แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับการทำบุญปีใหม่ให้สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด ถ้าทำพอสักว่าเป็นประเพณี มันก็ได้ประโยชน์สักว่าพอเป็นพิธี ถ้าทำด้วยจิตใจที่มีความรู้ ความเข้าใจถูกต้อง มันก็จะได้ประโยชน์ที่แท้จริง ก่อนแต่จะพูดถึงเรื่องปีใหม่ ก็อยากจะพูดถึงเรื่องที่สำคัญที่สุดสักเรื่องหนึ่งก่อน คือเรื่องเวลา เวลา มีบางคนพูดว่าเวลาไม่มีตัวจริง ไม่มีความหมายอะไร สักว่าเป็นลมๆแล้งๆ ทีนี้ขอบอกให้ทราบว่า ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลานั้นไม่ใช่เรื่องลมๆแล้งๆ ทว่าเวลานี้มันเกิดมาจากกิเลสของคนที่มีความอยาก พอเกิดความอยากแล้ว มันยังไม่ได้สมอยาก จนกว่าจะได้สมอยากนั่นแหละ ตอนนั้นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าเวลามันก็เกิดขึ้น ถ้าเราไม่ต้องการอะไร เวลาก็ไม่มี สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการอะไร โดยเฉพาะเช่นพระอรหันต์ เดี๋ยวนี้คนธรรมดายังมีความต้องการอะไร เมื่อต้องการแล้วยังไม่ทันจะได้ ไอ้สิ่งที่เรียกว่าเวลาก็เกิดขึ้น กัดกินหัวใจของบุคคลคนนั้น จนกว่าจะได้ตามที่ต้องการ หรือว่ามันกำจัดความอยากออกไปได้
นี่ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าเวลา เวลานั้นมันคือสิ่งที่กัดกินหัวใจ เวลามีเมื่อไร กัดกินหัวใจเมื่อนั้น เวลาไม่มีก็ไม่กัดกินหัวใจ ความอยากมีเมื่อไร เวลาก็มีเมื่อนั้น ความอยากไม่มีเมื่อไร เวลาก็ไม่มี เด็กๆก็มีความรู้แต่เพียงว่าเวลาก็คือนาฬิกามันเดิน หรือว่าโรงเรียนเขาตีระฆังเข้าเรียน ออกเรียน เด็กๆมันก็รู้เพียงเท่านั้น แต่มันก็พอจะมองเห็นว่า มันทำให้จิตใจปั่นป่วนเมื่อมีความหมายของเวลาเข้ามา ฉะนั้นเด็กๆควรจะรู้ว่าเวลาๆนั้นน่ะ มันเกี่ยวกับความอยากในจิตใจของคน
ให้เราหยุดนาฬิกาเสียทุกเรือนในโลกอย่าให้มันเดิน เวลามันก็ยังมี ให้หยุดดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่หมุนไปตามระบบนั้นเสียได้ เวลามันก็ยังมี เพราะว่าเวลาที่แท้นั้นน่ะมันไม่ได้เกิดจากนาฬิกา เป็นต้น มันเกิดจากความอยากด้วยอำนาจของความโง่ ความอยากมี ๒ ชนิด ถ้าต้องการด้วยความโง่ ก็เรียกว่าความอยากหรือกิเลสตัณหา ถ้าต้องการด้วยสติปัญญา ก็เรียกว่าความปรารถนา หรือสังกัปปะ ไม่เรียกว่าตัณหา เพราะว่ามันไม่กัดกินเหมือนกับตัณหา เวลาที่เกิดมาจากตัณหา นี่ควรจะนึกถึงเรื่องนี้ว่า เรื่องปีใหม่นี้ควรจะทำอะไรชนิดที่เอาชนะเวลาให้ได้ อย่าให้เวลามันกัดกินหัวใจ เป็นเรื่องของคนโง่ ทำอะไรด้วยความอยาก ด้วยกิเลสตัณหา มันก็เกิดเวลาที่กัดกินหัวใจ ถ้าเราทำด้วยสติปัญญา ไม่เกิดสิ่งที่จะกัดกินหัวใจ ไม่ร้อนรนกระวนกระวายอะไร ดังนั้นจงฝึกหัดทำสิ่งต่างๆทุกอย่างด้วยสติปัญญา เช่นอย่างน้อยรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ ก็ควรทำ ก็ทำ ก็ทำไปด้วยสติปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา ความหิวความกระหาย มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่าเวลาขึ้นมา แล้วก็กัดกินหัวใจ
ฉะนั้นคำกล่าวที่ว่า เวลากัดกินสรรพสัตว์กับทั้งตัวมันเองนั้นน่ะ มันถูกต้องที่สุด เมื่อใดเกิดความหมายของเวลาขึ้นมาแก่ผู้ใด มันก็กัดกินหัวใจของบุคคลคนนั้น อย่างนี้มัน มันเป็นธรรมดาสำหรับคนธรรมดา หรือจะต้องขออภัยว่าสำหรับคนโง่ พุทธบริษัทต้องไม่โง่ ต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีสติปัญญา อย่าให้เวลามันกัดกินหัวใจ มันจะซูบซีดเศร้าหมอง มันจะเจ็บไข้ได้ป่วย หรือมันจะตายก็ได้ นี่สิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลาเกิดขึ้นมาจากความอยากของคนโง่ ถ้าความต้องการของคนที่มีสติปัญญา ไม่ๆเกิดเวลาชนิดที่กัดกินหัวใจ มันเกิดเวลาชนิดที่กัดกินตัวมันเอง ก็ช่างหัวมัน มันไม่เดือดร้อนกับเราก็แล้วกัน
นี่ขอให้สนใจว่าเวลา เวลานี้กำลังบีบคั้นคนโง่อยู่ในโลกทั้งโลกทั่วโลก พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่อจะกำจัดเสียซึ่งกิเลสและตัณหา กำจัดตัณหาได้เวลาก็ไม่มี ลดตัณหาได้เวลาก็ลดลง ลดตัณหาลงได้เท่าไร นาฬิกาก็เดินช้าลงเท่านั้น หมดตัณหาก็นาฬิกาหยุดเดิน ถ้าฟังไม่เข้าใจก็ขอให้โง่ต่อไปก่อนเถิด ไม่รู้จะพูดอย่างไร นี่คือสิ่งที่เรียกว่าเวลา เวลา แล้วเดี๋ยวนี้ก็มาตามบัญญัติที่เรียกว่า ปีใหม่ เวลาปีใหม่ มันจะกัดกินเท่าปีเก่าตามที่เป็นมาแต่เดิมหรือไม่ นี่จะต้องหยิบขึ้นมาพิจารณาดู ถ้าจะให้มันปีใหม่จริง มันก็ต้องให้เวลากัดน้อยลง หรือว่าไม่กัดเลย หรือว่ามีเวลาที่เวลาไม่กัด คือไม่มีเวลานั่นแหละ มีระยะเวลาที่เวลาไม่กัด อย่าให้เวลามันกัดกินหัวใจทั้งกลางวันทั้งกลางคืน ทั้งหลับทั้งตื่นเลย มันไม่มีความเป็นพุทธบริษัทมากนัก มันหมดความเป็นพุทธบริษัท บรรเทาตัณหาได้เท่าไร เวลาก็ลดตัวเองลงไปเท่านั้น หมดตัณหาก็หมดเวลา เป็นผู้เคี้ยวกินเวลาสวนกลับ ถ้ามีตัณหา มีความอยากและความโง่ เวลามันกินเรา ถ้าไม่มีตัณหา ไม่มีความอยากด้วยความโง่ เรากินเวลา เราเป็นสุขสบาย เพราะเวลาไม่กัดเรา เรากลับเป็นผู้กัดกินเวลา ทำให้เวลาไม่มีอำนาจ ไม่มีอะไรที่จะมารบกวนเรา
เอ้า, ขอให้ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่มีความใหม่ สำหรับจะเรียกว่าปีใหม่กันในลักษณะที่ว่า มันมีความอยากด้วยความโง่น่ะ ลดลงๆไปตามลำดับ จนกว่าจะหมดสิ้นไป ขอให้จำไว้อย่างมั่นคงที่สุดว่า ไอ้ความอยากหรือความต้องการนั้นมันมี ๒ ชนิด ถ้ามันมาจากความโง่ มันก็กัด ถ้ามันมาจากสติปัญญา มันไม่กัด เพราะว่าเราไม่ทำอะไรด้วยความอยาก เพราะว่าทำอะไรด้วยสติปัญญา สามารถให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี เวลาไม่รบกวนจิตใจ ไม่ทรมานจิตใจ นั่นจึงเรียกว่ามีจิตใจใหม่พอที่จะเป็นปีใหม่ได้ นี้ขอให้สนใจ ให้เข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียกว่าเวลาเถิด แล้วท่านก็จะเป็นผู้ที่ใกล้พระนิพพาน เป็นผู้อยู่ใกล้พระนิพพาน เพราะเวลาไม่กัดเอา แต่เรากลับกัด กัดกินเวลา คือกัด กัดกินตัณหานั่นแหละ ทำลายตัณหาให้หมดไป
นี้ไม่ใช่พูดบ้าๆบอๆ แต่มันเป็นเรื่องหัวใจของพระพุทธศาสนา ละตัณหาเสียได้ ความทุกข์ก็ดับไปโดยสิ้นเชิง นี่ขอให้สนใจเป็นพิเศษอย่างนี้ อย่าให้มีการทรมานใจด้วยเวลา อย่ามีการทรมานใจด้วยเวลา เป็นคนซูบซีดเศร้าหมอง สุขภาพเสื่อม เพราะมันถูกทรมานใจด้วยเวลา อะไรๆก็ไม่ได้ เวลาก็ไม่รอ แล้วมันก็ถูกทรมานด้วยเวลา อย่าทำให้เวลาเกิดขึ้น คืออย่าทำอะไรด้วยความต้องการ ด้วยความโง่คือกิเลสตัณหา จะเล่าเรียน จะทำงาน จะมีผลงาน หรือจะเก็บผลงานไว้ใช้กินอะไร ก็อย่าทำไปด้วยความอยาก ทำไปด้วยสติปัญญา แล้วมันก็ไม่เกิดอุปาทาน ที่จะมายึดถือเป็นตัวกูเป็นของกู แล้วก็มาหนักอยู่บนศีรษะของบุคคลเหล่านั้น
จงยิ้มแย้มแจ่มใส ชนะเวลา ปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยสติปัญญา อย่าให้โอกาสแก่ความอยาก คือกิเลสตัณหาเข้ามาครอบงำ หรือบงการให้กระทำ ถ้าทำได้อย่างนี้ มันใหม่หรือไม่ใหม่ ก็ลองคิดดูว่ามันเคยทำได้อย่างนี้ไหม ที่แล้วมามันไม่เคยทำอย่างนี้ ถ้าทำได้อย่างนี้มันก็ใหม่ มันก็มีเรื่องใหม่ มีชีวิตใหม่ มีอะไรที่เรียกว่าใหม่ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะคือปีใหม่
ทีนี้ก็อยากจะพูดต่อไปถึงว่ามันมีอะไรบ้างที่จะต้องทำให้ใหม่ ให้แปลกออกไปกว่าปีเก่า มันก็เป็นเรื่องที่สร้างสรรค์ปัจจัยแห่งการกำจัดกิเลสตัณหานั่นแหละ อะไรเป็นปัจจัยแห่งการกำจัดกิเลสตัณหาก็มีสิ่งนั้นแหละขึ้นมา มันก็กำจัดกิเลสตัณหา กิเลสตัณหามันก็ร่อยหรอไป หรือจะถึงกับหมดไป นั่นน่ะเวลามันก็ลดอำนาจลงไป จนกระทั่งไม่มีมาเบียดเบียน
ขอให้ปีใหม่นี้มีพระรัตนตรัยที่ถูกต้องและมากขึ้นกว่าปีเก่า พระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ขอให้เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ถูกต้องและมากขึ้นกว่าปีเก่า อย่ามีพระพุทธเจ้าอย่างลูกเด็กๆสืบต่อไปให้มันยืดยาวเลย เป็นผู้ใหญ่แล้วรู้จักพระพุทธเจ้า เด็กๆเขาพอเห็นผ้าเหลืองก็พระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธรูปก็พระพุทธเจ้า อะไรๆก็เป็นอย่างบุคคล เป็นอย่างวัตถุไปเสียทั้งนั้น อย่างนี้มันไม่ถูกกับเรื่องของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้ใดเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ไม่เห็นธรรมแม้จะจับจีวรของเราอยู่ ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา เพราะเขาไม่เห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้ๆนั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
เดี๋ยวนี้คำว่าปฏิจจสมุปบาทยังเป็นที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจสำหรับคนบางคน มันจะโทษใครเมื่อมันไม่สนใจที่จะศึกษา มันก็ไม่รู้ ขอบอกให้รู้เถอะว่าแม้จะเป็นคำที่แปลกประหลาดอยู่ แต่ก็เป็นคำธรรมดาที่พอจะเข้าใจได้ว่า ระบบการดับทุกข์สิ้นเชิงนั่นแหละ เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท มีลักษณ์ อ่า, มีเรื่องราวบอกไว้ชัดว่าความทุกข์จะเกิดขึ้นๆๆอย่างไร ความทุกข์จะดับลงๆๆอย่างไร ทั้งสองอย่างนี้เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายให้เกิดทุกข์และฝ่ายให้ดับทุกข์ ทีนี้รู้จักปฏิจจสมุปบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งว่าดับทุกข์ได้อย่างไร นั่นแหละคือเห็นธรรมะ เห็นธรรมะก็คือเห็นพระพุทธองค์ ถ้าไม่เห็นธรรมะในลักษณะอย่างนี้ ก็เห็นเปลือกของพระพุทธองค์ต่อไปเถิด จนตายเข้าโลงมันก็ไม่ได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มัวเห็นแต่พระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นบุคคล อย่างลูกเด็กๆเรียนน่ะ เป็นลูกเจ้าแผ่นดิน ชื่อเด็กๆเป็นชื่อสิทธัตถะ แล้วไปบวชแล้วเป็นพระพุทธเจ้า รู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ ที่เขียนกันเสียอย่างยืดยาวในฐานะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ นี่มันเรื่องสำหรับคนโง่ ให้มันเขียนให้มันเรียนจนตาย ให้พิมพ์ไปทั่วโลกมันก็ไม่รู้จักพระพุทธเจ้าได้ เพราะมันเป็นเปลือกของพระพุทธเจ้า
พระพุทธองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์จริงน่ะไม่ใช่ลูกของพระเจ้าสุทโธทนะ ไม่ใช่เด็กชื่อสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าพระองค์จริงไม่ได้เกิดจากบิดามารดาอย่างนั้น พระพุทธเจ้าพระองค์จริงนี่เกิดจากธรรมะ เกิดในลักษณะเป็นโอปปาติกะ คือเกิดทางจิตใจคลุ้งขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้า อย่างที่เราเรียนพุทธประวัติ รู้แล้วว่าเมื่อไรตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อนั้นน่ะเรียกว่าการเกิดของพระพุทธเจ้าได้เกิดขึ้น การเกิดอย่างนี้มันไม่ใช่ ไม่ใช่เกิดอย่างเกิดท้อง จากท้องแม่ซึ่งมันเสร็จไปแล้ว ฉะนั้นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นน่ะไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เนื้อหนัง ไม่ใช่บุคคล เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าแท้จริงจะเป็นคนชาตินั้นชาตินี้ก็ไม่ได้ ไปขึ้นทะเบียนเป็นคนชาติไหนก็ไม่ได้ เพราะว่ามิได้เป็นเนื้อหนังอย่างที่เกิดจากท้องของบิดามารดา แต่ว่ามันเกิดจากธรรมะ เกิดจากการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักของปฏิจจสมุปบาทแล้ว ดับทุกข์ได้ นี่เห็นปฏิจจสมุปบาท ดับทุกข์ได้ จึงจะเห็นพระพุทธเจ้า ในข้อนี้ต้องหมายถึงปฏิบัติได้ด้วย
เรื่องปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทฤษฎีนั้นยืดยาวมากมายมหาศาล พูดกันเป็นชั่วโมงๆก็ไม่จบ แต่ถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาทในฝ่ายปฏิบัติแล้ว พูดคำเดียวก็หมดก็จบ คือว่าควบคุมผัสสะให้ได้ เมื่อมีผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ควบคุมให้ได้ ให้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มีสมาธิ ควบคุมผัสสะไว้ได้ ไม่เกิดเวทนาโง่ ไม่เกิดตัณหา ไม่เกิดอุปาทาน ไม่เกิดภพ ไม่เกิดชาติ มีเท่านี้ ควบคุมผัสสะได้นั่นแหละคือปฏิบัติปฏิจจสมุปบาทอันยืดยาวลึกซึ้ง มันหมดความยืดยาว หมดความลึกซึ้ง ตรงที่ว่าควบคุมผัสสะได้ พอควบคุมผัสสะได้ก็จะรู้ว่าความทุกข์ดับไปอย่างไร นี้คือเห็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อนั้นคือการเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่เรียกว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา
ขอให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่มีอยู่ทั้งเนื้อทั้งตัวทั่วไปทั้งทุกขุมขน เพราะว่ามันมีธาตุ มีขันธ์ มีอายตนะ มีส่วนเล็กส่วนน้อยทุกส่วนที่เป็นไปตามกฎของปฏิจจสมุปบาท เกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยอะไร ดับไปด้วยหมดเหตุหมดปัจจัยอะไร นี้เรียกว่ารู้จักปฏิจจสมุปบาท และปฏิบัติได้ โดยทฤษฎีนั้นพูดกันเป็นวันๆก็ไม่ค่อยจบ แต่ถ้าโดยปฏิบัติแล้ว พูดประโยคเดียวจบว่า ควบคุมผัสสะได้ นี่ศึกษาธรรมะให้เพียงพอ ควบคุมผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ แล้วก็จะมีผลแห่งการควบคุมปฏิจจสมุปบาท นั่นคือดับทุกข์ได้ เห็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เห็นความดับไปแห่งทุกข์ เห็นปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง ขอให้เราทุกคนได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริงในลักษณะเช่นนี้ให้มากกว่าปีเก่า อย่าให้มันหยุดชะงักอยู่เหมือนที่แล้วๆมา มันก็ได้แต่เอาพระเครื่องมาแขวนคอ แล้วมันก็ฝันว่าเราอยู่กับพระพุทธเจ้าแล้วนี่
เรื่องพระพุทธ เอ่อ, พระเครื่องแขวนคอนี่ระวังให้ดี ถ้าใครกำลังมีอยู่ที่คอ ก็ขอให้ทำความเข้าใจเสียให้ถูกต้อง ว่าเราไม่ได้แขวนอย่างถือไสยศาสตร์คุ้มครองเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ว่าเป็นเครื่องเตือนสติให้เราระลึกรู้สึก เข้าใจต่อพระพุทธเจ้าพระองค์จริงอยู่เสมอ ไม่ลืม ไม่เลือน ไม่ ไม่ปะปนและไม่ยุ่งเหยิง จะระวังผัสสะไม่ให้โง่ เขามีอวิชชาเกิดขึ้นในขณะแห่งผัสสะ ก็ทำไป พูดไป คิดไปโดยอวิชชานั้นๆ แล้วมันก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา แต่ถ้ามีพระเครื่องที่แท้จริงแขวนอยู่ที่คอ หลังจากที่ได้ศึกษาปฏิจจสมุปบาทมาอย่างถูกต้องเพียงพอแล้ว มันก็ช่วยได้ ถ้าอย่างนี้การแขวนพระเครื่องนั้นเป็นพุทธบริษัท เป็นพุทธศาสนาแท้จริงน่ะ คือเป็นอนุสสติวัตถุ อย่าให้ลืม อย่าให้เลือน แต่ถ้าแขวนในฐานะเป็นไสยศาสตร์ก็หมดความเป็นพุทธบริษัท ระวังให้ดีๆ จะได้มีพระพุทธเจ้าพระองค์จริงมากยิ่งขึ้นกว่าปีเก่า
ทีนี้ก็มาถึงพระธรรม องค์ที่สองคือพระธรรม ก็พูดมาแล้วว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม ก็ธรรมเดียวกันกับพระพุทธนั่นแหละ คือการปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ได้ เพราะรู้ว่าทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ทุกข์จะดับไปอย่างไร มีความรู้ในเรื่องนี้ด้วย ปฏิบัติได้ในเรื่องนี้ด้วย นี้เรียกว่ามีพระธรรม มีพระธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่มีหนังสือในตู้ มีใบลาน มีการเทศน์ มีอะไรก็เรียกว่าพระธรรมๆ พระธรรมชนิดที่อยู่ในหีบนั้นช่วยไม่ได้ อยู่ในตู้นั้นช่วยไม่ได้ ต้องออกมาอยู่ที่การปฏิบัติที่เนื้อที่ตัว ที่กายที่วาจาที่ใจ ที่ทิฐิ ความคิดความเห็น การกระทำทั้งหมดทั้งสิ้นถูกต้อง นี่พระธรรมก็เป็นพระธรรม คือช่วยดับทุกข์ได้
คำว่าธรรมะนั้นน่ะแปลว่ายกขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตก สิ่งนั้นเรียกในภาษาบาลีโบรมโบราณนู้น ภาษาอินเดียโบราณนั้นว่า ธรรม หรือพระธรรม หรือธรรมะ ถ้าเรียกอย่างภาษาไทยก็คือหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ หน้าที่คือสิ่งที่ยกขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตกลงไปในความทุกข์ ทรงผู้มีหน้าที่ไว้ไม่ให้พลัดตกลงไปในกองทุกข์ เรียกเป็นไทยว่าหน้าที่ เรียกเป็นอินเดียโบราณว่าธรรมะ เขาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดโน่น ธรรมะๆนี่เขาสอนกันอยู่ก่อน แต่มันไม่สูงสุด ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น จึงสอนกันสูงสุด หน้าที่สูงสุด ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง บรรลุมรรคผลนิพพาน นี่คือพระธรรมหรือหน้าที่ที่สูงสุด สำเร็จประโยชน์ถึงที่สุด ดับทุกข์สิ้นเชิงแล้วมันจะเอาอะไรกันอีกเล่า มันไม่มีปัญหาอะไรเหลือแล้ว นี่หน้าที่สูงสุดให้ผลสูงสุด นี่หน้าที่ หน้าที่คือธรรมะ
ถ้าจะมีธรรมะมากขึ้นกว่าเดิม ก็คือมีธรรม อ่า, หน้าที่มากขึ้นกว่าเดิม มีหน้าที่ถูกต้องยิ่งกว่าเดิม ทุกอย่างที่เป็นหน้าที่ ทำให้ถูกต้องไปเสียให้หมด หน้าที่หาเลี้ยงชีพก็ดี หน้าที่บริหารชีวิตประจำวันก็ดี หน้าที่คบหาสมาคมก็ดี หน้าที่ทั้งหลายเหล่านี้ต้องถูกต้อง ต้องถูกต้อง อาชีพทำนา ทำสวน ค้าขาย เป็นข้าราชการ เป็นกรรมกร แม้แต่เป็นคนขอทานก็ต้องทำให้ถูกต้อง ให้ถูกต้อง ให้ถูกต้องแหละ มันจะพ้นจากปัญหา หน้าที่บริหารร่างกาย แม้แต่ว่าจะตื่นนอนขึ้นมา ล้างหน้าถูฟัน จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ จะอาบน้ำ จะรับประทานอาหาร แล้วจะล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน บริหารชีวิตประจำวันนี้ก็เป็นหน้าที่คือเป็นธรรมะ พอทำด้วยสติสัมปชัญญะให้ถูกต้อง ถูกต้องแล้วมันจะพอใจทุกกระเบียดนิ้ว มันจะพอใจเป็นสุขทุกกระเบียดนิ้วทุกเวลาที่นั่งถ่ายอุจจาระ นั่งถ่ายปัสสาวะ ล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือน หรือล้างส้วม หน้าที่อะไรก็ตามเถอะ ถ้าทำด้วยสติสัมปชัญญะ มันจะเกิดความรู้สึกว่าถูกต้องแล้วพอใจ พอใจมันก็เป็นสุข มันเลยมีธรรมะไปทุกอิริยาบถในชีวิตประจำวันนี่ คนโง่มันทำไม่ได้ มันก็ล้างหน้าถูฟันอย่างจิตใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันอาบน้ำแต่จิตใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันถ่ายอุจจาระปัสสาวะแต่จิตใจอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ มันกินข้าวกินปลา มันล้างถ้วยล้างจาน กวาดบ้านถูเรือนด้วยจิตใจที่อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ โดยมากมันก็ไปอยู่กับผี มันไปโกรธผี มันโกรธโชคชะตาว่าไม่อำนวยไม่ช่วยเหลือ มันทะเลาะกับผี มันบ่นพึมพำๆทำหน้าที่ไป ไม่เท่าไรมันก็ป่วยไข้เจ็บตายคนชนิดนี้ มันต้องเอาชนะสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง
หน้าที่ เอ่อ, การคบหาสมาคมนั้นก็ถือตามหลักของทิศ ๖ ประการ มีการประพฤติต่อ กระทำต่ออย่างถูกต้อง ในทิศเบื้องหน้าคือบิดามารดา ในทิศเบื้องหลังบุตรภรรยา ในทิศเบื้องซ้ายมิตรสหาย ในทิศเบื้องขวาครูบาอาจารย์ ในทิศเบื้องบนคือผู้อยู่เหนือเรา ผู้บังคับบัญชาของเรา ทิศเบื้องต่ำคือผู้อยู่ต่ำกว่าเรา คือผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาของเรา เป็น ๖ ทิศ ๖ ทางอย่างนี้ทำให้ถูกต้อง แล้วก็เรียกว่ามีความถูกต้อง ถูกต้องในการคบหาสมาคมในทุกทิศทุกทาง ความทุกข์ก็ไม่อาจจะเกิดขึ้นได้ นี่หน้าที่ที่สมบูรณ์มันเป็นอย่างนี้ หน้าที่ที่หาเลี้ยงชีวิต หน้าที่บริหารชีวิต หน้าที่คบหาสมาคม มันถูกต้องหมด ขอให้ท่านทั้งหลายจงปรับปรุงให้หน้าที่เหล่านี้มันถูกต้องกว่าปีที่แล้วมา มันจะได้เกิดปีใหม่ขึ้นมาได้จริง
ทีนี้สำหรับพระสงฆ์ พระสงฆ์ก็คือผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า คือมีความมุ่งหมายว่าจะรับสนองพระพุทธประสงค์ คือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ พระพุทธเจ้าคือผู้ค้นพบหน้าที่ พระธรรมคือหน้าที่ พระสงฆ์คือผู้ที่ได้รับเอาหน้าที่นี้ไปปฏิบัติ มันเนื่องกันอย่างไม่มีทางจะแยกกันได้ คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ขอให้ท่านทั้งหลายจงมีพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ที่ถูกต้องกว่าปีเก่า ที่มากขึ้นกว่าปีเก่า มีพระพุทธเจ้าเป็นพ่อ มีพระธรรมเป็นแม่ มีพระสงฆ์เป็นพี่ อย่างนี้ให้มันมากกว่าปีเก่าเถิด ก็จะไม่เสียทีที่ว่ามาทำบุญปีใหม่ เป็นที่ระลึกแก่ปีใหม่ นะเพื่อจะดีกว่าปีเก่า
ขอเตือนว่าอย่าให้ละอายแก่เผือกมันมีหัวอยู่ใต้ดิน หัวเผือก หัวกลอย หัวมัน หัวอะไรก็ตามที่มันมีหัวอยู่ใต้ดิน พอปีใหม่น่ะมันมีหัวมาก จำนวนมากกว่าปีเก่า แล้วคุณภาพก็ดีกว่าปีเก่า มันสมกับที่ว่ามันเป็นปีใหม่ แต่ถ้าใครมันไม่มีอะไรดีกว่าปีเก่า มันก็น่าละอายแก่หัวเผือกหัวมัน ซึ่งเราถือว่ามันไม่มีสติปัญญา มันมีความโง่ แต่มันก็ยังดีกว่าคนโง่ที่ไม่รู้จักทำอะไรให้ดีกว่าปีเก่า ดังนั้นขอให้เรามีอะไรที่ดีกว่าปีเก่า อย่าให้ต้องละอายแก่หัวเผือกหัวมันที่อยู่ใต้ดินเหล่านั้นเลย นี่แหละจะเรียกได้ว่ามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือพระรัตนตรัยยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า
ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับการเคารพเวลา เคารพเวลา เคารพเรื่องของเวลา เคารพปัญหาของเวลา พยายามที่จะเอาชนะเวลา ไม่ให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นมา มีอะไรถูกต้องกว่าปีเก่า มีความรู้มากกว่าปีเก่า มีการปฏิบัติมากกว่าปีเก่า มีการได้รับผลของการปฏิบัติ แล้วก็มากกว่าปีเก่า นี่ความเป็นปีใหม่มันก็จะมีขึ้นมาดังนี้ ขอให้ท่านสนใจจับใจความให้ได้ จำไว้ให้แม่นยำว่า ถ้าโง่ แล้วก็ทำอะไรด้วยความโง่ มันเป็นความอยากของความโง่แล้วเวลามันก็เกิดขึ้นกัดเอา ถ้าทำด้วยสติปัญญาไม่ทำด้วยความโง่ มันทำได้อย่างเรียบร้อยนิ่มนวล ไม่มีเวลาที่แผดเผาหัวใจ ไม่มีเวลาที่แผดเผาหัวใจ เราจะต้องรู้จักควบคุมเวลา ด้วยการควบคุมกิเลสตัณหา คือความอยาก จะเรียนหนังสือ หรือจะทำการทำงาน หรือจะได้รับผลของการงาน หรือจะได้บริโภคผลของการงาน ก็ขอให้ทำด้วยความฉลาดและสติปัญญา อย่าทำด้วยกิเลสตัณหา มันจะเกิดเวลาขึ้นมากัดกินหัวใจดังที่กล่าวแล้ว
นี้ขอให้จำไว้เพียงข้อเดียวก่อนว่าจะมีพระรัตนตรัยที่ดี ที่ถูกต้อง ที่แปลก ที่ใหม่ยิ่งขึ้นไปกว่าปีเก่า และให้มาก ให้แปลก ให้ดียิ่งๆขึ้นไปทุกทีทุกปี ก็จะไม่เสียทีที่ปฏิญาณตนเป็นพุทธบริษัท รับนับถือพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนามีใจความสำคัญก็คือ กำจัดกิเลสตัณหาอุปาทาน นั่นแหละมันมีปัญหาตรงที่ว่าถ้ามันเกิดตัณหาอุปาทานแล้ว มันทนทุกข์ทรมานด้วยการที่เวลามันกัดเอา เดี๋ยวนี้เรามาควบคุมกิเลสตัณหา ก็เท่ากับควบคุมเวลาได้ ให้หัวเราะเยาะเวลา มันก็จะไม่เสียทีที่ได้เป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนาเป็นแน่นอน
พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอสรุปความสั้นๆว่าจงรู้จักเวลา ว่ามันเกิดจากความโง่ของเราแล้วอยากด้วยความโง่ อย่ามีความโง่ อย่าอยากด้วยความโง่ แต่ต้องการด้วยสติปัญญา มันก็ไม่เกิดเวลาชนิดที่กัดกินเรา เพราะว่าเราเป็นผู้กัดกินเวลาเสียเอง ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในตนเพิ่มขึ้นๆอย่างเป็นที่น่าพอใจ ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสพความสำเร็จในการมีปีใหม่ การขึ้นปีใหม่ การจัดการกับเวลาให้ถูกต้องยิ่งขึ้นกว่าปีเก่า แล้วมีความสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.