แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
การพูดครั้งนี้จะพูดโดยหัวข้อว่า ธรรมะนั่นแหละคือคู่ชีวิตที่แท้จริงๆ ขอให้ฟังให้ดีๆจะเข้าใจได้ คู่ชีวิตนี้มันมีหลายๆแบบ หลายรูปแบบ ทางวัตถุก็มี ทางกายก็มี ทางจิตก็มี คู่ชีวิตทางวัตถุก็คือเครื่องไม้เครื่องมือ อาวุธ ที่จะคุ้มครองตัวได้ดี เป็นคู่ชีวิตอย่างนี้ก็ได้ เรียกคู่ชีวิตในทางวัตถุ มันก็เท่านั้นแหละ คู่ชีวิตในทางร่างกายเนื้อหนังนี้ก็คือภรรยา สามี ก็แค่นั้นแหละ คู่ชีวิตที่แท้จริงคือทางจิต ทางวิญญาณ คือธรรมะๆ คู่ชีวิตทางวัตถุก็ช่วยได้เท่านั้น ช่วยมากกว่านั้นไม่ได้ จะมีเงิน มีทอง มีข้าวของ อำนาจ วาสนาเท่าไหร่ก็ช่วยได้เท่านั้น ช่วยดับทุกข์ในใจไม่ได้ๆ ช่วยให้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่ได้ คู่ชีวิตทางเนื้อหนัง ภรรยา สามี มันก็เท่านั้นแหละ แค่นั้นแหละ มันช่วยดับทุกข์ในทางจิตใจไม่ได้ คู่ชีวิตที่แท้จริงทางจิต ทางวิญญาณ สิ่งนั้นคือธรรมะ มีแล้วจะดับทุกข์ลึกซึ้งได้หมดเลย ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะกิเลส ไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะตัณหาอุปาทาน พ้นจากอำนาจแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเกิด แก่ เจ็บ ตายทำอะไรไม่ได้ จึงจะรียกว่าเป็นคู่ชีวิตที่แท้จริง เราจะต้องสนใจ จะต้องมี จะมีทั้ง ๓ อย่างก็ได้ ทางวัตถุก็มี ทางร่างกายเนื้อหนังนี้ก็มี ทางจิตใจนี้ก็มี สิ่งที่จะช่วยเหลือออย่างถูกใจ พอใจที่สุด เรียกว่าเป็นคู่ชีวิต แม้ไม่มีภรรยา สามี เพื่อนฝูง มิตรสหาย ก็ยังมีได้ เป็นได้ บิดา มารดา แต่มันช่วยได้แต่เรื่องทางภายนอก เรื่องทางภายในมันช่วยไม่ได้ นี่เราอยากจะมีให้ถึงที่สุดก็คือเรื่องธรรมะ สามารถจะเป็นคู่ชีวิตสูงสุด ไอ้ที่เป็นมนุษย์ด้วยกันจะรัก จะมากมายเท่าไหร่ ก็ช่วยไม่ได้ ช่วยให้พ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตายไม่ได้ แม้อะไรที่มันเป็นเรื่องทางจิตใจนั้น มันก็ช่วยไม่ได้ไปเสียทั้งนั้น แต่ธรรมะมันช่วยได้ ธรรมะนี้มันต้องมี ไม่ใช่เพียงแต่รู้นะ เพียงแต่รู้มันไม่มีก็ได้ อย่าอวดดีไป เรียนๆแล้วไม่รู้ก็ได้ เรียนอย่างโง่เขลาไม่รู้ธรรมะนี้ เรียนๆ ไม่รู้ เรียนเพื่อรู้ รู้แล้วก็ไม่ได้มี มีแต่ๆรู้ มีปากพูดรู้ๆๆแต่ว่าตัวจริงไม่มี ต้องมีตัวจริงด้วย มีธรรมะแล้วบางทีก็ไม่ได้ใช้ ไม่รู้จักใช้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันต้องใช้ด้วย เรียนธรรมะ รู้ธรรมะ มีธรรมะ ใช้ธรรมะ ใช้เป็นรับประโยชน์ ใช่ไม่เป็นก็ไม่ได้รับประโยชน์ ในที่สุดก็ต้องได้รับประโยชน์จากธรรมะ นั่นแหละมันจะเป็นมนุษย์ที่เอาตัวรอดจากความทุกข์ได้
เดี๋ยวนี้การศึกษาของเรามันไม่มีธรรมะชนิดนั้นหรือเพียงพออย่างนั้น แทบจะไม่มี ทำพอเป็นพิธีทั้งโลก ทั้งโลกเลยไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย มีการศึกษา ศึกษาระดับมหาวิทยาลัย ปริญญายาวเป็นหางก็ไม่มีๆธรรมะ เพราะการศึกษาในโลกนั้นมัน เขามุ่งหมายจะให้ไปรับใช้การเมือง รับใช้เศรษฐกิจ รับใช้ พัฒนาอะไรทางโลก ทาง เขาไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อให้เรารู้ธรรมะ เพื่อไปนิพพาน เห็นไหมกระทรวงศึกษาธิการไม่ได้จัดการศึกษาเพื่อให้คนไปนิพพาน จัดการศึกษาเพื่อให้คนฉลาด ฉลาดแล้วไปรับใช้บ้านเมือง รับใช้การเมือง รับใช้เศรษฐกิจ รับใช้การปกครองอะไร พัฒนาสารพัดอย่างไปทางโน้น เราจึงหวังธรรมะไม่ได้จากการศึกษาที่ได้รับ ในโรงเรียนก็ดี ในมหาวิทยาลัยก็ดี กระทรวงศึกษาธิการเขาก็จัดไม่ได้ น่าเห็นใจเหมือนกัน เพราะว่ารัฐบาลไม่ได้ต้องการก็ทำไปไม่ได้ รัฐบาลก็ไม่ต้องการ ยังไม่ต้องการ กลัวๆจะล้าหลังทางการเงิน ทางการเศรษฐกิจ ทางอะไรต่างฝ่ายโน้น ไม่กล้าจัดการศึกษาเพื่อธรรมะ มีธรรมะเพื่อประโยชน์แก่การดับทุกข์ทางจิตใจ นี่เราก็ไม่มีๆ ต้องหาเอาเอง เมื่อมันเป็นสิ่งจำเป็นเราก็ต้องหาเอาเอง เพราะฉะนั้นถูกต้องแล้วที่ทำอย่างนี้ ที่บวชอย่างนี้ เพื่อศึกษาอย่างนี้ เพื่อให้มีธรรมะกันบ้างพอสมควรนะเท่าที่จะทำได้ เป็นสิ่งที่ดี มีเหตุผล และก็น่าอนุโมทนา ก็ขออนุโมทนา
เมื่อตั้งใจจะศึกษาอย่างนี้จริงๆ ก็ขอให้ตั้งใจจริงๆ ทำให้สำเร็จประโยชน์ ให้มันมีธรรมะที่จะเอาไปใช้เป็นคู่ชีวิตได้จริง กิเลสทำอะไรไม่ได้คือไม่เกิด ความทุกข์ทำอะไรไม่ได้ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีความหมายอะไรที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ เราไม่ต้องเป็นทุกข์เพราะไอ้สิ่งเหล่านั้น สูงสุดขึ้นไปเราจะไม่มีความทุกข์เลย ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ ดีใจก็เหนื่อย เสียใจก็ยิ่งแย่ ไม่ดีใจ ไม่เสียใจ ปกตินะเย็นสบาย ว่าง เย็นสบาย หัวเราะก็ไม่ไหว ร้องไห้ก็ไม่ไหว ไม่ต้องเลยดี นี่ก็คือประโยชน์ของธรรมะ ถ้ามีให้รู้ถึงที่สุดแล้วมันให้ความคงที่ ไอ้คำว่าคงที่ๆนี้ไม่ใช่คำเล็กน้อย ไม่ค่อยจะเข้าใจกัน เห็นเป็นคำเล็กน้อย ความคงที่ ตถาคงที่ เช่นนั้นๆเอง เช่นนั้น ตถาตา ความเป็นเช่นนั้น คือคงที่ ถ้าถึงซึ่งความคงที่ก็ไม่หวั่นไหวๆ ในทางบวก ในทางลบ ก็ไม่หวั่นไหวทั้งนั้น อะไรจะทำให้ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ได้ก็คือธรรมะ รู้ธรรมะไปตามลำดับ พูดถึงธรรมะชั้นลึกเลย รู้ เห็นตามที่เป็นจริง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา สุญญตา ตถาตา นี่ก็จะบรรลุมรรคผลนิพพาน ขั้นตื้นๆต่ำๆกว่านั้นก็มี มีธรรมะจริงประกอบกิจการงานในโลกนี้ได้ดี ไม่หลงใหลในสิ่งที่หลงใหลกันนัก โดยเฉพาะคือเรื่องกามคุณ กามารมณ์ หรือกามคุณ ที่หลงใหลกันนักโดยเฉพาะวัยรุ่น นี่มันก็ช่วยไม่ได้ ก็น่าเห็นใจที่จะไม่ให้หลงใหลทำไม่ได้ เพราะว่ามันยังไม่รู้ธรรมะ การจะรู้ธรรมะมันจึงจะไม่หลงใหลสิ่งเหล่านี้ เกิดมาก็ไม่ได้มีความรู้มาจากในท้อง พอเกิดออกมาแล้วก็ไม่ได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง มีแต่เรียนๆๆๆ ฉลาดไปไหนก็ไม่รู้ จะไปกัน เตลิดเปิดเปิงไปในทางความฉลาดก้าวหน้า ไม่ได้เรียนธรรมะ นี่มันเป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญที่สุด เราไม่มีความรู้ธรรมะมาจากในท้อง พอคลอดออกมาก็สิ่งต่างๆมันมาแวด เข้ามาแวดล้อม ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น กาย ใจ นี่ไม่ได้ทำให้รู้ธรรมะ มันทำให้รู้สึกเป็นบวก เป็นลบ คือยินดี ยินร้าย รัก หรือไม่รัก พอใจก็โลภ ไม่พอใจก็โกรธ ไม่รู้ว่าอะไรก็หลง นี่มันมีเสียแต่อย่างนี้ เด็กทารกคนนั้นก็ถูกกิเลสครอบงำ แล้วมันก็สมัครที่จะเป็นอย่างนั้น ไปคบกับกิเลส ไม่รู้ธรรมนี่จะทำอย่างไร กิเลสก็พาไปแล้วก็ทำตามอำนาจของกิเลส ก็เลยรับความทุกข์ กัดเอาๆ เจ็บปวด กว่าจะรู้สึกบางทีอายุมาก จะเข้าโลงแล้ว ทีนี้บางคนก็ไม่ได้รู้สึกจะเข้าโลงอยู่แล้ว ถ้าเผอิญมันรู้สึก มันก็หยุดชะงัก มันก็จะต่อสู้ ทีนี้มันก็จะต่อสู้กิเลส จะชนะกิเลส
นี่มีธรรมะเข้ามา ชนะกิเลสได้ก็ไม่ต้องเป็นทุกข์ บางคนก็ตายเปล่าไม่ได้รู้เรื่องนี้ บางคนก็รู้แล้วมันสายเกินไปทำไม่ทันก็มี การที่ได้รู้เสียแต่อายุยังไม่มาก อายุยังน้อยๆอย่างนี้นับว่าดี มีบุญ มีกุศล นี่ขอให้สนใจ
ธรรมนี้มันแปลก ธรรมะชนิดสารพัดนึกนี้ใช้ได้เพื่อจะอยู่ในโลกนี้ให้สบายก็ได้ เพื่อจะขึ้นพ้นโลกไปสู่นิพพานก็ได้ ธรรมะนั้นชื่อเดียวๆกันแหละแต่ว่ามันคนละระดับ จะบอกให้ว่าเราเรียกธรรมะ ๔ เกลอ ๔ ธรรมะ รู้จักไว้ดีๆจะเป็นคู่ชีวิต ที่ ๑ คือสติๆ ระลึกได้ไว ๒ ปัญญา หรือความรู้ๆที่มันจะดับทุกข์ได้เรียกว่าปัญญา นี่ปัญญาเหล่านั้นที่สติไปเอามาตามสมควรที่จะดับทุกข์ในกรณีนี้เท่านั้น นี่เรียกว่าสัมปชัญญะ ถ้ากำลังมันอ่อน กำลังปัญญาสัมปชัญญะมันอ่อนก็มีสมาธิ กำลังหนัก กำลังกล้าแข็งมาช่วยระดมลงไป มันก็ชนะกิเลส ชนะอุปสรรค ชนะอารมณ์ในเวลาที่มีมากระทบ ฝึกสติให้เร็ว ตามธรรมดามันไม่เร็ว หรือมันไม่มากพอ มันมีเหมือนกันไม่ใช่ว่าไม่มี คนเราถ้าไม่มีสติก็บ้าหรือตาย แต่ว่าเท่าที่มีตามธรรมดานั้นมันไม่พอ ฝึกให้มาก ฝึกสติตามวิธีฝึกสติ
ทีนี้ก็ศึกษาไว้ให้มากว่าดับทุกข์อย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร นี่เรียกปัญญาสะสมไว้ให้มากพอ ทุกๆแง่ ทุกๆมุม เพราะว่ากิเลสมันหลายชนิด ทุกข์มันหลายชนิด ปัญญาก็ต้องมีหลายชนิดให้มันพอกัน ศึกษารวบรวมเอาไว้ นี่พอปัญหาเกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจก็ตาม สติวิ่งไปเอามา ปัญญาที่เก็บไว้ในคลัง ในสันดาน เอามาเฉพาะเรื่องที่จะเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันนี้ ความทุกข์ในกรณีนี้ ปัญหาก็ในกรณีนี้ เอามาเฉพาะเรื่องนั้น เอามาทั้งหมดไม่ได้ เอามาไม่ได้และก็ไม่มีประโยชน์อะไร สติไปเลือกเอามาที่เฉพาะจะต่อสู้กับสถานการณ์อันนั้นเรียกว่าสัมปชัญญะ เผชิญกันเข้ากับเหตุการณ์นั้นๆ เหมือนกับว่าเรามีตู้ยา เก็บไว้ในตู้หลายๆชนิดครบทุกอย่างในตู้ยา แต่พอจะกินมันกินขนานเดียวเท่านั้นแหละ กินยาเดียวเท่านั้นไม่ได้กินทั้งหมด นี่ปัญญามีไว้มาก ไว้ครบถ้วนอย่างนั้น พอเกิดเรื่องสติไปเอามาเฉพาะเรื่อง เฉพาะที่มันกลมกับเรื่องนั้น เป็นสัมปชัญญะออกมาต่อสู้กัน ถ้ากำลังใจอ่อนก็ฝึกสมาธิ สมาธิตามธรรมชาติมันก็มีแต่มันไม่พอ สมาธิตามธรรมชาติไม่ใช่ว่าจะไม่มีเสียเลย คนมันยังคิดทำนั่น คิดทำนี่ เดินได้ดีไม่หกล้ม หรือว่าเล่นหยอดหลุม ทอยกอง ขว้างแม่น ยิงปืน มันก็มีสมาธิตามธรรมชาติ แต่มันยังไม่พอที่จะมาต่อสู้กับกิเลส ให้เราฝึกๆให้พอ
ทีนี้มันโชคดีที่ว่าฝึกอาณาปานสติเพียงอย่างเดียวเท่านั้นแหละมันพอ ถ้าฝึกสำเร็จนะ อาณาปานสติเพียงอย่างเดียวจะมีสติเพียงพอ รวดเร็วเพียงพอ ปัญญาครบถ้วนสำหรับจะดับทุกข์เพียงพอ กี่ชนิดก็ตามใจ สัมปชัญญะก็คล่องแคล่วที่สุดที่จะมาเผชิญหน้ากับข้าศึกอารมณ์ หรือกิเลส สมาธิก็มากพอที่จะมาใช้ ถูกแล้วที่สนใจอาณาปานสติ เขามีกันหลายแบบหลายอย่างตามใจเขา ให้เราเชื่อพระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสว่าอาณาปานสติเป็นกรรมฐานที่สบาย ที่สะดวก เมื่อเราตถาคตอยู่เป็นอันมากด้วยการมีวิหารและการอยู่เป็นอันมากด้วยอาณาปานสติ ก็ตรัสรู้อาสวักขยญาณ สิ้นอาสวะ ท่านยืนยันอย่างนี้ เราก็จะถือเอา เราไม่สนใจสมาธิแบบโน้น แบบนี้ แปลกๆ ประหลาดเราไม่สนใจ สนใจอาณาปานสติ แล้วก็ยืนยันว่าถ้าฝึกอาณาปานสติสำเร็จจะมีธรรมะ ๔ เกลอนั้น เพียงพอสำหรับจะอยู่ในโลกนี้อย่างผาสุกก็ตาม สำหรับจะขึ้นจากโลกนี้ไปสู่โลกุตระก็ตาม ได้ทั้งนั้นแหละ ได้ทั้งนั้น ธรรมะ ๔ เกลอมันวิเศษอย่างนี้ เพื่ออยู่ในโลกนี้ เจริญในโลกนี้อย่างโลกๆนี้ก็ได้ เพื่อไปนิพพานก็ได้ จะทำมาหากิน จะเป็นชาวนา ชาวสวน พ่อค้า ค้าขาย กรรมกรอะไรก็ตามนั่นแหละ ถ้ามีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิแล้ว ก็รับประกันได้ว่ามันจะไม่ผิดพลาด มันจะมีแต่ถูกต้อง เจริญก้าวหน้า เดี๋ยวนี้มันไม่มีแม้แต่สติ หรือมีไม่พอ มีตามธรรมชาติเหมือนกับสุนัขและแมวมันก็มีเหมือนกัน มันไม่พอ มันต้องมีให้พอสำหรับความเป็นมนุษย์
สตินี้เป็นเครื่องขนส่งที่ไว คำว่าสติแปลว่าระลึกได้ แต่ไอ้ตัวหนังสือแท้ๆมันแปลว่าวิ่งเร็ว แล่นเร็ว เหมือนกับลูกศร ระลึกได้เร็วเป็นสายฟ้าแลบ พออะไรเกิดขึ้นนี่สติมันระลึกได้เร็ว มันไม่โง่งงๆที่ตรงนั้น เร็ว นึกถึงปัญญาเรื่องอะไรที่จะช่วยได้ เอามาทำเป็นสัมปชัญญะต่อสู้กับมัน แม้จะเป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ค้าขายตามธรรมดานี้มันก็มีปัญญา เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องโน้นมีกันอยู่เรื่อย ถ้าเขามีสติเขาก็จะแก้ๆปัญหานั้นได้ มีปัญญา มีสมาธิในการเผชิญศัตรูก็ดี ในการทำงานก็ดี ในการหาทรัพย์ก็ดี รักษาทรัพย์ก็ดี ใช้ทรัพย์ก็ดี ถ้ามีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิแล้วมันถูกต้อง มันรอดตัว มันหมดปัญหา นี่ฝึกไว้ให้มากเถิดมันจะได้เป็นคู่ชีวิต แม้จะทำนา จะค้าขาย จะนั่งแซะขนมเบื้องขนมครกขาย ก็มีเถิด มีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิให้มากก็จะทำได้ดี ทำได้มาก ทำได้เร็ว ชนะคนอื่น มันไม่โง่ มันไหวพริบ มันรอบคอบ แม้จะตัดฟืนขายก็ทำได้ดีกว่าคนอื่น จะทำมาค้าขาย จะทำงานออฟฟิศ ทำอะไรในราชการ อาชีพราชการก็ได้ ขอให้มีสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ไอ้ที่ไม่มีสตินั่นแหละมันความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มันเรียนไว้เยอะแยะแต่สติไม่มีมันก็ไม่เอามาใช้ ใช้ไม่ได้ตามเหตุการณ์ เลยช่วยไม่รอด ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด แต่คนเราก็มักจะมีสติและมีความรู้ที่จดไว้ในสมุดอย่างนี้ยิ่งเอามาไม่ได้ ต้องมาเปิดกันหลายที ทันเหตุการณ์ที่ไหน กิเลสเกิดขึ้นเหมือนกับฟ้าแลบ มันต้องมีสติที่เร็วเหมือนกับฟ้าแลบจึงจะเผชิญหน้ากันได้
ควรจะเข้าใจได้แล้ว ก็เคยเล่าเคยเรียนมามากแล้ว สติคืออะไรในระดับต้นๆอย่างนี้ ขาดสติคืออย่างไร ใจลอยคืออย่างไร ก็ควรจะรู้ได้ ที่นี้ปัญญานี้มันไม่เรียนเรื่องดับทุกข์ ในโลกนี้มันเรียนให้ฉลาดๆๆ ตั้งแต่อนุบาล ประถม มัธยม อุดม เรียนให้ฉลาดๆเป็นบ้าเป็นหลัง แล้วไม่ได้เรียนสิ่งที่จะควบคุมความฉลาด ไม่ได้เรียนๆ นี่ความฉลาดไม่มีอะไรควบคุมมันก็ไปในทางกิเลส เห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ฉลาดลึก ทุกคนในโลกฉลาดๆแล้วก็เห็นแก่ตัวพร้อมๆกัน โลกนี้มันจึงเป็นอย่างนี้ ถ้ามีอะไรมาควบคุมความฉลาด ให้ความฉลาดเดินไปถูกต้องๆ มันก็ไม่มีปัญหาอย่างนี้ ขอให้รู้ไว้เถิด เรากำลังเรียนกันอย่างบ้าหลังในโลกนี้ ทั้งโลกเลย เรียนเพื่อฉลาดๆๆๆ จนไม่รู้จะฉลาดอย่างไรแล้ว แต่ไม่มีอะไรสักนิดที่จะควบคุมความฉลาดให้มันเดินไปถูกต้อง เราเรียกการศึกษาที่มีแต่ให้ฉลาดอย่างเดียวนี้ว่าการศึกษาหมาหางด้วน มันไม่มีหาง มันเดินเปะปะๆ ไม่น่าดู สัตว์บางชนิดเช่น นก หรือไก่ ตัดหางออกแล้วจะเดินไม่ตรง แกว่งไป แกว่งมา ไม่มีอะไรบังคับ จะบินก็ไม่ได้ มันไม่เป็นทิศเป็นทาง เพราะมันไม่มีหางเป็นเครื่องบังคับ มันก็บินไม่ได้ นั่นไม่มีหางทำเล่นกับมันสิ หางมันด้วนนี้ไม่น่าดู แม้แต่จะดูก็ไม่น่าดู ประโยชน์ หน้าที่ก็ทำไม่ได้ การศึกษาหมาหางด้วนเรียนกันไปให้ฉลาดๆๆ มันอาจจะเก่งในทางหาเงิน ถูกนะ แต่ชีวิตนี้มันกำลังเปะปะเต็มที มันลงเหวลงนรกเมื่อไหร่ก็ได้เพราะว่าเห็นแก่ตัวๆ ควบคุมไว้ไม่ได้ก็เห็นแก่ตัวๆ เขาให้ความรู้กันแต่ทำให้เราฉลาดๆๆ ไม่มีอะไรควบคุมฉลาด เราก็พลอยหางด้วนไปด้วย มาหาธรรมะมาต่อหางให้สิ ศึกษาธรรมะมาให้มันก็ต่อหางให้ อย่าให้หางมันด้วน มันจะได้เดินตรงทาง บินตรงทาง ก็ดีแล้วที่มาหาธรรมะอย่างนี้ เอาไปใส่ให้กับการศึกษาที่มันขาดอยู่ มีแต่ให้ฉลาดอย่างเดียว
การศึกษาสมัยก่อน สมัยโบราณ มันเรียนธรรมะมากกว่าเรียนความรู้สามัญ เพราะเขาเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ พอโลกเจริญเข้าๆ ต้องการความเจริญ ต้องการเงิน ต้องการวัตถุ ต้องการสิ่งของ เขาไม่เอา แยกธรรมะออกไป แยกออกไปๆจนหมด จนไม่มีเหลือ เหลือแต่สำหรับฉลาดๆ ในการที่จะเจริญทางวัตถุอย่างเดียว มันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ในประเทศบางประเทศเขามีกฎหมายห้ามไม่ให้สอนธรรมะหรือศาสนา โดยเฉพาะในโรงเรียน มหาวิทยาลัย บางประเทศมีกฎหมายลงโทษปรับเป็นความผิด เหมือนกับทำผิด ถ้าเอาธรรมะหรือศาสนาเข้าไปสอนในสถานศึกษา นี่ธรรมะมันถูกกีดกันออกไปๆอย่างนี้ การศึกษาก็เป็นหมาหางด้วนมากขึ้นๆๆ ถูกแล้วที่มาหาธรรมะ ไปเติมเข้าให้สมบูรณ์ การศึกษากับธรรมะหรือศาสนานี้ต้องเคียงคู่กันไป เดินเคียงคู่กอดคอกันไป การศึกษาทำให้ฉลาด ธรรมะหรือศาสนาจะได้ควบคุมความฉลาดให้เป็นไปอย่างถูกต้อง ก็หมายความว่าชีวิตนี้จะเดินไปอย่างถูกต้อง มันก็ดีนะ ถูกนะ คือไม่เป็นทุกข์หรือดับทุกข์ เรียน คำว่าเรียนหรือคำว่าศึกษานี้ คำว่าศึกษาก็แล้วกันนี้มันมีชนิดๆที่ผิวเผิน อย่างเรียนกันในโรงเรียนนั้นผิวเผิน บอกให้ฟัง จำไว้ หรือจดไว้ ถ้าอย่างนี้ยังไม่ตรงกับคำว่าศึกษาหรือสิกขา คำเดียวกันนี้เป็นภาษาบาลีว่าสิกขา เป็นภาษาสันสกฤต ว่าสิกฉา มาเป็นภาษาไทยว่าศึกษา ศึกษาที่เราใช้ออกมาจาบาลีหรือสันสกฤต สิกขาๆนี้ พอจะเห็นได้ว่าศัพท์นี้มันแยกได้ว่า สะ กับ อิกขะ สะก็เอง อิกขะแปลว่าเห็น เห็นซึ่งตัวเอง โดยตัวเอง ในตัวเอง เพื่อตัวเอง ที่เราศึกษา ทั้งเล่าเรียนกันอยู่นั้นมันไม่ได้ศึกษาดูตัวเอง ในตัวเอง เพื่อตัวเอง มันผิวเผินชั้นนอกๆ เรียกว่ามันเป็นเบื้องต้น ช่วยไม่ได้มันเป็นเบื้องต้น มันยังไม่ถึงขนาดที่จะดูตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง ควบคุมตัวเอง อะไรตัวเองทั้งนั้น จนๆหมดปัญหา คำว่าสิกขา สิกฉา หรือว่าศึกษา มันมีความหมายอย่างนั้น
ในโรงเรียนทั่วไปในชั้นมัธยม ชั้นมหาวิทยาลัย มันก็ไม่ได้ทำกันอย่างนั้น แต่ในพระศาสนาเราทำอย่างนี้ มาทำวิปัสสนา สมาธิ อาณาปานสตินี่ มันดูตัวเอง ด้วยตัวเอง ในตัวเอง เพื่อช่วยตัวเอง เพื่อความสุขแห่งตัวเอง ถ้าทำอาณาปานสติสำเร็จมันจะพบการศึกษาที่สมบูรณ์อย่างนี้ ดูภายในตัวเอง เห็นตัวเอง ช่วยตัวเองเสร็จอยู่ในตัว ศึกษาวิทยาศาสตร์ ศึกษาประวัติศาสตร์นั้นมันเรื่องนอกๆๆๆ มันเป็นเรื่องผิวเผิน จึงไม่ชำระกิเลส ไม่ช่วยกำจัดกิเลส การศึกษาชั้นนอกๆ เปลือกนั้นพอแล้วก็มาศึกษาชั้นในๆกันบ้าง ที่เป็นตรงกับความหมายของคำว่าสิกขา ศึกษา ดูตัวเอง เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง สามารถจะจัดการกับตัวเอง พอใจตัวเอง เคารพตัวเอง นับถือตัวเอง เป็นสุขด้วยตนเอง พอ นี่การศึกษาที่สมบูรณ์เป็นอย่างนี้ การศึกษาที่ปริญญายาวเป็นหางนั้น บางคนมีตั้งหลายปริญญา มันไม่เป็นอย่างนี้ มันยังไม่เป้ฯอย่างนี้ แต่ก็ชอบกันนัก บูชากันนัก สรรเสริญกันนัก นั่นแหละระวังไอ้ความฉลาดชนิดนั้นมันจะพาไปสู่ปัญหา ตกเหว หรือตกเหวแห่งความรู้
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเราพูดแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น แต่ก่อนนี้ก็ดี เดี๋ยวนี้ก็ดีบัญญัติขึ้นสอนเฉพาะเรื่องทุกข์ คือเรื่องดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เราได้สังเกตเห็นดูว่า โอ้,มันก็แยกออกไปได้ การศึกษาที่มันไม่ดับทุกข์โดยตรง ศึกษาวิชาเลข วิชาประวัติศาสตร์ วิชาวิทยาศาสตร์ อย่างเขาที่เรียนๆอยู่ในโลก มันยังไม่ดับทุกข์ หรือว่ายังไม่ทันจะดับทุกข์ ต้องศึกษาให้มันมากกว่านั้น ให้ดีกว่านั้น ให้มันเอียงมาหาไอ้ความดับทุกข์ เมื่อก่อนนี้เราก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ชอบศึกษาโบราณคดี ศึกษาอะไรที่มันๆไม่ดับทุกข์ มันไม่เกี่ยวกับความดับทุกข์เลย ชักจะเฉยๆ หันมาหาวิชาดับทุกข์ ถ้าจะเรียนอะไรนอกนั้นบ้าง เรียนวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์บ้าง ก็จะมองแต่ในแง่ที่มันจะดับทุกข์ได้เท่านั้น แง่อื่นไม่ต้องการ จึงรู้เรื่องดับทุกข์ๆนี้มากขึ้นๆ พอที่จะพูดให้เพื่อนฟัง นี่ว่าศึกษากันอย่างไรจึงจะรู้ธรรมะชนิดที่แก้ปัญหาได้ รู้อย่างไรจึงจะมีๆๆธรรมะ มีธรรมะอย่างไรจึงจะอาจใช้ๆๆๆให้เป็นประโยชน์ ใช้อย่างไรๆจึงจะเป็นประโยชน์ ได้รับประโยชน์ เป็นประโยชน์ดับทุกข์ได้ มันหลายขั้นตอนนะ เรียนก็อย่างหนึ่ง รู้อีกอย่างหนึ่ง มีๆอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่รู้แล้วมี รู้แล้วไม่มีก็ได้ มีแล้วก็ใช้มัน ใช้มันก็ได้รับประโยชน์ นี่สำเร็จประโยชน์ เราเรียนรู้เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรียนธรรมะ เรียนให้มันมี ไม่ใช่รู้เฉยๆ มีแล้วใช้ ใช้ก็ใช้ให้เป็น ใช้ไม่เป็นก็ไม่ได้รับประโยชน์ นี่เรียกว่าศึกษาสิกขาที่แท้จริง มันต้องถึงกับสำเร็จประโยชน์ หรือได้รับประโยชน์ ช่วยคิดดูให้ดีๆ
ที่แล้วมาเห็นเรียนหวัดๆ ฟังหวัดๆ ผิวๆ จดไว้ในสมุดก็อยู่ในสมุด ไม่ไปอยู่ในจิตใจ เป็นความรู้ที่อยู่ในสมุด ไม่ใช่ความรู้ที่เข้าไปอยู่ในจิตใจ อย่างนี้ยังไม่รู้ธรรมะ ยังไม่มีธรรมะ เพราะมันมีอยู่ในสมุด พยายามให้มันมีในจิตใจ ในความคล่องแคล่วแห่งจิตใจนี่ ในการประพฤติทางกาย ทางวาจาให้ถูกต้อง ครบถ้วน คล่องแคล่ว นี่มีธรรมะ มีโอกาสเมื่อไหร่ก็ขอให้ศึกษาให้เต็มที่ ฝึกปฏิบัติดูให้เต็มที่ เพียงแต่ศึกษาเล่าเรียนแล้วมันรู้เท่านั้นแหละ แต่ถ้าปฏิบัติลงไปแล้วจะรู้จริงกว่านั้น รู้จริงกว่าเพียงแต่ศึกษาเฉยๆ ให้ปฏิบัติด้วยแล้วมันจะรู้มากกว่า เหมือนกับรู้อะไรแต่ทำไม่เป็น มีอยู่ทั่วๆไป รู้อะไรก็รู้แต่ทำไม่เป็น พอทำๆไม่ได้เพราะมันไม่เคยปฏิบัติ น่าหัวนะ ใครๆก็รู้ว่าขี่รถจักรยานอย่างไร รู้เข้าใจแต่พอไปขี่เข้ามันล้ม แม้ที่สุดแต่ว่าพายเรือนี่ใครๆก็รู้จับเรือแล้วพายอย่างนี้ เห็นอยู่รู้ๆ แต่พอไปพายเข้า พายไม่ได้ นี่รู้ชนิดนี้ไม่ใช่มีความรู้ รู้แล้วไม่มีๆ มีแล้วก็ไม่ใช้ นี่ใช้ไม่ได้ ความรู้สำหรับอยู่ในโลกก็รู้เรื่องโลก ความรู้ที่จะอยู่เหนือโลกก็เรียนเรื่องเหนือโลก ก็เรียกธรรมะด้วยกัน ธรรมะชั้นต้นๆต่ำ เพื่อจะอยู่ในโลก ธรรมะชั้นสูงสุดก็เพื่อจะอยู่เหนือๆโลก ที่ว่าในโลกๆนี้ก็คือสำหรับคนที่มีปัญญาอ่อน มันทำอะไรไม่ได้ แล้วก็ในโลกมันก็หลงโลกๆ เมาโลก มีดีมีชั่ว มีได้ มีเสีย มีแพ้ มีชนะ มีสุข มีทุกข์ มันก็หลงอยู่แต่อย่างนี้ หลงฝ่ายดี ฝ่ายที่ว่าดี บวก ฝ่ายบวก ฝ่ายลบก็ไม่ชอบ แต่ก็มีฝ่ายลบมาทำให้ร้องไห้น้ำตาไหลอยู่บ่อยๆ ฝ่ายบวกก็ทำให้หัวเราะร่าเหมือนกับผีสิง เดี๋ยวบวกเดี๋ยวลบๆ เดี๋ยวหัวเราะ เดี๋ยวร้องไห้ เดี๋ยวดีใจ เดี๋ยวเสียใจ นี่ไม่ดี อยู่ในโลกก็เป็นอย่างนั้น ต้องขึ้นมาเสียจากโลก เหนือโลกจึงจะไม่เป็นอย่างนั้น ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ต้องดีใจ ไม่ต้องเสียใจ แต่ว่าถ้ามันยังอ่อนปัญญาเกินไปมันก็ไม่ชอบ มันชอบที่จะสนุกสนาน หัวเราะ ร้องไห้ บางทีร้องไห้ก็เป็นสุขดี เขาคิดไปเสียอย่าง รู้สึกไปเสียอย่างนั้น ถ้าจะให้สงบ ไม่สุขไม่ทุกข์ ไม่หัวเราะ ไม่ร้องไห้ กลับกลัวเสียอีกว่าจะไม่มีรสชาติ พวกฝรั่งจำนวนมากที่เขามากันที่นี่ พอเราพูดเรื่องนี้ ชีวิตใหม่อยู่เหนือบวก เหนือลบ ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องหัวเราะ ไม่ยินดี ยินร้าย เขาไม่เห็นด้วย นี่มันผิดปกติ ถ้ามันเป็นปกติ ต้องหัวเราะ ต้องร้องไห้ ต้องดีใจ ต้องเสียใจ อย่างนี้ก็มี นี่แปลว่าไม่รู้ธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมะ ไม่รู้ว่าความสงบ เยือกเย็น เป็นสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร มันยังชอบอย่างที่เขามีๆกันอยู่ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง หัวเราะ ร้องไห้ ดีใจ เสียใจ กระโดดโลดเต้นไปตามเรื่อง มันรู้เพียงเท่านั้น ดูสิมันรู้เพียงเท่านั้น มันๆไม่ต้องการจะดีกว่านั้น จะพ้นไปจากนั้น ถึงพวกเราก็เถอะระวังให้ดี ถ้ายังไม่ชอบความสงบ เหนือบวก เหนือลบแล้วมันก็รู้เท่านั้น รู้แค่นั้น มันก็ได้ร้องไห้ หัวเราะ สลับกันไป เสียใจกับดีใจสลับกันไป ถ้าชอบก็ได้ เอาเท่านั้นก็ได้ ไม่เป็นไร ไม่มีใครว่า มีสิทธิเสรีภาพที่จะทำได้ แต่ถ้าต้องการดีกว่านั้น มากกว่านั้น ก็ต้องศึกษาธรรมะชนิดที่อยู่เหนือบวก เหนือลบ ไม่บ้าบวก บ้าลบ ไม่บ้าดี บ้าชั่ว ไม่บ้าบุญ บ้าบาป ไม่บ้าอะไรทุกอย่าง อยู่ตรงกลางเรื่อยไป
เราเกิดมาถูกหลอกด้วยกิเลส พอใจในกามารมณ์ ถือว่าเป็นของดี นี่มันโง่อยู่เท่าไหร่ ยังโง่อยู่เพียงนั้น เพราะมันเห็นว่ากามารมณ์เป็นของดีวิเศษที่สุด ของวิเศษที่สุดแห่งชีวิตจิตใจคือกามารมณ์ มันเป็นอย่างนี้พักๆก่อนกว่ามันจะรู้ พอเขาบอกว่าบนสวรรค์มีกามารมณ์ที่เป็นทิพย์ก็พอใจยินดีจะไปสวรรค์ เตรียมศึกษาเรื่องจะไปสวรรค์ ไปเตลิดเปิดเปิงไปนี่ ก็มีเหมือนกันแหละมนุษย์ยุคหนึ่ง สมัยหนึ่ง แห่งหนึ่ง ถือกามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุด เป็นนิพพาน อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน คำว่านิพพานคือกามารมณ์อย่างนี้ก็มีเหมือนกัน ปรากฏอยู่ในพระบาลี พระไตรปิฎก เรื่องทิฏฐิ ๖๒ ในพรหมชาลสูตรก็มีอย่างนี้ โง่ไปสุดทางนั้นก็มีเหมือนกัน พวกอื่นมารู้ โอ้,ไม่ใช่ๆ เป็นสงบๆด้วยสมาธิดีกว่า สมาธิเป็นนิพพาน ต่อมาพวกหนึ่งบอกว่าไม่ใช่ๆ ไม่เอา เอาความหมดกิเลส ไม่มีอุปาทาน ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรดีกว่า คือพระพุทธเจ้า
สัตว์ที่บูชากามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุดมันก็ไม่ต้องการอะไร เป็นฤษีมุนี ต้องการฌานสมาบัติ เป็นอารมณ์ ก็ไม่ต้องการอะไรเหมือนกัน แต่มีตัวตนสำหรับเป็นอย่างนั้นๆ ไม่ชนะความเกิด แก่ เจ็บ ตายได้ พระพุทธเจ้านี้มีปัญญา ต้องการปัญญาที่จะรู้จนไม่มีอะไรเป็นทุกข์ เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ความไม่มีกิเลส มันสูงสุดอยู่ตรงที่ว่าอบรมจิตใจให้สูงขึ้นๆ ไม่ไปจมปรักในกามารมณ์ ไม่ไปติดบ่วงเกี่ยวพันเกี่ยวกับเรื่องฌาน สมาธิ สมาบัติ ออกมาสู่โลกแห่งปัญญาๆ รู้จักสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง ไม่ไปหลงยึดมั่นถือมั่นอย่างนั้น อย่างนี้ ไม่ว่าบวก ไม่ว่าลบ ดูให้ดีความสุขมันก็เช่นนั้นเอง ความทุกข์มันก็เช่นนั้นเอง ยิ่งมีความสุขยิ่งต้องการมาก ยิ่งมีกิเลสมากยิ่งหลงใหลมาก มีความสุขเอาไว้เป็นคนใช้สำหรับเพื่อความอยู่สะดวกผาสุข เพื่อจะบรรลุมรรคผลนิพพานกันดีกว่า จิตใจที่สูงสุดเห็นเช่นนั้นเองๆ จะเห็นว่าเช่นนั้นเอง ไม่น่ารัก ไม่น่าเกลียด ไม่ๆทั้ง ๒ อย่าง รักก็ไม่รัก เกลียดก็ไม่เกลียด ก็อยู่เหนือๆรัก เหนือเกลียด ก็สบายดี ธรรมะสูงสุดข้อนี้เรียกว่าอตัมมยตาๆๆ จดให้ถูกๆ อตัมมยตา มีจิตใจแจ่มแจ้ง รู้แจ้ง มั่นคงจนอะไรๆมาปรุงแต่งไม่ได้ มีจิตใจชนิดที่อะไรมาปรุงแต่งไม่ได้ มาปรุงแต่งให้หัวเราะก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้ร้องไห้ก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้รักก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้โกรธก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้เกลียดก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้กลัวก็ไม่ได้ มาปรุงให้ให้ตื่นเต้นไปตามก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้วิตกกังวลก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้อาลัยอาวรณ์ก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้อิจฉาริษยาก็ไม่ได้ มาปรุงแต่งให้หวงให้หึงก็ไม่ได้ จิตใจชนิดนี้เรียกว่าอตัมมยตา ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เป็นอย่างไรได้ อิสระ สงบ ปกติอยู่เสมอ นี่สูงสุด สูงสุดเป็นพระอรหันต์ ผู้ใดมีอตัมมยตาก็เป็นพระอรหันต์ทั้งนั้น ถ้ามีอตัมมยตาเขาเรียกว่าอตัมมโยๆ คนที่มีอตัมมยตาเป็นอตัมมโย เป็นพระอรหันต์ อตัมมยตาเป็นชื่อของธรรมะที่มีแล้วมีจิตใจชนิดที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้ เดี๋ยวนี้เรามีจิตใจชนิดอ่อนแอมาก อะไรมาปรุงแต่งก็ได้ หัวเราะก็ได้ ร้องไห้ก็ได้ ให้หลงรักก็ได้ หลงโกรธก็ได้ หลงเกลียดก็ได้ ได้ทั้งนั้น จิตใจที่มันอ่อนแอ ไม่มีธรรมะ ถ้ามีธรรมะเป็นคู่ชีวิตมัน ป้องกันไม่ให้เป็นอย่างนั้นไม่มีอะไรมาทำให้เป็นอะไรได้ มีแต่ความสงบ บริสุทธิ์ อิสระ เยือกเย็น เกลี้ยงเกลาอยู่อย่างนั้น ธรรมะมันให้ผลอย่างนี้ จะชอบหรือไม่ชอบก็ตามใจ อุตส่าห์มาศึกษาธรรมะ ธรรมะมันจะให้อย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ ถ้าศึกษาธรรมะเรื่อยไปๆจนถึงที่สุดจริงๆแล้วก็ได้จิตใจดวงใหม่ ไม่มีอะไรมาปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ได้อีกต่อไป
ควรจะรู้เรื่องอีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องจิตประภัสสร ประภัสสรหมายความว่าไม่มีอะไรมาทำให้เศร้าหมอง เรืองแสงเพราะไม่มีอะไรมาทำให้เศร้าหมองๆ เหมือนเพชรอย่างนี้มันมีเรืองแสงแวววาวเป็นเพชร แต่ถ้ามีโคลนมาปะมันก็เศร้าหมอง จิตโดยธรรมชาติแท้ๆ เดิมแท้ มันรุ่งเรือง เรืองแสงเป็นประภัสสร เกิดมาจากท้องแม่ก็ยังเป็นประภัสสร พอคลอดมาจากท้องแม่แล้วก็เริ่มเห็นทางตา เริ่มฟังทางหู เริ่มดมทางจมูก เริ่มรสทางลิ้น เกิดหลงรัก หลงโกรธ หลงเกลียดแล้วก็เกิดกิเลส ไม่ๆประภัสสร ต่อเมื่อสิ่งเหล่านั้นไม่มารบกวนเป็นประภัสสร เป็นจิตเรืองแสง เมื่อประภัสสรก็ไม่มีความทุกข์เพราะไม่มีกิเลส เมื่อสูญเสียความเป็นประภัสสรก็มีกิเลส ก็เศร้าหมอง ก็เป็นทุกข์ไปตามกิเลส จิตของเราวันหนึ่งมีประภัสสรสักกี่นาที ไม่ประภัสสรสักกี่ชั่วโมง คิดดูให้ดี ถ้าประภัสสรมันก็เยือกเย็น คือมันเกลี้ยง มันไม่มีความทุกข์ ไม่มีกิเลส พอไม่มีประภัสสรก็ไฟร้อน กิเลสไฟ เป็นไฟร้อน ร้อนเพราะราคะบ้าง ร้อนเพราะโทสะบ้าง ร้อนเพราะโมหะบ้าง ร้อน ทีนี้เกลียดความทุกข์ เกลียดไอ้ชนิดนั้น มาฝึกฝน ปฏิบัติ ศึกษาก่อน แล้วฝึกฝน แล้วปฏิบัติ จนกิเลสมาครอบงำจิตไม่ได้ จิตประภัสสรตลอดกาลเลย ถาวรตลอดกาล นี่ประภัสสรของพระอรหันต์ ประภัสสรของลูกเด็กๆ ที่เกิดมาจากท้องแม่นี่ ประภัสสรชนิดที่มีอะไรมาทำให้เศร้าหมองมืดมัวไปได้ อบรมๆๆๆตามศีล สมาธิ ปัญญา ตามหลักธรรมะในพุทธศาสนา จิตรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งปวง เช่นนั้นเองๆ ยึดถือไม่ได้ก็ไม่ยึดถือ ถ้าไม่ยึดถือก็ไม่เกิดกิเลส ไม่เกิดกิเลสก็ไม่เศร้าหมอง ก็ประภัสสรตลอดกาล จบที่ประภัสสรตลอดกาล เหมือนจิตเป็นจิตพระอรหันต์ เราจะเอาหรือไม่เอา ไม่เอา สมมติว่าไม่เอา อยากจะอยู่ในโลกนี้ ก็มีประภัสสรล้มลุกคลุกคลานไปก็แล้วกัน แต่อย่าให้มันล้มลุกคลุกคลานที่บอบช้ำนัก อย่าให้บอบช้ำนัก ให้มันพอทนได้ ก็มีการผ่อนผันสั้นยาวไปตามเรื่อง ปฏิบัติธรรมะได้เท่าไหร่ก็ไม่ล้มลุกคลุกคลานเท่านั้นแหละ มีความเป็นประภัสสรมากขึ้น เมื่อทำสมาธิสำเร็จก็เป็นประภัสสรแรงขึ้น เมื่อทำวิปัสสนาสำเร็จก็ประภัสสรแรงขึ้น บรรลุมรรคผลนิพพานเป็นพระอรหันต์ก็แรงถึงที่สุด ประภัสสรถึงที่สุด คือมันขาว จะเรียกว่าขาวก็ไม่ถูก คำนี้ไม่ได้แปลว่าขาว คือมันสว่างขึ้นๆๆเหมือนกับว่าจุดไฟ จุดขึ้นมาทีแรกเป็นสีแดง แรงเข้าเป็นสีเหลือง แรงเข้าเป็นสีขาว แรงขึ้นเป็นสีอะไรก็ไม่รู้ นี่จิตประภัสสรของแสงไฟ จิตก็เหมือนกัน มันจะสูงขึ้นไปๆตามขั้น ประภัสสรที่สูงขึ้นไป ยิ่งสูงเท่าไหร่มันก็ยิ่งไม่กิเลสเท่านั้น ยิ่งหมดจากกิเลส เกลี้ยงเกลาจากกิเลสเท่านั้น เราก็เอาตามสมควร พอว่าเย็นอกเย็นใจในชีวิตประจำวันนี่ ประภัสสรพอสมควร มีความเย็นอกเย็นใจเป็นนิพพุติๆๆ ชีวิตเย็น เป็นชีวิตเย็นก็ได้เหมือนกัน ถ้ากลัวว่าจะเป็นพระอรหันต์ ยังไม่ต้องการ ประภัสสรตามสมควร อยู่ในโลกนี้อย่างมีชีวิตเย็น จะครองบ้าน ครองเรือน มีครอบครัวก็ได้ จงมีประภัสสรให้มากเท่าที่จะมีได้ ดีกว่ามีไฟลุกอยู่เป็นกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ นี่ธรรมะคู่ชีวิตมันช่วยได้อย่างนี้ คู่ชีวิตที่เป็นคนๆมันช่วยไม่ได้ ชีวิตที่เป็นธรรมะช่วยได้อย่างนี้ ดีหรือไม่ดีก็คิดเอาเอง ถ้ามีอะไรดีกว่านี้ก็ไปเอาได้ แต่ว่าที่ธรรมะจะมีให้ได้มันอย่างนี้ๆ มีขั้นตอนอย่างนี้ มีระดับอย่างนี้ ทำให้มีชีวิตอยู่ด้วยสติปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ มันก็ไม่ร้อนเป็นไฟ ๔ เกลอนั้นมันช่วยคุ้มครองไว้ สติทันท่วงที ปัญญามากพอ สัมปชัญญะคล่องแคล่วดี สมาธิมีกำลังมาก ๔ เกลอนี้ช่วยป้องกัน ช่วยต้านทาน ช่วยต่อสู้ ป้องกันไม่ให้กิเลสเกิด กิเลสเกิดก็ต่อสู้ให้กิเลสหายไป
คุณคิดอย่างไร ที่พูดนี้มันมากไปเสียแล้วหรือว่ายังพอดีอยู่ ยังน่าปรารถนาอยู่ หรือมันมากไปเสียแล้ว เกินพอดี ไม่ปรารถนาเสียแล้ว ก็ได้เหมือนกัน ก็เลือกเอาเท่าไหนพอดี พอดีที่จะอยู่ เป็นชีวิตเย็น ตั้งปัญหาว่าจะเล่าเรียนไปทำไม จะสอบวิชาสูงสุดไปทำการงานหาเงินหาทองให้มากไปทำไม แล้วมันจะไม่มีความร้อน ไม่มีความทุกข์เพราะสิ่งนั้นได้อย่างไร เมื่อเรียนนี่ก็อย่าเป็นทุกข์ เมื่อไปทำการทำงานก็อย่าเป็นทุกข์ ประสบผลสำเร็จ ได้ผล ได้เงิน ได้ทอง ได้เกียรติยศมาแล้วก็อย่าต้องเป็นทุกข์เพราะมีสิ่งเหล่านี้ หรือรักษาสิ่งเหล่านี้ ธรรมะมันจะคุ้มๆไว้ได้ ไม่ต้องให้เป็นทุกข์ มิฉะนั้นจะมีความทุกข์ ยิ่งมีเงินมาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก ยิ่งมีอำนาจวาสนามาก ยิ่งเป็นทุกข์มาก ถ้าไม่มีธรรมะมาช่วยคุ้มครอง ยิ่งรวยมาก ก็ยิ่งมีกิเลสมาก วิตกกังวลมาก หวาดกลัวมาก จะเป็นสุขได้อย่างไร ธรรมะเข้าไปช่วยประคับประคอง ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น ทุกขั้นตอนธรรมะจะช่วยเข้าไปแทรกแซงเพื่อไม่ให้เกิดความทุกข์ความร้อนใดๆ อยู่อย่างเป็นผู้ชนะกิเลสและความทุกข์ หัวเราะเยาะความเกิดแก่เจ็บตาย กูไม่เอากับมึง ของธรรมชาติเอาไปเถิด จิตนี้ไม่เอา ไม่ยึดถือเอามาเป็นของตน หรือเป็นตัวตน เกิด แก่ เจ็บ ตายนี้เป็นสิ่งที่พ้นได้ ถ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร สวดมนต์นี่บวชแล้วมักจะสวดมนต์กันว่า เกิด แก่ เกิดเป็นธรรมดา ไม่ต้องพ้นความเกิดไปได้ แก่เป็นธรรมดา ไม่ต้องพ้นความแก่ไปได้ เจ็บเป็นธรรมดา ไม่ต้องพ้นความเจ็บไปได้ ตายเป็นธรรมดา ไม่ต้องพ้นความตายไปได้ มีกรรมเป็นของตน ทำกรรมใดไว้ต้องเป็นไปตามกรรมนั้น ไม่เป็นอย่างอื่นได้ นี่ไม่ถูก ถูกครึ่งเดียว ถูกสำหรับเพียงมองเห็นที่นี่แล้วก็ชนะ พระพุทธเจ้าตรัสว่าถ้ามีเราเป็นกัลยาณมิตรแล้ว ที่มีความเกิดเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเกิด ที่มีความแก่เป็นธรรมดา จะพ้นจากความแก่ ที่มีความเจ็บเป็นธรรมดา จะพ้นจากความเจ็บ ที่มีความตายเป็นธรรมดา จะพ้นจากความตาย ทำกรรมอันใดไว้ก็ไม่ยึดถือเอามาเป็นของตน ไม่ต้องเป็นไปตามกรรมๆ อยู่เหนือกรรม มีกรรมเป็นที่สิ้นสุดแห่งกรรม กรรมคือมรรคผลนิพพาน มันทำให้สิ้นสุดแห่งกรรมทั้งหลาย ทั้งดี ทั้งชั่ว พ้นกรรมอยู่นอกเหนืออำนาจกรรมก็ได้ พ้นอำนาจการเกิด แก่ เจ็บ ตายก็ได้ ถ้ามีพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร คือมีธรรมะสอนให้ประพฤติ ปฏิบัติอัฏฐังคิกมรรค ปฏิบัติตามแล้วจะอยู่เหนือเกิด แก่ เจ็บ ตาย อยู่เหนือกรรม ธรรมะนี้เป็นคู่ชีวิตถึงขนาดนี้ คู่ชีวิตที่เป็นคนๆช่วยได้ที่ไหน ช่วยอย่างนี้ได้ที่ไหน แต่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นกัลยาณมิตร แล้วก็ให้ธรรมะมา เอาธรรมะมาเป็นคู่ชีวิต แล้วก็ช่วยได้ มันก็ชนะได้ มันก็อยู่เหนือไปเสียทั้งหมด ธรรมะเป็นคู่ชีวิตสูงสุด จนสูงสุด จนนิพพาน อยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์โดยประการทั้งปวง นี่แหละสิ่งที่เรียกว่าธรรมะๆๆที่อุตส่าห์มาเล่าเรียนศึกษากันมันคืออย่างนี้ มีแล้วก็ใช้เป็นประโยชน์ได้ ดับทุกข์ได้
ทีนี้มันไม่ค่อยจะมีธรรมะ มันจึงจะรู้ธรรมะ ช่วยขวนขวายหน่อยให้มันมีธรรมะ แล้วใช้ธรรมะ จะมีธรรมะอยู่ได้ทุกหนทุกแห่งทุกเวลาก็เพราะมีสติ จะมีสติไปค้นเอาปัญญามา ปัญญาก็ต้องอบรมศึกษาให้มากเข้าไว้ เรียนเรื่องดับทุกข์ เรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์อะไรให้มากเข้าไว้ ทุกแง่ทุกมุม ให้สติได้ไปขนเอามาเผชิญหน้ากับกิเลส กับความทุกข์ นี่เรียกมีธรรมะ แล้วก็ใช้ธรรมะ ธรรมะก็จะให้ประโยชน์ ประโยชน์ชนิดนี้ ประโยชน์เหนือโลก ไม่ใช่ประโยชน์เป็นเงินเป็นทองที่จะอยู่ในโลก ธรรมะต่ำๆเพื่อจะอยู่ในโลกเป็นเงินเป็นทองก็ได้เหมือนกัน ก็มีเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่มันไม่ดับทุกข์สิ้นเชิง มันมีความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัวรบกวนอยู่เรื่อย ทีนี้มาดูกันทั้งหมดนี้เราจะเห็นว่า โอ้,ธรรมะนี้เหลือที่จะกล่าวได้ มีค่าเหลือประมาณ ช่วยได้เหลือประมาณ ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้าไม่มีธรรมะต้องเป็นทุกข์ ไม่มีใครป้องกันได้ จะไปบนบานผีสาง เทวดา พระเจ้าที่ไหนให้มาช่วยป้องกันไม่ได้ถ้าไม่มีธรรมะ ต่อเมื่อมีธรรมะแล้ว ธรรมะมันช่วยคุ้มครองเอง ไม่ต้องไปอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ธรรมะนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดเสียเอง มีธรรมะเถิดจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดอยู่กับเนื้อกับตัว นี่แหละคือธรรมะที่จะเป็นคู่ชีวิต ไม่มีธรรมะแล้วกิเลสก็ครอบงำ ก็ไม่มีใครช่วยได้ มันก็ต้องเป็นทุกข์ ทีนี้มองไปอีกทางหนึ่งจะเห็นว่า โอ้,นี่จำเป็นต้องมี ธรรมะนี้จำเป็นจะต้องมี เป็นทรัพย์สมบัติชั้นวิเศษที่ต้องมี ถ้ามองอีกทีก็โอ้,ธรรมะนี้เป็นหน้าที่ คือหน้าที่ๆที่จะทำให้ถูกต้อง คุ้มครองป้องกัน ตัวบาลีแท้ๆ ธรรมะแปลว่าหน้าที่ หรือสิ่งที่จะทรงไว้ไม่ให้พลัดตก คือหน้าที่ ไม่ใช่ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าเฉยๆ เป็นเด็กนักเรียน เป็นครูสอนกันในโรงเรียน สอนนิดเดียว ถูกนิดเดียว ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถูกนิดเดียวตอนหลังนี้ ธรรมะๆนี้เขาพูดกันก่อนพระพุทธเจ้าเกิดก็มีคำนี้พูดและใช้อยู่ สอนกันอยู่ธรรมะ แปลว่าหน้าที่ๆช่วยให้รอด หน้าที่ๆต้องทำเพื่อความดับทุกข์ ดับทุกข์ชนิดไหนก็เรียกว่าธรรมะทั้งนั้น ธรรมะแปลว่าหน้าที่ๆถูกต้องสำหรับดับทุกข์ ธรรมะคือหน้าที่ๆสามารถดับทุกข์ ธรรมะคือหน้าที่ๆจะช่วยให้รอด สอนเด็กๆอย่างนี้เสียบ้าง แม้จะไม่มีหนังสือเรียนหลักสูตร ความจริงธรรมะคือหน้าที่ ถ้ามีคำ เป็นคำสั่งสอนก็สอนเรื่องหน้าที่ แล้วก็หน้าที่นั้นมันช่วยให้รอด ธรรมะคือหน้าที่ๆถูกต้องแก่ความรอด ธรรมะคือหน้าที่ๆจะช่วยให้รอด พระพุทธเจาท่านตรัสรู้เรื่องนี้ หน้าที่ให้รอดอย่างไร ท่านตรัสรู้ตามกฏของธรรมชาติ ไม่ใช่ท่านบัญญัติได้เอง ทำอย่างนี้รอด ทำอย่างนี้ไม่รอด เป็นกฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะ คือตรัสรู้เรื่องหน้าที่แล้วท่านเอามาปฏิบัติ ปฏิบัติจนรอดด้วยพระองค์เอง แล้วสอนธรรมะคือหน้าที่ให้แก่ผู้อื่น พระธรรมคือหน้าที่ๆถูกต้องที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วเอามาสอน ธรรมะคือหน้าที่ หรือเรื่องหน้าที่ ทีนี้พระสงฆ์ก็รับมาปฏิบัติ พระสงฆ์ก็คือผู้ปฏิบัติหน้าที่สืบต่อๆพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เกี่ยวกับหน้าที่ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าค้นพบหน้าที่ พระธรรมคือหน้าที่ๆค้นพบแล้วนำมาสอนให้ปฏิบัติ พระสงฆ์ก็รับปฏิบัติหน้าที่เหล่านี้ ท่านก็เลยรอดกันหมด พระสงฆ์ทั้งหลายก็รอดกันหมดเพราะทำหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่มันหมายความว่าอย่างนี้ รู้ปัญหา รู้ความทุกข์ แล้วก็มีหน้าที่ๆจะต้องหยุดความทุกข์ หรือดับความทุกข์ หรือตัดปัญหานั้นไปเสีย การดับทุกข์จึงเป็นหน้าที่ ธรรมะคือหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่คือปฏิบัติธรรมะ ปฏิบัติธรรมะคือปฏิบัติหน้าที่ ฉะนั้นหน้าที่ทุกชนิดๆ