แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้ เราจะได้พูดกันถึงปัญหาที่ว่า พุทธศาสนาคืออะไรในแนวอื่นต่อไป ต่างจากที่แล้วมา หมายความว่าเราจะรู้จักพุทธศาสนาในทุกแง่ทุกมุมนั่นเอง ที่แล้วมาก็หลายแง่มุม ต่อไปอีกก็ อีกบางแง่มุม ในตอนแรกนี้ก็จะพูดถึงพุทธศาสนาในฐานะที่เป็น ศาสนาประเภทมีวิวัฒนาการเป็นใจความสำคัญ บ้างก็ยังไม่ทราบ ก็ขอให้ทราบเสียว่า ในโลกนี้ทั้งหมด ศาสนาทั้งหลายนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งก็ถือว่า สิ่งทั้งปวง โลก มีผู้สร้างขึ้น คือ พระเจ้า มีพระเจ้าอย่างบุคคลสร้างขึ้น แต่ศาสนาอีกประเภทหนึ่ง ไม่บัญญัติอย่างนั้น เพราะไม่มีใครสร้าง เป็นกระแสวิวัฒนาการ นี่ควรจะเข้าใจว่าพุทธศาสนาของเราอยู่ในพวกไหน จะได้พูดจาถูกต้อง ทำความเข้าใจกัน ก็คือว่า ศาสนาเช่นศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู อะไรก็ตามนี่ ก็ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้างขึ้นมา ทุกสิ่งทุกอย่างนี่ มีผู้สร้างขึ้นมา เหมือนสร้างสิ่งของ ศาสนาคริสต์ก็ว่า พระยะโฮวาก็ถ่ายทอดมาตามมาจากศาสนายิว ศาสนาอิสลามก็ว่า พระอัลเลาะห์ ศาสนาฮินดูก็ว่า พระพรหม พระอะไรก็ตามเรื่องของเขา ศาสนาทั้งหมดนี้มีกี่ศาสนาก็ตามก็เรียกว่า ศาสนา ที่ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง เรียกเป็นคำรวมว่า creationist creation แปลว่าการสร้าง creationist ก็แปลว่า ผู้ที่ถือว่ามีการสร้าง ทีนี้พุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ยอมรับอย่างนั้น ไม่มีผู้สร้าง แต่เป็นวิวัฒนาการที่เป็นไปตามกฎของวิวัฒนาการ จึงเรียกกลุ่มนี้ที่ว่าไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง เช่น ศาสนาพุทธ ศาสนาไชนะ และศาสนาอีกบางศาสนาว่า evolutionist evolution ก็วิวัฒนาการตามธรรมชาติ evolutionist ก็หมายความ ผู้ที่ถือว่ามีแต่วิวัฒนาการตามธรรมชาติ ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง ภาษาฝรั่งมันจำง่ายมันสั้นๆว่า creationist มีพระเจ้าผู้สร้าง evolutionist เป็นไปตามกฎวิวัฒนาการ
พุทธศาสนาเราอยู่ในพวกวิวัฒนาการ ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง ดังนั้นจึงไม่มีการอ้อนวอนบวงสรวงพระเจ้าอะไร ถ้ามันมีอยูในประเทศไทยก็หมายความว่ามันเคยถือศาสนาฮินดูอะไรมาก่อนนู้น ข้อนี้ต้องรู้กันไว้บ้างว่า ศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์นั้น มันเข้ามาสู่ดินแดงประเทศไทยนี่ก่อน ก่อนพระพุทธศาสนาเข้ามา เพราะว่าชาวอินเดียมันมาก่อน มาสอนไว้เป็นอย่างนั้น พลเมืองที่นี่ก็ถือศาสนาฮินดูมีพระเจ้าผู้สร้างแห่งนี้ เสร็จแล้ว เมื่อพุทธศาสนาเข้ามา ก็เปลี่ยนไม่ได้ หรือเปลี่ยนไม่หมด หรือเปลี่ยนแต่ปาก ยังเชื่อถือพระเจ้าผู้สร้างอยู่เลยน่าหัว ที่ยังเชื่อถือพระเจ้าผู้สร้างอยู่ก็เรียกว่าเป็นไสยศาสตร์ ไม่ถือพระเจ้าผู้สร้างเป็นวิวัฒนาการก็เรียกว่าเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสนาในประเทศไทยจึงปนเปกันเป็นไสยศาสตร์บ้าง เป็นพุทธศาสตร์บ้าง แต่ขอให้รู้ไว้อย่างชัดเจนเด็ดขาดที่สุดว่า พุทธศาสนาโดยแท้จริง โดยบริสุทธิ์นั้น เป็น evolutionist ที่เราเรียกกันในวงศาสนาของเราเองก็โดยกฎเช่น กฎปฎิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับนั้น เรียกว่า อิทัปปัจจยตา ถ้าเกี่ยวกับที่มันมีชีวิตจิตใจอย่างนี้ก็เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท กฎอย่างนี้คือกฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ พุทธศาสนามีหลักอย่างนี้ ดังนั้นจึงไม่ใช่ creationist ที่ถือว่ามีพระเจ้าผู้สร้าง แต่เป็น evolutionist ถือว่าเป็นไปตามกฎวิวัฒนาการของธรรมชาติ เช่น กฎอิทัปปัจยตา เป็นต้น เท่านี้ก็เสร็จไปเรื่องหนึ่งว่า พุทธศาสนา เป็นศาสนาวิวัฒนาการหรือ evolutionist ไม่ใช่ศาสนามีพระเจ้าผู้สร้างหรือ creationist จำไว้ สำหรับผู้ทายถูกต้อง หรือยึดถือถูกต้อง หรือปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าไปถือมีพระเจ้าผู้สร้างก็ไม่ใช่พุทธศาสนา เป็นศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ ที่มาสอนไว้ก่อนที่พุทธศาสนาจะเข้ามาสู่ดินแดนนี้
ทีนี้ก็มาถึงหลักเกณฑ์อีกอันหนึ่ง คือว่า พุทธศาสนานี้เป็นศาสนาแห่งปัญญา เป็นศาสนาแห่งปัญญา มันมีอยู่ ๓ รูปแบบ คือศาสนาแห่งศรัทธา ศาสนาแห่งวิริยะ ศาสนาแห่งปัญญา ศาสนาบางศาสนา ก็ถือศรัทธาเป็นหลักสำคัญ เอาความเชื่อเป็นเครื่องมือสำหรับดับทุกข์ เช่น ศาสนาคริสต์ เป็นต้น ให้ศรัทธา ให้เชื่ออย่างเดียว ให้เชื่ออย่างเดียว เชื่อแล้วก็จะรอด ไม่พูดถึงดีชั่วบุญบาปอะไร ให้เชื่ออย่างเดียว เชื่ออย่างเดียว เชื่อในพระเจ้า อ้อนวอนพระเจ้า เชื่อในพระเจ้า แล้วก็จะรอด อย่างนี้ก็เรียก ศาสนาศรัทธา เป็นศรัทธาธิกะ เรียกว่าศรัทธาธิกะ มีศรัทธาเป็นเบื้องหน้า ทีนี้ก็มีศาสนาบางประเภท ถือวิริยาธิกะ มีความเพียรเป็นเบื้องหน้า คือการกระทำที่เป็นการบังคับจิต บังคับจิตตามที่ต้องการให้ไม่มีความทุกข์ แล้วก็สำเร็จด้วยการบังคับจิต นี้ก็มีอยู่หลายศาสนาโดยเฉพาะก่อนพุทธกาล ในพุทธกาลนี่ ที่ไม่ต้องใช้ปัญญาอะไรเลย ทำสมาธิบังคับจิตอย่างเดียว ให้จิตอยู่ในลักษณะอย่างนี้ เป็นทุกข์ไม่ได้ นี้ก็มีอยู่พวกหนึ่งเรียกว่า วิริยาธิกะ มีความเพียรเป็นเบื้องหน้า แต่ว่าพุทธศาสนาไม่เป็นอย่างนั้น พุทธศาสนาเป็นปัญญาธิกะ มีปัญญาเป็นเบื้องหน้า ถ้าจะดับทุกข์ ก็ดับด้วยปัญญา คือความรู้ตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร รู้ว่าทุกข์คืออะไร รู้ว่าเหตุให้เกิดทุกข์คืออะไร รู้ว่าภาวะไม่เหลือ ดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างไร และทางให้ถึงภาวะดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ที่ ที่เรารู้จักกันในนามของอริยสัจ ๔ อริยสัจทั้ง ๔ นี่เป็นเรื่องของปัญญา รู้แล้วทำให้ถูกต้องตามความรู้นั้น คือรู้ถูก รู้จริง จนไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดตัณหาอุปาทาน แล้วก็ก็ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญา นี่พุทธศาสนาเราถือปัญญาเป็นใหญ่ ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญา ศาสนาอื่นเขาจะใช้ศรัทธาตามใจเขา หรือศาสนาอื่นเขาจะใช้วิริยะ การบังคับจิตก็ตามใจเขา แต่เราใช้ปัญญา แต่ท่านอาจจะได้ยินคำว่าศรัทธา ศรัทธา ในพุทธศาสนา ถ้ามีศรัทธา ศรัทธา เข้ามาในพุทธศาสนา ก็เป็นศรัทธาที่ออกมาจากปัญญา หรือมีปัญญาควบคุมศรัทธา ศาสนาศรัทธาแท้ๆของพวกนู้นนั้นไม่เกี่ยวกับปัญญา เพราะศรัทธาล้วนๆไม่เอาปัญญาเข้ามาแตะต้อง แต่ถ้ามีศรัทธาในพุทธศาสนาบ้าง มันก็เป็นผลของปัญญา ปัญญารู้อย่างไรแล้วก็เชื่ออย่างนั้น นี่ก็แปลว่ามันมีศรัทธาทีหลังปัญญา ปัญญายังคงนำหน้า ก็เลยเรียกว่ามีปัญญาเป็นใหญ่อยู่นั่นเอง นี่รู้ไว้ว่าเราพุทธบริษัทนี่มีปัญญาเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นประธาน มีปัญญาเป็นที่พึ่ง แม้จะพูดถึงศรัทธาบ้างก็เป็นบริวาร เป็นหางแถวของปัญญา จงทำอะไรให้ถูกต้องตามหลักของศาสนาที่มีปัญญาเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นประธาน พุทธะ พุทธะ คำนี้แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ได้แปลว่าผู้เชื่อ หรืออะไรนอกไปจากนั้น เป็นผู้รู้ รู้สิ่งที่ควรจะรู้นั่นคือปัญญา ตื่น ตื่นจากหลับคือกิเลส เรียกว่า หลับด้วยอวิชชา หลับด้วยกิเลส คนธรรมดาก็หลับอยู่ด้วยอวิชชา หลับอยู่ด้วยกิเลส ทีนี้ตื่นก็มาจากความหลับตื่นขึ้นมาจากความหลับ ก็มาเป็นผู้ตื่น สมกับที่มีความรู้ ครั้นมีความรู้ มีความตื่นแล้ว ก็เป็นผู้ไม่มีความทุกข์ ก็เลยเป็นผู้เบิกบาน เหมือนดอกไม้ที่บาน แต่มันเป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณ มันบานแล้วมันไม่โรย มันไม่โรย หรือว่ามันรู้จริง มันไม่กลับไปกลับมา มันเป็นบานไม่รู้โรย บานนิรันดร เบิกบานนี้ พุทธะแปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเนื่องกันนะ เพราะรู้จึงตื่น เพราะตื่นจึงเบิกบาน ทั้งหมดนี้มันขึ้นอยู่กับปัญญา ปัญญา ตรงกับที่ว่าพุทธศาสนานี้เป็นปัญญาธิกะ ปัญญาธิกะ มีปัญญาเป็นใหญ่ มีปัญญาเป็นหลัก เป็นประธาน ดังที่กล่าวแล้ว นั้นขอให้รู้ไว้ว่าพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้
เอ้า ทีนี้ก็มาถึง เรื่องที่มันเรียกกันว่าการเมือง ในรูป รูปของการเมืองบ้าง แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก มันไม่ใช่การเมือง เป็นความจริงของธรรมชาติ พุทธศาสนานี้มันก็อยู่ในพวกที่สอนให้รู้ว่าธรรมชาติสร้างเรามาให้อยู่กันเป็นคณะ เป็นสังคม ธรรมชาติไม่ได้สร้างเรามาสำหรับอยู่คนเดียวโดดๆ สัญชาตญาณของเราจึงมีความรู้สึกที่จะอยู่กันเป็นหมู่ เป็นคณะ เป็นสังคม นี่สัญชาตญาณส่วนใหญ่มันเป็นอย่างนี้ ดูสัตว์เดรัจฉานทั่วๆไป มันพยายามจะจัดเข้าหมู่หรือจับกันเป็นหมู่ ๒ตัว ๓ตัว ๔ตัว ๕ตัว แล้วแต่เรื่อง โดยรู้สึกว่าเป็นหมู่นั้นมันปลอดภัย นี่เราจึงมีความคิดชนิดที่ว่า อาจจะอยู่กันเป็นหมู่ คือไม่แยกกันอยู่เป็นคนเดียวโดดๆ ดังนั้นจึงมีคำว่า เพื่อน เกิดขึ้นมา เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย เหมือนกันหมดเลยมันเลยเป็นหมู่ใหญ่ นี่จึงเป็นหมู่แห่งบุคคล ผู้เป็นเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย นี่เราควรจะรู้ไว้ว่าหลักปฏิบัติที่ถูกต้องกับพุทธบริษัทนี้คือ สังคมนิยม เอาศัพท์การเมืองมาใช้บ้าง แต่ว่าสังคมนิยมนี้มันมีหลายรูปแบบ สังคมนิยมของคนแก่ตัว สังคมนิยมที่ไม่มีธรรมะ อย่างที่เรียกกันในทั่วไปแล้วเกลียดกันนัก สังคมนิยมนั้นมันเป็นสังคมนิยมที่ไม่มีธรรมะ สังคมนิยมของกิเลส อำนาจของกิเลส กฎหมู่ สังคมนิยมอย่างนี้ไม่ถูก ต้องเป็นสังคมนิยมที่มีธรรมะ ก็อยากจะเรียกว่า ธรรมิกสังคมนิยม ธรรมิกสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ผมเคยพูดเรื่องนี้ คราวก่อนผมเอาไปพิมพ์ เอาไปแปลเป็นภาษาฝรั่งอะไรก็มี ธรรมิกสังคมนิยม เพื่อให้รู้ว่า เราไม่ยึดถือเสรีนิยมของบุคคลคนเดียว เสรีนิยม ใครชอบใจจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น นี่มันไม่ถูกในข้อที่ว่า ธรรมชาติสร้างเรามาสำหรับอยู่กันเป็นหมู่ สำหรับเป็นเพื่อนเกลอ เพื่อนตาย เพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย ในคำว่าเสรีนิยมจึงใช้ไม่ได้กับหลักการอันนี้ที่ว่าเราเกิดมาสำหรับอยู่กันเป็นหมู่ เราจะต้องมีความหมายของสังคมนิยมชนิดที่ อยู่กันเป็นหมู่ เห็นแก่ความอยู่กันเป็นหมู่ ไม่เพ่งเล็งไปยังการอยู่ผู้เดียวคนเดียวอิสระเสรี เพราะมันอยู่ไม่ได้ ก็ลองคิดดูว่าเราจะอยู่คนเดียวในโลกไม่ได้ แต่ถึงแม้ว่า เขาจะยกโลกทั้งโลกทั้งหมดให้เราคนเดียวผู้เดียวครองอยู่ เราก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องมีคนหลายคนอยู่ด้วยกัน เพื่ออย่างนั้น เพื่ออย่างนี้จึงจะอยู่ได้ เมื่อธรรมชาติไม่ได้สร้างมาเพื่ออยู่คนเดียว เราจึงมีความคิดชนิดที่จะอยู่กันเป็นหมู่ ดังนั้น เราจึงมีธรรมะ หรือหลักธรรมะสำหรับที่จะอยู่กันเป็นหมู่ให้ดีที่สุด จึงเรียกว่า ธรรมิกะ ธรรมิกะแปลว่าประกอบด้วยธรรมะ ธรรมิกสังคมนิยม สังคมนิยมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ เราจะต้องเคารพสิทธิของผู้อื่น เราจะต้องมีการเสียสละ เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกคน แต่ว่ามนุษย์มันมีความเห็นแก่ตัว มันอยากจะเอามาก อยากจะเอาดี อยากจะเอาได้เปรียบกันอยู่เสมอ มันก็ถือไม่ค่อยจะได้ เผลอเข้ามันก็เป็นเรื่องเห็นแก่ตัว แยกตัว เห็นแก่ตัว ปัญหามันจึงยุ่งไปหมด เห็นไหมเวลานี้ ความเห็นแก่ตัวกำลังเป็นปัญหาเลวร้ายที่สุด เห็นแก่ตัวกู พอเห็นแก่ตัวกูมันก็ฟุ้งซ่านในจิตใจไม่มีความสุข ไม่มีความสงบ ไม่มีความแน่ใจ มีแต่ความหวาดระแวงว่ามันจะมีอะไรมาทำอันตรายแก่ตัวกู มันนอนหลับไม่สนิท มันผวา มันสะดุ้ง ความเห็นแก่ตัว ถ้ามันรักผู้อื่น แน่ใจในความรักผู้อื่น มันก็รู้ว่าปลอดภัย ไม่มีศัตรู เราจึงคิดนึกกันไปในทางที่ว่า มีเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย หัวอกเดียวกัน ความทุกข์เดียวกัน อะไรเดียวกัน ช่วยกันแก้ไข เหมือนกันทุกคน มีความทุกข์ มีปัญหา อย่างเดียวกันช่วยกันแก้ไขได้ แล้วก็จะก้าวหน้าไปตามทางของมนุษย์ เพราะมันมีความถูกต้องสำหรับธรรมชาติ
ก็เป็นอันว่า เราวางหลักลงไปว่า พุทธศาสนาเป็นระบบสังคมนิยม เพราะต้องอยู่กันเป็นหมู่ สังคมนิยมนั้นต้องถูกต้อง ดังนั้น จึงต้องประกอบไปด้วยธรรม สังคมนิยมของคอมมิวนิสต์ มันก็ไม่ได้นึกถึงธรรม มันนึกถึงแต่ประโยชน์ ส่วนเสรีประชาธิปไตยนั้นมันไม่นึกถึงผู้อื่นน่ะ มันนึกถึงแต่ตนเอง มันเป็นเสรีนิยม เราไม่ใช่เสรีนิยมในความหมายนี้นะ เป็นสังคมนิยม แต่ถ้ามันพูดในทางธรรมะอันลึกซึ้ง มันต้องการจะหลุดรอด หลุดรอดออกไปสู่การดับทุกข์เป็นนิพพานนั้น มันก็มีสิทธิส่วนตัวส่วนบุคคลแต่ละคน แต่ละคนมีสิทธิ ที่จะออกไปได้ อย่างนี้ก็ไม่เป็นภัย ไม่เป็นอันตรายอะไรแก่สังคม ถ้ายังคงมีความหมายแห่งสังคมนิยมอยู่ดี เมื่อมองดูโดยระเบียบทางวินัยก็ยิ่งเห็นชัดว่าหลักพระวินัยนี้เป็นประชาธิปไตย ภิกษุแต่ละองค์มีสิทธิทุกองค์เสมอกันที่จะออกเสียง และเมื่อเสียงออกเป็นเอกฉันท์นั่นแหละ จึงจะยอมรับว่าเป็นมติของสงฆ์ใช้บังคับได้ ค้านเพียงเสียงเดียวก็ไม่ได้นะ มันไม่ใช่อย่างระบอบการเมืองของโลกปัจจุบันว่าถ้ามันเกินครึ่งแล้วก็ชนะ หลักพระวินัยพุทธศาสนาค้านเพียงเสียงเดียวก็ไม่ได้ มันต้องเป็นเอกฉันท์ นี่ยิ่งแสดงความเป็นสังคมนิยมอย่างยิ่ง อย่างสูงสุด ซึ่งควรจะรู้ไว้
เอาละ แล้วทีนี้ก็จะดูต่อไป ในข้อที่ว่า พุทธศาสนานี้มีลักษณะ คือ มีวิถีทางอย่างวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์มีหลักเกณฑ์อย่างไร พุทธศาสนามีหลักเกณฑ์อย่างนั้น ไม่มีวิถีทางอย่าง philosophy philosophy ต้องใช้คำว่า philosophy จะไม่ใช้คำว่าปรัชญา หากคำว่าปรัชญานั้นมันใช้กันผิดเสียแล้ว มันก็แก้ไขไม่ได้ เพราะมันใช้กันจนเป็นที่รับรองต้องกันไปหมดว่า philosophy แปลว่า ปรัชญา แต่คำว่าปรัชญาโดยแท้จริงของภาษาสันสกฤต อินเดียนั้น ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ philosophy philosophy นั้นนะมันกำลังหาความจริง ยังไม่พบความจริง รับความรู้ที่จะรู้ ค้นหาความรู้เพื่อหาความจริง ลักษณะอย่างนั้นเรียกว่า philosophy แต่ถ้าเรียกว่า ปรัชญา หรือ ปัญญา ในพุทธศาสนา ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนั้น ก็รู้ความจริงโดยประจักษ์ โดยเด็ดขาดลงไปแล้วว่าอะไรเป็นอย่างไร ไม่ต้องค้นหาความจริง ไม่ต้องเค้นความจริง ไม่มี speculation อย่างพวก philosophy อย่างนี้เรียกว่า ปรัชญา ตามภาษาอินเดีย ถ้าเป็น philosophy อย่างที่พวกฝรั่งเขาเรียกนั้นภาษาอินเดียเขาเรียก ทัศนะ ทัศนะ ไม่ใช่ปรัชญา เป็นบาป เป็นกรรม เป็นเวรอะไรของพุทธศาสตร์ของประเทศไทยนี่ เอาปรัชญามาใช้ เป็นคำแปลของ philosophy ขอให้รู้ไว้ ครั้นว่าจะเรียกว่า philosophy ก็อย่าไปเรียกว่าปรัชญาดีกว่า หรือถ้ารู้ ถ้าจะเรียกว่าปรัชญา ก็รู้ว่าเป็นปรัชญาในความหมายใหม่ ผู้ที่ใช้ในประเทศไทยหมายถึง philosophy พวกอินเดียเขา เขาโกรธ แล้วเขาไม่ชอบ เขาเอาคำของเขามาใช้ผิดๆ ถ้าจะมีลักษณะอย่าง philosophy ของฝรั่งแล้ว ภาษาอินเดีย มีคำให้คือคำว่า ทัศนะ ทัศนะ เป็นทัศนะหนึ่งๆ ฉะนั้นไม่ใช่ความจริงอันเด็ดขาด ต่อเมื่อเป็นความจริงอันเด็ดขาด จึงจะเป็นปรัชญาหรือเป็นปัญญา อย่างนี้เรียกว่า philosophy แต่พุทธศาสนานั้นมันเป็นวิทยาศาสตร์
ข้อแตกต่างกันอย่างมากที่จะรู้ไว้ก็คือว่า ถ้ามันเป็น philosophy มันมีวัตถุสำหรับการศึกษา เป็นสมมติฐานเรียกว่า hypothesis คือสมมติอะไรขึ้นมาเป็น hypothesis สมมติฐาน แล้วก็หาความจริงลงไปบนนั้น นั้นแหละคือ philosophy ส่วนวิทยาศาสตร์ไม่ต้องการ ไม่ต้องการสมมติฐาน ไม่ต้องการ hypothesis เอาของจริง ตัวจริง สิ่งจริงมา เพราะเราจะศึกษาลงไปบนนั้น อย่างนี้เรียกว่าเป็น science เป็นวิทยาศาสตร์ พุทธศาสนามีหลักการ มีวิธีการ มีวิถีทางอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อย่าง philosophy และเมื่อกระทำไปอย่างวิถีทางของวิทยาศาสตร์ ผลที่ออกมานั้นเป็นปัญญาหรือเป็นความรู้อันแท้จริง ซึ่งควรจะเรียกว่าปรัชญา แต่ในเมืองไทยนั้นทำไม่ได้เสียแล้ว เอาไปให้เป็นคำแปลของคำว่า philosophy เสียแล้ว แต่ก็รู้ไว้เถอะว่า พุทธศาสนามีวิถีทางอย่างวิทยาศาสตร์ เอาของจริงมาเป็นตัวการศึกษา หาข้อเท็จจริงลงไปบนตัวของจริง ไม่ใช่ตัวสมมติฐาน และมีการคำนวณหรือเก็งความจริงอะไร ดูเห็นความจริงลงไปที่สิ่งนั้นๆตามที่เป็นจริง อย่างที่เรียกว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ ทำจิตให้เป็นสมาธิแล้วก็จะเกิดยถาภูตญาณทัสสนะได้ง่าย จิตเป็นสมาธิส่องลงไปที่สิ่งที่เป็นปัญหาแล้วก็พบความจริงได้โดยง่าย เรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ของเรานี่ใช้วิถีทางอย่างวิทยาศาสตร์ อย่าเข้าใจว่าเรื่องวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องแต่ทางวัตถุอย่างเดียว ไม่ใช่วิทย์ ฟิสิกส์ เคมีอย่างเดียวที่เป็นวิทยาศาสตร์ แม้แต่เรื่องทางจิต ทางวิญญาณก็มีหลักการ มีวิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ คือไม่ต้องมีการเก็งความจริง แต่มีการพิสูจน์ทดลองลงไปจนปรากฎชัดออกมาว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีคำนวณ แต่มีเหตุการณ์เห็นโดยประจักษ์ มีผลเป็นรู้แจ้งเห็นจริงโดยประจักษ์ เป็นการตรัสรู้ เป็น realization realization นั่นนะมันเห็นชัดจริงลงไปที่ของจริงตามความเป็นจริง มันเป็นเรื่องในภายในถ้าเป็นเรื่องภายนอกมันยากที่จะกำหนดลงไปที่ความจริง แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เป็นภายใน ภายในจิตมันเห็นชัด กำหนดลงไปได้ชัด
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราบัญญัติแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ ในเรื่องทุกข์ ดับทุกข์นี้ เราก็บัญญัติไว้ว่ามีอยู่ในร่างกายที่ยาวประมาณวาหนึ่งที่ยังเป็นๆที่ยังไม่ตาย ที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่จะต้องค้นหาในชีวิตจริงๆที่ในร่างกาย ที่ยาวประมาณวาหนึ่ง ที่ยังไม่ตายว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นอะไร เห็นตามที่เป็นจริง พิสูจน์ทดลองตามวิถีทางของวิทยาศาสตร์ ฉะนั้น เรื่องอริยสัจก็เป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องปฏิจจสมุปบาทก็เป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องอะไรๆที่เป็นหลักพุทธศาสนาก็เป็นวิทยาศาสตร์ มีลักษณะ ท่าทาง วิถีทาง วิธีการอย่างวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่อย่าง philosophy ถ้าคุณชอบคำว่า philosophy คือปรัชญา ก็ระวังให้ดี ก็ ที่ว่าปรัชญานั้นคือเป็นอย่าง philosophy พุทธศาสนาเป็นไม่ได้ พุทธศาสนานั้นเป็นวิทยาศาสตร์ แต่มันก็มีทางที่จะทำได้ โดยเอาพุทธศาสนานี่ไปศึกษาอย่าง philosophy ก็ได้เหมือนกัน แล้วฝรั่งก็ชอบอย่างนั้น เพราะฝรั่งมันเมา philosophy ไม่ว่าศึกษาอะไร ก็ศึกษาแบบphilosophy ไปหมด ก็เอาพุทธศาสนาไปทำเป็น philosophy ไปหมดก็มี ก็มีมากเสียด้วย นี่ไม่ถูกตามที่เป็นจริงหรอก นั้นแปลว่ามันทำได้ แล้วมันก็ทำได้ไปพูดในแบบ philosophy ไปอธิบายในแบบ philosophy และไปศึกษาในแบบ philosophy มันก็ทำได้ แต่ในที่แท้มันต้องทำอย่างที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ขอให้เข้าใจกันไว้ เราจะต้องมองเห็นความจริงข้อนี้ว่า พุทธบริษัทในเมืองไทยเรานี้ไม่ได้รับพุทธศาสนาในลักษณะวิทยาศาสตร์ อย่างที่กล่าวมาแล้ว มันปนกับศาสนาอื่น ศาสนาฮินดูมีพระเจ้าผู้สร้างก็เอามา ผีสางเทวดาของคนป่าคนดอยนู้นก็เอามา เป็นไสยศาสตร์เกิดขึ้น คำว่าไสยศาสตร์นี้เชื่อว่าท่านทั้งหลายก็คงเคยได้ยิน แต่ขอให้รู้ไว้ว่าพุทธศาสนาจะเป็นไสยศาสตร์ไม่ได้ มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์นั้นมันเป็นเรื่องที่ ของคนที่ไม่อาจจะเข้าถึงวิทยาศาสตร์ มันจึงถือได้อย่างไสยศาสตร์ อะไรๆมันก็เป็นอย่างไสยศาสตร์ อย่างที่ไม่ต้องรู้ความจริง ทำตามๆกันไปก็แล้วกัน เช่นอย่างว่า จันทรคราส สุริยคราส พวกไสยศาสตร์ ก็พระราหูกับพระจันทร์กับพระอาทิตย์ แต่ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์ ก็รู้กันอยู่แล้วก็เรียนกันอยู่แล้วว่าเป็นอะไร ว่าเงาของอะไรไปบังอะไร อย่างนี้เป็นต้น รู้กันไว้ว่า รู้กันไว้เสียทีว่า ไสยะ ไสยะ คำนี้มันแปลได้ ๒ อย่าง คือแปลว่า หลับก็ได้ แปลว่า ดีกว่าก็ได้ ไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ ก็ยังไม่ตื่น พุทธศาสตร์ ศาสตร์ของคนตื่น พุทธะแปลว่า ตื่น อย่างที่ว่ามาแล้ว พุทธศาสตร์ ศาสตร์ของคนตื่น ไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ มันจะรู้ได้อย่างไร เด็กๆเพิ่งเกิดมามันไม่รู้อะไร ผู้ใหญ่ก็สอนให้มันเชื่ออย่างไสยศาสตร์เสียโดยมากอย่างเด็กๆ เชื่อไปในแง่ของไสยศาสตร์แล้วถอนไม่ค่อยจะขึ้น กลัวผีกลัวอะไรกันยุ่งไปหมด เป็นปัญหายุ่งยากไปหมด เป็นศาสตร์ของคนหลับ ถ้าจะถือว่า ไสยะ ไสยะ แปลว่า ดีกว่า ดีกว่านี้มันก็ต้องเอาไปใช้กับคนป่านู้น ที่ไม่รู้อะไรเลย รู้อย่างนี้เสียบ้าง มันก็ยังดีกว่าไม่รู้ ไม่รู้เสียเลย รู้ไม่จริงก็ยังดีกว่าไม่รู้เสียเลย มันจึงใช้คำว่า ไสยะ เป็นจุดตั้งต้นจากความที่ไม่รู้อะไรเลย แต่แล้วก็ดีกว่าในแง่ที่ว่า มันดีกว่า ทำให้สบายใจได้บ้าง ทำให้อุ่นใจได้บ้าง เช่นว่า ได้ทำพิธีรีตองทางไสยศาสตร์ และจะได้สบายใจ หายเจ็บหายไข้เล็กๆน้อยๆได้ นี่ยังดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลย นี่คือ ไสยศาสตร์ พึงระวังให้ดี อย่าถลำเข้าไปในขอบเขตของไสยศาสตร์โดยไม่ทันรู้ตัว ในกรุงเทพฯนั้นมันก็ยังเต็มไปด้วยไสยศาสตร์ ท้าวพรหมเอราวัณได้รับการบูชาเส้นสรวง บวงสรวงมากกว่าพระแก้วมรกตนั้น ผมได้ข่าวมาอย่างนั้น คำนวณดูมาอย่างนั้น คนไปบูชาพระพรหมเอราวัณมากว่าที่จะไปบูชาพระแก้วมรกต แต่ว่าถ้าไปบูชาพระแก้วมรกตแล้วมันบูชาอย่างพระพรหมเอราวัณอีก มันไม่พ้นไสยศาสตร์เสียที มันไม่เป็นพุทธศาสตร์ ซึ่งมันไม่ต้องบูชาบวงสรวงอ้อนวอนอะไร ปฏิบัติให้มันถูกต้องแก่การที่จะดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้แล้วก็เป็น เป็นตัวจริงตัวแท้ขึ้นมา ไม่ต้องบูชาบวงสรวงอ้อนวอน พุทธศาสนาถูกกระทำให้เป็นไสยศาสตร์ เป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธรูปที่เอามาทำพระเครื่องให้แขวนกันเกรอะเกร่อไปหมด แขวนอย่างไสยศาสตร์ทั้งนั้น น้อยคนที่จะ ที่จะแขวนอย่างพุทธศาสตร์ ถ้าเขาเอาพระเครื่องมาแขวนอย่างสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้ากันลืมพระพุทธเจ้า เตือนสติไว้เสมอ ให้ประพฤติถูกต้องอยู่เสมอ นี่ก็ยังเป็นพุทธศาสตร์ แต่ถ้าเอาพระเครื่องมาแขวนให้คุ้มครอง คุ้มครองอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้มันเป็นไสยศาสตร์ แม้ว่าสิ่งนั้นมันเป็นพระพุทธรูป ก็คือเอาพระพุทธรูปมาใช้อย่างไสยศาสตร์นั่นเอง ระวังให้ดี ถ้าคุณจะแขวนพระเครื่องที่คอ ระวังจะเป็นไสยศาสตร์ก็ได้ จะเป็นพุทธศาสตร์ก็ได้ แต่ถ้าเป็นพุทธะโดยแท้จริงถึงที่สุดแล้วไม่ต้องแขวนก็ได้ ถ้ายังอ่อนแอยังขี้ขลาดอยู่ก็เอา แต่อย่าให้ถึงกับเป็นไสยศาสตร์เลย นี่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เดี๋ยวนี้กำลังปนกันยุ่งจนแยกกันไม่ออก พุทธบริษัทถือไสยศาสตร์ ถือผีสางเทวดา เส้นสรวงบวงสรวงอย่างลัทธิพราหมณ์ในอินเดียตั้งแต่โบรงโบราณ ถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบไสยศาสตร์ อยากจะพูดถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ช่วยฟังให้ดี เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดนั้นต้องดับทุกข์ได้ แล้วก็เป็นของจริง ถ้าว่ามันต้องอาศัยของหลอกแล้วมันก็ศักดิ์สิทธิ์ไปไม่ได้ ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริง มันไม่รับจ้างใครหรอก มันไม่รับจ้างการบวงสรวงอ้อนวอนสินจ้างรางวัลอะไรหรอก ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริง เพราะฉะนั้นการบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้อ้อนวอนบวงสรวงนี้มันไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ล่ะ ถ้ามันศักดิ์สิทธิ์จริง ไม่รับสินบน ไม่รับค่าจ้าง ไม่เป็นลูกจ้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงก็คือ การกระทำนั้นมันถูกต้องจริงๆ ทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามหน้าที่ เพราะหน้าที่มันจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้รอดเลย นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริง การกระทำที่ถูกต้องตามหน้าที่นั่นแหละ คือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด อย่ามัวอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกอยู่เลย สิ่งศักดิ์สิทธิ์มันอยู่ที่หน้าที่ ที่กระทำถูกต้อง มีผลตรงตามที่ต้องการ ช่วยให้รอด ให้พ้นจากความทุกข์ได้ นี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์
พระพุทธเจ้าท่านไม่ประกาศตัวเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเราจะเกณฑ์ให้พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จงดูเอาตรงที่ว่า ท่านสอนให้ดับทุกข์ได้ คำสอนนั้นปฏิบัติแล้วมันดับทุกข์ได้ ฉะนั้นก็ศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ดับทุกข์ได้ การดับทุกข์ได้มันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร บวงสรวงอ้อนวอนบูชากันไปด้วยความขลาด ด้วยความกลัว อย่างนี้ละก็มันจะน่าหัวมากกว่า มันจะกลายเป็นเลวกว่าสัตว์ เคยเห็นสัตว์เดรัจฉาน ที่ไหนมันบูชาบวงสรวงอ้อนวอนด้วยความขลาดด้วยความกลัวบ้าง คุณเคยเห็นหมาตัวไหนกลัวผีบ้าง คุณเคยเห็นหมาตัวไหนกลัวผีบ้าง มันจะกินผีด้วยซ้ำไป นี่แปลว่าคนน่ะกลัวผีทุกคนมาตั้งแต่เด็ก พอเข้าป่าช้าแล้วก็หวาดเสียว ไม่กล้านอนในป่าช้า แต่หมามันกล้านอนในป่าช้า ไปขุดผีกินเสียด้วย เอาสิ ใครจะกล้ากว่าใคร ใครจะเก่งกว่าใคร นี่เรียกว่าความรู้ความคิดที่มันยังเดินผิดทาง ออกไปสู่ความไม่มีเหตุผล มันก็กลัวสิ่งอะไรก็ไม่รู้ กลัวสิ่งที่ไม่ต้องกลัว กลัวสิ่งที่ ใช้คำหยาบคายหน่อย หมามันยังไม่กลัว กลัวสิ่งที่หมาก็ไม่กลัว พูดภาษาคุณพยอมดู ท่านพยอม คนยังกลัวสิ่งที่หมายังไม่กลัว แล้วจะเอาอะไรกัน
พุทธศาสนาไม่ใช่ไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ ศาสตร์ที่ดีกว่าไม่มีอะไรเสียเลยของคนป่าที่มันไม่รู้อะไรเสียเลย คนป่าแท้ๆมันก็ยังปลอดภัย เพราะมันอยู่กับธรรมชาติ มันอาศัยกฎของธรรมชาติ เป็นไปตามกฎธรรมชาติ ทีนี้คนป่ามันเกิดโง่ขึ้นมา เกิดบัญญัติผีสางเทวดาขึ้นมา กลัวผีกลัวสางเทวดาขึ้นมา คนป่าเหล่านี้ก็เดือดร้อน ก็ต้องถือไสยศาสตร์ ถ้ามันอยู่อย่างเดิมแท้มันก็ไม่เลวกว่าหมาหรอก ถึงไม่มีอะไรที่ต้องกลัวต้องมีปัญหา แต่คนคนป่ามันเริ่มโง่ขึ้นมา มันก็เริ่มสร้างไสยศาสตร์ขึ้นมา เป็นของศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มีอยู่ในสิ่งนั้นสิ่งนี้ ในภูเขาในต้นไม้หรือแม้กระทั่งในจอมปลวก ปลวกบ้างปลวกศักดิ์สิทธิ์ อาจเต็มไปด้วยไม้ที่เขาที่ลงไป ว่าบูชาบูชา ผมเคยเห็น แต่เดี๋ยวนี้หาดูยาก เพราะมันหมดไป ความเชื่อนั้นมันหมดไป พยายามทำความสว่างแจ่มแจ้งให้แก่กันและกัน อย่าต้องกลัว อย่าโง่เขลา เด็กทารกแท้ๆไม่กลัวผี แต่คนผู้ใหญ่ไปสอนมันจนกลัวผี จนโง่ จนกลัวผี นี่ฝากไว้ให้เอาไปคิด เด็กแท้ๆที่ไม่ได้รับการสั่งสอนอะไรไม่รู้จักผีและไม่กลัวผี พอได้ยินมา ได้รับการสั่งสอน ได้ยินได้ฟังเรื่องผีก็กลัวๆ กลัวจนไม่ค่อยจะมีที่อยู่ ไม่รู้จะหลีกหนีผีไปที่ไหน แล้วเขาสอนให้รู้ว่ามันไม่มีที่หนีผีตามไปได้ทั้งหมดมันก็กลัวผี แล้วมันก็โง่ๆๆ เมื่อเราเอาโครงกระดูกมาใหม่ๆที่นี่ มันก็ให้ความรู้อะไรบางอย่าง ทำมาแขวนไว้ให้ดู คนก็มาดู มาดู มาดูกัน นักเรียนก็มาดูกันยกโรงเรียนมาเลยครูพามาเลยมาศึกษาโครงกระดูกนี่ตอนแรกๆ มันก็พิสูจน์อะไรได้หลายอย่าง เด็กบางคนนั้นไม่กลัว มันไม่กลัวโครงกระดูกนั้น มันลูบมันคลำมันกอดโครงกระดูก มันเอาหัวใส่เข้าไปในโครงกระดูกเลย แกว่งเล่นก็มี เด็กอีกหลายคนเห็นเด็กคนนี้ทำอย่างนั้นก็ไม่กล้าทำน่ะ ก็ไม่กล้าทำน่ะ ถอยหลังกรูดๆกันไปเลย นี่เด็กที่มากกว่านั้นอยู่ห่างๆไกลเหลือเกิน ห่างไกลออกไปจน จนตกศาลาไป นี้ก็มีเด็กหลายคนที่ไม่ ไม่กล้าเข้าใกล้ ชะเง้ออยู่ที่บันได เหยียบบันไดพอชะเง้อพอเห็นแล้วก็กลัวตัวสั่นอยู่ที่นั่น ที่บันได ที่ไกล นี้ก็ปรากฏว่ากลับไปถึงบ้านแล้วเป็นไข้สองสามคน พวกที่เด็กที่ชะเง้ออยู่ที่บันไดไกลๆนั่นน่ะ กลับเป็นไข้ ตัวร้อน เด็กที่เอาหัวดันเข้าไปในโครงกระดูกนี่ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเลย ความเชื่อ ความคิด ความโง่ ความฉลาดน่ะ มันเป็นอย่างนี้
นี่ไสยศาสตร์มันมีที่ตั้งที่อาศัยอย่างนี้ พูดให้ชัดลงก็คือว่ามันอาศัยอยู่บนความโง่ ความโง่ที่สร้างขึ้นมาแล้วโง่ยิ่งๆขึ้นไป ไสยศาสตร์มันก็ได้พื้นที่อาศัยอยู่บนความโง่ เมื่อใดหมดโง่ เมื่อนั้นก็จะหมดไสยศาสตร์ นี่เราก็พูดถึงพระโสดาบัน ก็ต้องละสักกายทิฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ข้อสาม สีลัพพตปรามาสนั่นคือไสยศาสตร์ ถ้ายังมีการเชื่อย่างไสยศาสตร์เป็นสีลัพพตปรามาส ยังเป็นปุถุชนมากเกินไป เป็นโสดาบันไม่ได้หรอก ต้องละไป ละไปหมดไสยศาสตร์ มันจึงจะค่อยโผล่ขึ้นมา ในขอบเขตของพระโสดาบัน ฉะนั้นนี่ถือว่าไสยศาสตร์นั้นเป็นระดับของคนโง่ โง่เต็มโง่ โง่เต็มขนาด ของคนโง่น่ะไสยศาสตร์ เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ต้องค่อยจางลงไปแห่งความโง่ หรือไสยศาสตร์ จึงจะค่อยลืมตาขึ้นมาในโลกของพระอริยเจ้า นี่ขอให้มองดูในข้อที่ว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่เป็นไสยศาตร์ ผมก็บอกเด็กๆพวกนั้นว่าให้มันดูให้ดี มันดูให้ดี โครงกระดูกนั้นมันยังมีแต่กระดูก หมากินแปลว่าอะไร เธอนั้นมันยังมีเนื้อมีหนังมีจิตมีใจมีอะไรอีกหลายอย่าง ยังไม่ใช่ยังเป็นๆวิ่งได้เดินได้พูดได้ อย่างนี้ก็มีกล้ามเนื้อก็มีจิตใจก็มีความคิดก็มี โครงกระดูกนั้นมันเหลือแต่ก้างเหมือนกับก้างปลานั้นทำไมเธอจึงกลัว ในเมื่อเธอมีอะไรมากกว่าเพื่อนอย่างนี้ จะไปกลัวสิ่งที่เหลือแต่ก้าง โง่หรือฉลาดว่ะ มันเฉลยไม่ได้ ค่อยๆหายกลัวตรงที่ว่าเรามีครบ มีเนื้อมีเลือดมีหนังมีมันสมองมีความคิดมีความนึกมีอะไรครบทุกอย่าง นั้นเหลือแต่กระดูกซึ่งของเราก็มีในร่างกายนี้เราก็มี ทำไมเราจะต้องกลัว มีความรู้ที่เป็นไปตามอำนาจของความจริง เป็นไปตามอำนาจของเหตุผล นั่นแหละคือเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ถ้ามันเป็นไปตามความเชื่ออย่างโง่ อย่างหลับหูหลับตา มันก็เป็นไสยศาสตร์ไปหมด เลิก เลิก เลิกหลับ เลิกหลับ เลิกไสยศาสตร์คือเลิกหลับ เป็นพุทธศาสตร์คือเป็นผู้ตื่น ลืมหูลืมตากันเสียที นี่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ไม่เป็นไสยศาสตร์โดยประการทั้งปวง แต่มันช่วยไม่ได้เพราะไสยศาสตร์ได้มาสอนไว้ก่อนพุทธศาสตร์เข้ามา คนก็มีพื้นฐานทางไสยศาสตร์ มีความรู้ มีความเชื่อ อ้อนวอนบวงสรวงผีสางเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรตามแบบไสยศาสตร์ แล้วก็ไม่เลิก ไม่ละ แล้วก็สอนลูกหลานให้รับช่วงต่อๆกันมาจนกระทั่งบัดนี้ ไสยศาสตร์ได้เข้ามาแทรกแซงเป็นปัญหาอยู่ ขอให้พวกเราเหล่านี้ ในปัจจุบันนี้ช่วยกันทำความสว่างไสวแจ่มแจ้งให้มันเกิดรู้ความจริง ให้มันหมดไสยศาสตร์ ให้มันเป็นพุทธศาสตร์กันเสียทั้งเนื้อทั้งตัว ถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์เข้ากันได้กับโลกสมัยปัจจุบันซึ่งเป็นโลกแห่งสมัยวิทยาศาสตร์ โลกแห่งวิทยาศาสตร์ มันไปโลกพระจันทร์ก็ได้ ไปในอวกาศได้ตามที่ต้องการ สร้างนิวเคลียร์ กำลังนิวเคลียร์ ปรมาณูอะไรก็ได้ นั้นมันเป็นผลของการที่ไม่เป็นไสยศาสตร์ มันเป็นไปตามวิทยาศาตร์ ก็ไปได้ไกลอย่างนั้น แต่ว่าไปไกลขนาดนั้นมันเป็นเรื่องทางวัตถุ มันดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเกิดความทุกข์มันเป็นเรื่องทางจิตใจ ถ้าอย่างไรขอให้เรามีความก้าวหน้าในจิตใจตามวิถีทางวิทยาศาสตร์ ให้เหมือนกับที่มันก้าวหน้าทางวัตถุ แต่มาก้าวหน้าทางจิตใจ ให้มันพอกันกับความก้าวหน้าทางวัตถุ แล้วโลกนี้จะวิเศษ จะดี จะน่าอยู่ จะไม่มีปัญหามากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันก้าวหน้าแต่ทางวัตถุนี่ มันไม่ก้าวหน้าในทางจิตใจทันกัน มันเเป็นวิทยาศาสตร์ทางวัตถุเสียหมด ก็ดึงให้มาเป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตใจกันบ้าง แล้วเราก็จะได้รู้ หัวใจของพุทธศาสนา แล้วก็เอาพุทธศาสนามาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
อ้าว ที้นี้ที่เวลาเหลืออยู่อีกนิดหนึ่งก็จะพูดถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี่ท่านก็เป็น evolutionist ที่ท่านสอนวิวัฒนาการไม่ได้สอน creationist พระพุทธเจ้าท่านอยู่ในพวกสอนว่าเป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ ไม่ใช่มีพระเจ้าผู้สร้างนี่อย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็เป็นพวกที่ว่าปัญญาธิกะ ไม่ใช่ศรัทธาธิกะหรือวิริยาธิกะล้วนๆ ซึ่งมีอยู่พ้องสมัยกัน ท่านเป็นปัญญาธิกะ ทรงกระทำว่าพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ผู้ตื่นนั้นก็คือ ปัญญา นี่พระพุทธเจ้าท่านทรงบัญญัติธรรมะทั้งหลายทั้งปวงในระบบสังคมนิยม เห็นได้ตรงที่วินัยเป็นประชาธิไตยสูงสุด ไม่มีใครเสมอเหมือน โดยต้องเอกฉันท์ ค้านเสียงเดียวก็ไม่ได้ นี่โดยวินัย แล้วโดยธรรมะท่านให้ความเป็นเสมอภาคว่ามันเป็นสัตว์ที่ต้องเกิดแก่เจ็บตาย ไม่มีความรู้ก็ต้องทนทุกข์ไปตามเรื่องของผู้ที่เป็นทุกข์ ท่านก็เป็นสังคมนิยม ทีนี้ ท่านก็เป็นนักวิทยาศาสตร์สูงสุดในด้านจิตใจ ในด้านวิญญาณ ในความรู้นี้เราควรจะรู้กันชัดๆว่ามันเป็นส่วนวัตถุเป็นphysical นั้นมันก็เป็นส่วนจิตคือ psychical แล้วเป็นส่วนวิญญาณหรือสติปัญญามันเป็น spiritual คำสามคำนี้จำไว้เถอะมันเป็นหลักที่ช่วยได้มาก ไม่ให้ปนเป ถ้าเป็น physical ก็เป็นวัตถุ เป็น psychical ก็ มันก็เป็นจิต แต่เป็นเรื่องจิตเท่านั้นยังไม่เกี่ยวกับปัญญา แต่ถ้ามันเป็น spiritual spiritual นั้นนะมันคือปัญญา พระพุทธเจ้าท่านเป็น spiritualist ในทางที่จะดับทุกข์ได้ ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง ในทางจิต ในทางวิญญาณ สามคำนี้จำไว้ให้ดี ถ้าเป็นโรคทางกายก็ไปหาหมอที่โรงพยาบาลธรรมดา ถ้าเป็นโรคจิตโรคประสาทก็ไปหาหมอโรงพยาบาลโรคจิต แต่ถ้าเป็นโรคทางวิญญาณทางสติปัญญาต้องมาหาพระพุทธเจ้า โรงพยาบาลของพระพุทธเจ้าคือพระศาสนา มีพระสงฆ์ อริยสงฆ์เป็นนายแพทย์ ที่มองเห็นว่ามีโรงพยาบาลอยู่สามโรง รักษาโรคกาย รักษาโรคจิต รักษาโรคทางวิญญาณ สามคำนี้มันต่างกันแยกกันชัดโดยรู้จักใช้ตรงตามความหมายของมัน ในทางกายทางจิตทางวิญญาณ ในทางวิญญาณนี้เรียกขอไปที เขาไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ฝรั่งเขามีคำว่า spiritual เราไม่มีคำเรียกสำหรับคำนั้น ถ้าไปเรียกมันมีความหมายเป็นอย่างอื่น เป็นผีสางเทวดาไปซะอีก คำว่า spirit แปลว่า ผี ก็ได้ แปลว่าเหล้า ก็ได้ แต่spiritual ที่เราต้องการในที่นี้เป็นเรื่องทางสติปัญญา พวกฝรั่งเขารู้จักใช้คำนี้ ความสุขทาง spiritual นี่ต้องการมาก ความสุขทางวัตถุหรือว่าทางไอจิตวิทยานี้ก็ไม่ค่อยเท่าไร่หรอก เขาก็รู้กันแล้ว พุทธศาสนามันอยู่ในฐานะสูงสุดที่มันจะแก้ปัญหาทาง spiritual รักษาโรคทาง spiritual ทางสติปัญญา ทางทิฎฐิ อย่าได้มีมิจฉาทิฎฐิ ซึ่งเป็นโรคทางวิญญาณ อย่าได้มีกิเลสซึ่งมันเป็นโรคทางวิญญาณ เราก็จะปราศจากโรคโดยประการทั้งปวง เดี๋ยวนี้ไม่เป็นโรคกายก็เป็นโรคจิต ไม่เป็นโรคจิตก็เป็นโรคกาย เป็นโรคจิตเป็นกันทุกวินาที จิตไม่สมประกอบ เป็นโรคทางวิญญาณกันจะทุกวินาที ร่างกายนานๆจะเป็นโรคอะไรสักครั้ง แต่ทางจิตทางวิญญาณนี้เป็นไปเรื่อย น่าสงสาร รู้จักมันไว้ ใช้ยาอันสูงสุดของพระพุทธเจ้ารักษาโรคทางจิต รักษาโรคทางวิญญาณ ถ้าไม่เป็นโรคทางวิญญาณจะไม่เป็นโรคทางจิต มันเนื่องๆกันอยู่ ถ้ามีความรู้ถูกต้องแล้วมันยากที่จะเป็นโรคจิต ช่วยใช้ยาของพระพุทธเจ้า ที่สามารถแก้ถึงความตาย ไม่ต้องมีความตาย ไม่ต้องกลัวความตาย ไม่มีความหมายแห่งความตาย อยู่เหนือความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย กันให้ได้ทุกคน โดยที่รู้ว่ามันเป็นเรื่องทางจิต ทางวิญญาณที่สูงสุด ในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทางจิตหรือทางวิญญาณ สมกับที่จะเผชิญหน้ากับนักศึกษา นักวิชาการอะไรในโลกปัจจุบันนี้ ซึ่งก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เราก็มีวิทยาศาสตร์สูงสุดทางจิตทางวิญญาณ ที่จะไปอวดเขาหรือว่าไปเผชิญหน้ากับเขา ให้ยอมรับได้ ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง ไอสไตน์เขาพูดว่าโลกมันต้องการศาสนาอย่างนี้ ศาสนาที่สามารถเผชิญกับความต้องการของโลกทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็อย่างว่าเรามารู้พุทธศาสนากันเสียที ว่าเป็น evolutionist ไม่ใช่ creationist แล้วก็เป็นปัญญาธิกะ ไม่ใช่ศรัทธาธิกะหรือวิริยาธิกะ แล้วก็เป็นสังคมนิยมไม่ใช่เสรีนิยม ให้ช่องแก่กิเลสมากเกินไป แล้วก็เป็นพุทธศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เป็นไสยศาสตร์ ศาสตร์ของคนหลับ ถ้ารู้เข้าใจเรื่องนี้ครบถ้วนอย่างนี้แล้วก็จะปลอดภัย ขอร้องให้นำไปคิดพิจารณา ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้ปลอดภัย ให้มีแต่ความเจริญงอกงามก้าวหน้าในทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระศาสดาจงทุกๆคนเทอญ ขอให้ยุติเพราะมันหมดเวลา