แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในบัดนี้จะได้พูดต่อจากที่พูดค้างไว้ที่แล้วมาในหัวข้อ 13 ที่เกือบจะไม่เกี่ยวกับธรรมะอะไร สิ่งแปลกๆที่คนสนใจเราก็มีต้นไม้ที่เรียกว่าต้นสาระ ปลูกอยู่ที่หน้าตึกโรงมหรสพทางวิญญาณ ก็ขอให้ไปศึกษาสังเกตดูต้นสาระ จะเก็บเอาใบไปเป็นที่ระลึกสักใบก็ได้ กลับไปนี้ ต้นสาระเป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าประสูติใต้ต้นสาระ และนิพพานใต้ต้นสาระ ก็มีเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับต้นสาระอยู่บ่อยๆ เราก็ชอบจัดอุปมาด้วยต้นสาระในการแสดงธรรมบางอย่าง ถ้าเคยอ่านพระไตรปิฎกก็จะพบกับต้นสาระบ่อยที่สุด เป็นต้นไม้ตระกูลเดียวกับต้นรัง ต้นรังภาคอีสาน ภาคเหนือมีต้นรัง แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกันแท้ ก็มีผู้พบสังเกตเห็นว่าที่เรียกว่าไม้เปา ไม้เปานั้น ช่างเหมือนกับต้นสาระทุกประการ ไม้เต็งนั้นเราเรียกกันว่าไม้เต็งรังนั้น ไม่ใช่ต้นสาระ มันเป็นไม้ตระกูลเดียวกัน แต่ว่าต้นไม้เปานั้นเหมือนกับไม้สาระ และต้นสาระต้นนี้เอาพันธุ์มาจากอินเดียโดยตรง เอาไปดูเป็นที่ระลึกสักใบก็ได้ เอากระดาษหรือผ้าทับเข้า เอาเตารีดๆให้แห้งสนิทใส่กรอบไว้ดู คิดถึงพระพุทธเจ้าต้นสาระนี่ อาจจะไม่ได้สังเกตไม่ได้ดู พรุ่งนี้ไปดูต้นที่อยู่หน้าตึก นอกจากจะเป็นต้นไม้ที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าอย่างสำคัญแล้วก็เป็นไม่ที่ให้ผลทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งแก่ประเทศอินเดีย ก็ปลูกกันเป็นการใหญ่ ทำสวนต้นสาระ ปลูกกันเป็นการใหญ่ ไม้เนื้อแข็งทำหมอนรถไฟดีที่สุด เปลือกของสาระนี้ก็ใช้แทนนิลฟอกหนังดีที่สุด มีน้ำมันที่บีบออกมาจากเม็ดสาระก็แพงที่สุดถึงอย่างไรๆ จะใช้ทำอะไรไม่ได้ก็ใช้ทำฟืนได้ ไปอินเดียเห็นเขาขุดขึ้นมาขายหมดกระทั่งราก รากทุกรากทุกชิ้นมาเอามาชั่งขายเป็นไม้ฟืน ไม้สาระควรมีประจำวัดอย่างยิ่ง มันดีทั้งทางเศรษฐกิจและมีความหมายทางศาสนา เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า พูดตรงๆก็ต้องพูดว่าดีกว่าต้นโพธิ์ มีแต่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา แต่ไม่มีค่าทางเศรษฐกิจ ทางโลกต้นโพธิ์ใช้อะไรไม่ได้ แล้วก็ยังรังเกียจต้นโพธิ์ทำลายสิ่งก่อสร้าง ขึ้นไปงอกบนพระเจดีย์ บนหลังคาโบสถ์ เขาก็รังเกียจกัน ไม้สาระนี่ไม่มีเรื่องที่จะเป็นปัญหาอย่างนั้น ต้นโพธิ์ก็มีปลูกรวมไว้ ต้นสาระกลางสระนาฬิเก ต้นโพธิ์ ต้นมะพร้าวหมายถึงนิพพาน ต้นโพธิ์ต้นสาระปลูกรวมกันไว้ที่กลางสระนาฬิเก พรุ่งนี้ไปดู แต่ว่าต้นใหญ่ที่สุดอยู่ที่หน้าตึกโรงหนัง บัวใบใหญ่ใบโตจากอเมริกาใต้อยู่ที่ตรงนั้น และก็มีป่าไม้เสม็ดแดง ที่แดงร่าสวย เข้าไปเดินระหว่างต้นเสม็ดแดงแล้วมีความรู้สึกแปลกๆ เรียกว่าของแปลกๆ ต้นไม่แปลกๆ วัตถุแปลกๆหาดูได้ในสวนโมกข์
ที่นี้เรื่องที่ 14 อินเดียจำลอง ตั้งใจว่าจะจำลองประเทศอินเดีย เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่ประสูติ ตรัสรู้ ธรรมจักร นิพพาน มาใส่ไว้ที่นี้ให้สะดวก แล้วก็ไม่ได้ทำให้สำเร็จ ค้างอยู่ยังเป็นที่เตรียมอยู่อย่างนั้น เลยไม่ต้องพูด แต่ว่าจะทำให้ถ้าทำเสร็จจะทำให้สะดวกในการศึกษา มองเห็นจากที่สูงกว่าลงไปข้างล่าง เห็นภูมิประเทศว่า พระพุทธเจ้าได้ประสูติที่ไหน และเติบโตที่ไหน และตรัสรู้ที่ไหน และก็เดินไปทั่วๆชมพูทวีป ส่วนกลางของประเทศอินเดียอย่างไร มีประโยชน์อย่างนั้น ศึกษาพุทธประวัติ ก็ทำค้างยังไม่เสร็จ ไปดูก็ไม่เห็น คิดจะทำพิพิธภัณฑ์ กลางแจ้ง หินสลักพุทธประวัติวางแสดงไว้กลางแจ้งที่นั่นโดยรอบๆ ก็ยังไม่ได้ทำ
ข้อที่ 15 อบรมธรรมและสมาธิ เรื่องที่เราช่วยอบรมให้มี 2 ประเภท วิชาความรู้ธรรมะทั่วๆไปก็ต้องรู้หลักธรรมะ และอีกอย่างก็วิธีทำสมาธิอย่างไรนี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง มันคนละเรื่อง ควรจะรู้ทั้งสองเรื่อง ถ้าไม่รู้หลักธรรมะก็ไม่รู้จะไปทิศทางไหน เหมือนกับแผนที่ถ้าไม่รู้ก็ไม่รู้จะเดินกันอย่างไร แต่แล้วพอปฏิบัติสมาธิจริงๆก็เหมือนกับเดิน เดินด้วยจิตใจอบรมกันมาเรื่อยๆ จะเป็นกิจะลักษณะก็พวกฝรั่ง พวกฝรั่งก็พากันมาที่นี่เพื่อศึกษาธรรมะ ฝึกสมาธิ 2 เรื่อง มาทุกเดือน 10 วันต้นเดือน วันที่ 1-10 ยกให้พวกฝรั่งเขามากัน หลายสิบคนหรือบางเดือนก็ร้อยกว่าคน แต่ปกติก็หลายสิบคน บางเดือนก็อาจจะมากขึ้นไป ทำกับพวกฝรั่งนี่ก็เป็นที่น่าพอใจ บางอย่างที่เขาเอาจริง เขาอยากจะศึกษาจริงๆ ถ้าจะให้พูดเดี๋ยวก็จะโกรธ มันจริงกว่าพวกคุณที่เป็นคนไทย ฝรั่งที่มีความจริงใจที่จะศึกษาและปฏิบัติยิ่งกว่าคนที่เป็นคนไทย กว่าพวกที่เป็นคนไทย และบางคนก็เฉลียวฉลาด เรียนอะไรมามากเลยรู้ดีรู้ง่ายเข้าใจง่ายนี่ก็มีแต่ไม่ใช่ทุกคน เป็นบางคนเช่น อยากจะรู้เรื่องชีวิต รู้จักตัวเองคืออะไร รู้จักชีวิตใหม่ ชีวิตที่อยู่เหนือความทุกข์ เขามุ่งหมายกันอย่างนั้น พวกเราก็ควรจะมุ่งหมายอย่างนั้น ศึกษาธรรมะศึกษาศาสนาให้มันเป็นประเพณี ให้มันเป็นธรรมเนียม ศึกษากันอย่างประเพณีธรรมเนียมไม่ค่อยถึงตัวจริง แต่ถ้าจะพูดกันเสียใหม่ว่าให้รู้จักตัวชีวิตที่แท้จริงนี่อย่างหนึ่งว่าคืออะไร แล้วก็ให้รู้ว่าชีวิตใหม่ที่เรายังไม่ได้ไม่ถึงนี้ แต่ควรจะได้จะถึงนี้คืออะไร เราสรุปความสั้นๆให้เขาจำกันง่ายๆว่า ชีวิตที่อยู่อิทธิพลของความเป็นบวก ของความเป็นลบสมัยนี้เขาพูดกันอย่างนี้ พูดกันอย่างวิทยาศาสตร์ก็พูดว่าอย่างนี้ ชีวิตที่อยู่เหนือความเป็นบวกอยู่เหนือความเป็นลบ ความเป็นบวกทำให้เราหัวเราะร่าเริงยินดีเหมือนกับคนบ้า ความเป็นลบทำให้เราเสียใจ นั่งร้องไห้ น้ำตาไหล ตรงกันข้ามที่เรียกกันในภาษาธรรมะว่ายินดียินร้าย แต่ก็ไม่ชัดเจนอะไรนัก ยินดียินร้ายผิวๆเผินๆที่พูดว่าเป็นบวกเป็นลบไม่ได้ อย่างหนึ่งมันทำให้หลงระเริงเหมือนขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น อีกอย่างหนึ่งเหมือนตกนรกทั้งเป็น เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะพูดก็ไกลกันไปอีกก็ว่าไม่ดีไม่ชั่วเหนือดีเหนือชั่ว ที่ยิ่งไม่เข้าใจก็คัดค้านว่าทุกๆวันเขาสอนกันให้ทำดี ทำดีทำไมมาพูดกันว่าให้เหนือดีเสียอีก มันถูกอย่างยิ่ง มันต้องเหนือดีจึงจะสงบ นี่ยังชั่วยังดียังดียังชั่วมันไม่สงบ ไม่เกลี้ยงไม่ว่างไม่อิสระ อยู่ใต้ความหมายของคำว่าชั่วว่าดี ไม่อิสระต้องอยู่เหนือชั่วเหนือดี ภาษาบาลีก็พูดว่า เหนืออนิจจาและโทมนัส ไม่มีความรู้จะเอา ไม่มีความรู้สึกจะขัดใจไม่ได้หรือไม่เอา พูดอย่างสมัยปัจจุบันแล้วก็พูดกันว่าเหนือบวกเหนือลบ ให้สนใจกันไว้บ้างเถอะ มีชีวิตที่เป็นบวก ก็บ้าดี เมาดี หลงดี มีชีวิตที่เป็นลบก็กลัว ก็หดเหี่ยวเป็นทุกข์ ซบเซาไปเลย อันหนึ่งกระโดดโลดเต้น อันหนึ่งซบเซาไปเลย อย่าเอามันทั้งสองอย่างเลย เหนือบวกเหนือลบนั่นแหละคือชีวิตใหม่ที่รออยู่ข้างหน้า ดีใจก็คุณคิดดู ดีใจไม่ใช่ความสงบ ที่เราชอบกันนัก ดีใจสนุกสนานร่าเริง มันไม่ใช่ความสงบ มันฟุ้ง มันวุ่น มันบ้าชนิดหนึ่ง ไอ้ดีใจ ดีใจมากก็กินข้าวไม่ลงนอนไม่หลับเหมือนกัน น่าดีใจหรือเผอิญถูกล๊อตเตอรี่รางวัลใหญ่นอนไม่หลับไปหลายคืนนี่ดีใจ เสียใจก็ไม่ไหว เสียใจซบเซาเป็นทุกข์ทรมาน อย่าดีใจอย่างเสียใจนั่นแหละคือสงบ ไม่รบกวน เรียกว่าว่างก็ได้ ไม่รบกวน เรียกว่าอิสระก็ได้ ไม่เป็นทาสของอะไร ดีใจก็เป็นทาสของสิ่งเอร็ดอร่อยสนุกสนาน เสียใจก็เป็นทาสของสิ่งไม่สนุกสนาน ไม่เอร็ดอร่อย มันเป็นทาส ไม่ดีใจไม่เสียใจก็คือไม่เป็นทาสของอะไรอย่างนี้ เราเรียกกันว่าชีวิตใหม่ ซึ่งอบรมสั่งสอนท่านอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เขาต้องการชีวิตใหม่ พวกฝรั่งเขาเจริญด้วยวัตถุยิ่งกว่าเรา แล้วก็ไม่ประสบความพอใจ เรื่องไม่หยุดเรื่องวุ่นไม่หยุด อยากจะพบสิ่งที่มันสงบมันว่าง มันอิสระ หรือมันหยุด จึงมาศึกษาพระธรรม แล้วเป็นที่น่าพอใจไปบอกสอนต่อๆกันไป แล้วก็เรียนศึกษาเพิ่มเติมยิ่งขึ้น ฝรั่งอาจจะรู้ธรรมะดีกว่าผู้สอนธรรมะก็ได้ในอนาคต ถ้าเรายังปล่อยปละละเลย ปล่อยเอื่อยเฉื่อยอยู่อย่างนี้ก็น่ากลัวฝรั่งจะเป็นผู้สอนธรรมะในอนาคต
จงตั้งใจมาที่นี่เพื่อให้มีความรู้ธรรมะอย่างหนึ่ง แล้วก็รู้วิธีทำสมาธิฝึกฝนจิตให้เป็นจิตที่มีประโยชน์ที่สุดอยู่เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา เหนืออะไรต่างๆ เป็นความเยือกเย็นก็เรียกว่านิพพาน นิพพานกันที่นี่และเดี๋ยวนี้ เมื่อใดมีการดับไปแห่งสิ่งปรุงแต่งที่นั้นก็มีนิพพานน้อยๆนิดๆ จะไม่มีใครสนใจ พูดได้เลยว่าเมื่อใดมีการดับลงแห่งสิ่งปรุงแต่งเมื่อนั้นมีนิพพาน เรียกว่ามีอยู่ทุกหนทุกแห่งก็ได้ ทุกลมหายใจก็ได้ มันมีการเกิดดับอยู่ในชีวิตร่างกายนี้ตอนนี้ดับเป็นนิพพาน ตอนที่เกิดเป็นสังขาร เกิดดับเกิดดับ แต่มันน้อยๆไม่รู้สึกอะไร ไม่มีใครสนใจและมันไม่อร่อยสนุกสนาน เหมือนอย่างกามารมณ์ สนใจอยู่แต่เรื่องกามารมณ์ เรื่องความดับสงบเย็นเงียบนี่ไม่สนใจ ความสุขแท้จริงมันก็ใช้คำเดียวกับความสุขหลอกลวงจึงให้รู้ว่า ความสุขหลอกลวงก็มี ความสุขแท้จริงก็มี ความสุขที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งเป็นสังขาร เป็นเหยื่อล่อ ให้หลงรักก็เรียกว่าความสุข เหนือนั้นขึ้นไปอีก ก็ยังเรียกว่าความสุขเป็นความสุขที่แท้จริง ความสุขที่เหนือโลกเราจะรู้จักสิ่งนี้ได้ ก็สังเกตดูดีๆว่า เมื่อไรเราสบายใจที่สุด เพราะเมื่อมันเย็นเพราะไม่มีกิเลสที่เป็นไฟที่ร้อน กิเลสบางพวกให้ยินดี กิเลสบางพวกให้ยินร้าย เมื่อไม่มีทั้ง่ยินดียินร้ายมันว่างมันเย็น อย่าโง่อยู่อย่างเดิมว่าดีวิเศษที่สุด ก็คือเมื่อดีใจได้อย่างใจดีนั่นแหละความสุข มันเป็นการปรุงแต่ง เป็นการกระตุ้นให้จิตสงบเหนือนั่นขึ้นไปอีก เหนือดีใจเหนือเสียใจ ว่างให้มันเถอะสบายที่สุด ไปลองสังเกตดูเมื่อไรสบายที่สุด เมื่อนั้นก็คือว่างไม่มีดีใจไม่เสียใจ ไม่เป็นบวกไม่เป็นลบไม่เป็นทาสของอารมณ์ใดๆ นี่คือสิ่งที่เรามุ่งหมายอย่างยิ่งขวนขวายอย่างยิ่ง พยายามอย่างยิ่งที่จะอบรมสั่งสอน ตามหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าให้ทำสมาธิวิปัสสนาเพื่อสิ่งนี้ เป็นวิธีที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ไม่ใช่แบบใหม่ของอาจารย์ชื่อนั้นอาจารย์ชื่อนี้วัดนั้นวัดนี้เราไม่เอา เอาแบบที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้แบบเดิมในพระบาลี ที่เรียกว่า อานาปานสติ มาที่นี่ก็ศึกษาธรรมะ เรื่องหลุดพ้นกำลังพูดเรื่องอตัมมยตา การหลุดพ้นถึงที่สุด และก็ปฏิบัติสมาธิแบบอานาปานสติ ตามที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ ไม่ใช่แบบสวนโมกข์ ไม่ใช่แบบอาจารย์ไหน แต่เป็นแบบที่พระพุทธเจ้าได้สั่งสอนไว้ ท่านสรรเสริญ ท่านแนะนำ แบบนี้เคยประโยชน์แก่พระองค์เอง อาศัยแบบนี้แล้วก็ทำตรัสรู้ คือแบบอานาปานสติ นี้เรียกว่าศึกษาธรรมปฏิบัติสมาธิในหัวข้อว่า “ช่วยอบรมธรรมมะแก่ฝรั่ง” 10 วัน ทุกต้นเดือน ทำเป็นประจำโดยใช้หัวข้อนี้ ใครก็ได้ที่สนใจและจริง ต้องจริง จึงจะมีการกระทำที่สำเร็จประโยชน์ ถ้ามองเห็นประโยชน์โดยแท้จริงก็สนใจได้ ศึกษาได้ ปฏิบัติได้ เราก็ได้ช่วยเหลือกันต่อไป ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
ข้อ 16 ซากลำธารแห้งหมด ซึ่งเป็นผลของการทำลายป่า ถ้าลำธารอยู่ริมเขตสวนโมกข์ฝ่ายโน้น หลังวัดมาติกา ตั้งต้นมาจากข้างบน จนหายไปฝั่งโน้น แห้งไม่มีน้ำสักหยดเดียว มันแสดงว่า ครั้งหนึ่งมันเคยมีน้ำมาก เซาะลูกรังลงเป็นลึกๆ ลงเป็นช่องเป็นโพรง เป็นอะไร รอยน้ำเซาะน้ำลึก ผลของการทำลายป่า ไม่มีน้ำสักหยดเดียว ลำห้วยนั้นเรียกว่า ห้วยจีนตาย มันก็ตายไปแล้ว ทางนี้ก็มีห้วยธารน้ำไหล กำลังจะตาย กำลังจะตาย เมื่อมานี่น้ำเยอะแยะ 40 กว่าปีน้ำแห้ง ถึงฤดูแล้งก็แห้งหรือน้ำขุ่นใช้ไม่ได้ และกำลังจะต้องตายแน่ๆ เพราะป่าไม้ข้างบนโน่น ต้นลำธารมันถูกทำลายเรื่อยๆไป ไม่มีใครควบคุมไว้ได้ นี่ก็ปัญหาใหญ่ที่กำลังเกิดกับทางปักษ์ใต้ ทำลายต้นไม้ แม่น้ำลำธารแล้วมันก็มีผลร้ายอย่างนี้ เคยต่อสู้ก็สู้ไม่ไหว เพราะว่าเขาจำเป็น เขาไม่มีที่ทำกิน เขาว่าอย่างนั้น ก็ต้องเอาที่ทำกินเขาต้องทำลายผ่าไม้ต้นน้ำลำธารมันก็แห้ง จำไว้ว่านี่คือปัญหาของมนุษย์ผู้ทำลาย สิ่งที่ธรรมชาติสร้างไว้ หรือพระเจ้าสร้างไว้ พวกฝรั่งเขาเชื่อพระเจ้าเขาก็พูดว่า พระเจ้าสร้างไว้มนุษย์ทำลาย เราเป็นชาวพุทธไม่มีพระเจ้าก็ธรรมชาติสร้างไว้ และมนุษย์ก็ทำลาย มันทำลายอย่างที่ไม่รู้ว่าสักเท่าไรเท่าไรมาแล้ว หลายพันปีมาแล้ว ที่มนุษย์ได้ทำลาย เดี๋ยวนี้ยิ่งทำลายใหญ่ ยิ่งทำลายมาก จนทะเลจะเน่า ฟังข่าวดูแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะเน่าในอีกไม่กี่สิบปีร้อยปีข้างหน้า ต่อไปทะเลก็จะเน่าเพราะการทำลายของมนุษย์ มนุษย์ทำลายสิ่งที่ธรรมชาติสร้างหรือพระเจ้าได้สร้างไว้มาที่นี่ก็มาดูซากลำธาร 2 แห่งนี้ว่ามันกำลังเป็นอยางนั้น เป็นเรื่องทางการบ้านการเมือง แม้ไม่ใช่ธรรมะโดยตรง แต่จะพูดให้เป็นธรรมะก็ได้ คือความโง่ของมนุษย์ทำลาย ความเห็นแต่ตัวของมนุษย์ มันทำให้เกิดการพูดนอกเรื่องหน่อยได้ไหม น้ำท่วมใหญ่คราวนี้เป็นผลของการเห็นแก่ตัวทั้งนั้นเลย ต้นน้ำลำธารที่ดีที่สุดมันมีอยู่ มันรู้อยู่ว่าเป็นต้นน้ำลำธารสำคัญมาก ความเห็นแก่ตัวก็ทำให้ กูจะเอาตรงนี้ กูจองตรงนี้ มันเห็นแก่ตัว จะขอสัมปทานตรงนี้ การอนุญาตก็เรื่องเห็นแก่ตัวอยู่เบื้องหลังอนุญาต ทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นต้นไม้ต้นน้ำลำธาร มันก็อนุญาตให้ทำ ได้อนุญาตมาแล้วก็ทำอย่างเห็นแก่ เห็นแต่ตัวก็เกิดผลอย่างนี้ น้ำท่วมแล้วก็ไม่เห็นช่วย ความเห็นแก่ตัวนี้ก็ยังสืบต่อการช่วยนี้ก็ยังมีเรื่องเห็นแก่ตัวแทรกแซง มันเป็นเรื่องไม่น่าพูด ไม่ควรจะพูดแต่ก็พูดได้เพราะการช่วยนี้มันมีความเห็นแก่ตัว ทำให้ไม่เรียบร้อยมียักยอกมีอะไรต่างๆนานา หรือกระทั่งขี้เกียจไม่อยากจะช่วย นี้ก็เรื่องเห็นแก่ตัว ตั้งต้นด้วยความเห็นแก่ตัวจบลงด้วยความเห็นแก่ตัว นี้เป็นเรื่องธรรมะ ส่วนเรื่องนี้จะต้องรู้ไว้ว่าความเห็นแก่ตัวนี้ทำลายล้างไม่ว่าอะไร พุทธศาสนาสอนไม่เห็นแก่ตัว โดยสอนว่ามันไม่มีตัว มันไม่มีตัว ถ้าเห็นความไม่มีตัวแล้วมันก็จะเห็นแก่ตัวไม่ได้ เพราะมันไม่มีตัวจะเห็น ขอบคุณพระธรรม พระพุทธศาสนาสอนเรื่องไม่มีตัว เราก็ต้องไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นมา ความเห็นแก่ตัวกำลังทำลายล้างความสงบสุขทุกอย่างทุกประการในโลกนี้ ท้าทายให้ไปดูไม่ว่าเรื่องอะไร ถ้าเป็นเรื่องร้ายมันก็มาจากความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น เห็นแก่ตัวอยู่คนเดียวก็เป็นทุกข์อยู่คนเดียว เห็นแก่ตัวไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่นผู้อื่นก็ต้องเป็นทุกข์ เป็นทุกข์กันทั้งโลก มนุษย์โลกกำลังจะวินาศเพราะความเห็นแก่ตัวที่มันมากขึ้นมากขึ้น
ข้อ 17 โบสถ์แบบพุทธกาลที่ดีที่สุด ข้อนี้ต้องขึ้นไปดูถึงจะเข้าใจ ขึ้นไปดูโบสถ์ที่อยู่ยอดเขาพุทธทองว่าเป็นอย่างไร เขายืนยันว่านี้ตรงตามพุทธประสงค์ที่สุด เป็นแบบอย่างพุทธกาลที่สุด และก็ไม่ทำลายเศรษฐกิจของประเทศชาติเลย ไม่ต้องลงทุนกี่บาทกี่สตางค์ เดี๋ยวนี้จะสร้างโบสถ์เขากำหนดไว้ 10 ล้าน 15 ล้าน ถ้าสร้างโบสถ์เดี๋ยวนี้ ของเรามีอย่างนั้นดีที่สุด ไม่ทำลายเศรษฐกิจ ตรงตามธรรมวินัย ตามพุทธประสงค์ดีที่สุด แต่ไม่มีใครเอาอย่าง ก็มาเห็นแล้วก็บุ้ยหน้าบุ้ยปาก ไม่พอใจไม่เลื่อมใสไม่เอาอย่าง โบสถ์ของเราดีที่สุดแต่ไม่มีใครเอาอย่าง ก็ให้ขึ้นไปดูมาแล้วขึ้นไปดูโบสถ์ของที่นี่ จะเกิดความคิดถึงที่ว่า พระพุทธเจ้าได้ทำอะไร ก็มีเรื่องเศรษฐกิจ ไม่มีเรื่องยุ่งยากลำบากไม่มีเรื่องโกลาหลวุ่นวาย เราทำนอกรีตไปเอง ครั้งพุทธกาลโบสถ์ไม่มีความหมาย ไม่ได้สร้างด้วยซ้ำไป คือเป็นที่สำหรับนั่งทำกลางดิน ทำกลางดินก็ได้ ในบาลีมีว่าถ้าฝนตกเลิกทำสังฆะกรรม เพราะมันไม่มีหลังคา แต่ถ้ามีโรงมีเพิงมีหลังคาอะไรก็ได้ใช้ก็ที่อยู่ที่อาศัยวิหารที่อยู่อาศัย บางเวลาก็จะใช้เป็นโบสถ์นี่ต้องสร้างอีกหลัง นี่ก็นิยมสร้างไว้เป็นเอกเทศก็เอากันอย่างนี้ เป็นที่กำหนดว่านี่เขตสีมาอย่างไร ต้องใช้สิทธิกันอย่างไร มีฉันทะอย่างไรที่จะให้พร้อมเพรียงกันลงมติข้อใดข้อหนึ่งทำกันในสีมา มันกว้างขวาง ในที่นั่งประชุมก็เรียกว่าโบสถ์ ขอฝากไว้ด้วยว่าไปดูโบสถ์นี้ แล้วก็ไปดูเปรียบเทียบทั่วๆไปในประเทศนี้ว่ามันต่างกันอย่างไร จึงขอยืนยันว่ามันถูกต้องตามพุทธประสงค์ ตามธรรมตามวินัยในแบบครั้งพุทธกาลไม่ทำลายเศรษฐกิจไม่ต้องใช้เงินเป็นสิบๆล้าน แล้วก็ทำประโยชน์อะไรไม่ได้มากไปกว่านั่งพูดซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ที่อย่างนั้นมันก็ได้ เรียกว่าชอบกลเล่นตลกกันอย่างไรอยู่ก็ไม่รู้ สิ่งที่ไม่เคยมีในครั้งพุทธกาลอย่างโบสถ์ โบสถ์ไม่เคยมีในครั้งพุทธกาลมันก็มีได้ในบัดนี้ในยุคนี้ยิ่งกว่าสิ่งใดในวัดวัดหนึ่ง เอาโบสถ์เป็นหลัก เป็นใหญ่กว่าสิ่งใดในวัดวัดหนึ่ง ซึ่งมันไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล สิ่งที่เรียกว่าโบสถ์ โบสถ์ก็อย่างนี้มันไม่เคยมีในครั้งพุทธกาล คุณช่วยรู้ไว้ด้วย
ข้อ 18 ลักษณะและประโยชน์ของวัดป่า วัดป่าต้องมีลักษณะอย่างนี้ และประโยชน์ก็จะได้รับจากการที่จัดมันอย่างนี้ ที่จริงคำว่าวัดบ้านวัดป่านี้มันก็เพิ่งมีในสมัยนี้ สมัยก่อนเป็นวัดป่าทั้งนั้น เพราะสิ่งที่เรียกว่าวัด วัดอยู่นอกเมืองทั้งนั้นแหละในสมัยพุทธกาลเมืองก็มีกำแพงล้อมรอบ พอค่ำลงก็ปิดประตูเข้าออกไม่ได้บรรดาที่เรียกว่าวัดหรืออารามสำหรับพระพุทธเจ้าหรือนักบวชทั้งหลายก็อยู่นอกเมืองทั้งนั้น ก็เป็นวัดป่าด้วยกันทั้งนั้น รุ่งเช้าเขาเปิดประตูเมืองเข้ามาบิณฑบาตในเมือง และก็กลับไปอยู่นอกเมือง ในอารามในวัดก็เป็นวัดป่าทั้งนั้น แต่จิตใจมันผิดกัน อยู่ในเมืองกับอยู่ในป่า จิตใจมันผิดกัน แวดล้อมอยู่ด้วยธรรมชาติด้วยต้นไม้จิตใจมันผิดกัน มันเป็นที่สงบสงัดกว่ากัน ดังนั้นนักบวชบรรพชิตทั้งหลายจึงอาศัยอยู่นอกเมืองคือในป่า แต่เดี๋ยวนี้วัดมันกลายเป็นวัดในเมืองวัดในบ้าน วัดกลางบ้าน วัดบางวัดดูไม่ออกว่าเป็นวัด แน่นอัดกันอยู่กับประชาชนแต่ก็ยังเรียกว่าวัด พอมาอยู่ในป่าในวัดป่าก็กำหนดจิตใจระลึกถึงครั้งพุทธกาล ครั้งพระพุทธเจ้าท่านอยู่กันอย่างไร อยู่กับธรรมชาติเป็นเกลอกับธรรมชาติ ป่าเป็นที่พอใจของผู้ที่ต้องการความสงบ เพราะมันทำจิตใจหรือสมาธิได้ง่ายกว่าในเมือง ในเมืองก็ทำได้แต่มันลำบากกว่า เก่งมากแล้วจึงจะทำได้ในเมือง ในกลางโรงละครทำสมาธิในกลางโรงละครก็นับได้ว่าเก่งมาก ทำสมาธิในป่ามันสะดวกง่ายกว่าทำสมาธิในโรงละคร มันเป็นอย่างนั้น ประโยชน์ของป่า เราจึงพยายามรักษาธรรมชาติหรือความเป็นป่าไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จะได้เป็นวัดในความหมายธรรมดาธรรมดาของครั้งพุทธกาลนั้นเรียกว่าวัดก็หมายความว่าวัดอย่างนี้ คือวัดป่า ลักษณะของวัดป่าก็อยู่กันอย่างป่าๆ ประโยชน์ของมันก็คือช่วยให้สะดวกในการที่จะฝึกฝนจิตใจ มันง่ายกว่ามันสะดวกกว่าที่บ้านก็ทำได้แต่มันไม่สะดวกและถ้าเก่งก็ทำบ้านให้เป็นป่า หลับตาเสียสมมุติเป็นป่าก็ทำสมาธิที่บ้าน ก็ทำได้ก็ได้เหมือนกัน และก็เก่งด้วย แต่ที่ในบ้านมันเต็มไปด้วยเสียงหนวกหูนานาประการ เสียงรถยนต์เสียงอะไรต่างๆหนวกหูไปหมด มันลำบากกำจัดไม่ได้ ห้ามมันไม่ได้ก็ลำบาก สู้ในป่าไม่ได้ แต่ก็ขอร้องว่าถ้ามันไม่ได้มาป่าไม่ได้ออกมาป่าไม่ได้อยู่ป่าก็อย่าเสียใจ พยายามปิดหูปิดตาปิดความรู้สึกเสีย ทำให้เสมือนหนึ่งป่าก็ทำสมาธิแม้ในห้องนอนเมื่อถึงเวลาทำสมาธิ ก็ทำให้เป็นป่า ก็อุตส่าห์จำไว้ว่ามาที่ป่าแล้วมันเป็นอย่างไร ก็จำความรู้อันนี้กลับไปบ้านก็สามารถที่จะทำบ้านให้เป็นป่าได้ตามสมควร ไม่เหลือวิสัยจำความสงบที่ได้รับจากป่าไปใช้ที่บ้าน ลองดูจะมีประโยชน์แล้วก็จะเก่งด้วย ผู้ที่ทำจิตได้ดีได้เก่งก็สามารถที่จะทำได้ด้วยจิตใจ กลางคืนก็ทำให้เหมือนกลางวัน กลางวันก็ทำให้เหมือนกลางคืน ก็ทำได้ นั่งอยู่กลางแดดก็ทำให้เสมือนหนึ่งนั่งอยู่กลางคืนในที่มืดก็ทำได้ถ้าจิตใจมันฝึกไว้ดี ทำป่าให้เป็นเมืองทำเมืองให้เป็นป่าได้โดยจิตใจ นี่ก็ไม่ต้องยอมแพ้ บางคนยึดมั่นถือมั่นว่าในบ้านในเมืองสมาธิไม่ได้ ก็ไม่ทำเสียเลยก็เลยไม่รู้เรื่องเสียเลย อย่ายอมแพ้ พยายามทำตามที่จะทำได้ ได้ตัวอย่างไปจากป่าแล้วไปทำที่ในเมืองให้เหมือนป่า นี่ประโยชน์ของป่าก็มีอย่างนี้ บางทีมันจะง่ายเกินไปก็ได้ไม่เข้มแข็ง ไม่แก่กล้า ต้องป่าต้องป่าต้องป่ามันก็ถูกอย่าง มันก็ยังไม่เก่งเท่าไร ก็ต้องป่าทั้งหมด สามารถทำให้เป็นป่าได้ทุกหนทุกแห่งนั่นแหละเก่ง เก่งที่สุด เราก็ยังมีป่าไว้สงวนป่าไว้เพื่อความสะดวกอย่างนี้ อย่างที่กล่าวนี้ มันไม่ต่อสู้มันไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องอะไรมากมายมันก็เงียบสงัดอยู่กับความเงียบความสงัดได้ง่ายๆไม่ต้องลงทุนไม่ต้องฝืน ลักษณะและประโยชน์ของวัดป่า
ข้อ 19 ฟังต้นไม้พูด ฟังก้อนหินพูด ข้อนี้น่าหัว คนเขาไม่เข้าใจเขาหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆว่าต้นไม้พูดว่าก้อนหินพูด เราหมายความว่าความรู้สึกคิดนึกอะไรมันเกิดขึ้นเมื่อเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับก้อนหินหรือต้นไม้คือในที่สงัดและไปนั่งโคนไม้ ความรู้สึกแปลกใหม่เกิดขึ้นมา เป็นการบอกของต้นไม้ หรือไปนั่งกับก้อนหินเกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมา มันก็เหมือนกับก้อนหินมันบอก ถ้าได้ยินมันก็จะได้ยินว่า “อย่าบ้าไปนัก อย่าโง่ไปนักพวกแก นิ่งๆสงบอย่างฉันเสียบ้างซิ” ก้อนหินมันพูดอย่างนี้ ต้นไม้มันพูดอย่างนี้ใครได้ยินบ้าง เพราะจิตมันไม่สุขุมมันไม่ได้ยินคือมันไม่เกิดความรู้สึก ถ้าเดินไประหว่างก้อนหิน ไประหว่างต้นไม้มันก็รู้สึกละอายต่อต้นไม้ว่านี่เป็นสงบ เรามันวุ่นวาย ละอายมันอย่างนี้เรียกว่า ได้ยินก้อนหินพูดได้ยินต้นไม้พูด หรือได้ยินก้อนหินมันด่า ต้นไม้มันด่า มนุษย์นี่ไม่รู้จักสงบเยือกเย็นเสียเลย แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจอย่างนี้ และก็มีจำนวนมากเสียเหลือเกินต้นไม้พูดได้ก้อนหินพูดได้มันก็เลยขอเลข 3 ตัว ของเลข 3 ตัวจากก้อนหินต้นไม้ มันเป็นไปเสียอย่างนั้น เตลิดเปิดเปิงไปเสียอย่างนั้นเลยไม่สำเร็จประโยชน์อะไร ก็คุณดูเองเปรียบเทียบดูเอง เมื่อไปนั่งที่ต้นไม้โคนไม้กับก้อนหินเย็นสนิทความคิดมันคนละอย่างกับนั่งอยู่บนบ้านบนเรือน หรือที่ที่อัดแอหรือกลางที่ประชุม ที่ประชุมพูดจากันหลายๆคนอย่างนี้ความคิดไปอย่าง พอไปนั่งก้อนหินเดี่ยวๆต้นไม้เดี่ยวๆ ความคิดมันก็อีกอย่าง ความคิดอะไรที่แปลกใหม่อย่างนี้เราถือว่าเป็นสิ่งที่ได้ยินมาจากก้อนหินพูด ต้นไม้พูด สรุปความแล้วมันก็พูดว่าอย่าบ้ากันไปนักเลย สงบกันเสียบ้าง หยุดกันเสียบ้าง เย็นกันเสียบ้าง นี่มันเตือนอย่างนี้ ถ้าเกิดความรู้สึกอย่างนี้ละก็จะดีมาก เรียกว่าได้ยินกินหินได้ยินต้นไม้ที่สวนโมกข์พูด พูดแล้วก็ได้ยิน เดินไปที่ตรงไหน มีต้นไม้มีก้อนหินเยือกเย็นเงียบ และก็สงัดดีก็นั่งลงตรงนั้นแล้วก็จะได้เกิดรู้สึกขึ้นมาในใจ เรียกว่าก้อนหินหรือต้นไม้มันบันดาลให้รู้สึกขึ้นมาในใจ คล้ายๆกับว่ามันบอกมันบอก อาตมาก็ใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี่ไปนั่ง ไปเดินอยู่ที่นั่น วงเวียนอยู่ที่นั่น ไปนั่งอยู่ที่นั่นสงบอยู่ที่นั่นมันก็เกิดความคิดใหม่หรือแปลกกว่าที่นั่งอยู่ในห้องแปลกกว่าที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือโดยเฉพาะ หาโอกาสไปนั่งในที่ชนิดนั้นเกิดความคิดอะไรแปลกๆใหม่ๆมีค่ามากก็ต้องจด เดี๋ยวมันลืมไม่มีที่จดก็จดใส่ฝ่ามือมาเลย หัวข้อที่คิดได้อย่างลึกซึ้งจดใส่ผ่ามือมาเลยมาถึงที่กุฏิแล้วจึงค่อยเขียน เป็นเรื่องเป็นรูปของมันอย่างนี้มีมากที่สุดความคิดความนึกที่ได้เอาไปพิมพ์ เป็นตัวหนังสือมันมากมายมหาศาลได้มาจากการกระทำอย่างนี้มันมากที่สุดขอบอกให้รู้ คือไปฟังมาจากก้อนหินไปฟังมาจากต้นไม้ ไปฟังมาจากธรรมชาติ จากมดจากแมลงจากดินจากใบไม้แห้งจากขี้หมาก็ได้ มันได้เกิดความรู้สึกอะไรขึ้นมาแล้วนั้นก็เรียกว่าได้ยินมันพูด ขอให้ใช้ประโยชน์ฟังก้อนหินพูด ฟังต้นไม้พูดตามที่จะทำได้ นี่คือศึกษาโพธิสัตวะธรรม ธรรมะของโพธิสัตว์ เผอิญเรามีรูปโพธิสัตว์อยู่ที่สนามหญ้าอยู่ตรงนั้น ธรรมะของโพธิสัตว์นี้เป็นธรรมะของผู้เสียสละ ผู้ไม่เห็นแก่ตน โพธิสัตว์ที่แท้จริงมีความหมายอย่างนั้น เตรียมตัวจะเป็นพระพุทธเจ้าก็เตรียมตัวทำลายตน ทำลายความเห็นแก่ตน หมดตัวตนเมื่อไรก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า โพธิสัตว์คือสัตว์ที่กำลังปลูกเพาะโพธิ์ โพธิคือโพธิปัญญาสำหรับจะตรัสรู้นั้นเป็นเสมือนกับเมล็ดพืช ติดมาในจิตใจของทุกคน แต่โดยมากไม่ได้เพาะ แห้งตายหายสูญไปไม่ได้เพาะให้เป็นต้นก็ออกมาเพาะให้มันเกิดเจริญงอกงามออกไปให้เป็นเรื่องเป็นราวก็เรียกว่าเพาะปลูก เมล็ดพืชแห่งโพธิ์ ให้เป็นต้นโพธิ์ขึ้นมาแล้วก็รู้แล้วคนนั้นก็เป็นโพธิ์สัตว์ สำหรับจะเป็นพระพุทธเจ้า ตามแบบเถรวาทเรา ฝ่ายมหายานเขายังไปไกลกว่านั้นมีแต่ว่าจะช่วยผู้อื่น จะช่วยผู้อื่นโดยตั้งสัจจาธิษฐานว่าถ้ายังมีมนุษย์เหลืออยู่คนเดียวในโลกก็ยังไม่ยอมนิพพาน จะคอยช่วยอยู่อย่างนั้น ฟังแล้วดูมันจะมากเกินไปก็ได้ แต่ท่านว่าเป็นอุบายเป็นอุบายให้มีความคิดอย่างนั้น ก็ได้เหมือนกันมันไม่บ้าบออะไร แต่ถ้าถือเอาตามตัวหนังสือตรงๆมันก็คล้ายกับบ้าบอชนิดหนึ่ง เมื่อคนมันเกิดออกมาเรื่อย แล้วมันจะสิ้นสุดได้อย่างไร พระโพธิสัตว์ก็ไม่ต้องนิพพาน คอยเฝ้าคนสุดท้ายอยู่ แต่เอาเถอะขอให้คิดว่าก็ยังเห็นแก่ตัวกูตัวกูตัวกูอยู่แล้วมันก็ไม่มีวันนิพพาน ถ้าสลัดความเห็นแก่ตัวกูออกไปออกไปหมดเมื่อไรก็เป็นพระอรหันต์ได้ นิพพานได้ นิพพานอย่างพระอรหันต์ก็ได้ นี่โพธิสัตว์ก็คือความหมายที่ว่าจิตใจกว้างไม่เห็นแก่ตัว สรุปธรรมะสำคัญๆสำหรับพระโพธิสัตว์ออกมาได้คือ สุทธิปัญญา เมตตาขันตี โพธิสัตว์ต้องมีสุทธิคือจิตบริสุทธิ์ เจตนาบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ ไม่หลงใหลในกามารมณ์ ไม่หลงใหลในเหยื่อล่อทั้งหลาย ปัญญาก็มีปัญญารู้สิ่งที่ควรจะรู้ ไม่ต้องรู้ทั้งหมด แต่รู้ทั้งหมดที่ควรจะรู้ ที่ไม่ควรจะรู้ก็ไม่ต้องรู้ เรียกว่ารู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้ พยายาม การตรัสรู้พระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน คือสัพพัญญูรู้ทุกอย่างคือทุกอย่างที่ควรจะรู้ ที่ไม่จำเป็นไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์ไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เอาพระพุทธเจ้ามาขับรถยนต์เดี๋ยวนี้ไม่ได้ ไม่ได้เรียน ถ้าเกี่ยวกับความดับทุกข์อย่างไรท่านรู้ รู้หมดไม่มีเหลือ รู้ครบถ้วนแยบคาย โพธิสัตว์มีปัญญารอบรู้เพียงพอที่จะตรัสรู้แล้วเมตตา เมตตาสำคัญไม่เห็นแก่ตัวนี่เมตตารักผู้อื่นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ความเมตตานี้มันแปลว่าความเป็นมิตร มิตรภาพนั่นแหละเมตตา เห็นทุกคนที่มีชีวิตเป็นเพื่อนไม่มีศัตรู เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตายกันทั้งนั้น มันก็เลยมีความเมตตา เมื่อมีเมตตาและมันก็กรุณาและมันก็ลากมาเอง มีความเป็นมิตรรักใคร่เอ็นดู และความที่จะช่วยมันต้องมีเป็นธรรมดา จึงไม่ค่อยพูดถึงคำว่ากรุณา เพราะเอามารวมไว้ในเมตตา มุทิตาก็เหมือนกัน เมื่อรักก็พลอยยินดีด้วยเมื่อเขาเป็นสุขสบาย อุเบกขาก็ต้องคอยจ้องว่าเมื่อไรช่วยได้ เดี๋ยวนี้ช่วยไม่ได้ก็คอยจ้องว่าเมื่อไรช่วยได้นั่นแหละอุเบกขา ไม่ใช่เลิกกันเหมือนที่เข้าใจกันโดยมากว่าเป็นอุเบกขาเลิกกัน อุเบกขาเลิกกันช่วยไม่ได้ก็อุเบกขาเดี๋ยวนี้ช่วยอะไรไม่ได้ ก็คอยเพ่งว่าเมื่อไรช่วยได้ก็จะช่วยอย่างนี้เรียกว่าอุเบกขาที่ถูกต้องที่แท้จริง ยกมาพูดแค่เมตตาคำเดียวก็พอ ตัวสุดท้ายเรียกว่าขันตี อดทนอดกลั้นสำคัญที่สุด ถ้าไม่มีขันตีทำอะไรไม่ได้ ปัญญาก็เป็นหมัน ไม่เคยคิดจะช่วย พอไปช่วยก็ลำบากลำบากก็ไม่อดทนก็เลิกกัน ขันตีต้องเทารั้งท้ายอดทนอดทนจนจะประสบความสำเร็จ ขันตีคำนี้ตัวหนังสือก็แปลว่า เหมาะสมหรือสมควรก็ได้ ถ้าไม่มีความอดทนก็ไม่สมควรที่จะได้รับมรรคผล ต่อเมื่ออดทนจึงมีความควรที่จะได้บรรลุธรรมะหรือมรรคผล ธรรมะที่แปลว่าอดทนแปลว่าควรนี้ควรอดทนก็ได้ รวมเข้าด้วยกันก็แปลว่าอดทนจนกว่าจะประสบผล อดทนอย่างถูกต้องเรื่อยๆไปจนสมควรที่จะได้รับผล เอามาบวกกันเสียทั้งสองความหมายนั่นจึงจะสมบูรณ์ สุทธิบริสุทธ์ปัญญารอบรู้เมตตาความเป็นมิตร ขันตีอดกลั้นอดทนจนกว่าจะประสบความสำเร็จ เป็นธรรมะของพระโพธิ์สัตว์ แต่ว่าคนทั่วไปก็เอามาใช้ได้ เรียกว่าเป็นการเดินตามหลังตามรอยโพธิสัตว์ลองดูได้ผลดี เป็นโพธิสัตว์สมัครเล่นก็ยังใกล้พระนิพพานมากมากกว่าที่จะไม่เอากันเสียเลย บูชาความบริสุทธิ์ ความถูกต้องไว้เสมอไปเพิ่มพูนปัญญาไว้เรื่อยไปมีมิตรภาพที่ไม่มีขอบเขตจำกัดแล้วก็มีอดกลั้นอดทนรอนานเท่าไรก็ได้ แต่ไม่หยุดอยู่เฉยๆต่อสู้เรื่อยไป พอกพูนเรื่อยไปแก้ไขเรื่อยๆด้วยความอดกลั้นอดทน แล้วความสำเร็จก็อยู่ในกำมือ ไม่ไปไหนเสีย เรื่องทางจิตใจขั้นสูงขึ้นไป เป็นเครื่องช่วยให้ประสบความสำเร็จในการดับทุกข์อย่างยิ่ง ธรรมะของโพธิสัตว์ คุณประยูร เพ่งดูหน้าของโพธิ์สัตว์ โพธิ์สัตว์นี้ของเดิมเป็นรูปสำริด เขาพบที่เมืองนี้แล้วก็ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ ดูตัวจริงก็ไปดูที่พิพิธภัณฑ์ นี่จำลองมา ดูที่หน้าของโพธิ์สัตว์ทำจิตใจดีมองดูหน้าของโพธิสัตว์มันจะเกิดความรู้สึกประทับใจ ดลจิตใจของเราให้เป็นอย่างนั้น ที่สนามหญ้าตรงนั้นไปยืนดู เพ่งดู นั่งดู ดูหน้าจะเกิดความรู้สึกว่าคนหน้าอย่างนี้มีปัญญา คนหน้าตาอย่างนี้มีสุทธิเมตตาขันตี โพธิสัตว์องค์นี้ถือกันว่าดีเลิศในศิลปะซึ่งที่อินเดียยังหาดูไม่ได้ ในอินเดียไม่ค่อยมีที่ทำด้วยสำริด ที่มีก็ทำด้วยหิน ฝีมือก็ไม่ได้เก่งกว่านี้ อันนี้ถือว่าฝีมือเก่งที่สุด ท่านถือว่าชาวอินเดียมาสร้างไว้ให้ เป็นศิลปะชั้นสูง เรียกว่า HIGH ART ศิลปะชั้นสูงเป็นที่ภาคภูมิใจของพิพิธภัณฑ์แห่งประเทศไทยว่ามีศิลปะวัตถุชิ้นนี้ อาตมาเคยถือรูปถ่ายไปที่อินเดีย ไปเที่ยวตามพิพิธภัณฑ์แกล้งอวด มันตะลึงเป็นที่สุดเลย เจ้าหน้าที่ในพิพิธภัณฑ์เหล่านั้น ยอมรับว่าเป็นศิลปะชั้นสูงแม้พบในประเทศไทย ไม่ใช่อินเดีย ก็เป็นชั้นสูงสุดของอินเดียเป็นที่ภูมิใจของพิพิธภัณฑ์ที่กรุงเทพ จะเอาไปไหนไปแสดงที่ไหนทั้งทีราคารับประกัน 3 ล้านบาท เอาไปแสดงที่ต่างประเทศตีราคาค่าประกัน 3 ล้านบาท ไปนั่งดูจะเกิดความรู้สึกประทับใจพอใจในปัญญาสุทธิปัญญาเมตตาขันตี ถ้าเป็นผู้มีจิตใจละเอียดลออจะสังเกตหน้าตาเช่นนั้นในรูปโพธิสัตว์และความรู้สึกเช่นนั้นจะครอบงำจิตใจของเราให้มีความรู้สึกทั้ง 4 ประการนี้ได้ด้วย มีผลทางจิตใจอย่างยิ่งไม่ใช่เป็นศิลปวัตถุเฉยๆ มีผลทางจิตใจทางธรรมะอย่างนี้ด้วย ขอให้ใช้ประโยชน์กับรูป อวโลกิเตศวรนั้น เวลาที่แสงแดดดีหามุมดีๆดูให้สวยๆ สวยที่สุด
ข้อที่ 21 ชมทิวทัศน์ของรอบอ่าวบ้านดอน ตอนนี้ต้องขึ้นไปบนยอดของภูเขานางเอไป 15 นาทีขึ้นไปยอดภูเขานางเอ แล้วดูทิวทัศน์รอบอ่าวบ้านดอน ซึ่งถือกันว่าเคยเป็นที่ตั้งของอาณาจักรศรีวิชัย มีเกาะอยู่มีภูเขาอยู่ภูเขาหนึ่งเรียกเขาศรีวิชัย ถ้าสมัยพันกว่าปีแล้วต้องเป็นเกาะอยู่กลางทะเล ยังอยู่ในบกเพราะบกมันงอกออกไปหุ้มไว้เป็นบก ภูเขาเกาะเป็นภูเขาเรียกภูเขาศรีวิชัย อาณาจักรศรีวิชัยรอบอ่าวบ้านดอน ประวัติศาสตร์รอบอ่าวบ้านดอนนี้ต้องศึกษากันมากมายทีเดียว ประวัติศาสตร์เมืองไชยาอยู่มุมนี้ กาญจนดิษฐ์อยู่มุมโน้น คิรีรัฐอยู่สุดทางตะวันตกคืออ่าวบ้านดอนทะเลคงขึ้นไปถึงใกล้ๆโน้น เดี๋ยวนี้มันออกมาเป็นแผ่นดิน รอบอ่าวบ้านดอนมีความหมายทางประวัติศาสตร์ เอาสมัยศรีวิชัยพุทธศาสนามาเจริญรุ่งเรืองที่นี่ จนเรียกว่าคนรู้ธรรมะถึงขนาดแต่งบทกล่อมลูกให้นอนเป็นเรื่องนิพพาน ที่ได้พูดให้ฟังแล้ว เรื่องท้าวนาฬิเกกลางทะเลน้ำผึ้ง มีวัฒนธรรมอะไรมากมายสืบต่อกันมาจนเดี๋ยวนี้ ทางเกี่ยวกับศาสนาเพราะมันเคยมาศาสนามาตั้ง 1300-1500ปี มาแล้ว ถ้าสนใจทางประวัติศาสตร์ ทางภูมิศาสตร์ก็ขึ้นไปดูยอดเขานางเอ ดูทิวทัศน์รอบอ่าวบ้านดอนไกลออกไปถึงเกาะสมุยถึงทางโน้น
ข้อที่ 22 การบรรยายธรรมวันเสาร์ตักบาตรสาธิตมีเฉพาะวันเสาร์เก้าเดือนฤดูแล้ง สามเดือนฤดูฝนไม่มี แสดงธรรมวันเสาร์มันสะดวก ก่อนนี้คนไกลๆเขามาข้าราชการมาจากกรุงเทพ เย็นวันศุกร์มาฟังบรรยายวันเสาร์ก็กลับตอนเย็นของวันอาทิตย์ ไปถึงวันจันทร์ก็ทำงานได้ตามเดิมไม่ต้องลาราชการ เราจึงถือเอาวันเสาร์เป็นวันบรรยาย เมื่อผมทะเลาะกันกับพวกอภิธรรม คนกรุงเทพที่ฟังแยะพวกอภิธรรมที่บรรยายชีวิตนี้ มาโดยลักษณะอย่างนี้ เลือกเอาวันเสาร์นี่มันเหมาะที่สุด แสดงธรรมบรรยายให้สะดวกแก่ข้าราชการที่เขาอยู่ต่างจังหวัด เรื่องตักบาตรสาธิต คือทำตัวอย่างให้ดู เรียก Demonstrate ทำตัวอย่างให้ดู ครั้งพุทธกาลตักบาตรถวายพระกันอย่างนี้ รับเอาบาตรมาใส่อาหารพอถวายหมดถ้าฉันหมดก็ไปเติมได้ พอดีเลิกเสียล้างบาตรเลย นี่ตักบาตรสาธิต ไม่เปลืองไม่ยุ่งไม่เปลืองของไม่ยุ่งยาก สามารถจะเลี้ยงพระได้ 20-300 รูปอะไร ถ้าเป็นเศรษฐีก็เป็นเหมือนว่าเล่น เรียกว่าตักบาตรสาธิต ก็ยังทำอยู่เดี๋ยวนี้แต่เปลี่ยนแปลงบ้างไม่เหมือนครั้งพุทธกาล ที่เอาบาตรมาจากในครัว จัดมาจากในครัว มาถวายพระที่นั่งรออยู่ เดี๋ยวนี้เราก็ทำอย่างตักบาตรลงไปในบาตร รักษาการเลี้ยงพระอย่างนี้ไว้ เพราะเหตุที่ว่ามันเหมือนกับใส่ให้แมวกินรวมๆกันไปในจานบางทีก็เรียกว่าตักบาตรจานแมวเสียด้วย แต่ความจริงก็เพื่อผลดีทางประหยัดทาง สันโดษทางเศรษฐกิจดูไม่ยุ่งยาก จะมีเฉพาะวันเสาร์ นี่ก็อยู่ในระหว่างปิดไปเป็นฤดูฝน ขึ้นเดือนมกราคมก็มีกันใหม่ บรรยายวันเสาร์ตักบาตรสาธิต
ข้อ 23 วีดีโอธรรมมะและประวัติ นี้เป็นทัศนะศึกษา เราเป็นผู้ริเริ่มใช้สไลด์บรรยายธรรมก่อนใครๆ ก็มีคนเอาอย่างก็ทำไป จนเราเลิกแล้ว เราเลิกทำแล้ว เคยใช้ภาพยนตร์ประกอบก็ทำกันอยู่พักหนึ่ง มันก็ยุ่งยากได้ผลไม่ค่อยจะคุ้มค่า ก็เลิกเดี๋ยวนี้ก็มีวิดีโอเข้ามา ยังมีอยู่บ้างยังทำอยู่บ้าง สะดวกๆที่จะแสดงอะไรโดยไม่ยุ่งยากลำบากก็ใช้สิ่งเหล่านี้แทน วีดีโอก็ยังพอมีถ้าต้องการจะดูก็ดูกันได้ ก็เป็นครั้งเป็นคราวตามโอกาส เรียกว่าประกอบการศึกษาให้สะดวกเข้า ให้ง่ายเข้าก็ดี แต่มันก็มีความยุ่งยาก เดี๋ยวนี้มันก้าวขึ้นมาถึงขึ้นมาขึ้นไม่จำเป็นก็เลิกๆไป
ข้อสุดท้าย สวนโมกข์นานาชาติ อยู่ฝั่งโน้น 2 กิโลเมตรสนใจก็ดูได้ เนื่องจากมีความเห็นว่าสันติภาพมันไม่มี เพราะว่าศาสนามันไม่ช่วยกันในโลกไม่สันติภาพ เพราะว่าศาสนาทุกศาสนามันไม่ช่วยกันมันอิจฉากันเสียด้วยซ้ำ ศาสนาบางศาสนาคิดจะโค่นล้มศาสนาอื่น ดึงมาเป็นสมาชิกของพวกตัว เป็นเสียอย่างนี้ ศาสนายังไม่ร่วมมือกัน ยังยิ้มกันไม่ได้ ยังไม่เป็นมิตรแก่กันและกัน เราคิดว่าทำอย่างไรนะ ให้ศาสนามันเป็นมิตร ยิ้มแก่กัน ร่วมมือกัน กำจัดความเห็นแก่ตัวในโลก จึงคิดสร้างสวนโมกข์นั้นขึ้นมา แต่เรียกว่าธรรมาศรมนานาชาติ ทำอาศรมธรรมะนานาชาติมาพูดจากัน ในเรื่องเผยแผ่ว่าธรรมะเป็นอย่างไร ก็ทำมามากมากมากจนมันจะถึงอิ่มตัวแล้ว ปัญหายังคาราคาซังอยู่ สันติภาพไม่มีเพราะว่าศาสนาเขาไม่ยินดีร่วมมือกัน ก็คิดว่างานนี้เป็นงานสุดท้าย ทำให้เกิดความเข้าใจกันระหว่างศาสนา ร่วมมือกันช่วยโลก เพื่อนฝูงหลายคนก็เห็นด้วยช่วยเหลือกันตามมีตามเกิด มันก็สร้างขึ้นมาจนสำเร็จ ใช้เงินไม่ถึงโบสถ์ใหญ่ๆ ที่เขาสร้างกันตั้งถึง 10 ล้าน 20 ล้าน เข้าใจว่า 5-6 ล้านก็จะพอ เป็นสวนโมกข์นานาชาติขึ้นมาดำเนินกิจการทุกอย่างเกี่ยวกับชาวต่างประเทศ การสอนธรรมะก็ดี การอบรมสมาธิก็ดี จะใช้อยู่เป็นประจำ เป็นประจำ ส่วนการประชุมระหว่างศาสนาก็มีเป็นครั้งเป็นคราว มีประจำวันทุกวันได้ ก็ควรจะมีเป็นครั้งเป็นคราวหรือบ่อยๆ นี้เรียกว่าธรรมศรมนานาชาติ ใครทำบุญให้ระหว่างนี้เอาไปใช้ที่นั่นหมด จวนจะเสร็จอยู่แล้ว สำหรับสถานที่นี้กำลังจะเสร็จภายในไม่กี่อาทิตย์ เดือนสองเดือนนี้ มันก็จะต้องมีเรื่องประกอบเกี่ยวกับไปเรื่องน้ำ เรื่องเครื่องใช้ไม้สอย ทำอีกต่อไป สองสามเดือนสี่ห้าเดือนข้างหน้าก็ใช้ได้ ใช้ประโยชน์ได้ สนใจก็ไปดู
เรื่องสุดท้าย สวนโมกข์นานาชาติ ที่นั่นมีพิเศษคือ มีน้ำร้อน น้ำพุร้อน ทีมีประโยชน์ทางอนามัยสุขภาพให้อาบด้วย เรียกว่าทางฝ่ายร่างกาย ธรรมะฝ่ายจิตใจเป็นอันว่าได้พูดเรื่องใครจะได้อะไรในการมาที่สวนโมกข์นี้จบตามหัวข้อเหล่านี้แล้ว ขอให้พยายามได้รับประโยชน์เหล่านั้นให้มากตามที่จะทำได้ มากตามที่จะทำได้คุ้มค่ามา เป็นว่าเราเผยแพร่ธรรมะอยู่ตามเดิมด้วยการสอนก็ดี ด้วยการปฏิบัติก็ดีด้วยการแสดงผลของการปฏิบัติก็ดี คือการอยู่อย่างสงบสุขให้ดู ให้เขาสนใจดูทำอยู่ตลอดเวลา ให้ท่านทั้งหลายได้รับประโยชน์ได้มากที่สุด จากการศึกษาจากการปฏิบัติจากการได้รับผลของการปฏิบัติทั้งสามความหมาย ก็เรียกว่าได้มากที่สุดเท่าที่ควรจะได้จากการที่มาสวนโมกขพลาราม ป่าไม้เป็นกำลังแก่ความหลุดพ้นจากความทุกข์ ดังที่ได้อธิบายให้ฟังแล้วในตอนแรกของการบรรยายนี้ สวนโมกขพลาราม คืออะไรเพื่ออะไรได้ประโยชน์อะไรก็ได้พูดมาสิ้นสุดแล้ว เห็นว่าสมควรแก่เรื่องแล้ว ขอยุติการบรรยายไว้และขอให้ถือเป็นหลักเพื่อจะสร้างความเข้าใจให้ถูกต้อง ขัดเกลาความเข้าใจผิดหรือไม่สำเร็จประโยชน์ให้เกิดความเข้าใจถูกต้องให้ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อะไรควรเลิกควรละ ไสยศาสตร์ทั้งหลายควรเลิกไปเท่าไรก็ขอให้เลิกไปเสีย ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ให้เปลี่ยนเป็นพุทธศาสตร์เถิด ไสยะแปลว่าหลับ ไสยศาสตร์แปลว่าศาสตร์หรือความรู้สำหรับคนหลับ คนช่วยตัวเองไม่ได้ หวังให้ผู้อื่นช่วย แล้วก็เป็นความขลาดกลัว ไม่มีเหตุผลอย่างนี้เรียกว่าไสยศาสตร์ ถ้าเป็นพุทธศาสตร์ของคนมีสติปัญญาตื่นจากหลับตื่นจากความโง่ สามารถถือเอาความถูกต้องได้ ดำเนินก้าวหน้าไปด้วยดีสู่ความดับทุกข์นี่เรียกว่าพุทธศาสตร์
โดยสรุปความแล้วก็เพื่อกำจัดไสยศาสตร์เพื่อนำมาสู่พุทธศาสตร์และยังเป็นประโยชน์แก่มนุษย์ เพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งโลกนี่ความหวังมีอยู่อย่างนี้ ขอให้ใช้ประโยชน์จากกิจการที่จัดขึ้นนี้ให้มาที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยกันทุกๆคนเถิด ขอยุติการบรรยายเรื่องที่จะได้อะไรจากสวนโมกข์ไว้เพียงแค่นี้