แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อาตมาขอแสดงความยินดีต่อท่านทั้งหลายในการมาที่นี่ ในลักษณะอย่างนี้ คือ เพื่อศึกษาธรรมะ อาตมาจะพยายามอย่างยิ่ง ดีที่สุด ที่จะช่วยให้ท่านทั้งหลายประสบความสำเร็จตามที่ประสงค์ ในชั้นแรกนี้ อยากจะบอกกล่าวโดยหัวข้อว่า ผลแท้จริงของการศึกษาพุทธศาสนานั้น คือ การมีชีวิตใหม่ เราจะต้องได้ชีวิตใหม่ ที่เรียกว่าตรงกันข้ามจากเดิม และก็ใหม่จริงๆ ซึ่งจะได้พูดกันต่อไป
คำว่า ใหม่ มันเป็นคำที่กำกวม เช่นว่า มีรถยนต์คันใหม่ มีภรรยาคนใหม่ มันไม่ใหม่ ท่านก็รู้ว่า มันไม่ใหม่ มันอย่างเดิม ถ้าว่ามันใหม่ มันต้องตรงกันข้าม ฉะนั้น เรา เดี๋ยวนี้เราจะมีชีวิตใหม่ ที่ตรงกันข้ามกับชีวิตเก่า
คำว่า ใหม่ ในที่นี้ มันใหม่อย่างที่ว่า ตรงกันข้าม ชีวิตธรรมดาอยู่ใต้อิทธิพลของ Positivism และ Negativism แต่นี้เราจะมีชีวิตใหม่ที่อยู่เหนืออิทธิพลของ Positivism และ Negativism แต่ว่าคนเป็นอันมากไม่ยอมเชื่อว่า มันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ คือเขาไม่ยอมเชื่อว่า จะมีชีวิตอยู่เหนืออิทธิพลของ Positivism และ Negativism จะเป็นไปได้ เขาไม่ยอมเชื่อ ถ้าไม่ยอมเชื่อก็ขอให้ฟังไปก่อน
ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ที่ถูกต้อง ท่านจะต้องมีชีวิตใหม่ เดี๋ยวนี้ท่านเป็นคริสเตียนที่ไม่ถูกต้อง ท่านเป็นผู้ไม่เชื่อฟัง God ท่านได้กินผลไม้ของต้นไม้ ที่ทำให้รู้ดี รู้ชั่วเข้าไป แล้วท่านก็อยู่ใต้อิทธิพลของ Good and Evil ขอให้กลับไปเป็นคริสเตียนที่ถูกต้อง เชื่อฟัง God เท่านั้นแหละ ท่านจะมีชีวิตใหม่ เดี๋ยวนี้เป็นอันว่าคริสเตียนทุกคนได้กินผลไม้ ของต้นไม้ที่รู้ Good and Evil เข้าไปแล้ว มันก็เลยอยู่ใต้อิทธิพลของ Good and Evil แล้วจะเป็นคริสเตียนที่แท้จริงที่ตรงไหน แม้คำสอนของพระ Jesus Christ เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาพูดถึงเรื่องรักผู้อื่น เรื่องทำนองนั้น ไม่ได้ถอนตัวออกมาเสียจากอิทธิพลของ Good and Evil ขอให้กลับไปเป็นคริสเตียนที่ถูกต้อง ท่านจะมีหัวใจแห่งพระพุทธศาสนา
จึงขอร้องให้ทบทวนว่า คำสั่งของ God ไม่ให้กินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่วนั้น หมายความว่าอย่างไร เดี๋ยวนี้เรา มันหลง Good and Evil หรือ Positivism Negativism มากเกินไป คนทั้งโลกกำลังบูชา Positivism อย่างสุดชีวิตจิตใจ คือ เขาก็ต้องตาย คำสั่งของ God ที่ว่ากินเข้าไปจะต้องตาย แต่นี้เขาก็ได้ตาย คือเต็มไปด้วยความทุกข์
ผู้ถือ Positivism ก็ไม่ใช่ความสงบ Negativism ก็ไม่ใช่ความสงบ มันเป็นความวุ่นวายเท่าๆกัน พอๆกัน แม้ว่าจะคนละอย่าง แต่ต้องไม่ Good and Evil ไม่ Good or Evil คือ ไม่ Positive or Negative มันจึงจะเป็นความสงบ Peacefulness ความสงบอยู่ที่ไม่ Good and Evil
ดังนั้น จึงพูดได้ว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ถูกต้อง ท่านก็ไม่ต้องมาศึกษาพุทธศาสนา ซึ่งต้องการจะอยู่เหนืออิทธิพลของ Good and Evil เช่นเดียวกัน
บัดนี้ท่านก็ได้กินผลไม้อันนั้นเข้าไปแล้ว ที่มี Original Sin สำหรับจะตายอยู่ทุกเวลา เรามาหายากิน เพื่อให้สำรอกและอาเจียนออกมาเสียให้ได้ นั่นแหละคือพุทธศาสนา เมื่อเราสำรอก Toxin อันนี้ออกมาเสียได้แล้ว เราก็จะมีชีวิตเรียกว่า Emancipated คือ หลุดพ้น หลุดพ้น มันคือหลุดพ้นออกไปเสียจากอิทธิพลของ Good and Evil
เป็นอันว่า เรามาศึกษาธรรมะ คือ พุทธศาสนานี้ เพื่อจะสำรอกยาพิษที่เราได้กินเข้าไปแล้ว คือ อวิชชา หรือ ความยึดมั่นถือมั่น ในเรื่อง ดี ชั่ว บวก ลบ ขอให้ท่านสนใจที่จะฟัง และจะศึกษาให้สำเร็จประโยชน์ ว่าถ้าศึกษาพุทธศาสนาสำเร็จแล้ว จะพบ จะได้ชีวิตใหม่อย่างไร
ขอให้ระงับความคิดที่ว่า มันเป็นไปไม่ได้ นั้นไว้เสียทีก่อน ขอให้ลองหวังว่ามันจะเป็นไปได้ และก็มาพยายามศึกษา และก็ปฏิบัติกันให้ถูกต้อง คือว่า ศึกษาโดยหลักให้ถูกต้อง และปฏิบัติโดยวิธีปฏิบัติให้ถูกต้อง มันก็จะได้ชีวิตใหม่ที่เราต้องการขึ้นมาได้จริงๆ
ทีนี้ ก็มาถึงการศึกษา มันจะจำเป็นที่สุด ที่จะต้องมาทำตนเป็นนักวิทยาศาสตร์ เลิกเป็นชาวนา เลิกเป็นชาวสวน เลิกเป็นพ่อค้า เลิกเป็นนักธุรกิจ เลิกเป็นอาร์ทติส เลิกเป็นอะไรทุกอย่าง ทุกอย่าง แล้วมาเป็นนักวิทยาศาสตร์กันสักพักหนึ่งก่อน เพื่อจะศึกษาพุทธศาสนา มันจำเป็นที่ต้องทำอย่างนี้ เราต้องหยุดความเป็นนักปรัชญา ซึ่งเป็นความรู้ที่ไม่รู้จักจบ ไม่เป็นนักจิตวิทยา อย่างที่เป็นเป็นกันอยู่ แต่ว่ามาเป็นนักจิตวิทยาอย่างนักวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นนัก Logic นักอะไรทุกชนิด ขอให้มาเป็นนักวิทยาศาสตร์แท้จริง อย่างแท้จริง แล้วลงมือศึกษาธรรมะ
พุทธศาสนาไม่ใช่ Philosophy ไม่ใช่ Philosophy แต่มันเป็นวิทยาศาตร์ แต่ถ้าไปพูดอย่าง Philosophy บ้างก็ได้ จะไปพูดอย่างให้เป็น Philosophy ก็ได้เหมือนกัน แต่จะไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องทำกับมัน ต้องพูดจากับมัน อย่างที่ว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ คนส่วนมากชอบศึกษาพุทธศาสนาอย่าง Philosophy เลย, เลยไม่พบพุทธศาสนา ขอให้มาศึกษาเสียใหม่ในฐานะที่ว่า มันเป็นวิทยาศาสตร์ ถ้าท่านสนใจหรือลุ่มหลงใน Philosophy ก็ขอให้ระงับไว้ก่อน มาจับพุทธศาสนาขึ้นมาศึกษาใหม่ในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ถึงแม้เราจะศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ นั้นก็ขอให้ทราบเสียก่อนว่า มันก็มีอยู่เป็นระดับ ระดับ คือมีทั้ง (นาทีที่ 21.45) Physical, Psygical และ Spiritual เดี๋ยวนี้เราต้องการในระดับที่เป็น Spiritual วิทยาศาสตร์ในระดับที่เป็น Spiritual ฉะนั้นขอให้สนใจในแง่นี้เป็นพิเศษ แง่ (นาทีที่ 22.02) Physical, Psygical นั้นเก็บไว้ก่อนก็ได้ ขอให้มาศึกษาในแง่ที่เป็น Spiritualism
หัวใจของวิทยาศาสตร์ ก็คือว่า ต้องเอาของจริง ตัวจริง ของจริง วัตถุจริง มาเป็นวัตถุสำหรับศึกษา ไม่ใช่ Hypothesis อย่าง Philosophy จะเอา Hypothesis มาใช้เป็นวัตถุสำหรับการศึกษาพุทธศาสนานั้น เป็นไปไม่ได้ จะต้องเอาตัวจริง วัตถุจริง ของจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ตัวความทุกข์นั้น มาเป็นวัตถุสำหรับศึกษา นี่ เรียกว่า ในวิถีทางทางวิทยาศาสตร์ต้องเป็นอย่างนี้
เราต้องมีสิ่งนั้น ปรากฎชัด คือ รู้สึก เป็น Experience คือเป็น Real Life อยู่ในจิตใจจริงๆ คือมีสิ่งนั้น เป็นวัตถุสำหรับศึกษา แล้วจึงจะทำการค้นคว้า ค้นหา Experiment ว่ามัน มันมาจากอะไร มันจะไปอย่างไร ด้วย ด้วยสิ่งนั้นจริงๆ จึงจะสำเร็จประโยชน์ในการศึกษาธรรมะ เราต้องมองตรงๆลงไป ยังสิ่งที่เรียกว่า ชีวิต ชีวิต ถ้าเราหาตัวชีวิตไม่พบ ไม่มีทางจะศึกษาพุทธศาสนา และจะต้องชีวิตในด้าน Spiritual ไม่ใช่ด้าน Physics
เช่นว่า ไอ้ความสดของ(นาทีที่ 22.02) Protoplasm ของทุกๆ Cell เป็นชีวิต ชีวิตอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เอามาศึกษาไม่ได้ หรือจะไม่ได้ผลในทางธรรมะ
คำว่า ชีวิตที่แท้จริง มันคืออะไร มันจะเป็นเรื่องของจิตใจ เป็น Physics ของจิตใจที่กำลังเป็นอยู่หรือเป็นไป ใน ในร่างกายนี้ ในชีวิตนี้จริงๆ ต้องเอาสิ่งนั้นมาเป็นตัววัตถุสำหรับการศึกษา
Materials หรือ Ingredients ที่เราจะต้องเอามาสู่ห้องทดลอง มาใช้ในห้องทดลอง ศึกษาของเรานั้น เรียกว่า อายตนิกธรรม อายตนิกธรรม สิ่งที่เนื่องกันอยู่กับ อายตนะ ต้องมีสิ่งนี้ ซึ่งมีอยู่ ๕หมวด หมวดละ ๖อย่าง คือ
อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้ ๖
อายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี้ ๖
แล้วก็วิญญาณ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นี้ก็ ๖
แล้วก็ผัสสะ การกระทบทางสิ่งทั้ง ๖
และก็มีเวทนา ๖
๕ หมวด หมวดละ๖ เป็น ๓๐, ๓๐ชิ้นนี้ต้องเอามาใช้ในห้องทดลอง ศึกษาวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา แล้วจะรู้พุทธศาสนา ท่านทั้งหลายต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้โดยเฉพาะทั้ง ๓๐สิ่งนี้ จึงจะมีวัตถุสำหรับการศึกษาธรรมะโดยแท้จริง เช่นเดียวกับที่เราจะต้องมีความรู้เรื่องสระ เรื่องพยัญชนะ Vowels, Consonant นี้ เราจึงจะเรียนภาษาได้ เดี๋ยวนี้แต่เราจะต้องรู้ อายตนิกธรรม ๓๐อย่างนี้ แล้วเราจะเรียนธรรมะได้
ท่านต้องมีอยู่ในความรู้สึก ไม่ใช่จำได้ หรือมีอยู่ในหนังสือ ไอ้๓๐ อย่างนั้นน่ะ ต้องรู้จักดี คืออยู่ในความรู้สึก ว่าเรามี ตา หู จมูก ลิ้น อย่างไร มีสัมผัสรูป เสียง กลิ่น รส อย่างไร ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน เราเกี่ยวข้องกันอยู่กับสิ่งทั้ง ๓๐ นี้ ทุกวัน ทุกวัน เราเกี่ยวข้องกันอยู่ กับสิ่งทั้ง ๓๐ นี้ และวันละหลายๆครั้ง แต่เราก็ยังไม่รู้จัก เดี๋ยวนี้เราต้องรู้จัก ว่าอายตนะนอก ใน เป็นอย่างไร วิญญาณเป็นอย่างไร ผัสสะเป็นอย่างไร เวทนาเป็นอย่างไร ถ้าจะเรียนพุทธศาสนามันต้องเรียนจากสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ในใจ ถ้าไม่มารู้สึกอยู่ในใจ ไม่มีทางจะเรียนได้
นี่ ขอให้จำนี้ เป็นหลัก เป็นหลัก เรียนพุทธศาสนาทุกอย่าง ทุกข้อ ทุกชั้น ทุกความหมาย สิ่งนั้นต้องมาอยู่ในความรู้สึก คือเป็น Experience หรือว่า Real Life คือ อยู่ในความรู้สึก แล้วเราจะเรียนลงไปที่สิ่งนั้น สิ่งเหล่านี้เกิดแก่เราอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลา ทุกวัน ทุกวัน แต่เราก็ไม่รู้จัก และไม่เคยสนใจ ไม่เคยหยิบขึ้นมาศึกษา
ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ ต้องหยิบขึ้นมาศึกษาแล้ว คือ ศึกษาว่า
ตัวอย่างทางตา
เมื่อตา มาถึงกันเข้ากับรูป มันก็เกิดวิญญาณทางตา Eye Consciousness
เมื่อหู ถึงเข้ากับเสียง ก็เกิด Ear Consciousness
ทางกลิ่นมาถูกเข้ากับจมูก ก็ทางจมูก
มาถูกกับลิ้น ก็ลิ้น
มาถูกกับผิวกาย ก็กาย
มาถูกกับใจ ก็ใจ
นี้เรียกว่า เมื่ออายตนะข้างใน กับข้างนอก ถึงกันเข้า ย่อมเกิดวิญญาณ มันเกิดอยู่วันหนึ่งไม่รู้กี่ร้อยครั้ง พันครั้ง แต่ท่านก็ไม่สนใจ มันก็เลยไม่รู้จัก และเหมือนกับว่า ไม่มี
นี้เอาเพียงว่า เมื่ออายตนะภายใน ภายนอกถึงเข้า ก็เกิดวิญญาณอย่างนี้ก่อน พยายามรู้จักสิ่งทั้งสามนี้ก่อน
ทีนี้ ท่านต้องรู้ว่า ในสิ่งที่เรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น มันมีระบบประสาท ประสาท มันจึงรู้สึกต่อสิ่งที่มากระทบได้เอง ฉะนั้นใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น ไม่ต้องมี Soul ไม่ต้องมี Self ไม่ต้องมี Self ไม่ต้องมี Soul แต่มันมีระบบประสาทตามธรรมชาติ มันจะรู้สึกต่อสิ่งที่มากระทบได้เอง นี่เป็นจุดตั้งต้นของความรู้เรื่องอนัตตา ไม่ต้องมีอัตตา ไม่ต้องมี Self ไม่ต้องมี Soul แต่มันมีระบบประสาทอยู่ใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นมันจึงรู้สึกต่อ รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่มากระทบได้ แล้วมันก็เกิด Consciousness ขึ้นมา ก่อนนี้ Consciousness มันไม่มี ต่อเมื่อมันมีการกระทบสองอย่างนี้ มันจึงมี Consciousness ขึ้นมา
ดังนั้น Consciousness เองก็ ไม่ใช่ Self ไม่ใช่ Soul มันเป็นธรรมชาติที่มันจะต้องเกิดขึ้น เพราะการมาพบกันของไอ้ อายตนะทั้งคู่นี้ เริ่มตั้งศึกษา เริ่มต้นศึกษาวิทยาศาสตร์ที่ว่า ไม่มี Self ไม่มี Soul หรือ อัตตา หรืออาตมัน หรือแล้วแต่จะเรียก สภาพอันไหน ในสิ่งที่เป็นอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ ท่านรู้จักสามอย่างแล้ว
เมื่อท่านรู้ว่าใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี่มันมีความรู้สึกโดยระบบประสาทได้เอง ไม่ต้องมี Self มี Soul ไม่ต้องมี (นาทีที่ 43.32) goals???? อะไรอย่างที่เรียกกันต่างๆ แล้ว ก็เรียกว่า เราเริ่มรู้วิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนา ถ้ายังเชื่อว่ามันมี Self มี Soul มี (นาทีที่ 43.44) ???? ขึ้นมาอยู่ใน ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือในวิญญาณ วิญญาณ นั้นแล้ว ไม่ใช่ Buddist แต่มันเป็น Animism ไม่มีทางที่จะมาเข้ากันได้ ขอให้มองดูให้เห็นว่า มันไม่มี Self มี Soul อะไร ในสิ่งเหล่านี้ไปตั้งแต่เบื้องต้น ความเป็นวิทยาศาสตร์ก็เริ่มต้นแล้ว จะเดินไปถูกทางแล้ว จะเดินไปต่อไป
ในพุทธศาสนา คือความรู้อย่างพุทธศาสนา ไม่มี Self ไม่มี Soul ไม่มีอัตตา ไม่มีอาตมัน ไม่มีปุรุสสะ ปุรส บุรุษ ไม่มีบุคคล ไม่มีเจตภูต และก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณ อย่างในภาษาฮินดู คือ Soul , Soul เป็นภาษาฮินดู เรียกว่า วิญญาณ ในพุทธศาสนา ไม่มี
แต่ว่าคำสอนของฮินดูมันมีอยู่ก่อน เป็นพื้นฐานแม้ในประเทศอินเดีย ถือว่ามี Self มี Soul อยู่ พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมา มาสอนเรื่องไม่มี Self ไม่มี Soul มันก็ Conflict กัน แต่ก็ยังพยายามสอนว่ามันต้องเห็นในความจริง ข้อที่ว่าไม่มี Self ไม่มี Soul นี่ จึงจะเอาความทุกข์ออกไปจากจิตใจได้ ถ้ามันยัง Attach ต่อ Self หรือ Soul อยู่ มันก็จะไปต่อไปจนเป็นทุกข์ นี่เราจึงต้องมีความรู้เรื่องไม่มี Self ไม่มี Soul หรือไม่มี Personal Identity ไม่มีสิ่งเหล่านั้น จึงจะเป็นพุทธ ไม่ใช่ฮินดู
มีอีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิด และคนก็สนใจกันอยู่มาก ที่เรียกว่า Astral Body, Astral Body Divide Body ไม่มีในพุทธศาสนา แต่ มีมาพูด มาใช้ มาทำกันจน จนปนกันยุ่งไป เราไม่ต้องมี Astral Body มันมีแต่ความรู้สึก รู้แจ้งที่เป็น Conscious , Consciousness น่ะ ถ้ามันเป็น Sub Conscious มันอาจจะมีลักษณะเหมือนกับ Astral Body ก็ได้ แต่ไม่ได้มีตัวจริงของ Astral Body นี้ก็อย่าเอามาเป็นหลักยึดถือว่ามันมี ไอ้สิ่งนี้ที่จะเป็น Soul เป็น Self อะไรขึ้นมาอีก
เราได้เรียนวิทยาศาสตร์มา ๓ ข้อแล้ว คือ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก แล้วก็วิญญาณ ทีนี้ ต่อไปนี้เราก็จะเรียนถึงอันที่ ๔ คือ ผัสสะ
สามอย่างนี้น่ะ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก วิญญาณ ทำงานร่วมกันอยู่ มี Function ร่วมกันอยู่ คือว่า วิญญาณรู้จักอายตนะภายนอก โดยผ่านทางอายตนะภายในก็ได้ เรียกว่า Contact หรือ ผัสสะ เป็น Contact ของสิ่งสามสิ่ง ไม่ใช่เพียงสองสิ่ง
ให้เข้าใจว่า Contact นี่ ของสิ่งสามสิ่ง อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ แล้วก็เรียกว่า ผัสสะ ซึ่งเราก็มีอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู เดี๋ยวทั้ง ๖ทางนี่ ทั้งวัน ทั้งวัน เรามี Contact นับไม่ถ้วน แต่เราก็ไม่ได้สนใจ แล้วเราก็ไม่ได้ควบคุมมัน ก็เพราะเราไม่รู้จักมัน เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่เราต้องรู้จักและต้องควบคุม ถ้าควบคุมไม่ได้ ไม่มีทางที่จะควบคุมความทุกข์ได้ ไม่มีทางจะควบคุมกิเลสได้ เราต้องควบคุมผัสสะ หรือ Contact นี่ให้ได้ เราจึงต้องรู้ มันเป็นเรื่องที่สี่
จะต้องรู้จักผัสสะ หรือ Contact นี่ให้ดีๆ ว่ามันมีอยู่ ๒ ระดับ
ระดับที่สัมผัสเข้าไปที่ตัววัตถุ ระดับหนึ่ง และ
สัมผัสเข้าไปที่ตัวความหมายของวัตถุนั้น อีกระดับหนึ่ง
เช่น ตา เราเห็นสีชมพู เราก็สัมผัส รู้ว่า สีชมพู ไม่สนใจว่าอะไรหรือมีความหมายอย่างไร นี่เรียกว่า สัมผัสที่วัตถุ คือสีแล้ว แต่ทีนี้หลังจากนั้น มันสัมผัสลึกเข้าไป ว่าสีชมพูนี้เป็นอะไร สีชมพู นี้เป็นดอกกุหลาบ พอสัมผัสลึกขึ้นไปถึงความหมายหรือคุณค่าของดอกกุหลาบ ซึ่งรู้ว่าเป็นสิ่งที่มีความหอม เป็นที่น่ายินดี เป็นต้น
สัมผัสชั้นแรก สัมผัสที่วัตถุ เป็น Recognition ทางวัตถุ และสัมผัสทีหลัง สัมผัสที่ความหมายของมัน เป็นสัมผัส ซึ้งถึงคุณค่า หรือความหมาย
อย่างแรกเรียกว่า ปฏิฆะสัมผัส
อย่างหลังเรียกว่า อธิวัจนะสัมผัส
ท่านทั้งหลายจงรู้จัก ไอ้สัมผัสของเราประจำวันนี่ มันมีอยู่ ๒ ชั้น สัมผัสที่วัตถุก็รู้จักเพียงคลื่น คลื่นสี คลื่นเสียง คลื่นประสาท หรือ ทางวัตถุเท่านั้น แล้วต่อจากนั้น ใจ จึงจะสัมผัสลึกลงไปถึงความหมายของมัน ว่ามันหมายถึงอะไร ที่เห็นเป็นรูปๆ ร่างๆ นี่ก็ว่า คน แต่ไม่รู้ความหมาย ที่สัมผัส ว่า คน ผู้หญิง หรือผู้ชาย อย่างนี้ ก็คือว่า รู้ถึงความหมายของสิ่งที่เป็นรูปนั้น
สัมผัสอย่างแรก ไม่มี ไม่มี ไม่มีปัญหาอะไร ไม่ค่อยมีเรื่อง ไม่มี เอ่อ, ปัญหายุ่งยากอะไร
แต่สัมผัสที่สอง คือสัมผัสที่ความหมาย เต็มไปด้วยปัญหา
สัมผัสทางวัตถุ มีค่าทางวัตถุ
สัมผัสทางความหมาย คุณค่า ก็มีค่าทางจิตใจ
คุณค่าทางวัตถุไม่ค่อยสำคัญอะไร จะเกิดเรื่อง เกิดกิเลส เกิดทุกข์ นี่มันเป็นเรื่องทางจิตใจ นี่เรารู้ว่ามันมีสัมผัสทางวัตถุ และ ทางความหมาย
ทีนี้ ก็ยังมีอีกสองอย่างว่า เราสัมผัสมันด้วยความโง่ หรือ ด้วยความฉลาด ถ้าเวลานั้นจิตใจของเราโง่ไปสัมผัสเข้า เราก็มีสัมผัสโง่ จึงจะมีผลเป็นความรู้ผิด ถ้าเรามีจิตใจฉลาด ไปสัมผัสเข้า มันก็เป็นสัมผัสฉลาด ก็มีผลเป็นความรู้
ดังนั้น สัมผัส นี่ มีอยู่ ๒ชนิด แล้วแต่ว่าในเวลาสัมผัสนั้น เราโง่ หรือ เราฉลาด ถ้าเรามีปัญญา มีวิชา เราก็สัมผัสอย่างฉลาด จะไม่เป็นผลร้าย ถ้าเรามีความโง่ มีอวิชชา มี Ignorance หรือ เราไปสัมผัสความโง่นั้น จะมีผลร้าย เป็นสองสัมผัสกันอยู่อย่างนี้
เราไม่ค่อยจะไว้ใจคำว่า Intellectual เพราะว่าอาจจะหลงได้ เราจะใช้ อยากจะใช้คำว่า Wise หรือ Enlightened มากกว่า ขอให้มันมากกว่า Intellectual ให้มันเป็น Wise Contact หรือ Ignorance Contact , Ignorance Contact มันจะสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ Wise Contact ไม่สร้าง พยายามทุกอย่างให้มันเป็น Wise Contact
ดังนั้นเราต้องศึกษา เรา เรา จะต้องมีการปฏิบัติให้มีสติ มีปัญญา มีสัมปชัญญะ มีทุกอย่าง พอที่จะให้มันเป็น Wise Contact ทุกคราวไป ฉะนั้นก็จะเป็นไปในทางถูกต้อง Wise Contact นี่ มันจะเป็นไปในทางที่ถูกต้อง ไม่ Good and Evil , Intellectual นี้มันไม่แน่ มันอาจจะไปเป็น Good เป็น Evil ก็ได้ ขอให้มันเป็นความรู้ชนิดที่ Wise หรือ Wisdom หรือว่า Enlightenment ไปเลย
Contact นี่จะต้องควบคุมให้ได้ ถ้าควบคุม Contact ได้ คือควบคุมชีวิตได้ แล้วจะไม่ตกไปสู่ Good and Evil ถ้ามีสติปัญญาทันเวลาในขณะ Contact แล้ว ความคิดจะไม่ตกไปเป็น Good and Evil จะเป็นเพียงความถูกต้องกับความไม่ถูกต้อง ถูกต้อง ไม่เป็นทุกข์ ไม่ถูกต้อง จะต้องเป็นทุกข์ ท่านจงพยายามรู้จัก Contact นี่ให้ดีๆ และควบคุมมันให้ได้ ท่านจะได้รับชีวิตใหม่
ทีนี้ก็ เราเขยิบไปถึงสิ่งที่ห้า คือ เวทนา คือ Feeling
ถ้าในกรณีนี้มันมี Ignorance the Contact มันก็จะให้ผลเป็น Ignorance the Feeling
ถ้าในกรณีนี้มันมี Wise Contact มันจะให้ผลเป็น Wise the Feeling
ถ้ามันเป็น Ignorance the Feeling มันก็เป็นความโง่
มันก็เอาที่ อย่างที่เป็น Prison เป็น Good
เอา UnPrison คือเป็น Evil
มัน Discriminate เป็น Good and Evil ขึ้นมา คือมันโง่ มัน Attach Good and Evil เพราะมัน มัน ไม่มี เอ่อ, ไม่มีปัญญา มันกินผลไม้แห่งความโง่ ผลไม้แห่งความไม่รู้ Good and Evil เข้าไปแล้วตรงนี้เอง เราจึง Discriminate หรือ Classified นี้เป็น Good นี้เป็น Evil เพราะมันมาจาก Ignorance the Contact มาเป็น Ignorance the Feeling , Ignorance the Feeling มันก็ให้เกิดเป็น Good and Evil ซึ่งมันมีอิทธิพล ให้เราเป็นทุกข์
เดี๋ยวนี้เราไม่มี Ignorance the Contact เรามีแต่ Wise the Contact มีแต่ Wise the Feeling มันก็รู้ว่า โอ้ มัน มันไม่ Good and Evil มันไปตามกฎเกณฑ์ของมันอย่างนั้นเอง มันไปตามกฎของมันอย่างนั้นเอง ไม่มี Good ไม่มี Evil เราก็ไม่ถูกบีบคั้นด้วยอิทธิพลของ Good and Evil คือ Positiveness and Negativeness เราก็ Free เวทนาที่ฉลาด คืออย่างนี้ ชีวิตนี้ก็ไม่มีความทุกข์
ท่านคิดว่า อดัมกับอีฟเกิดเมื่อพระเจ้าสร้างโลก หรือว่ามันเกิดเมื่อเราออกมาจากท้องแม่ ช่วยถามเขาดูสิ
ใครคิดว่าเมื่อพระเจ้าสร้างโลก ยกมือสิ
ใครคิดว่าอดัมกับอีฟเกิด เมื่อเราเกิดมาจากท้องแม่
ไม่รู้ ไม่รู้ ไม่รู้
ถ้าว่ามัน อดัมกับอีฟ มันโง่ เมื่อพระเจ้าสร้างโลกมันก็นานมาแล้ว ก็ไม่ค่อยมีความหมายอะไร แต่ที่เขาพูดไว้ว่ามันเป็น Original Sin ติดมา ติดมา จนถึงบัดนี้ มันก็น่ากลัวเหมือนกัน แต่ว่าที่แท้นั้น มันเกิด เมื่อเราเกิดมาจากท้องแม่ เราไม่รู้ความจริง เรา Classified Discriminate มันไปตาม Feeling Feeling ของเด็กทารก ถ้ามันถูกใจ มันก็ว่า Good มันไม่ถูกใจ มันก็ว่า Evil มันเริ่มกินผลไม้ ไม่รู้ Good and Evil เมื่อเด็กนั้นโต มีความรู้สึกพอสมควร ที่จะรู้สึกต่อผัสสะ และเวทนาได้ ปัญหามันก็ตั้งต้นที่ตรงนั้น เริ่มกินผลไม้ รู้ดี รู้ชั่ว กันที่ตรงนั้น และมันก็เป็นปัญหาทันที คือจะต้องมีความทุกข์ทันที Good มันก็ยุ่งยากไปตามแบบ Good, Evil มันก็ยุ่งยากไปตาม Evil, ไม่ Good ไม่ Evil เป็นดีกว่า
เราพูดได้แต่เพียงว่า เมื่อเด็กทารกเขามีความรู้สึกชนิดชอบใจ หรือไม่ชอบใจ Pleasant หรือ Unpleasant เมื่อไร ความหมายของ Positive and Negative มันเริ่มตั้งต้นเมื่อนั้น และมันก็จะขยายไปเป็น Good and Evil ถ้าเด็กทารกยังไม่รู้จักแยกเป็น ชอบ หรือ ไม่ชอบ ยังไม่รู้จักและมันยังไม่มีความหมาย และเมื่อเด็กรู้จัก Discriminate Pleasant Unpleasant ได้ ได้แล้ว เมื่อนั้น ปัญหาเริ่มตั้งต้น เขาก็จะถูก ทำให้หลงไปในฝ่ายที่เขาชอบ หรือทุกคนเขาชอบ จัดเป็น Good แต่ฝ่ายที่ตรงกันข้าม เรียกว่า Evil แต่ดูให้ดีเถิดว่า มันมีปัญหา ไม่ใช่ความสงบทั้งสองอย่าง พระเจ้าก็มีความประสงค์จะไม่ให้คน ให้สัตว์นี้ ไป Attach Good and Evil จึงบอกว่า อย่าไปกินผลไม้ต้นที่ทำให้รู้จัก Good and Evil หลักพุทธศาสนาก็มุ่งหมายอย่างนี้
แต่เดี๋ยวนี้เราก็ได้กินเข้าไปแล้ว เราก็เป็นทาส ตกเป็นทาสของ Good and Evil แล้ว เราจะทำอย่างไร เราจึงจะหลุดออกมาเสียได้จากอิทธิพลของ Good and Evil ก็คือ เราจะต้องรู้จักว่ามันตั้งต้นขึ้นมาอย่างไร อย่างที่ว่ามาแล้วนั่นเอง ขอให้สนใจศึกษา อายตนิกธรรม ๓๐ นี้ให้เข้าใจอย่างนี้ ก็จะรู้เรื่องนี้ดี อย่างกับเราเรียนวิทยาศาสตร์ เมื่อเด็กเขาโตขึ้นมาจนรู้จัก
เราจะพูดกันอย่างไม่วิทยาศาสตร์ พูดกันอย่างเด็กๆพูด เราก็จะพูดว่า ขอให้สังเกตดูว่า Sadness กับ Gladness ต่างกันไหม ถ้าเรายังไม่รู้จัก เราจะเห็นว่าต่างกัน แต่ถ้าเรารู้จักดีแล้ว เราจะเห็นว่าไม่ต่างกัน
มี Gladness มาก ก็นอนไม่หลับ กินข้าวไม่อร่อย
มี Sadness มาก ก็นอนไม่หลับ กินข้าวไม่อร่อย
ต่อเมื่อไม่มีทั้งสองอย่าง เราจึงจะนอนหลับ และกินข้าวอร่อย
ดังนั้นเราอย่าไปบูชา Good Good กันนัก ไอ้ Good มันก็ให้อยาก อยาก อยากมี Toy มี Need อะไรไปตามแต่ Good ไอ้ Evil ก็ให้มี Toy และ มี Need ไปตามแบบ Evil ไม่หยุด ไม่หยุด ไม่พักผ่อน ไม่หยุด ไม่ปกติ ไม่สงบ
ไม่ Good ไม่ Evil นั่นแหละ หยุด หรือ สงบ
ฉะนั้น God จึงสั่งว่าอย่าไปกินผลไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว มันจะเป็นทาส มันเป็น Slave by Good and Slave by Evil อย่างนี้ ไม่ไหว
เรามาศึกษา หาชีวิตใหม่ ที่ไม่ถูก Enslave โดยสิ่งใด หรือทั้งคู่ เราเรียกว่า ชีวิตใหม่
เดี๋ยวนี้เรา เราจะยอมรับไหมว่า ทุกคน ทุกคนในโลก มันชอบฝ่ายบวก Gladness Gladness , Positiveness , Happiness ทุกคนในโลกมันชอบฝ่าย Positive จนถึงกับบูชา Warship ใช่ไหม ทุกคนมัน Warship Positivism มันก็เป็นทาส เป็นทาสของ Positivism ไม่มีอิสระ นี่คือ ตาย
ไอ้ฝ่าย Evil หรือ Negativism ก็เหมือนกันแหละ ถ้าเราไม่ไปให้ความหมายแก่มัน เราก็ไม่ต้องมีความกลัว ไม่ต้องมีความสงสัย ไม่ต้องมีความหวาดเสียว ไม่ต้องลำบากในฝ่ายที่เป็น Negativism
ดังนั้นเอาออกไปเสียทั้งสองฝ่าย ทั้ง Positive และ Negative ให้เราอยู่ระหว่างกลางก็ได้ หรือให้เราอยู่เหนือเสียเลยก็ได้ เหนือ Positivism และ Negativism อย่างนี้เรียกว่า ชีวิตใหม่
คัมภีร์ไบเบิ้ลได้สอนไว้ถูกต้องแล้ว God ได้สั่งไว้ประโยคเดียวสั้นๆ ถูกต้องแล้ว แต่มนุษย์ไม่เชื่อ มนุษย์ไม่ทำตาม ก็เลยได้ความตาย ได้ความทุกข์
ทีนี้ถ้าว่า ไม่Good and Evil แล้วก็เป็นชีวิตที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ เดี๋ยวนี้เรามีชีวิตเก่า เก่า เก่า เก่า เป็นทุกข์เรื่อยมา เป็นทุกข์เรื่อยมา ทำไมละ ออกมาเสียจากความผิดนั้นๆ ก็จะได้ชีวิตใหม่ จึงบอกว่า ถ้าศึกษาพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแล้ว ท่านก็จะได้ชีวิตใหม่ อย่างนี้
รวมความว่า ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ที่ถูกต้อง ท่านก็ไม่ถูก Enslave by Good and Evil ถ้าเราเป็นพุทธบริษัทที่ดี ที่ถูกต้อง เราก็ไม่ถูก Enslave by Good and Evil ดังนั้นเราก็มาเป็นเพื่อนศึกษาทำความเข้าใจ ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำตัวให้เป็นอิสระ ออกมาเสียจากอิทธิพลของ Positive and Negative คือ Good and Evil เราจะศึกษาเปรียบเทียบ เพื่อหาความร่วมมือกัน ไม่ใช่แตกกัน ขอให้เป็นคริสเตียนดี ก็จะเป็นพุทธบริษัทที่ดี เป็นพุทธบริษัทที่ดี ก็จะเป็นคริสเตียนดีด้วย หรือท่านไม่เห็นด้วยก็ตามใจ
เราจะเป็นคริสเตียนที่ดี หรือเป็นพุทธบริษัทที่ดีนั้น เราต้องควบคุมผัสสะได้ ดังนั้นเราต้องศึกษามากที่สุด ที่จะควบคุมผัสสะให้ได้ ถ้าเราควบคุมผัสสะไม่ได้ เราไม่มีทางที่จะเป็นคริสเตียนที่ดี ที่ถูกต้อง หรือเป็นพุทธบริษัทที่ดี ที่ถูกต้อง ขอให้เรามาสนใจเรื่องการควบคุมผัสสะกันให้มากเป็นพิเศษ ซึ่งจะได้พูดกันให้มันละเอียดในคราวต่อไป
เรามี Slogan หรือ Poem ที่ดีเรื่องนี้ ให้ (นาทีที่ 1.38.30) คุณสันติกโลแปลให้ฟัง
ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำผิด เมื่อผัสสะ
ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำผิด เมื่อผัสสะ
ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่ เมื่อผัสสะ
ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่ เมื่อผัสสะ
ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจ เรื่องผัสสะ
ความทุกข์เกิดที่จิต เพราะทำผิด เมื่อผัสสะ
ความทุกข์จะไม่โผล่ ถ้าไม่โง่ เมื่อผัสสะ
ความทุกข์เกิดไม่ได้ ถ้าเข้าใจ เรื่องผัสสะ
เราจะต้องพยายามทำความเข้าใจ จนเราควบคุมผัสสะให้ได้ ควบคุมผัสสะให้ได้ เราก็จะควบคุมความโง่ Discriminate เป็น Good and Evil ได้ และความหมายแห่ง Good and Evil ก็จะไม่ครอบงำเรา เรื่องก็จะจบ
เดี๋ยวนี้ท่านก็นั่งมานานแล้ว แล้วก็เมื่อยแล้ว อิทธิพลของ Good and Evil ก็จะเกิดแล้ว ก็ต้องหยุดการบรรยายเสียที ถ้ายังมีความสนใจ วันหลังพูดเรื่องผัสสะให้ละเอียด