แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการพูดกันเป็นครั้งที่ ๘ นี้ จะพูดโดยหัวข้อว่าพุทธศาสตร์กับไสยศาสตร์ เป็นความสมควรหรือเหมาะสมอย่างยิ่งหรือจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรู้จักสิ่งทั้งสองนี้ไว้ มันก็เกี่ยวกับธรรมะและการปฏิบัติธรรมหรือว่าเกี่ยวกับความดับทุกข์โดยตรง อีกอย่างหนึ่งก็เป็นเครื่องวัด,เป็นเครื่องวัดความสูงต่ำแห่งจิตใจ ความเจริญมากเจริญน้อยแห่งจิตใจ นี่ควรจะรู้ไว้ และสรุปใจความเบื้องหน้าไว้ได้ด้วยว่าพุทธศาสนานั้นไม่มีไสยศาสตร์ หรืออยู่เหนือ หรือพ้นจากไสยศาสตร์แล้ว เดี๋ยวนี้คำว่าไสยศาสตร์ๆ นี่ อยากจะจำกัดความให้มันง่ายๆ สำหรับเข้าใจ แปลว่าศาสตร์ที่ยังหลับ ไสยะมันแปลว่าหลับ พุทธะมันแปลว่าตื่น ไสยศาสตร์คือศาสตร์ที่ยังหลับ แต่คำว่าไสยะบางทีก็แปลว่าดีกว่าก็มีเหมือนกัน มันคือดีกว่าที่จะไม่มีอะไรเสียเลยนี่ เมื่อคนป่าสมัยนู้นน่ะเขายังไม่รู้จักแม้แต่ไสยศาสตร์ ก็เรียกว่าเขาไม่รู้อะไร พอเขารู้เรื่องไสยศาสตร์ขึ้นมาบ้างมันก็ดีกว่าที่จะไม่รู้อะไรเสียเลย อย่างเช่นว่าเขาไม่รู้จักกลัวเทพเจ้า กลัวสิ่งเข้าใจยากเหล่านั้นเสียเลย ก็เรียกว่าเขาไม่รู้อะไร ต่อมาเขารู้ขึ้นมาบ้างดีกว่าไม่รู้เสียเลย รู้จักกลัวผีกลัวสางกลัวเทวดาอะไรต่างๆ
เอาล่ะ,เราจะพูดกันให้เข้าใจง่ายๆ ว่าไสยศาสตร์นี้มันเป็นอย่างไร เท่าที่ผมรวบรวมมาคิดใคร่ครวญดูนานๆมาแล้วนี่ ก็พอจะจัดได้เป็นสัก ๓ ชั้น พูดอย่างที่ว่ามันมีอยู่ในปัจจุบันหรือเกี่ไยวกับปัจจุบัน ไสยศาสตร์เด็กๆที่สุดก็คือที่ผู้ใหญ่เขารำคาญกับที่เด็กๆ มันดื้อ มันไม่เชื่อ พูดธรรมดามันไม่กลัวมันไม่เชื่อ เขาก็ต้องพูดให้มันแรงเข้าไว้ให้น่ากลัวเข้าไว้ เช่นว่าไม่ให้เอาขันน้ำไปรองน้ำที่ปากรางที่พุ่งลงมามากๆ เอาขันน้ำไปรองน้ำที่พุ่งลงมาปากรางแล้วฟ้าจะผ่า พอพูดว่าฟ้าจะผ่าน่ะมันกลัว แต่ถ้าห้ามเฉยๆ มันไม่กลัว แม้แต่ว่าจะตีมันยังไม่กลัว แต่ถ้าว่าฟ้าจะผ่านี่มันกลัว มันได้ผล นี่ไสยศาสตร์ทำนองนี้มันก็เกิดขึ้นมาสำหรับลูกเด็กๆ คิดดู คนคิดว่าฟ้าจะผ่านี่มันเสียวชอบกลนะ มันเลิกทันที หรือว่าจะไปขี่หมาฟ้าจะผ่าอย่างนี้ ห้ามดีๆ มันไม่เชื่อ แต่ถ้าว่าฟ้าจะผ่านี่มันก็กลัว ไม่ต้องขี่หมาให้หมามันกัด ไม่ต้องเอาขันไปรองน้ำให้ขันมันตกแตก น้ำมันลงมาหลุดมือตกแตกอย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ก็มีแยะ นี่ไสยศาสตร์ชั้นต่ำ,ต่ำสุด มีอยู่หลายอย่างหลายประการที่ผู้มีปัญญาคนแก่เขาจะห้ามลูกเด็กๆ ไม่ให้ทำอะไรอย่างนั้นอย่างนี้ มีแยะ แต่ผมลืมไปหมดแล้ว ไปฟังเอาเองก็แล้วกัน
ทีนี้ไสยศาสตร์ประเภทที่ ๒ มันเป็นเรื่องมาตามความเจริญของมนุษย์ที่มีความคิดเพิ่มขึ้น คือถือว่ามีจิตหรือวิญญาณอยู่ในสิ่งต่างๆ ที่เขาเข้าใจไม่ได้ แม้แต่จอมปลวกมันก็มีวิญญาณผีหรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ ต้นไม้ก็มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ ภูเขาก็มีต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ แม่น้ำลำธารก็มี กระทั่งว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นชีวิตวิญญาณน่ะสิงอยู่ๆ มากมายหลายอย่าง ฝรั่งเขาเรียกรวมๆ กันว่า Animism ที่ถือว่ามีจิตวิญญาณสิงอยู่ในสิ่งนั้นๆ นี่เป็นความรู้ที่ว่าดีกว่าไม่รู้เสียเลยของคนป่านั่น ก็มาเหลืออยู่ในบทสวดมนต์ของเราที่ว่า พหุí เว สรณํ ยนฺติ, ปพฺพตานิ วนานิ จ, อารามรุกฺขเจตฺยานิ ในภูเขาก็ดี ในต้นไม้ก็ดี ในป่าอารามแปลว่าป่าก็ดี ในเจดีย์ก็ดี มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ เขาถือว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ เขาก็ไปบวงสรวงอ้อนวอนเพื่อให้เป็นพึ่ง มันก็สบายใจไปพักหนึ่งแหละ มันไม่ใช่เปล่าเสียเลยทีเดียว มันสบายใจมันอุ่นใจมันแน่ใจ แต่ว่ามันไม่จริง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตรัสว่าไม่เป็นที่พึ่งเสียเลย แต่ เนตํ สรณํ เขมํ นั่นไม่ใช่สรณะอันสูงสุดไม่ใช่สรณะอันเกษม แต่มันหลอกให้สบายใจได้พักหนึ่ง นี่ก็คือไสยศาสตร์ พระไม่ได้ก็ยังไม่เป็นอริยชน ยังเป็นคนที่ไม่ใช่อริยชน มันก็มีเรื่องที่ทำให้ต้องเชื่อต้องกลัวต้องอะไรกันไปตามเรื่องสำหรับผู้ที่เขาไม่รู้ แล้วมันมีอะไรแฝงเข้ามาในทางจิตวิทยาซึ่งเขาไม่รู้ เรื่องจิตวิทยาน่ะมันอีกอันหนึ่งนะ คือกระแสจิตของคนจำนวนมากไปทั้งบ้านทั้งเมืองทีเดียว เชื่ออย่างนั้น เชื่อว่าอย่างนั้น เชื่อกันลงไปอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็เกิดอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของความเชื่อของจิตนั่นน่ะขึ้นมาที่นั่น จนกว่าความเชื่อนั้นมันจะหมดไป ไม่มีใครเชื่อแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นก็หายไปเองแหละ แล้วสำหรับคนที่ไม่เชื่อที่จิตใจเข้มแข็งบ้าบิ่น มันก็ไม่เป็นไร คนที่จิตใจอ่อนน่ะจะถูกครอบงำแล้วมันก็จะรู้สึกอย่างนั้น เช่นว่าที่ตรงนี้ มันเชื่อกันทั้งหมดว่ามีผีดุอยู่ตัวหนึ่งหน้าตาอย่างนั้นออกมาทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ มันเชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วเด็กตัวเล็กๆ ที่มันจิตใจอ่อนแอน่ะ มันพลอยเห็นอย่างนั้นไปได้ เห็นผีตัวนั้นได้ตามที่มันไม่รู้เรื่องอะไรมาก่อน แต่ความเชื่อเขามีกันมากมายที่ตรงนั้นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ได้ หรือว่าตรงนี้ต้องทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้นจะปวดท้อง จะจุกแน่นหรืออะไรก็ตาม มันก็เป็นอย่างนั้นได้จริงเหมือนกันแหละ ในเขตหรือในถิ่นที่เขาเชื่อกันทั้งบ้านทั้งเมือง แล้วคนใจอ่อนโดยเฉพาะเด็กๆ นี่ เด็กที่โง่เขลาหรืออ่อนแอใจอ่อน ขวัญอ่อนน่ะ มันก็เป็นได้ มันก็รู้สึกอย่างนั้นได้ แต่ก่อนนี้ก็มีจริงเหมือนกันแหละ แต่เดี๋ยวนี้มันหมดไปเพราะว่าคนมันเลิกเชื่อ พอคนมันเลิกเชื่อว่าอย่างนั้น ที่ตรงนั้นมันก็หมดความศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินได้ฟังมามากเป็นที่เชื่อถือได้ว่ามี ต้องทำอย่างนั้นที่ตรงนั้น ต้องทำอย่างนั้นที่ตรงนั้น ไม่ทำอย่างนั้นจะอาเจียน จะถ่ายเป็นเหมือนกับเป็นอหิวาต์ หรือจะแน่นอกหรือจะ... แต่พอคนเลิกเชื่อมันก็ไม่มี มันก็ไม่เป็น ค่อยๆ จางไป,จางไป
จอมปลวกที่มีความเชื่อกันว่าจอมนี้มันศักดิ์สิทธิ์ คนผ่านไปเดินทางผ่านไปข้างๆ จอมปลอกนั้น เพราะมันอยู่ข้างทาง ต้องหักกิ่งไม้สั้นๆ คืบหนึ่งศอกหนึ่งแล้วทิ้งให้ ทิ้งให้ ทิ้งให้ปลวก ทิ้งให้จอมปลวกจะด้วยอะไรก็ตามแหละ ให้ปลวกมันกินหรืออย่างไรก็ไม่รู้แหละ ไม่ทิ้งให้ คนที่ใจอ่อนน่ะมันจะเป็นอย่างที่เขาเชื่อกัน มันจะปวดท้องหรือมันจะเวียนศีรษะหรือมันจะอะไร จนกว่าคนจะเลิกเชื่อ เคยเห็น ผมเคยเห็นด้วยตาเมื่อก่อนนี้ จอมปลวกบางจอมมีไม้สั้นๆ สั้นๆ แค่นั้นน่ะ เยอะแยะไปหมด สูงดูเป็นกองไม้ไปเลยไม่ใช่เป็นจอมปลวก ถามเขาว่านี่อะไรกัน ทำอะไรกัน เขาบอกอย่างนี้ ถ้ามาตรงนี้ต้องหักไม้ทิ้งออกไปอันหนึ่งจึงเดินผ่านไปได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดเรื่อง เดี๋ยวนี้ก็หายๆ ไป ก็มีคนบางคนเขาที่ไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อ เขาว่าแม่ยายน่ะ แม่ยายนี่ผมรกนักแล้ว,ผมรกนักแล้ว จะตัดผมให้แม่ยายที เอาไฟใส่เข้าไปแล้วก็ติดใหญ่เลย ก็ไหม้มาก นี่จอมปลวกก็สุก ไม่เห็นเป็นอะไร คนที่มันไม่เชื่อไม่เห็นเป็นอะไร ฉะนั้นอยู่ที่ความเชื่อ เชื่อว่าในจอมปลวกนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ ในต้นไม้ต้นนั้นมีศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ หรือว่าภูเขาลูกนี้มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ หรือบางทีก็ทำเป็นกุฏิเล็กๆ ให้อยู่ให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ แล้วก็มีเป็นในทุ่งนาก็มี ในป่าก็มี ในภูเขาก็มี ลำธารก็มี ในฝนฟ้าก็มี ในพายุก็มี ในแสงแดดก็มี ในแสงเดือนก็มี นี่คือเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในสิ่งนั้นๆ แล้วก็พูดกันมาแต่โบราณแต่กาลก่อนเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย เป็นเรื่องเป็นราวเหมือนกับผู้เหมือนกับคนนี่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นเทวดา,เป็นเทวดา มันก็มีผลสำหรับคนที่ปัญญาอ่อน เชื่อแล้วก็สบายบ้าง แล้วบางทีก็ใช้ความโง่หรือความเชื่อนี้เป็นเครื่องมือทางประโยชน์ ทางแสวงหาประโยชน์ทางการบ้านการเมือง
ไปที่ประเทศเขมร เห็นโปสเตอร์พิมพ์เป็นรูปเทวดาอยู่บนต้นไม้ ลูกอ่อนก็มี แล้วมีเลือดไหลออกมา เขียนเลือดไหลออกมาจากตัว เด็กแขนขาดก็มี หัวขาดอะไรก็มี เพื่อให้เข้ารูปกับที่ชาวบ้านเขาเชื่อว่ามันมีเทวดา แล้วก็ไปตัดต้นไม้ มันก็ตัดถูกแขนขาของเทวดา ก็เพื่อจะห้ามไม่ให้ตัดต้นไม้น่ะ เพื่อห้ามไม่ให้ตัดต้นไม้ขโมยตัดต้นไม้ป่าสงวนหรืออะไรนี้ ก็จะให้คนหยุดตัดต้นไม้นั่นแหละ จึงเขียนโปสเตอร์อย่างนี้ ต้นไม้มีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้นเป็นเทวดา มันก็มีผลไปตามแบบของเขาแหละ จนกว่ามันจะไม่เชื่อ รูปที่ปั้นขึ้นมาทำขึ้นมา ก็เสกเป่าไว้ว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ในนั้น เป็นรูปสารพัดอย่าง เป็นรูปปลัดขิกก็ยังมี คนป่าในบางประเทศนี่ทำอันใหญ่ๆ ไว้หน้าบ้านหน้าประตูทางเข้าหมู่บ้าน ศักดิ์สิทธิ์สำหรับป้องกันไม่ให้เชื้อโรคโรคระบาดผีห่าอะไรเข้าไป นี่เขาก็เชื่อกันอย่างนี้ มันก็มีประโยชน์ไปตามประสาปัญญาอ่อนนั่นแหละ นี่เรียกว่าเป็นลัทธิที่เชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธ์สิงอยู่ในสิ่งนั้นๆ จะเป็นของเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ได้ ซึ่งบางทีในสัตว์บางชนิดก็ได้ สัตว์บางชนิดน่ะมีผีศักดิ์สิทธิ์สิงอยู่ก็มี แม้ไม่ใช่สัตว์เป็นต้นไม้เป็นก้อนหินเป็นอะไรก็มี กระทั่งจอมปลวกก็มี หรือว่ากระทั่งว่าเป็นรูปปั้นรูปหล่อรูปอะไรขึ้นมาก็มี เอารูปปั้นรูปหล่อมาอาบน้ำมาสรงน้ำมาประดับประดาตกแต่งกัน ปั้นสมมติเป็นเทวดาเป็นพระเจ้าเป็นอะไรไปเลย เชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในนั้นแล้วก็เป็นไสยศาสตร์หมดแหละ ตั้งแต่เล็กที่สุดจนถึงใหญ่ที่สุดเป็นพระเจ้าไปเลย เอาดินเหนียวปั้นเป็นรูปพระเจ้ากันแล้วไปเชื่อว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ บวงสรวงกันเป็นวันเป็นคืนตามแบบของเขา นี่ก็เรียกว่าไสยศาสตร์เหมือนกันแหละ เป็นศาสตร์ของคนหลับ
ทีนี้ที่สูงกว่านั้นเป็นขั้นที่ ๓ นี่สองขั้นแล้วนะ นั้นก็คือความไม่รู้เหตุผล,ความไม่มีเหตุผล ไม่รู้เหตุผลที่ถูกต้องแล้วก็ทำผิดเหตุผลไปหมด ไปเอาสิ่งที่เขาใช้ปฏิบัติดีมีประโยชน์นั่นแหละเป็นหลัก แต่ว่าเขาไม่รู้เหตุผลเพราะไม่ได้ถือเหตุผลอย่างที่ถูกต้อง ที่ในธรรมะของเราเรียกว่าสีลัพพตปรามาส คุณคงจะเคยได้ยินแล้ว, สีลัพพตปรามาส ถ้าเรียนเรื่องสังโยชน์ ๑๐ มันก็มีสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ รูปราคะ อันที่ ๓ ที่เรียกว่าสีลัพพตปรามาสนั่นแหละคือไสยศาสตร์ แปลว่าลูบคลำศีลและพรต ตัวหนังสือแปลว่าอย่างนั้น แต่ความหมายว่ามันโง่ต่อเหตุผลของสิ่งนั้นๆ ของศีลและวัตรนั้นๆ มันโง่ต่อเหตุผล ก็เป็นไปในทางศักดิ์สิทธิ์อีกเหมือนกัน เช่นรักษาศีลนี่ ไม่ใช่เพื่อว่าจะมีความสงบกายวาจาเป็นศีลน่ะ มันให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์,มันให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ มีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจ เป็นผู้ขลังเป็นผู้มีอะไรขึ้นมา บำเพ็ญวัตรอย่างนั้นอย่างนี้ ประพฤติวัตรธุดงควัตรเป็นต้น ไม่ไช่เพื่อกำจัดกิเลสหรอก เพื่อให้มีผลเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องอะไรขึ้นมา จะทำสมาธิก็เหมือนกันแหละ ไม่ใช่เพื่อจิตสงบหรอก แต่เพื่อมีฤทธิ์มีเดชมีปาฏิหาริย์อะไรขึ้นมา เรียกว่าศีลวัตรที่บัญญัติไว้มากมายน่ะเขายึดถือเอาไปผิดความประสงค์หมด ผิดความประสงค์ที่แท้จริงหมดแล้วก็ผิดเหตุผลด้วย เหตุผลน่ะเพราะมันมีอย่างนี้ความประสงค์มันก็มีอย่างนี้ แต่ไปถือเป็นอย่างอื่นเสียและก็ถือศีลเคร่งปฏิบัติเคร่ง ทีนี้วัตรบางอย่างโง่ออกไปนอกแนวก็มี เป็นเรื่องทรมานตนเป็นเรื่องทำอะไรแปลกๆ วิตถารพิสดารบ้าบอไปเลย อย่างนี้เพราะว่ามันไม่อยู่ในอำนาจแห่งเหตุผล ไม่เหตุผล ไม่เข้าใจเหตุผลของสิ่งที่เขามีเหตุผลเฉพาะ ถ้าว่ายังไม่รู้มันก็มักจะเป็นอย่างนั้นแหละ แม้แต่ว่ามารักษาศีลนี้ให้ได้บุญให้สวยให้รวยให้ถูกล็อตเตอรี่นี่ ให้ถูก ๓ ตัวนี่ อุตส่าห์รักษาศีลทำบุญทำทานอะไรต่างๆนี่ ถ้าอย่างนี้มันผิดเหตุผลที่แท้จริง รักษาศีลเหมือนเขาแต่ให้ถูก ๓ ตัว นี่คือผิดเหตุผลผิดต่อหลักเหตุผล มันก็เป็นไสยศาสตร์ไปหมด มันก็ลามเข้ามาถึงในขอบเขตของวัดของภิกษุนี่
เมื่อผมแรกบวชใหม่ๆ ก็ได้ยินเพื่อนภิกษุด้วยกันหลายรูป พอถึงวันอุโบสถไปลงอุโบสถ เอ้า,วันนี้ไปล้างบาปสักที ไปลงอุโบสถคือไปล้างบาปกันเสียสักที เขาพูดกันอย่างนี้ ลงอุโบสถทำอุโบสถก็เพื่อทบทวนสิกขาบท เพื่อให้รู้ว่าต้องอาบัติหรือไม่ต้องอาบัติ แต่เขาก็เชื่อว่าไม่รู้ล่ะ ลงไปนั่งร่วมอุโบสถจนเสร็จแล้วก็จะหมดบาปหมดอาบัติหมดอะไรเอง นี่เรียกว่าไปล้างบาป วันล้างบาป แม้อย่างนี้มันก็เป็นสีลัพพตปรามาส แม้เป็นเรื่องของพระและทำในวัดทำกับศีลทำกับวินัยทำกับสิกขาบท นี้มันก็ยังเป็นสีลัพพตปรามาส แม้ที่สุดแต่จะมาทำวัตรสวดมนต์เช้าสวดมนต์เย็นอย่างนี้ ถ้ามันมีความประสงค์เป็นอย่างอื่นนอกรีตนอกรอยไม่มีเหตุผล มันก็เป็นสีลัพพตปรามาสเหมือนกันแหละไม่ต้องสงสัย เว้นไว้แต่จะมารู้ความมุ่งหมายที่จริง เช่นว่าจะมาทำสมาธิในคำสวดหรือว่าจะให้ความจำมันแม่นยำขึ้น หรือว่าจะระลึกถึงพระพุทธองค์โดยพระคุณนั้นๆ ถ้าอย่างนี้แล้วมันก็ไม่เป็นไสยศาสตร์ แต่ถ้าหวังจะให้มันได้อะไรก็ไม่รู้ ให้มันศักดิ์สิทธิ์ ให้มันขลัง ให้มันนั่นขึ้นมาแล้ว มันก็ไม่พ้นที่จะเป็นสีลัพพตปรามาส
สรุปใจความสั้นๆ ว่ามันปฏิบัติศีลและวัตรผิดความประสงค์ที่ถูกต้อง ผิดความหมายที่ถูกต้อง ปฏิบัติศีลและวัตรต่างๆ ผิดความประสงค์ที่ถูกต้องคือไม่มีเหตุผล นี้ก็เป็นไสยศาสตร์ มันก็อยู่ในวัดอยู่ที่พระเณรนั่นแหละ มันก็เป็นไสยศาสตร์ คุณก็ดูเอาเองสิว่ามันยังมีเหลืออยู่ที่ไหนบ้าง เรื่องศาลพระภูมิ เรื่องหลักเมือง เรื่องอะไรต่างๆ นี้ มันยังเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อ้อนวอนขอร้อง ก็ได้ยินว่าที่กรุงเทพฯนั้นน่ะคนไปไหว้พระพรหมเอราวัณวันหนึ่งเยอะแยะ ไปโบสถ์วัดพระแก้วไม่กี่คน หาทำยายาก ไปศาลพระภูมิไปอ้อนวอนไปบวงสรวงวันๆ หนึ่งไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ จนเต็มไปด้วยเครื่องบวงสรวงอ้อนวอนช้างไม้อะไร นี่คือไสยศาสตร์สำหรับคนขลาด สำหรับคนหลับ สำหรับคนที่ไม่มีเหตุผล มันตรงกันข้ามจากวิทยาศาสตร์ ตรงกันข้ามเหมือนกับฟ้าและดินน่ะไสยศาสตร์กับวิทยาศาสตร์หรือกับพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์มันอยู่ในประเภทวิทยาศาสตร์ มีเหตุผลมีความจริงอะไรชัดเจนอยู่ แต่แล้วมันก็น่าหัวเราะที่แม้เมืองพุทธมันยังเต็มไปด้วยไสยศาสตร์ แต่บางอย่างมันก็เหมาะสำหรับคนปัญญาอ่อนสำหรับลูกเด็กๆ ถ้าเราพูดกันตรงๆ ที่นี่เราก็พูดได้ว่าเอาพระพุทธรูปไปสรงน้ำ นี่มันไสยศาสตร์ แต่มันมีประโยชน์แก่คนบางคน มันยังมีประโยชน์แก่เด็กๆ ยังมีประโยชน์แก่คนบางคน เพื่อจะให้มันมีศีลธรรม มีศีลธรรมต่ำๆ ง่ายๆ ให้มันยึดมั่นถือมั่นให้ศักดิ์สิทธิ์ในศีลธรรมในพุทธศาสนา ทีนี้มันก็เลยไปถึงว่าไม่ใช่สรงน้ำแล้ว มันทาแป้งให้ด้วย มันสรงน้ำหอมให้ด้วย แล้วมันเอาผ้าสีชมพูไปห่มให้ด้วยนี่ ดูสิ,มันทำกับพระพุทธรูป นี่มันเป็นไสยศาสตร์ น่าละอาย แต่มันยังมีผลประโยชน์กับเด็กเล็กๆ กับคนที่ยังไม่ประสีประสาอะไรจะได้รู้สึกสบายใจ เออ,กูก็ได้บุญ ก็นับถือพระพุทธเจ้ามากขึ้น มันก็มีของอาหารถวายพระพุทธรูปโดยเขาเชื่อว่าในพระพุทธรูปนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้อนรับที่จะ..., เขามีเอาไข่กับปลาร้าไปถวายพระแก้วมรกตโดยเชื่อว่าในนั้นมีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ชอบกินไข่กับปลาร้า นี่อย่างนี้มันก็มีความเป็นไสยศสาตร์ แต่มันพูดไปก็ไม่ได้เพราะมันเป็นเรื่องที่แน่นแฟ้นเกินกว่าที่จะไปคัดง้าง แล้วมันก็มีประโยชน์แก่คนบางคนที่ปัญญาอ่อนน่ะเขาจะได้แน่นแฟ้น แต่เราจะไปพูดที่นั่นไม่ได้หรอก ไปพูดมันกลายเป็นคนบ้าเลย เพราะมันมีคนเชื่อมากกว่า พูดที่นั่นมันพูดไม่ได้ พูดลับหลังแล้วพูดได้ พระพุทธรูปประจำโบสถ์บางโบสถ์กินคนบ้างไม่กินคนบ้าง พระพุทธรูปบางองค์ช่วยให้ลูกก็ได้ ที่สวนโมกข์พุมเรียงสวนโมกข์เก่าน่ะ พระพุทธรูปองค์นั้นน่ะศักดิ์สิทธิ์ถึงกับว่าไปขอลูกได้ คนที่ไม่มีลูกไปขอลูก แล้วก็มีพยานด้วย ๒-๓ คนก็ได้ลูก แต่ที่ไม่ได้คงจะมีแยะมันเงียบเสีย ส่วน ๒ คนมันได้ลูก พระพุทธรูปนั้นเป็นที่ให้ลูก ถ้าอย่างนี้มันก็เป็นไสยศาสตร์แม้จะเป็นพระพุทธรูป เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่มีเหตุผล สิ่งที่เข้าใจไม่ได้ สิ่งที่น่าหวาดเสียวน่ากลัว เช่นว่าฟ้าผ่า ฟ้าร้อง มันน่ากลัว คนป่าเขาก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาก็กลัวเขาก็ไหว้เขาก็หมอบกราบลงไป มีคนเขียนการ์ตูนล้อนักประวัติศาสตร์ คนน่ะไปหมอบกราบฟ้าผ่าฟ้าร้อง บนบานอย่างนั้นอย่างนี้ให้ปลอดภัย แต่วัวควายมันยืนเฉย หมาก็ยืนเฉย มันไม่ได้หมอบกราบอะไร นี่มันเป็นเรื่องที่คิดดูเถิด มันต่ำกว่ากันอย่างไรในการถือไสยศาสตร์
สรุปความว่ามันไม่เข้าใจ เป็นสิ่งที่ไม่เข้าใจ มันไม่มีเหตุผล มันทำไปด้วยความกลัว มันทำไปด้วยอวิชชา หรือบางทีผู้ใหญ่เขาเอาไว้หลอกเด็กให้มันเชื่อฟังให้มันหวาดกลัว ที่กรุงเทพฯเขาจะเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ ที่บ้านนอกแถวนี้เขาเรียกว่าโจ โจ มันก็ลาตัวผู้ มาหุ้มผ้าเข้าแล้วก็เอาปูนป้ายที่ด้านหน้านี้เป็นรูปกากบาทบ้างอะไรบ้างแล้วไปแขวนไว้บนต้นไม้ที่กำลังมีลูก ถ้าขโมยมาเอาแล้วมันก็ถูกโจ ก็ป้องกันได้มากเหมือนกันแหละ ขโมยโง่ๆ มันไม่กล้าเอา ผมเมื่อเด็กๆ ก็ไม่กล้าเอา ต้นไม้ต้นนี้มันแขวนโจแล้วก็ไม่มีใครกล้าเอา นี่เรียกว่ามันไม่ใช่ว่าจะไม่มีผลเสียเลย หรือถ้ามันเป็นเรื่องจิตวิทยาที่สูงสุด เขาใช้คาถาอาคมโดยผู้มีจิตวิทยาสูง คนใจอ่อนคนขวัญอ่อนเข้าไปในเขตนั้นจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ จะรู้สึกตามที่เขาทำไว้จริงๆ พวกยิปซี่,นู่นน่ะมีชื่อเสียงมาก แต่เดี๋ยวนี้มันก็เสื่อมหมดแล้ว วัวควายของเขาไม่มีโครขโมยได้ พอเข้าไปใกล้ๆ คอกควายมันก็จะตายเสียแล้วมันจุกหรือมันเป็นอะไร แต่เดี๋ยวนี้ไม่เป็นแล้ว ความเชื่อมันหมดไป เพราะความเชื่อที่โง่เขลาหมดไปไสยศาสตร์ก็หมดความหมายหมดแรงหมดกำลัง ที่เคยศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว นี่คือสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์สำหรับคนปัญญาอ่อน สำหรับคนที่เรียกว่ายังหลับอยู่ด้วยอวิชชาไม่มีปัญญาไม่มีวิชชา มันยังเหมือนกับว่าเป็นคนหลับอยู่
ทีนี้จะทำอย่างไรล่ะ เราเกิดมาจากท้องบิดามารดามันไม่มีสติปัญญานี่ มันไม่อาจจะรู้ได้เองนี่ เมื่อเขาหลอกอย่างนั้นก็ไปอย่างนั้น เมื่อเขานำไปอย่างไรก็ไปอย่างนั้น เรียกว่าพอคลอดออกมาจากท้องมารดาโตขึ้นมาก็เข้าไปในคอกของไสยศาสตร์ เข้าไปในบ่วงของไสยศาสตร์เพิ่มขึ้นๆ โดยไม่รู้สึกตัว ไสยศาสตร์ประจำบ้านเรือนนั่นแหละมาก่อนเสมอ พอจิ้งจกทักแล้วก็ไม่กล้าทำ มันจะออกไปบ้านออกจากบ้านไปไหน ถ้าจิ้งจกจ๊กๆ เวลาลงบันไดนั้น มันไม่กล้าไป มันหยุด นี่มันเป็นประจำบ้านเรือนประจำคนเสียอย่างนี้ พอลูกเด็กๆ คลอดออกมามันก็เข้าไปในคอกนี้ เชื่ออย่างนี้ แล้วก็พูดไว้มากมายก่ายกอง ไสยศาสตร์ทุกชนิดนี่มีซึ่งทำให้มีทั้งผลดีที่จะป้องกันอะไรได้บ้าง แล้วก็ผลร้ายที่ว่าโง่เขลา มันช่วยไม่ได้ ก็เป็นอันว่ามี มีมาๆ แล้วก็ค่อยๆไป ค่อยๆแก้ไขไป โตขึ้นก็หายไปจนกว่าจะเป็นอริยบุคคลมันก็หายหมดแหละไม่มีเหลือ ถ้ายังเชื่อในไสยศาสตร์อยู่ยังไม่เป็นอริยบุคคล แล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะตรงๆ กันไปทุกชาติทุกภาษาทั่วโลกไสยศาสตร์แบบนี้มีด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะที่ว่าในสิ่งนั้นๆ มีวิญญาณศักด์สิทธิ์สิงอยู่ ฉะนั้นประเพณีบนบานศาลกล่าวมันก็มีทั่วไปหมด มีทั่วไป
เดี๋ยวนี้มันก็มีปัญหาที่ว่าเอาพระพุทธรูปไปเป็นที่สิงสถิตแห่งวิญญาณเสียอีก มันแย่มาก เอาสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาไปเป็นไสยศาสตร์เสีย สิ่งที่ไม่มีเหตุผลไม่เข้าใจไม่ประกอบด้วยสติปัญญาเหล่านี้เป็นไสยศาสตร์ได้ทั้งนั้น เอาพระพุทธรูปมาทำเล็กๆ เแขวนคอนี่เชื่อว่าคุ้มครองบ้าง รวยบ้าง โชคดีบ้าง ยิงไม่เข้าฟันไม่ออกบ้าง เขาเอาพระพุทธรูปเอาพระพุทธเจ้าเอามาทำให้เป็นไสยศาสตร์เสีย นี่รู้ไว้ว่าถ้าเกิดเข้าไปในคอกนั้นแล้วก็ออกมาเสียเถิด ค่อยๆ ถอนตัวออกมาเสียเถิด ออกมาจากคอกของไสยศาสตร์ มันมาตามอำนาจของสัญชาตญาณ สัญชาตญาณนี้ควรจะรู้จักกันแล้วเพราะพูดกันมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ความรู้ความเข้าใจความรู้ความสามารถที่มันมีได้เอง หาได้เองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนต้องสอน สิ่งที่มีชีวิตแล้วก็มีสัญชาตญาณ สัญชาตญาณน่ะมีทั้งนั้น สัญชาตญาณแห่งความหวาดกลัว สัญชาตญาณแห่งการหนีภัย สัญชาตญาณแห่งการหวังพึ่งผู้อื่นให้สิ่งอื่นช่วย นี่ความโง่เหล่านี้มันนำเข้าไปสู่ไสยศาสตร์ ยึดถือเทวดาผีสางกระทั่งพระเป็นเจ้าช่วย,พระเป็นเจ้าช่วย ข้าพเจ้าช่วยตัวเองไม่ได้ ก็เป็นไสยศาสตร์ มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ถ้ายังเชื่ออย่างนั้นอยู่ มันก็ขวางกันอยู่กับที่จะดับทุกข์โดยวิธีของธรรมะ ธรรมะนี่มันจะล้างไสยศาสตร์แต่มันล้างไม่ออกเพราะว่าคนมันโง่ ถ้าล้างออกก็รอดตัวไป ใครสามารถใช้ธรรมะ ความจริงความถูกต้องความมีเหตุผลล้างความงมงายไปเสียได้ คนนั้นก็เรียกว่าเลิกถือไสยศาสตร์ เลิกไสยศาสตร์มาตามลำดับๆ จนไม่มีเหลือแหละ ไม่ประพฤติศีลและวัตรเพื่อประโยชน์แก่ความโง่อีกต่อไป จะได้ผลดีในทางกำจัดกิเลส ไสยศาสตร์มาจากสัญชาตญาณที่รู้สึกได้เองตามธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัญชาตญาณแห่งความกลัวน่ะ กลัวจนทำอะไรไม่ถูก มันก็คิดแต่จะพึ่งสิ่งอื่นไม่อาจจะคิดว่าจะช่วยตัวเอง นี่เป็นบ่อเกิดเป็นรากฐานของไสยศาสตร์
ทีนี้ต่อมาสติปัญญามันเจริญๆ มันเป็นภาวิตญาณ นั่น ซึ่งตรงกันข้ามกับสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันเกิดเองตามธรรมชาติ ภาวิตญาณนี้ต้องทำให้เกิดมี คุณจำคำ ๒ คำนี้ไว้สิ,มันมีประโยชน์มาก สัญชาตญาณเกิดเองตามธรรมชาติของสิ่งที่มีชีวิต ไปศึกษารายละเอียดเรื่องสัญชาตญาณเรื่องจิตวิทยาก็ได้ มันก็นำไปอย่างแบบสัญชาตญาณที่ว่าเขลาโง่ไปตามเรื่อง แต่พอมามีญาณอันใหม่ ทำให้มันเกิดใหม่ขึ้นมาเป็นภาวิตญาณ ก็รู้ตามที่เป็นจริงยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น ยิ่งขึ้น มันก็ถูกต้องยิ่งขึ้น ถูกต้องยิ่งขึ้น มันก็แก้ปัญหาได้มากขึ้น แก้ปัญหาได้สูงสุด มันก็เลยรอดตัว สัญชาตญาณนี่มันก็ต้องมี ถ้าไม่มีมันก็ไม่รอดชีวิตเหมือนกัน แต่มันอยู่ในระดับต่ำเพียงแต่รอดชีวิตหรือบางทีก็อยู่อย่างโง่เขลา มันก็ต้องพัฒนาต้องปรับปรุงให้เป็นภาวิตญาณขึ้นมา อันนี้มันก็เลยเป็นพุทธศาสตร์ ตั้งรากฐานอยู่บนสัญชาตญาณก็เป็นไสยศาสตร์ ตั้งรากฐานอยู่บนภาวิตญาณก็เป็นพุทธศาสตร์ และสิ่งเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจของเราโดยตรงนะ คุณไปสังเกตดู ตลอดเวลาในอนาคตข้างหน้าน่ะมันเกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งสองนี้ ถ้ายังโง่อยู่มันก็เป็นไสยศาสตร์ ถ้าฉลาดถูกต้องขึ้นมามันก็เป็นพุทธศาสตร์ ความเขลา ความโง่ ความกลัว ความอะไรที่ติดมาแต่เดิมนั้น มันยังไม่ออก มันยังไม่ออกไป มันก็จะต้องยุ่งยากลำบากใจตามสมควร เป็นนักวิทยาศาสตร์เรียนมาแต่เมืองนอกเมืองนา กลับมาถึงก็รดน้ำมนต์ กลับมาที่เมืองไทยสิ่งแรกนี่ที่ต้องทำคือไปหาวัดรดน้ำมนต์ ไม่ใช่ผมจะหลอก เป็นตัวจริงเรื่องจริงนะ อย่าออกชื่อกันเลยมันไม่ควรจะออกชื่อ เป็นนักเรียนเมืองนอกมา มีปัญญามีอะไรมา สิ่งแรกที่กลับเข้ามาก็คือหาวัดรดน้ำมนต์ รดน้ำมนต์นี่ยังจะต้องมีกันอยู่อีกนานอีกมากอีกนาน เพราะว่าแม้แต่ไปอยู่เมืองนอกถึงปริญญามาแล้วมันยังขอรดน้ำมนต์ คิดดูสิ แล้วทำไมชาวไร่ชาวนาชาวบ้านเขาจะไม่รดเล่า
นักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งเป็นเพื่อนกัน เขาจัดการแร่ทำแร่ เขาก็กลายเป็นฟลุคอะไรขึ้นมาก็ไม่ทราบ ต้องดูฤกษ์เอาแร่ลงเรือ เอาแร่ลงเรือต้องดูฤกษ์ไม่เช่นนั้นจะมีอุบัติเหตุ ไม่รู้จะพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ฟังดูคล้ายๆ จะเชื่อจริงๆ ต้องดูฤกษ์ดูยามเอาแร่ลงเรือ ฉะนั้นยิ่งรวยยิ่งมีเงินมากยิ่งอะไรมากก็ยิ่งต้องมีศาลพระภูมิ มันจึงต้องดูฤกษ์ยามไปเสียทุกกระเบียดนิ้วเลย ให้มันถูกฤกษ์ถูกยามแล้วมันจะไม่ผิดไม่พลาด นี่แม้จะร่ำรวยด้วยเงิน แม้จะร่ำรวยด้วยปริญญามันก็ยังละไสยศาสตร์ไม่ได้ ก็น่าสงสาร
เพราะฉะนั้นผมจึงพูดว่าระวังให้ดี ถ้าไปโดนกับมันเข้าแล้วก็ยังจะต้องเกี่ยวข้องกันอีกต่อไป ถ้าละไม่ได้มันก็ยังงมงาย ถ้ายังงมงายก็ไม่เป็นอริยชน ในพุทธศาสนานี้ก็เรียกว่าพระอริยเจ้า ถ้าไม่เป็นอริยเจ้าก็เป็นปุถุชนนะ ถึงแม้คำสากลของฝรั่งก็เหมือนกัน ที่มันเรียกว่าอารยชนผู้เจริญแล้วศิวิไลซ์แล้วน่ะ มันก็หมายถึงไม่โง่เง่าเรื่องเหล่านั้นเหมือนกันแหละ ถ้าเป็นอารยะๆ แล้ว ความโง่บางอย่างที่เคยมีมาแต่ก่อนโน้นมันต้องเลิกไปต้องละไป แต่บางทีมันก็ไม่หมดสิ้น เพราะมันไม่เป็นจริง มันเป็นแต่ชื่อเป็นแต่สมมุติ ถ้ามันจะเป็นอารยชนกันจริงๆ แล้วก็ต้องหมดสิ่งเหล่านี้ ซึ่งเป็นความเขลาเป็นความงมงาย เหลือแต่สติปัญญาอันแท้จริง ถ้ามันยังกลัวผีหรือมันกลัวจิ้งจกทักหรืออะไรนี้ ไม่ไหวแล้ว ยังไม่เป็นอริยชนขึ้นมาได้ แต่แล้วมันก็ยาก ยากเหมือนกัน ยังเชื่อโชคเชื่อลาง เมื่อไปเป็นความกันเรื่องเขาพระวิหารที่ศาลโลก ผู้แทนฝ่ายเราที่เป็นทนายขวัญเสียตั้งแต่วันแรกที่เขาออกไปฟังคำตัดสิน เพราะว่ากระจกรูปภาพมันตกลงมาแตกกระจายเมื่อจะลงบันได แต่แล้วมันก็จริงเหมือนกันคือแพ้ คนจะเชื่อถือมากขึ้นไปอีกนี่ แต่ความจริงมันไม่เกี่ยวกันหรอก ไสยศาสตร์มันก็ปลอบขวัญช่วยปลอบขวัญคนปัญญาอ่อนให้สบายใจ เมื่อไม่รู้จะพึ่งอะไรมันก็พึ่งสิ่งที่ไม่รู้ว่าอะไร พึ่งสิ่งที่เข้าใจไม่ได้ ก็ปลอบขวัญกันไปตามเรื่อง นี่มันยังจำเป็นในเรื่องที่เราเข้าใจไม่ได้ แม้จะเป็นสมัยวิทยาศาสตร์แล้ว แต่เรื่องธรรมชาติที่ยังไม่เข้าใจมันก็ยังมีอยู่มาก มันคำนวณกันว่าดาวดวงนั้นจะมา ดาวดวงนี้จะเข้ามาโคจรเข้ามา จักรวาลนี้จะเกิดเรื่องอย่างนั้นอย่างนี้ยังเชื่อกันอยู่มากมาย ดาวหางบ้าง ดาวอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ไม่รู้ ผมไม่จำเพราะผมไม่เชื่อ และไม่สนใจว่าดาวดวงไหนมันจะโคจรเข้ามาในจักรวาลนี้
นี่แม้แต่วิทยาศาสตร์ขนาดนี้แล้วมันก็ยังเชื่อ ทำนายด้วยเรื่องดาว ดาวพิเศษอะไรอย่างนี้ ๒-๓ วันนี้มันก็ยังพูดอยู่ที่มันเกิดเหตุร้ายเรือบินตกน้ำท่วม นี่มันก็ยังเชื่ออยู่อย่างนั้น,อยู่อย่างนั้น นี่ปัจจุบันนี้มันก็ยังเชื่ออย่างนั้นอยู่ เรือบินตกก็ยังเป็นเหตุของดวงดาวที่กำลังโคจรเข้ามา นี่มันโง่มาก ระวังไว้ดีๆ อย่าเข้าไปในคุกแห่งความโง่เลย ถึงแม้ว่ามันจะไม่กัดเอาเจ็บปวดหรือตายทันที แต่มันก็ทรมานจิตใจ เมื่อมีความโง่อยู่มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ ดับทุกข์ตามหลักพระพุทธศาสนาไม่ได้ถ้ามันยังโง่อยู่ นี่เอาความโง่อันนี้ออกไป ออกไป ออกไป แล้วมันก็จะมีความฉลาด มีญาณทัสสนะตามที่เป็นจริงมากขึ้นๆ แล้วก็จะดับทุกข์ได้
คุณจะเรียนธรรมะ เรียนพุทธศาสนามากมายเท่าไหร่ แต่ถ้ามันยังละสิ่งเหล่านี้ไม่ได้แล้วมันก็ยังจะต้องเท่าัเดิม เป็นการละอันดับแรกเสียด้วยนะคือความเป็นพระโสดาบัน เพียงแต่จะเป็นอริยเจ้าอันดับแรกเป็นโสดาบันยังต้องละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสน่ะ คือตัวไสยศาสตร์ ละไสยศาสตร์ไม่ได้ก็เป็นไม่ได้เป็นแม้แต่พระโสดาบันซึ่งเป็นขั้นต้นของพระอริยเจ้า จะเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไรถ้ายังถือวัตรปฏิบัติผิดความหมาย ผิดเหตุผล ผิดอะไรอยู่ แล้วก็มีอยู่ทั่วไปนอกพุทธศาสนามันก็มีอยู่ทั่วๆไป ว่าวัตรปฏิบัติอย่างนั้นจะทำให้บรรลุธรรมะสูงสุดแล้วแต่เขาจะเรียก อดอาหารบ้าง ไม่นุ่งผ้าบ้าง ทำอะไรแปลกๆ วิตถารพิสดาร เป็นสีลัพพตปรามาส เป็นความโง่ในระดับนั้น ถ้าละไม่ได้แล้วไม่มีหวังที่จะเป็นแม้แต่เพียงโสดาบัน ไม่ต้องพูดถึงอรหันต์ จะต้องหวาดผวาเรื่อยไปหวาดผวานั่นนี่อยู่เรื่อยไป แม้แต่จิ้งจกทักก็สะดุ้งหมดความไว้ใจตัวเอง
เป็นอันว่าเราจะต้องรู้สิ่งทั้งคู่นี้ คือไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ ถ้าจะอ้างถึงวิทยาศาสตร์มันก็รวมอยู่ในพุทธศาสตร์ คำว่าวิทยากับคำว่าพุทธะ ความหมายอันเดียวกันนะ วิทยาก็แปลว่ารู้ พุทธะก็แปลว่ารู้ พุทธศาสตร์ก็รู้ วิทยาศาสตร์ก็รู้ ส่วนไสยศาสตร์นั้นมันหลับนะ นี่ก็จะต้องรู้ไว้เพราะว่าเรากำลังเรียนธรรมะเพื่อจะละแม้แต่สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์ๆ เรียนธรรมะเพื่อจะละอวิชชาโมหะ สักกายทิฏฐิก็โมหะ วิจิกิจฉาก็โมหะ สีลัพพตปรามาสก็โมหะ โมหะ ๓ ตัวแรกนี้ต้องละก่อนเพื่อเป็นโสดาบัน กามราคะยังไม่ละ ต้องละอันนี้เหล่านี้ก่อนจึงค่อยละกาม จึงจะเป็นอนาคามี ละกาม นี่ไม่ถึงนั้นยังต้องละก่อนเพื่อเป็นแม้แต่เพียงพระอรหันต์ ฉะนั้นศึกษาไว้ให้ดีๆ อย่าให้เข้าไปในบ่วงคุกหรืออะไรของไสยศาสตร์เลย ด้วยภาษาศาสนาก็ไม่เรียกว่าเป็นอริยเจ้า ภาษาโลกๆ ก็เรียกว่ายังไม่เป็นอารยชน,ยังไม่เป็นอารยชน ยังไม่ศิวิไลซ์(Uncivilized) ยังบาเบเลี่ยน(Babilians) เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมะโดยตรง แต่มันเกี่ยวกันกับธรรมะ เพราะว่าธรรมะต้องการจะละเรื่องนี้หรือละสิ่งนี้ แล้วก็ยาก ยากที่มันจะละจะเลิกละกันได้เพราะว่าคนปัญญาอ่อนมันเกิดเพิ่มขึ้นมาเรื่อยไม่หมดไปจากโลก คนปัญญาอ่อนมันเกิดทยอยๆ กันมาไว้เรื่อยไม่หมดไปจากโลก ดังนั้นไสยศาสตร์ก็ต้องมีไว้เก็บไว้สำหรับคนปัญญาอ่อน เพราะคนปัญญาอ่อนมันก็จะมีมาเรื่อยไม่ขาดสาย ไปเลิกเสียมันก็ไม่รู้จะพึ่งอะไร คนปัญญาอ่อนเหล่านี้มันไม่มีที่พึ่ง มันก็จะลำบากมากขึ้นเหมือนกัน
ธรรมะมาขยายความหมายกว้างออกไป ไกลออกไปจนไปถึงจะแก้ปัญหาเกี่ยวกับไสยศาสตร์ ศาสตร์แห่งคนหลับ เมื่อเขาหลับอยู่เราก็ตื่นเถิด นี่มีพระพุทธภาษิตแนะไว้อย่างนี้ว่าเมื่อชนทั้งหลายเขาหลับอยู่ เราก็ตื่นเถิด ตื่นจากไสยศาสตร์นั่นเอง ตื่นจากอวิชชาความไม่รู้ในเรื่องนี้นั่นเอง ถ้ามิฉะนั้นมันก็ไม่ออกมาจากกองทุกข์ได้เพราะปัญญามันอ่อน มันออกมาไม่ได้ มันต้องปัญญาแก่กล้ามันจึงจะออกมาได้ ขอให้คิดดูให้ดีๆ ว่าเรากำลังมีไสยศาสตร์ครอบงำอยู่สักเท่าไหร่ แม้เป็นพระเป็นเณรเป็นพระแล้วนี่มันก็ยังมี คาถาอาคมส่วนใหญ่เป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้น พระเณรสมัยก่อนเรียนกันมากพวกคาถาอาคมวิเศษปาฏิหาริย์ ยังต้องเสกน้ำล้างหน้าอยู่ มันก็ยังไม่ออกมาได้หรอก ถ้ายังเสกน้ำล้างหน้าอยู่บ้าน จนบวชแล้วนี่ยังเสกน้ำล้างหน้าอยู่ นั่นรู้ไว้เถิดว่ามันยังไม่ออกมาจากคอกนั้น ถึงแม้ว่าจะเสกด้วยพุทธมนต์ก็เถอะ มันก็ยังเป็นไสยศาสตร์อยู่นั่นแหละ เช่นเดียวกับเอาพระพุทธรูปมาทำพระเครื่องแขวนคอให้มันเป็นไสยศาสตร์ เอาวัตถุในพุทธศาสตร์มาทำให้เป็นไสยศาสตร์ มันก็ละความกลัวไม่ได้ ยังต้องมีความกลัวยังต้องหวาดผวาอะไรอยู่บ่อยๆ เรื่อยไปไม่ใช่ความดับทุกข์ ไม่ใช่ความเยือกเย็นแห่งความดับทุกข์ ความสงบเย็นยังไม่มีเพราะอวิชชามันยังนั่นอยู่ กระตุ้นอยู่
ครั้งหนึ่ง ผมเมื่อยังไม่ได้บวชน่ะ ไปเลี้ยงวัว สมัครเลี้ยงน่ะ มันมีคนเลี้ยงมีคนขับเกวียนมีคนเลี้ยง เราสมัครเลี้ยง วันหนึ่งมันเลี้ยงเผลอเกินไปจนค่ำมืด มันจวนจะค่ำ ก็เอาวัวกลับบ้าน นี่มันผ่านป่าช้า มันกลัวผี มันจะค่ำอยู่แล้วมันกลัวผี เดือดร้อนมาก แต่มันก็ต้องเอาวัวมา ทีนี้วัวมันจะกินหญ้าในป่าช้า (หัวเราะ) เพราะมันมีมาก เพราะมันไม่ค่อยมีใครนี่ เราก็เอ๊ะ,นี่ทำไมหว่า เรามันโง่กว่าวัวหรืออย่างไรนี่ วัวมันไม่กลัวผี เรากลัวผี ละอายวัว คิดว่าเอ้อ,มันก็อย่าอวดดีไป ได้ยินว่าสุนัขมันยังไปขุดผีในป่าช้ากินนะ มันไม่ได้กลัวผี เราอยู่ที่บ้านยังกลัวผี รู้สึกละอาย ถ้าไม่หยุดไม่ยุติความปัญญาอ่อนโง่เขลาเหล่านี้แล้วมันยังไม่มีความสงบสุขที่แท้จริง มันถูกรบกวนด้วยความกลัวซึ่งมาจากความโง่ ถ้าไม่โง่มันก็ไม่กลัว มันไม่ต้องกลัวอะไรแม้แต่ความตาย ถ้ามีปัญญาญาณในพุทธศาสนาแล้วมันไม่กลัวแม้แต่ความตายนี่ มันไม่กลัวอะไรหมดแหละ ผีหรือยักษ์นี่มันจะทำอะไรได้มากกว่าตายล่ะ มันก็ทำไม่ได้ เราไม่กลัวความตายอย่างเดียว มีความรู้เรื่องอนัตตาอย่างถูกต้องอย่างเดียว มันก็ไม่กลัวอะไร ถ้ายังกลัวอะไรอยู่ แล้วก็รู้เถิดว่ามันยังไม่มีความรู้เรื่องอนัตตาถึงที่สุด ความรู้เรื่องอนัตตาที่ทำให้หายกลัวหายปัญหาทุกอย่างนี่ เรายังมีไม่ถึงที่สุด ฉะนั้นเรายังกลัวแม้แต่ผี บางทีไม่ได้ไปที่ไหน นึกเรื่องผีขึ้นมานึกภาพเรื่องผีขึ้นมา มันก็กลัวได้ในห้องนอนนั่นแหละ คิดดู มันโง่เท่าไหร่
เอาล่ะ,เป็นอันว่าวันนี้เราพูดกันเรื่องไสยศาสตร์กับพุทธศาสตร์ สรุปความว่าอันหนึ่งเป็นของคนหลับ อันหนึ่งเป็นของคนตื่น พุทธศาสนาไม่มีวี่แววแห่งไสยศาสตร์เพราะเราไม่ถือพระเจ้าไม่ถืออะไรศักดิ์สิทธิ์ทำนองนั้น ที่จริงพระเจ้าก็ไม่พ้นจากไสยศาสตร์ แต่อย่าพูดดีกว่า มันจะกระเทือนถึงศาสนาที่เขาถือพระเจ้า ถ้ายังไม่สูงสุดจนอยู่เหนือนั้น ถ้ามีความคิดในทางพึ่งผู้อื่นแล้วก็จัดเป็นไสยศาสตร์ได้ นี่ก็เป็นหลักสำคัญอันหนึ่งที่ควรจะจดจำไว้ให้แม่นยำ ถ้าไม่คิดพึ่งตัวเอง ไปคิดพึ่งผู้อื่นแล้วเป็นไสยศาสตร์ทั้งนั้นในความหมายของไสยศาสตร์ ไม่รู้จริงไม่มีเหตุผล คิดพึ่งผู้อื่นไม่คิดช่วยตัวเอง อ่อนแอแล้วก็เป็นไสยศาสตร์ นี่ช่วยทำความเข้าใจกันเสียแต่เดี๋ยวนี้แหละ นานไปข้างหน้าจะลาสิกขาหรือไม่ลาสิกขาก็สุดแท้แต่ ขอให้มันชนะเหนืออิทธิพลของไสยศาสตร์ที่เรียกว่าโมหะๆ ราคะหรือโลภะก็ละไป โทสะหรือโกธะก็ละไป แต่ในที่สุดที่มันละยากก็คือโมหะๆ นี่ หลงไม่รู้จริงว่าอะไรเป็นอะไรนี่ จึงฝากไว้เป็นข้อใหญ่ข้อหนึ่ง ให้พยายามคิดทำลายล้างให้มันเลิกละไปเสียให้ได้ คือเลิกละจากไสยศาสตร์ของคนหลับมาเป็นพุทธบริษัทเป็นของคนตื่น
คำว่าพุทธะๆ ตามภาษาธรรมดาภาษาชาวบ้านทั่วไปมันแปลว่าตื่น ตื่นนอนน่ะเรียกว่าพุทธะ มันหมายความได้ถึงรู้, รู้แจ้ง, ตื่น แล้วมันก็รู้แจ้ง รู้แจ้งแล้วก็กล้าหาญ เบิกบาน ผ่องใส ถ้ามันรู้แจ้ง ถ้ามันหลับมันก็งัวเงียมันก็ขี้ขลาดมันก็ซบเซา ไม่เบิกบานไม่แจ่มใส ยึดเอาความหมายของพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไว้ให้ได้เถิด แล้วมันก็ไม่มีไสยศาสตร์หรอก ให้รู้เป็นพุทธศาสตร์ สิ่งที่เรียกว่าพิธีนั้นเป็นไสยศาสตร์ สิ่งที่เรียกว่าวิธีนั่นน่ะเป็นพุทธศาสตร์ ทั้งที่มันเป็นคำเดียวกัน ภาษาบาลี ๒ คำนี้เป็นคำเดียวกัน แต่พอมาถึงเมืองไทยความหมายเกิดต่างกัน พิธีทำไปอย่างไม่ต้องมีเหตุผลสติปัญญาหรือทำตามพิธีให้ครบถ้วนเท่านั้น แต่ถ้าวิธี ต้องมีเทคนิคมีอะไรเฉพาะต้องทำให้ถูกจึงจะเป็นวิธี ฉะนั้นขอให้ถือเสียว่าถ้าพิธีแล้วก็เป็นไสยศาสตร์ ถ้าเป็นวิธีก็เป็นพุทธศาสตร์ ขอให้ยึดไปเป็นหลักไว้ให้แน่นให้แน่นอน ทำอะไรให้เป็นวิทยาศาสตร์ให้มีเหตุผล ก็จะก้าวหน้าๆ ในทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดาไปถึงจุดหมายปลายทางอยู่เหนือความยึดมั่นถือมั่นโดยประการทั้งปวง นี่เวลาหมดแล้วก็ขอยุติการบรรยายในวันนี้