แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะพูดถึงพระพุทธศาสนาคืออะไรต่อไปอีก พุทธศาสนาคืออะไรในฐานะทีเป็นวัตถุสูงสุดคืออะไร วัตถุ แปลว่า ที่ตั้งที่อาศัย ทุกศาสนาก็มีวัตถุที่ตั้งที่อาศัยเป็นหลักด้วยกันทั้งนั้น พุทธศาสนาเราก็มี สิ่งที่เรารู้จักกันดีอย่างว่า พระรัตนตรัย วัตถุสาม หมวดสามแห่งวัตถุ หรือรัตนตรัย คือว่ารัตนะสาม สามแห่งรัตนะ ข้อนี้ควรจะเข้าใจในวงกว้างทั่วๆไป ทุกๆศาสนาก็จะดี อย่างน้อยก็มันเป็นเครื่องเปรียบเทียบกันได้ ก็เข้าใจดียิ่งขึ้นว่ามนุษย์นี้มีศาสนากันอย่างไร เราพุทธศาสนาก็มีวัตถุสาม คือ พระรัตนตรัย หรือว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่มองในแง่ที่ว่าเป็นศาสนา เรามองในฐานะเป็นหลักๆทั่วไปก็จะมองได้ โดยวงกว้างว่ามันมีผู้สอนแล้วมันก็มีสิ่งที่เอามาสอน แล้วก็มีผู้รับปฏิบัติตาม ลองคิดดู นี่เป็นหลักใหญ่ เป็นหลักใหญ่ มีผู้ที่สอน ผู้สอนจะต้องรู้จึงจะสอนได้ แล้วก็สิ่งที่เอามาสอนคือ มีค่าสูงสุดสำหรับมนุษย์ แล้วก็มีผู้ที่รับคำสอนปฏิบัติตามได้รับประโยชน์เต็มที่ ขอให้เรามองเห็นแล้วเข้าใจในส่วนนี้ มันก็จะเกิดความสนใจถึงที่สุด แล้วจะรู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะเป็นชื่อหรือท่องกันมาแต่ชื่อ ไม่รู้ความหมายก็ไม่ได้อะไร สามอย่างนี้เกี่ยวข้องกันอย่างที่จะแยกกันไม่ได้ นี่ก็เป็นแง่หนึ่งที่จะต้องเข้าใจ ไม่มีผู้สอนก็จะไม่มีอะไร ไม่มีการสอน ไม่มีการสอนไม่มีการรู้หรือปฏิบัติตาม ล่มไปหมด ขาดไปเพียงอย่างเดียวมันก็ไม่ได้ ขาดผู้สอนก็ไม่มี ขาดสิ่งที่สอนมันก็ไม่มี ขาดผู้ที่รับฟังแล้วก็ปฏิบัติตามมันก็ไม่มีเหมือนกัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มันก็สืบทอดกันมาไม่ได้ มันก็สูญหายไปหมดแล้ว ฉะนั้นจงต้องมีครบทั้งสาม อย่างที่ขาดเสียอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
เราจึงมีวัตถุสูงสุดที่จะเรียกว่า ศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วแต่ แต่พระพุทธศาสนาไม่ต้องการคำว่าศักดิ์สิทธิ์ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมะจะเกินกว่าเกินที่จะศักดิ์สิทธิ์เสียอีก ศาสนาคริสเตียนเขาก็มีสามอัน พระบิดา พระบุตร และพระจิต พระบิดาคือ พระเป็นเจ้าสูงสุด พระบุตรคือ พระเยซูผู้สอน พระจิตคือ สิ่งที่เนื่องกัน หรือทำให้เนื่องกันระหว่างพระบิดาและพระบุตร เท่าๆกับพระธรรม เคารพสิ่งทั้งสามนี้เป็นสิ่งสูงสุด มันมีความต่างกันบางอย่าง มันยังมีรูปร่างต่างกันอย่างนี้ ศาสนาพุทธเรา พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งพระธรรมและนำมาสอน ศาสนาคริสต์เขามีพระเจ้า พระจิตประทานมาจากพระเจ้า ประทานมาจากพระเจ้า พระเยซูก็สอนไป เป็นผู้ประกาศสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ประกาศ มันก็ต่างกันมาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ด้วยพระองค์เองแล้วสอน ส่วนพระเยซูไปเป็นผู้ประกาศสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ประกาศ มันต่างกันมาก พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้โดยพระองค์เองแล้วสอน ส่วนพระเยซูไม่ได้ตรัสรู้โดยพระองค์เอง รับมาจากพระเจ้า พระเจ้าให้มา รับแล้วเผยแผ่ มันมีความต่างกันอย่างนี้
ข้างศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์มันก็ไปอีกแบบหนึ่ง สิ่งสูงสุดสามอย่างเรียกว่า มูรติ มูรติสาม พระพรหมคือ ผู้สร้าง พระนารายณ์คือ ผู้ควบคุม พระอิศวรคือ ผู้ทำลายล้าง กลายเป็นกฎของธรรมชาติไป พระพรหมทำให้เกิดขึ้นมา โลกเกิดขึ้นมาให้อะไรๆเกิดขึ้นมา พระนารายณ์ก็ควบคุมให้เป็นไปอย่างถูกต้อง พอถึงคราวที่จะยุบเลิก พระอิศวรก็จะยุบเลิกๆไปสักคราวหนึ่ง สำหรับจะสร้างกันใหม่ในรอบหลังๆ แต่ก็ว่าทำงานพร้อมกันในขณะเดียวกันก็ได้ อะไรๆที่จะสร้างขึ้นมาก็เป็นหน้าที่ของพระพรหม อะไรควบคุมไปให้เป็นอย่างนั้นคือหน้าที่ของพระนารายณ์ พระวิษณุเขาเรียก ก็จะให้มันทำลาย ทำลาย ยกเลิกไปคือ พระอิศวร เขาเชื่อของเขาอย่างนั้น เขามีหลักของเขาอย่างนั้นแล้วก็ทำตามเรื่องที่เขาเชื่อ ที่เขาพอใจ แต่อย่างไรก็ตามก็มีสิ่งที่เรียกว่าวัตถุศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น พวกอื่นเค้าจะมีกันอย่างไร เราก็ไม่ต้องสนใจก็ได้ จะสนใจบ้างก็ได้ ถ้าจำเป็นจะต้องสนใจเพื่อทำความร่วมมือกันอะไรอย่างนั้น
เดี๋ยวนี้ก็มาพูดถึงพระพุทธศาสนาของเราโดยเฉพาะ มีวัตถุที่ตั้งที่สำคัญที่สุด เป็นหลักเป็นประธานสามอย่าง สามประการ คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ถ้าจะเรียกกันภาษาสามัญธรรมดาไม่วิเศษวิโสอะไร คือ ผู้สอนหรือสิ่งที่สอน หรือผู้รับคำสอนอะไรอย่างนั้น แต่ถ้าพูดให้มันสูงกว่านั้น ให้มันขลัง ให้มันศักดิ์สิทธิ์เรียกว่า พระพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ซึ่งพระธรรมแล้วก็นำมาสอน พระธรรมคือ สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสอน ให้สำเร็จในทุกระดับของมนุษย์ที่จะต้องการอย่างไร พระสงฆ์ คือ ผู้ที่ปฏิบัติได้ผลอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านสอน แล้วช่วยกันสืบๆไว้ไม่ให้สูญหายไป พระสงฆ์สืบทอดกันมาเรื่อยจนถึงบัดนี้ ก็ถือกันว่าสองพันกว่าปีแล้ว ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พระธรรมก็ไม่รากฎ ธรรมะก็ไม่ปรากฏ ก็ไม่มีศาสนา ถ้าไม่มีพระธรรม พระพุทธเจ้าก็ไม่รู้จะตรัสรู้อะไร แล้วจะสอนอะไร ถ้าไม่มีพระสงฆ์ การตรัสรู้หรือการสอนก็เป็นหมัน ไม่มีประโยชน์อะไร ไม่มีใครรับเอามาปฏิบัติ หรือว่ามันจะไม่สืบตกทอดมาจนถึงพวกเรา ฉะนั้นขอให้มองเห็นคุณค่าหรือความจำเป็นที่ต้องมีสิ่งมีค่าทั้งสามนี้อย่างสัมพันธ์กันๆ ท่านจึงชอบอุปมาเปรียบว่าเหมือนกับไม้สามขาอิงกันอยู่ ไม่ล้ม ถ้าเอาออกเสียขาหนึ่ง เหลือสองขามันก็ล้ม แต่ถ้าเกิดเป็นไม้สามขาอิงกันอยู่ก็จะตั้งอยู่ได้ ก็พอจะมองเห็นภาพ เป็นภาพพจน์ว่าเป็นอย่างนั้นจริง ขาดเสียอย่างหนึ่งก็ล้มไปหมด เราจึงต้องมีครบทั้งสาม ทีนี่มันก็มีวิธีมอง วิธีพูดกัน ว่าจะมองกันในแง่ตื้นๆหรือลึกๆ หรือมองในแง่ที่เป็นบุคคล หรือมองกันในแง่ที่เป็นเพียงธรรมะ ไม่ใช่บุคคล เป็นนามธรรม ก็ยังต้องมองกันต่อไปอีก ภาษาคนธรรมดาสามัญ หรือคนที่ยังไม่รู้ธรรมะก็พูดอย่างภาษาคน คือเอาวัตถุเป็นหลัก เพราะไม่อาจจะถือเอานามธรรมอันละเอียดมาพูดได้ เป็นหลักได้ แต่ถ้ามีปัญญารู้จริง รู้ลึก รู้ซึ้ง มันก็ไปถึงนามธรรมนำเอามาใช้พูดได้
ฉะนั้นเราจึงมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ทั้งในภาษาคน ทั้งในภาษาธรรม พูดในภาษาวัตถุพูดในแง่ที่เป็นบุคคลก็ได้ พูดเป็นไม่ใช่บุคคล เป็นนามธรรมก็ได้ อย่างที่ได้เคยพูดมาบ้างแล้วในคืนก่อน พระพุทธ พระพุทธเจ้า ถ้าสำหรับเด็กๆ เด็กทารก คือ พระพุทธรูป เขาได้ยินได้ฟัง หรือนึกอะไรได้ก็เอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า ก็สอนให้เข้าใจอย่างนั้น ทีนี้พอโตขึ้นมาได้เล่าเรียนรู้ก็หมายถึง บุคคล ที่มีอยู่ในประวัติศาสตร์ ในอินเดียสองพันกว่าปีมาแล้ว เกิดขึ้น ตรัสรู้ สั่งสอน นิพพานแล้ว นี่ก็ยังดีกว่าเอาพระพุทธรูป ทีนี้ผู้ที่มีปัญญาลึกกว่านั้น หรือที่พระพุทธเจ้าเองท่านตรัสไว้มันยังลึกละเอียดกว่านั้น หมายถึง ตัวธรรมะ ธรรมะเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นตัวบุคคลเป็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม จึงตรัสว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคต ผู้นั้นเห็นธรรม เพราะฉะนั้นเอาตัวธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมะในที่นี้คือ สิ่งที่ดับทุกข์ได้ ที่ปรากฏอยู่ในจิตใจของบุคคลผู้รู้ ถ้าผิวเผินหน่อยก็เอาตัวปัญญาที่รู้แจ้งเป็นตัวธรรม หรือละเอียดลงไปอีกก็เอาธรรมะที่ดับทุกข์ได้เป็นตัวธรรม จึงมีคำสอนว่า จิตที่รู้ธรรม ตรัสรู้ธรรมเป็นองค์พระพุทธเจ้าก็มี หรือถ้าลึกไปกว่านั้น เอาตัวธรรมะที่เป็นสภาวะดับทุกข์ได้ แต่ก็อยู่ในรูปของความรู้ ทุกข์เกิดขึ้นได้อย่างไร ทุกข์ดับไปอย่างไร ความรู้อันนั้นก็เป็นตัวธรรม เป็นตัวธรรมะ นี่ใครจะเห็นพระพุทธเจ้า ลึกลงไปอย่างไรก็ได้ ตื้นๆผิวๆก็ได้ ถ้าเอาเป็นอย่างบุคคลก็ได้ คือ บุคคลที่เป็นคนๆเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เป็นธรรมะละเอียดเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ ดูดีๆมันลึกกว่ากันอย่างไร อันไหนมีประโยชน์กว่ากันอย่างไร ที่เขาพูดกันถึงตัวบุคคลเขาก็มีพูด เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีสี่ระดับ พระพุทธเจ้าที่เป็นสุตพุทธะ คือ บุคคลที่ได้เล่าได้เรียน อนุพุทธะ คือ รับรู้ตามๆกันมา ถ้าเป็นสัมมาสัมพุทธะ คือ รู้ชอบด้วยพระองค์เอง ถึงกับสอนผู้อื่นได้ ถ้าเป็นปัจเจกพุทธะ รู้เฉพาะตนสอนผู้อื่นไม่ได้ ถ้าเพราะไม่อยากสอนก็ตามใจ รู้เฉพาะตนก็ไม่สอนใคร พูดกลับมาอีกทีหนึ่งว่าที่สูงสุดก็เป็น สัมมาสัมพุทธะ ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เองทุกอย่าง ทุกประการครบถ้วนเป็น สัพพัญญู ฉะนั้นจึงสอนได้ทุกระดับทุกบุคคล เป็นพระสัมมาสัมพุทธะ อีกประเภทหนึ่งท่านรู้แจ้งพอจะดับทุกข์ค่อนข้างได้เอง ในลักษณะดับทุกข์ได้เท่าเทียมกัน แต่ไม่สอน ไม่สอนหรือสอนแค่ตอบคำถามเล็กๆน้อยๆ ไม่ได้สอนเป็นศาสนา เป็นอะไรกัน นี่เป็นอนุพุทธะ อนุพุทธะ นี่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริงๆ แต่เขาก็เรียกพุทธะเหมือนกัน ฟังจากผู้อื่น ฟังจากพระพุทธเจ้าแล้วก็มารู้ตามพระพุทธเจ้าว่าเป็นอนุพุทธะ พุทธะ คือ รู้ตามพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่า พุทธะ มาถึงอันสุดท้าย ต่ำสุดคือ สุตพุทธะได้ยินได้ฟังตามธรรมดาที่เราเล่าเรียน เป็นพุทธบุคคล อย่างนี้เราใช้คำว่าพุทธบุคคล บุคคลผู้เป็นพุทธะ ตัดออกไปเสียอย่างหนึ่งให้เหลือเพียงสามก็ได้ แล้วแต่จะพอใจ นี่เล็งไปยังบุคคลว่าเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเล็งไปยังธรรมะเป็นนามธรรม ก็เป็นอย่างที่ว่า คือเป็นตัวจิตที่บรรลุ ตรัสรู้ จิตที่ตรัสรู้ ตัวธรรมะที่ดับทุกข์ได้เป็นนามธรรมเหมือนกัน นี่เป็นพระพุทธเจ้าขั้นละเอียดไม่เกี่ยวกับวัตถุเนื้อหนัง ถือว่าเป็นพระพุทธเจ้าองค์จริง ตามพระพุทธประสงค์ ที่ยังเป็นเนื้อหนังนี่เป็นของธรรมดา ถ้าพูดให้มันชัดก็คือว่า ชั้นเปลือก เป็นเนื้อเป็นหนัง เป็นองค์เป็นร่างกาย ข้างในนั้นมันมีเนื้อ คือปัญญา ตรัสรู้ธรรมะที่ดับทุกข์ได้ ฟังดูหลายแง่หลายมุมหลายทัศนะ จะเวียนหัวเสียก่อน เป็นนามธรรมอันไม่มีวัตถุ เป็นวัตถุก็อย่างหนึ่ง ที่เป็นบุคคลแท้ๆมียู่ในประวัติศาสตร์มันก็เป็นอย่างหนึ่ง แล้วก็เป็นวัตถุแท้ๆ เป็นพระพุทธรูปก็ได้ พระบรมธาตุก็ดี เหล่านี้เป็นวัตถุซึ่งเรียกได้ว่านอกออกมามาก
ทีนี้ก็ยังมีพระพุทธเจ้าหรือพระศาสดาอีกประเภทหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าท่านก็ได้ตรัสไว้เองว่าธรรมะและวินัยที่เราสอนแล้ว แสดงแล้วนั้นจะเป็นตัวพระศาสดา จะอยู่แทนเรา มันต้องรับไปแล้วโดยร่างกาย เมื่อร่างกายรับไปแล้วอยู่จะมีพระศาสดามารับแทนก็คือ พระธรรมและวินัย ธรรมะและวินัยก็ได้ บัญญัติแล้วคือวินัย แสดงแล้วคือพระธรรม พระธรรมที่ได้แสดงแล้ว พระวินัยที่ได้บัญญัติแล้ว สองอย่างนี้จะเป็นพระศาสดาคงอยู่เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว หมายถึงโดยร่างกายล่วงลับไปแล้ว นี่ก็ทำให้มีความหวังว่าเดี๋ยวนี้พระพุทธเจ้ายังคงอยู่ พระศาสดาก็ยังอยู่ คือ พระธรรมและพระวินัยที่ได้แสดงไว้ บัญญัติไว้ ขอให้สำเร็จประโยชน์ คืออย่าไปเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าไม่มีแล้ว คนที่หัวเราะเยาะ เขาเคยเล่าเป็นเรื่องกันมาว่า พวกคริสเตียน เขาหัวเราะเยาะชาวพุทธว่านับถือคนที่ตายแล้วเป็นที่พึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตายแล้ว นิพพานแล้ว เขานับถือพระเป็นเจ้า เป็นที่พึ่งซึ่งไม่รู้จักตาย ก็หาว่าชาวพุทธโง่ แล้วชาวพุทธมันก็โง่จริงๆด้วยคือมันตอบไม่ได้ สุดท้ายมันตอบไม่ได้ สุดท้ายมันก็โง่จริงๆเหมือนกัน ก็ถ้ามันไม่โง่ ก็ต้องรู้ว่าเราก็มีแล้ว ที่พระพุทธเจ้าที่ไม่รู้จักตาย ให้รู้กันไว้ อย่าให้เขาลบหลู่ได้ เอาพระธรรมวินัยเป็นพระพุทธเจ้าอยู่กับโลกนี้ตลอดไปก็ได้ จะเอาธรรมะที่ละเอียดไปกว่านั้นที่มีอยู่ในจิตใจของผู้รู้เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ เอาตัวบุคคลเป็นพระพุทธเจ้า เอาสิ่งแทนตัวเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วแต่ว่าคนที่จะนับถือมันอยู่ในระดับไหน ถ้ามันเป็นระดับเด็กๆเด็กทารกมันช่วยไม่ได้ มันต้องมีพระพุทธรูป หรืออะไรทำนองนั้นเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็เลื่อนไปตามลำดับจนกว่าจะถึงพระพุทธเจ้าที่ละเอียดลึกซึ้ง เป็นนามธรรม เรื่องของพระพุทธเจ้ามีอย่างนี้ ขอให้สนใจให้เข้าใจให้รู้จักกันไว้อย่างทั่วถึง
ทีนี้ก็มาถึงพระธรรม เป็นภาษาคนก็หมายถึง วัตถุที่จารึกพระธรรม หรือเสียงที่แสดงธรรม ภาพที่แสดงธรรม นี่เป็นภาษาคนพูด หีบที่ใส่พระคัมภีร์ เขาเรียกว่าหีบพระธรรม บางทีก็เรียกว่าพระธรรมเฉยๆ เชิญพระธรรมก็คือ เชิญหีบประมาณนี้ นี่ก็เป็นภาษาคน ถ้าเป็นพระธรรมในภาษาธรรมก็หมายถึง นามธรรม ธรรมะที่ดับทุกข์ได้ ธรรมะที่ช่วยดับทุกข์ได้นั่นคือ พระธรรม จะเป็นชั้นไหนก็ได้ มันดับทุกข์ได้ ทีนี้มันก็ยังมีเป็นชั้นๆที่ว่า มันเป็นปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม เป็นปฏิเวธธรรม ซึ่งเราพูดกันมาแล้วเมื่อคืนก่อน พระธรรมที่ไม่ใช่ตัววัตถุแต่เป็นตัวความรู้ เป็นตัวการปฏิบัติ เป็นตัวการได้รับผลแห่งการปฏิบัติ นี่ไม่ใช่ตัววัตถุ ผู้มีปัญญาก็ควรจะรู้ไว้ ที่สำเร็จประโยชน์จริงๆคือ สิ่งที่จะมาช่วยได้ ดับทุกข์ได้ต้องมีชนิดนั้น ต้องรู้การปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ ให้มีอยู่ในเราตลอดไปเสมอไป ก็เชื่อว่าอยู่กับพระธรรม ทีนี้ก็มีสิ่งที่จะต้องรู้ว่าธรรม พระธรรมหรือธรรมะคำนี้หมายถึงอะไร เมื่อก่อนพระพุทธเจ้าเกิดธรรมะ ธรรมะ คำนี้เขาก็พูดกันอยู่แล้วในอินเดีย หมายถึงหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่มีความหมายสำคัญ ลึกซึ้งที่สุด คือสิ่งที่ช่วยให้รอด คือหน้าที่ ลองไม่ทำหน้าที่ก็คือ ตาย ไม่กินอาหาร ไม่ถ่ายอุจจาระ ไม่ปัสสาวะ ไม่บริหาร ไม่ทำหน้าที่ ก็คือตาย ในร่างกายเรามีสิ่งที่ทำหน้าที่อยู่อย่างซื่อตรงคือ เซลล์ทั้งหลายที่ไม่รู้กี่ล้านๆเซลล์ ที่ประกอบกันเป็นเนื้อ เป็นหนัง เป็นเลือด เป็นเซลล์เหล่านั้นทำหน้าที่อยู่ ตัวเป็นเซลล์ทุกตัว เซลล์มันก็เลยไม่ตาย ถ้าเซลล์เหล่านั้นทุกตัวหยุดทำหน้าที่ มันก็จะตายลูกเดียว ตายเลยหน้าที่สำคัญอย่างนี้ หน้าที่สำคัญอย่างนี้ที่ช่วยให้รอดอยู่ ได้ธรรมะก็หมายถึงหน้าที่ที่จะให้รอดนั้นแหละ แต่คนมันยังโง่อยู่ มันก็รู้สึกไม่ได้มันก็หมายถึงการทำมาหากิน การบริหารร่างกาย การเป็นอยู่ที่ถูกต้อง การคบหาสมาคมกันให้ดีๆเรียกว่าหน้าที่ หน้าที่ในภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่าธรรมะ ธรรมะ หรือธรรม พระธรรม เพราะว่าสอนพระธรรม เรียนพระธรรมกันในฐานะเป็นหน้าที่เรื่อยๆมา จนถึงยุคพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็สอนหน้าที่ที่สูงสุด รอดอันสูงสุด รอดชีวิตด้วย รอดจากความทุกข์ด้วย ธรรม หรือพระธรรม คือสิ่งที่ช่วยให้รอดในความหมาย ต่อมาเมื่อภาษามันเจริญขึ้นในภาษาบาลีในพระพุทธศาสนานี่ ธรรมะหรือพระธรรมนี่ มันหมายถึงทุกสิ่งเลย ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรม กุสลา ธัมมา กุสลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา สิ่งที่เป็นกุศลก็เรียกว่าธรรม ที่เป็นอกุศลก็เรียกว่าธรรม ที่กล่าวไม่ได้ว่าเป็นกุศลหรืออกุศลก็เรียกว่าธรรม หมายถึงธรรมชาติ ธรรมหมายถึงธรรมชาติ ที่เป็นอยู่ธรรมชาติเค้าเรียกว่าธรรม ทีนี้กฎความจริงของธรรมชาติที่มีอยู่ในตัวธรรมชาติก็เรียกว่าธรรม ธรรมะที่ในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ หน้าที่ที่เคยมีมาแต่เดิม คือหน้าที่ที่จะทำแล้วรอดก็เรียกว่าธรรม ธรรมะเป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ อธิบายชัดลงไปว่าหน้าที่ที่พูด คือตามกฎของธรรมชาติ ถ้าไม่ตามกฎของธรรมชาติมันตาย การทำหน้าที่ให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ มันก็รอด ที่มาเหลืออันสุดท้ายก็คือว่า ผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นี้ เรียกว่า ธรรม มรรคผลนิพพานนี้ก็เรียกว่าธรรม
เอามาพูดให้ศึกษากันง่ายๆแต่ว่าครบถ้วนที่สุด ธรรมะสี่ ความหมาย ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติที่มีอยู่ในธรรมชาตินั้น ธรรมะคือ หน้าที่ ที่สิ่งที่มีชีวิตจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ นั่นก็ผลที่เกิดขึ้นมานั้นเรียกว่า ธรรม นี่คือธรรมะสี่ความหมาย ธรรมชาติเรียกว่าสภาวธรรม กฎของธรรมชาติเรียกว่า สัจธรรม หน้าที่ตามธรรมชาติเรียกว่า ปฏิบัติธรรม ผลที่จะเกิดจากหน้าที่เรียกว่า ปฏิเวธธรรม สภาวธรรม สัจธรรม ปฏิบัติธรรม ปฏิเวธธรรม ภาษาบาลีก็ยุ่งๆหน่อย ถ้าจำได้ก็ดี จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่จำได้ดีกว่ามาก ธรรมชาติ กฎของธรรมชาติ หน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ และผลที่เกิดจากหน้าที่นั้นเอง ธรรมะสี่ ความหมายจะเรียกว่าพระธรรมก็ได้เหมือนกัน ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด เด็ดขาดที่สุด ถ้าอย่างนี้มันกว้าง มันกว้าง มันครอบจักรวาลไปหมดเลย เป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม เป็นบุคคล เป็นไม่ใช่บุคคล เป็นได้ทั้งหมดเลย แต่แล้วมันก็มีความสำคัญตรงที่เป็นความจริง ชนิดที่ปฏิบัติตามแล้วดับทุกข์ได้ รู้แล้วมีประโยชน์ ความหมายอยู่ตรงนั้น เรียกได้ว่า เป็นสิ่งที่ทรงผู้ปฏิบัติไว้ไม่ให้แตกดับ สิ่งที่ทรงผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปสู่ความทุกข์ คำว่าธรรม ธรรมะ โดยภาษาแท้ๆ โดยทางภาษาแท้ๆ มันแปลว่า ยกขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ หรือทรงเอาไว้ ไม่ให้พลัดตก คำนี้แปลว่าอย่างนั้น ผู้ใดที่มีธรรม ผู้นั้นก็มีสิ่งที่ทรงผู้นั้นไว้ไม่ให้พลัดตก ไม่ให้พลัดตกลงไปในกองทุกข์ หรือไม่ให้พลัดตกลงไปสู่ความตาย ธรรมะ รูทของคำ รากของคำก็แปลว่าทรงไว้ ยกไว้ ชูไว้ ไม่ให้ผู้มีธรรมะนั้นพลัดตกลงไปสู่ความตายหรือความทุกข์ ความหมายสำคัญอย่างนี้ แปลว่า หน้าที่ในภาษาไทยแปลว่า หน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ที่ทรงไว้ไง ทรงผู้ทำหน้าที่ไว้ไม่ให้พลัดตกไปสู่ความทุกข์ หรือความตาย อย่างที่ว่ามาแล้ว เราไม่กินไม่อาบ ไม่ทำหน้าที่ บริหาร ก็คือ ตาย หรือว่าแต่มันจะเฉยหมด มือ ตีน หู ตามันไม่ทำหน้าที่ มันก็ตาย ทุกๆเซลล์มันไม่ทำหน้าที่ มันก็คือ ตาย การอยู่รอดคือ หน้าที่ จึงเป็นคำๆดียวกับคำว่า ธรรม ในภาษาบาลี ในภาษาไทยเราเรียกว่าหน้าที่ ภาษาบาลีเรียกว่า ธรรม ขอให้รู้ไว้อย่างนี้เพื่อจะแก้ ความผิดพลาดที่ว่าในโรงเรียนมันสอนแต่ว่า ธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า นี่มันถูกนิดเดียว จะขี้เล็บก็ไม่ค่อยจะได้ ถ้าพูดอย่างนี้มันถูกนิดเดียว ธรรมะคืออะไร ก็เห็นแล้วก็ว่ากันมาแล้ว คำสอนของพระพุทธเจ้า ถามว่าถูกไหม ถูกแต่ถูกนิดเดียว ธรรมคือ หน้าที่ที่จะทรงไว้ไม่ให้ตกไปสู่ความทุกข์ หรือความตาย นั่นคือธรรม ธรรมแปลว่า ทรงไว้ ยกไว้ ชูไว้ เราต้องมีธรรม คือ มีสิ่งที่ยกไว้ ชูไว้ไม่ให้พลัดตกไปสู่ความตายหรือความทุกข์ บุคคลมีธรรม ผู้ทรงธรรมเป็นผู้ทรงธรรมก็คือมีการกระทำที่ไม่ทำให้ตาย หรือเป็นทุกข์ เรียกว่า ผู้ทรงธรรม ไม่ใช่ผู้รู้ แบกพระไตรปิฎก แบกพระไตรปิฎกเป็นหาบๆ เรียกว่า ผู้ทรงธรรมก็ไม่ใช่ ผู้ทรงธรรมก็คือ มีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัวที่จิตที่ใจ ก็เลยปลอดภัย รอดตัว ถ้าในวัดก็ไม่มีการปฏิบัติธรรมะ ในวัดก็ไม่มีธรรมะ ไม่มีพระธรรม ถ้าในกลางทุ่งนามีการปฏิบัติหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่ไถนาอยู่ๆนั่นแหละมีธรรม มีธรรมะ ธรรมะที่เคลื่อนไปด้วยความรอด มันอยู่ที่หน้าที่ ฉะนั้นถ้าคนอยู่วัดไม่ทำหน้าที่อะไร ก็ทำหน้าที่กินนอน ก็มีแค่นั้น ก็มีธรรมส่วนนั้น อย่างที่สุนัขก็ทำเป็น มันจะต้องรู้จักการทำหน้าที่ให้รอด รอดจากความทุกข์ที่สูงขึ้นไป สูงขึ้นจนจิตใจไม่มีความทุกข์ จิตใจเยือกเย็น มีความหมายแห่งนิพพาน เย็นอกเย็นใจอยู่ตลอดไป โบสถ์บางโบสถ์มีแต่สั่นเซียมซี ไม่ได้ทำอะไรทั้งวันทั้งคืน นั่นก็ไม่มีธรรมะ หาธรรมะยาก สู้ชาวนาที่ไถนาอยู่ก็ไม่ได้ เอาละ เป็นว่าพระธรรมคือสิ่งที่ทรงไว้ไม่ให้พลัดตกลงไปสู่ความทุกข์หรือความตาย เรียกสั้นๆว่าหน้าที่ จะแจกเป็นกี่อย่างๆก็ได้ ทางสากลก็หมายถึง วัตถุ พระธรรมก็หมายถึง นามธรรม เป็นปริยัติ ปฏิบัติ เป็นปฏิเวธก็เรียกว่าธรรม จะเป็นธรรมชาติ เป็นกฎของธรรมชาติ เป็นหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ หรือเป็นผลที่เกิดมาจากหน้าที่ก็เรียกว่า ธรรม รู้แล้วทำให้ปฏิบัติได้ ปฏิบัติแล้วก็ดับทุกข์ได้ ไม่ต้องเป็นทุกข์หรือไม่ต้องตายนี่คือธรรม พระธรรม พระพุทธเจ้าท่านว่าสอนแต่เรื่องทุกข์กับดับทุกข์ได้ พระธรรมก็เกี่ยวกับทุกข์หรือดับทุกข์ ถ้าไม่มีทุกข์ก็ไม่มีอะไรจะดับ
เอ้า ทีนี้มาพูดถึงพระสงฆ์กันที พระสงฆ์ พระสงฆ์คำนี้น่าสงสาร คำนี้แปลว่า หมู่บ้าง แปลว่าเป็นฝูงๆ คำว่า สังฆะ อาจหมายถึงหมู่หรือฝูงแห่งบุคคลผู้รู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ แล้วดับทุกข์ได้ มันควรจะเรียกว่าอริยสงฆ์ถึงจะปลอดภัย เรียกว่าสงฆ์เฉยๆนี่ มันหมู่ ฝูง ฝูงควาย ฝูงวัวก็เรียกว่าหมู่ แต่ทีนี้หมู่แห่งบุคคลผู้รู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะแล้วดับทุกข์ได้เรียกว่า พระสงฆ์ มีอยู่เป็นระดับๆดังที่พูดไว้ แล้วเมื่อคืนว่า โสดา สกิทาคา อนาคา อรหันต์ ละสังโยชน์ได้ ตามลำดับ พระสงฆ์ที่แท้จริงได้คือ อริยสงฆ์ ถ้าไม่อย่างนี้ก็เรียกว่าสมมติสงฆ์ ก็ได้รับสมมติหน่อยว่าเป็นสงฆ์เหมือนกัน พอเราบวชเข้ามาเราก็เป็นภิกษุหรือเป็นสงฆ์ พอบวชเข้ามาก็คือเป็นสงฆ์ตามบัญชี ตามทะเบียน ยังไม่ได้เป็นสงฆ์อย่างแท้จริง ต่อเมื่อรู้ธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ ดับทุกข์ได้จึงจะเป็นสงฆ์อันแท้จริง เดี๋ยวนี้พอบวชเข้าเป็นพระสงฆ์ เอาเครื่องแบบมาสวมเข้า เอาจีวรมาสวมเข้าเป็นสงฆ์ แต่เนื้อในหัวใจยังไม่ทันจะเป็น ก็ควรจะรีบประพฤติปฏิบัติเสียให้มีธรรมะจะดับทุกข์ได้ รีบสอนกันทันทีว่า ตจปัญจกกัมมัฏฐานบ้าง อนุศาสน์บ้าง ให้มีส่วนที่จะเป็นพระสงฆ์ภายในใจกันบ้าง เหมือนกับว่าคนเป็นทหารถูกเกณฑ์แล้วจดทะเบียนแล้ว เอาเครื่องแบบมาสวมเข้าก็เป็นทหารทันที ไม่ได้มีความหมาย ยังไม่มีความหมายอะไรจนกว่ามันจะไปรบ มันจึงจะเป็นทหาร เราก็เหมือนกันแหละเอาจีวรมาคลุมเข้าก็เป็นพระสงฆ์ สมมติให้ว่าเป็นพระสงฆ์ จนกว่าจะได้ปฏิบัติ ฆ่ากิเลสตาย จึงจะเป็นพระสงฆ์ที่ถูกต้องที่แท้จริง เรียกว่า พระสงฆ์ พระสงฆ์ ในความหมายที่ต่ำไปกว่านั้น ต่ำลงไปกว่านั้นก็คือว่า หมู่คณะสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นี่ก็เป็นสงฆ์สาวก เป็นสงฆ์สาวก เป็นสมมติสงฆ์ คือผู้ปฏิบัติธรรม ภิกษุก็ต้องปฏิบัติธรรม ภิกษุณีก็ต้องปฏิบัติธรรม อุบาสกก็ต้องปฏิบัติธรรม อุบาสิกาก็ต้องปฏิบัติธรรม มิฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ หมู่แห่งผู้ปฏิบัติธรรม เรียกว่า สงฆ์ ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมก็เป็นแต่เพียงชื่อ เพียงทะเบียน หรือสำมะโนครัว เป็นพุทธบริษัท ตามทะเบียน เนื้อแท้ยังไม่ได้เป็น บวชมาแล้วให้เป็นภิกษุตามวินัยที่บัญญัติว่าทำอย่างนี้ แล้วเรียกว่า ภิกษุ แต่เนื้อในหัวใจยังไม่ได้เป็น ยังจะต้องประพฤติปฏิบัติให้ดับกิเลสได้สักหน่อยหนึ่งก็ยังดี จึงจะเรียกว่าเป็นผู้สดับคำสอนแล้วปฏิบัติตามแล้วก็ดับกิเลส ดับทุกข์ได้ตามสมควร พระสงฆ์สี่คู่ แปดพระองค์ที่เราทำวัตร สวดกันอยู่เป็น โสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล สี่คู่ แปดพระองค์ นับเรียงตัวได้แปด นับเป็นคู่ๆได้สี่คู่ ส่วนสงฆ์ที่แท้จริงที่ดีถึงขนาด ถ้ายังไม่ถึงขนาดอันนั้นเค้าเรียกกันว่า สมมติสงฆ์ แต่คำนี้ไม่เคยพบในพระบาลี และในพระพุทธภาษิตก็ไม่เคยพบ ถ้าให้พูดถึงสมมติสงฆ์ให้เสียเวลา แต่ว่าเดี๋ยวนี้เราพูดกันขึ้น บัญญัติกันขึ้นแม้ในเมืองไทย เมืองไทยก็แล้วกัน มีสมมติสงฆ์ ก็มีอริยสงฆ์ สมมติสงฆ์ไปก่อนจนกว่าจะเป็นอริยสงฆ์ บวชเข้ามาไม่ทันเป็นอริยสงฆ์ ก็เป็นสมมติสงฆ์ไปก่อน ตลอดเวลาที่ยังไม่เป็นอริยสงฆ์ ก็ต้องเป็นสมมติสงฆ์กันพอดี คือสมมติให้รับรู้กันว่ามันเป็นพระสงฆ์ สมมติกันที ทีนี้ก็มามองกันถึงหน้าที่ พระสงฆ์มีหน้าที่อย่างไร ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนแล้วก็เป็นพระสงฆ์โดยแท้จริง แม้ยังเป็นสมมติสงฆ์ก็ขอให้ทำหน้าที่ หน้าที่ หน้าที่ ระหว่างทำหน้าที่ก็จะเป็นพระสงฆ์ชั้นดี ไม่ใช่พระสงฆ์ชั้นเลว ถ้าจะเป็นสมมติสงฆ์ก็ต้องเป็นชั้นดี แล้วจะเป็นอริยสงฆ์โดยแน่นอน ฉะนั้นอย่าละเลยในหน้าที่ พยายามทำหน้าที่ คือ กำจัดกิเลสและความทุกข์ โดยสรุปแล้วก็เรียกกันว่า กำจัดความเห็นแก่ตัวจนหมดตัว หมดตัวก็เป็นพระอรหันต์ ทีนี้ตัวเบาบางลงไปก็เป็นรองๆลงมา ถ้าเห็นแก่ตัวเต็มที่มันก็เป็น ปุถุชนเต็มขั้น ลดความเห็นแก่ตัวลงมาได้เสียบ้างก็จะเป็นปุถุชนชั้นดี กัลยาณปุถุชน ถ้าเลื่อนอีกทีก็เป็นพระอริยเจ้า ขั้นต้นๆขึ้นไปจนกว่าจะถึงขั้นสูงสุด จะอยู่ตรงไหนก็ดูกันเอาเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก เป็นพระสงฆ์ชั้นไหน ระดับไหน อะไร มากน้อยเท่าไหร่ก็ดูกันเอาเอง ละความทุกข์ ละกิเลสได้เท่าไร มันก็เป็นเท่านั้น มันเป็นเท่านั้น เป็นเท่าที่มันจะละไปได้ เป็นพระสงฆ์นี่นอกจากจะเอื้อประโยชน์กับตนเองแล้ว ยังเอื้อประโยชน์แก่โลกด้วย ที่ช่วยสืบอายุพระศาสนา ให้ยังคงมีอยู่ในโลกด้วย ยังจะต้องมีคนบวชจริงๆ จะต้องมีคนเล่าเรียนจริงๆ จะต้องมีคนปฏิบัติจริงๆ มีคนได้รับผลของการปฏิบัติจริงๆ และก็สามารถสั่งสอนสืบต่อกันไปจริงๆ หน้าที่นี้ยังมีอีกส่วนหนึ่ง คือ หน้าที่สืบอายุพระศาสนาไว้ให้ยังคงยังมีอยู่ในโลก เพื่อประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายในอนาคตต่อไป หน้าที่เพื่อประโยชน์ตนทำเสร็จแล้ว หรือกำลังทำอยู่ก็ได้ กำลังทำหน้าที่สืบอายุพระศาสนาไว้คนข้างหน้าพร้อมไปด้วยก็ได้ เราปฏิบัติได้เท่าไรก็เป็นการแสดงตัวอย่างที่ดี ให้คนเห็นเอาอย่างแล้วเขาก็ทำตาม สอนเขาด้วยการปฏิบัติให้ดูว่าปฏิบัติอย่างนี้ อย่างนี้ เป็นการดับทุกข์ หรือถ้าดีกว่านั้นก็มีความสุขให้ดู มีความสุขสงบเย็นให้ดู เขาก็พอใจที่จะปฏิบัติตาม อันนี้มันดีกว่าปฏิบัติให้ดูเสียอีก แต่ว่าปฏิบัติให้ดู ก็ยังดีกว่าสอนแต่ปาก สอนแต่ปากมันก็ดีเหมือนกันมันไม่ใช่ไม่ดี แต่ถ้าจะดีกว่านั้นก็ต้องปฏิบัติให้ดู ก็ดีกว่านั้นก็มีความสุขให้ดู ขอให้รับรู้หน้าที่ของพระสงฆ์ไว้ในลักษณะเช่นนี้ ขอให้ทุกๆองค์ทำหน้าที่ของพระสงฆ์ให้สุดความสามารถที่จะทำได้ คือ เพื่อประโยชน์ตนทำ เพื่อประโยชน์พระศาสนาก็ทำ และมีประโยชน์แฝงอะไรอีกบางอย่างเช่นว่า บวชนี่ เรียนนี่ ปฏิบัตินี่ เพื่อให้สนองคุณบิดามารดา ตอบแทนพระคุณบิดามารดาด้วยก็ยังได้ ฝากไว้ด้วย เพราะว่าการตอบแทนพระคุณบิดามารดานั่น ไม่มีอะไรดีไปกว่าทำให้บิดามารดาชื่นอกชื่นใจเพราะมีธรรมะ หรือว่าลูกมันได้บวช พ่อแม่มันก็ดีใจ มีธรรมะข้อนี้ก็ยังดี หรือว่าถ้าลูกรู้ธรรมะ แล้วไปสอนพ่อแม่ให้รู้ธรรมะตามด้วยก็ยิ่งดีใหญ่ เค้าเรียกว่าโปรดบิดามารดา อันนี้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็ควรกระทำอย่างยิ่ง เรื่องส่วนรวม ส่วนผู้อื่นก็ทำ สืบอายุพระศาสนาไว้ให้ ทำประโยชน์ทีเดียวทั้งโลก ถ้าว่าทำให้โลกไม่ล่มจมได้ ทุกคนที่อยู่ในโลกก็ได้รับประโยชน์ เราเพียงแต่ทำให้โลกอยู่รอดได้ ก็เท่ากับทำบุญคุณให้คนทั้งหลายทั่วโลก ก็น่ากระทำ มันมีผลเกินคาด ทำประโยชน์แก่คนทั้งโลก แต่ก็ไม่ค่อยมีใครจะคิด คิดทำประโยชน์ส่วนตัวเสียมากกว่า ประโยชน์ส่วนตัวก็มักจะคิดแคบๆ เรื่องทางวัตถุ เรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องข้าวเรื่องของ เรื่องลูกเรื่องเมียให้คิดกันเท่านั้น ไม่ได้คิดให้มันกว้างกว่านั้นหรือไกลกว่านั้น พระสงฆ์มีโอกาส มีความสามารถที่จะทำได้มากกว่านั้นให้เป็นประโยชน์แก่คนทั้งโลก มันอาจจะเลยไปถึงเทวโลก มารโลก พรหมโลกด้วยก็ได้ ถ้าปฏิบัติหน้าที่ให้สืบธรรมะเอาไว้นี่ เป็นประโยชน์กับพวกเทวดา มาร พรหมด้วยเลยก็ได้ ทุกโลกก็ได้ นี่ก็ขอให้ทุกองค์ที่บวชแล้วที่ได้เข้ามาอยู่ในวงของสงฆ์แล้ว สงฆ์ในพระพุทธศาสนาคืออย่างที่ว่า คำว่าสงฆ์หมายถึง ฝูงวัว ฝูงควายก็ได้ แปลว่า หมู่คณะ แต่นี่ไม่เอา เราหมายถึง สงฆ์ที่นับถือ หลักพระพุทธศาสนา เป็นพระสงฆ์ ในศาสนาของสมเด็จพระศาสดา เพราะว่าโดยสิทธิเสรีภาพโดยธรรมชาติ ใครจะเป็นภิกษุตามใจชอบก็ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะสงฆ์นี้ก็ได้ มันก็เป็นภิกษุตามแบบของมัน แต่ว่ามันไม่ได้ว่าสงฆ์ในแบบพระพุทธศาสนา ก็ต้องยอมรับปฏิบัติวินัย ธรรมะถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนาก็จะได้ชื่อว่ามีความเป็นสงฆ์ในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสนา ถ้าทำผิดเด็ดขาดก็เลิกกัน นั่นก็ไม่เป็นภิกษุในพระศาสนาต่อไป ไปเป็นอย่างอื่น ไปเป็นฆราวาส เป็นอะไรก็ได้ แต่ถ้าเป็นสงฆ์ในหมู่สงฆ์ เป็นภิกษุสงฆ์ก็ต้องปฏิบัติครบถ้วนถูกต้อง ที่ว่ามันจะเป็นหลักสูงสุด เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็หมายถึงผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในการมีธรรมะโดยแท้จริง
เอาละเป็นอันว่าเรามารู้จักพระพุทธศาสนาโดยวัตถุ วัตถุ คำว่าวัตถุก็แปลว่า ที่ตั้ง หรือรากฐานอันมั่นคง มีวัตถุอยู่สามคือพระพุทธ คือพระธรรม คือพระสงฆ์ คือวัตถุนี้ตั้งอยู่ในวัตถุนี้ ดำรงอยู่โดยวัตถุนี้จะมีพระพุทธศาสนาเต็มที่ เต็มเนื้อเต็มตัว เต็มจิตเต็มใจ ขอให้เข้าใจให้ดี ขอให้ทำให้ได้ ให้มันมีวัตถุทั้งสามนี้มีอยู่ในจิตใจ โดยหัวใจแล้วมันเหมือนกันแหละคือ มีความสะอาด สว่าง สงบ ก็จะเป็นพระพุทธ เป็นพระธรรม เป็นพระสงฆ์ เอาความสะอาด สว่าง สงบเป็นหลักเถอะ พระพุทธเจ้าก็หัวใจสะอาด สว่าง สงบ พระธรรมคือ ความหมายแห่งความสะอาด สว่าง สงบ พระสงฆ์คือ มีหัวใจสะอาด สว่าง สงบ มีหัวใจที่สะอาด สว่าง สงบ ก็จะเป็นได้ทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ หรือจะเรียกได้ว่าเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ในเนื้อในตัว ในจิตในใจ สนใจในเรื่องความสะอาด สว่าง สงบ ศึกษาแล้วปฏิบัติให้มีอยู่จริง จึงจะเรียกได้ว่ามีพระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ พูดเอาเปรียบหน่อยก็ว่ามีพระศาสนาทั้งสิ้นอยู่ในเนื้อในตัว มีคำไพเราะอีกคำที่เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ แปลว่า การประพฤติอันประเสริฐ คือ ดับทุกข์ได้ เรามีพรหมจรรย์คือ ดับทุกข์ได้ อยู่ในเนื้ออยู่ในตัว ความหมายเดียวกับที่มีพระศาสนาอยู่ในเนื้ออยู่ในตัว ศาสนา พรหมจรรย์ พรหมจรรย์ ศาสนาเป็นสิ่งเดียวกัน มีพระศาสนาทั้งหมดทั้งสิ้นอยู่ในเนื้อในตัว โดยมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ มีความสะอาด สว่าง สงบอยู่ทั้งหมด ก็หมด หมดปัญหาที่เกี่ยวกับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มีอยู่อย่างนี้ เรื่องราวมีอยู่อย่างนี้ ขอให้พยายามให้มี ตามนัยยะที่ว่ามาที่กล่าวมา ขอให้เจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา โดยการมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างนี้ด้วยกันทุกๆองค์ ขอยุติการบรรยายเพราะหมดเวลา