แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ จะได้พูดเป็นการสรุป เรื่องอานาปานสติ ดังที่ได้บอกไว้เมื่อวาน สรุปอานาปานสติได้หลายแง่หลายมุม ลักษณะของมัน การกระทำของมัน ผลของมัน อะไรต่างต่างนี่ เรียกว่าสรุปกันดูทีคราวนี้
ในการกระทำแต่ละหมวด หมวดกายาฯ มันมีสมาธิเป็นส่วนใหญ่ กำหนดที่ลมก็เป็นสมาธิ กำหนดที่มี ๒ กาย นี่ก็เป็นสมาธิ มีปัญญาเจือนิดหน่อย ทำกายสังขาร คือลมให้ระงับ นี่ก็ยิ่งเป็นสมาธิ แต่กระนั้น ก็มีปัญญาเจือนิดหน่อย มันจึงจะทำได้ หมวดนี้ก็เรียกว่าเป็นหมวดสมาธิเป็นเบื้องหน้า เราก็ได้สมาธิ ได้ความรู้เรื่องสมาธิ ได้ตัวสมาธิ ได้ความชำนาญในสมาธิ เพิ่มมากขึ้นในหมวดนี้
หมวดที่ ๒ เวทนา นี้ก็มันปัญญามากขึ้น คือรู้ รู้ รู้จักปีติ รู้จักสุข รู้จักความที่่่่่เป็นจิตสังขาร แล้วก็สามารถทำให้มันสงบระงับลงไป มันก็เป็นปัญญา เป็นเรื่องปัญญา เป็นเบื้องหน้า คือมากกว่าสมาธิ แต่ก็ไม่พ้นที่จะมีสมาธิ อันนี้ มันเป็นอันรู้กัน แต่ว่ามันมีสมาธิเจืออยู่เสมอ ทีนี้ปัญญามันมากขึ้น ออกหน้า รู้เรื่องของปีติ รู้เรื่องของความสุข รู้ความลับ ที่ว่ามันเป็นการปรุงแต่งจิต แล้วจัดการให้มันสงบลงไปนี่ มีความเป็นสมาธิ มันเป็นเรื่องรู้ มากกว่าเรื่องสงบ
ทีนี้ หมวดที่ ๓ หมวดจิตตานุปัสนานี้ มันเป็นการรู้ กับการบังคับ ปนกันไป ก็เลยสลับกัน เป็นหมวดที่มีสมาธิกับปัญญาก้ำกึ่งกันเลย
ทีนี้ หมวดสุดท้าย หมวดธรรมานุปัสนา นี้เป็นปัญญาเต็มที่ เรียกว่าเป็นปัญญาสุดเหวี่ยง เพราะมันรู้ ๆ ๆ ๆ รู้ เรื่องอนิจจังตลอดสาย แล้วก็วิราคะก็เกิดขึ้นเอง ไม่ต้องบังคับมัน มัน วิราคะ คลายกำหนัดมากไป มากไป มากไป จะดับเอง ไม่ต้องบังคับ เพราะฉะนั้น เรื่องของสมาธิจึงไม่ค่อยมี
ทีนี้ พอปฏินิสสัคคะ รู้ รู้ รู้อย่างยิ่งว่า มันคืนแล้ว สลัดคืนแล้ว สลัดคืนแล้ว ก็เรียกว่า มันไม่ต้องบังคับด้วยสมาธิอะไร ปัญญา ทำให้ ปล่อย นี่ก็เป็นปัญญาสุดเหวี่ยงในหมวดนี้
นี้เรียกว่า เราสรุปลักษณะ หรืออาการของทั้ง ๔ หมวด อาการที่กำหนดด้วยสมาธิ และก็กำหนดอย่างแยบคาย ก็มีอยู่มาก รู้ รู้ รู้ อย่างแยบคาย ก็มีอยู่มาก เช่นนี้
เพราะการบังคับให้ทำ ควบคุมให้ทำ มันก็เป็นศีล อยู่ในความหมายของคำว่า “บังคับ” บังคับ ควบคุมให้ทำ สำรวมระวัง แล้วใครใครก็มองเห็นได้เอง ทำอานาปานสติอยู่อย่างถูกต้องเช่นนี้ ศีลมันจะขาดได้อย่างไรเล่า มันมีภาวะแห่งความมีศีลเต็มอยู่ในนั้นนะ เพราะฉะนั้น มันทำอานาปานสติอยู่ มันจึงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา พร้อมอยู่ในนั้น ทั้ง ๓ ประการ
ทีนี้ บางคนเขาชอบทานนะ เขาถามว่าเอ้าทานน่ะอยู่ที่ไหนน่ะ ถ้ามันฉลาดมันก็เห็นเองล่ะ เดี๋ยวนี้มันให้ทานเหลือประมาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ให้ทานสูงสุด คือให้ทานตัวกู มันเป็นแบบจาคะ ให้ทานตัวกู ให้ทานตัวกู ออกไป ออกไป ออกไป จนกว่าจะหมดตัวกูกระมัง หมดตัวกูกัน ในหมวดที่ ๔ นี้ ไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องทาน เรื่องศีล มันมีมาเองโดยอัตโนมัติ
น่าหัว บางแบบ บางสำนัก พอจะลงมือทำสมาธิ ก็บังคับให้รับศีลกันก่อน ที่ตรงนั้นนะ ศีล ๘ ศีล ๑๐ นี่ บังคับให้รับศีลกันที่ตรงนั้น หรือให้แสดงอาบัติกันอยู่ตรงนั้น มันก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ไม่ได้ แต่มันจะดูคล้าย ๆ กับว่า มันไม่รู้ว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในตัวการกระทำนั้น นี่ มันจะเป็นพิธิไปเสีย มันจะอาศัยความศักดิ์สิทธิ์ มันเจือไสยศาสตร์ไปเสีย เรารู้ไหมว่า มันประมวลมา เป็นทาน เป็นศีล เป็นสมาธิ ปัญญา
ทีนี้ ก็มาดูถึงหมวดธรรม ธรรมะนะ ทำสติอยู่ตลอดต้นจนปลายนี่ ๑๖ ขั้นนะ ก็ทำให้เป็นผู้มีสติ มีธรรมะ คือสติ มีคุณธรรม คือสติ นี้ก็มีปัญญารอบรู้มากขึ้น มากขึ้น ปัญญาก็พอกพูนมากขึ้น ปัญญาก็เต็ม เต็มสุดในหมวดที่ ๔ นี้
ทีนี้้ ก็สัมปชัญญะ การกำหนดเฉพาะด้วยปัญญา การกำหนดด้วยปัญญา ก็เป็นการกำหนดเหมือนกัน กำหนดด้วยสติ มันก็เป็นสติ กำหนดด้วยปัญญา ก็เป็นสัมปชัญญะ แล้วก็มีสัมปชัญญะฝึกอยู่ตลอดสาย ก็มีสัมปชัญญะเต็มที่ ความเป็นสมาธิเริ่มมีตั้งแต่ พอสักว่ากำหนดลมหายใจ ก็เป็นสมาธิมากขึ้น มากขึ้น พอทำกายสังขารให้สงบรำงับ ถึงที่สุด ก็เป็นสมาธิ ชั้นรูปฌาน ถึงที่สุด ถ้าทำไปจนถึงที่สุด ทำได้ หากแต่ว่าเราไม่ต้องการถึงที่สุด ต้องการพอสมควร มีสมาธิพอสมควร ที่จะไปปฏิบัติขั้นต่อไป คือปัญญา
นี่ เรามีไอ้ธรรมะที่ต้องการอย่างยิ่ง ๔ เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ที่่ธรรมะนอกนั้น ที่เรียกว่าจะเป็นพลอยได้ หรือบริวาร ก็เยอะแยะไปหมด ศรัทธาก็มีเต็มที่ วิริยะก็มีเต็มที่ สติมีแล้ว สมาธิ ปัญญา มีแล้ว ศรัทธามีเต็มที่ ขันติมีเต็มที่ อิทธิบาทมีเต็มที่ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา จะมองดูในหมวด ในข้อธรรมไหนมันก็มี ถ้า ถ้ารู้จักมอง หรือมีปัญญาที่จะมอง มันมีธรรมะมากมายเหลือหลาย ประชุมรวมอยู่ในนั้น ในฐานะเป็นสิ่งที่พลอยได้ โดยไม่ต้องเจตนาก็มี โดยเจตนาก็มี อานาปานสตินี่ คุยได้เลยว่า มีธรรมะสโมทาน ธรรมะที่พลอยได้ มากมายเหลือเกิน นี้เรียกว่าสรุป ส่วนลักษณะ อาการ การประพฤติ การกระทำ ผลที่ได้ทางธรรม เป็นหัวข้อธรรมะ
สี่เกลอ ได้มาเต็มที่ พอใช้ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ ต่อไป ๔ เกลอนี่ ใช้ได้ทั้งทางโลก และทางธรรมะอย่างที่กล่าว จะไปทำมาหากิน ปฏิบัติหน้าที่อย่างโลก ที่เรียกว่าอย่างโลก ทำไร่ ทำนา ค้าขาย ทำราชการ กรรมกรแบกหามนี่ มีปัญญาดีกว่าไม่มี แม้ที่สุด จะนั่งขอทานโว้ย ถ้ามันมี ๔ เกลอนี่ มันต้องขอทานได้เก่งกว่า กว่าคนที่มันไม่มี นี่ ๔ เกลอ มันไปใช้ในทางโลก ทางบ้านเรือน ในการบริหารชีวิตในบ้านเรือน ให้มันดี ในการหาทรัพย์สมบัติ ในการมีทรัพย์สมบัติ ในการรักษาทรัพย์สมบัติ ในการใช้สอยทรัพย์สมบัติ ก็มีได้ดี ๔ เกลอนี่สารพัดนึก
ทีนี้ ในทางธรรมะที่สูงขึ้นไป ๔ เกลอนี้มันป้องกันกิเลส มันกำจัดกิเลส มันทำให้สูงขึ้นไป สูงขึ้นไป ในแง่ของการกำจัด การป้องกัน การแก้ไข การรักษา อะไรก็หมดเลย ประโยชน์จาก ๔ เกลอ ก็นี่มันได้หมด ได้ประโยชน์หมด ได้อุปการะธรรม ธรรมเป็นอุปการะ อย่างสูงสุด
ทีนี้ก็มาดู..ได้ การเปลี่ยนแปลง นี่อีกหัวข้อ เราจะได้การเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง ก่อนนี้เป็นคนขาดสติ มีสติลุ่ม ๆ ดอน ๆ ก็จะเปลี่ยนแปลงมาเป็นผู้มีสติสมบูรณ์ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงก็จะเกิดขึ้น ที่ไม่เคยมี ๔ เกลอ มันก็เกิดมีขึ้นมา การเปลี่ยนแปลงมันก็มีมาก ตามที่มันเปลี่ยนแปลงได้ มาเป็นคนที่มีสติ จากคนไม่มีสติ มาเป็นคนมีสตินี่ มันเปลี่ยนแปลงเท่าไร มีสติทุกครั้งที่หายใจ ทุกครั้งที่หายใจออก-เข้านี่ ก่อนนี้มันหาทำยายาก เดี๋ยวนี้มันกลับจะมีทุกครั้งที่หายใจออก-เข้า จะไปอยู่ที่ไหน จะทำอะไรอยู่ ทำด้วยสติไปเสียทั้งนั้น มันก็เลยมีสติอยู่ทุกครั้งที่หายใจออก-เข้า พูดว่าทุกกาละ ทุกเทศะ วัดด้วยมิติที่น้อย ก็ทุกวินาทีในทางกาละ ทุกกระเบียดนิ้วในทางเทศะ เรามีสติทุกกาละ ทุกเทศะ จนกระทั่งทุกกระเบียดนิ้ว แล้วก็มันมี...เอ่อ...กระทั่งทุกลมหายใจ ทุกเวลาที่ละเอียดที่สุด
เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง เมื่อก่อนนะ เป็นเด็กโง่ ไปคบมาร เดินตามมาร ตามรอยมาร เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยน มันเดินตามรอยพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ ได้เป็นพุทธบริษัทสมบูรณ์ที่สุด เพราะการตามรอยพระพุทธองค์ ตามรอยพระอรหันต์ ได้เป็นพระอรหันต์ จนคุยโตว่า ฉันอยากมีนิพพานเมื่อไรก็ได้ ก่อนนี้มันไม่รู้อยู่ที่ไหน เดี๋ยวนี้อยากจะมีนิพพานน่ะ คือเย็น เมื่อไรก็ได้ ฉันเก่ง ฉันหายใจทีเดียวเย็น หายใจทีเดียวร้อนออกไปหมด หายใจทีเดียวเย็นกลับมา นี่คุยโตแล้ว ฉันมีมีนิพพานเมื่อไรก็ได้ มันเปลี่ยนแปลงกันมากถึงขนาดนี้
นี่เรามองกันในแง่เปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จากคนของมาร มากลายเป็นคนของพระ จากอยู่กับนรก มากลายเป็นอยู่กับนิพพานนะ เกินสวรรค์ไปเสียอีก ไอ้สวรรค์นะระวังให้ดี ผู้ที่มีความรู้ทางธรรมะโดยแท้จริงนี่ ชั้นนี้แล้ว ก็เขาเห็นสวรรค์เป็นของเด็กเล่นนะเฮ้ย แล้วถ้ายิ่งไปกว่านั้นอีก ก็เห็นสวรรค์เป็นของสกปรกเว้ย นี่ พูดอย่างนี้ โกรธก็โกรธเถอะ คุณยายคงโกรธแน่ สวรรค์เป็นของสกปรก เพราะมันสมบูรณ์ไปด้วยกามารมณ์ มันเป็นของหวาน ของล่อเด็ก ของเด็กเล่น
เปลี่ยนแปลงอย่างยิ่ง จนมีนิพพานเป็นเครื่องอยู่ จะมีเย็น เย็น เย็น แม้ไม่ใช่นิพพานสูงสุด แต่เป็นนิพพานที่รองลงมา เรียกว่านิพพุตติ นิพพุตติ แปลว่า ดับเย็น ดับเย็น ดับเย็น ในบ้าน ในเรือน ก็เป็นครอบครัวที่เย็น ทุกคนเป็นคนเย็นอยู่ในครอบครัวที่เย็น นี่เรียกว่า เดินตามพระอรหันต์นะ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่การเดินด้วยตีน ด้วยเท้า อย่างบุคคล รวมตัวตน คนมันเดินกัน จิตมันเดิน
ทีนี้มาดูในหัวข้อว่า “น่าอัศจรรย์ ความน่าอัศจรรย์ ในการปฏิบัติอานาปานสติ” ด้วยการฝึกทีเดียว หรือเหมือนกับยิงนกทีเดียวได้มา ๒ อย่าง คือ ได้สติ กับปราณ สตินี้มันดึงมาซึ่งธรรมทั้งหลาย ที่มาเป็นพวงอยู่ในสติ เรียกว่าได้สติคำเดียวพอ ได้สติ และสิ่งที่ 2 ได้ปราณ คือ ปานะ อาปานะ เรียกว่า ปราณ ได้สติ ก็อย่างที่พูดแล้ว สติคืออะไร จำเป็นอย่างไร ได้สิ่งสูงสุดสำหรับการดำรงชีวิต การมีชีวิต แล้วมันก็ได้อื่นอื่นที่เนื่องกันเป็นแถวเลย เมื่อได้สตินะ มันดึงมาหมดละ
สตินี่ มันจำเป็น ที่ว่า มันเป็นที่ดึงมา ที่รวบรวมมา ประมวลมาซึ่งธรรมะอื่น ๆ ถ้าไม่มีสติ มันผิดหมดละ แม้แต่ปัญญา ถ้าขาดสติ มันจะทำหน้าที่ไม่ได้หรอก ไม่มีอะไรไปเอามา ไม่มีการควบคุมปัญญา ปัญญาก็เตลิดเปิดเปิงไปหาความฉลาด ความเก่งกล้าในทางที่จะเห็นแก่ตัว เป็นกิเลสไปเสียอีกนะ ปัญญาจะกลายเป็นกิเลส โพธิจะกลายเป็นกิเลส
ถ้ามีสติ กิเลสกลายเป็นโพธิ ความรู้ที่รู้ผิด มันกลายเป็นรู้ถูก นี่ กิเลสกลายเป็นโพธิ ขาดสติแล้ว ปัญญาก็จะไม่ให้ผล เพราะว่าสติมันเป็นผู้ใช้ปัญญา ควบคุมปัญญา วัตถุทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติพัสถาน บ้านเรือนนี้ จะกลายเป็นผิดพลาด เป็นที่ตั้งแห่งความผิดพลาด ให้ยุ่งยากลำบาก ถ้าไม่มีสติ วัตถุมันก็จะกลายเป็นไอ้ปัญหา ภาษาบ้านเรานะ มีคำพูดของปู่ย่าตายายที่ดีที่สุด ที่เข้าใจว่า ที่กรุงเทพฯ ไม่มีนะ “ก้อนเส้ากลายเป็นเสือ” ผมได้ยินมาตั้งแต่เล็กเล็ก ลุงนุ้ยก็พูดเรื่องนี้บ่อย ก้อนเส้าที่ใช้จุนหม้อหุงข้าวในครัว มันกลายเป็นเสือ โพธิ มันกลายเป็นกิเลส เดือดร้อนเหลือประมาณนะ ก้อนเส้า อยู่กันดี ๆ แท้ ๆ นั่งกันอยู่ข้าง ๆ มากลายเป็นเสือ อันตรายที่สุด เข้าใจว่าคำพูดนี้ ที่กรุงเทพฯ ไม่มี “ก้อนเส้ากลายเป็นเสือ” อย่างวัตถุก็เป็นพิษไปหมด ถ้าไม่มีสติ อำนาจวาสนา บารมี อะไรก็กลายเป็นพิษไปหมดเลย บางทีก็เป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไร นี่ก็ ก็ยังไม่ไหวเหมือนกันนะ ถ้าเป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไร ที่มันกลายเป็นพิษ มันร้ายกาจอย่างนี้ ก็แปลว่า ถ้าเราได้สติ ได้สิ่งที่ประเสริฐ ที่เลิศ ที่จะนำไปสู่ผลสำเร็จ ที่เป็นเครื่องชักจูง เป็นเครื่องป้องกัน คุ้มครอง ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ทำปัญญาให้มีหน้าที่ มีประโยชน์นั่น ถ้าไม่มีสติ ปัญญาจะพลอยเป็นหมันนั่น แม้ว่าเราจะล่วงทุกข์ ดับทุกข์ได้ด้วยปัญญาก็เถิด ถ้าไม่มีสติแล้ว ปัญญาไม่ได้ทำหน้าที่นะ นี้ สติมันเลยให้หมดในสิ่งที่ควรจะได้ ควรจะมี ดึงเอามา ดึงเอามา รักษาไว้ รักษาไว้ ใช้ให้ทำงาน ใช้ให้ทำหน้าที่ ด้วยสติ
คราวนี้ก็มาถึงปราณ มันได้ ๒ อย่าง คือได้สติ และได้ปราณ ปราณ ปราณ คำนี้ก็ควรจะสนใจ “ปราณ” เป็นคำโบราณที่มนุษย์รู้จัก เริ่มรู้จักปราณ เราจะรู้จักปราณกันโดยมากในแง่ว่าลมหายใจ แต่เขาเคยรู้จักกันมากกว่านั้น ว่ามันเป็นชีวิต เป็นชีวิต ไอ้สิ่งที่เรียกว่า “ปราณ” นี่ เล็งถึงลม ก็ได้ เล็งถึงชีวิตก็ได้ ขาดปราณก็ขาดชีวิต ขาดลมหายใจ มันก็ขาดชีวิต แล้วมันมีอะไรลึกลับกว่านั้น ตัวปราณน่ะมันเป็นตัวชีวิตเองก็ได้ หรือว่าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตก็ได้
ในคัมภีร์ของคริสเตียนนะ เห็นปราณเป็นชีวิต คือว่าพอพระจ้าเอาดินมาปั้นขึ้นเป็นรูปผู้หญิง เป็นรูปผู้ชาย เป็นมนุษย์คนแรก พระเจ้าก็ใส่ปราณ ลมหายใจ เรียกว่าใส่ชีวิต ใส่ปราณ หายใจใส่ลงไปในชีวิต ในก้อนดินนั่นนะ หุ่นดินนะ หุ่นดิน ก็กลายเป็นชีวิตขึ้นมา เป็นมนุษย์ขึ้นมา เอาแต่ความหมาย ว่า เพราะปราณนั้น จึงมีชีวิต เพราะปราณนั้น จึงมีมนุษย์ เกิดขึ้นจากก้อนดิน มันมาจากก้อนดิน ด้วยการที่มันมีปราณ มันก็เลยเหมือนก้อนดินที่มีชีวิต มองดูลึกลึก ก็เป็นตัวชีวิต มองดูผิวผิว ก็เป็นสิ่งเกื้อกูลแก่ชีวิต ใช้คำว่า “มันให้เกิดชีวิต แล้วมันก็หล่อเลี้ยงชีวิต” ปราณ ในปราณ ลม ลม ลม ลมหายใจ ถ้าคุณเคยเรียนวิทยาศาสตร์มาแล้วนะ คุณก็รู้ว่า ใน
ลม ลม อากาศนะ มันมีอะไรวิเศษอยู่อย่างหนึ่ง ที่เรียกว่าออกซิเจนนะ ออกซิเจน ขาดออกซิเจนนี่ มันจะตายใน ๓๐ นาทีกระมัง ขาดน้ำกิน ก็ยังอยู่ได้เป็นหลายชั่วโมง ขาดอาหาร ก็ยังอยู่ได้หลายวันนะ ไม่ได้กินอาหาร ยังไม่ตายไปได้เป็นวันวัน ๒-๓ วัน ๔-๕ วัน ขาดน้ำกิน ก็ยังตายเร็วกว่านั้น แต่ถ้าขาดไอ้ปราณ ไอ้ออกซิเจนในลมหายใจ จะตายใน ๓๐ นาที ๑๐ นาที ๕ นาที ก็ได้ แล้วแต่เรื่อง
นี่ ไอ้ลมปราณนี่ มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ออกซิเจน ออกซิเจน เลี้ยงชีวิต ถึงมีการจัด การทำ ให้มีออกซิเจน ที่อยู่ ที่อาศัย ห้องนอน อะไร ให้มันมีออกซิเจน แล้วมันก็เลี้ยงไว้ได้ ห้องที่ไม่มีออกซิเจนพอนะ ไม่ หรือไม่มี เข้าไปนอนแผลบเดียวละ ผีอำ อาการที่ผีอำก็จะเกิดขึ้น ไอ้กุฏิวิปัสสนาแบบเก่า ทำแล้วอุดหมด ไม่มีแสง ไม่มีลมนี่ นี่่ จิตมันหวั่นไหวได้ง่าย เกือบจะผีอำอยู่แล้ว น้อมนึกไปเพื่ออะไร มันก็เป็นไปได้ง่าย ปลุกปีติขึ้นได้ มหัศจรรย์เลย เพราะมีอาการผิดปกติ เพราะขาดออกซิเจนก็ได้
เราไม่เอาอย่างนั้นล่ะ มีออกกซิเจนนะ มันหล่อเลี้ยงชีวิต หล่อเลี้ยงชีวิตคน ที่ไหนมีอากาศ ออกซิเจนดี ก็ชื่นใจ ไปที่ทะเล อากาศดี ที่ไหนอากาศดี รู้สึกว่า โอ้ สบาย มันสบายจริงโว้ย ทีนั่นเต็มไปด้วยออกซิเจน แม้แต่สัตว์ มันก็ยังรู้จักแสวงหาที่ที่มีออกซิเจน ต้นไม้นี่ มันก็ต้องการออกซิเจนในบางส่วน บางแง่ แล้วมันคายออกซิเจนออกมาด้วย ในเมื่อมันเปลี่ยนแปลงทางเคมี หรือแร่ธาตุ กลายเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยง ต้นไม้ได้คลายออกซิเจนออกมาด้วย ฉะนั้น เราก็ได้ออกซิเจนจากต้นไม้มากเหมือนกันน่ะ โดยเฉพาะในเวลากลางวัน
แล้วที่ร้ายกาจกว่านั้น ออกซิเจนนี่มันหล่อเลี้ยงชีวิต แม้แต่ชีวิตของไฟ ไฟที่ลุกอยู่ได้ เทียนก็ดี หรือไฟอะไรก็ดี ที่มันลุกเป็นไฟอยู่ได้ เพราะออกซิเจนมันเลี้ยงไว้ ขาดออกซิเจนเมื่อไร มันดับทันที เอาอะไรมาครอบให้ไฟดับ มันก็ดับทันที เพราะมันขาดออกซิเจน ใต้เตาหุงข้าว นี่มันเป็นรู ๆ ๆ ๆ ๆ อยู่ข้างล่าง ให้ออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงไฟ ไฟก็ลุกติด ขาดออกซิเจน ไฟก็ติดไม่ได้ นี่ ดูทำเล่นกับปราณ ปราณ มันหล่อเลี้ยงชีวิต แม้แต่ชีวิตของไฟ นับประสาอะไร จะไม่หล่อเลี้ยงชีวิต ของคน ของสัตว์ ของต้นไม้
มนุษย์คนแรกทีรู้จักเรื่องนี้ ก็นับว่าเก่งมาก เขาตรัสรู้เองได้ รู้จักปราณ ปราณ ก็สนใจมาก ทำให้ดีที่สุด ค้นคว้า หาวิธี ให้ดีที่สุด หายใจอย่างไรดีที่สุด หายใจอย่างไร เรียกไอ้นี้เข้าไปในตัว คนแก่เขาถือกันนัก ถ้าเวลาใด จมูกหายใจคล่อง โล่ง เขาถือว่า เป็นเวลาที่ดีที่สุด เหมาะสมที่สุด จะไปทำอะไร จะไปไหน จะลุกออกจากบ้าน จากเรือนไป เขาสังเกต ปราณ ลมหายใจ อาจารย์แก่แก่ เคร่งครัดในเรื่องนี้มาก ถ้าลมหายใจมันบอกขัดข้องแล้ว เขาจะหยุดกระทำ หรือหยุดไปด้วยซ้ำไป จะเดินทางไปไหน บางที ลมหายใจอำนวยให้หยุด ถือเป็นไสยศาสตร์ แต่มันเป็นวิทยาศาสตร์ มันไม่มีความเหมาะสมทางลมหายใจ
เราหายใจดี มีออกซิเจนดี ก็มีกำลัง มีเรี่ยวแรง แข็งแรง ถ้าลมหายใจขัด เป็นยังไง เป็นนักมวย พอก้าวขึ้นเวที ถ้าลมหายใจขัด ก็ยอมแพ้ก่อนดีกว่า ปราณไม่มี มันไม่พอ สู้เขาไม่ได้ เรื่องลมหายใจ นักเลง ก็กำหนดลมลมหายใจ ก็กำหนด แม้แต่โบราณ ปราณ ดี ลมหายใจ ดี จะก้าวลงจากเรือน ก็ทดลองลมหายใจเสียก่อน ออกซิเจนไม่พอเมื่อไร ก็เป็นลมเมื่อนั้นแหละ เป็นลม ทำอะไรไม่ได้ เวียนหัวชักดิ้น ชักงอ เพราะว่าขาดออกซิเจน ขาดปราณที่ถูกต้อง
เดี๋ยวนี้ เราเอามาทำให้เป็นประโยชน์ที่สุด เขารู้จักกันมาดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ครั้งไหน ก่อนพุทธกาลน่ะ แต่รู้ในอันดับพอสมควร พอสมควร พอถึงพุทธกาล พระพุทธเจ้าเอามาปรับปรุงวิเศษสูงสุด เป็นระบบอานาปานสติขึ้นมา มองในแง่วิทยาศาสตร์ ก็เป็นวิทยาศาสตร์ลึกลึก มองในแง่ธรมะ หรือศาสนา มันก็สูงสุด เอามาใช้เกื้อกูลแก่ การดับกิเลส การดับทุกข์ กลายเป็นอาวุธ กำจัดทุกข์อย่างยิ่ง
การบังคับปราณน่ะ คือบังคับลมหายใจ เขาเรียกว่า “ปราณายามะ” เป็นวิชากลางกลางทางจิตใจ คนธรรมดาก็ควรรู้ โยคีก็ควรรู้ เอาไปปรับปรุงให้เป็นระบบของตน ปราณายามะจึงมีการปรับปรุง ให้เหมาะสมไปตามลัทธิของตน หมู่คณะของคน แต่ใช้หลักพื้นฐานเดียวกันนี่เอง คือการปรับปรุง จัดแจง จัดแจงอะไรก็ตาม ให้ปราณมันมีประโยชน์ที่สุด เป็นปราณายามะ
ลัทธิไหนในอินเดียก็ใช้ปรานายามะเป็นหลักพื้นฐาน แม้แต่ชาวบ้าน แม้แต่ประชาชน เขาก็รู้จักปรับปรุงลมหายใจ ปราณายามะ สอนกันไปตามมีตามเกิด แม้แต่ลูกเด็กเด็ก หายใจอย่างนั้น หายใจอย่างนี้เป็น ล้วนแต่เป็นปราณายามะ ไม่สูงพอก็ใช้ในลัทธิ สำนักนั้น สำนักนี้ พระพุทธเจ้าก็ปรับปรุงขึ้น เป็นระบบอานาปานสติ ใช้สูงสุด ในพระพุทธศาสนา มันเหมาะสำหรับจะใช้อย่างยิ่งในโลกปัจจุบัน ซึ่งยุ่งเหยิงที่สุด บ้าคลั่งที่สุด ระส่ำระสายที่สุด โลกแห่งความยุ่งเหยิงที่สุด คือโลกยุคปัจจุบัน สับสนไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง เอาระบบปราณายามะ ที่เรียกว่าอานาปานสติมาใช้สิ หายใจทีเดียว ความรู้สึกยุ่งยุ่งหายไปหมด เก่งขนาดนั้นน่ะ หายใจทีเดียว ความเย็นเข้ามา
นี่หมายถึงผู้นั้นประสบความสำเร็จในการทำอานาปานสติ อยู่ เอ่อ อานาปานสติอยู่ในกำมือ มีอำนาจ มีอะไร อยู่เหนืออานาปานสติ ทำได้อย่างอกอย่างใจนะ จะระงับกายสังขารเมื่อไรก็ทำได้ จะระงับจิตสังขารเมื่อไรก็ทำได้นะ ถ้าอย่างนี้แล้ว หายใจทีเดียว ปัดไอ้เลวร้ายไปหมด หายใจทีเดียว เยือกเย็นเข้ามาทันที นี่ประโยชน์สูงสุด สมควรที่จะเอามาใช้ในโลกที่แสนจะยุ่งเหยิง
ระบบที่กลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟ มันมีมาแต่ครั้งกระโน้น แต่มันไม่แรง ไม่รุนแรงเหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ระบบกลางคืนอัดควัน กลางวันเป็นไฟนั่น มันยิ่งสูงสุด มันจะเป็นบ้าตายกันอยู่กันเสียหมดแล้ว ต้องเพิ่มโรงพยาบาลประสาท จนไม่รู้จะเพิ่มกันอย่างไร แล้วเพิ่มโรงพยาบาลวิกลจริต บ้า โรงพยาบาลบ้า เพิ่มกันจนไม่รู้จะเพิ่มกันอย่างไรแล้ว คนกำลังปั่นป่วน แล้วก็เรียกไม่ถูก ผมไม่สบายใจ อิชั้นไม่สบายใจ นี่ก็ได้รับคำร้องทุกข์อย่างนี้มากที่สุด เขาก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าจะทำอย่างไร มาถามเรา มาหาความรู้เรื่องนี้
ไอ้เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ด้วยถ้อยคำเพียง ๒-๓ คำ มันไม่ไหว ก็คุณไม่รู้อะไรเสียเลย ทำผิดไปหมดทุกอย่าง มีความยึดมั่นถือมั่นไปเสียทุกอย่าง เห็นแก่ตัวไปเสียทุกอย่าง กลัดกลุ้มไปด้วยโรครัก โกรธ เกลียด กลัว ตื่นเต้น วิตกกังวล อาลัยอาวร อิจฉา ริษยา หวง หึง ทำไมจะไม่เป็นอย่างนี้
ถ้ามันหลงกามารมณ์ บ้ากามารมณ์ อย่างนี้ ยิ่งเป็น เป็นมาก หลงความฟุ่มเฟือย ฟุ้งเฟ้อ จะดี จะเด่น จะดัง แล้วมันก็ไม่ได้ แล้วมันก็อยู่ด้วยความผิดหวัง อยู่ด้วยความหวาดกลัว อยู่ด้วยความหวาดผวานี่ มันก็เป็นอย่างนั้นละ ทำไมไม่เอาอานาปนาสติไปกวาดให้เกลี้ยงเลย มันไม่มีนี่ มันไม่มีนี่ มันไม่มีความรู้ เรื่องอานาปานสติ กระทั่งขี้เล็บ แต่มันอยากจะเป็น อะไร เป็นเศรษฐี เป็นเทวดา อยากจะอยู่อย่างแข่งกับเทวดา จะมีทรัพย์สมบัติ เงินทอง อำนาจ วาสนา บารมี สะดวก สบาย หรูหรา
ถ้าอยากจะอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสงบสุขแล้ว ก็เป็นเกลอกับปราณายามะ หรืออานาปานสตินี่ ร่างกายจะชุ่มชื่น จิตใจจะแจ่มใส นางงามคนนั้น จะชนะนางงามทั้งปวง ได้เป็นนางงามจักรวาลได้ง่าย ถ้าเขารู้จักมีความชุ่มชื่น ทั้งร่างกาย ทั้งจิตใจ มันก็แจ่มใส มันก็น่าเสน่ห์อยู่ในลึกลึก เขาจะรู้จักทำกันหรือไม่ ไม่รู้นะ แต่ผมว่า ถ้ามันรู้จักทำแล้ว มันมีหวังชนะเลิศ นี่พูดมันเลยขอบเขตไปแล้วเห็นไหม นี่ประโยชน์ทางอานาปานสติ มันจะไปใช้อย่างนี้ก็ยังได้ ให้อยู่ในโลกยุคที่บ้าคลั่งที่สุดในโลก ก็คือยุคนี้ สถิติโรคจิต โรคประสาทเพิ่มขึ้นอย่างน่าหวาดเสียว และยังจะเพิ่มแรงกว่านี้อีก ถ้ามีใครเป็นเจ้าของโลก เป็นผู้จัดการโลกโดยแท้จริง ก็เตรียมให้ทุกคนในโลกฝึกอานาปานสติเถิด แต่องค์การสหประชาชาติไม่เคยรู้เรื่องนี้ แล้วก็ไม่สนใจ บอกให้ก็ไม่เชื่อ ไม่สามารถที่จะไปช่วยโลกได้
ถ้าเราจะทำความเข้าใจกันได้ระหว่างศาสนา ใช้คุณธรรมอันนี้ ไปแจกจ่ายแก่ประชาชน ให้ประชาชนทุกคน รู้จักควบคุมกิเลส ควบคุมอะไรด้วยอานาปานสติ แล้วจะเป็นโลกที่วิเศษ เกินโลกพระศรีอาริย์ไปเสียอีกกระมัง ในโลกพระศรีอาริยเมตตรัยมีแต่สะดวกสบายนี้ แต่ไม่มีความสงบกระมัง มันจะเป็นนิพพานไปเสียหมด โลกแห่งมนุษย์ ผู้มีลมหายใจอยู่ด้วยนิพพานนี่ มันวิเศษสักเท่าไร
ทุกคนจะต้องอยู่ในโลกอันแสนจะยุ่งเหยิงยิ่งขึ้นทุก เป็นโลกของคนบ้า ไม่น่าอยู่จริงจริง แต่จะไปเชือดคอตายเสีย มันก็ไม่ถูกเหมือนกัน ฉะนั้นเตรียมตัวที่จะอยู่ในโลกของคนบ้าให้มากขึ้นทุกทีนี่ พกอานาปานสติไว้ให้มากมาก ขออนุโมทนาด้วย ที่ธรรมจาริณีทั้งหลายอุตส่าห์มาศึกษา ฝึกฝนหาไว้ แต่อาจจะยังละเมอ ละเมอ อยู่ก็ได้ ไม่รู้อะไร เท่าไร เพียงไหน ถ้าว่า ทำให้ถูกต้อง แท้จริง คุณจะได้เครื่องมือ หรือเครื่องคุ้มป้องกัน เครื่องราง ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าอะไร ให้ช่วยคุ้มครองป้องกันไม่ให้ความทุกข์ในโลกบ้านี้ มันครอบงำคุณได้ แขวนพระเครื่องสักร้อยองค์ พันองค์ ให้คอหัก ก็คุ้มไม่ได้หรอก ถ้ามีอานาปานสติอย่างเดียว คุ้มได้ คุ้มได้ เป็นเครื่องรางศักดิ์สิทธิ์สูงสุด คุ้มภัย คุ้มอันตราย คุ้มทุกข์ คุ้มอะไร ได้หมด และเจริญ เจริญ เจริญ รุ่งเรืองก็ได้ด้วย
ขอให้สนใจ ถ้าที่แล้วมา มันน้อยนัก คราวหลัง ๆ จะเพิ่มเติม เพิ่มเติม แล้วก็อย่าทำเล่น ๆ พอเป็นพิธี มันไม่ใช่ไสยศาสตร์ มันเป็นพุทธศาสตร์ อย่าทำอานาปานสติอย่างไสยศาสตร์ ด้วยคิดว่าจะศักดิ์สิทธิ์ จะคุ้มครอง ป้องกัน จะให้รวย จะให้สวย โดยวิธีของไสยศาสตร์นั้น มันไม่ได้หรอก
ก็บอกว่า มันก็มีเหมือนกัน กลายเป็นไสยศาสตร์ไป เพราะความโง่ของคนที่มันเป็นทาสของกิเลส มันก็มาทำอานาปานสติอย่างไสยศาสตร์ มันจะมีฤทธิ์ มีเดช มีปาฏิเหาริย์ ก็ทำให้มันจะเหาะได้ ดำดินได้ อะไรได้ มันก็มีเหมือนกัน มาทำอานาปานสติ แล้วก็เป็นบ้า หมายความว่า บ้าอานาปาฯ บ้าอานาปาฯ นี่ก็เคยหนาหูเหมือนกัน ก่อนนี้ก็เคยหนาหู แล้วก็ไม่ใคร่จะกล้าทำกัน ก็หยุดไป แล้วเดี๋ยวนี้ เราจะมาฟื้นฟูขึ้นมาอีก แต่ในระบบที่ถูกต้อง ไม่เป็นบ้า ถ้าคุณไปจัดไปทำมันให้เป็นไสยศาสตร์ ไปในทางแง่ขลัง ศักดิ์สิทธิ์ บ้า เป็นบ้า
คนเล่าให้ฟังว่า ทันที่เขาเห็นนี่ ทันเห็นนี้ ไอ้หนุ่มคนหนึ่ง มันฝึกอานาปาฯ เพื่อจะเหาะได้เท่านั้นแหละ มันคิดว่ามันเสร็จแล้ว มันเหาะได้ มันเปิดประตูหน้าต่าง แล้วมันกระโดดออกไป จะเหาะ มันก็พลัด ไปนอนจุก เกือบตายอยู่ที่ตรงนั้น มันเหาะไม่ได้ นี่มันทำกันเป็นไสยศาสตร์อย่างนี้ มันไม่ไหว มันจะติดปีก ยังไงมันก็เหาะไม่ได้ ทำอย่างนี้
แต่ถ้ามันจะเหาะได้ มันจิตโน่น มันเหาะไป มันเหาะไป เหนือกิเลส เหนือความทุกข์ เหนือโลกบ้า ๆ บอ ๆ นี่ ออกไปเสียจากโลกบ้า ๆ บอ ๆ นี่ ไปอยู่ในโลกุตตระ โลกที่ไม่มีกิเลส เป็นนิพพาน เย็นนี่ เหาะอย่างนี้ดีกว่า เหาะไปเสียจากกิเลส เหาะไปเสียจากโลกแห่งกิเลส โลกที่ยุ่งเหยิง สกปรก ไปอยู่ในโลกที่สะอาด สว่าง สงบ เยือกเย็นนั้น ดีกว่า
เคยเป็นไสยศาสตร์มาแต่โบราณเหมือนกันนะ แม้โบราณโน้นนะ เขาก็ใช้มันในแง่ของไสยศาสตร์ มันแตกเขนงออกไปเพราะกิเลสของคน เขาก็ทำเรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องไสยศาสตร์มาแต่โบราณกาล ดีกดำบรรพ์ พวกหนึ่งนะ อย่าไปว่าเขาเลย เป็นความรู้ในขั้นที่แรกมี แรกพบ มันก็เป็นจิตภาวนาเพื่อไสยศาสตร์ มันก็เกิดขึ้นในแง่หนึ่ง เป็นเรื่องทิพย์ ๆ เป็นเรื่องอิทธิ เรื่องปาฏิหาริย์ ก็ไป ไป
แต่เราไม่ต้องการ เพราะมันดับทุกข์ไม่ได้ มันดับทุกข์ไม่ได้ อย่าไปเอากับมันเลย แต่มันก็เคยเป็นมาแล้ว ในหมู่บุคคลที่เขานิยมกัน ในระบบปราณายามะ อานาปานสติแบบนู้น นู้น มันก็เป็นไสยศาสตร์มาแล้ว ทั้งนั้นละ พอเลิกเสีย มันก็ถูกต้อง มันก็กลายมาเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
“ไสยศาสตร์” ศาสตร์ของคนหลับ “พุทธศาสตร์” ศาสตร์ของคนตื่น คนหลับ ก็ใช้ธรรมะอย่างหนึ่ง คนตื่น ก็ใช้ธรรมะอย่างหนึ่ง ใช้อย่างคนหลับ เป็นไสยศาสตร์ ใช้อย่างคนตื่น ก็เป็นวิทยาศาสตร์ เรื่องปราณายาฯ อานาปานสติ นี่มันเป็นวิทยาศาสต์ของธรรมชาติ เคยใช้ผิดเป็นไสยศาสตร์ แล้วก็ค่อยใช้ถูก ใช้ถูก มันก็กลายเป็นวิทยาศาสตร์
พระพุทธเจ้าเป็นนักวิทยาศาสตร์สูงสุด สามารถจะใช้สิ่งเหล่านี้ถูกต้อง ในลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ มันก็ดับทุกข์ได้จริง
พุทธศาสนาของเราที่ถูกต้อง มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ จงมุ่งหมายที่จะให้มันเป็นวิทยาศาสตร์ มีวิธีกระทำ วิธี วิธี การกระทำที่ถูกต้อง ไม่ใช่พิธี พิธี ทำอย่างละเมอ ละเมอ เพ้อฝัน ปฏิบัติตามอานาปานสติทั้ง ๑๖ ขั้นนี้ ถ้าคุณมีความรู้จริง คุณจะเห็น โอ้มันเทคนิค เทคนิค เทคนิค ยิ่งกว่าเทคนิคใดใดในโลก มันเต็มไปด้วยเทคนิคตั้งแต่ต้นจนปลายนั้น วิทยาศาสตร์อยู่ในนั้น เป็นวิทยาศาสตร์ทั้ง ๑๖ ขั้น เป็นเรื่องทางกาย ทางลมหายใจ ทางวัตถุมาก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นทางจิต ทางจิต แล้วก็เปลี่ยนเป็นทาง ทางสติปัญญา ทางวิญญาณ ทางสติปัญญาสูงสุด เป็นวิทยาศาสตร์สูงสุด ทั้งทางวัตถุ ทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางสติปัญญานะ อานาปานสติ ไม่ใช่เล่น เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า เทคนิค ภาษาไทย ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร เรียกว่า “เคล็ด” ถ้าเรียกว่าเคล็ด ก็กลายเป็นของเด็กเล่นไปเสียอีก ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร อย่างดีที่สุด ในบาลีเรียก อุปายะ อุปายะ เคลื่อนเข้าไปหาความสำเร็จ เรียกอุปายะ คำนี้พอที่จะเทียบกันได้กับคำว่า technic technic ของฝรั่ง ของ คำสากล มันเต็มไปด้วย technic ไม่มี technic ก็ไม่สำเร็จ แล้วก็มี technique technique คือ วิชาการใช้ technic technicเป็นความรู้ techniqueเป็นการกระทำ มีทั้ง technicมีทั้ง techiniqueมันก็สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจารณะ วิชชาเป็น technic จรณะเป็น technique
ในการปฏิบัติอานาปานสติกว่าจะจบจะสิ้น มันมีทั้ง technic มันมีทั้ง technique เลยสำเร็จในความเป็นวิทยาศาสตร์ พอเราพูดว่า พุทธศาสนา เป็นวิทยาศาสตร์ นักปราชญ์ผู้มีปริญญาเมืองนอกบางคนก็ว่า โอ้ ถ้าอย่างนั้น เคมี ฟิสิกส์ก็เป็น พุทธศาสนาเลย ไอ้ชาติโง่ มันโง่ถึงขนาดนั้น มันมีปริญญาจากเมืองนอก ก็เพราะว่าพุทธศาสน์ อ้างวิทยาศาสตร์ มันก็ ฟิสิกส์ กับ เคมี เป็นพุทธศาสนา เป็นได้อย่างนี คิดดู อย่าไปออกชื่อว่าใคร จะบอกให้รู้ ผมจะถูกคัดด้านอย่างนี้ ถูกด่า ถูกคัดค้าน มามากมายอย่างนี้
ขอให้จำไว้เถิด นี่ก็ไปพิสูจน์ดูเถิด พุทธศาสนาจะเป็นยอดวิทยาศาสตร์ มันจัดการกับทุกสิ่งที่ควรจัด ในลักษณะที่ควรจัด เพื่อประโยชน์อันแท้จริงที่ควรจะได้ ไม่บ้า ๆ บอ ๆ ฟุ้ง ๆ เฟ้อเท่าที่ถูกที่ควร ที่จะดับทุกข์ได้จริง มันเป็นเทคนิค เทคนิคทั้งความรู้ เทคนิคทั้งการปฏิบัติ เทคนิคทั้งผลของการปฏิบัติ มันน่าพอใจ มันน่าชื่นใจอย่างนี้
พุทธศาสนาไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่ช่วยกำจัดไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์เป็นสมบัติเดิม ลูกเด็ก ๆ พอคลอดมาจากแม่ จากท้องแม่ มาประสบโลกนี้ ก็ในรูปไสยศาสตร์ทั้งนั้นแหละ เพราะเด็กมันไม่มีปัญญาจะรู้กว่านั้น ไอ้ผู้ใหญ่ก็สอนให้กลัว สอนให้คิด กันในแง่ของไสยศาสตร์ หวังพึ่งผู้อื่นไปกันทั้งนั้น
เล่านิทานวันก่อนว่า ไอ้เด็ก ออกมาจากท้องแม่ แล้วมันก็ไปคบโจร คบมิจฉาทิฏฐิ กิเลสนั้น คบโจร นั่นไสยศาสตร์เต็มตัว ตั้งต้นก็ไสยศาสตร์ แล้วมันก็เอาไปทางผิด ทำเป็นโจร อย่างโจร แล้วมันถูกกัด ด้วยความทุกข์อย่างเจ็บปวด มันค่อยปรับตัว ไสยศาสตร์จะค่อยกลายเป็นพุทธศาสน์ ในชีวิตมนุษย์เรา ในลักษณะอย่างนี้ ทีนี้ ถ้าอยากจะให้กลับเร็ว ๆ กลับอย่างดี กลับมีผลจริงจริง แล้วก็รีบศึกษาวิทยาศาสตร์ระบบใหญ่ สูงสุดในพระพุทธศาสนา คืออานาปานสตินี้
จะบอกว่า มีอานิสงส์ บรรลุมรรคผล นิพพาน นี่ก็เป็นที่รู้กันอยู่ ได้ยินกันอยู่ แต่มันมีประโยชน์ แม้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ อย่างสบาย อย่างไม่ต้องการไอ้นิพพานสูงสุด เหนือโลก จะอยู่ต่อสู้อยู่ในโลกก็ได้ ก็ได้ผลดี จะอยู่เหนือโลกเสียเลย มันก็ได้อานิสงส์
แล้วที่มันดีกว่านั้นอีก ก็คือว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสข้อความที่น่าสนใจ ประทับใจ เป็นใจความว่า การตรัสรู้ของพระองค์นั้น มากมายเหมือนกับใบไม้ทั้งป่า ทั้งดง ทั้งโลกน่ะ คิดดูเท่าไร แต่ที่ฉันเอามาสอนพวกเธอนี่ เท่ากับใบไม้กำมือเดียว ใบไม้กำมือเดียว มันน้อยนะ แต่มันเข้มข้นเหลือประมาณ มันวิเศษเหลือประมาณ ใบไม้กำมือดเดียว ถ้าให้ระบุ ถ้าเป็นใบไม้กำมือเดียวแล้ว ไม่มีอะไรล่ะที่จะกำมือเดียวเท่ากับอานาปนาสติ โดยปริมาณ มันเท่ากับใบไม้กำมือเดียว แต่เข้มข้น เป็นเพชร เป็นพลอย “ธรรมะกำมือเดียว” “ธรรมะกำมือเดียว”
ฉะนั้น ผมไม่ค่อยชอบละ ที่เขาตั้งให้เป็นธรรมะโกษาจารย์ เป็นคลังธรรมะนี่ มันมากนัก ผมต้องการกำมือเดียวเท่านั้นแหละ นี่ธรรมะโกษาจารย์ มีคลัง มียุ้ง มีฉางของธรรมะ มันมากเกินไป ชื่อก่อน ก่อน ยังเข้าทีกว่าชื่อเดี๋ยวนี้ เป็นลักษณะใบไม้กำมือเดียวอยู่มาก เราต้องการใบไม้กำมือเดียว แก้ปัญหาได้หมด เข้มข้นเป็นเพชร มีค่าเหมือนกับเพชร แล้วก็ตัดตัดกิเลสทั้งหลาย แล้วก็ นั่นละ อานาปานสติ ใบไม้กำมือเดียว สะดวกดี ไปไหนมาไหนได้ อยู่กับเนื้อกับตัว ใบไม้ทั้งป่าไม่ไหว เดี๋ยวนี้ เขาเรียนกันไม่มีขอบเขต มันก็เรียนกันทั้งป่า แล้วก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เราไม่ต้องเรียนหมด แม้แต่พระไตรปิฏกก็เถอะ มันยังไม่ใช่กำมือ เลือกเอามาแต่กำมือเดียวแท้แท้ ก็คือระบบอานาปานสติ
นี่ ประเสริฐ เป็นของที่กะทัดรัด อยู่กับเนื้อกับตัวได้ เหมือนกระเป๋าหิ้้วติดตัว ไม่เท่าภูเขาเลากาอะไร อานาปานสติในแง่ของธรรมะ และในแง่พิเศษ อะไร ก็ยังมีอีก อีก อีกมาก จะมีผลดี อย่างในอรรถกถาอธิบายชั้นหลัง เช่น คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้ ก็เล่าเรื่องว่า ภิกษุผู้มีอานาปานสติ ชำนาญในการหายใจ จนรู้ว่าจะตาย จะดับจิต นี่ละ มันก็จิตดวงสุดท้าย ด้วยการหายใจครั้งนี้ เขากำหนดได้ เพราะเขาศึกษามาเชี่ยวชาญตลอดเวลา พระเถระผู้เชี่ยวชาญอานาปนาสตินี้ก็จะตาย ดับจิตในลักษณะที่สั่งสอนที่ดีที่สุด หรือประกาศพระศาสนาให้ดีที่สุด ด้วยผลของอานาปานสตินี้
ก็ลงไปเดินที่สนามหญ้า เดินอย่างมีสติ ที่สอนให้เดิน แล้วก็ให้ลูกศิษย์นี่ รอหยุดอยู่ที่ตรงจุดกลางสนามหญ้า ท่านเดินไปสุดสนามหญ้า ฝ่ายโน้นก็เดินกลับไปสุดสนามหญ้า ฝ่ายนี้เดิน พอมาถึงไอ้จุดกลางนั้น ท่านกำหนดไว้ พอดีกับการหายใจครั้งสุดท้าย ท่านก็ดับจิต ตรงที่ยืนอยู่กลางสนามหญ้า ตรงจุดที่ลูกศิษย์คอยรับประคองร่าง ไม่ให้ล้มลงไป พิเศษเท่าไร นี่ พิเศษของพิเศษ นอกเหนือไปจากความจำเป็น ก็ยังทำได้อย่างนี้
ทีนี้ ผมก็เดาเอาเอง ไม่ใช่เดาละ มีเหตุผลที่จะเดา คาดคะเนเอาเองว่า ถ้ามีอานาปานสติโดยแท้จริงแล้ว จะบังคับได้แม้ในทางวัตถุ คือตายแล้วจะไม่เน่า ตายแล้วจะไม่เน่า ขอให้ตายลงไปด้วยอานาปานสติ ดับกายสังขาร ดับวจีสังขาร ตอนที่ดับกายสังขาร ดับวจีสังขาร จริง ๆ เถอะ เชื่อว่าตายแล้วกายไม่เน่า
อาจารย์สวดของผม อาจารย์ปลัดทุ่งนี่ ขอออกชื่อหน่อย สรรเสริญพระคุณของท่าน อยู่ที่พุมเรียง ตายแล้ว เป็นอาจารย์สวดของผม ท่านก็มีความรู้อย่างนี้ มีการรู้วิธีการหายใจ หายใจแบบที่ท่านศึกษา ฝึกฝนมา หายใจออกหมด หรือทำนองนี้ ผมเป็นเด็กเกินไป จำไม่ค่อยจะได้ แล้วมันรู้แต่ว่า ไอ้ตายแล้วไม่เน่า มันก็ปรากฏว่าร่างกายของท่านเป็นอย่างนั้นจริง ตายแล้วไม่เน่า อาจารย์คนนี้ บังคับได้ด้วยวิธีการหายใจตามแบบของท่าน จะเป็นอานาปานสติ แบบดับกายสังขาร แบบดับจิตสังขาร หรือไม่ ผมก็ไม่ทราบหรอก เพราะผมไม่มีความรู้ ผมเป็นเด็กเด็ก
เอาละ ขอคาด ขอวาด ขอคาดความหวังไว้ก่อนว่า ทำอานาปานสติให้คล่องแคล่ว ชำนาญที่สุด แล้วพอจะตาย ตายด้วยอานาปานสติ ในขั้นที่ดับกายสังขาร ดับจิตสังขาร เชื่อว่าจะไม่เน่า เอาละ พอกันที มันจะเฟ้อแล้ว จะเฟ้อแล้ว พอกันที มันจะออกไปนอกขอบเขตมากแล้ว ไก่ก็บอกแล้ว หมดเวลาแล้ว หมดเวลาแล้ว จึงต้องยุติการบรรยาย ๑ ชั่วโมงเต็ม
สรุปความว่าอานาปานสติ จะเป็นที่พึ่งสารพัดนึก ในทางโลก ในทางธรรม ทุกอย่าง ทุกประการ ขวนขวายให้ชำนาญ ให้คล่องแคล่ว ให้ชำนาญ ให้เป็นคู่ คู่ คู่ชีวิต คู่มือ คู่ใจ คู่ชีวิตเถิด ไม่เสียหลาย เป็น “ธรรมะกำมือเดียว” ที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ ขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จในการฝึกอานาปานสติ ขอสรุปผลของอานาปานสติด้วยการบรรยายเรื่องอานาปานสติไว้อย่างนี้ ในเวลานี้
ขอยุติการบรรยาย และขอปิดประชุม