แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ อาตมาจะได้วิสัชนา พระธรรมเทศนา เป็นเครื่องประดับสติปัญญา รวมทั้งศรัทธาความเชื่อ วิริยะ ความพากเพียรของท่านทั้งหลายผู้เป็นพุทธบริษัท ให้เจริญงอกงามก้าวหน้าตามทางแห่งพระศาสนาของสมเด็จพระบรมศาสดา อันเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย กว่าจะยุติลงด้วยความสมควรแก่เวลาธรรมเทศนาในโอกาสนี้ ท่านทั้งหลายก็ทราบได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าปรารภอาสาฬหบูชาซึ่งเวียนมาครบรอบแต่ละปีๆ วันนี้เราจะประกอบพิธีอาสาฬหบูชาเพื่อให้สำเร็จประโยชน์เต็มหรือมากเท่าที่จะมากได้ ฉะนั้นจึงต้องทำความเข้าใจแก่กันและกันก่อน ดังนั้นธรรมเทศนานี้จึงเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่กิจกรรมนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายตั้งใจฟังให้ดีๆ การกระทำก็จะมีประโยชน์จริงหรือคุ้มค่าของเวลา ท่านทั้งหลายเป็นอันมากมาจากที่ไกล ถ้าไม่ได้อะไรคุ้มกัน มันจะเป็นอย่างไรก็ลองคิดดู มันน่าเวทนา หรือว่าน่าสงสาร น่าหัวเราะ น่าอะไรไปตามเรื่อง จึงขอให้สนใจเป็นพิเศษ ให้สำเร็จประโยชน์ คือให้ได้อะไรที่คุ้มกันกับการมา
ข้อแรกเราประกอบพิธีถือเป็นการต้อนรับกิจกรรมที่มีอยู่ในวันอาสาฬหปุณณมี เช่นวันนี้ คือเป็นวันที่พระพุทธองค์ประกาศพระธรรมจักรให้เป็นไปในโลก ซึ่งไม่มีใครต้านทานได้ จะเป็นสมณะ หรือเป็นพราหมณ์ เป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นอะไรที่ไหนก็สุดแท้ ทั่วไปในจักรวาลนี้ไม่มีใครต้านทานได้ ข้อนี้ก็น่าจะรู้เหมือนกันทำไมจึงมีพระบาลีว่าไม่มีใครต้านทานได้ ก็เพราะว่าเป็นความจริง เป็นความจริงที่ยิ่งพิสูจน์ยิ่งเห็นจริง ยิ่งพิสูจน์ผู้พิสูจน์ก็ยิ่งพ่ายแพ้แก่ความจริง ในตามความเป็นจริงนั้นมันก็มีอยู่ว่า มีสมณะ หรือพราหมณ์ ครูบาคณาจารย์ทั้งหลายเป็นอันมาก มีอยู่ในประเทศอินเดียในสมัยนั้น ซึ่งพร้อมที่จะคัดค้านต้านทานอยู่เสมอ พระพุทธองค์ก็ได้ทรงอุบัติขึ้นมาเพื่อสอนธรรมะอันใหม่แปลกไปจากเดิม ถ้ากล่าวโดยสรุปท่านทั้งหลายควรจะจำไว้สั้นๆว่า ลัทธิของเดิมนั้นเขามีสิ่งที่เรียกว่า อาตมัน ไปท่องเที่ยวกันในวัฏสงสาร จนรู้ดี รู้ชั่ว พ้นออกไปได้จากดีจากชั่วเหมือนกัน แล้วก็ไปอยู่เป็นตัวตนนิรันดร จำไว้ตรงนี้ มันไปอยู่เป็นตัวตนนิรันดร ส่วนพระพุทธองค์ได้ทรงอุบัติขึ้นมาแล้วตรัสสอนอย่างเดียวกันแหละ แต่ไม่มีอัตตาหรอก มีแต่จิต จิตทั้งนั้นแหละ จิตนี้เป็นผู้รู้สึกสิ่งทั้งปวง รู้จักสิ่งทั้งปวงจนไม่ยึดดี ยึดชั่ว ไม่ติดอยู่ในดี ในชั่ว หลุดพ้นจากดี จากชั่วเหมือนกัน แต่แล้วมันกลายเป็นความว่างนิรันดร คือฝ่ายโน้น ฝ่ายพราหมณ์ไป ฮินดูอะไรก็ตาม เขาไปจบกันที่ตัวตน มีตัวตนนิรันดร ฝ่ายพุทธนี้มีจุดจบว่าว่างนิรันดร ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ว่างจากตัวตน ว่างจากปัญหาทั้งหลายทั้งปวง จิตเข้าถึงความว่างนิรันดร จุดจบมันต่างกันอย่างนั้น จำไว้ง่ายๆก็จะไม่ต้องเถียงกัน อันหนึ่งมันไปสู่ตัวตนนิรันดร อันนี้มันไปสู่ความว่างนิรันดร พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสอย่างนี้ เอ้า,ใครจะค้านกับท่าน มันจะปรากฏว่าไม่มีใครค้าน แต่ที่ท่านตรัสนี้ ท่านตรัสเรื่องอริยสัจ ตรัสเรื่องอริยสัจ ไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ไม่ต้องพูดเรื่องตายแล้ว หรือหลังตาย หรือก่อนตายไม่ต้องพูดหรอก ว่าแต่มันไม่มีทุกข์ด้วยประการทั้งปวง เมื่อดำรงชีวิตอยู่ ในหลักธรรมอันนี้ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ นี่ ก็ไม่มีความทุกข์ ก็ไม่มีความทุกข์ด้วยประการทั้งปวง แล้วก็เลิกกัน เรียกว่ามันไม่มีตัวตนเหลืออยู่ นิรันดรอะไร สำหรับจะยึดมั่นถือมั่น นี่ความต่างกัน เมื่อธรรมจักรของพระองค์ประกาศออกไปว่าอย่างนี้ ก็ไม่มีลัทธิไหน คณะไหน ศาสดาไหน จะคัดค้านได้ ตามบาลีว่า อัปปะฏิวัตติยัง คือให้ถอยกลับ อันนี้พุ่งออกไป แล้วก็ไม่มีอะไรตีโต้ให้ถอยกลับได้นี่ บาลีว่าอย่างนี้ พระพุทธองค์ได้ประกาศธรรมจักรออกไปแล้ว ไม่มีใครตีโต้ให้ถอยกลับได้ ไม่ว่าพวกนั้นจะเป็นสมณะ เป็นพราหมณ์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นอะไรก็สุดแท้
ใจความสำคัญของวันอาสาฬหปุณณมี คือวันเพ็ญเช่นวันนี้ มันมีอย่างนี้ พระองค์ประกาศธรรมจักร เหมือนกับประกาศอาณาอำนาจ การเป็นอำนาจทางจิต ทางวิญญาณ ฉะนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญสำหรับคนมีปัญญา คนโง่ก็ไม่มีความหมายอะไร มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นสำหรับคนโง่ แต่มันจะมีความหมายมากสำหรับคนมีปัญญา ว่าต่อไปนี้จะชนะความทุกข์ ถึงที่สุด พูดกันตรงๆอย่างลับหลังไม่เกรงใจก็พูดว่า เขาไปจบที่ตัวตนถาวรนิรันดร มันก็มีตัวตนถาวรนิรันดรนั่นแหละที่อยู่เป็นภาระ ทีนี้เราเลิกไม่มีตัวตนเสียตั้งแต่ต้น มีแต่จิตหลุดพ้นสู่ความว่างถึงที่สุด ว่างจากกิเลส ว่างจากทุกข์ ว่างจากตัวตน ว่างจากปัญหา ว่างจากทุกอย่าง ก็เรียกว่านิพพานๆ ถึงได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย แล้วก็ไม่ต้องตายก็ยังถึงได้ ถ้าถึงแล้วก็ไม่ต้องตาย ถึงความว่างจากตัวตน หลักเกณฑ์อย่างนี้ คำสอนอย่างนี้ยังไม่มีใครสอน ที่ก่อนหน้านั้นไม่ได้สอนกันถึงขนาดนี้ แม้คำสอนที่ว่าหลุดพ้นไปเป็นตัวตนสมบูรณ์นิรันดรนั้นก็เป็นคำสอนที่หลังสุดอยู่เหมือนกัน พระพุทธเจ้ายังหลังไปกว่านั้นอีก ก่อนนั้นก็มีไปตามเรื่องของเขา เชื่ออะไรก็เคารพบูชา บวงสรวง อ้อนวอน สิ่งเหล่านั้นเป็นพวกๆไป
จะยกตัวอย่างอีกสักข้อหนึ่ง ที่ว่าก่อนนี้ ก่อนที่พระพุทธเจ้าเกิดมานี่ ในอินเดียเขาก็สอนกันเรื่องนรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้ากันอยู่ตลอดเวลา เป็นที่เชื่อถือกันทั่วไปๆในหมู่ประชาชนทั้งหลาย เปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านเกิดขึ้นในหมู่คนที่เขาเชื่อกันฝังหัวและแน่นแฟ้นอย่างนี้ ท่านก็ไม่ๆไปคัดค้าน ไม่ไปยกเลิกมันให้ป่วยการ ใช้สำนวนนั้นนะไปด้วยกันว่า ทำดีตายแล้วไปสุขคติ โลกสวรรค์ ทำชั่วตายแล้วไปทุกข์คติ วินิบาต นรก เขาก็พูดอย่างนี้ ไม่ต้องไปเถียงกันว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าจริงหรือไม่ ไม่พูด ไม่ต้องพูด เรื่องนี้ไม่ต้องพูด ต่อมาวันหนึ่ง จะเรียกว่า คืนดี วันดีคืนดีก็ได้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สฬายตนิ มยาทิฎฐา (นาทีที่ 22:42) นรกเป็นไปทางอายตนะทั้ง ๖ ฉันเห็นแล้ว มยาทิฎฐา (นาทีที่ 22:56) แปลว่าฉันเห็นแล้ว สฬายตนิ มยาทิฎฐา (นาทีที่ 22:59) สวรรค์ไปทางอายตนะทั้ง ๖ ฉันเห็นแล้ว นี่ลองคิดดู มีความหมายที่สำคัญพิเศษอยู่อย่างหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่กล่าวคำคัดค้าน ขัดแย้งแก่ใครๆ เขาจะว่าอย่างไรก็ไม่คัดค้าน ไม่ขัดแย้ง แต่ตัวเองจะต้องการพูดอะไรก็พูดออกไป ในลักษณะที่ไม่ต้องคัดค้าน ไม่ๆขัดแย้ง ไอ้พุทธบริษัทนอกคอก นอกรีตนะมันชอบคัดค้าน มันชอบขัดแย้งกัน มันคัดค้านกัน ทะเลาะกันเองนี่ ไม่ต้องพูดถึงกับพวกอื่นนะ แต่ในพวกกันมันก็ยังคัดค้านกัน ไม่เอาอย่างพระพุทธเจ้า จะไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใครๆ นี่มันดูว่า เขาพูดกันอยู่ว่านรกอยู่ใต้ดิน สวรรค์อยู่บนฟ้าก็ตามใจ ก็บอกว่ามันอยู่อายตนะ แล้วฉันก็เห็นแล้วด้วย แล้วก็อธิบายไปตามที่จะเป็นอย่างไร คือว่าเมื่อมันทำผิด มีผัสสะผิด เวทนาผิด อะไรผิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เป็นนรกขึ้นมาที่นั่น เวลานั้น ที่นั่น เดี๋ยวนั้น แก่บุคคลนั้นตามสมควร แก่ความผิด ไม่ต้องรอก็ตายแล้ว สวรรค์ก็เหมือนกัน เมื่อปฏิบัติถูกต้องให้(นาทีที่ 24:54) ผัสสะ เวทนา แล้วมันก็ไม่มีความทุกข์นะ เป็นที่พอใจ เป็นสวรรค์อยู่ที่นั่น แม้แต่อย่างนี้ เท่านี้ เพียงเท่านี้ เรื่องเพียงเท่านี้ก็ไม่มีใครคัดค้านหรือขัดแย้งได้ ก็มันเห็นอยู่ด้วยตา เห็นอยู่ตำตา เห็นอยู่ด้วยตา ว่าผิดที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นนรก ถูกที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสวรรค์ มันต้องเชื่อใครละ มันไม่ต้องเชื่อใคร นี่เขาเรียกว่าเชื่อตนเองๆ ตามหลักกาลามสูตร ขอร้องว่าให้ช่วยกันศึกษาดีๆ มีประโยชน์มาก
ทีนี้ขอโอกาสพูดเรื่องส่วนตัวสักหน่อยนะ มันเกี่ยวข้องกัน อาตมาบอกว่านรกมันอยู่ที่เมื่อมันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง สวรรค์มันอยู่เมื่อชอบใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเองได้ พูดให้ใกล้เข้าไปอีก ความหมายก็ไม่ต่างจากที่พระพุทธเจ้า เมื่อมันเกลียดน้ำหน้าตัวเอง มองดูตัวเองแล้วมีแต่สิ่งน่าเกลียด มันก็เป็นนรกขึ้นมาทันทีที่นี่และเดี๋ยวนี้ พอมองดูตัวเองแล้วพอใจ ถูกต้อง พอใจ ยกมือไหว้ตัวเองได้ มันก็เป็นสวรรค์ทันที แต่มีคนเขียนจดหมายมาด่า ว่าท่านพุทธทาสเป็นมิจฉาทิฐิ ยกเลิกนรก ยกเลิกสวรรค์ เขียนด่าตามหน้าหนังสือพิมพ์บางฉบับก็มี คิดดูสิ นี่เรียกว่ามันยังต่างกัน แต่มันจริงหรือไม่จริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ใครจะชอบอย่างไรก็ตัดสินใจเอาเองว่านรกอยู่ที่ไหน มันจะอยู่ที่นรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า หรือว่าอยู่ที่อายตนะ ถูกหรือผิด หรือว่ามันพอใจตัวเอง หรือว่ามันเกลียดตัวเอง นี่เป็นตัวอย่างที่ว่าคำว่าอันใครๆต้านทานให้หมุนกลับไม่ได้ สรุปความว่านรกของผู้มีปัญญามันอยู่ที่ในอก ในใจ ของคนโง่มันก็อยู่ใต้ดิน อยู่บนฟ้าไกลลิบ ได้กันก็ตายแล้ว ส่วนนรกสวรรค์ของผู้มีปัญญานั้นมันอยู่ในอกในใจ ได้กันที่นี่เดี๋ยวนี้และทันทีที่ทำอย่างนั้น ที่เป็นอย่างนั้น นี่มันก็คงจะช่วยได้บ้าง ให้พุทธบริษัทเรารู้กันขึ้นมาว่าพุทธศาสนานี้เป็นอย่างไร พุทธศาสนานี้เป็นอย่างไร มันๆๆกล่าวไปตามหลักของพุทธศาสนามันก็ไม่ถูก ไม่ตรงกัน แต่ว่าไม่กล่าวอย่างให้ขัดแย้งหรือทะเลาะกัน กล่าวไว้ให้เลือกเอาเอง ชอบใจอย่างไรก็เอาอย่างนั้น นี่เป็นตัวอย่างของคำว่า ปะวัตติตังอัปปะฏิวัตติยั สะมะเณนะ วา ประกาศไปแล้วไม่มีใครต่อต้านได้ในโลก ในโลกทั้งจักรวาล
มีเหตุการณ์สำคัญที่พุทธบริษัทจะต้องเอามาทำไว้ในใจ และก็ให้สำเร็จประโยชน์ต่อไป คือดับทุกข์ของตน แล้วก็บูชาๆความประเสริฐ ความมีประโยชน์ที่สุดสำหรับสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสในวันนี้ คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร และน่าบูชาอย่างยิ่งก็คือ เป็นการประกาศชัยชนะของมนุษย์ที่พ่ายแก้แก่ความทุกข์ตลอดมา เดี๋ยวมีธรรมจักรชนิดที่ทำลายความทุกข์นั้นได้ และยังมีส่วนที่ว่าสูงสุดขึ้นไป จนถึงที่สุดไม่มีใครจะบัญญัติคำสอนๆใดๆสูงไปกว่านี้ได้ มันสูงสุดอย่างนั้น นี่เรียกว่าควรบูชา ฉะนั้นเราจึงมาทำการบูชากัน ไม่ใช่หลับหู หลับตา หรือบูชาเป็นพิธีรีตอง สนุกสนาน สรวลเส เฮฮา อย่างนั้นไม่ถูก ไม่เป็นพุทธบริษัท ต้องบูชาด้วยความรู้ถูกต้อง พอใจถือเอาเป็นสรณะ จึงจะเรียกว่าบูชาที่แท้จริง
เราจงทำในใจให้ถูกต้อง คือเข้าใจเรื่องนี้ พอใจเรื่องนี้ แล้วจึงจะเป็นการบูชา นี้เป็นข้อแรกที่ต้องทำความเข้าใจ ทีนี้ข้อถัดมาที่จะบอกให้ทราบกันว่าวันนี้ คือวันอาสาฬหบูชานี้ เป็นวันพระธรรม โดยเรียงลำดับมาว่าวันวิสาขบูชาเป็นวันพระพุทธเจ้า กำหนดไว้ว่าเป็นวันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า วันนั้นเป็นวันพระพุทธเจ้า ครั้นมาถึงวันนี้คือวันอาสาฬหบูชานี้เป็นวันพระธรรม คือวันที่พระพุทธองค์ได้ประกาศธรรมออกมาเป็นครั้งแรกในโลก จนได้นามว่าปฐมเทศนา คือ ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร นี่พระธรรมได้ถูกเปิดเผยขึ้นมาในโลกในลักษณะที่ผิดแปลกแตกต่างจากที่เขาเคยรู้กันมาก่อน หรือกำลังรู้กันอยู่ มันมีของแปลก ของใหม่ออกมา นี่คือตัวธรรมะ ที่แสดงออกมา เราไม่ต้องเชื่อตามใคร เรามีเหตุผลของเราเองที่จะถือว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม เป็นวันที่พระธรรมปรากฏออกมา แสดงธรรมจักรเสร็จแล้วมีผู้มีดวงตาเห็นธรรมเพียงองค์เดียว จะเรียกวันพระสงฆ์อย่างไรได้ ใครจะเรียกวันพระสงฆ์ก็ตามใจ อาตมาเห็นว่าวันนี้เป็นวันพระธรรม เพียงแต่พระธรรมได้ปรากฏออกมา ควรจะสนใจในสิ่งที่เรียกว่าพระธรรม เรียกว่าพระธรรมอันเป็นความหมายสำคัญของคำๆนี้ คือคำว่าพระธรรม ดูกันโดยทั่วไปในชั้นแรกก็ว่าพระธรรมได้ทำให้เกิดพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายขึ้นมา พระอรหันต์ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เกิดขึ้นมาในโลกนั่นก็เพราะธรรม เพราะพระธรรม เพราะรู้ธรรม เพราะตรัสรู้ธรรม วันรู้ธรรมเปลี่ยนแปลงไปตามธรรม นี่เรียกว่าพระธรรมได้ทำให้เกิดพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ พระธรรมนี้ยังเป็นทางมาแห่งความสงบสุข สันติสุขในโลก ท้งส่วนบุคคลและส่วนสังคม ถ้ามีธรรมะอยู่ก็จะมีสันติสุข ไม่ต้องเชื่อใครไปลองดูด้วยตนเอง ลองปฏิบัติธรรม มีธรรมะ ก็ปรากฏแก่ตนเองว่ามีสันติสุข นี่เป็นใจความสำคัญของคำว่าธรรม
ในลัทธิอื่นอีกหลายลัทธิเขาก็มีพระธรรมเหมือนกันแหละ ก็มีความสุขตามแบบนั้น แต่เราไม่ชอบใจ เราชอบใจพระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และถือว่าให้ได้บรรลุความสุขที่สมบูรณ์แท้จริงหรือสูงสุด อย่าเขลาไปนะว่าพระธรรมมีใช้แต่ในพระพุทธศาสนา เหมือนที่สอนในโรงเรียนนั้น ในโรงเรียนสอนหลับตาเด็กๆว่าธรรมะคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า หารู้ไม่ว่าในลัทธิอื่น ศาสนาอื่นเขาก็เรียกพระธรรมเหมือนกัน เขาเรียกธรรมตามแบบของเขา แล้วธรรมะๆนี่มีในคำพูดของมนุษย์ก่อนๆศาสนามันเกิดขึ้นมา เมื่อคนๆหนึ่งเขาได้มองเห็นสิ่งที่เรียกว่าหน้าที่ หน้าที่นี้จำเป็นสำหรับชีวิต เขาเรียกมันว่าธรรมะๆ คือหน้าที่ เขาเอาคำว่าธรรมะไปใช้ เพราะคำว่าธรรมะมันมีความหมายว่า ยกขึ้นไว้ ชูขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตกลงไป คำๆนี้มันมีความหมายอย่างนั้น เอาคำนี้มาเรียกสิ่งที่เขาสังเกตเห็นใหม่ คือหน้าที่ๆ ใครมีหน้าที่ ใครทำหน้าที่ หน้าที่ก็จับยึดขึ้นไว้ ไม่ให้พลัดตกลงไปในความทุกข์ ก็เรียกธรรมะๆ บอกกันมาเรื่อยๆ จนมาสูงขึ้นๆ เป็นลัทธิศีลธรรม ลัทธิศาสนา จนเป็นคำสูงสุดในพระพุทธศาสนา สามารถทำให้พ้นจากความทุกข์สิ้นเชิง สูงสุด สิ้นเชิง ธรรมะคือสิ่งที่ทำให้เกิดสันติสุขๆ มาเดี๋ยวนี้ก็อยากจะชี้ให้เห็นว่าธรรมะนั่นแหละเป็นตัวชีวิต ขาดธรรมะมันต้องตาย คือขาดหน้าที่ ขาดหน้าที่แล้วมันต้องตาย ไม่ทำหน้าที่ มือ ตีน แขน ขา ไม่ทำหน้าที่ ตับ ไต ไส้ พุง ไม่ทำหน้าที่ มันก็ตาย หรือว่าไอ้ตัวเซลล์ทั้งหลายที่ประกอบกันขึ้นเป็นชีวิตนี้มันหยุดทำหน้าที่ มันก็ตายวูบเดียว ฉะนั้นอยู่ด้วยการที่สิ่งทั้งปวงมันทำหน้าที่ๆ ธรรมะคือหน้าที่เป็นชีวิต เป็นคู่ชีวิต อยากให้ถือกันอย่างนี้ว่าธรรมะเป็นคู่ชีวิต คู่ชีวิตนะ คู่ชีวิตอย่างตัว คู่ผัวตัวเมียแยกกันอยู่ ๓ เดือนก็ไม่ตาย แต่คู่ชีวิตคือธรรม คือหน้าที่ เดี๋ยวเดียวก็ตาย พอหยุดทำหน้าที่ อย่างหยุดทำหน้าที่ของเซลล์ทั้งหลายก็ตายลูกเดียว วินาทีเดียว นี่ใครเป็นคู่ชีวิตกันแน่ คือหมายความว่าต้องมีอยู่กับชีวิต ชีวิตจึงจะมีอยู่ สิ่งนั้นคือคู่ชีวิต ฉะนั้นคู่ชีวิตอย่างยิ่งก็คือธรรมะ ออกไปจากชีวิตก็ตายทันที ควรจะรู้จักไว้ในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ทำให้มีธรรมะเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตอยู่ตลอดเวลา นี่ธรรมะๆ อย่าทำเล่นกับธรรมะ
เอ้า,ที่นี้มันยังมีพิเศษที่ว่า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราอย่างนี้ ผู้ใดไม่เห็นธรรม แม้จะจับจีวรของเราถือไว้ไปด้วย ไปไหนไปด้วยกัน จับจีวรไว้ไม่ปล่อยนี่ก็ยังไม่ชื่อว่าเห็นเรา ถ้าเขาไม่เห็นธรรม ต่อเมื่อเขาเห็นธรรม จึงจะเห็นเรา ไม่ต้องมาจับจีวร อยู่ที่ไหนด้วยกัน อยู่กันคนละยุค คนละสมัยก็ได้ เช่นอย่างเดี๋ยวนี้เห็นธรรม ก็ชื่อว่าเห็นพระพุทธองค์ นี่มันมีความสำคัญอย่างนี้ ว่าต่อเมื่อเห็นธรรมจึงจะเห็นพระพุทธองค์ ไม่เห็นธรรมก็คือไม่เห็นพระพุทธองค์ ไม่มีธรรมก็คือไม่มีพระพุทธองค์ ไม่มีอะไรมาช่วยดับทุกข์ ที่นี้ธรรมคืออะไร ธรรมนั้นคืออะไร มีตรัสไว้ในบาลีแห่งอื่นว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม เมื่อเห็นปฏิจจสมุปบาทเมื่อนั้นได้ชื่อว่าเห็นธรรม ไม่จำกัดว่าที่ไหนเมื่อไร เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วก็เห็นธรรม อะไรคือปฏิจจสมุปบาท คำนี้ตามตัวหนังสือมีใจความว่า อาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นมา อาการที่อาศัยกันแล้วดับลงไป ฟังให้ดี กริยาอาการที่มันอาศัยซึ่งกันและกันแล้วเกิดขึ้น หรือเมื่อจะดับอาศัยซึ่งกันและกันแล้วดับลง อาการนี้เรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นอาการนี้ ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ชื่อว่าเห็นธรรม มันก็เลยไปเข้ากับบทต้นว่า เห็นธรรม คือเห็นพระองค์ เห็นพระองค์คือเห็นธรรม ดังนั้นการเห็นปฏิจจสมุปบาทนั้นแหละคือเห็นพระพุทธองค์โดยแท้จริง ดูให้ดี ฟังให้ดี บางทีจะมีประโยชน์ที่สุดก็ได้
เมื่อเหลือบตาไปมองเห็นอาการที่มันอาศัยกันเกิดขึ้น อาการที่อาศัยกันและดับลงในสิ่งใด ก็เห็นสิ่งนั้นโดยชัดเจน โดยประจักษ์ ก็ชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเห็น เป็นการเห็นธรรมและได้เห็นพระองค์ มันเห็นได้ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ทุกเวลา แต่ว่าที่มันไม่เห็นก็เพราะว่ามันโง่ ตามันไม่ลืม มันไม่ลืมตา หรือคือมันไม่เข้าใจอะไร จะเห็นได้ว่าธาตุหลายๆธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อาศัยการเกิดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างอะไรขึ้นมาแล้ว แยกกันก็ดับไปอย่างนี้ก็ได้ และที่มันใกล้ชิดหน่อย ก็ว่าตากับรูปอาศัยกันเกิดจักษุวิญญาณ แล้วผัสสะมันก็เกิดขึ้นมา หรือว่าจะเห็นให้ละเอียดง่ายๆอย่างที่วิทยาศาสตร์เขาสอนกัน ธาตุหลายธาตุมาประชุมกันเข้าแล้วมันก็เกิดขึ้นมา เป็นธาตุ ๒ ธาตุ อาศัยกันแล้วก็เกิดเป็นน้ำขึ้นมา หรือว่าเกิดเป็นไฟขึ้นมา ให้เห็นว่ามีอยู่ในที่ทั่วไปๆ เห็นได้ในที่ทั่วไป เดี๋ยวนี้คุณจะมองไปทางไหน ดูไปที่ใบไม้ มันก็มีอะไรอาศัยกันๆแล้วเกิดขึ้นเป็นใบไม้อยู่ ถ้าไม่ได้อาศัยกันแล้วมันก็ไม่ได้เป็นใบไม้ขึ้นมา แล้วมันก็จะอาศัยกันดับลงไป หล่นลงไปที่เปลือกไม้ก็ดี นี่เรียกว่าโดยทั่วไป
แต่มันก็ไม่เห็นใช่ไหม มันไม่เห็นอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง เห็นเป็นเที่ยง เที่ยงแท้ แน่นอน ตายตัวอยู่ที่ตรงนั้น กลายเป็นโง่ ว่าเป็นของเที่ยงแท้ อยู่ตลอดเวลาไปซะอีก แทนที่จะเห็นว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ดูไปที่ต้นไม้ต้นนั้น คุณเห็น เอ้า, มันก็อยู่อย่างนั้น คงที่ตายตัวอยู่อย่างนั้น นี่มันไม่เห็น ถ้ามันเห็นว่าทุกๆส่วน ทุกๆเซลล์ ทุกๆอะไรของต้นไม้นั้น มันมีการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง คือความเปลี่ยนแปลง เพราะมีความเปลี่ยนแปลง มันจึงกว้างขวางออกไปได้ เซลล์นี้ดับไป เกิดเซลล์ ใหม่ใหญ่กว่า มากกว่า ต้นไม้ก็ใหญ่โตออกไป แม้ในสิ่งที่ไม่มีชีวิตมันก็อาศัยการเกิดขึ้น เป็นสิ่งใหม่แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป
ต้องศึกษากันหน่อยในสิ่งที่ไม่มีชีวิต ศึกษาอย่างวิทยาศาสตร์ ธาตุทั้งหลาย อย่างโบราณก็ว่าธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มาผสมกันก็เปลี่ยนรูป เป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ออกมาแล้วก็สลายแยกกัน ถ้าได้วิญญาณธาตุ อากาศธาตุ เข้าไปผสมด้วย กลายเป็นสิ่งมีชีวิต ธาตุทั้ง ๔ ก็เกิดวัตถุล้วนๆ ธาตุทั้ง ๖ ก็เกิดสิ่งที่มีชีวิต ทีนี้รวมกันเป็นคนก็ได้ เป็นสัตว์ก็ได้ เป็นต้นไม้ต้นไร่ก็ได้ บรรดาสิ่งที่มีชีวิต ใครสามารถหลับตาแล้วเห็นความเปลี่ยนแปลงปรุงแต่งของสิ่งเหล่านี้ ของธาตุเหล่านี้ปรุงแต่งกันอยู่ เป็นสิ่งที่มีชีวิต พรึบให้หมด ก็พรึบพรับไปทั่วไปหมดทั้งโลก ทั้งจักรวาล นั่นแหละเรียกว่าเห็น เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นอาการที่อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วดับลง มันแปลกหน่อยที่ว่าต้องหลับตา เห็นง่ายกว่าลืมตา ลืมตาก็เห็นไปทางหนึ่ง อาจจะโง่ จะผิดก็ได้ เห็นตายตัวอยู่อย่างนั้น เที่ยงแท้อยู่อย่างนั้น ถ้าหลับตาแล้วมองจะค่อยๆเห็น โอ้, มันเปลี่ยนแปลงจริง อาศัยกันเกิดของใหม่ๆๆ คือของเก่าดับของใหม่เกิดอย่างนี้ อย่างนี้เรียกว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ก็จำให้ดีเถิด ประโยชน์ มีประโยชน์ที่สุดแหละ คือเห็นพระพุทธเจ้านู่น คือเห็นสิ่งนี้ คือเห็นพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราไม่เห็นพระพุทธเจ้า คือไม่เห็นสิ่งนี้
แม้ที่สุดแต่ว่าในของที่ใกล้ตัวเรา อาหารการกินที่เราบริโภคนี่ มันก็เปลี่ยนแปลงไป เข้าไปในร่างกายมันก็เปลี่ยนแปลงไปเกิดเป็นเลือด เป็นเนื้อ เป็นอะไร ก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยไป อาศัยกันเกิดขึ้นอย่างนี้ อาศัยการดับลงอย่างนี้ เดี๋ยวก็ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะออกมา อะไรก็ตาม ขอให้มองเห็น อาศัยการเกิดขึ้น อาศัยการดับลงอยู่ในที่ทั่วๆไป สมมติว่าเอาดินมาก้อนหนึ่งวางไว้ตรงนั้นแล้วก็ดูอยู่ทุกวัน ก็จะเห็นว่ามันค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปจนไม่มีเหลือ เอาดอกไม้มาดอกวางไว้ตรงนั้น ทิ้งไว้มันก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปจนไม่มีเหลือ อาศัยการเกิดขึ้น เมื่อมันออกมาจากต้น มันออกมาเป็นดอกไม้ พอทิ้งไว้แล้วก็อาศัยการดับลง เปลี่ยนแปลงไปจนไม่มีเหลือ ข้อนี้คือความโง่สูงสุด มหาศาลที่สุด ใหญ่หลวงที่สุด ความโง่ของเรา ที่สุดมันก็อยู่ที่ตรงนี้ มันไม่เห็นอาศัยกันเกิดขึ้น มันไม่เห็นอาศัยกันดับไป มันเห็นเป็นเที่ยง เป็นตัวเป็นตน เที่ยงแท้เป็นตัวเป็นตนอย่างนั้นไปเรื่อย
ในร่างกายนี้ถ้าดูให้ดีมันมีแต่การอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงทุกเซลล์ ทุกกลุ่มของเซลล์ และกระทั่งทุกๆส่วนของเนื้อหนัง ร่างกาย ชีวิต มีแต่ส่วนที่อาศัยกันเกิดขึ้น ในระบบเลือดก็เป็นอย่างนั้น ในระบบเนื้อก็เป็นอย่างนั้น ในระบบลมก็เป็นอย่างนั้น เราหลับตาเห็นว่าในตัวเรานี้มีแต่การอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง บางคนง่วงนอนแล้ว พูดเรื่องอะไรก็ไม่รู้ มันจะเห็นได้อย่างไร มันจะเห็นได้อย่างไรว่าในตัวเรานี้เต็มไปด้วย อาการที่เรียกว่าอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง เอ้า, ข้างนอกจะเห็นกันง่ายกว่า ก็ดูสิ ก็ดูที่ตัวคนอื่นก็ได้ ดูที่สัตว์อื่นก็ได้ มีทั่วไปๆ ที่อาตมาจะระบุว่าทุกๆปรมาณู หรือทุกๆเซลล์ที่ประกอบกันขึ้นด้วยปรมาณู หรือว่าที่เนื้อ ที่ตัว ของเรานี้ ใช้ภาษาไทยพูดกันทีว่าทุกขุมขน ทุกขุมขนทั้งเนื้อทั้งตัว ทุกขุมขน แต่ละขุมขนแสดงอาการอาศัยการเกิดขึ้น อาศัยการดับลง อาศัยการเกิดขึ้น อาศัยการดับลง อยู่ทั่วทุกขุมขน อยู่ทั่วทุกขุมขน เห็นไม่เห็นก็ตามใจ ก็ดูเถิดมันจะเห็นได้ว่ามันมีอาการของปฏิจจสมุปบาททั่วทั้งตัวทุกขุมขน มีอะไรเกิดดับที่นั่น เกิดดับที่นั่น เกิดดับที่นั่น นี่แสดงว่าเราเห็นปฏิจจสมุปบาทได้ทุกขุมขน มันก็เท่ากับว่าเราเห็นพระพุทธเจ้าได้ทุกขุมขนของเรา ไม่มีใครเชื่อแล้ว ว่าบ้าอีกแล้ว ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขนของเราไม่มีใครเชื่อ เขาอุปโลกน์ให้เรามาเป็นคนสอนหลอกลวง สอนบ้าบอนี่ก็ๆเป็นอย่างนี้เป็นต้น
เดี๋ยวนี้จะบอกท่านทั้งหลายว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขน คนโง่มันไม่เห็นเอง อาการแห่ง ปฏิจจสมุปบาท มีอยู่ทั่วไปทุกขุมขน ทำไมไม่เห็น มีอาการแห่งนั้นที่ไหนก็เรียกว่ามีพระพุทธเจ้าที่นั่น นี่ตอนนี้ฟังยาก เพราะถ้ามันมีอาการเกิดขึ้น ดับลง อาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยดับลง แล้วมันก็ต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งแสดงอาการอย่างนั้น สิ่งใดอาการ แสดงอาการอย่างนั้น นั่นแหละคือพระพุทธเจ้า แต่ละปรมาณู มันก็แสดงอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง เมื่อทุกขุมขนก็มีสิ่งที่แสดงให้เห็นอาการเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น แล้วทำไมไม่เห็น ทำไมไม่เห็นว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกปรมาณู ทุกหนทุกแห่ง
เอ้า, ทีนี้อยากจะขอพูดไปถึงพวกเซนบ้าง พวกเซนเขาพูดเล่นพูดจริงกันก็ไม่รู้ เขาพูดทำนองท้าทาย หรือว่าจะเป็นเรื่องสอนคนโง่ก็ตามใจ เขาว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่ทั่วไปและแม้ในกองของสกปรก เช่น ขี้หมา เป็นต้น นี่เขาว่าในกองของสกปรกมันมีสิ่งที่อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง อยู่ตลอดเวลา ในกองของสกปรกที่เต็มไปด้วยความสกปรก จะดูด้วยตาไม่เห็น แต่ดูด้วยใจมันเห็น นี่มันก็ได้เปรียบสิ มันไม่เห็นของสกปรก มันเห็นพระพุทธเจ้าไปเสียหมดนี่ ไม่ว่ามองไปของสะอาด หรือของสกปรก มันเห็นพระพุทธเจ้าไปเสียหมด อาศัยการเกิดขึ้น อาศัยการดับไป เป็นพระพุทธเจ้าไปเสียหมด ไม่มีสะอาด ไม่มีสกปรก เป็นพระพุทธเจ้าไปเสียหมด เพราะอาการแห่งปฏิจจสมุปบาทมันมีอยู่ในทุกๆปรมาณูจริงๆ จึงพูดว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ว่างเว้น อย่างนี้ว่าอย่างไร อาตมาก็เอาพูดก็พลอยถูกด่าแทนพวกนั้นไปเสียอีก ที่ว่ามีแม้ในกองของสกปรก ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั่วไปๆ ไม่ว่าในที่อะไรๆ จะเรียกว่าสกปรก หรือสะอาด บรรดาสังขารทั้งหลาย ทุกๆปรมาณูของมันมีอาการอันนี้ สังขารทั้งปวงมีอาการอย่างนี้ทุกๆปรมาณู ดีไหม เห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่มีที่ว่าง
ถ้าว่าในอากาศนี่มีธาตุ ธาตุที่มันเป็นอากาศผสมกันเป็นอากาศ ปรมาณูของอากาศเหล่านี้ก็อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง พระพุทธเจ้าก็เต็มไปทั้งอากาศ คนเห็นอย่างนี้เป็นคนโง่หรือเป็นคนฉลาด จะเป็นที่ไหนก็ตามใจ ในน้ำก็ดี บนบกก็ดี บนฟ้าก็ดี ในสิ่งของก็ดี นอกสิ่งของก็ดี มีแต่อาการที่ว่าอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง คือปฏิจจสมุปบาท ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา เอาทำเล่นกับสิ่งที่เรียกว่าธรรมสิ ธรรมๆ เห็นธรรมแล้วเห็นพระพุทธองค์ คือเห็นทางปฏิจจสมุปบาท เห็นธรรมนั่นแหละคือพระพุทธองค์ เห็นธรรมคือเห็นพระพุทธองค์ เห็นปฏิจจสมุปบาท คือเห็นพระพุทธองค์ อาการของปฏิจจสมุปบาทมันเห็นได้ทั่วไปในที่ทุกหนทุกแห่ง ตรงไหนมันแสดงอาการอย่างนี้ ก็มีพระพุทธเจ้าอยู่ที่ตรงนั้น คือผู้แสดงอาคารของปฏิจจสมุปบาท ช่วยฟังให้ดี ผู้หรือสิ่งที่แสดงอาการของปฏิจจสมุปบาท มีอยู่ไหนก็มีพระพุทธเจ้าที่ตรงนั้น ที่สิ่งที่แสดงอาการของปฏิจจสมุปบาท รวยเลย มีพระพุทธเจ้าทุกหนทุกแห่งเต็มไปหมด
เราหายใจ พระพุทธเจ้า หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้าออกเป็นพระพุทธเจ้า แม้ในลมหายใจมันก็เป็นอย่างนั้น หายใจเข้าออกเป็นพระพุทธเจ้าไปหมด ดีไม่ดี ไม่เข้าใจก็ว่าบ้า แปลว่าธรรมะที่มีอยู่เป็นบาลี เป็นหลักฐาน มันปรากฏอยู่อย่างนี้ ว่าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ก็เห็นด้วยอาการของปฏิจจสมุปบาท ในลมหายใจ ที่หายใจเข้าอยู่ๆ ออกอยู่ หายใจเข้าออกอยู่ก็เป็นพระพุทธเจ้าทั้งนั้นเลย แต่ละปรมาณู อณู ของมันมีอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลง รวยพระพุทธเจ้า เอาหรือไม่เอาก็ตามใจ บางทีจะว่าบ้าบอเสียอีก หรือเอาอะไรมาพูดก็ไม่รู้ แต่ก็ต้องเอามาพูดแหละก็เพราะว่า ไอ้สิ่งที่มันเขียนอยู่ในพระบาลีก็มีอย่างนี้ แล้วเอามา เอาพระบาลี คัมภีร์ออกไปเสีย ดูเอง ดูด้วยตนเองๆ ไม่ต้องอาศัยบาลี มันก็เห็นอย่างนี้ๆ มันไม่ได้เห็นอย่างอื่น เห็นการอาศัยกันเกิดขึ้น การอาศัยดับลง แล้วก็เห็นพระพุทธเจ้า คือเห็นความจริงๆ ว่าไม่ใช่ตัวตน เห็นความจริงอย่างยิ่งว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี่ อยากเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็เห็นอย่างนี้ ก็เห็นอย่างนี้กันเถิด เมื่อไม่เข้าใจมันก็จะหาว่าเป็นคำพูดบ้าที่สุด ที่มีคนว่าในสากลจักรวาลนี้เต็มไปด้วยพระพุทธเจ้า เต็มไปด้วยพระพุทธเจ้า มันก็ไม่ฟังถูก มันไม่ฟังออกว่าอะไร แต่คนที่ฟังออกมันก็ว่า โอ้, เต็มไปด้วยอาการอาศัยกันเกิดขึ้นอาศัยกันดับลง อาศัยกันเกิดขึ้นเต็มไปทั้งจักรวาล คืออาการของปฏิจจสมุปบาท มีสิ่งที่แสดงอาการนี้ สิ่งนั้นคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเลยเต็มไปทั้งสากล จักรวาล ดีไหมเรามีพระพุทธเจ้ากัน เต็มเนื้อเต็มตัว แม้แต่ลมหายใจเข้าออกก็เต็มไปด้วยพระพุทธเจ้า เต็มไปดีไหม
แต่ว่ามันก็โง่ มันก็ไม่เห็น มันก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันไม่ได้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เบื่อหน่ายคลายกำหนัดในสิ่งที่ยึดถือเป็นตัวตน มันโง่เหลือที่จะโง่ ยึดถือว่ากลุ่มสังขารทั้งหมดนี้คือ ตัวกู คือตัวกู นี้คือตัวตน นี้คือตัวกู นี้คือตัวตน มิได้เห็นว่าเป็นเพียงสักว่าธาตุ ตามธรรมชาติ มีอนุภาคน้อยๆที่สุดที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นร่างกาย เป็นไอ้นี้ แต่ละอันก็เป็นการเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป ถ้าเห็นอย่างนี้มันก็เห็นธรรมะ เห็นความจริง ไม่ยึดมั่นถือมั่นสิ่งใดโดยความเป็นตัวตน หรือของตน ลองจำไว้สักคำว่า ถ้าว่ามันรู้ธรรมะจริง มันจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเหลียวดูไปทางไหน เพราะมีอาการของปฏิจจสมุปบาท
ขอแทรกตรงนี้หน่อยนะ ว่าท่านเข้าใจเรื่องนี้ ถ้าเข้าใจที่กำลังพูดนี้ คุ้มๆค่าเวลาที่มาจากจังหวัดไกลๆ เสียค่ารถแพง เสียเวลามาก เหนื่อยมาก จะคุ้มค่า ถ้าเข้าใจสิ่งที่กำลังพูดนี้ เห็นปฏิจจสมุปบาทด้วยตนเองจนไม่ต้องเชื่อใคร นี่คือหลักพระพุทธศาสนาที่ว่าไม่ต้องเชื่อใคร ไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเชื่อพระไตรปิฏก ไม่ต้องเชื่อครูบาอาจารย์ ไม่ต้องเชื่อใคร ที่กล่าวไว้ใน กาลามสูตร ขอให้ไปทบทวนอ่านดูอีกที เชื่อที่ตัวเห็นอยู่เอง เห็นอยู่เอง ว่ามันเป็นอยู่อย่างนี้ มันเป็นทุกข์ขึ้นมาเพราะเหตุนี้ มันไม่ดับทุกข์เพราะเหตุนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ เชื่อตัวเองๆ เห็นด้วยตนเอง เชื่อตัวเอง เชื่อตัวเอง โดยการแสดงของพระพุทธเจ้า ก็พูดแล้วพระพุทธเจ้ามีอยู่ในทุกหนทุกแห่ง แสดงให้เห็นอยู่ เกิดขึ้น ดับไป พระพุทธเจ้าแสดงให้เห็นอยู่ไอ้อาการอย่างนั้น เห็นอยู่มันก็เชื่ออาการนั้น ก็เชื่อพระพุทธเจ้าโดยตรงเลย แต่พระพุทธเจ้าห้ามว่าไม่ให้เชื่อพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นบุคคล หรือว่าเป็นพระคัมภีร์ ให้เชื่อการเห็นของตัวเองๆ เชื่อทั้งหมดด้วยจิตใจ ไม่ต้องเชื่อเพราะว่าเขียนไว้ในคัมภีร์ หรือว่าได้ยินอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าเรื่องมันตรงกันนะ ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์หรือที่พระพุทธเจ้าจะตรัสออกมา มันก็ตรงอย่างเดียวกับที่เราเห็นเอง เห็นด้วยตนเอง ใช้ได้ แต่ว่าถ้ายังไม่เห็นเอง ไม่สำเร็จประโยชน์นะ ยังได้ยินแต่พระพุทธเจ้าตรัส หรือเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ยังไม่สำเร็จประโยชน์ ยังดับทุกข์ไม่ได้ จนกว่าจะเห็นด้วยตนเอง ว่ามันเกิด ดับ เกิด ดับ อย่างนี้จริง มีอาการอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงไป ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าที่ไหน ทุกๆปรมาณูที่ประกอบกันขึ้นเป็นจักรวาล เอ้า, มันเป็นอย่างนี้เองโดยธรรมธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้ ข้อนี้ก็หมายถึงข้อที่จะบอกว่ามันเป็นอย่างนี้เองโดยธรรมชาติ มันเป็นอย่างนี้เองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องมีพระเป็นเจ้าที่ไหนมาทำให้เป็นอย่างนี้ ไม่ต้องอาศัยเทวดาที่ไหนมาทำเป็นอย่างนี้ อาการที่มันอาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงมันเป็นของมันเอง โดยกฎของธรรมชาติ ไม่ต้องอาศัยว่าพระเจ้ามาช่วยทำ เทวดามาช่วยทำ ผีสางมาช่วยทำ
ทีนี้เรื่องมันก็เกี่ยวขึ้นมาถึงว่ามันปรุงแต่งกันจนเกิดเป็นความทุกข์ หรือๆความสุขก็ตาม แล้วแต่จะเรียก มันมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุทุกธาตุทั้งหลายอยู่ตามธรรมชาติ คือมันมีหลายธาตุอย่างนั้น ถ้ามันมาอาศัยกันมันเนื่องกันในการเกิดขึ้นดับลงของมันเข้ามาเนื่องกัน มีการปรุงแต่งกันมันเกิดของใหม่ขึ้นมา จากธาตุมันก็เกิดเซลล์ที่มีชีวิตขึ้นมา เซลล์เล็กๆที่มีชีวิตขึ้นมาหลายๆเซลล์แล้วเป็นกลุ่มแห่งเซลล์ มีกลุ่มแห่งเซลล์เกิดขึ้นในชีวิต เป็นระบบขยายตัวออกไป มันก็เกิดระบบประสาท สำหรับรู้อารมณ์ขึ้นมา ระบบประสาทมันก็เกิดขึ้นโดยที่พระเจ้าไม่ต้องมาช่วยทำให้หรอก มันเป็นของมันเองได้โดยธรรมชาติ เมื่อมันมีระบบประสาทสำหรับรู้สึกแล้ว มันก็หนีไม่พ้นๆ มันช่วยไม่ได้ที่มันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ หรือสัมผัส เพราะว่าสิ่งที่จะเข้ามาถูกกับระบบประสาทมันมีอยู่ทั่วไป คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ทั้ง ๖ อย่างนี้มีอยู่ในที่ทั่วไป มันก็ง่ายนิดเดียวที่จะมากระทบ กระทบกับระบบประสาท ดังนั้นสิ่งที่เรียกว่า สัมผัส หรือผัสสะ มันก็มีขึ้นมาอย่างที่ช่วยไม่ได้ เมื่อมีระบบประสาทแล้ว ทำอย่างไรเสียมันก็ต้องมีสัมผัสเป็นแน่นอน เพราะว่าสิ่งที่จะมาสัมผัสนั้นมันมีอยู่ทั่วไปหมด จะทำอย่างไร ครั้นเมื่อมีการสัมผัสแล้ว ทำอย่างไรเสียก็ต้องมีเวทนา ไม่มีใครห้ามได้ ไม่มีใครมาช่วยได้ ที่จะมาห้ามไม่ให้เกิดเวทนา มันมีสัมผัสแล้วมันก็มีเวทนา ไม่ต้องอาศัยพระเจ้า มีสัมผัสแล้วมันก็มีเวทนา มีเวทนาแล้วมันก็ต้องมีตัณหา อยากไปตามอำนาจแห่งเวทนานั้น แล้วก็มีอุปาทาน ยึดมั่น ถือมั่น เป็นตัวกู เป็นของกู พอมันมีเวทนาแล้วมันก็เกิดตัวกู ผู้เป็นเจ้าของเวทนา นี่เป็นความลับของความที่ว่ามันไม่ใช่ตัวตน ตัวตน ตัวกู เกิดขึ้นจากความโง่ ที่โง่มาจากเวทนา เช่นพอเจ็บขึ้นมา มันก็เกิดความรู้สึกตัวกูผู้เจ็บ กูเจ็บขึ้นมา เคี้ยวอาหารอร่อยอยู่ในปากตามระบบประสาทเท่านั้นแหละ พออร่อยครอบงำแล้ว ก็เกิดตัวกูผู้อร่อยขึ้นมา นี่เกิดความรักขึ้นมาในแล้ว มันก็จะเกิดตัวกูผู้รัก เกลียดขึ้นมาในใจแล้ว มันก็เกิดตัวกูผู้เกลียด ไอ้ตัวกูนี้มันมาทีหลัง เป็นปัญหาเป็นความทุกข์ยากลำบากเมื่อมันเกิดตัวกูนี้แหละ อย่าให้มันเกิดตัวกูแล้วมันก็ไม่มีปัญหาอะไร
มันเป็นอย่างนี้ โดยที่ว่าตามธรรมชาติ จะมีพระเป็นเจ้า หรือไม่มีพระเป็นเจ้า มันก็เป็นอย่างนี้ จะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น หรือพระพุทธเจ้าไม่เกิดขึ้น มันก็เป็นอย่างนี้ ไม่เกี่ยวกับผีสางเทวดา ไม่เกี่ยวกับโชคชะตาราศี ไม่เกี่ยวกับดวงดาวบนสวรรค์ ไม่เกี่ยวกับหมอดู ไม่เกี่ยวกับอะไรทุกอย่าง ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ ไม่เกี่ยวกับการเมือง ไม่เกี่ยวกับความมั่งมี หรือยากจน เข็ญใจอะไร ไม่เกี่ยวกับความเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือเป็นมนุษย์ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ ตามธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ขอให้เห็นความจริงอันนี้ คือจะเห็นพระพุทธเจ้าเต็มไปหมดทั้งจักรวาลนี้ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น อาศัยกันแล้วดับลงในรูปแบบต่างๆกัน เป็นรูปธรรมก็มี เป็นนามธรรมก็มี เป็นกรรมก็มี เป็นวิบากก็มี เป็นได้ทุกอย่าง การที่อาศัยกันเกิดขึ้น อาศัยกันดับลงนี้ ในที่สุดก็เกิดความทุกข์ หรือความสุข แล้วแต่เรื่อง เป็นผลมาจากการปรุงแต่ง ขั้นสุดท้าย เกิดทุกข์ หรือสุข เกิดมาจากการปรุงแต่งอย่างนี้ ถ้ามันถูกต้องตามที่เป็นสุข ก็เรียกว่าเป็นสุข ถ้าถูกต้องตามที่เป็นทุกข์ ก็เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ชัดเจนว่า สุขและทุกข์ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่า สุขและทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระเจ้าบันดาล นี่ช่วยฟังกันไว้ดีๆ บรรดาที่นั่งอยู่ที่นี่อาจจะมีหลายคนที่เชื่อว่า สุข ทุกข์ เกิดมาจากกรรมเก่า มันค้านกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุข และทุกข์ ไม่ได้เกิดมาจากกรรมเก่า แต่ว่ามันเกิดมาจากการทำผิด หรือทำถูก ต่อกฎปฏิจสมุปบาทที่ว่านี้แหละ ปฏิจสมุปบาทที่ว่านี้แหละ ทำมันไปในทางทุกข์ ให้มันเกิดทุกข์ มันก็เกิดทุกข์ ทำมันไปในทางไม่เป็นทุกข์ หรือเป็นสุขมันก็เกิดสุข สุข ทุกข์ ไม่ได้เกิดจากกรรมเก่า แต่ว่ามันเกิดมาจากการกระทำผิด หรือกระทำถูก ต่ออาการของปฏิจสมุปบาท
แล้วอย่างหนึ่งมิใช่เป็นการบันดาลของพระเจ้า นอิสสรนิมมานเหตุ มิใช่เหตุเพราะการบันดาลของอิศวร อิศวรในที่นี้หมายถึงพระเจ้า มิใช่เหตุเพราะการบันดาลของอิศวร ในภาษาบาลีเรียกว่าอิสระ ไม่ได้เกิดมากจาก ไม่ใช่เป็นผลของกรรมเก่า ไม่ใช่เกิดมาจากบันดาลของพระเจ้า แต่มันเกิดมาจากการผิด หรือถูก ต่อกฎเกณฑ์ของปฎิจสมุปบาทโดยฝ่ายไหน เรียกว่ามันถูกก็แล้วกัน มันไม่มีผิด มันถูกสำหรับเป็นทุกข์ก็เป็นทุกข์ ถูกสำหรับเป็นสุขก็เป็นสุข มันมีแต่ถูก แต่เราสมมติเรียกว่ามันไม่ตรงกับเราต้องการ เรียกว่าผิด ผิดเป็นทุกข์ นี่ก็เป็นหลักสำคัญในพระพุทธศาสนา ว่าอาการแห่งปฏิจสมุปบาทมีอยู่อย่างนี้โดยธรรมชาติ ถึงแม้ว่าปรุงแต่งกันขึ้นจนเป็นความทุกข์หรือเป็นความสุขอยู่ในตัวมันเอง จงเห็นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเชื่อ เพราะเชื่อคนอื่นไม่สำเร็จประโยชน์หรอก ให้เชื่อๆอย่างไรก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เว้นว่าจะมองเห็นเองว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วมันก็เปลี่ยนการกระทำ ไม่กระทำอย่างที่เคยทำแล้วเป็นทุกข์ มันก็เปลี่ยนเป็นกระทำอย่างที่ทำแล้วไม่เป็นทุกข์
ทีนี้เราจะต้องมีแนว มีระเบียบปฏิบัติหรือแนว แนวระบบอะไรต่างๆที่สำหรับปฏิบัติแล้ว จะไม่เป็นทุกข์ เอ้า,ทีนี้เราก็มาถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องอริยมรรคมีองค์ ๘ เมื่อสิ่งต่างๆมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างไรจะดำเนินไปแต่ในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ ต้องปฏิบัติถูกต้อง ไปในทางที่จะไม่เป็นทุกข์ ก็ต้องพูดถึงอริยมรรค มีองค์ ๘ อริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นแหละเป็นหัวใจของพระธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสในวันนี้ ในวันที่คล้ายวันนี้ คือวันเพ็ญอาสาฬห เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา หัวใจของธัมมจักรกัปปวัตตนสูตรนั่น ไปพูดถึงมัชฌิมาปฏิปทาก่อนนะ ไปเปิดดูสิ ไปเปิดดูพระบาลี ธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร พระพุทธเจ้าได้เริ่มขึ้นว่า อย่าไปทำสุดโต่งสองข้าง กามสุขัลลิกา อัตตกิลมถา แล้วมาตั้งอยู่ในมัชฌิมาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาเป็นสิ่งที่เราไม่ได้เคยได้ยิน ได้ฟัง มาจากผู้ใด ได้ตรัสรู้ขึ้นมาเฉพาะด้วยตนเอง แล้วก็แจกออกไปเป็นอย่างนั้นๆ เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ ซึ่งสวดกันได้ทุกคน ท่องกันได้ทุกคน แต่ดูยังไม่ได้รับประโยชน์คุ้มกัน ก็เพราะมันไม่เป็น มันไม่เป็นมรรคกันจริงๆขึ้นมา มันเป็นแต่เสียงท่อง เสียงสวดมนต์มันไม่เป็นมรรคจริงๆขึ้นมา
มรรคมีองค์ ๘ นะ ๘ องค์ ๒ องค์แรกเป็นปัญญา ๓ องค์ถัดมาเป็นศีล ๓ องค์ถัดมาเป็นสมาธิ รวมกันเป็น ๘ เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ ดูกันง่ายๆว่าปัญญามาก่อน ใน ๘ องค์นั้นนะปัญญามาก่อน ๒ องค์ มันจึงถึงศีล ๓ องค์ ถึงสมาธิอีก ๓ องค์ พระพุทธเจ้าตรัส ปัญญา ศีล สมาธิ นี่มันผิดจากความรู้สึกของคนทั่วไปที่เคยฟังแต่ว่าศีล สมาธิ ปัญญา อาตมาถูกศาสดาคนหนึ่งในกรุงเทพมันด่าว่าสอนผิด สอนปัญญา ศีล สมาธิ สอนปัญญาก่อน เขาให้สอนศีลก่อน เน้นเรื่องศีลก่อน เราสอนไม่ได้ เพราะว่าถ้าไม่มีปัญญามาก่อนแล้วก็ศีลเข้ารกเข้าพง ศีลมันเข้ารกเข้าพง มันเดินไปไม่ถูก สมาธิก็เข้ารกเข้าพง ถ้าไม่ปัญญามาก่อน นี่ถือว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ถูกต้องแล้ว ท่านตรัสให้ปัญญา ศีล สมาธิ ตามอริยมรรคมีองค์ ๘
ดังนั้นจึงสรุปความได้ว่านะ ถ้าพูดกันอย่างการปฏิบัติจริงๆแล้วก็เรียงลำดับว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ นี่ไตรสิกขาที่จะปฏิบัติกันจริงๆ ถ้าเอาไว้พูดกันเล่นสำหรับเรียนในโรงเรียน ท่องกันเล่นได้ ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ตายโหงมันไม่ดับทุกข์อะไรได้ ถ้ามันไม่เอาปัญญามาก่อน มันต้องเอาปัญญามาก่อน ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญานำหน้าศีล ศีลเดินถูกทาง สมาธิก็ถูกทาง มันก็ส่งเสริมให้เกิดปัญญาขั้นต่อไปที่สูงกว่า ปัญญาทีแรก มันก็ตัดกิเลสและดับทุกข์ได้ ไตรสิกขามันมีอยู่ ๒ รูปแบบ รูปแบบหนึ่งสำหรับพูด สำหรับท่อง สำหรับ มันก็เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา รูปแบบหนึ่งที่จะเป็นมัชฌิมาปฏิปทาดับทุกข์ได้จริงต้องเรียงว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ช่วยจำกันไว้บ้างแม้ว่ามันจะไม่คุ้นปาก มันลำบากในการที่จะพูด ก็ช่วยกันพูดให้มันคุ้นปากด้วยว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ เดี๋ยวนี้กู จะปฏิบัติแล้ว มันต้องเป็นปัญญา เป็นศีล เป็นสมาธิ ไม่มีปัญญาแล้วศีลก็ผิดหมด เป็นสีลัพพตปรามาส คือศีลที่งมงาย งมงายผิดความประสงค์ สมาธิก็ผิดหมด เป็นสมาธิที่งมงาย ไม่ตรงตามความประสงค์ นี่ก็เรียกว่าสีลัพพตปรามาส เพราะว่าปัญญามันไม่นำมาก่อน ถ้าปัญญามันนำมาก่อนก็เป็นศีลที่ถูกต้องเรียกว่า ศีลวิสุทธิ เมื่อมีศีลวิสุทธิแล้วมันก็มีจิตตวิสุทธิ แล้วมันก็สุทธิๆๆ ต่อไป จนสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะ นี่ปัญญาต้องมาก่อนอย่างนี้
เมื่อพูดเมื่อท่องก็ว่าศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อปฏิบัติต้องปัญญา ศีล สมาธิ ทีนี้พอเอาเข้าจริง พอถึงเวลาที่มันจะตัดกิเลสได้จริง พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างหนึ่งเรียกว่า อริยสัมมาสมาธิ มีบริขาร ๗ นี่คำนี้สำคัญมากแต่ว่าไม่เคยมาคุ้นหู ไม่เคยได้ยิน เพราะว่ามันอยู่นอกการพูดจา อริยสัมมาสมาธิ มีบริขาร ๗ คือยกเอาสัมมาสมาธิตัวสุดท้ายนะเป็นหลัก คือตัวประทาน แล้วเอาอีก ๗ องค์ที่เหลือเป็นบริวารของสัมมาสมาธิ สมาธิเฉยๆถ้าไม่น้อมไปนิพพานก็เรียกว่าสมาธิเฉยๆ ถ้าสมาธิมันน้อมไปเพื่อนิพพานเรียกว่าสัมมาสมาธิ แล้วสัมมาสมาธินี่เอาทั้ง ๗ องค์ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต อาชีโว วายาโม สติ มาเป็นบริวาร คือสัมมาสมาธิมาก่อน รู้หนทาง รู้ทิศทาง รู้ความถูกต้องว่าจะไปทางไหนอย่างไรกัน เป็นผู้นำทาง แล้วก็ปรารถนาที่จะเป็นอย่างนั้น ก็เป็นสัมมาสังกัปปะ และก็นำมาให้เป็นสัมมาวายามะเดินถูกทาง สัมมาสติเดินถูกทาง นี่เอามาเป็นบริวารของสัมมาสมาธิ ส่วนสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโวนั้น ท่านถือว่าตามปกติมันมักจะถูกต้องอยู่แล้ว แม้ไม่ใช่ในพระพุทธศาสนา ในคนธรรมดาสามัญก็มีสัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว ถูกต้องอยู่เป็นส่วนมากแล้ว แต่ถึงอย่างไรมันก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของสัมมาทิฏอยู่นั่นเอง นี่ทั้ง ๘ องค์ทำงานประสานกันอย่างไม่แยกกันได้เลย เรียกว่าอริยสัมมาสมาธิ มีบริขาร ๗ สมาธิเป็นตัวแม่ทัพที่จะมีกำลังตัดกิเลส แล้วก็ได้อีก ๗ องค์รอบๆแล้วก็มาช่วยทำหน้าที่ๆรอบ ครบรอบทุกอย่าง เป็น ๗ อย่าง เรียกว่ามีบริวาร ๗ นี่ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา จะตัดกิเลส จะรบกิเลส จะทำลายกิเลสจริงต้องมาอยู่ในรูปของสิ่งที่เรียกว่าอริยสัมมาสมาธิ มีบริวาร ๗ บริขารก็ได้ บริขาร ๗ หรือบริวาร ๗ มันก็เหมือนกันแหละ
ทีนี้ท่านทั้งหลายก็มองเห็นได้ว่าปัญญาสำคัญ มันให้เกิดความถูกต้อง มิฉะนั้นมันก็ไม่ถูกต้อง มันจะมีความเชื่ออย่างไรๆ ถ้าปัญญาไม่มานำแล้ว ความเชื่อมันผิดทางเสมอไป มันไปตามชอบใจของกิเลสเสีย แต่ถ้าปัญญามากำกับไว้ มันก็จะถูกทางของการดับทุกข์ เพราะฉะนั้นขอให้รู้ไว้อย่างยิ่งว่าพระพุทธศาสนานี้ เป็นพระศาสนาของปัญญา ใช้ปัญญาเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ เป็นกำลัง เป็นเบื้องหน้า ศาสนาอื่นเขาจะใช้ความเชื่อหรือใช้อะไรเป็นตาม เป็นกำลังก็ตามใจเขา มันเป็นเรื่องของเขา ศาสนาอื่น แต่ถ้าศาสนาพุทธก็ต้องเอาปัญญานี่เป็นหัวใจ พุทธะๆ แปลว่าผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันเป็นปัญญาทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีปัญญามันรู้ไม่ได้ มันตื่นไม่ได้ มันเบิกบานไม่ได้หรอก เรามีปัญญาเป็นหัวใจของพระศาสนา ซึ่งจะมีปัญญาเป็นเครื่องดำเนินชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา ทั้งหมดมันจะถูกต้อง ปัญญาถึงขนาดเห็นปฏิจสมุปบาทในที่ทุกหนทุกแห่ง ปัญญาถึงขนาดมีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกขุมขน หลายคนคงไม่เชื่อ ว่าบ้าแล้ว ก็ตามใจเถิด อาตมายังขอยืนยันอย่างนี้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า อาการแห่งปฏิจสมุปบาทนั่นแหละคือธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นพระองค์ จงเห็นอาการแห่งปฏิจสมุปบาทที่มีอยู่ทั่วทุกขุมขนนั่นนะว่าเป็นธรรมะ เห็นธรรมะแล้วเห็นพระองค์ ขอยืนยันอีกทีนะ ย้ำอีกทีว่าถ้ามีความรู้เรื่องนี้แล้ว คุ้มๆค่าที่มาไกล จังหวัดไกลนั่น เปลืองมากเหนื่อยมาก เสียเวลามาก อะไรมาก จะคุ้มถ้าได้เห็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้แล้วจะคุ้ม
ต่อไปนี้ก็ดำเนินชีวิตด้วยปัญญา เสมือนหนึ่งว่าชีวิตนี้มันเดินได้ ชีวิตมันเดินไปตามแบบของชีวิต เดินทางตามแบบของชีวิต เดินทางด้วยปัญญาตลอดเวลา มีปัญญาอย่างนี้แล้วเห็นพระพุทธเจ้าตลอดเวลา พบพระพุทธเจ้าทุกหนทุกแห่ง เดินทางไปกับพระพุทธเจ้านั่นเอง มีพระนิพพานตลอดเวลา ตลอดทาง รายทาง เดินไปกับพระพุทธเจ้า เดินไปกับการที่มีนิพพาน คือความไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ เป็นนิพพานน้อยๆ นิพพานน้อยๆ เรื่อยๆๆไปจนในที่สุดก็เป็นนิพพานที่สมบูรณ์ เป็นนิพพานที่สมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ขอให้เห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นพระองค์ เห็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ไม่โง่ ไม่หลง เป็นตัว เป็นตน เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถูกต้อง ไม่มีความหลง อยู่กับพระพุทธเจ้า เดี๋ยวจะตกใจว่าจะรู้อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า เห็นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า รู้อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า ดับทุกข์อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า แล้วก็เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง หลายคนว่าบ้าแล้ว ไม่เป็นไร อาตมาบ้าก็ได้ แต่ยังพูดอยู่อย่างนี้แหละ แม้จะเดินทางไปกับพระพุทธเจ้า ปัญญาที่เห็นปฏิจสมุปบาทนี่มันเดินทางไปกับพระพุทธเจ้า มีนิพพานน้อยๆเรื่อยไป จนเป็นนิพพานเต็มที่ ตลอดเวลานี้รู้อย่างเดียวกับพระพุทธเจ้ารู้ เห็นอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้าเห็น ดับทุกข์อย่างเดียวกับที่พระพุทธเจ้าดับทุกข์ แล้วก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง คือสามารถแสดงปฏิจสมุปบาท เป็นผู้สามารถแสดงปฏิจสมุปบาทอย่างชัดเจน อย่างแจ่มแจ้ง อย่างสมบูรณ์ นี่เป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง
วันนี้เรียกว่าวันเพ็ญอาสาฬหปุณณมี พระจันทร์เต็มดวง ในหมู่กลุ่มดาวฤกษ์ชื่อว่าอาสาฬห เขาเรียกว่าอาสาฬหปุณณมี วันนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร ประกาศมัชฌิมาปฏิปทา อริยมรรคมีองค์ ๘ สรุปย่นได้เป็นไตรสิกขา เป็นปัญญา เป็นศีล เป็นสมาธิ แต่ถ้าว่าทำหน้าที่ถึงที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นอริยสัมมาสมาธิทั้ง ๘ องค์ ยกสัมมาสมาธิขึ้นเป็นประธาน นอกนั้นก็แวดล้อม สัมมาสมาธิก็เต็มไปด้วยปัญญา เต็มไปด้วยสัมมาทิฐิ เมื่อสัมมาสมาธิเต็มไปด้วยปัญญา เต็มไปด้วยสัมมาทิฐิมันก็ตัดกิเลส ไม่ต้องสงสัย ทีนี้เราได้รับพระโอวาทอันประเสริฐสูงสุด คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือเรียกว่า ธรรมจักร วันนี้พระองค์ได้ประกาศธรรมจักร ใครๆไม่อาจจะต่อต้านได้ ที่ได้ใช้คำว่าสมณะก็ดี พราหมณ์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ใครๆก็ดี ไม่ต่อต้านได้ หมายความว่าทั้งหมดๆทั้งสิ้นไม่มีใครต่อต้านได้ ความจริงที่พระองค์ทรงเปิดเผย ทรงแสดงนี้ไม่มีใครต่อต้านได้
ขอให้เรารู้จักสิ่งนี้ รู้จักสิ่งนี้ ในวันนี้เรามาประชุมกันที่นี่ เรียกว่าพิธีอาสาฬหบูชา มารู้จักหนทางที่ทรงแสดงไว้ให้ พบพระพุทธเจ้าทั่วไปทุกปรมาณู ทุกขุมขน เดินทางไปด้วยสติปัญญาที่เห็นพระพุทธเจ้า มีพระพุทธเจ้าทั่วไปทุกขุมขน มีนิพพานตลอดทาง จบเรื่องของการที่จะเดินทาง จบเรื่องของการที่จะเดินทาง นี่เรื่องเกี่ยวกับธรรมะก็หมด ได้ความรู้นี่ก็เกินคุ้มที่มาลำบากที่นี่ เหลือข้อสุดท้ายอีกข้อหนึ่งเป็นข้อแถมพกหรือผนวกแล้วแต่จะเรียก ต่อนี้ไปต้องช่วยกันเผยแผ่ พระพุทธศาสนา ดูพระเยซูเถิด ในคัมภีร์ไบเบิ้ลเขาว่าเมื่อได้มาเปล่าๆ ก็ขอให้ๆเปล่าๆ อย่าคิดสตางค์ ได้มาเปล่าๆ ก็ขอให้ให้ไปเปล่าๆ เราก็เหมือนกันแหละ ชาวพุทธนี่ก็เหมือนกัน ได้รับพระธรรมดับทุกข์จากพระพุทธเจ้ามาเปล่าๆ ก็ขอให้ๆไปเปล่า อย่าค้ากำไรเลย อย่าอวดดี อยากยกหูชูหาง อย่าทำตนเป็นพระศาสดา หาประโยชน์ หากำไร อย่างนั้นมันล้มเหลวหมด มีความบริสุทธิ์ใจเสียสละโดยแท้จริง เผยแผ่ธรรมจักรออกไปให้ทั่วโลก
อาตมาขอชักชวนท่านทั้งหลายว่าจงช่วยกันเผยแผ่ธรรมะไปให้ทั่วโลก ทั่วโลกนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคน ทุกคนมันรู้ธรรมะไม่ได้ แต่ให้ทั่วๆไปทั้งโลกมันได้ ทั้งทั่วๆไปทั้งโลกมันมีคนพอจะรู้ธรรมะได้ แต่ว่าไม่ใช่ทุกคน เพราะว่าคนที่มิอาจจะรู้ธรรมะ เป็นปทปรมะ อะไรโกรธไม่ได้นี้ก็มีอยู่ พวกนี้มันก็รู้ไม่ได้ก็ต้องเก็บไว้ก่อน แต่ว่าที่มันอาจจะรู้ธรรมะได้มีอยู่ที่ไหนในโลก และช่วยกันหน่อยๆ ให้ได้รู้ธรรมะทั่วกันไปทุกคน ที่เรายินดีสั่งสอนอบรมฝึกฝนพวกฝรั่งที่มาทุกเดือนๆนั้นก็เพื่อความประสงค์อันนี้ ถ้าใครสามารถจะรู้ธรรมะได้ ขอให้ได้รู้เถิด เรายอมเหน็ดเหนื่อย ยอมลำบากทุกประการ ทำไปทำไม เพื่อบูชาคุณพระพุทธเจ้า ตอบสนองพระคุณ พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ประทานให้แก่เรา แล้วมีพระพุทธประสงค์ว่าจงช่วยกันทำให้แผ่ไปทั่วสากลจักรวาล รู้ธรรมะทั้งเทวดาและมนุษย์
มีพระพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า ให้พุทธบริษัททั้งหลายช่วยกันทำให้ธรรมะวินัยนี้แผ่ไปทั่วทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก อะไรก็ตามหมดสิ้น ทรงประสงค์อย่างนั้น เมื่อเราได้รับประโยชน์อันนี้แล้วก็จะต้องสนองพระคุณอันนั้น ช่วยทำให้มันแผ่ไปทั่วโลก ทำโดยตรงและสอนโดยตรง ทำโดยอ้อมก็ช่วยร่วมมือให้ความสะดวก เรียกว่าทัพหลังก็ได้ ผู้ที่สอนโดยตรงก็สอนไป พวกที่สอนไม่ได้โดยตรงก็ช่วยหุงข้าวให้พวกที่มันสอนได้กินก็ได้ นี่เรียกว่ามันโดยอ้อม มันช่วยกันอย่างนี้แล้วมันก็สำเร็จประโยชน์ ธรรมะได้รับการเล่าเรียน ศึกษา ปฏิบัติ เข้าใจแจ่มแจ้งแล้วเผยแผ่ออกไป นี่เป็นข้อแถมพกข้อสุดท้าย ว่าธรรมะเป็นอย่างไร ดับทุกข์เป็นอย่างไร ได้รับประโยชน์ด้วยดีแล้วก็ขอให้ช่วยกันเผยแผ่ต่อไป หรือสืบอายุพระพุทธศาสนาไว้ให้คนที่จะมาทีหลังได้รับประโยชน์ นี่แหละคือบูชาอย่างยิ่งๆ ไม่มีบูชาอื่นยิ่งกว่า เดี๋ยวนี้เราเรียกว่าอาสาฬหบูชา การบูชาที่ทำในวันเพ็ญอาสาฬห ไม่มีอะไรดีไปกว่าที่ทำอย่างเดียวกับที่มันเคยเกิดขึ้นในวันนั้นในสมัยพระพุทธเจ้า วันเพ็ญอาสาฬหพระพุทธเจ้าได้ทำอย่างไรให้แก่โลก โลกได้รับอะไร ในวันเพ็ญอาสาฬหเราจงช่วยกันทำให้เพ็ญอาสาฬหะวันนี้เป็นเหมือนอย่างนั้น รู้ธรรมะเหมือนปัญจวัคคีย์รู้ ถ้ารู้แล้วก็เผยแผ่ต่อไป เผยแผ่ต่อไป นี่เรียกว่าอาสาฬหบูชาที่แท้จริง ได้รับประโยชน์เกินค่าจนกล่าวไม่ถูก แม้ว่าท่านทั้งหลายต้องมาจากที่ไกล เหนื่อยมาก เสียเงินมาก เสียเวลามาก ลำบากมากอะไรก็ตาม มันก็ได้รับประโยชน์เกินค่า ขอให้เป็นอย่างนี้
ในที่สุดนี้เป็นอันว่า อาตมาได้เตรียมจิตใจของท่านทั้งหลายให้มีความเหมาะสมแล้วๆ สำหรับจะประกอบพิธีอาสาฬหบูชา ก็จะได้ยุติการแสดงธรรมเทศนา เพื่อประกอบพิธีอาสาฬหบูชา สืบต่อไป ธรรมเทศนาสมควรแก่เวลา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้
พวกเราทุกคนเตรียมจิตใจให้พร้อมสำหรับประกอบพิธีอาสาฬหบูชา คือจิตว่าง อย่างความว่างนิรันดร ไม่มีกิเลส ไม่มีความทุกข์ ทำง่ายๆโดยทางวัตถุก็หลับตาเสีย อย่าได้มีตัวกู ของกู อย่าได้มีทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ข้างบน ข้างล่าง อะไรให้มันว่างไป ทั้งคนและทั้งจักรวาลนี้ ด้วยจิตใจที่ว่างนี่สามารถทำการบูชาได้อย่างยิ่ง จึงจะกล่าวโดยภาษาบาลี เป็นข้อแรกก่อนสำหรับภิกษุทั้งหลาย และคฤหัสถ์ทั้งหลายจะได้ค่อยกล่าวเป็นภาษาไทยทีหลัง
เอ้า, เสร็จแล้วตั้งใจ ตั้งจิตใจให้ว่างไม่มีอะไรผูกพัน ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้ง่าย บูชาพระพุทธเจ้าได้ง่าย ด้วยการเวียนประทักษิณ พระไม่ได้เดินเวียน มีส่วนบุญด้วยจิตใจ ถือว่าเวียนด้วยเหมือนกัน