตาย มันผิดเหลือประมาณ ไม่ต้องตาย ไม่ต้องตาย แต่มีชีวิตอยู่และก็เย็น นี่สอนว่านิพพานคือความตาย และเป็นความตายของพระอรหันต์เสียด้วย แล้วมันมีเรื่องอะไรกับเราถ้าความตายของพระอรหันต์ แล้วมันยังโง่ที่พูดว่าพระอรหันต์ตาย ข้อนี้ขอให้รู้จักไว้เสียด้วยว่าโดยภาษาธรรมะแล้ว พระพุทธเจ้าก็ไม่ตาย พระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่ตาย เป็นคุณธรรม ที่ทำความเป็นอย่างนั้นมันมีอยู่ตลอดไป ให้คนเขาศึกษาปฏิบัติ ศึกษาปฏิบัติ ศึกษาปฏิบัติ พบได้ตลอดเวลาเป็นนิรันดรเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่รู้จักตาย ไม่ว่าจะพบพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ได้ตลอดเวลาที่เราปฏิบัติถูกต้อง แม้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มาพูดว่าพระอรหันต์ตาย มันเป็นความโง่มาจากไหนก็ไม่รู้ นิพพานแปลว่าความตายของพระอรหันต์ นิพพานคือความเยือกเย็นแห่งจิตใจเพราะไม่มีกิเลสนี่ ขอให้เธอพยายามเข้าใจให้มีให้ได้ แม้ไม่ถึงที่สุดก็ขอให้มีเรื่อยๆ ไป ให้มัน เพิ่มขึ้นๆ เป็นความเย็นแห่งจิตใจ และชีวิตนี้จะไม่กัดเจ้าของ จะไม่กัดเจ้าของ ชีวิตที่สงบ ชีวิตที่เย็น ชีวิตที่เกลี้ยง ชีวิตที่เป็นอิสระนั่นน่ะ คือมันอยู่กับนิพพาน แล้วมันก็ไม่กัดเจ้าของ พูดอย่างวิทยาศาสตร์หน่อยก็ดีเหมือนกัน ถ้าทำถูก คือชีวิตที่ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ไม่ Positive ไม่ Negative ชีวิตนี้ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ อยู่เหนือบอก เหนือลบ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ นี่ล่ะชีวิตที่ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ หัวเราะเมื่อดีใจก็เป็นบวก ร้องไห้เสียใจก็เป็นลบ มันไม่ไหวทั้งนั้นแหละ มันเหนื่อยด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ คือสูงสุด เป็นเรื่องของนิพพาน ถ้าเรายังหัวเราะ ยังชอบหัวเราะอยู่ ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ แล้วบางคนก็หัวเราะมากเกินจำเป็น อย่างนี้มันยิ่งไม่ไหว
ต้องการความสงบเยือกเย็น จะเรียนได้ดี จะประกอบการงานได้ดี จะเรียนได้ดี จะประกอบการงานได้ดี มีชีวิตนี้อย่างเป็นอิสระ แล้วมันจะสนุกสนานในการงาน จะไม่รู้สึกความยากลำบากในการเรียนและการงาน มีสติสัมปชัญญะมุ่งหมาย ทำให้ถูกต้อง ให้ดีที่สุด มันจะรู้สึกว่าพอใจ ถูกต้อง พอใจ ถูกต้อง พอใจอยู่ ตลอดเวลาที่ทำการงานไม่ว่าจะเป็นการเรียนหรือการประกอบการงานโดยตรง ชีวิตนี้ก็ไม่กัดเจ้าของ ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ สอนกันมากในทางศาสนา ถ้าเคยเรียนเรื่องลัทธิเต๋าของเหลาจื๊อมาบ้าง เขาก็สอนเรื่องไม่เป็นหยินหรือไม่เป็นยาง ไม่เป็นอิ้น ไม่เป็นเอี๊ยง แล้วแต่ภาษาจีน ภาษาไหน ก็คือไม่บวกและไม่ลบ มันก็สงบเหมือนกับนิพพานเหมือนกัน คำสอนสูงสุดของพวก ยิว ก็ว่าไม่หลงดีหลงชั่ว ไม่กินผลไม้ที่ทำให้รู้จักดีรู้จักชั่ว แล้วไปหลงดีหลงชั่ว เขาเคยรู้เรื่องนี้กันมาแล้วทั้งนั้น ชีวิตที่ไม่เป็นบวก ไม่เป็นลบ ในอินเดียก็สอนมากที่สุด ทั้งฝ่ายฮินดู ทั้งฝ่ายพุทธ และศาสนาที่สำคัญๆ ต้องการความสงบสุขปกติทั้งนั้น ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ ขอให้เธอทั้งหลาย เข้าใจเรื่องนี้ เข้าใจเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ว่าชีวิตนี้ต้องพัฒนา ต้องพัฒนา ธรรมชาติกำหนดมาอย่างนั้น ธรรมชาติกำหนดให้อย่างนั้น และก็ให้ความสะดวกคือว่า พัฒนาได้ อย่าเห็นเป็นฝั่งเหลือวิสัย ให้พัฒนา พัฒนา จนถึงขึ้นสุดท้าย ได้สิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์เราควรจะได้ ถ้าไม่พัฒนา เป็นอย่างไรก็ลองคิดดูเถอะ มันเป็นไปตามสัญชาตญาณมันไม่ฉลาดพอ เพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้นี้มันไม่ไหว เพียงแต่รอดชีวิตอยู่ได้ยังเต็มไปด้วยความทุกข์นี้มันไม่ไหว ชีวิตนี้รอดอยู่ได้ด้วย แล้วไม่มีความทุกข์ด้วย นั่นแหละมันจึงจะใช้ได้
สิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณนั้นน่ะมีในบรรดาสิ่งที่มีชีวิตทั้งคน ทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ มีความรู้สึกอันหนึ่งสำคัญที่สุด คือจะรอดอยู่ต้องการจะรอดอยู่ จะรอดอยู่ แล้วมันจะเจริญต่อไป แต่ว่าต้องการจะรอดอยู่นั่นแหละมันเป็นหลักสำคัญ ดังนั้นเราจึงเรียนรู้เรื่องสัญชาตญาณกันหลาย ๆ อย่าง สัญชาตญาณที่มีความรู้สึก จะเป็นอยู่ จะไม่ตาย จะแสวงหาอาหาร จะเจริญเติบโต จะต่อสู้อันตราย จะหนีอันตรายเหล่านี้ เป็นไปได้ตามสัญชาตญาณ แต่ถ้าปล่อยไว้เพียงสัญชาตญาณเท่านั้นมันไม่พอ มันได้เท่านั้น คือมันรอดอยู่ได้โดยไม่ต้องตาย แต่เต็มไปด้วยปัญหา ทีนี้ต้องเอา ภาวิตญาณ (49.00)เข้ามา ช่วยจำคำนี้ไว้ เป็นคำที่กินความหมายดีที่สุด สัญชาตญาณแปลว่าความรู้ที่เกิดเอง ภาวิตญาณ( 49.16) ภ สำเภานะ ภาวิตญาณ ความรู้ที่มนุษย์ได้กระทำให้เกิดขึ้น เอาใหม่ ความรู้เก่าเท่าที่มันเกิดเอง เรียกว่าสัญชาตญาณ แต่ความรู้ใหม่เรียกว่า ภาวิตาญาณ ที่เราทำให้มีขึ้นมา เราเรียนในโรงเรียนนี้ เกิด ภาวิตาญาณ เพิ่มขึ้นมา แต่บอกแล้วมันไม่พอ มันมีเรื่องทางวัตถุ ต้องหาทางจิตใจด้วย เราเกิดมาจากท้องมารดาสัญชาตญาณก็มาพร้อมกันนั่นแหละ แล้วจึงเกิดภาวิตาญาณทำให้ดียิ่งขึ้น เจริญยิ่งขึ้น อีกต่อหนึ่ง นี่ล่ะมันอยู่ที่ว่าสิ่งแวดล้อม สิ่งแวดล้อม ทารกเกิดมาได้รับสิ่งแวดล้อมที่ดี มันก็เจริญด้วยญาณ ภาวิตาญาณสูงขึ้นตามลำดับ แต่ขอให้มองเห็นความจริงตามที่เป็นจริงอยู่ว่ามันไม่ค่อยจะมีโอกาสเช่นนั้น เราไม่มีวัฒนธรรม ชนิดที่ว่าจะควบคุมลูกเด็กๆ เล็กๆ ให้เจริญด้วยสติปัญญา เรามีแต่การเอาอกเอาใจ เด็กทารกเกิดขึ้นมาก็เอาอกเอาใจให้ได้ยินได้ฟัง สวยงาม สนุกสนาน เอร็ดอร่อยส่งเสริมไปแต่ในทางนั้น มันจึงไม่ควบคุมกิเลส แล้วมันมีความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น อร่อยก็เห็นแก่ตัวไปอย่างหนึ่ง ไม่อร่อยก็เห็นแก่ตัวไปอย่างหนึ่ง ไม่มีใครชี้แจงว่ามันอย่างนี้เอง เด็กทารกจึงโตขึ้นมาด้วยความไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้มากขึ้น เพราะตกเป็นทาสของความเอร็ดอร่อย ตรงนี้ล่ะอย่าง่วง ขอให้ฟังให้ดีๆ ว่าพวกคุณกำลังจะหนีตามโจรไป คนง่วง ๆ น่ะ ฟังให้ดีว่ากำลังจะหนีพ่อแม่ ทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไป นั้นคือความเอร็ดอร่อย นั้นคือความเอร็ดอร่อย จะทิ้งความถูกต้องจะละทิ้งความถูกต้อง จะวิ่งหนีตามความเอร็ดอร่อยซึ่งเปรียบเหมือนโจร นี่เขาพูดเป็นอุปมา ทารกน้อยๆ น่ะ วิ่งหนีพ่อแม่ตามโจรไป เพราะมันเห็นว่าสนุกสนานดี วิ่งหนี ทิ้งพ่อแม่ตามโจรไป ไปเป็นโจร ไปทำผิด ๆ ทั้งนั้นจนเจ็บปวด จึงค่อยรู้สึกตัวว่าหนีตามโจรมานี้ไม่ไหว จะหนีโจรกลับไปหาพ่อแม่ นี่เด็กเกิดขึ้นมาไม่รู้อะไร โตขึ้นมาก็เห็นแต่ความเอร็ดอร่อย บูชาความเอร็ดอร่อย ละทิ้งความถูกต้อง นี่ตามโจรไป แล้วก็ไปสำมะเลเทเมากับความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน โดยเฉพาะกามารมณ์ มันก็กัดเอา กัดเอา กัดเอา รู้สึกตัวได้ อยากจะทิ้ง จะหนีโจรกลับมาหาพ่อแม่ เพื่อหาความถูกต้อง ชีวิตกำลังเป็นอย่างนี้อยู่นะ ระวังให้ดีมันจะทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไป มันจะทิ้งธรรมะคือความถูกต้อง หนีไปหาความสุข สนุกสนาน สำเริงสำราญ มันผิดหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ สัญชาตญาณจะกลายเป็นกิเลสมากขึ้นทุกที สัญชาตญาณเดิมๆ จะไม่กลายมาเป็นโพธิ สองคำนี้เป็นคำคู่ ฝ่ายต่ำ ธรรมชาติฝ่ายต่ำน่ะเป็นกิเลส ฝ่ายสูงน่ะเป็นโพธิ ถ้าไม่จัดการให้ถูกต้อง สัญชาตญาณนั้นจะไหลผ่านกิเลส คือ ต่ำลงๆ ถ้าจัดการถูกต้องจะเป็นโพธิ โพธิ สูงขึ้น สูงขึ้น แล้วก็รู้จักว่าควรทำอย่างไร มันก็ทำถูกต้องจนตลอดชีวิต มันก็เป็นชีวิตที่สำเร็จประโยชน์ ได้รับสิ่งที่ดี ที่สุดที่มนุษย์ควรจะได้เป็นแน่นอนที่เราพูดเมื่อตะกี้ว่า ชีวิตที่จะไม่กัดเจ้าของ
ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติมันจะเห็นแก่ตัวมากขึ้น มากขึ้น ถ้ายิ่งส่งเสริมไม่ถูกวิธีแล้วก็ยิ่งมากขึ้น มากขึ้น จะมีความรู้สึกเป็นตัวกู ตัวกู ของกูมากขึ้น ยกตัวอย่างเด็กสักหน่อยเช่นว่า เด็กเล็ก ๆ มันเดินไปชนเก้าอี้หรือชนเสา มันก็ร้องจ้าเลยเด็ก ทีนี้เรื่องเป็นยังไง พ่อแม่ แม่ซะโดยมากไปช่วยตีเสา เคยเห็นภาพอย่างนี้บ้างไหม ตีเสาหรือตีเก้าอี้ให้ลูกมันหายร้อง บางทีพี่เลี้ยง พี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูอยู่ด้วยก็ช่วยผสมโรงตีเก้าอี้ ตีเสาให้เด็กๆ มันหายร้อง นี่มันสอนอะไร มันสอนอะไร มันสอนให้ฉลาด หรือมันสอนให้โง่ มันไม่เคยมีตัวตน มันก็มีตัวตนขึ้นมา มีตัวกูขึ้นมา เด็ก ๆ มันเดินชนเสาก็เตะเสา เตะเก้าอี้ ถ้ามันโตพอที่จะเตะได้ ถ้ามันเล็กเกินไป มันร้องไห้ พ่อแม่พี่เลี้ยงก็มาช่วยกันตีเก้าอี้ ตีเสา อย่างนี้เป็นการสอนที่ไม่ถูกต้อง จะต้องสอนให้เขารู้ตามความเป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอย่างไร ควรจะระมัดระวังอย่างไรนี่ มันก็จะไม่เกิดความเห็นแก่ตัว ทีนี้เกิดความเห็นแก่ตัวจนว่าอะไร อะไร กูก็จะเอา กูจะเอาอย่างไรต้องได้อย่างนั้น ทุกคนมีหน้าที่ส่งเสริมแวดล้อมให้กูได้อย่างที่กูต้องการอย่างนี้มันเข้าใจผิด เข้าใจอย่างนี้คือวิ่งหนีตามโจรไป จนกว่าจะรู้สึกตัวกลับมาสู่ความถูกต้องกันเสียใหม่ ขอให้สนใจคำนี้ ว่าเรากำลังอยู่ในวัยที่จะทิ้งพ่อแม่หนีตามโจรไปหรือเปล่า และจะทิ้งความถูกต้อง ทิ้งความรักความอะไร ของพ่อแม่ วิ่งไปหาความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยตามใจเราโดยเฉพาะคือกามารมณ์ เรื่องชิงสุกก่อนห่ามในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัยนี่ มีแต่ความล้มเหลว ไอ้พวกชิงสุกก่อนห่ามชนิดนั้นแหละ คือพวกที่ทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไป ทิ้งความถูกต้องไปบูชาความโง่เขลา หรือผิดพลาด ระวังให้ดีมันยังอยู่ในยุคนี้ ในระยะนี้ ในระยะที่จะทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไป ขอร้องให้ทุกคนสนใจเรื่องนี้ จัดการเรื่องนี้ให้ถูกต้อง อย่าให้เราเป็นเด็กโง่ ทิ้งพ่อแม่ หนีตามโจรไป คือทิ้งความถูกต้องไปบูชาความสุขสนุกสนาน เอร็ดอร่อย หลงลืมธรรมะ ธรรมะคือความถูกต้อง สูงสุดจนพระพุทธเจ้าก็บูชาความถูกต้อง
นี่ยุติว่าเรามาที่นี่ แสวงหาสิ่งที่ยังขาดอยู่ คือ ธรรมะ เอาไปบวกกับการศึกษาในสถานศึกษาที่มีแต่สอนให้ฉลาดอย่างเดียว ฉลาดอย่างเดียว จนพลัดตกไปในเหวแห่งความเห็นแก่ตัว เรื่องราวเกิดขึ้นเต็มไปหมด รัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้น วิตกกังวล อย่างที่ว่ามาแล้วจนชีวิตนี้มันกัดเจ้าของ ชีวิตนี้มันกลายเป็นกัดเจ้าของ ชีวิตโง่ ชีวิตหลง ชีวิตที่ไม่แท้จริง หาให้พบชีวิตจริง ชีวิตจริงไม่กัดเจ้าของ สงบเยือกเย็น เพราะมีความถูกต้อง แล้วยังจะต้องหาความรู้เรื่องสติสัมปชัญญะ ที่สำคัญที่สุด ที่เราบำเพ็ญทางจิตใจ มีสติสัมปชัญญะแล้วมันจะรักษาความถูกต้องไว้ทุกอิริยาบถ ทุกกระเบียดนิ้ว เธอทั้งหลายควรจะสนใจเรื่องนั้นด้วย เรื่องสมาธิภาวนา การพัฒนาทางจิตใจโดยเฉพาะ ซึ่งเราจะพูดกันในวันหลัง จนเดี๋ยวนี้มันรู้แผนการของชีวิตโดยทั่วไป ธรรมชาติสร้างมาให้สามารถพัฒนา และก็พัฒนาได้ พัฒนาสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป จนถึงระดับที่ชีวิตนี้ไม่กัดเจ้าของ
ขอแสดงความยินดีด้วยในการมาของเธอทั้งหลายสู่สถานที่นี้ เพื่อแสวงหาธรรมะ เอาไปผนวกกับการศึกษา สามัญศึกษาที่มันยังไม่สมบูรณ์ เพราะมันมีแต่ให้ฉลาด ฉลาด และไม่ควบคุมความฉลาด เธอมาแสวงหาสิ่งที่ยังขาดอยู่นี้ เราขออนุโมทนาด้วยเป็นอย่างยิ่ง และขอแสดงความยินดีที่มานี้ ยินดีต้อนรับ ยินดีช่วยเหลือตามที่จะทำได้ เพื่อว่าช่วยกันพัฒนาโลก พัฒนามนุษย์ ให้มันเป็นโลกที่เยือกเย็น มีความหมายแห่งนิพพาน สรุปการบรรยายในวันนี้ก็คือว่า เรามาฝึกควบคุมความไม่เห็นแก่ตัว ฝึกทำทุกอย่างไหว้พระสวดมนต์ หรือว่าตื่นแต่ดึก หรือว่าทำการงานใด ๆ ที่ไม่ต้องมีใครตอบแทน ไม่มีใครพูดแม้แต่ว่าขอบคุณ ขอบคุณ คุณจะทำอะไรก็ได้ จะรักษาความสะอาดทำอะไรก็ได้เพื่อลดความเห็นแก่ตัวโดยที่ไม่ต้องมีใครมาขอบคุณ ขอบคุณ เห็นที่ถือไม้กวาดกันอยู่บ่อยๆ นี่ล่ะ นั่นล่ะบทเรียนที่จะฝึกความเห็นแก่ตัว โดยที่ไม่ต้องมีใครขอบคุณ นี่ก็ขออนุโมทนา ในระยะเวลาที่ได้มาพักอยู่ที่นี่ ให้ได้ศึกษา ฝึกฝนทั้งทางกาย และทั้งทางจิตใจ ให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป ถ้าตื่นแต่เช้าตรู่ เพื่อรู้สึกต่อโลกในเวลาที่สดชื่น ใช้เวลาที่สดชื่นนั่นแหละ ศึกษาเล่าเรียนให้ดีๆ ในทางร่างกายก็ได้ ในทางจิตใจก็ได้ จะ เรียนหนังสือก็ได้ จะฝึกสมาธิก็ได้ ในเวลาที่จิตใจมันสดชื่นก่อนสว่างนั่นแหละ นี่ขอให้ใช้เวลาให้ถูกจังหวะ แล้วก็จะได้รับผลเกินคาด ในการที่อุตสาห์มาสู่สถานที่นี้ ในลักษณะอย่างนี้ ซึ่งเป็นความถูกต้องอย่างยิ่ง ขอแสดงความยินดีและขอบคุณ