แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนทั้งหลายผู้สนใจในธรรม อาตมาขอโอกาสแสดงธรรมเทศนาในลักษณะของการบรรยายธรรมะเพื่อความสะดวกบางอย่าง หัวข้อที่จะบรรยายในครั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากการบรรยายเมื่อตอนบ่ายบนภูเขา ด้วยมีความประสงค์อย่างยิ่งในการที่จะให้ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องอตัมมยตา โดยเฉพาะผู้มาใหม่ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังแล้วก็ได้ยินได้ฟังเพียงครั้งเดียวไม่อาจจะเข้าใจได้อย่างทั่วถึงเดี๋ยวก็จะลืม เดี๋ยวก็จะเลือนหายไปหมด ดังนั้นขอบรรยายเรื่องเกี่ยวกับอตัมมยตาเพิ่มเติมอีกสักครั้ง ใครจะว่าอตัมมยตาขึ้นสมองก็ได้ไม่เป็นไร ขอให้สนใจฟัง สนใจฟังอย่างยิ่งเพื่อให้สำเร็จประโยชน์ เรื่องนี้จะเรียกว่าเป็นเรื่องควันหลงของอตัมมยตาก็ยังได้อีกเหมือนกัน แต่หัวข้อเรื่องจริงๆนั้นชื่อว่าอตัมมยตากับธรรมจักร ก็จะพูดเรื่องอตัมมยตากับสิ่งที่เรียกว่าธรรมจักร เพราะวันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาเป็นวันที่ทรงแสดงธรรมจักร หมายความว่าทรงประกาศอำนาจโดยทางธรรมจักรให้แผ่ไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็แผ่ไปยังลัทธิศาสนาอื่นๆที่มันขัดแย้งกันอยู่นั่นแหละ คือไม่ใช่พุทธศาสนานั่นแหละ ทรงประกาศธรรมจักรไปในหมู่เจ้าลัทธิเหล่านั้นเพื่อจะกวาดล้างสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิออกไปให้เป็นโลกที่มีแสงสว่าง แต่ว่าคำพูดอย่างนี้มันโอหัง มันยกหูชูหาง มันไม่ไม่ใช่วิสัยของพระพุทธเจ้า ขอให้จำไว้ให้แม่นยำเป็นการตักเตือนกันอีกครั้งหนึ่งว่า พระพุทธเจ้าท่านถือหลักไม่กล่าวคำขัดแย้งกับใครๆ ในโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ คือมันหมดทั้งสิ้นนั้นแหละ ไม่กล่าวคำที่จะเป็นการขัดแย้งกับใครๆในทุกๆโลก แล้วท่านก็ใช้คำว่าประกาศธรรมจักรหรือเราจะใช้คำว่าประกาศธรรมจักรกันแทนที่จะใช้คำว่าคัดค้าน หักล้าง พวกอื่นหรือลัทธิอื่นนี้ไม่ต้องมี การประกาศธรรมจักรนี้มีความหมายบริสุทธิ์ ไม่เป็นการกระทำเพื่อเหยียบย่ำผู้ใด ทำลายผู้ใด ขัดแย้งผู้ใด นี่ขอให้สนใจอย่างนี้
ที่นี้เราก็จะดูกันในแง่ของการประกาศธรรมจักร สิ่งที่มีอำนาจเรียกว่าจักรคืออาวุธ หรือแสนยานุภาพอาวุธที่เขาเรียกกันสมัยนี้นะ สมัยโน้นเขาเรียกกันว่าจักรเพราะสิ่งที่เรียกว่าจักรน่ะมันมีคมแผ่ไปที่ไหนก็สามารถจะบุกเบิกออกไปได้ และก็ในลักษณะธรรมจักรนี้ด้วยแล้ว ก็เรียกว่าไม่มีใครอาจจะต้านทาน ทรงยังธรรมจักรให้เป็นไฟ และอันใครๆในโลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ สมณะพราหมณ์เหล่านี้ ไม่อาจจะต้านทาน นี่อาการของธรรมจักร มีความหมายสั้นๆว่ามันตัดๆๆ ทุกๆอย่างที่ควรจะตัดหรือจะต้องตัด ความหมายของอตัมมยตาก็เป็นอย่างเดียวกันแหละ ต้องการจะตัดหรือเพิกถอนไอ้สิ่งที่มันไม่ควรจะมีหรือสิ่งที่มันเหนี่ยวรั้งไว้ในกองทุกข์ ผูกพันธ์ไว้ในกองทุกข์ จะตัดมันให้ขาดออกไปด้วยสิ่งที่เรียกว่าจักรแล้วก็ยังเป็นธรรมจักรคือจักรของธรรมะไม่ใช่จักรอย่างที่เขาใช้ๆกันในการสงคราม จักรธรรมะนี้สามารถจะเข้าไปได้ในที่ทุกแห่งแม้ในจิตของคน จักรนี้สามารถจะบุกเบิกเข้าไปในจิตของคน ไม่ใช่เพียงแต่จะแล่นไปทั่วๆโลกหรือภายนอกแต่เข้าไปในภายในคือจิตใจของคน เข้าไปกวาดล้างสิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจของคนให้มันออกไปเสียก็เป็นจิตใจที่บริสุทธิ์ สะอาด สงบ อิสระ ไม่มีความทุกข์อันใดๆเหลืออยู่ได้เลย นี่เราเพ่งเล็งความหมายของคำว่าธรรมจักรในลักษณะนี้ ถ้าแผ่ไปทั่วโลกก็หมายความว่าโลกภายในจิตใจคน ไอ้โลกภายนอกนั้นมันเขาก็รบราฆ่าฟันกันด้วยจักรธรรมดาสามัญตัดแล้วเลือดแดงฉาน นี้ไม่ต้องมีการตัดที่เรียกว่าเลือดแดงฉานแต่มันตัดยิ่งกว่านั้นอีก เข้าไปตัดอวิชชา ตัณหา มานะ ทิฏฐิ ในจิตใจคนให้มันเกลี้ยงไป นี่เรียกว่าตัดโลกภายในซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าโลกภายนอกนั้นมันขึ้นอยู่กับโลกภายใน ถ้าแก้ปัญหาที่เป็นโลกภายในได้ไอ้ปัญหาของโลกภายนอกมันก็หมดตามไปเอง เพราะว่าโลกภายนอกนี่มันเกิดมาจากโลกภายในมันออกมาจากอิทธิพลของโลกภายในมันคิดก่อนแล้วมันก็ออกมา ก็สังเกตุเห็นได้แล้วว่าการพัฒนา การสร้างสรรค์ การทำความเจริญต่างๆนาๆเหล่านี้มันออกมาจากความคิดในภายใน โลกภายนอกมันจึงขึ้นอยู่กับโลกภายในเป็นความคิดของมนุษย์ ถ้าโลกภายในได้รับการชำระสะสางให้ถูกต้องผ่องแผ้ว บริสุทธิ์ หมดจด มันก็จะมีผลออกมาถึงโลกภายนอกดูจิตใจชนิดนั้น มันก็จะสร้างโลกภายนอกให้เป็นโลกที่งดงามน่าอยู่น่าดู เดี๋ยวนี้จงดูสิโลกของเราไม่น่าอยู่เต็มไปด้วยสิ่งที่เดือดร้อนรำคาญ รู้ได้ในข้อที่ว่าต้องเพิ่มคุกตาราง เพิ่มตำรวจ เพิ่มศาล เพิ่มโรงพยาบาลประสาท เพิ่มโรงพยาบาลบ้า สิ่งเหล่านี้มันเพิ่มมากกว่ายิ่งกว่าการเพิ่มของจำนวนคนในโลกที่มันเพิ่มขึ้น นี่ก็เพราะว่าการพัฒนานี่มันไม่ถูกต้อง โลกในภายในมันไม่ถูกต้อง เพราะว่าการศึกษานี่มันให้กันแต่เรื่องภายนอก การศึกษาทั้งโลกระดับอนุบาลเด็กอมมือกันไปถึงระดับมหาวิทยาลัยนี่ก็สุดแท้ มันพูดกันแต่เรื่องโลกวัตถุหรือเป็นเรื่องทางวัตถุ นอกจากนั้นแล้วมันก็เป็นเรื่องทำให้คนฉลาดๆๆ ท่าเดียว ฉลาดกันท่าเดียว ไม่สอนเรื่องบังคับความฉลาด อาตมาขอประกาศตรงๆว่าไม่บูชา ไม่ชอบ ไม่นับถือ ไอ้ระบบการศึกษาของโลกในปัจจุบันนี้ทั้งโลกเลย เพราะว่ามันสอนแต่ให้ฉลาดๆๆอย่างเดียว มันไม่ควบคุมความฉลาดแล้วคนก็เอาความฉลาดนั่นแหละไปหาประโยชน์ของตัวเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัวอย่างลึกซึ้งกว้างขวางเพราะว่ามันฉลาด มันให้กันมาแต่ความฉลาด มันไม่ให้ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีหรือธรรมะที่จะมาควบคุมความฉลาด การศึกษาแบบนี้มันก็มีแต่จะทำให้โลกนี้มีวิกฤตกาลมากขึ้นๆคอยดูเถอะ มีแต่จะต้องเพิ่มศาล เพิ่มเรือนจำ เพิ่มตำรวจ เพิ่มโรงพยาบาลวิกลจริต มากขึ้นๆ เพราะการศึกษามันไม่ถูกต้อง ฉะนั้นมันจึงต้องคิดต่อไปว่าจะทำกันอย่างไร ที่ภายในจิตใจหรือโลกในภายในของมนุษย์นั้นจะเกิดความถูกต้องขึ้นมา มันจะต้องเอาธรรมะนี่เข้าไป ไปขับไล่ไอ้มิจฉาทิฐิ ความเห็นแก่ตัว เห็นแก่วัตถุ เห็นแก่ร่างกาย โดยไม่เห็นแก่จิตใจรู้จักกันแต่เรื่องทางร่างกายหรือทางวัตถุ มันก็เป็นเรื่องที่น่าสงสารหรือน่าหัวเราะ
หากท่านทั้งหลายลองเสียเวลานิดหน่อยเปรียบเทียบกันดูว่าบ้านเมืองที่เจริญแล้วนะไม่เคยไปก็ได้ดูรูปถ่ายก็ได้ เมืองนอกเมืองนาบ้านเมืองที่เป็นมหาประเทศใหญ่โตนั่นมันมีตึกราม มีสิ่งก่อสร้างอย่างไร เหลือที่จะกล่าว แล้วไปเทียบดูกันกับรูหรือโพรงไม้หรือกระท่อมของคนป่าสมัยที่ยังไม่ค่อยจะนุ่งผ้า มันไม่รู้จักทำอิฐแม้แต่สักก้อนมันก็ทำตึกไม่ได้มันก็อยู่โพรงไม้อยู่กระท่อมไปตามเรื่อง ทีนี้เปรียบเทียบดูขึ้นเรือบินดูบ้านเมืองที่มันใหญ่โตมโหฬารสุดสายตาน่ะแล้วก็เปรียบเทียบดูกับบ้านคนป่า กระท่อมคนป่า หรือรูของคนป่า มันต่างกันมากนี่ความเจริญมันมาก มันมากถึงขนาดนี้ แต่แล้วไปดูที่ตัวไอ้ความสงบสุข ความสงบสุขมันไม่มี เพราะมันมีความต้องการมากเกินไป มันมีความเห็นแก่ตัวมากเกินไป คนป่ามันโง่มันไม่รู้จักเห็นแก่ตัวเพราะมันไม่ได้รับการศึกษาให้ฉลาดเหมือนคนสมัยนี้ที่ศึกษาให้ฉลาดแล้วเอาไปใช้สำหรับเห็นแก่ตัว มันก็เลยรบราฆ่าฟันกันมากขึ้นๆ นี่ยิ่ง ยิ่งเจริญ ยิ่งเจริญแล้วก็ ก็ๆคือยิ่งใกล้มิคสัญญี ยิ่งเจริญ ยิ่งเจริญ คือยิ่งเดินเข้าไปใกล้ๆมิคสัญญีที่จะฆ่าฟันกัน เหมือนกับฆ่าเนื้อฆ่าปลาแล้วก็วินาศกันหมดเกือบทั้งโลกเหลือไม่กี่คนมาตั้งต้นกันใหม่ ข้อความอย่างนี้ก็มีในพระบาลีแม้ว่าจะเป็นข้อความที่คนนอกพุทธศาสนาเขาก็มี เขาก็กล่าว เขาก็เชื่อ ก็เชื่อกันอย่างนั้นว่ามนุษย์นี่มันจะเจริญๆ แล้วอายุมันก็สั้นเข้าๆเพราะว่าความอยากมันมีมากกว่าเวลาที่จะอำนวยให้สำเร็จตามความอยากอย่างนี้เรียกว่าอายุมันสั้น เพราะความต้องการมันมากเวลามันเร็วไม่ทันใจนี่เรียกว่าอายุมันสั้น ก็คือกิเลสมันมากนั่นแหละ หมายความว่าอายุมันสั้น อายุมันจะสั้น สั้น สั้น เข้าทุกทีๆ จนกล่าวเป็นอุปมาว่าอายุสิบปี ห้าปี ปีเดียวตาย อายุมันสั้นเพราะว่าความอยากมันมากเหลือประมาณ เวลาไม่พอสำหรับจะใช้ทำตามความอยากเพราะเห็นแก่ตัว เพราะเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว รุนแรง รุนแรง คนป่าโง่จนไม่รู้จักเห็นแก่ตัวถึงจะเห็นบ้างก็น้อยมากจนเอามาเปรียบกันไม่ไหว ถ้าเราเชื่อถือเอาหรือว่าถือเอาตามข้อความเก่าๆในบาลี มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์นั้นไม่ได้ทำนาหรอก ไปเก็บข้าวสาลีที่เกิดเองอยู่ในป่านั่นนะมากิน ไปเก็บเช้ากินเช้า ไปเก็บเย็นกินเย็น อะไรที่มันมีอยู่ในโลกในแผ่นดินนั้นนะก็ไปเก็บมา เก็บเช้ากินเช้า เก็บเย็นกินเย็นนี่มันไม่ ไม่มีเรื่องอะไรที่จะต้องเห็นแก่ตัว ต่อมามันมีคนฉลาดมานิดนึงละ กูเอามาทั้งเช้าทั้งเย็นออกไปทีเดียวเอามาให้พอทั้งเช้าทั้งเย็น นี่มันก็เริ่ม เริ่มเห็นแก่ตัวละ ต่อมามันฉลาดกว่านั้น กูจะทำยุ้งทำฉาง ไปเก็บมาใส่ยุ้งใส่ฉาง เอ้า,ในป่ามันก็ไม่พอ มันก็ไม่พอ ต่อมามันก็ต้องทำกสิกรรมต้องปลูกข้าวแทนที่จะคอยเก็บเอาจากในป่านั้น มันก็ฉลาดๆมาในทางที่จะเห็นแก่ตัว ทีแรกทีเดียวมันก็คล้ายๆสัตว์เดรฉานมันโง่จนไม่รู้จักเห็นแก่ตัว นี่เรียกว่าโลกภายในน่ะมันสกปรกรกรุงรังมากขึ้นๆๆในจิตใจตามความเจริญของโลกนี่แหละ เอาสิหลายคนคงจะคิดว่าไอ้ตานี้บ้าแล้วพูดอะไรไม่นิยมเลื่อมใสความเจริญในโลกความเจริญของโลกที่เขาเจริญกันไม่รู้จะเจริญกันอย่างไร กลับเห็นเป็นเรื่องเลวร้าย เจริญอย่างเห็นแก่ตัวทำไปตามธรรมดามันได้น้อยไม่พอแก่ความต้องการ ต้องใช้ความเห็นแก่ตัว ใช้ความคดโกง กอบโกยทุกสิ่งทุกอย่าง ในจิตใจมันก็เจริญๆๆแต่ความรู้ความคิดอย่างนี้ นี่จะไปกันถึงไหนกัน มันก็มีแต่ว่าจะวินาศนะในที่สุด ความเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นๆ กระทั่งมันต้องการจะครองโลกมันจะแบ่งกันครองโลกหรือมันหุ้นกันครองโลกแล้วมันก็รบกันเอง เป็นเรื่องมิคสัญญีเพราะความเห็นแก่ตัว เพราะธรรมะไม่สามารถจะควบคุมได้ มองเห็นสิ่งเลวร้ายรุ่งรังหนาแน่นเต็มอัดไปหมดอย่างนี้ก่อนสิแล้วค่อยนึกถึงว่าอะไรจะมาช่วยตัดทำลายสิ่งเหล่านี้ แล้วจึงค่อยนึกถึงสิ่งที่เรียกว่าธรรมจักร ธรรมจักรนั่นเอง มันจะตัดทำลายเลิกถอนสิ่งเหล่านี้ให้มันสะอาดเกลี้ยงเกลา ถึงแม้ว่ามันจะมีความเจริญทางวัตถุมากแต่ถ้าจิตใจมีธรรมะสะอาดอยู่แล้วมันก็ไม่เป็นไร ความเห็นแก่ตัวก็ถูกควบคุม การศึกษาเปลี่ยนเสียใหม่แล้วสอนแต่เรื่องควบคุมความเห็นแก่ตัว ควบคุมกิเลสตัณหาให้รักเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายทั้งปวงนี่จึงจะมีความหมาย
ให้เจริญทั้งฝ่ายวัตถุและฝ่ายจิตใจ เดี๋ยวนี้อยากจะพูดว่ามีเจริญแต่ฝ่ายวัตถุไม่เจริญในฝ่ายจิตใจโลกนี้มันจึงเต็มไปด้วยวิกฤตกาลยุ่งยากลำบากทุกอย่างทุกประการเหลือที่จะกล่าว ถ้ามันเจริญทางฝ่ายจิตใจขึ้นมาอย่างเพียงพอกับความเจริญทางวัตถุแล้วมันก็ไม่เป็นอย่างนี้ มันจะอยู่กันผาสุขสบาย อยู่กันด้วยความรักใคร่เมตตากรุณา เรียกว่าอยู่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายนั่นแหละ ทุกคนอยู่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายลัทธินายทุนก็ไม่มีเอง ลัทธิคอมมิวนิสต์ก็ไม่มีเอง ลัทธิอะไรทำนองนั้นมันก็ไม่มี มันมีแต่ลัทธิเพื่อนเกิดแก่เจ็บตายเป็นสังคมนิยมของธรรมะ ถ้าเป็นสังคมนิยมของกิเลสก็อย่างเดิมแหละคือเห็นแก่พวกรวมพวกที่กอบโกย เดี๋ยวนี้เป็นสังคมนิยมของธรรมะเห็นแก่สังคมที่ประกอบไปด้วยธรรมะ มันก็กระทำแก่กันอย่างเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย นี่สันติภาพในโลกมันจะเกิดขึ้นมาได้ แล้วอะไรจะช่วยก็ต้องมีสิ่งที่จะตัดสิ่งเลวร้ายตัดสิ่งเลวร้ายในโลกนี้ให้หมดไป อาตมาก็ไม่มองเห็นสิ่งอื่นใดนอกจากธรรมจักรๆ เรามาช่วยกันสร้างสรรค์การรู้จักใช้ธรรมจักรให้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทำเป็นตัวอย่าง เผยแผ่ธรรมจักรคือเผยแผ่ความถูกต้องให้มันมีความถูกต้องให้ทุกสิ่งทุกอย่างทั่วไปในโลกนั่นน่ะคือธรรมจักรทำหน้าที่ เดี๋ยวนี้เราก็มาศึกษาธรรมะกัน ศึกษาธรรมะกันเพื่อจะเอาไปใช้ให้มันเป็นจักรสำหรับตัดปัญหาทั้งหลายให้มันหมดไป ให้ธรรมจักรนี่ตัดปัญหาทั้งหลายให้หมดไป ตัดปัญหาภายในคือความโง่หรือกิเลสของคน และก็ตัดปัญหาภายนอกโดยในเมื่อคนมันเป็นสัมมาทิฐิแล้วมันก็ไม่มีวัตถุอะไรที่จะเป็นอันตรายหรือเป็นศัตรูมันอนุโลมตามกันไปอย่างนี้ ขอให้พวกเราทุกคนหวังพึ่งพาสิ่งที่เรียกว่าธรรมจักรเถิด
วันนี้ก็เป็นวันธรรมจักรอาสฬหบูชา วันนี้ก็เป็นวันธรรมจักร วันประกาศธรรมจักร เป็นวันของธรรมจักร เราจึงพูดกันถึงเรื่องธรรมจักร เอ้า,ทีนี้ก็พูดเลยต่อไปถึงว่าจะมีธรรมจักรอย่างไรจะใช้ธรรมจักรอย่างไรที่จะตัดความเลวร้ายทั้งหลายเหล่านั้นให้หมดไปได้ ก็ค่อยย้อนมาเรียกว่าธรรมจักรอตัมมยตา ธรรมจักรอตัมมยตา สิ่งที่เรียกอตัมมยตานี่จะต้องใช้เป็นธรรมจักรที่จะชำระชะล้างไอ้สิ่งที่ไม่ควรจะมีในโลกนี่ให้มันหมดไป ทำลายสิ่งที่เป็นวิกฤตกาลให้มันหมดไป ทำลายข้าศึกของสันติภาพให้หมดไป แล้วมันก็จะเหลือหิ้วแต่ความสงบสุข เรา...เราเคยคิดกันหรือเปล่า เราเคย ไม่เคยเห็นตัวอย่างเลย แต่ว่าเราเคยคิดกันหรือเปล่าแล้วเราจะมีธรรมะกันไปทำไม เราจะศึกษาธรรมะกันไปทำไม ขอให้นึกถึงข้อที่ว่าชีวิตที่สูงสุดนั้นน่ะก็คือชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ชีวิตนี้จะสงบเย็นเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้อย่างไร มันต้องเอาสิ่งเลวร้ายออกไปเสียให้หมดโดยอาศัยธรรมจักรคืออตัมมยตา ให้ใช้อตัมมยตาในทุกแง่ทุกมุมในทุกความหมาย เพื่อจะกำจัดสิ่งเลวร้ายให้หมดไปจากโลก ทั้งโลกภายในและโลกภายนอกแล้วก็จะประสบแต่สันติภาพ
เมื่อตอนกลางวันก็ได้พูดถึงอตัมมยตามากพอแล้วที่จะรู้จักว่ามันคืออะไร พูดให้สั้นๆสรุปความก็คือว่าปัญญาอันสูงสุดสามารถที่จะมองเห็นว่าสิ่งนี้ไม่ควรจะอยู่กับกูแล้วก็ตัดล้างเพิกถอนมันออกไปเสียได้ ตามความหมายของสิ่งที่เรียกว่าอตัมมยตา อตัมมยตา ว่าที่จริงมันต้องใช้ในทุกความหมาย ในทุกระดับ ในทุกกิจกรรม สิ่งที่ชั่วร้ายจะต้องถูกขจัดออกไปจากจิตใจสร้างสรรค์สิ่งถูกต้องดีงามขึ้นมาแทน ปัญญาที่ทำให้รู้จักสิ่งนั้นและกำจัดสิ่งเลวร้ายออกไปเสียได้นั่นแหละคือสิ่งที่เรียกว่าอตัมมยตา ใครลองคิดดูทีว่ากิจกรรมไหนกรณีไหนที่ไม่ต้องใช้อตัมมยตาเพราะเหตุใด เพราะเหตุว่ามนุษย์มันออกมาจากท้องแม่โดยไม่มีปัญญาอะไรเลยจะเรียกว่าความโง่ก็ได้ อย่าเรียกว่าความโง่เลย เรียกว่าไม่มีปัญญาก็แล้วกัน พอคลอดมาจากท้องแม่แล้วมันถูกแวดล้อมให้มีความคิดผิดเห็นผิดไปลุ่มหลงที่จะยินดียินร้ายคือจะพอใจหรือจะไม่พอใจ หลงรักจึงน่าพอใจ หลงเกลียดจึงไม่น่าพอใจโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกอย่างนี้ อย่างนี้แหละมันโง่ มันโง่ ก็แล้วทีนี้แม้ว่ามันออกมาจากท้องแม่ไม่ได้โง่ มาเฉยๆ กลางๆ มันพอออกมาจากท้องแม่แล้วมันก็เริ่มตั้งต้นโง่ เพราะว่ามนุษย์มันไม่ได้มีระบบวัฒนธรรมคำสอนที่ดีงามที่จะอบรมทารก พอสักว่าคลอดออกมาแล้วอย่าให้มันโง่ มันไม่มีนี่ มันมีแต่ทำให้มันโง่ ก็จะต้องขออภัยพูดว่า พ่อแม่นั่นแหละไม่รู้เรื่องนี้ ผู้เลี้ยงทารกน่ะมันไม่รู้เรื่องนี้ มันก็ป้อนเข้าไปแต่ความโง่ ให้หลงรักสิ่งที่น่ารัก ให้หลงเกลียดโกรธสิ่งที่น่าไม่น่ารัก เด็กทารกมันก็รู้จักเกลียด รู้จักรัก รู้จักชอบ รู้จักจำมากขึ้นๆๆเป็นเงาตามตัว แล้วมันจะต้องเป็นทุกข์ มันจะเป็นทุกข์มากขึ้นๆจนสูงอายุไปโน่น ถ้าโชคดีมันนึกได้นั่นแหละมันจึงจะคิดทำลายล้างไอ้ความ ความทุกข์หรือความโง่นี้ นี่มันน่าสงสาร ถ้าว่ามีการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่เล็กๆ ตั้งแต่อ้อนแต่ออก ให้ๆๆ ให้เดินมาให้จิตใจเดินมาในทางไม่โง่มันก็จะดีกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันได้ปล่อยไป ไปในทางโง่แล้วก็ส่งเสริมให้มันโง่หนักขึ้นไปอีก ก็ทุกคนจะสอนเด็กๆให้เกิดความเข้าใจว่ามีตัวกูมีของกู ผู้ใหญ่นั่นแหละจะพูดกับเด็กๆว่านี่อันนี้ของหนู พ่อของหนู แม่ของหนู บ้านเรือนของหนู วัวควายของหนู ไร่นาของหนู มันจะพูดแต่อย่างนี้ มันไม่ได้มีการสั่งสอนให้รู้ว่ามันไม่ใช่ของกูไม่ใช่ตัวกู มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ แล้วเข้าไปเกี่ยวข้องกับมันให้ถูกต้อง ถ้าเกี่ยว เกี่ยวข้องไม่ถูกต้องมันจะกัดเอาคือเป็นทุกข์นั่นแหละ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องเอาในฐานะที่เป็นตัวกูของกูมันก็กัดเอาคือเป็นทุกข์ แต่แล้วก็ไม่ ไม่ ไม่วายที่จะสั่งสอนให้เด็กๆเล็กๆนะ โดยเอาสั่งสอนโดยตรงบ้าง โดยอ้อมบ้าง ให้มันเข้าใจผิดว่าเป็นตัวกูเป็นของกู
ยกตัวอย่างว่าไอ้เด็กตัวเล็กๆนี่มันเดินไปชนโต๊ะชนเก้าอี้ชนตู้อะไรก็ตาม แล้วมันเจ็บ แล้วมันก็ร้อง ที่นี้พี่เลี้ยงหรือคนเลี้ยงน่ะมันก็ไปช่วยตี ตีโต๊ะ ตีเก้าอี้นะว่าทำ ทำไอ้ ทำเด็กร้อง ทำน้องกูร้อง ทำลูกกูร้องอะไรก็ตามใจ ช่วยตีโต๊ะ ตีเก้าอี้ ไอ้เด็กมันก็ยิ่งคิดว่านี่เป็นตัวตน หมายความเป็นตัวตน ไอ้นั่นก็เป็นตัวตน มันเป็นตัวตนที่จะทำลายล้างกัน มันก็เตะเก้าอี้หรือช่วยกันตีเก้าอี้ ทำไมไม่สอนกันไปในทางอื่นล่ะว่ามันเป็นอะไรทำไมจะต้องไปโกรธเก้าอี้ แล้วทำไมจะต้องไปช่วยหลอกให้เด็กเข้าใจว่าเก้าอี้เป็นตัวตนช่วยกันตีเก้าอี้ นี่มันไม่มีระบบที่จะอบรมสั่งสอนเด็กๆให้ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ฉลาดขึ้น ตามอายุ มันมีแต่สอนหรือปล่อยให้มันโง่มากขึ้น ยึดมั่นถือมั่นมากขึ้นตามอายุ ยึดมั่นของงามของสวยของเอร็ดอร่อย คอยแต่จะถามว่าเสื้อผ้าตัวไหนสวยแล้วจะซื้อให้ ลูกเล็กๆนี่มันจะขอเล่นของเล่นแพงๆอย่างไรก็จะซื้อให้ มันก็ทำให้เสียความรู้ เสียความรู้สึก เสียนิสัย ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะพาลูกไปร้านขายของเล่นสวยๆแพงๆแล้วก็บอกลูกว่าทั้งหมดนี่เขามีไว้ให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครเลย ไม่มีใครบอกลูกอย่างนี้เลย มีแต่ถามว่าชอบอันไหน อันไหนสวยที่สุด ชอบอันไหนแม่จะซื้อให้แพงเท่าไหร่ก็ไม่ว่านี่มันมีแต่อย่างนี้จะเอากันยังไงหละ หรือว่าของกินก็เหมือนกันแหละ ของกินแพงๆประหลาดๆ ไม่ได้บอกลูกว่านี่เขามีไว้สำหรับให้เราโง่นะมีแต่ถามมึงจะกินอะไรแม่จะซื้อให้ทั้งนั้น นี่มันไม่ได้สอนไอ้เรื่อง เรื่องว่าควรจะเป็นอย่างไรกับสิ่งแวดล้อมทั้งหลายเหล่านี้ จึงน่าสงสารที่ว่าเด็กๆมันก็เริ่มฝังไอ้ความรู้สึกเป็นตัวกูเป็นของกูมากขึ้นๆ แล้วก็เป็นไปทั้งโลก มีความต้องการในลักษณะที่ไม่จำเป็นน่ะมากขึ้นๆ แล้วก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนรับผิดชอบ ทำไมจะต้องย้อมผ้าให้เป็นสี ทำไมจะต้องพิมพ์ดอกของผ้า แล้วจึงเอามาใส่ได้ แล้วจะต้องปักเป็นลูกไม้เป็นอะไรแล้วจึงเอามาใส่ได้ นี่ความคิดมันเดินไปในทางนั้น ถ้าเอาแต่ว่ามันไม่ต้องย้อมก็ได้หรือว่าถ้าย้อมก็ย้อมในทางที่ให้มันทนเอามากกว่าในทางสวยงาม ไม่ต้องย้อมสีเขียวสีแดงปักลวดลายอะไรต่างๆเหมือนที่เขาทำกันอยู่ ให้มันหลอกตา ให้มันหลอกใจไว้เรื่อยๆไป ดูๆๆไอ้ลายของผ้า ของที่เขาประดิษฐ์กันขึ้นมาใหม่ๆๆๆ อย่างนี้มันเป็นเรื่องไม่จำเป็น เครื่องนุ่งห่มเกิดขึ้นมาในลักษณะที่เกินจำเป็นหรือไม่จำเป็นมากขึ้น อาหารการกินก็เหมือนกันในลักษณะที่เกินจำเป็นหรือไม่จำเป็นมากขึ้น ดูแคตตาล็อกไอ้ขายอาหารของสมัยใหม่ปัจจุบันนี้แล้วเวียนหัวจนไม่รู้ว่าจะซื้ออะไร ที่อยู่ที่อาศัยก็เกินจำเป็นๆ ต้องหาเงินมาใช้มากต้องไปโกงเขามามากๆจึงจะพอใช้ ยานพาหนะก็(นาทีที่36.33เสียงหาย)ไม่พอต้องหลายคัน คันๆคันราคาหมื่นใช้ไม่ได้ต้องใช้ราคาแสน คันราคาแสนก็ใช้ไม่ได้ต้องใช้เงินรถราคาล้าน นี่มันเจริญพุ่งไปทางนี้ เกินความจำเป็นแล้วก็ไปหล่อเลี้ยงกิเลสตัณหาเรื่องตัวกูของกู บ้าหรือดีที่เราจะมานั่งพิจารณาโลกทั้งโลกกันอย่างนี้ จะเป็นเรื่องบ้าหรือเรื่องดี ขอให้ช่วยตัดสินกันหน่อย แต่ในที่สุดว่ามันเรื่องนี้แหละก็คือมันเรื่องปัญหา
ฉะนั้นความโง่ โง่ๆมากขึ้น โง่มากขึ้น มีอวิชชามากขึ้น ก็มีตัณหามากขึ้น ก็มีความต้องการมากขึ้นเห็นแก่ตัวมากขึ้น จนจิตใจอยู่แต่ว่าทำอย่างไรจะได้สิ่งเหล่านี้มา คือสิ่งที่ไม่จำเป็นนะ สิ่งที่เกินความจำเป็นนะมา เรื่องกินเรื่องอยู่ เรื่องนุ่งเรื่องห่ม เรื่องที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่เรื่องหยูกยาอาหาร ไอ้หยูกยา ยาแก้ไข้นี่ก็เป็นเรื่องเกินจำเป็นมากขึ้น นี่มันเป็นโลกที่มืด โลกที่หลง โลกที่สกปรกรกรุงรังเต็มไปหมดทั้งข้างนอกทั้งข้างใน อะไรหละที่จะไปกวาดล้างตัดทำลายให้มันเกลี้ยงเกลา ให้มันสะอาด ให้มันถูก ถูกต้องได้ ก็ไม่มีอะไรนอกจากสิ่งที่เราเรียกกันว่าธรรมจักรๆ ช่วยกันหมุนจักร ธรรมจักรให้เข้าไปในจิตใจของคนไปตัดความโง่ของคนตัดกิเลสตัณหาของคน มันก็จะเกิดความถูกต้องความสะอาดความสงบอะไรขึ้นมา อย่าลืมว่าวันนี้เป็นวันธรรมจักร เป็นวันธรรมจักรของพระพุทธเจ้าที่ประกาศธรรมจักร แล้วธรรมจักรที่มันจะเข้าไปตัดสิ่งนั้นได้ก็คือปัญญาในระดับอตัมมยตาๆอย่างที่เราพูดกัน ขอให้รู้จักอตัมมยตาแล้วจะได้ชอบ เห็นอนิจตาไม่เที่ยง แล้วก็เห็นทุกขตาเป็นทุกข์ แล้วก็เห็นอนัตตาไม่ใช่ตน แล้วก็เห็นว่าธรรมติตัสตามันเป็นไปตามธรรมชาติอย่างนี้ แล้วก็เห็นว่าธรรมนิยามตามันเป็นกฎของธรรมชาติบังคับอยู่ แล้วก็เห็นอิทัปปัจยตาว่ามันไม่มีอะไรเปลี่ยนนอกไปจากการปรุงแต่งของเหตุของปัจจัยอย่างอื่นไม่มี มันต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มันให้พรกันไว้อยู่ร้อยปีพันปีขอร้องให้อยู่ร้อยปีอย่าให้ตายอย่างนี้มันก็เป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นไปได้เพียงอิทัปปัจยตา นะขออวดสักหน่อยนะว่าอาตมานี่มีคนขอร้องว่าอย่าเพิ่งตาย อย่างเพิ่งตาย อยู่ช่วยสั่งสอนเขาต่อไปอีกมากมายหลายสิบคนหลายร้อยคนเต็มที่เขียนจดหมายมาก็มีบอกตรงๆก็มี ดูๆๆมันสิ เพราะว่ามันไม่รู้เรื่องนี้ เพราะไม่รู้เรื่องอิทัปปัจยตา อาตมาบอกว่าโอ้,ไม่ได้หรอกมันต้องแล้วแต่อิทัปปัจยตามันก็ฟังไม่ถูก เพราะว่ามันไม่รู้ว่าอิทัปปัจยตาเป็นยังไร
อิทัปปัจยตาเป็นอย่างนี้ เมื่อเห็นว่ามันเป็นไม่เป็นอย่างอื่นได้ เป็นไปตามความต้องการไม่ได้ ไม่ตามความประสงค์ของใครได้ เป็นไปตามอิทัปปัจยตานี่ก็เรียกว่ามันว่างจากความหมายแห่งตัวตนโดยแท้จริง เป็นสูญญตาขึ้นมา เป็นสูญญตาคือว่างจากตัวตนขึ้นมา แล้วมันก็เห็นว่า โอ้,มันต้องเป็นอย่างนี้เอง ต้องเป็นอย่างนี้เอง ต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องไข้ ต้องเป็น ต้องตาย ไปตามเรื่องของสังขาร ก็เลยคิดว่าพอกันทีที่จะเป็นอย่างนี้ ที่จะเป็นความทุกข์อย่างนี้ มีความทุกข์อย่างนี้ มีความคิดอย่างนี้โง่ๆ ที่เป็นอนัต...อ่าที่เป็นอนัตตาเห็นเป็นอัตตาอย่างนี้พอกันทีๆ ที่เป็นของว่างเห็นเป็นไม่ว่างอย่างนี้พอกันที มาเห็นกันเสียใหม่ให้ถูกต้องที นั่นแหละความคิดที่มันเดินไปถูกทางของธรรมะเกิดเป็นอตัมมยตาขึ้นมาว่า พอกันทีๆ ไอ้อย่างนี้พอกันที "เลิก" เอาอย่างอื่นที่ไม่เป็นอย่างนี้ ที่ๆๆที่ไม่ทุกข์ ที่ไม่ที่มีความทุกข์น้อย ทุกข์น้อย ทุกข์น้อย จนกว่าจะไม่ทุกข์ ไม่เป็นทุกข์นะ ฉะนั้นความรู้ที่จะออกมาเสียจากสิ่งที่เป็นทุกข์แล้วไปสู่ความไม่ทุกข์นี่คือความรู้ที่เรียกว่าอตัมมยตา ความรู้ที่จะออกมาเสียจากทุกข์เพื่อจะไปอยู่อย่างไม่มีทุกข์นี่คืออตัมมยตา นับตั้งแต่ชั้นเล็กๆเลื่อนขึ้นมา เลื่อนขึ้นมา สูงๆขึ้นไป ลงความว่ามันต้องละสิ่งที่ควรละ สิ่งที่ควรละ สิ่งที่ควรละ จนไม่มีเหลือแล้วก็หมดปัญหา อตัมมยตาตัวสุดท้ายก็ละภพ ละชาติ ละสังขาร ละอะไรหมด เป็นนิโรธ เป็นนิพพานไปเลยนะมันจบอย่างนั้น นี่เรียกว่าอตัมมยตาเหมือนกับจักร จักรที่คมกล้าฟาดฟันไอ้สิ่งเหล่านั้น หายไปๆ หมดไป หายไป ตามลำดับ จนไม่มีเหลือ จนไม่มีสิ่งเลวร้ายฝ่ายกิเลสเลว...เหลืออยู่เลย นี่อตัมมยตาทำหน้าที่เหมือนกับจักรแต่ว่าเป็นจักรของธรรมะไม่ใช่จักรที่ทำด้วยเหล็กกล้า ที่เขามีๆกันอยู่นั่นเป็นจักรวัตถุเป็นเรื่องของวัตถุ ฉะนั้นจักรภายในเป็นเรื่องของธรรมะแต่ว่าคมกว่าคือสามารถจะตัดกิเลสตัณหาได้ ไอ้จักรที่ทำด้วยเหล็กกล้านั้นมันตัดกิเลสตัณหาไม่ได้เพราะว่ากิเลสตัณหามันสร้างขึ้นมาเองไอ้จักรชนิดนั้นมันจะไปตัดอะไรได้ ถ้าเป็นจักรของธรรมะนะมันจะตัดได้ ยุติกันทีว่าอตัมมยตาคือเครื่องตัดขาดจากสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ด้วยกัน สิ่งที่มันปรุงแต่งเราให้เป็นทุกข์ สิ่งนั้นนะคือสิ่งที่ไม่ควรจะอยู่ด้วยที่สุด จะเป็นอะไรก็ได้ เป็นเหตุปัจจัยชนิดไหนก็ได้รวมทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วเรียกสั้นๆว่า "สังขาร" คือสิ่งที่ปรุงแต่งที่ทำหน้าที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งให้เกิดอะไรต่างๆนาๆ ไอ้ตัวนี้ต้องตัดขาดไม่ให้มันปรุงแต่งได้ นั่นนะคือความหมายของคำว่าอตัมมยตา ไม่ปล่อยให้สิ่งที่เคยปรุงแต่งให้เป็นทุกข์นั้นปรุงแต่งได้อีกต่อไป มันยืดยาวอย่างนี้ มันแปลยาก แปลยากคำๆนี้ ที่จะมาจะแปลมาให้คนที่ไม่เคยรู้เข้าใจได้ทันทีนี่มันแปลยาก สิ่งใดที่มันได้ปรุงแต่งเราให้จมอยู่ในกองทุกข์หรือให้มีความทุกข์ใหม่ๆเกิดขึ้นก็ตาม มันปรุงให้เกิดความทุกข์และสิ่งนั้นจะต้องตัดขาดออกไป มีความรู้ที่จะตัดขาดออกไป รู้เรื่องนี้ รู้เท่าทันมัน ตัดขาดให้มันออกไปนั่นแหละคืออตัมมยตา จะตั้งชื่อว่าอะไรดีคุณก็ไปคิดเอาเองก็แล้วกัน ให้พูดด้วยภาษาไทยนี่มันยุ่งทันทีนะ ภาษาบาลีมันเรียกสั้นๆว่าอตัมมยตามีความหมายอย่างนั้น ถ้าจนปัญญาก็ไปใช้ภาษาบาลีกันดีกว่า พูดคำว่าอตัมมยตาๆให้มันติดปากกันเสียดีกว่า จะไม่ลำบาก แต่ว่าก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้ก็ต้องเข้าใจนะ เข้าใจคำว่าอตัมมยตา สิ่งที่จะตัดขาดจากสิ่งที่มันปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ การตัดขาดจากสิ่งที่มันปรุงแต่งให้เป็นทุกข์นั่นนะเรียกว่าอตัมมยตา มันจะเป็นอะไรก็ตามใจเถอะถ้ามันปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ละตัดขาดมันเถอะ มันจะเป็นของรักของพอใจ แก้วแหวนเงินทอง อะไรก็ตามที่มันจะปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ก็ต้องตัดขาด แล้วก็ต้องหาที่ชนิดที่มันไม่ปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ไปอยู่กับสิ่งที่มันไม่ปรุงแต่งให้เป็นทุกข์นั่นนะมันจะ มันจะ จะ จะดีหรือจะหมดปัญหา
ในการที่เราพัฒนาอะไรกันไม่ได้ขอย้ำอีกทีว่าพัฒนาแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองมันทำไปไม่ได้เพราะมันขาดความรู้เรื่องอตัมมยตา ที่จะมาใช้ตัดไอ้ความโง่เขลาหลงใหลในอบายมุข ในเรื่องวัตถุ ในเรื่องเนื้อเรื่องหนัง ซึ่งมันเป็นข้าศึก คือมันตรงกันข้ามกับความสุขหรือความสงบ มันไปบูชาหลงใหลในปัจจัยที่ปรุงแต่งให้เกิดความทุกข์แล้วมันจะพัฒนากันได้อย่างไร มันไม่เฉพาะแต่พัฒนาแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองพัฒนาอะไรก็ตามใจกี่อย่างๆนั่นนะ ถ้าจะเรียกว่าพัฒนาที่ถูกต้องคือดีกว่าเดิมแล้วก็ต้องอตัมมยตา ทางอื่นมันไม่มี วิธีอื่นมันไม่มี หรือถ้าวิธีอื่นมันมีมีก็คือเรียกชื่อว่าอตัมมยตานั่นเอง ใครจะมีวิธีอย่างใดมากี่ กี่วิธี กี่สิบ กี่ร้อยวิธี ถ้าทำหน้าที่อย่างนั้นก็ได้ชื่อว่าอตัมมยตาแหละ แต่คนที่มีก็คือใช้ไม่รู้จักชื่อก็ได้มันก็ได้เหมือนกันนะแต่ว่าให้มันมีเถอะ แม้ไม่รู้จักชื่อ ไม่เรียกชื่อถูกก็เอา ให้มันตัดไอ้สิ่งที่เป็นข้าศึกศัตรูได้มันก็ ก็ได้ แล้วทีนี้ขอให้เจริญๆขึ้นมาจากความหลง ความอ่า...อ่า...โง่ อวิชชา เจริญขึ้นมาเสียจากความโง่ เสียจากอวิชชากิเลสตัณหา เจริญขึ้นมาเสีย เจริญขึ้นมาเสีย อย่าเจริญอย่างจมลงไป จมลงไป จมลงไป เดี๋ยวนี้โลกมันกำลังเจริญจมลงไป จมลงไปในความโง่ อวิชชา ตัณหา บูชาฝ่ายบวก ฝ่ายบวก ที่เรียกว่าฝ่ายบวก ฝ่ายได้ ฝ่ายดี ฝ่ายน่ารักน่าพอใจ ที่เขาเรียกกันว่า Positive นะ ในทางหนึ่งก็ไปโง่ ไปหลงเกลียดกลัวไป Negative นะคือฝ่ายลบ มันก็เลยเป็นศัตรูทั้งสองฝ่ายเลยทั้งฝ่ายบวกและฝ่ายลบคือทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ฝ่ายดีทำให้โง่ให้หลงฝ่ายบวกก็ขู่ให้กลัวให้ลำบากยุ่งยากเลยเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย เรามาตัดความโง่อันนี้เสียว่าจะไม่โง่จะไม่หลงเป็นอย่างนี้ จะปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้อง ให้สำเร็จประโยชน์อยู่อย่างสงบเย็นก็แล้วกันไม่ต้องอ่า...เป็นความหลง อย่างเรื่องกามารมณ์เรื่องทางเพศนี่ไม่ต้องถึงกับหลง ถ้ามันเป็นสิ่งจำเป็นมี แต่ต้องมีมันก็มีอย่างที่ว่าจำเป็นจะต้องมีหรือเท่าที่จำเป็นจะต้องมีหรือเท่าที่จะกำจัดอ่า...ที่จะอ่า...จำกัดควบคุมไว้ได้ว่าอย่าให้มันเป็นอันตราย เดี๋ยวนี้มันหลงบูชาเป็นสรณะสูงสุดอ่า...ยิ่งกว่าใดๆ ไอ้คนชนิดนี้นะ ถ้าสมมุติว่าพุทธเจ้าเสด็จมาพร้อมวันเดียวกับนางงามจักรวาลมาแล้วมันไปรับนางงามจักรวาลกันหมดไม่มีใครไปรับพระพุทธเจ้า คิดดูให้ดีนี่ความหลงนี่มันมากเท่าไหร่ ความหลงมันมากเท่าไหร่ ความหลงขนาดนี้มันกำลังมีอยู่หรือไม่มันไม่มีอะไรพิสูจน์ เพราะพระพุทธเจ้าไม่มีจะเสด็จมาไอ้นางงามจักรวาลมันมีโอกาสที่จะมีมาเราเลยไม่มีทางที่จะพิสูจน์ว่าใครจะไปรับใครกันมากมาคาดคะเนเอาเองก็แล้วกัน ถ้ามันบูชาบวกบูชาโพสซิทีฟสวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนาน เหมือนที่คนทั้งโลกเขาบูชากันอยู่นี้น่ากลัวว่าคนที่ไปต้อนรับพระพุทธเจ้าจะน้อยกว่าคนที่ไปรับนางงามจักรวาล นี่ตัวอย่างนะมันจะเสียเวลามาก ไปคิดเอาเองดูบ้างว่าเรากำลังหลงกันอยู่สักกี่มากน้อย เอาหละมาพูดกันถึงเรื่องธรรมจักรกันดีกว่า ตัดๆๆไอ้ความโง่ ความหลงทุกชนิด ทุกขนาด ทุกระดับ ทุกเวลา ทุกสถานที่ให้หมดไปด้วยธรรมจักรๆคืออตัมมยตา มีสติปัญญาไม่โง่ไม่หลงกับมันนี่ มันจะมาหลอกให้หลงเท่าไรก็ไม่หลงกับมันจึงจะเป็นอตัมมยตา
เรื่องที่จะนำมากล่าวให้เป็นตัวอย่างหรือว่าเป็นแนวสำหรับการศึกษามันก็มีอยู่มาก เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วมีสาวกเกิดขึ้นบ้างแล้วพอสมควรแล้วพระพุทธเจ้าก็ประกาศในหมู่สาวกนั้นว่า ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งที่เป็นบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ เอ้า,ไป ไป ไปกันไปกัน เราไปกันไปคนละทิศคนละทางอย่าไปค่อนกันนะไปเผยแผ่ธรรมะ ไปประกาศธรรมะให้สัตว์ทั้งหลายที่มันมีความทุกข์มันจะได้พ้นจากความทุกข์เพราะว่าสัตว์ที่ไม่โง่เง่านักมีสติปัญญาแต่ฟังถูกแต่เข้าใจเรื่องนี้มันมีอยู่ ไปๆๆๆประกาศพรหมจรรย์ ประกาศศาสนาให้สมบูรณ์ทั้งอัฏฐะทั้งพยัญชนะ ให้งดงามทั้งเบื้องต้นทั้งท่ามกลางและเบื้องปลายนี่ไปๆๆๆ แม้ฉันก็จะไปทางหนึ่งด้วยเหมือนกัน นี่พระพุทธเจ้าท่านไม่เอาเปรียบสาวก สาวกไปคนละทางท่านก็ไปทางท่านไปเผยแผ่ธรรมจักรๆ ให้รู้จักตัดสิ่งที่ควรตัดคือความทุกข์ นี่ก็เป็นพระพุทธประสงค์ อะไรที่ทำให้พระพุทธเจ้าพ้นจากบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ อะไรๆ มันก็คืออตัมมยตาตัวเดิม อตัมมยตาตัวเดิม อตัมมยตาที่ผลักพระ พระสิทธัตถะออกมาจากการครองเมืองนั่นนะ ออกมาบวช อตัมมยตาตัวนั้นนะ มันก็ดำเนินการต่อไปๆกว่าจะถึงที่สุดคือจบหน้าที่ นี่ขอบใจกันไหม ขอบใจอตัมมยตากันไหม ที่ผลักพระพุทธ...พระสิทธัตถะออกจากบ้านจากเมืองออกมาเป็นพระพุทธเจ้านี่มันอตัมมยตานะ มันเป็นบุญคุณของอตัมมยตานี่ไม่ขอบใจกันบ้างเลย นี่ไม่รู้จักแล้วตัวเองนั่นแหละจะไม่ได้รับประโยชน์อะไร มันก็จะฝังตัวเองอยู่ในกองทุกข์ขอให้สนใจอตัมมยตา สำหรับคนธรรมดาจะๆใช้คำว่าไสหัวออกมาแต่สำหรับพระๆสิทธัตถะเราไม่กล้าใช้คำว่าไสหัวออกมาแต่มันก็พอๆกันนะ พระสิทธัตถะมองเห็นอะไรจนทำให้อยู่ในวังไม่ได้และบางทีจะเป็นอตัมมยตาตัวสุดท้าย ไอ้คืนที่ตื่นนอนขึ้นมาก่อนไอ้นางบำเรอทั้งหลายจะตื่น ไปอ่านพุทธประวัติตอนนั้นดูเห็นอาการอันนี้แล้วก็เลย..เลยแน่เลยออก อตัมมยตาผลักไสให้ออกเราจะใช้คำว่าไสหัวเฉพาะฝ่ายกิเลส กิเลสมันไสหัวให้ไปหาความทุกข์ อตัมมยตานี้มันจะเพียงแต่ผลักไสหรือว่าเชื้อเชิญก็ได้ออกไปหาความดับทุกข์ นี่เราจะขอบใจอตัมมยตามันเป็นเครื่องตัดบ่วงทั้งบ่วงทิพย์และบ่วงมนุษย์ เหมือนกับว่าในสนามรบนะมันมีลวดหนามบ้าง สนามเพลาะบ้างเขาขุดดักกั้นเอาไว้ ก็มีรถถังชนิดหนึ่งเอามาตัดเกลี้ยงหมดเลย นี่อตัมมยตาก็เหมือนอย่างนั้นนะ มันก็ตัดไอ้บ่วงทิพย์บ่วงมนุษย์ที่ผูกพันสัตว์ทั้งหลายไว้
แล้วอตัมมยตานี่มันช่วยให้บุกเข้าไปในทางที่สูงกว่า บุกเข้าไปทำลายสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น อตัมมยตาบุกเข้าไปในกามาโลกก็ทำลายอ่า...ความหลงในกาม อตัมมยตาบุกเข้าไปในรูปโลกก็ทำลายความหลงในรูป ในรูปธาตุ อตัมมยตาบุกเข้าไปในอรูปโลกก็ทำลายความหลงในอ่า...อรูปธาตุ หมดความหลงในกามธาตุ รูปธาตุ อรูปธาตุ หมดๆมันก็หมด ทีนี้มันก็เหลือแต่นิพพานธาตุก็เลยออกไปสู่นิพพาน อตัมมยตาบุกเข้าไป บุกเข้าไป ค้นหาทำลายสิ่งที่เลวร้ายที่ปรุงแต่งให้จมอยู่ในกองทุกข์ชั้นละเอียด ชั้นประณีต ประณีตจนหลอกให้เห็นว่าเป็นดีเป็นวิเศษ ถ้ายังอยู่ในกองทุกข์ยังติดจมอยู่ในกองทุกข์แล้วมันจะดีวิเศษไปไม่ได้ เรื่องสวรรค์วิมานนั้นมันจะดีวิเศษไปไม่ได้เพราะมันมีให้ๆให้อยู่ในกองทุกข์ ชั้นพรหมโลกก็เหมือนกันแหละมันยังหลอกให้มีตัวตนมีตัวกูอยู่ยกหูชูหางอยู่นั่นแหละมันวิเศษไปไม่ได้หรอก จะเป็นสวรรค์ชั้นกามาวจรหรือชั้นอรูปาวจรชั้นอะไรต่อมันก็ไม่วิเศษไปได้ถ้ามันทำให้หลงติดอยู่ที่กับกอง กับกองทุกข์ นี่ก็ต้องบุกเข้าไป อตัมมยตาบุกเข้าไปทำลาย อัสสาทะเสน่ห์หรือรสอร่อยทั้งหลายที่มีอยู่ในกามธาตุ ในรูปธาตุ ในอรูปธาตุ พอสิ้นจบหมดแล้วไม่มีเหลือแล้วมันก็เป็นนิพพานธาตุเป็นเหนือโลก ในบางกรณีมันเรื้อรังอยู่ในจิตใจกิเลสนี่มันหลงใหลอยู่ในกับสิ่งที่ผูกพันธ์ จิตที่มีกิเลสมันก็พลอยหลงใหลอยู่กับสิ่งที่มันผูกพันธ์เรียกว่าอุปาทานิยธรรมก็ได้ สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปทาน เมื่อมีสิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งอุปทานแล้วมันก็มีอุปทานมายึดมั่นถือมั่น นี่มันต้องรื้อสิ่งเหล่านี้ออก รื้อสิ่งเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเรียกว่าอาสวัฏฐานิยธรรมมันก็ต้องรื้อออก ไม่มีใครรื้อออกนอกจากอตัมมยตาต้องมีความรู้ขนาดอตัมมยตา มันจะรื้อรกรากของอาสวัฏฐานิยธรรมหรืออุปาทานิยธรรมเสียได้คือสิ่งที่ให้มันจมอยู่ในกองทุกข์คิดด้วยความยึดมั่นถือมั่นหรือด้วยการสะสมกิเลส มันต้องใช้อาการรุนแรงถึงจะเรียกว่าเผาให้มันหมดไป เผาให้มันหมดไป เหมือนเราเอาไฟเผาอะไรที่จะเผาให้มันหมดไป ธรรมะเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ แห่งอุปทานเหล่านี้ต้องเผาให้หมดไป เผาให้หมดไป แล้วมันไอ้ๆสิ่งเหล่านี้มันมารวมจุดอยู่ที่ตัวตนๆๆ ก็ต้องกำจัดตัวตนให้หมดไป เผาสิ่งที่เรียกว่าตัวตนๆนะไม่ให้มีเหลืออยู่ ทิฏฐิโง่ฝ่ายซ้ายนะมันเป็นสัสสตทิฏฐิถือว่ามีตัวตน มีตัวตน ทิฏฐิโง่ฝ่ายขวานะมันก็ถือว่าไม่มีอะไรเลยเป็นนัฏฐิกทิฏฐิ นี่มันสุดโต่งสองข้างมีตัวตน มีตัวตนเต็มที่เป็นสัสสตทิฏฐิ ไม่มีอะไรเลยเป็นนัฏฐิกทิฏฐิ อันนี้เป็นความโง่พอๆกัน ถ้ามันอยู่ตรงกลางมันมีตัวตน มีตัวตน แต่ว่ามิใช่ตัวตน มีตัวตนที่มิใช่ตัวตน อะไรๆที่ติดใจรู้สึกว่าเป็นตัวตนนั้นคอยดูให้ดีว่ามันมิใช่ตัวตน อย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิเรียกว่าอนัตตา อนัตตาแปลว่าไม่ใช่ตัวตน ไอ้ตัวตนที่มีความรู้สึกอยู่ในใจนะว่าตัวตนนั้นนะมันมิใช่ตัวตนแล้วมันจึงเรียกว่าอนัตตา ไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีอะไรเสียเลยอัตตามันก็มีตามความรู้สึกของคนตามธรรมดา ใครรู้สึกว่าอะไรเป็นอัตตาต้องดูเสียใหม่ว่ามันไม่ใช่อัตตามันเป็นอนัตตา แต่มนุษย์มันต้องพูดอย่างเป็นอัตตาเพราะฉะนั้นไม่รู้จะพูดอย่างไร แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสที่เป็นอัตตาๆไว้เยอะแยะไปหมดเหมือนกัน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ นี่ก็พระพุทธเจ้าตรัสนะ ตนเป็นที่พึ่งของตน เราไม่รู้ก็คิดว่ามีอัตตา ที่เป็นอัตตา แต่ที่ว่าตนเป็นที่พึ่งของตน ไอ้ตน ตนนี้ก็มิใช่อัตตา แล้วมันก็ต้องช่วยตัวมันเองต้องสร้างความรู้ขึ้นมาให้เห็นว่ามันมิใช่อัตตา เป็นอัตตาที่มิใช่อัตตาและก็ไม่ได้หลงรักในตัวตนที่จะเอาเป็นที่พึ่งหรือตัวตนที่จะแสวงหาที่พึ่ง ไม่ต้องมีตัวตน พระพุทธภาษิตที่พูดถึงอัตตาๆนี้มีมากเยอะแยะเท่ากับพูดถึงอนัตตา ถ้าพูดถึงอนัตตาก็บอกว่ามันมิใช่ตัวตนถ้าพูดถึงอัตตานี่พูดอย่างชาวบ้านพูด เพื่อให้ชาวบ้านฟังถูก ให้ชาวบ้านพอใจ ให้ชาวบ้านสนใจ นัตถิ อัตตะสะมัง เปมัง ความรักเสมอด้วยตนไม่มี จงฝึกตน จงสงวนตน จงยกตน อันนี้มันก็มีเยอะแยะไปหมด "ตนๆๆ" แต่อย่าลืมว่าไอ้ที่ตรัสเรียกว่าตนนั้นเป็นอัตตา ตนที่เป็นอนัตตานี่เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าเป็นอัตตาล้วนๆนะก็เป็นมิจฉาทิฏฐิฝ่ายสัสสตทิฏฐิ ถ้าตนชนิดที่ไม่มีอะไรเลยนั่นก็เป็นนัฏฐิกทิฏฐิ ความคิดมันแบ่งแยกได้เป็น 2 พวก พวกหนึ่งคือว่าสัพพัง อัฏฐิ คือสิ่งทั้งปวงมี พวกหนึ่งว่าสัพพัง นัฏฐิ สิ่งทั้งปวงไม่มี นี่มันสุดโต่งอย่างนี้ คือพระพุทธเจ้าว่าอย่าพูดอย่างนั้นมันอิทัปปัจยตามันแล้วแต่เหตุปัจจัยมัน ก็มีชั่วคราว มีชั่วการปรุงแต่งเป็นไป ทั้งหมดนั้นมันก็เป็นอนัตตา นี่อนัตตามันไม่ใช่ตนมันเป็นสัมมาทิฏฐิมันอยู่ตรงกลาง ไม่ใช่สัพพัง อัฏฐิ สัพพัง นัฏฐิ จึงไม่เป็นสัสสตทิฏฐิ จึงไม่เป็นนัฏฐิกทิฏฐิ นี่พูดคำที่ฟังไม่รู้เรื่องเดี๋ยวก็ง่วงหลับกันหมดพอกันทีว่าไม่เป็นอัตตา ไม่มีอัตตาๆ หรือว่าไม่ๆๆๆมีอัตตา แต่ว่ามีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตานั่นแหละพุทธศาสนาแหละ มีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตานั่นแหละเป็นนัตอ่า...เป็นอนัตตา เรียกว่าอนัตตา ถ้าเป็นอัต...อัตตาไปเสียหมดก็เรียกว่าอัตตาๆตามแบบของชาวบ้าน ไม่มีอะไรเลยก็เรียกว่านิรัตตาๆตามแบบของอมิจฉาทิฏฐิพวกหนึ่ง แต่ถ้ามีอัตตาซึ่งมิใช่อัตตานี่ก็เรียกว่าอนัตตาๆอยู่ตรงกลาง ถ้ามันมองเห็นอนัตตาเช่นนี้แล้วมันจะไม่ยึดถืออะไรเลยมันจะถอนออกจากความยึดถือทั้งหมดมันก็คืออตัมมยตา มันถอนอัตตา ทิฏฐิ อัตตานุทิฏฐิ อะไรออกไปได้มันก็จะไปสู่อนัตตาเห็นว่าเป็นอัตตาซึ่งมิใช่อัตตา เห็นทุกอย่างเป็นอนัตตาคือเป็นอัตตาที่มิใช่อัตตาแต่เป็นอนัตตา อย่างนี้เลิกละหมดทั้งสัสสตทิฏฐิ นัฏฐิกทิฏฐิ เลิกละหมดทั้งตัวตนและทั้งของตนนี่ถึงขนาดเผาไฟกันเลย ไม่ให้มีตัวตนเหลือไม่มีตัวตนสำหรับจะยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปทานอีกต่อไปมันมีตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน
เอ้า,ทีนี้เมื่อเผาล้างกวาดเกลี้ยงกันแล้วมันก็จะต้องสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาหน่อย มันก็สร้างสัมมาทิฏฐิให้ประดิษฐ์สถานอาณาจักรแห่งสัมมาทิฏฐิขึ้นมาใหม่ แทนอาณาจักรนรกเลวร้ายนั่นนะ อาณาจักรสัมมาทิฏฐิก็คือธรรมาณาจักรหรืออาณาจักรแห่งอตัมมยตา เป็นอาณาจักรที่อตัมมยตาควบคุมอยู่ คุ้มครองอยู่ คนคงโง่ไม่ได้ โง่ไปหลงยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดไม่ได้ นี่อาณาจักรแห่งธรรม ธรรมาณาจักร อาณาจักรนี่ถูกธรรมจักรทำหน้าที่ให้คนทั้งหลายหูตาสว่างไสวไม่โง่ ไม่หลงอะไรเป็นอัตตาอีกต่อไป ธรรมจักรช่วยให้เป็นอย่างนี้ เกิดธรรมาณาจักรขึ้นมาก็คืออาณาจักรแห่งอตัมมยตา อาณาจักรแห่งอตัมมยตา คงจะไม่ๆมีใครได้ยิน เคยได้ยินหรือเคยพูดจา เดี๋ยวนี้ต้องมองเห็น นี่ต้องมองเห็นอตัมมยตาที่มีบุญคุณอย่างยิ่งที่ถอนสัตว์ให้ออกจากกองทุกข์ ไสหัวสัตว์ให้ออกไปจากกองทุกข์ มันไม่อยากออกก็ไสหัวจนให้มันออกไปจากกองทุกข์ให้จนได้ น้อยที่สุดมันก็มีผลที่ต้องการนะคือสันติภาพๆ ชีวิตที่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีอะไรมาเบียดเบียน มาเผาลน มาครอบงำ มาย่ำยี มาปิดกั้น เป็นอิสระเสรีพ้นจากอำนาจแห่งกิเลสและความทุกข์ทั้งหลาย นี่เป็นโลกที่ว่าง ว่างจากอัตตา แต่กลับมีธรรมะมากมาย ไม่มีอัตตา ว่างจากอัตตา แต่มีกรุณา ในโลกนี้น่าหัวนะไม่มีตัวตนแต่มีกรุณา ไม่มีตัวตนที่จะมันเห็นแก่ตนแล้วมันก็เห็นแก่ผู้อื่น ไปรักผู้อื่น ในโลกที่ไม่มีตัวตนกลับมีกรุณา เพราะมันไม่เห็นแก่ตน เพราะมันไม่มีกิเลสที่จะเห็นแก่ตนมันก็มีรักผู้อื่น มันก็เต็มไปด้วยกรุณาใหญ่หลวง แล้วมันก็ยังมีอุเบกขา ไม่ยินดีไม่ยินร้าย ไม่บ้าดีไม่หลงดี ไม่บ้าชั่วไม่หลงชั่ว ไม่บวกไม่ลบ ไม่ยินดีไม่ยินร้าย สิ่งทั้งปวงเป็นอนัตตาจึงไม่ไปยินดียินร้ายในสิ่งใดที่มาให้รักก็ไม่รักก็ไม่เกิดกิเลสประเภทโลภะหรือราคะ ที่มาให้โกรธให้เกลียดก็ไม่โกรธไม่เกลียดมันก็ไม่เกิดกิเลสประเภทโทสะหรือโกรธะ มันที่มาให้สงสัย หลงใหล กังวลใจ มันก็ไม่มี มันก็ไม่สงสัย มันก็ไม่มีความต้องการอะไร มันก็ไม่มีเกิดกิเลส เอ่อ...ไม่เกิดกิเลสประเภทโมหะ ไม่เกิดกิเลสประเภทโลภะ โทสะ โมหะ นั่นแหละ สันติภาพสูงสุดอยู่ที่นั่น ความสงบเย็นสูงสุดมันอยู่ที่นั่น ความรู้สูงสุดอยู่ที่นั่น จนพระพุทธเจ้าตรัสว่าการสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ นี่เป็นปริญญาๆ เป็นความรอบรู้สูงสุดที่ผู้ใดรู้แล้วก็ได้รับประโยชน์สูงสุดคือดับทุกข์สิ้นเชิง มีสันติภาพๆเพราะอำนาจแห่งความรู้ที่มีชื่อว่าอตัมมยตา ความรู้ที่ทำให้พูดออกมาว่ากูไม่เอากับมึงอีกต่อไป สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์พอกันทีๆเลิกกันที ถ้าใครเข้าใจอย่างอื่นไม่ได้ก็จำไว้ง่ายๆว่าอตัมมยตามีความหมายว่าพอกันที เลิกกันทีกับไอ้สิ่งบ้าๆบอๆ อย่าไปหลงใหลอะไรกับสิ่งนั้นอีกต่อไปนั่นแหละคืออตัมมยตา มันก็จะเป็นจักรที่คมกล้า สติปัญญานี้ก็เป็นจักรที่คมกล้าตัดกระจุยกระจายไปหมดทั้งโลกข้างนอกและโลกข้างใน ตัดโลกข้างในได้แล้วโลกข้างนอกมันก็ถูกตัดไปเองเพราะมันไม่โง่สร้างโลกโง่ๆขึ้นมา นี่คืออตัมมยตากับธรรมจักร
วันนี้เป็นวันธรรมจักรขอให้ ให้รู้ว่ารู้สึกอยู่เสมอว่าวันนี้เป็นวันธรรมจักรอย่าพูดเสร็จแล้วก็เลิกกัน เวียนเทียนเสร็จแล้วก็เลิกกัน อย่างนี้ไม่ๆๆไม่มีธรรมจักร คนนั้นไม่มีธรรมจักร ถ้ามันมีธรรมจักรมันก็ต้องมีสิ่งที่จะตัดทำลายไอ้สิ่งที่ควรตัดนั้นนะและสิ่งนั้นก็เรียกว่าอตัมมยตา เรื่องที่พูดวันนี้ก็คือพูดเรื่องอตัมมยตากับธรรมจักรใครเข้าใจก็จะเห็นได้ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน ประกอบเรื่องธรรมจักรวันนี้ก็ด้วยเรื่องอธิบายอตัมมยตาเพิ่มเติมเท่านั้น หวังว่าท่านทั้งหลายคงจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอตัมมยตาเพิ่มขึ้นจากที่เคยรู้มาแต่ก่อนหรือเพิ่มขึ้นจากที่ได้ยินได้ฟังเมื่อตอนบ่าย ตอนเย็น อันนี้ตอนค่ำมาพูดขยายความไปตามแนวของคำว่าธรรมจักรๆๆ เพราะวันนี้เป็นวันธรรมจักรขอให้รู้จักธรรมจักร และขอให้รู้จักใช้ธรรมจักร ให้รู้จักใช้ธรรมจักร ถ้าไม่รู้จักใช้ธรรมจักร ธรรมจักรมันก็ไม่มี ต่อเมื่อรู้จักใช้ธรรมจักร ธรรมจักรมันจึงจะมี นี่เรียกว่าศาสนาจะมีอยู่กับเราก็ต่อเมื่อเราใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์ ถ้าอยากจะให้พระศาสนาเจริญนะจงรีบใช้ศาสนาใครจะว่าบ้าบออย่างไรอาตมาก็พูดอย่างนี้ ถ้าอยากจะให้พระศาสนาเจริญนะคุณจงรีบใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดนั่นแหละมันจะทำให้พระศาสนาเจริญ ไม่ต้องซื้อหาพระมาแขวนคอหรือไม่ต้องเบิกพระเนตร พุทธาภิเษกอะไรกันที่ไหนก็ตาม คุณรีบใช้ศาสนา รีบใช้ศาสนาให้มากที่สุดพระศาสนาก็จะเจริญ ยิ่งใช้ยิ่งมีมาก ยิ่งไม่ใช้ยิ่งหายไปน่าอัศจรรย์ไหม ใช้เข้าไว้มันจะมีเพิ่มขึ้นถ้าไม่ใช้มันจะหายไป จะบำรุงศาสนาก็ขอให้รีบใช้ศาสนาถ้าใครอยากจะบำรุงศาสนาก็อย่าโง่ไปหวังอะไรที่ไหนรีบใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์แล้วศาสนาก็จะเจริญด้วยการที่เราใช้ศาสนา ถ้าเราอยากให้ศาสนาเจริญอย่างนี้ เรารู้จักธรรมะในลักษณะอย่างนี้มีอตัมมยตาเป็นเครื่องมือในการที่จะปฏิบัติศาสนา เอาหัวใจเพชรเม็ดเอกของศาสนาคืออตัมมยตามาใช้กำจัดไอ้สิ่งที่ควรจะกำจัดไม่ควรมีอยู่ในใจนั่นแหละคือการใช้ศาสนาให้เป็นประโยชน์ และขอร้องครั้งสุดท้ายว่าอย่าเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้หมากิน อุ้ย,หมาพูดหยาบไปหน่อยแล้วพูดให้สุนัขกิน อย่าเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ไข่ให้สุนัขกิน เดี๋ยวนี้มีแต่พิธีรีตองนะ บำรุงทุ่มเทกันเป็นการใหญ่ทำบุญทำทานเป็นการใหญ่ แล้วก็เหมือนกับว่าอ่า...เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ให้ไข่สุนัขกินคือไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพระศาสนานั่นเลย หรือจากเป็ดไก่นั่นเลย ไข่ออกมาก็ให้สุนัขกิน ไม่สนใจไอ้คนที่ไม่ได้ทำอะไรไม่ได้เลี้ยงไม่ได้เสียสตางค์กลับได้รับประโยชน์ มันก็ชักจะเป็นอย่างนี้กันแล้วนะที่สวนโมกข์ คนที่ใส่บาตรให้พระกินทุกๆวันนี้ไม่ค่อยเอาอะไรแต่พวกฝรั่งที่เขาไม่เคยเสียสตางค์ในส่วนนี้เขามาเอามาขนเอาไป นี่มันเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ไว้ให้ไข่ให้คนอื่นกินตัวเองไม่กิน นี่ขอเตือนเป็นข้อสุดท้ายมีความไม่ประมาทในที่ทุกสถานเถิด พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ ท่านหวังอย่างนี้ ท่านขอร้องอย่างนี้ เอาละพอสมควรแก่เวลาแล้วว่าอตัมมยตาเป็นธรรมจักรที่ตัดที่จะเฉือน เฉือนผ้าขี้ริ้ว เฉือนเอ่อ...เฉือนส่วนที่เป็นขี้ริ้วเป็นพังผืดอะไรออกไปเสียจากส่วนที่มันควรจะสะอาดบริสุทธิ์หมดจดคือตัวพระศาสนาแท้ บำรุงศาส...พระศาสนาด้วยการใช้อตัมมยตาเชือดเฉือนไอ้สิ่งที่ไม่ควรจะมีอยู่ในจิตใจนี่รีบใช้พระศาสนาอย่างนี้ จะทำให้พระศาสนามีอยู่ๆและเจริญๆๆ หรือจะเป็นความสุขสวัสดีแก่บุคคลคนนั้น เหนื่อยแล้วขอยุติการบรรยายครั้งนี้ไว้เพียงเท่านี้