แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้ตั้งใจจะกล่าวกับท่านทั้งหลายถึงสิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ท่านทั้งหลายอาจจะเคยได้ยินว่า นิรวานะ (นิ-ระ-วาน-นะ) ซึ่งเป็นสันสกฤต ในพุทธศาสนาเราไม่เคยใช้สันสกฤต ใช้บาลีและออกเสียงว่า นิพพานะ (นิบ-พา-นะ)โดยทั่วไป ฉะนั้นเมื่อได้ยินคำว่า นิพพานะ ก็ขอให้ทราบว่ามันเป็นสิ่งเดียวกับที่ท่านเคยได้ยินว่า นิรวานะ นิรวานะนั้นไม่ปลอดภัย มันไปพ้องกับคำว่า นิวารณะ ซึ่งหมายถึง นิวรณ์ นี่อีกอย่างอีกอันหนึ่งระวังให้ดี นิรวานะ คือ นิพพาน นิวารณะ คือ นิวรณ์ คือกิเลสน้อยๆ เดี๋ยวนี้จะใช้ภาษาบาลีว่า นิพพานะ หรือนิพพานๆ ก็ขอให้ทราบไว้แต่เนิ่นๆ ว่าเราจะใช้คำว่า นิพพาน
ท่านทั้งหลายคงจะได้เคยได้ยินคำนี้มาแล้วและคงจะสนใจในสิ่งนี้มาก่อนแล้ว แต่ยังมีเรื่องที่จะต้องทำความเข้าใจกันให้ถูกต้อง ขอให้ได้สนใจในฐานะว่ามันเป็นสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนา แล้วก็อย่าลืมว่าในลัทธินิกายไหนก็ตามในอินเดียนี่ เขาใช้คำนี้กันทั้งนั้นกันเป็นส่วนมากแหละ แต่ความหมายไม่เหมีอนกัน ลัทธิหนึ่งๆ เขาก็มีความหมายของคำว่านิพพานไปอย่างหนึ่งตามแบบของเขา มันมีหลายลัทธินิกายที่ใช้คำว่า นิพพานเป็นจุดสุดยอดของการปฏิบัติ เพราะฉะนั้นเราจะต้องระบุว่า นิพพานในพุทธศาสนาโดยเฉพาะ
มีคนให้คำบัญญัติที่ฟังง่ายๆ และก็ถูกต้องว่า นิพพานๆ เป็น Summum Bonum ของพุทธศาสนา ทีนี้ก็ขอให้เข้าใจว่าทุกลัทธินิกายเขาก็มี Summum Bonum ของเขาตามแบบของเขา อย่างเช่นว่า การอยู่กับพระเป็นเจ้า เป็นอันเดียวกับพระเป็นเจ้า พระเป็นเจ้าเป็น Summum Bonum ของ Christian อย่างนี้เป็นต้น คือทุกศาสนาทุกลัทธิมันก็มี Summum Bonum และเป็นอันว่าพุทธศาสนานี้มีนิพพานเป็น Summum Bonum
พูดได้ว่าถ้าไม่มีนิพพานก็ไม่มีพุทธศาสนา ถ้าในพุทธศาสนาไม่มีสิ่งที่เรียกว่านิพพาน พุทธศาสนาก็ไม่มีค่าอะไร ฉะนั้นจึงถือไว้ในฐานะเป็นใจความสำคัญว่าเป็นหัวใจ หรือเป็นจุดหมายปลายทาง หรือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จะได้รับจากพระพุทธศาสนา
ความสำคัญที่มันจะต้องรู้จัก และที่เข้าใจผิดกันอยู่ว่า นิพพานจะต้องได้ต่อตายแล้ว ตายไปแล้ว หรือบางทีก็หมายถึงความตาย นึกได้ก็ตายแล้ว นี่ไม่ถูกๆ ถ้าเป็น Summum Bonum ก็ต้องหมายถึงว่า Can get at this really life ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้ จึงจะเป็น Summum Bonum แล้วก็ขอให้ทราบด้วยว่ามันมีปัญหาแม้กับฝ่าย Christian เขาว่าแผ่นดินพระเจ้าแท้จริง แผ่นดินพระเจ้าแท้จริงต้องได้ที่นี้และเดี๋ยวนี้ในหัวใจ ไม่ต้องรอต่อตายแล้วเหมือนกัน และฝ่ายๆ Christian จะรอแผ่นดินพระเจ้าต่อตายแล้ว มันก็มีปัญหาอย่างเดียวกับคนที่เขาจะรอนิพพานต่อตายแล้ว ไม่ถูกต้องๆ หรือไม่มีประโยชน์ ต้องเป็นสิ่งที่ได้ในชีวิตนี้ จะเรียกว่านิพพานก็ดี จะเรียกว่าแผ่นดินพระเจ้าก็ดี หรือเป็น Summum Bonum ก็ดี
ปัญหามีอยู่อย่างเดียวกันในระหว่าง Christian กับ Buddhist Christian ที่เขาถือว่าแผ่นดินพระเจ้าก็ถึงต่อตายแล้วเขาก็ถืออย่างนั้นไป เขาไม่ยอมเชื่อว่าจะถึงดินแดนพระเจ้าได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ในหัวใจของเรา Buddhist นี้ก็เหมือนกัน บางพวกก็ถือว่านิพพานต่อตายแล้ว ฉะนั้นเขาไม่ยอมเชื่อว่าจะนิพพานที่นี่และเดี๋ยวนี้ นี่แหละปัญหาที่มีอยู่อย่างเดียวกันแท้ ฉะนั้นขอให้เรามาทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า เป็นสิ่งที่ต้องมี ต้องรู้ ต้องได้รับ ที่นี่และเดี๋ยวนี้
อยากจะพูดไว้เป็นการล่วงหน้าเพื่อเข้าใจง่ายต่อไปว่า เมื่อใดจิตลุถึงนิพพาน Experience ต่อนิพพาน เมื่อนั้นก็คือการเข้าถึงแผ่นดินพระเจ้าหรือเป็นอันเดียวกับพระเจ้า เมื่อใดจิตถึงนิพพาน เมื่อนั้นเป็นการเข้าถึงแผ่นดินพระเจ้า ฉะนั้นขอพูดไว้ล่วงหน้าอย่างนี้
ในหมู่ Buddhist พวกนี้บางพวกก็ถือเข้าใจไปว่าต่อตายแล้ว ถึงต่อตายแล้ว และเป็นเมือง เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นนครอยู่ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง คล้ายๆ กับว่า Kingdom of god อยู่ที่อื่น ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง นี่แหละความเหมือนกันอย่างน่าหัวเราะ หรือน่าสงสารระหว่างสองฝ่าย ซึ่งล้วนแต่ถือว่านิพพานหรือแผ่นดินพระเจ้านั้นมันเป็นเมือง หรือเป็นบ้านเป็นอะไรอยู่ที่อื่น ขอให้เตรียมตัวสำหรับจะคิดนึกกันเสียใหม่ว่า มันจะหาพบได้ในจิตใจของบุคคลผู้ปฏิบัติธรรมะแล้วอย่างถูกต้อง
ในอินเดียสมัยโบราณที่มีลัทธิหลายลัทธิ แต่ละลัทธิๆ ก็มีนิพพานของตนๆ ด้วยกันทั้งนั้น เขาก็ไม่ได้สอนว่านิพพานเป็นบ้านเป็นเมืองอยู่ที่อื่น แต่สอนว่านิพพานนั้นจะบรรลุถึงได้ด้วยจิตใจทั้งนั้นเลย เช่นว่า เอาปฐมฌานเป็นนิพพาน เอาจตุตถฌานเป็นนิพพาน เอาอากิญจัญญายตนฌานเป็นนิพพาน ล้วนแต่เป็นเรื่องที่รู้สึกได้ด้วยจิตใจด้วยในใจทั้งนั้น ความคิดที่ว่านิพพานเป็นบ้านเป็นเมืองที่อื่น จะถึงก็ต่อตายแล้วเป็นความคิดผิด ที่ทีหลัง เป็นของทีหลัง
ทีนี้อีกทางหนึ่งซึ่งน่าๆ สงสาร ก็มีผู้ที่คิดเชื่อในเวลานี้ปัจจุบันนี้ว่า เรื่องนิพพานนี้พ้นสมัยแล้ว พ้นสมัยแล้วไม่อาจจะมีได้อีกแล้ว ไม่อาจจะปฏิบัติได้อีกแล้ว แล้วก็เป็นเรื่องครึคระโง่เขล่าๆ ครึคระโง่เขลา นี่ก็อาจจะมีได้ แม้แต่ในฝ่ายของชาว Christian ที่จะเห็นได้ว่าแผ่นดินพระเจ้านี้พ้นไปแล้ว มีไม่ได้อีกแล้ว ครึคระโง่เขลาก็ได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ไว้ด้วยเหมือนกัน เดี๋ยวนี้เราจะไม่คิดอย่างนั้น แต่จะคิดว่ายังมีได้ ยังอาจบรรลุได้ และไม่ใช่เรื่องโง่เง่า แต่เป็นเรื่องที่ฉลาดที่สุด แล้วจะได้พูดกันต่อไป
เอาแหละเป็นอันว่าเราจะดึงกลับมาเดี๋ยวนี้ เราจะมาช่วยกันดึงกลับมาเดี๋ยวนี้ นิพพานก็ดี แผ่นดินพระเจ้าก็ดี เราจะดึงกลับมาเดี๋ยวนี้ ให้มันมาอยู่ในจิตใจของเรา ขอให้ท่านสนใจฟังศึกษาให้ดี
ทางที่เราจะเข้าใจรู้จักนิพพานนี้ก็มีได้หลายทาง ในทางแรกที่สุด เราจะศึกษาโดยทางพยัญชนะ พยัญชนะคือตัวหนังสือ คือคำๆ ว่า “นิพพาน” นั่นเอง โดยพยัญชะโดยตัวหนังสือ คำว่า “นิพพาน” นี้แปลว่า ดับลงแห่งไฟหรือของร้อน ถ้าเป็นเรื่องวัตถุก็คือดับลงแห่งไฟ ถ้าเป็นเรื่องจิตใจหรือนามธรรม ก็ดับลงแห่งของร้อนในใจ คือกิเลส อยากจะใช้คำว่า Quench, Quenching มันๆ Quench ของไฟก็เรียกว่านิพพาน ภาษาธรรมดาๆ Quench ของกิเลส ความร้อนในจิตใจก็เรียกว่านิพพาน ภาษาบาลีเป็นอย่างนี้ ท่านอาจจะประหลาดใจว่า คำว่า นิพพานนี้เป็นๆ ภาษาธรรมดาเด็กๆ เขาพูดในบ้านในเรือนเด็กๆ เขาพูด เมื่อใดของร้อนเย็นลงก็เรียกว่าสิ่งนั้นนิพพาน ฉะนั้นขอให้รู้ในที่นี้ว่า “นิพพาน” แปลว่า ดับลงหรือเย็นลงแห่งของร้อน
เด็กๆ อาจจะร้องบอกออกมาจากในครัวว่าเดี๋ยวนี้ไฟนิพพานแล้ว คือดับแล้ว หรือเด็กๆ อาจจะร้องบอกว่าเดี๋ยวนี้ข้าวต้มหรือซุปเย็นแล้ว มากินได้แล้ว อย่างนี้เป็นต้น เป็นคำธรรมดาสามัญที่ใช้อยู่ตามบ้านเรือน แม้แต่เด็กๆ ก็พูดเป็นกับคำๆ นี้ ในความหมายทางวัตถุนี้ขอให้เข้าใจไว้ส่วนหนึ่ง
หรือว่าเมื่อช่างทองเขาเอาน้ำรดทองที่หลอมละลายอยู่ให้เย็นลง ก็ใช้คำพูดคำนี้เหมือนกันว่า ทำให้มันนิพพาน ทำ Melting gold ให้นิพพาน คือคำว่านิพพานใช้อย่างนี้
หรือว่าสัตว์ป่า จับมาจากป่าใหม่ๆ มันมีไอ้ความดุร้าย ไม่ๆ รู้จักอะไรต่ออะไร ดุร้ายมันมาก ทีนี้พอเอาสัตว์ป่านี้มาฝึกๆๆ จนเป็นสัตว์บ้านไม่มีอันตรายอะไรๆ แล้ว ก็เรียกว่าทำให้มันนิพพานด้วยเหมือนกัน ให้หมดจากความร้อนหรืออันตรายที่มันมีมาแต่ป่าให้มันหมดไป ก็ใช้คำๆ นี้ด้วยเหมือนกัน
ทีนี้เป็นอันว่าโดยพยัญชนะโดยตัวหนังสือนะ คำนี้ แปลว่าเย็นๆ Quenching down นี่โดยตัวหนังสือ ทีนี้มาโดยความหมาย โดยความหมายมันก็มาใช้เย็นแก่จิตใจ เย็นในทางจิตใจ เช่นว่า ชีวิตนี้เย็น ครอบครัวนี้มีความเป็นอยู่อย่างเยือกเย็น ไม่มีความเดือดร้อนวุ่นวาย นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนก็ต้องการ เมื่อผู้ใดมีนิพพานหรือความเย็นอยู่ข้างใน ก็เรียกผู้นั้นว่าเป็น นิพพุตตะ นิพพุตตะ ก็แปลว่า ผู้เย็น บุคคลผู้เย็น ผู้เย็นแล้ว นี่โดยความหมายก็หมายความว่า มันปราศจากความร้อน มันปราศจากปัญหา มันปราศจากความยุ่งยากโดยประการทั้งปวง นั่นแหละเรียกว่า นิพพานโดยความหมาย
เราๆ พูดไว้เป็นการล่วงหน้าเลยก็ได้ว่า เมื่อใดมันไม่มี Conception หรือ Emotion ของ Sense หรือSelfishness ไม่มีความรู้สึกว่า Sense หรือ Selfishness ในใจ เมื่อนั้นแหละเย็น พอความรู้สึกว่า Sense หรือ Selfish เข้ามาเมื่อนั้นมันร้อน นี่แหละหลักจะมีอย่างนี้ แล้วจะศึกษากันต่อไป
มันมีความยุ่งยากลำบากในการพูดจาหรือคำที่ใช้ ว่าไอ้คำว่า Cool, Cool ที่มันยังเป็นคู่กับเย็นแล้วก็เป็นคู่กับร้อน นี้มันยังไม่ใช่ Cool แท้ ถ้าว่า Cool แท้ๆ มันไม่มาเป็นคู่กับร้อน ถ้า Cool ที่ยังคู่กับร้อนอยู่ยังไม่แท้ มันต้อง Cool ของความที่หมด Sense ไม่มี Selfish นั่นแหละจึงจะเป็น Cool ที่ไม่คู่กับร้อน แล้วมันยังไม่ต้องไม่ Cold ด้วยเพราะเดี๋ยวมันจะเป็นหวัดตาย แต่มันเป็น Cool, Cool ที่ไม่คู่กับร้อน ถึงจะเป็นเย็นของนิพพาน
บางทีจะต้องนึกถึงคำว่า Void คำว่า Void นี้ไม่เป็น Positive ไม่เป็น Negative เป็น Void, Void นี้คือ Cool ที่แท้จริงที่ไม่คู่กับความร้อน เราจะต้องพูดกันถึงสภาพที่อยู่เหนือๆ Positive เหนือ Negative กันอีกที
ที่มีระบุไว้ชัดในๆ บาลีว่า สิ้นหรือดับไฟแห่งราคะ ดับไฟแห่งโทสะ ดับไฟแห่งโมหะหมดแล้วทั้ง ๓ ไฟ นี่คือเย็นในความหมายของ นิพพาน ฉะนั้นขอให้เข้าใจคำว่า Cool หรือเย็นนี้ไว้ให้ดีๆ
เอ้า, ทีนี้มาตั้งต้นกันใหม่เพื่อจะสังเกตค้นหาให้พบความหมายของคำว่า เย็น หรือ Quench นี่ว่าสำคัญอย่างไร จนกระทั่งมองเห็นว่า Quenching of the thirst , Craving, Quenching a craving หรืออะไรก็ตามนี่แหละ เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมี จะต้องมีในชีวิตประจำวัน ไม่อย่างนั้นเราจะต้องตาย ถ้าเราไม่ตายเราจะต้องเป็นบ้า ดูให้ดีว่ามันมี Quench, Quench อยู่ในความหมายของคำว่า นิพพานะ อยู่ตลอดเวลาตลอดวัน ไอ้ความต้องการก็ดี ความหวัง ความสงสัย ความกลัว ความอะไรก็ดี ซึ่งเป็นเหมือนกับไฟนี่แหละ มันเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ดับไป แม้แต่ความหิวก็เป็นไฟ ถ้ามันหิวเรื่อยไม่ๆ ยอมหยุดยอมดับเลย เราก็เป็นบ้าหรือมิฉะนั้นก็ต้องตาย เพราะฉะนั้นจงดูให้เห็น Quenching of heat เหล่านี้ซึ่งมีอยู่อย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา เราจึงไม่ตาย ขอให้มองเห็นที่นี้ แม้ว่าจะเป็น Quenching น้อยๆ เป็นนิพพานน้อยๆ ก็มีความหมายเดียวกัน เช่น ความหิวๆ ถ้าความหิวไม่ได้ระงับไม่ Quench แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันก็คือตาย เมื่อโกรธ คุณโกรธใครอยู่อย่างไม่ๆ หยุดโกรธ ความโกรธไม่มี Quench นั่นแหละคุณก็ต้องตาย หรือว่าคุณรักคู่รักของคุณ รักๆๆ จนไม่มี Quench แห่งความรัก คุณก็ต้องตาย นี่แหละฉะนั้นไอ้ที่มัน Quench, Quench อยู่เป็นประจำตามสมควรแก่เวลานั่นแหละ คือ ความเย็นในความหมายของคำว่านิพพาน แล้วมีความสำคัญคือมันหล่อเลี้ยง มันหล่อเลี้ยงมัน Survive มันเฉยเลย ชีวิตนี้ไว้อย่าให้มันตาย ดูประโยชน์ของพระนิพพาน ที่หล่อเลี้ยงชีวิตอยู่เป็นปกติ ทั้งวัน ทั้งคืน ตลอดเดือน ตลอดปี หรือตลอดชีวิต เรียกว่าชีวิตอยู่ได้เพราะนิพพาน
ที่นี้เรามาดูให้เห็นว่ามันมีอยู่ ๒ ชนิด มีอยู่สอง Quench, Quench ที่มันดับเย็นของมันเองก็มี Quench โดยที่เราจัดการให้มันดับก็มี เพราะว่าไอ้ความคิดนึก รู้สึก ที่มันเกิดขึ้นมาเองแล้วมันก็ดับไปเองได้ เดี๋ยวก็ไปนอนหลับ มันก็ดับไปเองได้ มันไม่ได้อยู่ตลอดไป มันๆไม่ได้มีสิ่งใด ที่เที่ยงๆ เที่ยงๆๆ ที่ว่าไม่เปลี่ยนแปลงหรอก แล้วมันก็ดับของมันเองได้ ความรู้สึกเลวร้ายที่มันเกิดขึ้นมาเอง ประเดี๋ยวมันก็ดับไป หรือความกลัว ความสงสัย ความอะไรที่มันเกิดขึ้นรบกวนจิตใจ เดี๋ยวมันก็ดับไปของมันเองก็ได้ นี่เรียกว่ามัน Quench ของมันเอง แต่ถ้าว่ามันไม่ Quench ของมันเอง เราทนไม่ได้ เราก็ต้องจัดการด้วยวิชาปัญญา ด้วยธรรมะโดยเฉพาะนี่แหละ เพื่อจะ Quench ให้มันออกไป ฉะนั้นขอให้รู้จักไว้ทั้ง ๒ Quench
ฉะนั้นขอให้เราตั้งใจ ขอให้สังเกตให้ละเอียดที่สุด ถ้ามันมี Quench ของอะไร ที่ไหน เมื่อไรก็ตามเราจะรู้จักมันให้ได้ เช่นว่า เราเห็นไฟดับ เราก็รู้ถึงความหมายของความดับ หรือเย็น รู้จักความเย็นเมื่อเราเห็นไฟดับ หรือว่าเมื่อเราอาบน้ำ อาบน้ำความร้อนก็ออกไป ความเย็นก็ปรากฏขึ้น เราต้องพยายามเข้าใจไอ้ความหมายของ Quench ของความร้อนที่ออกไป รู้จักหรือ Experience เลยไอ้ความเย็นที่เราได้รับเมื่ออาบน้ำ หรือแม้ที่สุดต่อว่าเมื่อเราเหงื่อออก เหงื่อออกไป ความเย็นก็ปรากฏเพราะว่าเหงื่อมันออกไป น้ำมันพาความร้อนออกไป เมื่อเหงื่อออกเราก็มีโอกาสที่จะศึกษา ไอ้ความดับแห่งความร้อนหรือ Quenching หรือนิพพาน เมื่อฝนตกมันเย็นกันไปทั้งหมดก็มีความหมายแห่งความดับ เมื่อลมพัดมาเย็นสบายอย่างนั้นก็ได้ ศึกษาดูมันก็มี Quench ของความร้อน หรือว่าเมื่อเราหายเจ็บไข้ เราเจ็บไข้สบายหายขึ้นมา เราก็รู้ว่ามันมี Quench ของไอ้ความเจ็บไข้ความไข้ ทีนี้บางเวลาเราก็ถอนหายใจยาว แล้วก็โล่งอกสบาย มันก็มี Quench อยู่ในการถอนหายใจยาว มันเต็มไปหมดเลย ทุกอย่างๆ มันจะมีอาการที่เรียกว่า ดับลงแห่งความร้อน แต่เราไม่สนใจ เราไม่ศึกษา ต่อไปนี้ขอให้เราศึกษา สังเกต ศึกษาเราจะเข้าใจๆๆ เรื่อง Quench of heat มากขึ้นๆ ขอให้เรียนศึกษา นิพพานจากทุกสิ่งที่แวดล้อมเราอยู่ และที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของเรา
ที่นี้ขอพูดสรุปความว่า ทุกอย่างๆ มันดับหรือมันนิพพาน หรือมัน Quench อยู่เสมอ ไม่มีอะไรที่ว่าเกิดแล้วไม่ดับ อย่างพระบาลีก็มีว่า ยังกิญจิ สมุททะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมัง สิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็มีความดับเป็นธรรมดา ไม่ยกเว้นสิ่งใด ไม่ยกเว้นสักสิ่งเดียว มีความเกิดแล้วก็จะต้องดับลงเป็นธรรมดากับทุกสิ่งๆ แล้วเมื่อมันดับลงเราดูที่นั้นแหละมันมีความหมายแห่งนิพพาน เพราะว่ามันดับลง ถ้าผู้ใดเห็นธรรมะนี้ เห็นความจริงข้อนี้ว่าสิ่งใดมีขึ้นแล้วจะดับลง ก็เรียกว่าผู้นั้นเริ่มเห็นๆ ธรรม เริ่มเห็นธรรมในพุทธศาสนา ในความจริงของพุทธศาสนา ที่จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ดวงตาเห็นธรรม มันได้เกิดขึ้นแล้ว เมื่อบุคคลนั้นได้เห็นว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นก็จะต้องดับลง ที่นี้อะไรที่จะไม่เกิด ที่เกิดแล้วไม่ดับ มันทั้งนั้นเลยนี่แหละ ทุกสิ่งมันเกิดแล้วมันก็ดับ ที่เป็นวัตถุภายนอกเกิดแล้วก็ดับ ที่เป็นภายในความคิดจิตใจเกิดแล้วก็ดับ ไม่มีอะไรที่เกิดแล้วไม่ดับ เราจึงสามารถจะเห็นไอ้กิริยาอาการที่ดับหรือ Quench ของมันได้ทุกแห่ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ข้างนอกข้างใน ขอให้เห็นความจริงข้อนี้ ก็จะเป็นจุดตั้งต้นแห่งการเห็นธรรมะ
เป็นอันว่าเมื่อใดท่านเห็นสิ่งใดดับลง เมื่อนั้นจงเห็นความหมายแห่งนิพพาน เมื่อใดเห็นสิ่งใดดับลง จงเห็นความหมายแห่งนิพพานในสิ่งนั้น ที่นั่นและเมื่อนั้น เมื่อเห็นสิ่งใดดับลงจงเห็นความหมายแห่งนิพพานในทุกทีไป ท่านจะเข้าใจความหมายของนิพพานมากขึ้นๆๆ จากนิพพานน้อยๆ นิพพานที่ยังไม่มีประโยชน์อะไรนัก แล้วกลายเป็นนิพพานที่แท้จริงมากขึ้นๆ แล้วก็จะได้รับประโยชน์เต็มที่ ขอให้ปฏิบัติมันโดยหลักว่า เห็นความดับของสิ่งอะไรแล้วก็จงเห็นความหมายของนิพพานในสิ่งนั้น
นิพพานในความหมายน้อยๆ นิพพานน้อยๆ นิพพานเล็กๆ ก็จะค่อยๆ ใหญ่ขึ้นๆ นี่ขออย่าได้ละเลยเสีย จะได้เกิดความแน่ใจว่ามันมีความเป็นไปได้ที่เราจะบรรลุถึงนิพพานโดยสมบูรณ์ นี่ขออย่าได้ประมาทไอ้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ เพราะมันเป็นจุดตั้งต้นที่มันจะไปถึงเรื่องที่ใหญ่ที่สุด ด้วยจากนิพพานน้อยๆ ที่มีอยู่ทุกวันเป็นประจำทั่วๆ ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน รู้จักให้มากขึ้น รู้จักให้มากขึ้น รู้จักให้มากขึ้น มันก็จะนำไปสู่ความต้องการที่จะบรรลุนิพพานสมบูรณ์
ทีนี้อีกทางหนึ่งพร้อมกันนั้น อีกทางหนึ่งคือเราจะทำความรู้สึกที่ว่า ชีวิตนี้ถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยนิพพาน ชีวิตนี้อยู่ได้ด้วยการหล่อเลี้ยงของนิพพาน อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ขอให้เห็นความจริงอันนี้มากขึ้น แล้วเราก็จะรักๆ นิพพานมากขึ้น เราจะต้องการนิพพานมากขึ้น และมันก็จะง่ายในการที่จะทำให้นิพพานมากขึ้นๆ ซึ่งมีวิธีโดยเฉพาะ ในชั้นนี้ขอให้เรารัก เราต้องการมีนิพพานให้สมบูรณ์กันเสียก่อน
เดี๋ยวนี้เราก็รู้จักนิพพานโดยหลักพื้นฐานทั่วๆ ไป นิพพานน้อยๆ มีอยู่โดยหลักพื้นฐานทั่วๆ ไป จนพอใจนิพพาน และอยากจะทำความเจริญ ขยายเรื่องของนิพพาน เราก็มาศึกษาเรื่องนิพพานที่สมบูรณ์ๆ กันต่อไป
สิ่งแรกที่สุดที่ท่านจะต้องรู้จัก หรือสนใจจนรู้จักสิ่งนั้น คือ ความทุกข์ ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักนิพพาน ไม่เข้าใจหรือไม่รู้จักความทุกข์แล้วไม่มีทางที่จะรู้จักนิพพาน เพราะฉะนั้นขอให้สนใจสิ่งที่เรียกว่า ความทุกข์เป็นสิ่งแรก
ก็อย่างที่พูดมาแล้วว่า นิพพาน มันคือ Quenching ของความทุกข์ ถ้าไม่รู้จักความทุกข์ ไม่เห็นความทุกข์ ไม่มีความทุกข์แล้ว มันจะ Quenching อะไรได้ ฉะนั้นเราจึงต้องรู้จักความทุกข์นี้เสียก่อน แล้วจึงหาวิธีที่จะ Quench มันลงไป ซึ่งจะต้องมีการศึกษาที่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ให้รู้จักความทุกข์กันเสียก่อน ที่มันมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
มันมีความทุกข์ตัวเล็กๆ เล็กๆ มากๆ ที่เราจะต้องรู้จักกันเสียก่อน ซึ่งมันก็มีอยู่ตลอดเวลาแต่เราก็ไม่สนใจกับมัน ซึ่งตามหลักนี้ เราเรียกมันว่า นิวรณ์ หรือ นิวารณะ ที่มันๆ มักจะไปหลงกับคำว่า นิรวานะ นิวารณะ นิวรณ์ที่มันมีอยู่ทุกวันนี้ ที่จะเป็นบทเรียนที่ดี ข้อที่ ๑ ก็คือ ความรู้สึกที่มันไหลไปในทางกามารมณ์ ทาง Sex รบกวนหรือเปล่า ยุ่งยากลำบากหรือเปล่า แล้วก็มีอยู่เสมอๆ หรือเปล่า จิตจะเย็น เย็นไม่ได้ จนกว่ามันจะ Quench ออกไปได้ ความรู้สึกทางกามารมณ์นี้เป็นนิวรณ์ตัวที่ ๑ ตัวที่ ๑ ข้อที่ ๑
ข้อที่ ๒ ก็คือ ความไม่ชอบ ความไม่ชอบ ไม่ชอบสิ่งนั้น ไม่ชอบสิ่งนี้ ไม่ชอบคนนั้นๆ ไม่ชอบความรู้สึกนี้ จนกระทั่งว่าไม่รู้ว่าไม่ชอบอะไร ความโง่มีมากจนถึงกับว่าไม่รู้ว่าไม่ชอบอะไร แต่ก็ไม่ชอบและไม่พอใจและอึดอัดขัดใจอยู่ อย่างนี้เรียกว่าเป็นนิวรณ์