แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พร้อมแล้วเหรอ มัน (นาทีที่ 0:00:14.0) ......กันนี่เอง เอ่อ คุณดุษฎีต้องการให้พูดเรื่อง ใครจะได้รับอะไรจากการมาสวนโมกข์บ้าง เห็นว่ามันก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะพูด แต่ถ้าจะให้พูดก็ได้เหมือนกัน ขอให้ลองฟังดู แต่ว่าก่อนอื่นทั้งหมด ก็อยากจะพูดเรื่องไอ้สวนโมกข์ สวนโมกข์คืออะไร กันซะบ้างตามสมควร เมื่อปี พ.ศ. 2475 ซึ่งเป็นปีเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราได้จัดให้มีสวนโมกข์กันขึ้นที่ตำบลพุมเรียง ห่างจากที่นี่ไปทางทิศ (นาทีที่ 0:02:01.9) ... ประมาณสัก 10 กิโลเมตร เพื่อเป็นสถานที่ที่ใช้ให้เหมาะสมในการศึกษาและปฏิบัติธรรมมะเป็นส่วนตัว หลังจากที่เลิกความตั้งใจที่จะศึกษาเล่าเรียนปริยัติธรรมอย่างในกรุงเทพนั่น ก็เลยออกจากกรุงเทพมามีสวนโมกข์ขึ้นที่นั่น เรียกว่าเป็นสวนโมกข์แห่งแรก ความมุ่งหมายก็เพื่อที่สะดวกแก่การศึกษาและการปฏิบัติ จึงให้ชื่อว่า โมกขพลาราม สถานที่ป่าไม้เป็นกำลังแก่การหลุดพ้นจากความทุกข์ ด้วยการเรียนก็ดี ด้วยการปฏิบัติก็ดี เนี่ยคำว่าสวนโมกข์ คงเกิดขึ้นมาอย่างนี้ แล้วเผอิญได้บังเอิญไปพ้องกันกับชื่อต้นไม้ที่มีอยู่ที่นั่น คือต้นโมกข์ที่อยู่ทั่วๆไป ต้นพลา ก็มีอยู่ทั่วๆไป โมกขพลาจึงกลายเป็นชื่อที่ตามธรรมชาติ เรื่องราวที่อยู่ที่นั่น 10 ปี 10กว่าปีราว 12 ปี เขียนบันทึกไว้แล้ว มีผู้เอาไปพิมพ์แล้วหาอ่านเอาเอง ให้ย้ายมาอยู่ที่นี่เป็นสวนโมกข์แห่งที่สองขึ้นมา มันก็บังเอิญเหมือนกันแหละ ที่นี่ก็มีต้นโมกข์และต้นพลา ต้นโมกข์หาดูได้ทั่วๆไป ต้นพลาหาดูได้ทั่วๆไป โมกข แปลว่าหลุดพ้น พละแปลว่า กำลัง ที่นี่ก็ซื้อที่ดินเขา ด้านหน้านี้ 90 ไร่ บอกว่าซื้อเท่าไหร่ แล้วคนก็ตกใจ ตกใจ ซื้อไร่ละ 5 บาท คนก็ตกใจ ซื้อที่ดินไร่ละ 5 บาท แถมลวดหนามอะไรด้วย นี่ก็ซื้อบ้าง แลกบ้าง จนเป็นวงอ้อมรอบหุบเขาพุดทอง หุบเขามีทั้งหมดได้เป็น 311 ไร่ จนได้ดำเนินเป็นสวนโมกข์แห่งที่สองขึ้นมา อยากจะเล่าไว้สักหน่อยเผื่อนานไปจะไม่มีใครทราบ ที่ตรงนี้เมื่อสัก 100ปีมาแล้ว มันยังเป็นดงเสือดงช้าง ดงช้างมีต้นไม้ใหญ่ๆที่เค้าเอาไปใช้สร้างที่วัดพระธาตุ พระบรมธาตุ ให้ดีๆ เช่นไม้ (นาทีที่ 0:05:54.2)...ใหญ่ๆเหลืออยู่ทั่วๆไป แล้วก็มีพวกมาจับจองทำเป็นสวนขึ้น ทำแบบกรุงเทพเลย มีร่อง มีอะไรอีก ทำแบบกรุงเทพ กระทั่งพรรณไม้ นี่ก็พรรณไม้อย่างดี ที่คัดมาจากกรุงเทพฯ ต้นกระท้อนต้นนี้ ที่เรานั่ง เป็น ต้นกระท้อนพันธุ์ดีจากกรุงเทพ เมื่อปฏิบัติอย่างที่ปฏิบัติกันทั่วไปแล้วจะได้ลูกกระท้อนอย่างดี รสดี ใหญ่โต ขนาดลูกละ หลายบาท แต่นี่ดูแล้ว ยังไม่ไได้ทำอะไรกับมัน มีตัวหนอนเคยเจาะ ไม่ทันจะได้เป็นสุกงอม อะไร อ่ะ แล้ว ก็ที่ดิน มันก็เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างนี้ มันไม่มีนำ มันไม่มีอะไรสมบูรณ์ มันก็ไม่ค่อยจะเป็น มีเงาะหลายๆ พันธุ์ ที่เขาปลูกไว้แปลกๆ หลายๆพันธุ์ พันธุ์ที่เรียกว่าดีที่สุด ดี ดีที่สุด ที่ไม่มี ดีกว่าก็มีอยู่ต้นนึง อยู่ทางโรงธรรมตรงโน้น ดีที่สุด ก็สู้ไม่ไหว เป็นเรื่องคำนวณผิด คาดผิด จะสร้างสวนอย่างกรุงเทพฯ ฝั่งธนฯ มันต้องที่ลุ่ม ที่ราบ ไม่ใช่ที่เนินเขา อย่างนี้ มันทำไม่ได้ ที่จะทำท้องร่อง ทำอะไรให้ มันชุ่มชื่นกันหมด สำหรับ ผลไม้อย่างมะม่วง เลยทำไม่ได้ เอ่อมันก็เลยได้ผลคุ้มค่ากันในที่สุดเขาก็ต้องทิ้งร้าง ทิ้งร้าง เดินมาเที่ยว ผ่านไปทางหน้าวัด นี่เข้าไปในป่าเพื่อดูไม้ที่ก่อสร้าง ที่วัด เชตยาราม ในที่นี้ ก็ เข้าที เดินตั้งหล่ายนาทีกว่าจะผ่าน ก็ถามขึ้น มาก็ได้ความว่า เจ้าของทิ้งร้าง จะขาย ก็เลยคิดว่าเหมาะที่จะสร้างสวนโมกข์ให้ถึง ขนาดสักที ให้ใหญ่โตเต็มที่ และร่มรื่นย์ สวนโมกข์แห่งแรกนั่นอ่ะมันเช่าที่รัฐบาล เช่าวัดร้าง แล้วก็แคบเพียง 70 ไร่ แล้ว ใกล้น้ำเค็ม ยุงมันชุม ยุง เจ็บ กัดเจ็บกว่ายุงที่นี่ ก็เลยคิด ก็ลองคิดสร้างสวนโมกข์ ใหม่ แห่งที่ สอง ให้ ให้ ให้ ตามความพอใจ ก็เลยไปติดต่อขอซื้อ เจ้าของเขาบอกว่าจะเอา 3000 บาท เราก็... ช่วงเมื่อก่อนได้ยินคุณประกาศชฃขาย 35 บาท ไม่ใช่เหรอ เจ้าของเค้าบอกว่าจริงดิ แต่นี่วัดจะซื้อ วัดหาเงินง่าย ก็คงจะต้องเอา 3000 บาท ดูๆ ดูคน คนเรานี่ดิ แทนที่จะอนุโมทนาสาธุ มันเป็นซะอย่างนี้ แสดงว่า ธรรมมะ ในศาสนา ยังไม่ครอบงำจิตใจบุคคลคนนี้ งั้นเราก็ไม่เอา ไม่เอาอ่ะ เขาก็ร้อนเงิน เฉยไปอยู่พักนึง ในที่สุด เขามาเสอนลดๆๆ จนเหลือไร่ละ 5 บาท 90ไร่ 450บาทเขาจะเอาถึง 3000 บาทในที่สุด ก็ขายกัน 450 บาท เขาตกลง พยายามติดต่อข้างเคียงเรื่อยไป แลกเปลี่ยนกัน อะไรกัน จนได้อย่างที่เห็นเนี่ยรอบหุบเขา หุบเขาพุดทอง นี่อยู่ ศูนย์กลาง หุบเขานี่อยู่ศูนย์กลางพอดี 311 ไร่ ล้อมรอบเขาพุดทอง ดำเนินการสร้างมาตามมี ตามเกิด ในเมื่อไม่มี ไม่มีเงิน ทำกันมาด้วยเรี่ยวด้วยแรง ช่วยกัน แล้วมันก็ค่อยๆ ติดขึ้นมาๆ มีคนช่วยเหลือมากขึ้น มันเป็นที่ลุ่ม ก็ถูกพัดลงทางสวนยาง แล้วก็เปลี่ยนเป็นสวนมะพร้าว สวนผลไม้ สมัยโน้นเป็นที่อยู่แห่งเสือแห่งช้าง เมื่อมาอยู่นี้ มันก็ยัง มีสภาพที่ว่าเป็นป่า ยังมีกวางตัวใหญ่ๆ ขึ้นไปบนภูเขา ไปเจอะ มากินลูกมะกอก ข้างเรือน นั่นนะอาคารที่สร้างขึ้นมา ยังไม่ทันได้สร้าง อีเก้งร้องตุ๊บตั๊บๆไปหมด ทั่วๆ ไปหมด เสือมีอยู่ตังหนึ่ง เป็นประเภทเสือดาวนั่นแหละ แต่ว่าเสือดาวบางตัวมันกลายเป็นเสือดำ ไอ้ส่วนที่ดำนะ ดวงดำๆนะ เพราะมันขยายออกไป พื้นเหลืองหายไปจนเป็นดำทั้งตัว อย่างนี้เขาเรียกว่า เสือดำ ที่จริงมันคือเสือดาว เหลืออยู่ตัวหนึ่ง มันก็อาศัยอยู่บนภูเขาพุดทองนี่ แต่ก่อนนั้นไม่ได้ตกแต่งอะไรยังรก ยังทึบอยู่ กลางคืนก็ออกมาหากินเมื่อเรามาอยู่กันแล้วเนี่ย มันก็ยังอยู่ ยังอยู่เป็นเพื่อนกัน ก็ที่หลังที่อยู่ข้างโรงฉันเนี่ย ปลูกแล้ว หลังนี้ก็เริ่มปลูกข้างล่าง ข้างล่างเป็นธรรมดาที่ว่าต้องช่วยสอนเด็กๆ ตามธรรมเนียมว่าวัด ลูกชาวบ้านที่เขาส่งปิ่นโตให้ จะมีเด็กๆ มาเล่า มาเรียน หนังสือ สอนพระก็สอนไปตามเรื่อง เสือตัวนี้ก็ยังมา ยังกินไก่ไปหลายๆตัว มากินสุนัขไปเท่าที่จดจำไว้ได้ 23 ตัว ที่โรงฉัน เมื่อก่อนนะ ไม่ใช่หลังปัจจุบัน หลังที่ย้ายมาอยู่นี่ ไม้มัน อุกอาจถึงขนาดว่ามาตะครุบเอาสุนัขไปจากโรงฉัน บนโรงฉัน เด็กๆ นอนปนกันอยู่กับสุนัข มันร้อน ที่จริงนอนในกุฎินั่นก็ได้ มันชอบมานอนที่โรงฉัน เปื่อยๆ สุนัขก็ขึ้นไปนอนด้วย จริงเสือยังมาเอาสุนัขไป โดยที่ไม่เอาเด็ก กระโจนโครมบนสุนัข พาไป ไอ้เด็กก็ตกใจ วิ่งหนีเข้าไปนอนในกุฎิกันพักหนึ่ง จน ก็ชินๆ เอาอย่างนั้นอีกมานอนโรงฉันอีก เสือก็ยังมาเอาสุนัขไปตั้งหลายปีเป็นเวลา รวมแล้วได้ 23 ตัวเอาไป ก็คิดว่าสวนโมกข์ มันเป็นอย่างไร เกิดขึ้นมาในที่อย่างไร เป็นอย่างไร จริงเด็กบางคนก็ไม่โตกว่าสุนัขเท่าไหร่ แต่เสือมันยังเลือกเอาแต่สุนัข ไม่เเอาเด็กไปทุกที มันมีอะไรอยู่สำหรับคน เสือไม่ชอบ หรือว่ามันจะ จะคิดยังไงก็ไม่รู้ มันก็คิดว่าสุนัขอาจจะอร่อยกว่าคน แต่มันไม่เคยกินคน เลยเอาไปแต่สุนัข ในที่สุด คนที่ปลูกบ้านอยู่ทางโน้น เขาเอาเป็ดที่เลี้ยงไว้ ใต้ถุน ทำเป็น เครื่องล่อ ทำเป็นคอกกันสุนัขเข้าไปกินเป็ดติดอยู่ในคอกกัน เอาไปขายได้ 800 บาท เขาบอกว่าไปถึงอเมริกาได้เป็นพันเป็นหมื่นเลย เสือชนิดนี้ตัวนึง
นี่เราเริ่มกันมาอย่างนี้เป็นป่าชนิดที่เป็นที่อาศัยของสัตว์ทั้งหลายอย่าง ตะกวดเนี่ยยั้วเยี้ย แย้ก็มี มันก็หายไปหมด สุนัขกัดแย้ ตะกวดนี้ก็มันจะถูกคนเอาไปกิน หรือสุนัขมันคอยไล่ กระจงก็มีอยู่มากก็หมดไปด้วยสุนัข นี่เล่าถึงว่ามันเป็นสภาพป่าอย่างนี้ สัตว์เหล่านี้ก็ค่อยหมดไป เราอยู่กันอย่างที่เรียกว่าทั้งเนื้อทั้งตัว สร้างบ้านสร้างเรือน ต้องทำงานเองด้วยตนเองกันทุกคน จะต้องเลื่อยไม้ จะต้องก่อสร้าง ปลูกสร้างอะไรตามประสา ที่จะทำได้แล้วก็ค่อยๆมีพื้นที่เล็กๆ เล็กๆ ขึ้นตามลำดับ สมัยนั้นหลังหนึ่งก็จะสร้างได้ด้วยเงิน 750 บาท ต่อมาก็แพงขึ้นเรื่อย แพงขึ้นเรื่อง จนครั้งสุดท้ายหลังหนึ่งก็ 3500 บาท เล็กๆสำหรับคนเดียวมีอยู่ 70 หลัง สร้างหอไตร สร้างอะไรขึ้นบนนั้น แล้วฝ่ายอุบาสิกา ก็เริ่มมี เริ่มเกิดขึ้นทางฝ่ายโน้น มีถนนขึ้นมาปลูกบ้านกัน ใช้เวลาเท่าไหร่นะ 40 ปี 40 กว่าปีจึงมาอยู่ในสภาพอย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้ อยากจะพูดอะไรบางอย่างว่า เราไม่มีเงินนะ แต่ถ้าเราตั้งใจจะทำ ให้ผู้อื่นเห็นว่าตั้งใจจะทำ ทำจริง เราก็ช่วย เค้าก็ช่วยกันเอง คุยโตสักหน่อยเพราะว่า ไม่เคยเรี่ยไรเลย ไม่เคยเรี่ยไรเลย มีแต่เค้าเห็นเค้าก็ช่วย เค้าเห็นเค้าก็ช่วย และผลงานที่ทำขึ้นมันเป็นที่พอใจ เทศนาสั่งสอนอะไรเป็นที่พอใจ ไอ้คนที่จะช่วย มันก็มากขึ้น มากขึ้นจนกระทำได้อย่างที่เห็นอยู่เวลานี้ ลองคำนวณดูสิ่งก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ การปรับปรุงอะไรต่างๆ นี้จะเป็นเงินสักเท่าไหร่ นี่เรียกว่ามันทำขึ้นมา มันก็เลยไม่มีเงิน ต้องพูดว่าแม้แต่บาทเดียว เรื่องนี้มัน มันแปลก มันเป็นความลับ ที่คนคิดว่าเขามีเงินเท่านั้น เท่านี้ จึงจะสร้าง จึงจะทำ เราไม่ได้ทำมาในลักษณะอย่างนั้น คือทำมาอย่างไม่มีเงินสักบาทเดียว แล้วเขารู้ เขาก็ช่วยกัน ช่วยนี่ ช่วยนั่น ช่วยนี่ ช่วยกันมา น่าจะจำไว้ว่า ตั้งต้นได้โดยที่ไม่มีเงินเลย มันก็ทำได้เหมือนกันนะ ขอให้ทำจริงๆ เดี๋ยวนี้เราก็มีสภาพอย่างนี้ เวลา 40 กว่าปี มันก็ไม่ใช่น้อยนะ เมื่อทำสวนโมกข์นี้มีผู้ให้เงิน หรือมีผู้ช่วยกันมาก มากกว่าที่สวนโมกข์โน้น สวนโมกข์แรกโน้น สวนโมกข์แรกนี้ ผมต้องทำเองทุกๆ อย่าง ทุกอย่าง เอาตั้งแต่ปลูกกุฎิอยู่ จะไปหาไม้ ไปหาไม้จากที่ชายทะเล ไปเองอะไรเอง ไม่มีเงินจริงๆ ไม่มีเงินยิ่งกว่าเดี๋ยวนี้ ยิ่งกว่าสวนโมกข์นี้ สวนโมกข์นี้มีคนช่วยมาก มีเงินใช้ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังต้องเลื่อยไม้เองอยู่บ่อยๆ อวดดีหน่อย ผมเลื่อยไม้เป็นนะ ทั้งที่เค้าเลื่อยๆ กันนะ ก็ทำอะไรได้หลายอย่างเหมือนกันนะ ที่ชาวบ้านก็ทำได้ เราก็พอจะทำได้ ที่พูดถึงการศึกษา มีตลอดเวลา มีตลอดเวลา กลางวันเลื่อยไม้ กลางคืนอ่านพระไตรปิฎก มันทนกันมาได้อย่างนี้ บางคืนก็เขียนเรื่องสำหรับจะไปพิมพ์ หนังสือพิมพ์ที่ออกอยู่ บางวันก็โกยทรายผสมคอนกรีต ทำนั่นทำนี่ไปตามเรื่อง มีแผนทำที่วัดวชิรารามบ้าง นั่นก็ทำ ตอนนั้นอยู่วัดวชิราราม ที่สวนโมกข์ทางโน้นก็ยังอยู่ สวนโมกข์ทางนี้ก็อยู่ วัดวชิราราม อยู่ตรงกลาง ผมก็อยู่ที่วัดวชิราราม (นาทีที่ 0:25:11.1)… เพิ่งย้ายมาอยู่ที่นี่เด็ดขาด ที่หลัง เราได้ทำการเผยแผ่โดยการเทศนา ด้วยการลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จนผลงานค่อยๆ เป็นที่พอใจของสังคม ที่ย้ายไปถึงที่กรุงเทพ ไปบรรยาย ปาฐกถา อะไรที่กรุงเทพ ปรากฎว่าเป็นที่สนใจ เป็นที่พอใจ กระทำได้เรื่อยๆ ก็ก้าวหน้าเรื่อยๆ หนังสือพิมพ์พุธศาสนาเป็นสื่อสำหรับการเผยแผ่ สำหรับการติดต่อ สัมพันธ์ เป็นที่ประหลาดใจว่า ทำไมหนังสือพิมพ์อย่างนี้มันออกได้ที่บ้านนอก คือ สมัยนั้นไม่มีที่จังหวัดไหนออกหนังสือพิมพ์ นอกจากที่นี่ แล้วเป็นที่ประหลาดใจ เผยแผ่ทางหนังสือพิมพ์นี้ก็มากอยู่ ด้วยเรื่องมันซ้ำมาก มากเข้าๆ พิมพ์เป็นเล่มหนังสือซะทีหนึ่ง หนังสือมันก็เกิดขึ้นๆ เดี๋ยวนี้เรามีสภาพอย่างนี้ มีกิจการที่ว่า ทางการศึกษาอยู่ตลอดเวลา เป็นการเผยแผ่ ซ้อมกันไปในตัวอยู่ตลอดเวลา ขยายกว้างออกไปๆ สูงขึ้นไปที่เท่าที่จะทำได้ จนกระทั่งกลายเป็นเผยแผ่กับชาวต่างประเทศ แล้วก็มีอะไรที่ผิดแปลกเขาบ้าง อย่างที่เรียกว่า โรงหนังทางวิญญาณอย่างนี้ ไม่มีใครเคยทำ ไม่มีใครเคยได้ยิน ก็ทำให้มันมีขึ้นมา เรียกว่า โรงมหรสพทางวิญญาณ เป็นความคิดที่แน่ใจว่าคนเรานี้ต้องมีปัจจัยที่ 5 ทางจิตใจ คือสิ่งประเล้าประโลมใจในทางจิต ทางวิญญาณ ปัจจัยทางวัตถุด้วย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค 4 อย่างนั้น มันปัจจัยของร่างกาย คนเราอยู่ไม่ได้หรอก มีปัจจัยเพียงทางร่างกาย จิตใจมันไม่รู้จะอยู่ได้อย่างไร มันต้องมีสิ่งพอใจในทางจิต ทางวิญญาณ หล่อเลี้ยงความรู้สึกด้านจิตใจ หรือสติปัญญา เลยถือโอกาสเอาธรรมะนี่แหละ ธรรมะนี่แหละเป็นปัจจัยที่ 5 ให้ความประเล้าประโลมใจในทางจิต ในทางวิญญาณ มันสร้างผิดโรงหนังทางวิญญาณ มันจำเป็นที่ว่าจะต้องใช้คำพูดที่ดึงดูด จะเรียกว่าโรงธรรม คนก็รู้สึกไปอย่าง เรียกว่าโรงหนัง คนมันรู้สึกไปอีกอย่าง โดยเฉพาะเด็กๆ มันชอบโรงหนังมากกว่าโรงธรรม เนี่ย จึงจะมีโรงหนังทางวิญญาณให้เกิดขึ้น บางทีจะเป็นแห่งแรกในประเทศไทยก็ไม่รู้ คนก็เลยมาเห็น เขาลูก ภูเขาเล็กๆ ลูกนี้ เขาเรียกว่า เขาพุดทองมาแต่เดิม จะอะไรทองก็ไม่ทราบ พระพุทธรูปผุดขึ้นมา หรือว่าพระพุทธรูปเป็นทอง ถ้าจะเอาตามเสียงบ้านนี้ มันไปในลักษณ้เรียกพระพุทธรูปเป็นทองมากกว่า พุดทอง พุดทอง แต่เราก็ไม่เคยพบพระพุทธณรูปที่เป็นทอง เรียกชื่อไปตามนั้น แเล้วมีธารน้ำไหลอยู่ทางทิศใต้ ใช้เป็นชื่อของวัดนี้เรียกว่า วัดธารน้ำไหล ชาวบ้านเขาเรียกว่า ด่านน้ำไหล แต่เเราไม่ค่อยชอบคำว่า ด่านน้ำไหล เราเปลี่ยนซะเป็นธารน้ำไหล เรียกชื่อว่า วัดธารน้ำไหล มีเขาพุดทอง ถ้าชื่อสำหรับติดต่อโฆษณาทั่วไปในวง (นาทีที่ 0:31:06.9)…ก็ใช้คำว่า สวนโมกข์ไปตามเดิม สวนโมกขพลารามก็ยังอยู่ไปตามเดิม เป็นแห่งที่สองขึ้นมา เอาว่าเล่าเรื่องการเกิดสวนโมกข์ พอสมควรแล้ว ที่นี้ก็จะมาเข้าเรื่องที่ว่าใครจะได้อะไรจากสวนโมกข์ ตามความประสงค์ของคุณดุษฎีต่อไป.
เพื่อว่าคนเขาจะได้รู้เรื่องสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในสวนโมกข์ มีอะไรกี่อย่าง จะหาประโยชน์จากสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไร ก็ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้มานานแล้ว เพิ่งคิดนึกขึ้นมาไม่นานนี้เองว่ามันจะมีอะไรบ้าง เราเขียนขึ้นดู ลองพิมพ์ขึ้นดู เลยได้เป็น 24 รายการ 24 รายการ กระดาษแผ่นนี้ ขอ (นาทีที่ 0.32.30.5) ... ซึ่งจะได้พูดให้ฟังเป็นรายๆ ไปตามลำดับ.
นี่รวมกันเป็น 24 หัวข้อ ที่จะตอบว่าท่านจะได้รับอะไรจากสวนโมกข์ คุณดุษฎีเขาขอให้บรรยายเป็นเรื่องๆ ไป
ข้อที่ 1 ถามปัญหาชีวิต ให้ไปหาอาจารย์ไสวที่โรงปั้น ที่มุมทางทิศนั้นนะ ทิศตะวันตกเฉียงใต้นะ มีสำนักงานเรียกว่าโรงปั้น ไปปั้นภาพปะติด (นาทีที่ 0.38.29.4) ตึกหลังนี้ยังคงเรียกอย่างนั้น อาจารย์ไสวเขาเป็นคนที่ผ่านโลกมา มามากนะ เคยเป็นผู้เดินตลาดของบริษัทซิงเกอร์ ก็มีความเจนจัดในเรื่องการพูดจา พูดจา สามารถจะพูดจา สามารถจะตอบปัญหา โดยเฉพาะกับเด็กๆ ลูกเด็กๆ หรือยุวชน ช่างเสียสละอย่างยิ่ง อุทิศชีวิตเพื่อกิจกรรมอันนี้ อย่างไม่รู้สึกเบื่อ มีความอดทนมาก ผมทำไม่ได้หรอก มันเบื่อ แต่ท่านไสวไม่เคยเบื่อที่ทำกับเด็กๆ ตลอดมานี่ เป็นลักษณะเฉพาะที่ควรสรรเสริญอย่างหนึ่ง แล้วก็ตอบปัญหาสูงขึ้นไปถึงยุวชน ถึงวัยรุ่น ถึงกระทั่งคนผู้ใหญ่เนี่ย มีความคิดนึก ติดตันเป็นปัญหาคับอกคับใจอะไรนะ ไปขอร้องได้ ให้คำตอบหรือให้คำแนะนำใช้คำว่าแก้ปัญหาชีวิต ไม่เชื่อก็ลองไปดูเองสิ ผู้ที่เจนจัดในเรื่องของชีวิตมามาก เขาก็สามารถจะตอบปัญหาได้เพราะเคยเห็นมามากเคยสังเกตมามาก เคยต่อสู้มามาก เนี่ยมีสติปัญญาพอที่จะถ่ายทอดความรู้ หรือวิชาให้ผู้อื่นได้ จึงถือว่าเป็นที่ปรึกษาปัญหาแห่งชีวิตโลกๆ ทุกชนิด ทุกระดับแหละ ลองดู แต่ที่ทำมากที่สุด ก็ทำสำหรับเด็กๆ เพราะถือว่าเด็กเนี่ยสำคัญที่สุด มันจะสร้างโลกในอนาคต โลกเราเนี่ย ถ้ามนุษย์เป็นอย่างไร โลกก็เป็นอย่างนั้น ก็ลูกเด็กๆ นี่มันจะโตเป็นมนุษย์ในอนาคต มันเป็นอย่างไร โลกก็จะเป็นอย่างนั้น ก็ทำไปตามมีตามเกิด ไม่ใช่ว่าอวดกล้า ไม่ใช่ว่าอวดความสามารถว่าจะได้ไปทั้งหมด แต่ว่าก็ต้องได้มากเหมือนกันนะ ปรากฎว่าทำให้เด็กบางคนเปลี่ยนนิสัยหรือว่ามีหลักเกณฑ์ที่ยึดมั่น ถือมั่นที่ดี ปลอดภัยเป็นที่เบาใจแก่บิดามารดา ถ้ามีใครมาถามปัญหาเกี่ยวกับชีวิต ผมก็โยนไปที่นั่นนะ ไปที่อาจารย์ไสว นี่ว่าถามปัญหาชีวิต แม้จะเป็นเรื่องส่วนตัวหรือค่อนข้างจะเป็นความลับก็ไม่เป็นไร ก็ได้เพราะรับแก้ปัญหาส่วนตัว นี่คือข้อที่ 1 ถามปัญหาชีวิตไปที่โรงปั้น.
ข้อที่ 2 ถามปัญหาทางการปริยัติโดยที่เนื่องกันกับคัมภีร์ มันก็ดูว่าที่ไหน ที่ห้องสมุด ที่ภิกษุบางรูป ที่ผมเองก็ได้ในบางที เรายินดีที่จะตอบปัญหาในด้านปริยัติหรือพระคัมภีร์ตามที่ได้คุ้นเคยมาเป็นเวลาสิบ สิบปี พอที่จะนึกออก ว่าอะไรว่าอย่างไร อะไรว่าอย่างไร อยู่ที่ไหนในทางปริยัติ อีกแง่หนึ่งก็เป็นการขยายใจความแก้ปัญหา ตีความหมายแห่งข้อความนั้นๆ อย่าเข้าใจว่าพระไตรปิฎกนั้นนะ พอมาอ่านแล้วจะรู้เรื่อง มันไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่อาจจะรู้เรื่องเพราะมันต้องตีความหมายที่ถูกต้องอีกอย่างหนึ่ง อีกทีหนึ่งนั่น ถ้าพระไตรปิฎกเอามาอ่านรู้เรื่อง คนก็เป็นพระอรหันต์กันหมดนะ มันยังจะต้องรู้ความหมายที่ถูกต้อง จึงจะเอาไปปฎิบัติได้ นี่ก็ถือไว้เป็นหลักทั่วไปเถิด แล้วก็มีอยู่เป็นอันมากที่ตีความผิด ใช้ไม่ได้ก็มีอยู่มาก ตายด้านก็มี บางทีความถูกต้องก็ใช้ปฏิบัติได้ อ่านพระไตรปิกฎก็จะเป็นประโยชน์ว่าที่จริงแล้วมันก็อยู่ในจิตใจของมนุษย์ พระไตรปิกฎที่แท้จริงมันอยู่ที่ชีวิต เหตุการณ์ในชีวิตของมนุษย์ พระไตรปิกฎที่เป็นคัมภีร์ มันเป็นเรื่องบันทึก บันทึก จดบันทึกในสิ่งต่างๆ ที่เขาเคยพูด เคยคิด เคยสอนอะไรกันมาแล้ว เพื่อจะให้รู้ลึกเข้าไปถึงพระไตรปิฎกชีวิต นี่ก็เหลืออยู่เป็นหน้าที่ที่จะต้องศึกษา พยายามที่จะตีความหมายให้ถูกต้องลึกเข้าไปจะใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตได้ แต่เอาหล่ะเป็นอันว่าถ้ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ เราก็พยายามที่จะช่วยเหลือ ตอบคำถามให้ดีที่สุดเมื่อโอกาสอำนวย.
ข้อที่ 3 ศึกษาธรรมะจากภาพปริศนาธรรม ที่โรงมหรสพทางวิญญาณ จะต้องรู้ความหมายว่ามันเป็นรูปภาพอย่างหนึ่ง และก็มันเป็นปริศนา คือมันมีความหมายที่ซ่อนอยู่ในรูปภาพ เรียกว่าภาพปริศนาธรรม ข้อนี้ก็ดีมากคือรวบรวมความคิดที่ฉลาดๆของคนโบราณ เอามาใช้ เอามาศึกษาได้โดยที่เราไม่ต้องคิดเอง มันลัด มันเรียนลัด สะสมสติปัญญาอย่างลัด เราคิดเอง ไม่มีทางจะทำได้ ตายไปสัก 10 หน มันก็ไม่หมด คงไม่สามารถ เท่าที่เขาได้เคยคิดกันไว้ คนเราสนใจ ใช้ภาพเหล่านั้นให้เป็นประโยชน์ เข้าใจความหมายของภาพๆ หนึ่ง คือธรรมะข้อหนึ่งนี่อาจจะมากกว่าหนึ่งข้อก็ได้ เพราะมันตีออกมาได้เป็นหลายความหมาย ภาพปริศนาธรรมเหล่านั้นนะ มีทั้งที่มันเป็นของเดิม ที่บรรพบุรุษ พุทธบริษัทเขาคิดขึ้น แล้วก็ของใหม่ที่พุทธบริษัท หรือที่ไม่ใช่พุทธบริษัททั้งหลายเขาคิดขึ้น มีทั้งอย่างจีน อย่างญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคลัง พวกจีน พวกญี่ปุ่น เนี่ยเป็นพลังคลังภาพปริศนาธรรม ใช้มากที่สุด ใช้ประโยชน์มากที่สุด ศิลปะภาพเขียนของพวกฝรั่ง เรื่องบ้าๆ บอๆ ทั้งนั้นแหละ เรื่องกามมารมณ์ เป็นส่วนมาก เรื่องอัศจรรย์ ไม่มีภาพปริศนาตามมา และภาพของจีน ของญี่ปุ่นเนี่ย โดยเฉพาะของพวกเซ็น มันเป็นภาพปริศนาธรรมทั้งนั้น ใช้ในการศึกษาธรรมะได้อย่างดี ลองไปใช้ ของไทยเรามีชุดที่เรียกว่า “กายนคร” อยู่ชุดหนึ่ง ชุดหนึ่งก็ “หนวดเตาเขากระต่าย” มีสองชุด มันเผอิญที่มันมีสมุดชนิดที่เหลืออยู่เอามาเขียนทอดไว้ไม่ให้สูญ ให้เสีย เช่น หนวดเต่าเขากระต่ายนั่น ได้มาด้วยความยากลำบากต้องไปค้นที่หอสมุดแห่งชาติ มันกระท่อนกระแท่น สมุดข่อยที่ขาดเป็นชิ้นเป็นชิ้น ไม่สมบูรณ์ ต้องไปถ่ายเอามาทั้งหมดนั่นนะ ทั้งหมดเลย ขอบคุณคุณรบินทร์ บุญนาค ช่วยทำจนสำเร็จ จนได้มาคิดนึกศึกษา และทำให้มันติดต่อเป็นเรื่องเป็นราว กล้าท้าด้วยซ้ำไปว่า พนักงานที่หอสมุดแห่งชาติ ก็อธิบายไม่ได้ ไม่รู้ว่าอะไร เราเอามาอธิบายซะก่อน (นาทีที่ 0.49.24.8)…. เขายังสงสัย อธิบายถูกหรือผิด หรือได้ยินว่าศึกษาอย่างนั้นว่า … (นาทีที่ 0.49.31.9) ท่านพุทธทาส เอาไปอธิบายว่ามันถูกหรือผิด เดี๋ยวนี้ทำไมทำออกมาแล้วทางพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ หอสมุดแห่งชาติไม่เคยโฆษณาทำออกมา ดีที่สุดสำหรับจะคนต่างประเทศ ฝรั่งมังค่า เพราะความคิดนึกในทางธรรมะ ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นรูปภาพนี่ อยากจะอวด ไม่มีชาติไหนทำได้ดีเท่าบรรบุรุษของเราจุดนี้ ถ้าเป็นภาพปริศนาที่จะใช้ หรือ ธรรมะ ไม่มีใครทำที่ไหน ได้ลึกซึ้งเหมือนกับชุดนี้ ชุดของไทยเราเนี่ยอวดได้ทีเดียว ไม่รู้ ว่าใครจะช่วยอวดสักที ชุดของจีน ของญี่ปุ่นก็วิเศษ ของเก่า ของโบราณ เพราะของใหม่ๆ ที่ฝรั่ง ยิวอเมริกันคนหนึ่งที่เขาทำขึ้น เรียกว่า เชลแมน นายเชอร์แมน (นาทีที่ 0.50.34.9) เค้าบวชเป็นพระ แล้วเขาก็คิดนึกอะไรได้ก็เขียนเป็นภาพ ภาพเขาเรียกว่าภาพ แกะไม้ และพิมพ์ลงกระดาษสา ภาพนี้มีค่ามากที่สุด แล้วมันก็น่าอัศจรรย์ที่มันไม่สูญหายไปซะได้ นายเชอร์แมนไปตายที่เกาะพงัน พระเชอร์แมน ภาพเหล่านี้มันอยู่ในรัง…(นาทีที่ 0.51.09.6) เต็มไปด้วยขี้แมงสาป เมื่อเขาเอามาให้ผม ถ้าเผอิญใครมันเอาไปทิ้งเสีย หรือเอาไปเผาเสีย มันก็ได้สูญหายไป..(นาทีที่ 0.51.20.1) ไม่ได้มาที่นี่ บังเอิญที่เขาเอามาให้ผม อาจารย์ประเดิม วัดเพลงอุตส่าห์เอามาให้ ซึ่งแกก็ไม่รู้มันว่าอะไร ภาพอะไรก็ไม่รู้ เราเอามาคัดเลือก คัดเลือก คัดเลือก รู้ความหมาย เอามาเขียนที่นี่ รักษาไว้ เผื่อโชคดีที่มันไม่สูญหายไปเสียพร้อมกับเจ้าของที่ตายไปแล้ว มันมาอยู่ที่นี่ใช้เป็นประโยชน์ทุกภาพ เรียกว่าภาพปริศนาธรรมใหม่ ใหม่ยุคปัจจุบัน ส่วนของเก่าเป็น พันปี เป็นของจีนมันก็มี ของไทยเราก็มี ผมก็เซาะหา ไม่ให้มันหลงหูหลงตาเท่าที่จะเซาะหาได้เอามาเขียนไว้ที่นี่ แต่ถ้ามันหลงหูหลงตาก็ทำยังไงได้เล่า มันไม่พบ แต่ถ้าว่าพบก็จะต้องเอามาเขียนรวมกันอยู่ที่นี่ ของทิเบตที่ว่าเขียนดีที่สุดก็เอามาเขียนไว้ เรียกว่าการศึกษาธรรมมะโดยรูปภาพ อยากจะพูดสักหน่อยว่า เรามันโง่ไม่รู้เรื่องนี้ ทั้งที่คนป่าตั้งก่อนประวัติศาสตร์มันก็รู้ก็เขียนพนังถ้ำไว้ คนไปพบข้างหลัง เรียกว่าภาพก่อนประวัติศาสตร์ ไม่รู้ว่าอะไร ผมถือว่าภาพเหล่านั้นคนป่าสมัยนั้นได้เขียนผนังถ้ำที่จะสอนลูกสอนหลาน เหมือนหนังสือเลยที่เขียนด้วยรูปภาพ ที่แท้อธิบาย ซึ่งผมก็เดาเหมือนกันนะ เพราะมันไม่ค่อยรู้ แต่เดาว่าต้องเป็นภาพที่ใช้สอนลูกหลาน เป็นรูปวัวแล้วมีหลักปัก มีเชือกขึงทิศนั้นโยงไปที่นั่นที่นี่ คล้ายๆกับจะสอนว่า ถ้าจะจับวัวป่าจะต้องทำอย่างไร ถ้าจะจับปลาวาฬจะต้องทำอย่างไร มีจุดมีอะไรอย่างไร มีเทคนิคยังไง อย่าทำเล่นกับคนป่า ทำให้คนปัจจุบันกลายเป็นคนโง่ ไม่รู้ว่าอะไร นี่มันวิเศษตรงที่แม้ไม่รู้หนังสือ เขาก็ยังสืบกันไว้ได้ เขาก็สอนกันไว้ได้ สอนกันได้ทั้งที่คนมันไม่รู้หนังสือ มันไม่มีหนังสือใช้ อย่างยุคสมัยสุโขทัยนี่ ไม่กี่ร้อยปีนี้ คนก็ยังไม่รู้หนังสือ แต่เขาก็มีรูปภาพเหล่านี้ ใช้เขียน ใช้สอนกันด้วยรูปภาพให้คนที่ไม่รู้หนังสือ รู้ความหมาย รู้ธรรมะได้ ผนังโบสถ์ยุคกรุงศรีอยุธยา เขียนภาพปริศนาธรรมทั้งนั้นแหละ เพิ่งมาเลิกเขียนยุคกรุงเทพ ยุครัตนโกสินทร์ไม่เขียนภาพปริศนาธรรม มาเขียนภาพพุทธประวัติ จะคิดยังไงกันก็ไม่รู้ หรือเขียนภาพอื่นๆ เป็นเรื่องรามเกียรติ์ เป็นอะไรกันไปตามเรื่อง ภาพปริศนาธรรมชั้นสูง มันลึกอย่างที่มีในสมุคข่อยเนี่ย เรื่องช้างกินน้ำสามสระ เรื่องกิเลสบ้างยังเหลือบ้างในวัดที่สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา เช่นวัดโพธิ์บางโพ วัดอะไรก็ไปดูกันก่อนนะเหลืออยู่ อย่างน่าเศร้าที่สุด โบสถ์นั้น ก็จะร้างเขาปล่อยให้น้ำฝนรั่วไหลลงมา ตะไคร่จับที่ภาพเหล่านั้นโดยไม่มีใครสนใจ สอนปรมัถตธรรมอย่างสูง ผนังโบสถ์ เขาใช้แต่สมุดข่อยทิ้งไว้กลางโบสถ์ ทายก ทายิกาไม่รู้หนังสือ สมาชิกดูกัน บอกกันให้อธิบายกันเอง ไม่เท่าไหร่ทุกคนรู้ธรรมะหมดทั้งที่ไม่รู้หนังสือจากสมุดข่อยที่ทิ้งไว้กลางโบสถ์ เคยไปเห็นที่วัดเฉลิมพระเกียรติ วัดเก่าแห่งหนึ่งมีภาพสมุดข่อยปริศนาธรรมทิ้งไว้กลางโบสถ์ ให้ทายก ทายิกาเปิดดูกันเอาเองในวันอุโบสถ วันรักษาศีลก็รู้ธรรมะกันได้โดยที่ไม่ต้องรู้หนังสือ พวกเด็กๆเอาไปขายฝรั่งก็แยะ หายากแทบจะไม่มีเหลือ เนี่ยเรียนธรรมมะโดยรูปภาพ มันฝึกความคิดอย่างเฉลียวฉลาด อย่างยิ่งพร้อมกันไปในตัวโดยที่ไม่รู้สึก มันดีว่านั่งเทศจ้ออยู่บนธรรมมาส มันเป็นการลับสติปัญญาให้คม เพื่อให้คิดนึกภาพปริศนาธรรม เราเห็นประโยชน์อย่างนี้จึงเอามาใช้เขียนไว้ที่นี่ ใช้เป็นเครื่องมือสำหรับลับสมองให้แหลมคม แต่คนโง่ไม่ชอบ ขอย้อนพูดถึงภิกษุเชอร์แมนใหม่ คนนี้ก็มาที่เรียกว่าเป็นศิลปิน จัดฉากละครมีชื่อเสียงด้วย เขาฉลาด จัดฉากละคร จัดฉากเพื่อแสดงหนังอะไรกันที่อเมริกาโน่น มีความฉลาดเป็นต้นทุนมาศึกษาพุทธศาสนา ไปเมืองจีน ไปญี่ปุ่น ไปทิเบต ไปไรมา ตั้งใจจะมาที่สวนโมกข์ อาจารย์ ประเดิม ...(นาทีที่ 0.57.53.8) เกาะพงัน หลงติดอยู่ที่นั่นพักนึงแล้วก็ตาย ไม่ได้มาสวนโมกข์ คุณดูเถอะภาพที่เชอร์แมนเขียน ทุกภาพนะลึก ถึงขนาดที่คนโง่มันว่าไม่มีความหมายอะไร ถ้าภาพมันลึกแล้วคนโง่จะพูดกันบ้าๆ บอๆ ไม่มีความหมายอะไร งั้นอย่าไปดูถูกมัน ภาพแรกที่สุดซ้ายมือเข้าไปจากสวนนี่ ภาพพระพุทธเจ้าอยู่ที่หลังม่าน แหวกม่านแห่งความโง่ ม่านอวิชชาของคุณออกไปสักนิดนึง สักหน่อยนึง คุณจะพบว่า พระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ตรงนั้น นั่งอยู่ที่ตรงนั้นแหละ พบพระพุทธเจ้านั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าที่วัดหรือที่อินเดีย เสียค่าเรือบิน แหวกม่านความโง่ของคุณออกไปหน่อยจะพบกับพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ตรงนั่น คนโง่มันไม่รู้ว่าม่านความโง่ของกูอยู่ที่ไหน มันโง่ถึงขนาดนั้น มันจะแหวกถูกเหรอ มันจะแหวกได้เหรอ คนไม่รู้ แม้กระทั่งม่านความโง่ของกูอยู่ที่ไหน ไม่รู้จะแหวกได้อย่างไร มันฉลาดว่านี่ม่านความโง่ของกู แหวกออกไปหน่อยพบพระพุทธเจ้านั่งอยู่ที่ตรงนี้ ถ้าจะมองดูในแง่ที่ด่า มันก็ด่าเหลือประมาณนะชาตินี้ ถ้ามองดูในแง่สอนก็สอนเหลือประมาณ สอนลึกเหลือประมาณ แต่คนผ่านไป ผ่านมาวันหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้ง มันได้รับประโยชน์จากภาพเหล่านี้ ก็ต้องขอเรียกมันว่าไอ้ชาติโง่ มันก็ได้รับประโยชน์จากภาพที่เขามาไว้ ให้ศึกษาให้เป็นประโยช์ ภาพเหล่านั้นมันสำหรับด่าคนโง่ สำหรับฝึกสอนคนโง่ มันจะได้ประโยชน์ ให้ชัดเจน ให้อะไรมากนัก เว้นไว้แต่คนมันหายโง่ มันรู้จักถือเอาความหมาย จะทุกภาพ เชอร์แมนเขียนไว้มีความหมายด่าคนโง่ ด่าคนโง่ ภาพเป็นภาพจีนก็ดี จีนก่อนเซนก็มี แม่น้ำคด น้ำไม่คด คนโง่ฟังไม่ถูกได้แต่อวดดี แม่น้ำคดแต่น้ำไม่ได้คด เด็กๆ มันคิดจะแต่ไม่ยอมเชื่อว่าแม่น้ำคด แล้วน้ำจะไม่คดได้อย่างไร นี่มันไม่รู้จักว่าน้ำคืออะไร แม่น้ำคืออะไร คนโตๆ ก็อาจจะโง่กว่าเด็กๆ ก็ได้ แม่น้ำมันคด น้ำมันก็ต้องคด ทีพอไปศึกษาเขาเขียนไว้ดีมากและก็ด่าไว้พร้อมกันในตัว แม่น้ำจะเลี้ยวคดไปยังไง ไอ้น้ำมันคดไม่ได้ ผมรู้สึกว่าภาพเหล่านี้มีค่ามหาศาลแต่คนได้รับประโยชน์นิดเดียวเพราะความโง่ของเขา เพราะเขาดูถูก เขาไม่สนใจที่จะทำกับมันอย่างจริงๆ จังๆ เพราะไม่ได้รับประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ ถ้ามีเวลาขอให้สนใจหน่อย มันกินเวลาเพราะมันเป็นเรื่องลึก มันกินเวลาแต่ถ้าได้ความรู้แล้วมันก็คุ้มค่า เวลาที่เสียไป งั้นใครมาที่สวนโมกช์ขอให้ได้ประโยชน์จากภาพปริศนาธรรมให้มากที่สุด ภาพคนตีระฆังแล้วก็เขียนไว้ อนันต จากอนันตสู่อนันต จากความไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ความไม่มีที่สิ้นสุด ก็เป็นภาพที่ดีของเชอร์แมน แสดงลักษณะของปัจจัยการปรุงแต่ง…(นาทีที่ 1.02.55.1) สังกัปปะเนี่ย มาจาก สังกัตตพะ เป็นสังกัตตะ ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นความหมายลึกตามปรมัติธรรม แต่พวกอธิบายจะอธิบายได้หรือไม่ก็ไม่ทราบนะ ก็ขอสารภาพว่ายังไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนให้ผู้อธิบายภาพนั้นเข้าใจอย่างถูกต้องทุกภาพและอธิบาย อธิบายกันตามพอใจ ถ้าใครไปอธิบายผิดๆ ก็คงจะมี ก็คงจะมีแน่ เพราะมันลึก ตั้งใจอยู่ว่าจะอบรมกันสักที อธิบายภาพปริศนาธรรมให้มันถูกต้องแต่ก็ยังไม่ได้ทำ นี่ข้อนี้เรียกว่าศึกษาภาพปริศนาธรรมในโรงมโหรสพทางวิญญาณ.
ข้อสี่ ศึกษาธรรมจากสิ่งอุปมา วัตถุอุปมาที่ได้ทำขึ้นและก็ได้พยายามจะทำอะไรขึ้น สนับสนุนการเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้ง นี่ก็เช่นสระนาฬิเก ต้นมะพร้าวกลางสระอยู่ทางทิศใต้ มันเจตนาทำขึ้นแทนทะเลที่พึ่ง มีมะพร้าว นาฬิเกอยู่กลางสระ ใช้รถแทรคเตอร์ ดี เจ็ด ซึ่งทำงานได้มากที่สุด ดีเจ็ดมันใหญ่กว่าเพื่อน ทำอยู่หนึ่งเดือนเสร็จเลย จึงได้สระอันนั้นขึ้นมา สระนาฬิเกกลางทะเลที่พึ่ง นี่ก็เพื่อจะรักษาความหมายของบทเพลงกล่อมลูกของเมืองนี้ ไว้ให้เป็นหลักฐาน ให้เชื่อว่าพุทธศานาได้มาที่นี่พันกว่าปีแล้ว ประชาชนล้วนได้รู้ธรรมะ รู้ธรรมะลึก จนรู้สึกว่า นิพพานอยู่ท่านกลางวัฏสงสาร จะไปหานิพพานหาที่ท่ามกลางวัฎฎสงสาร หาความดับทุกข์คือตัวความทุกข์ หาความดับไฟคือตัวไฟ ถ้ามันดับไฟมันก็มีที่ตัวไฟ หาดับไฟที่ตัวไฟ เป็นบทเพลงสำหรับ กล่อมลูกให้นอนลึกถึงเรื่องนิพพาน มีอยู่หลายบท แต่บทที่น่าจับใจที่สุด คือบทมะพร้ามนาฬิเก ต้นเดียวโนเน กลางทะเลที่พึ่ง ฝนตกไม่ต้อง ฟ้าร้องไม่ถึง กลางทะเลที่พึ่ง ถึงได้แต่ผู้พ้นบุญ ฟังแล้วฟังไม่เข้าใจใช่ไหม ฝนตกไม่ร้อง ฟ้าร้องไม่ถึง ก็หมายความว่าอย่างไร คือมันไม่มีความทุกข์เลย มะพร้าวนาฬิเกอยู่กลางทะเลที่พึ่ง มะพร้าวคือนิพพานอยู่กลางทะเลที่พึ่ง คือทางวัฏสงสาร เดี๋ยวเป็นกุศล เดี๋ยวเป็นอกุศล เดี๋วเป็นบุญ เดี๋ยวเป็นบาป เดี๋ยวเป็นบวก เดี๋ยวเป็นลบ กลางทะเลที่พึ่ง กลางทะเลที่พึ่ง วัฏสงสารความทุกข์นะนั่นมี พระนิพพนาน คนโง่ๆ เดี๋ยวนี้ คิดจนตายไปตั้งสิบครั้งก็ยังไม่รู้ ปู่ย่า ตายายมันรู้คิด รู้ว่าพูดอย่างนี้ พูดแล้วก็ยังไม่ค่อยจะรู้ เนี่ยทำขึ้นมา ให้ประกอบการศึกษา ให้พูดเรื่องนิพพานกันให้ดีเลย ยกกองไปนั่งคุย นั่งพูดที่ริมสระนั่นแหละ อย่างนี้เคยทำไม่ใช่ไม่เคยทำ ผมเนี่ยเคยทำ เคยทำกับคุณสัญญา ธรรมศักดิ์ คนที่มีสติปัญญาอย่างอุกกฤษ ยกกองไปนั่งกันริมสระนาฬิเก ไปอธิบายเรื่องนิพพานกันทุกแง่ทุกมุม ใช้ต้นมะพร้าว ใช้น้ำทะเลที่พึ่งนี่เป็นเรื่องประกอบ ได้ผลดี สนุกด้วย ได้ผลดีด้วย ลืมไม่ได้เลย มันมีประโยชน์อย่างนี้ ศึกษาจากของที่ทำขึ้น ลองดู นี่พูดอธิบาย สามารถไปนั่งอธิบายกันที่ตรงนั้น ได้ประโยชน์ดี หลายข้อ บทเพลงเรื่องมะม่วงหิมพานต์ ก็ดี เรื่องส้มซ่าก็ดี และก็อีกหลายๆ บทมันเล็งถึงนิพพานทั้งนั้น แสดงว่า บรรบุรุษเข้าใจเรื่องนิพพานแล้วมีด่ามีล้ออยู่ในนั้นเสร็จเลย มีหลายบท แต่บทเรื่องมะพร้าวนาฬิเก เราอยากจะรักษาไว้ เลยลงทุนเสียเงิน ทำขึ้นมาเพื่อเป็นสระนั้น นี่เราเรียกว่า อุปมาธรรมะ ธรรมะอุปมา ใช้ประกอบการศึกษา ที่นี่การศึกษาปัจจุบัน เขาเรียกว่า เรียนด้วยของ เรียนด้วยหนังสือก็เรียนไป แต่จะเรียนด้วยสิ่งของยังมีประโยชร์ลึกมาก นี่อยู่ในประเภทที่เรียนด้วยสิ่งของ ควรจะมีกันให้มาก มากๆ ให้พอ เช่นเราแกล้งทำตึกหลังนั้นให้เป็นรูปเรือ ที่ตึกอาคันตุกะ พักใช้เป็นโรง (นาทีที่ 1.10.06.3) ทำให้เป็นรูปเรือก็เพื่อใช้เป็นสิ่งของ ใช้เป็นสิ่งงของ ให้เห็นว่าเรือ พาหนะข้ามจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น (นาทีที่ 1.10.24.3) ปารังฝั่งโน้น ฝั่งพระนิพพานเรียกว่า ปารัง จีรังฝั่งนี้ ฝั่งโลก ฝั่งโลกียะ ไอ้เรื่องเรือนี่สะดุดใจผม เมื่อเห็นภาพการขุดค้นก่อนประวัติศาสตร์ หลุมศพ คนโบราณก่อนประวัติศาสตร์ บางศพมันพบหินสลักเป็นรูปเรือเล็กๆ วางไว้ สองข้างศพ เดาเอาเองว่า คนเหล่านั้นนะ คนโบราณเหล่านั้นก่อนประวัติศาสตร์มันรู้จักว่าเรือนี่มีความข้าม ข้ามฟาก ข้ามทะเล คนนี้ตายไปแล้วมันจะไม่มีเรือข้ามฟาก ต้องทำให้มันไว้ด้วย ให้มันใส่ในหลุมศพของมันไว้ด้วย นี่มัน มันก็ไม่ใช่เรื่องนะ มันฉลาดกว่าคนสมัยนี้ เรือมันข้ามฟาก ข้ามความทุกข์ไม่ใช่ว่าเอาไว้บรรทุก เรือบรรทุกของแล้วเราจะข้ามฝากจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งโน้น เราจะพยายามทำให้บทเรียนด้วยของอย่างนี้มีไว้ให้มากแต่มันก็ยังไม่ได้ทำกี่อย่าง เพราะมันยุ่ง มันมาก มันเรื่องมันมาก มันก็ทำ คิดได้อย่าง สองอย่างนี้ก็พอใจแล้ว ที่ท้ายเรือนะจะมีภาพหงษ์ดำ หงษ์ขาว หงษ์ดำเข้ามาจากทางนี้ หงษ์ขาวเข้ามาจากทางนี้ ก็มาถึงจุดกลาง ก็มีวงกลมคือว่าง กุศลหรืออกุศลก็ตามพอเข้ามาถึงจุดหนึ่ง สุญญตาก็กลายเป็นความว่างเสมอกันหมด เนี่ยธรรมะที่ลึก ธรรมะหลุดพ้น ธรรมะปรมัต แล้วก็สงสารตัวเอง มันไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครสนใจจะดูจะศึกษาจะเข้าใจ เป็นเป่าปี่แรกฟังอยู่อย่างนี้ ทั้งที่เราพยายามจะสอนด้วยสิ่งของเหล่านี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าทำได้ตามที่คิดนึกเอาไว้ มันมากมายกว่านี้อีกมาก นี่ก็ไม่ได้ทำ สำเร็จไปกี่อย่าง แต่เท่าที่ทำขึ้นแล้ว ก็ขอให้ใช้ให้เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะสระนาฬิเก ชอบใจมากแล้วก็ชอบใจอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ชอบใจ เขาไม่ได้ใช้ให้เป็นประโยขน์ สระ สระ หมายถึงทะเลที่พึ่ง ที่พึ่งถ้าร้อนก็เป็นของเหลว ถ้าเย็นก็เป็นของแข็งนั่นแหละคือกุศลและอกุศล สิ่งเดียวกันมันเพียงแต่ต่างกันนิดเดียว เมื่อร้อนหรือเมื่อเย็นเท่านั้น คือสิ่งเดียวกัน งั้นอย่ายึดถือให้มากนัก มันเป็นสังขารเหมือนกัน ยึดถือไม่ได้เหมือนกัน ทั้งกุศลทั้งอกุศล อธิบายกันสักชั่วโมงก็ได้ ความหมายของคำว่า ทะเลที่พึ่ง พระนิพพานก็อยู่กลางทะเลที่พึ่ง แต่มันไม่ใช่ตัวทะเลที่พึ่ง มันไม่เกี่ยวข้องกัน ความทุกข์ที่เกิดจากทะเลที่พึ่งถึงต้นมะพร้าวไม่ได้ ถึงนิพพานไม่ได้ อย่างนี้ ไปนั่งเพ่งสมาธิ ไปนั่งเพ่งวิปัสสนากันที่ตรงนั้น ไม่ต้องเที่ยวเหน็ดเหนื่อยบ้าๆ บอๆ ยุ่งยากลำบาก ไม่คุ้มค่า นี่ขอให้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ได้ทำขึ้นแล้วหรือมีอยู่ในสวนโมกข์ให้เป็นประโยชน์ ให้มากที่สุดเถิด.
ข้อห้า ศึกษาโครงกระดูก (นาทีที่ 1.15.00.0) ศาลาโรงธรรม ขอบคุณหมอประพันธ์ อารียมิตร ที่ส่งมาให้ ลงทุนเองซื้อเองอะไรเอง ส่งมาให้ที่ละโครง ๆ จนครบ โครงผู้ชาย โครงผู้หญิง โครงเด็ก พ่อ แม่ลูก ที่จริงเรื่องนี้มันก็ดูออกจะว่ามันเป็นประเพณีที่ซื่อเหลือเกิน อยู่มากเหมือนกัน แต่ก็ยังดี ถ้ายังไม่เคยสลดสังเวชในสิ่งเหล่านี้ เป็นการศึกษารื่องไม่สวยไม่งามเรื่องปฏิกูลมากกว่าเรื่องสุญญตา การหลุดพ้นแท้จริงมันเป็นของอนุปาทาน ไม่ใช่อุปปาทาน นี่เป็นเรื่องปฎิกูล เรื่องไม่สวยเรื่องไม่งาม แต่ก็ยังดีที่ในชั้นแรกตั้งต้นด้วยเรื่องนี้ โครงผู้หญิง มันเป็นเกิดหลอกกันว่า โครงกระดูกของนางงามคนใดคนหนึ่งก็ดีเหมือนกัน เราก็เอ่อดีแล้วแหละ ดูนางงาม ถ้าเรื่องเบ็ดเตล็ด คนๆหนึ่ง มัน มัน พูดว่าให้พูดถูกเลขสามตัวสักที กูจะแต่งงานกับนางงาม แล้วมันก็ไปถูกซะจริงๆ (นาทีที่ 1.17.05.7) ยังไม่ได้แต่งงานกับนางงาม เราเอาไว้สอนเด็กว่า อย่ากลัวผีเลย ผียังเหลือแต่กระดูก เหลือแต่ก้างเหมือนกับก้างปลา ทำไมจะต้องกลัว ตัวเรานี่มีทั้งเนื้อทั้งหนังทั้งเลือดทั้งกระดูก ทั้งอะไรครบหมด แล้วทำไมจะไปกลัวผีที่เหลือแต่กระดูก มันจะเอาอะไรมา แต่ไหนมาทำอันตรายเรา เด็กๆ มันก็ยังไม่ยอมเชื่อ เหลือแต่กระดูกแท้ๆแล้วมันกลับว่าเก่งกล้าสามารถ มีครบ เมื่อแรกเอามาใหม่ๆ มีคนมาดู นักเรียนครูพามาดู มาศึกษา ได้ความรู้บางอย่าง ในการที่จะเอาโครงกระดูกมาแขวนให้ดู นักเรียนบางคนอ่ะ มันคงทะลึ่งหรืออวดดี มันบ้าบิ่น มันอวดดี มันอวดความรู้อะไรของมันนักหนา มันแสดงเป็นผู้ไม่กลัวเข้าไปจับเข้าไปลูบ เอาโครงกระดูกมาครอบมัน เพราะว่าแขวนไว้ต่ำๆ เด็กบางพวกเป็นซะอย่างนี้ แต่มีไม่กี่คนนะสองสามคนที่กล้าทำอย่างงั้นอวดคน นอกนั้นก็ยืนดูอยู่ใกล้ๆ นอกนั้นก็ไม่กล้าเข้าไปใกล้ยืนดูอยู่หลังแถวสุด แล้วยังมีสองสามคนไม่กล้าขึ้นไปดูบนโรงธรรมดูอยู่ชั้นล่าง ชั้นล่างลงบันไดมันอยู่ชั้นล่างมันไม่เข้ามา ดูใกล้ๆ ไม่กล้าเข้ามา ในเมื่อเด็กคนหนึ่งมันเอาหัวของมันเข้าไปถูกับโครงกระดูก แล้วได้ผลในที่สุดว่าไอ้ที่มันเดินๆ มันไม่กล้าเข้าไปดู มันอยู่ไกลๆ ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมาบนในศาลา กลับไปบ้านคืนนั้นเป็นไข้ตัวร้อน คิดดูนะ ผีนี่มันหลอกจริงๆ เห็นไหม มันหลอก ผีมันหลอกเหลือประมาณ นี่ก็เป็นเรื่องที่ควรจะรู้กันไว้ ควรจะรู้ไว้แก้ปัญหาอะไรต่างๆ ความกลัวนี่คือความโง่ บรมโง่ เพื่อลงโทษอันสาสมกับที่มันโง่ นี่เรื่องของโครงกระดูก ศึกษาในแง่ปฎิกูลก็ได้ ศึกษาในแง่หลอก หลอกให้โง่ มันมีแต่กระดูกก็ยังกลัว ๆ นี่ตัวเองมีทั้งเนื้อทั้งหนังทั้งเลือดทั้ง อะไรทุกๆอย่าง มีกำลัง กลับไปกลัวไอ้ที่มันเหลือแต่กระดูก นั่นก็เรียกว่า อุปทาน อุปทาน ก็จะสอนให้รู้จักเรื่องนี้ งั้นก็จะได้ฉลาดแยะแหละ ถ้าไม่เคยดูก็ไปดู อุปทานที่มีอยู่แต่ก่อน จะทำให้รู้สึกกลัว รู้สึกเสียว รู้สึกขยะแขยง รู้สึกอะไร ทีเอากระดูกหมูยัดเข้าไปในปากเขี้ยวอร่อยไปเลย ทำไมมันไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งที่มันเป็นกระดูกเหมือนกัน กระดูกไก่ กระดูกหมูก็มันกินเข้าไปเลย ทีกระดูกคนมันกลัวเกือบตายนี่เอาไว้วัดไว้อะไรกันบ้าง โครงกระดูกนี่ใช้เป็นอารมณ์ของกรรมฐาน ของสมถะกรรมฐานอันหนึ่งปรากฎในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ถึงจะไม่ใช่พุทธสุภาษิตแต่ก็มีประโยชน์ โครงกระดูกที่เราควรจะเนื้อตัวของเราดูอยู่บ่อยๆ ทุกวันๆ ที่มีอยู่ข้างในนี่ ทำอะไรไปบ้างน่ากลัวไหม มีความหมายว่าอย่างไร อีกทางหนึ่งเขาพวกเล่นผี พวกหมอผี เล่นผีใช้เป็นอีกทางหนึ่ง ประโยชน์อีกทางหนึ่งไม่ได้ใช้ศึกษาธรรมมะ เนี่ยดูความคิดของคนเรามันแตกแขนงไปได้หลายๆ ทิศทาง.
ข้อที่หก ขอความเห็นและโอวาทเพื่อศึกษาความเห็นหรืออาจให้คำสั่งสอนที่กุฏิอาจารย์ และที่อาจารย์บางรูป นี่ถือว่าผู้สั่งสอน ผู้เทศน์ทุกรูปมีความรู้ มีความเข้าใจในอะไรบางอย่างที่จะไปขอปรึกษาความคิด ความเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้มีอยู่ในสวนโมกข์ไม่เคยขาด ต้องการโอวาท ต้องการความคิดความเห็นอะไรต่างๆ สนทนา หารือกับท่านเหมือนที่ทำกันอยู่ ทำกันอยู่ ทำกันอยู่ ข้อนี้ก็ไม่ต้องอธิบายอะไร มีโอกาส มีเวลาก็คุยกันได้ แต่โดยมากชักจะมาขอความคิด ความช่วยเหลือต่อเมื่อโรคประสาทกินเขาไปกว่าครึ่งตัวคือ บ้า ไม่ได้มาขอความเห็น ขอความรู้ ไม่ใช่คนปกติ ที่มีมาขอน้ำมนต์ มาขอให้เป่าหัว มาขอให้ทำอย่างนี้ เขาไม่ได้มาขอความรู้ ความเห็นหรือโอวาทอะไร เขาขอสิ่งที่เราไม่มีให้อย่างนี้ซะโดยมาก ก็บอกว่าทำไม่เป็น เขาก็ไม่เชื่อว่าเราทำไม่เป็น ให้พ่น ให้รดน้ำมนต์ ให้พ่น เป่ากะหม่อมทำไม่เป็น เขาไม่เชื่อ ที่เราทำนะเขาไม่ต้องการ.
เจ็ด ชมภาพปริศนาธรรมทุกรูปแบบ นี่มันไม่ได้หมายเฉพาะภาพเขียนอะไรก็ได้ ที่มันเป็นภาพปริศนา มีความหมายซ่อนอยู่และก็ทุกอย่าง ทุกรูปแบบ ภาพแต่ละภาพถ้าสนใจก็ต้องใช้เวลาโดยเฉพาะภาพสำคัญ ภาพยักษ์ ใหญ่ ปฎิจสมุปปาท นั่นนะไปศึกษาและกินเวลาชั่วโมงๆ นี่ก็พูดมาตะกี้ในอีกแง่หนึ่ง ทุกรูปแบบจากภาพเขียน ภาพวาด จากวัตถุต่างๆ ที่จัดไว้หรือจากตัวธรรมชาติเอง
ข้อแปด ชุมนุมหินสลัก พุทธประวัติ รอบตึกโรงมหรสพทางวิญญาณ ภาพนี่น่าเสียดาย น่าน้อยใจที่ว่าลงทุนมากแต่ว่ามันยังได้ประโยชน์น้อยเพราะคนเขาไม่สนใจ ผู้อธิบายก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง ให้รู้เรื่องพุทธประวัตินั้นไม่แปลกเพราะมันรู้กันอยู่แล้วว่าเรื่องพุทธประวัติเป็นอย่างไร แต่ที่มันแปลกเหลือประมาณก็คือว่าทำไมไม่ทำรูปพระพุทธเจ้านั่น ทำไมภาพพุทธประวัติทั้งหมดนั้นไม่มีรูปพระพุทธเจ้าหรือรูปพระสิถัตถะ แม้แต่ที่เป็นเด็กก็ไม่ทำ เรียกว่า พุทธประวัติยุคก่อนมีพระพุทธรูป จะใช้ที่ว่างที่ตัวเองหรือมิฉะนั้นก็ใช้สัญลักษณ์อื่นแทน พุทธประวัติไม่มีพระพุทธรูปเนี่ยวิเศษ แต่แล้วมันก็น่าเศร้าที่ว่าคนเขาไม่รู้จัก ก็มีหลักทั่วๆ ไปว่า พระพุทธเจ้าพระองค์จริงแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ พระธรรมองค์จริงแท้จริงก็ไม่แสดงได้ด้วยรูปภาพ พระสงฆ์องค์จริงก็ไม่แสดงได้ด้วยรูปภาพ ถ้าเป็นยุคแรกที่สุดของพวก (นาทีที่ 1.28.30.6) ... มันจะไม่มีทั้งรูปพระพุทธเจ้าและทั้งรูปพระสงฆ์ไม่มี ไม่ทำ ถือว่าไม่แสดงได้ด้วยรูปภาพ ก็เขามองลึกออกไปไกลจากร่างกาย ร่างกายพระพุทธเจ้านะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสว่าเห็นร่างกายกับไตรจีวรอยู่ไม่ใช่เรา ต่อเมื่อเห็นธรรมมะจึงจะเห็นเรา พระพุทธเจ้าพระองค์จริงจึงแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพ รูปรุ่นแรกๆ ของสัญชีเป็นต้นแล้ว แม้แต่รูปปัจจวัคคี ก็ไม่แสดงด้วยรูปคน ยุคต่อมาจึงค่อยแสดงด้วยรูปคน รูปพระสงฆ์ ยังไม่แสดงรูปพระพุทธด้วยรูปภาพ แต่แสดงรูปพระสงฆ์ก็มีแล้ว และต่อมาก็แสดงเต็มที่ ประเทศอินเดียเนี่ยมันหลายพันปี เมื่อก่อนพุทธกาลสองสามพันปี เขาถือเรื่องรูปเนี่ย ถือแน่นแฟ้น สร้างกันมากมายรูปพระเจ้า องค์นั้น พระเจ้าองค์นี้มากมายมหาศาล ก็ขุดพบรูปพระเจ้านานาชนิดเหล่านี้ มากมายก่ายกองเป็นพันเป็นหมื่นเป็นแสนที่ตรงนั้น (นาทีที่ 1.30.05.5) ทั้งหมดนั้นนะเคยเจริญด้วยเรื่องอย่างนี้ การขุดพบใต้ดินพบรูปพระเจ้าทั้งหลาย เขาก็เก็บแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ไปดูที่อินเดียก็ได้ รูปพระจันทร์ รูปพระอาทิตย์ รูปพระเจ้านั้นพระเจ้านี้มีแยะ แล้วต่อมาคนมันฉลาดขึ้น ๆ มันไม่ถือไอ้ตัวรูปเคารพว่านั่นเป็นพระเจ้า จนกระทั่งมารู้ถึงที่สุดในยุคพุทธกาลว่าพระเจ้าแท้ๆ แสดงไม่ได้ด้วยรูป เลิกถือ ถือกันอย่างนี้หมดทุกลัทธิ ทุกศาสนาในอินเดีย ยุคก่อนพุทธกาลเล็กน้อยจนถึงยุคพุทธกาล มันก็จะไม่มีรูปเคารพแห่งศาสนาใดๆ ในยุคนั้น ต่อมานี่มันค่อยเลือน ค่อยเลือน ค่อยเลอะ ค่อยโง่ลง โง่ลงแล้วก็เริ่มทำกันขึ้นมาอีก อ้างว่าพวก (นาทีที่ 1.31.17.2) มานำขึ้นบ้าง อะไรบ้าง ที่จริงนะความโง่นะมันย้อนหลังกลับมา ทำๆๆ ทำให้มากขึ้น ๆ มากที่สุด (นาทีที่ 1.31.28.0) คำว่า ธรรมะจริง พุทธะจริงแสดงไม่ได้ด้วยรูปภาพและมันก็เปลี่ยนย้อนหลังไปหาสมัยโน้นสมัยสองพันสามพันปีก่อนพุทธกาล ทำรูปเคารพ รูปเหล่านี้เต็มไปหมด ยุคพุทธกาลเป็นยุคแสงสว่างถึงที่สุด ไม่มีรูปเคารพใดๆ รู้ไว้ว่าเรามันกลับไปกลับมาในความโง่เกี่ยวกับรูปเคารพมันกลับไปกลับมาอย่างนี้ รู้กันไว้ซะบ้าง ถ้ารูปเคารพเป็นองค์พระพุทธเจ้ามันก็เหมือนกับเด็กๆ อย่างนั้น ต่อเมื่อได้เห็นธรรมะคือเห็นพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธเจ้าคือเห็นธรรมะ นั่นจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น ดีขึ้น ผมต้องการจะให้รูปเหล่านี้สอนความจริงข้อนี้ แต่มันก็ไม่สำเร็จ ไม่สำเร็จ ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แต่ก็มันยากที่หาคนอธิบายให้ชัด ให้เข้าใจอย่างนี้ไม่ค่อยจะได้ อธิบายกันอย่างไรก็ไม่ทราบ ไม่ค่อยได้ไปดู มันไม่ได้ผลตามที่ต้องการ ว่าพระองค์จริงแสดงไม่ได้ด้วยรูป นี่คือประโยชน์ของหินสลัก ถ้าศึกษาและย้อนกลับไปหายุคที่สว่างไสวในยุคพุทธกาลไม่เอารูปหรือรูปธรรมเป็นองค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ความหมายคือธรรมะ สิ้นไปแห่งกิเลส สิ้นไปแห่งความทุกข์ รู้ความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ รู้ความดับลงแห่งความทุกข์ นี่ว่าเป็นองค์พระธรรม นี่ย้อนกลับหลังไปสู่ความโง่ของพระพุทธรูปคือพระพุทธเจ้า เอาหนังสือคัมภีร์เป็นพระธรรม เอาลูกชาวบ้านเป็นพระสงฆ์ นี่เรียกว่ามันย้อน ย้อนหลัง ย้อนถอยหลังไปหาความโง่หรือความไม่รู้ เราตั้งใจอย่างยิ่ง ตั้งใจอย่างนี้มันก็ไม่สำเร็จแล้วเรื่องมันก็ยุ่ง ไม่ค่อยจะมีแรง ไม่ค่อยจะมีเวลาที่จะไปอธิบายด้วยตนเอง ผมเคยไปอธิบายด้วยตนเองไม่กี่ครั้งต่อมาก็ไม่ได้ไป จากภาพพุทธประวัติเหล่านี้ศึกษาในแง่อื่นๆ ก็ได้ ในแง่ศิลปะก็ได้ ในแง่ประวัติศาสตร์ของการทำภาพเหล่านี้ก็ได้ จะพบว่าเราได้รับมาจากสายอมราวดี เรื่องพระสิตถัททะ(นาทีที่ 1.35.14.5) ขี่ม้า มีเทวดาชูกีบม้าไม่ให้มีเสียงได้มาจากสายอมราวดี นี่เรียกว่าศึกษาทางประวัติศาสตร์ ถ้าสายพาราหุท (นาทีที่ 1.35.28.0)ไม่ได้มีเทวดาชูเกือกม้า แต่มีเทวดาเอาดอกไม้มาโรยให้หนาทึบ ม้าวิ่งไม่มีเสียงอย่างนี้ ไอ้ลวดลาย (นาทีที่ 1.35.36.2) ที่ใช้อยู่ในเมืองไทยเนี่ยเห็นได้ชัดว่าออกมาจากแบบสกุลอมราวดี นี่เป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์หรือศิลปะ มีประโยชน์เหมือนกัน ถ้ารู้.
ข้อ 9 เรือโนอาร์ ขนสัตว์ข้ามฝากเป็นแบบพุทธที่เลียนแบบคริสต์ คำว่า เรือ เรือเนี่ยมันเป็นอุปมาของธรรมะ ธรรมะก็เหมือนกับเรือ หรือเหมือนกับแพ คือเครื่องข้ามฟาก สนใจกันไว้ให้มากว่าไม่ให้ยึดถือตัวเรือ ตัวแพ ให้ยึดถือมันเป็นเครื่องมือข้ามฟาก ยึดถือตัวเรือก็ไม่ขึ้นจากเรือ ก็ติดอยู่ในเรือ ทำอะไรไม่ได้ เอาเรือเป็นเพียงเครื่องข้ามฟาก และเห็นว่าชีวิตนี้ต้องข้ามฟาก พูดอย่างวัตถุก็อย่างที่เรียกข้ามวัฏฏะสงสารเหมือนที่เขาพูดๆ กัน พูดอย่างภาษาคนในด้านจิตใจก็คือว่า จิตใจมันต้องสูงขึ้น ๆๆๆ ข้ามพ้นจากความทุกข์ที่มันมารบกวนจิตใจ เนี่ยเรือมันก็ข้ามฟากอยู่ภายในจิตใจ ไม่ต้องออกไปที่วัด ธรรมะ พระธรรมเหมือนกับเรือ คุณมาศึกษาหาความรู้เรื่องธรรมะก็ขอให้เข้าใจเรื่องนี้ จัดให้มันเป็นเครื่องข้ามฟาก ข้ามฟากจากความทุกข์ไปสู่ความไม่มีทุกข์ พูดอย่างภาษาคนก็ข้ามวัฏฏะสงสารไปสู่นิพพาน ภาษาไทยก็ข้ามจากความโง่ไปสู่ความฉลาดภายใจจิตใจของเรา เหมือนทะเลกว้างใหญ่อยู่แล้ว ในจิตใจของเราจะมีมหาสมุทรทะเลกว้างกว่ามหาสมุทรหรือทะเลที่มีอยู่ในโลกด้วยซ้ำไป จะข้ามได้อย่างไรก็สนใจกันบ้าง มีธรรมะเป็นเรือเป็นแพสำหรับจะข้ามฟากและมันจะต้องข้ามได้แน่นอน พอเห็นเรือแล้วก็นึกถึงเรื่องข้ามฟากไว้เสมอ อย่าให้มันโง่หลงเรือ ติดเรือ หาความสบายจากเรือ พอเห็นเรือให้นึกถึงเครื่องมือข้ามฟากเสมอไป จากความมีปัญหา มีความทุกข์นานาประการออกไปสู่ที่ๆ ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ ถ้าเห็นรูปเรือก็ขอให้เกิดความคิดอย่างนี้ ที่เรียกว่าความตายเป็นทะเล เป็นมหาสมุทร ก็อย่าได้ต้องตาย ตายโดยร่างการก็ดี โดยทางจิตใจก็ดี ที่ว่าภาษาคนก็ดี ภาษาธรรมะก็ดี ขอให้สามารถข้ามจากสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เสียทีที่เกิดมา ไม่จมอยู่ในทะเล ข้ามฟากได้ อยากจะพูดว่า น่าหัวที่สุด ว่าสิ่งที่ผมตั้งใจสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบากจริงใจให้มีประโยชน์แก่ผู้มา ผู้ดู ผู้เห็นมันไม่ได้ตามที่ต้องการ มันกลับมาได้แก่ตัวเองมากมายมหาศาล มันน่าหัวที่ตั้งใจจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งหลาย มันกลับไม่ได้ มันกลับได้แก่ตัวเองไปทุกที เห็นทุกที ได้ประโยชน์แก่ตัวเองทุกที ไม่ได้ประโยชน์แก่ผู้มา นี่ก็ยังไม่รู้จะโทษใคร การชักจูง ชี้แจง มันไม่ถึงขนาดหรือก็เป็นได้ จะไปโทษผู้มาก็ไม่ได้ แต่สรุปแล้วมันไม่มีประโยชน์แก่ผู้ที่เราตั้งใจจะให้มี มันก็มีประโยชน์แก่ตัวเองซะอย่างมากกว่ามาก ที่นี้ต้องการจะเก็บน้ำฝนไว้ใช้ ก็ถังน้ำฝนจะสร้างเป็นอะไรดี เนี่ยรูปเรือมีความหมายดีก็เลยสร้างเป็นรูปเรือใส่น้ำ แต่ทีนี้คนโง่มันมาเห็นทำไมน้ำมาอยู่ในเรือหว่า ธรรมดาเรือมันอยู่ในน้ำ นี่บ้าแล้วมั้ง มันก็เห็นซะอย่างนี้ มันเลยไม่ได้ประโยชน์ตามที่เราต้องการจะให้เขาคิด ให้นึก เรืออยู่ในน้ำทำไมเอาน้ำ มาอยู่ในเรือ ไม่รู้ความประสงค์ที่ทำให้เรื่องนี้ขึ้นมา อันนี้มันเรือจับคนโว้ยไม่ใช่เรือจับปลาโว้ย เรือจับปลาของมึง นะเรืออยู่ในน้ำ แต่เรือจับคนของกูน้ำอยู่ในเรือโว้ย อยากจะพูดอย่างนี้.
ทีนี้ข้อ 10 ดูผลงาน 50 ปีของพุทธทาส ไม่เห็นมีใครเคยสนใจดูกี่คน จะไปดูว่าหนังสือทั้งหมดนั้นนะ คนเดียวทำขึ้นมาแต่มันก็ไม่เชื่อว่าคนเดียวทำขึ้นมา น้อยคนจะเชื่อว่าคนเดียวทำหนังสือทั้งหมดนี้ขึ้นมา ทำไมไม่คิดดูบ้างว่าเวลาตั้ง 50 ปีเนี่ย ก็ทำอย่างแท้จริง ทำอย่างเสียสละ เรียกว่าทำงานวันละ 18 ชม. คนธรรมดาเขาทำงานวันละ 8 ชม. เขาก็ไม่เอาแล้ว เขาเรียกว่าเกินแล้ว เบื่อแล้ว เราทำงาน 18 ชม มันก็ทำได้ มันก็ได้ผลงาน ธรรมโฆษเนี่ยต้องการแสดงว่ามนุษย์เราคนหนึ่งๆ เนี่ยทำอะไรได้มากกว่าที่ตัวคิด ที่เขาคิดว่าจะทำได้ อะไรได้สักเท่าไหร่ มันไม่ถูกหรอก ที่จริงทำได้มากกว่านั้นหลายเท่า ก็ต้องการจะแสดงอย่างนั้น หนังสือเหล่านี้ทั้งหมดคนเดียวทำ ก็ต้องทำมากกว่าที่คุณคิด ซึ่งคุณไม่เชื่อว่าคนเดียวทำ ผมเรียกว่าทำงานตลอดเวลาก็ได้ จะมากกว่า 18 ชม ด้วยซ้ำไป เพราะว่ามันทำตลอดเวลา ความคิดนึกมันไม่หยุด นี่นอนก็ฝัน เดินไปบิณบาตรแต่ก่อนนี้ยังเดินได้ ไปบิณบาตรแถวน้ำพุด ไปกลับ 2 ชม คิดนึกอะไรได้แยะระหว่างที่เดินไปบิณบาตร เดินไปบิณบาตรอยู่คิดนึกอะไรได้แยะ ก็เรียกว่าได้ทำงานเหมือนกัน เอาดินสอแท่งไปด้วย ผมคนเดียวมันจึงทำงานได้มีปริมาณเท่านี้นี่ประโยชน์ของการไปดูธรรมโฆษ
11 ชมแผนผังวัด อันนี้ก็อยากจะพูดเพียงว่า ถ้าคุณนั่งรถทั่ววัดทุกถนนทุกเส้นถนนจะได้ความคิดอะไรหลายๆ อย่างแต่ถ้าว่าไม่ไปนั่งรถทั่วไปทุกเส้นถนนก็ไม่เกิดความคิดอย่างนั้น แม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นความคิดที่เจตนาโดยตรงแต่มันก็มีเจตนาโดยอ้อม เป็นเจตนาทีหลังที่ประสมประสานกันเข้า ทำไมจึงตัดถนนเส้นนี้ ทำไมจึงตัดถนนเส้นนี้ ทำไมมันจึงเป็นได้อย่างนี้ แล้วก็มีความเหมาะสมเข้ารูปกับธรรมาติได้รับประโยชน์ถึงที่สุด ถ้ารู้จักเที่ยวชมแผนผังของวัดให้ทั่วไปทั้งวัด จะฉลาดขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย ขอให้สนใจไปถึงยอกภูเขาลงมามีถนนหนทางอย่างไร มันล้วนแต่ให้เกิดความรู้สึกคิดนึก รู้สึกที่เป็นไปในฝ่ายความคิดหรือสติปัญญา ชมแผนผังของวัดให้ทั่ววัดจะเกิดสติปัญญาอะไรบางอย่าง ไม่เชื่อว่าก็ขอให้ลองดู
ข้อ 12 ป่าช้าเป็นที่ทิ้งยาเสพติด ก็หมายถึงที่โรงปั้น ที่กิจกรรมของท่านไสว ยาเสพติด สิ่งเสพติด ที่เป็นการสูบ การดื่ม การกิน การทา การเล่นอะไรก็เรียกว่าเสพติดทั้งนั้น เป็นเหล้า เป็นบุหรี่ เป็นเครื่องมือเล่นการพนันอะไรก็ เรียกว่าเสพติดทั้งนั้น ถือเป็นแผนกหนึ่งของวัดหรือของสวนโมกข์ด้วยเหมือนกัน ป่าช้าเป็นที่ทิ้งยาเสพติด แล้วก็ได้ผล ได้ผลจริง ไม่น้อยกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ที่มันเล่นๆ โกหก ตบตาก็มีเหมือนกันนะไม่ใช่ไม่มี แต่ที่ได้ผลจริงมันได้ประโยชน์จริง ขอบใจ มาขอบใจอะไรอยู่นี่ก็มีมาก บางคนยังคิดถึงที่ศักดิ์สิทธิ์ ถ้ามาทิ้งที่นี่ได้สำเร็จ ทิ้งเหล้า ทิ้งบุหรี่ ทิ้งอะไรทิ้งที่อื่นไม่สำเร็จ เพราะว่าความสามารถของท่านไสวก็ต้องมาพูดจากันจนเข้าใจแจ่มแจ้งอะไรกันหลายอย่าง จึงทิ้ง มันจึงทิ้งสำเร็จ เรียกว่าป่าช้าที่ทิ้งยาเสพติด จะดูมีซองบุหรี่ทิ้งไว้เท่าไหร่ เนี่ย มีขวดเหล้า มีเชี่ยนหมาก มีตะบัน มีอุปกรณ์เล่นการพนัน เล่นโป เล่นไพ่ เล่นอะไรอีก สิ่งเสพติดเหล่านี้ได้นำมาทิ้งกันไว้ที่นี่ เป็นเครื่องช่วยกระตุ้นหรือแวดล้อมมาจากภายนอกก็มีความสำคัญเหมือนกัน มันมีสะดวกเป็นจริง เป็นจัง ทำกันอย่างจริง อย่างจัง มันก็สำเร็จประโยชน์ เราเห็นประโยชน์ข้อนี้จึงดำรงไว้ รักษาไว้ให้ดำเนินกิจกรรมต่อไปเพื่อว่าชำระวิญญาณของคนโง่ ให้มันสะอาดขึ้นมาบ้างจากยาเสพติด เป็นอุปกรณ์ละบาปละความชั่วเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของพระธรรม ของพระศาสนา ถ้าไม่สะดวก ไม่มีเครดิต มันก็ไม่ทิ้งจริง มันก็ทิ้งไม่ได้ ทีนี้มันมีกำลังใจ (นาทีที่ 1.50.34.7) กำลังใจอะไรอยู่มากเลยทำทิ้งได้ นี่ก็เรียกว่าเป็นกิจกรรมในสวนโมกข์ด้วยเหมือนกัน แม้ว่าส่วนใหญ่ที่สุดเราจะให้ทิ้งยาเสพติดทางวิญญาณคือกิเลส ตัณหา อุปทาน ทิฐิ มานะ มันมีอะไรเสพติดร้ายกาจไปกว่าทิฐิ มานะ ตัวกู ความไม่รู้จักยอม ความไม่รู้จักเสียสละเรื่องตัวกู สิ่งเสพติดสูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใดคือ อหังกา ละมังกา ละมานานุสัย (นาทีที่ 1.51.28.5) ความเคยแห่งความสำคัญมั่นหมายว่าตัวกู ว่าของกู นี่สิ่งเสพติดสูงสุดในด้านจิตด้านวิญญาณ ถ้าทิ้งได้เป็นพระอรหันต์โว้ย แต่เอาเถอะยังไม่ถึงนั่น สิ่งเสพติดง่ายๆ โง่ๆ เด็กๆ มันยังทิ้งกันไม่ได้เลย ยังกินเหล้าเมายายังมีอบายมุขมีอะไรต่าง ๆ มีสิ่งเสพติดทางภายนอก แม้แต่มามันก็ยังทิ้งไม่ได้ สิ่งเสพติดที่เป็นภายในที่เป็นกิเลสมันยากกว่านั้นหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ดีถ้ามันทิ้งไปได้จากภายนอก มันก็ง่าย ช่วยมากได้มากจะทิ้งลึกเข้าไปถึงภายใน ให้เรามีความเฉียบขาดเด็ดขาดลงไปว่าสิ่งเสพติดจะต้องละทิ้ง ละทิ้งอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่กิเลสหยาบๆ เช่นความโกรธเป็นสิ่งเสพติดละได้ยาก ความเกลียดความอิจฉา ริษยา ความคดโกงก็เป็นยาเสพติดทางจิต ทางวิญญาณ ทุกคนสำรวจตัวเองว่ามีเสพติดอะไรอยู่บ้าง รีบจัดการเถิด ก็จะมีป่าช้าทิ้งยาเสพติดทั้งทางฝ่ายจิตและทางฝ่ายวิญญาณอยู่ตลอดไป เอาหล่ะเดี๋ยวนี้ 2 ชั่วโมงแล้วนะคุณดุษฎี มันได้ครึ่งนะ สองชั่วโมงแล้วมันจะดับไฟแล้ว มันต้องหยุดกันทีก่อนแล้วเนี่ยสองชั่วโมง เดี๋ยวนี้มันเก้าครึ่ง เจ็ดครึ่งถึงเก้าครึ่ง เป็นว่าจะยุติการบรรยายว่าจะได้อะไรจากสวนโมกข์ (นาทีที่ 1.54.02.3) ค่อยพูดอีกครั้งนึงวันหลัง ขอยุติบรรยาย.