แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
ขอนมัสการพระสังฆาธิการทั้งหลายผู้มาร่วมชุมนุมอยู่ที่นี่ กระผมขอแสดงความยินดีเป็นสิ่งแรกในการที่จัดให้มีการประชุมอบรมอย่างนี้ เพื่อประโยชน์แก่ความเจริญก้าวหน้าคล่องตัวในกิจการของพระศาสนาเป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่ควรกระทำอย่างยิ่ง จึงขอให้พยายามให้สำเร็จประโยชน์ การที่ทางการได้ขอให้ผมช่วยบรรยายในส่วนการเผยแผ่ในหน้าที่ของพระสังฆาธิการระดับเจ้าอาวาส กระผมก็จะขอถวายไปตามความรู้ความเห็นในฐานะเป็นธรรมปฏิสันถารด้วยพร้อมกันไปในตัว เรื่องการเผยแผ่พระศาสนานี้เป็นสิ่งที่ผมได้พยายามมาเป็นเวลาหลายสิบปีก็พอจะรู้เรื่องอะไรอยู่บ้าง ก็พอจะรู้เรื่องอะไรอยู่บ้างและที่สำคัญก็คือส่วนที่เป็นอุปสรรคหรือความไม่สำเร็จ นั่นแหละเป็นเรื่องสำคัญ ทำไมถึงทำไม่สำเร็จ มันมีอยู่หลาย หลาย ๆ เหตุ หลายเหตุหลายปัจจัย แต่ว่าส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับการหรือวิธีการเผยแผ่นั้นมันไม่ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติและกระทั่งไม่สมคล้อยตามวิธีที่พระพุทธองค์ได้ทรงแนะนำด้วยซ้ำไป แต่ส่วนใหญ่ที่สุดนั่นมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ของใคร ของผู้ฟังแล้วมันได้อะไร แต่ของผู้เผยแผ่มันก็มีเหมือนกัน ผู้เผยแผ่ที่เห็นแก่ตัวย่อมทำอย่างหวัด ๆ ขอไปทีไม่สำเร็จประโยชน์ ไม่ตรงไม่ถูกต้องตามที่เป็นแบบฉบับหรือแม้ที่พระพุทธองค์ทรงแนะไว้ ส่วนความเห็นแก่ตัวของฝ่ายผู้ฟังนั้นยิ่งร้ายกาจใหญ่ ไม่ตั้งใจฟังให้ดี แล้วก็คือไม่ปฏิบัติตามโดยประการทั้งปวง ดังนั้นจึงขอสรุปความเสียว่าการไม่ประสบความสำเร็จนี้มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของทุกฝ่ายหรือทุกคน การทำลายความเห็นแก่ตัวนั่นแหละ (นาทีที่ 4:50 – 4:51 เทปสะดุดและ ซ้ำ “แก่ตัวนั่นแหละ”) เป็นสิ่งที่ควรเผยแผ่อย่างยิ่ง เพราะมันกำลังเป็นอุปสรรคของกิจการทุกชนิด รัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในการขอร้องชักจูงแนะนำอะไร ก็เพราะประชาชนยังเห็นแก่ตัว ต่อสู้ด้วยความเห็นแก่ตัว บางทีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเองก็มีความเห็นแก่ตัว ไปติดต่อกับประชาชนผู้เห็นแก่ตัว (นาทีที่ 05:33 - 07:48 ซ้ำตั้งแต่ “แต่ส่วนใหญ่ที่สุดนั่นมันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว ของใคร ของผู้ฟังแล้วมันได้อะไร แต่ของผู้เผยแผ่มันก็มีเหมือนกัน ผู้เผยแผ่ที่เห็นแก่ตัวย่อมทำอย่างหวัด ๆ ขอไปทีไม่สำเร็จประโยชน์ ไม่ตรงไม่ถูกต้องตามที่เป็นแบบฉบับหรือแม้ที่พระพุทธองค์ทรงแนะไว้ ส่วนความเห็นแก่ตัวของฝ่ายผู้ฟังนั้นยิ่งร้ายกาจใหญ่ ไม่ตั้งใจฟังให้ดี แล้วก็คือไม่ปฏิบัติตามโดยประการทั้งปวง ดังนั้นจึงขอสรุปความเสียว่าการไม่ประสบความสำเร็จนี้มันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัวของทุกฝ่ายหรือทุกคน การทำลายความเห็นแก่ตัวนั่นแหละเป็นสิ่งที่ควรเผยแผ่อย่างยิ่ง เพราะมันกำลังเป็นอุปสรรคของกิจการทุกชนิด รัฐบาลไม่ประสบความสำเร็จในการขอร้องชักจูงแนะนำอะไร ก็เพราะประชาชนยังเห็นแก่ตัว ต่อสู้ด้วยความเห็นแก่ตัว บางทีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลเองก็มีความเห็นแก่ตัว ไปติดต่อกับประชาชนผู้เห็นแก่ตัว”) ผลก็น่าสงสาร ทางวัดวาอารามเรานี้ก็เหมือนกัน ท่านที่จะขอร้องหรือช่วยกันทำอะไรให้สำเร็จ เช่น ให้ช่วยกันพัฒนาก็ดี ช่วยให้กำจัดมลภาวะก็ดี ช่วยกันรักษาโบราณสถานวัตถุวัฒนธรรมอะไรก็ดี มันก็เป็นไปไม่ได้ก็เพราะความเห็นแก่ตัว เมื่อทุก ๆ เรื่องทุกอย่างมันล้มเหลวไปเพราะ(นาทีที่ 08:28 - 08:51 ซ้ำตั้งแต่ “ทำอะไรให้สำเร็จ เช่น ให้ช่วยกันพัฒนาก็ดี ช่วยให้กำจัดมลภาวะก็ดี ช่วยกันรักษาโบราณสถานวัตถุวัฒนธรรมอะไรก็ดี มันก็เป็นไปไม่ได้ก็เพราะความเห็นแก่ตัว เมื่อทุก ๆ เรื่องทุกอย่างมันล้มเหลวไปเพราะ” )ความเห็นแก่ตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย นี่เป็นปัญหาอันแรกที่จะต้องนึกถึงสิ่งที่เป็นอุปสรรคอย่างยิ่งหรือถึงกับเป็นศัตรูเลวร้ายก็คือความเห็นแก่ตัว บางทีคำสอนนั้นก็ดีถูกต้องเขาก็รับไปในฐานะที่ถูกต้องและดี แต่แล้วก็ไม่ปฏิบัติตามเพราะความเห็นแก่ตัว ด้วยการแนะนำสั่งสอนเผยแผ่มันก็เหนื่อยเปล่าเหมือนกัน ฉะนั้นเราจะต้องมาช่วยกันแก้ปัญหาเฉพาะหน้าปัญหาร่วมหรือปัญหาที่เป็นอุปสรรคของการงานกิจการทั้งปวงก็คือความเห็นแก่ตัว ขอให้การเผยแผ่มันระดมไปที่ทำลายความเห็นแก่ตัวซึ่งเป็นศัตรูร้ายกาจที่สุดของมนุษย์ทั้งโลก ทั้งโลก ไอ้ที่จะทำให้จะดี จะทำให้ดีเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปมันก็ไปไม่ได้ ที่จะแก้ไขอุปสรรคที่มีอยู่เฉพาะหน้ามันก็ทำไปไม่ได้ เมื่อคนเห็นแก่ตัวมันก็ขี้เกียจ ประชาชนเห็นแก่ตัวก็ขี้เกียจ การพัฒนาใดๆ ก็ทำไปไม่ได้ เห็นแก่ตัวแล้วมันก็จะต้องคดโกง ก็ยิ่งหนักเข้าไปอีก เห็นแก่ตัวแล้วก็อิจฉาริษยา เห็นแก่ตัวแล้วมันก็เอาเปรียบ หรือว่าสุรุ่ยสุร่ายใช้วัตถุปัจจัยของธรรมชาติหรือของตนเองอย่างสุรุ่ยสุร่าย นี่มันเสียหาย เห็นแก่ตัวแล้วมันก็ต้องมีคอร์รัปชั่น คือการกระทำผิดหน้าที่ การกระทำที่ผิดหน้าที่เป็นทำลาย ถ้าครูเห็นแก่ตัวมันก็แย่หมด การศึกษาหรือโรงเรียน ครูเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังนักเรียน หมอเห็นแก่ตัวก็ทำนาบนหลังคนเจ็บ ถ้าตุลาการเกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาก็ทำนาบนหลังจำเลย ถ้าพระเจ้าพระสงฆ์เกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมาก็ทำนาบนหลังทายกทายิกา มันมีแต่เรื่องเสียหายทั้งนั้นถ้ามันมีความเห็นแก่ตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง ความสามัคคีเรียกร้องไม่ได้หรอกถ้ามันมีการเห็นแก่ตัว ชวนผู้เห็นแก่ตัวมาทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาอะไรสักอย่างนี่มันไม่ได้ มันไม่สำเร็จ อุปมาเหมือนกับว่าชวนช้างรอดรูเข็มเสียยังดีกว่าชวนคนผู้เห็นแก่ตัวมาพัฒนาอะไร ๆ นี่เรื่องรัฐ ฝ่ายรัฐบาลเหมือนกัน การบ้านการเมืองก็ดี ฝ่ายคณะสงฆ์ก็ดี ความเห็นแก่ตัวมันกำลังเป็นอุปสรรคอยู่อย่างนี้ และคนเห็นแก่ตัวนั่นแหละมันเป็นต้นเหตุ ใจร้าย ที่ทำให้ต้องเกิดปัญหาสารพัดอย่างขึ้นมา ต้องมีระบบการปกครองแม้อย่างเผด็จการมันก็ยังช่วยไม่ได้ (นาทีที่ 12:38 – 12:49 ซ้ำตั้งแต่ “ที่ทำให้ต้องเกิดปัญหาสารพัดอย่างขึ้นมา ต้องมีระบบการปกครองแม้อย่างเผด็จการมันก็ยังช่วยไม่ได้”)เพราะผู้เห็นแก่ตัวมันเดินทางตรงกันข้ามเสมอ เห็นแก่ตัวกลับทำลายตัวเอง ทำลายตัวเองแล้วใครจะช่วยได้ เมื่อเจ้าของชีวิตอัตภาพมันทำลายตัวมันเอง ใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ คนเห็นแก่ตัวสร้างมลภาวะจนเป็นปัญหาโลก เดี๋ยวนี้มลภาวะนี่เป็นปัญหาโลกมาจากความเห็นแก่ตัว เรื่องนิดเดียวของผู้เห็นแก่ตัวทำลายธรรมชาติทำลายอะไรสารพัดอย่างก็เพราะเห็นแก่ตัว ทำลายสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมาแล้วก็เพราะมันเห็นแก่ตัว กระทั่งมันทำลายตัวเอง ไปติดสิ่งเสพติด ติดอบายมุขก็เพราะความเห็นแก่ตัว ที่ไปติดยาเสพติดก็เพราะเห็นแก่ตัว ติดอมายมุข อบายมุขก็เพราะเห็นแก่ตัว แล้วคนเห็นแก่ตัวมันก็ต้องเป็นโรคภัยไข้เจ็บชนิดเลวที่สุดที่สุนัขก็ไม่เป็น ไอ้โรคที่สุนัขก็ไม่เป็นน่ะไอ้คนเห็นแก่ตัวมันเอามาเป็น จนเป็นปัญหาเต็มไปหมดนี่ ความเห็นแก่ตัว ในที่สุดมันก็เป็นบ้าไป ไปอยู่โรงพยาบาลบ้า หรือว่ามันจะต้องจบลงด้วยการฆ่าตัวตาย นี่เป็นปัญหาใหญ่ ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่สำเร็จการพัฒนาใดๆ ก็ทำไม่ได้ ฝ่ายรัฐบาลก็ดี ฝ่ายคณะสงฆ์ก็ดี ถ้าแก้ปัญหาเรื่องเห็นแก่ตัวไม่สำเร็จก็อย่า อย่าหวังอะไรให้มาก มันมีแต่อุปสรรคหรือว่าการเถลไถลออกไปนอกลู่นอกทาง มีปัญหาร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับคณะสงฆ์ก็คือการทำลายความเห็นแก่ตัวของประชาชนของพลเมือง การที่จะให้เลือกผู้แทนโดยไม่รับจ้างนั่นเป็นไปไม่ได้ถ้าประชาชนยังเห็นแก่ตัว พูดเปล่าๆ ว่า ถ้าประชาชนยังเห็นแก่ตัว จะมาหาวิธีให้มันไม่รับจ้างเลือกผู้แทนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ (นาทีที่ 15:35 – 15:39 ซ้ำ ตั้งแต่ “จะมาหาวิธีให้มันไม่รับจ้างเลือกผู้แทนนั้นมันเป็นไปไม่ได้ “) ถ้าว่ามันไม่เห็นแก่ตัวมันก็ไม่ต้องจ้างไม่ต้องห้ามมันก็ไม่เลือกหรอก มันไม่เลือกผู้ที่จ้างให้เลือกน่ะ ความเห็นแก่ เห็นแก่ตัวมันเป็นอย่างนั้น ความไม่เห็นแก่ตัวมันเป็นตรงกันข้ามเสมอ ดังนั้นผมจึงสรุปความเห็นว่าไอ้สิ่งที่ควรจะเผยแผ่ที่สุดในเวลานี้ก็คือเผยแผ่ให้ประชาชนรู้จักทำลายความเห็นแก่ตัว สอนให้เห็นโทษเลวร้ายของความเห็นแก่ตัว สอนวิธีทำลายความเห็นแก่ตัว ช่วยเหลือทุกอย่างทุกประการให้ ได้ทำลายความเห็นแก่ตัว ให้ความเห็นแก่ตัวหมดไปจากสังคม หมดไปจากโลก ผัวเมียทะเลาะกันก็เพราะเห็นแก่ตัว เพื่อนต้องเลิกกันก็เพราะเห็นแก่ตัว ขัด ขัด ขัดแย้งกันระหว่างบุคคล ระหว่างสังคม ก็เพราะเห็นแก่ตัว มหาสงครามก็เพราะเห็นแก่ตัว นี่ขอให้มองดูเถอะว่าหัวใจของปัญหามันอยู่ที่ความเห็นแก่ตัว และเราก็ยังไม่ทำอะไรมันได้และยิ่งกว่านั้นความเห็นแก่ตัวยิ่งหนักขึ้น หนักขึ้นในโลก มากขึ้นในโลกตามความเจริญของโลกทางฝ่ายวัตถุ ถ้าโลกเจริญทางฝ่ายจิตใจก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวนี้โลกมันเจริญแต่ทางฝ่ายวัตถุ ก็ได้โอกาสของความเห็นแก่ตัว เพราะวัตถุมันยั่วยุให้เห็นแก่ตัวให้เห็นแก่ความเอร็ดอร่อยของตัว ยิ่งเจริญทางวัตถุก็ยิ่งเห็นแก่ตัว การศึกษาสมัยนี้ยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัว การศึกษายุคปัจจุบันนี้ในโลกยิ่งส่งเสริมความเห็นแก่ตัวหมายความว่าการศึกษาสมัยก่อนนั้นมันมีสิ่งควบคุมความเห็นแก่ตัวคือธรรมะ คือศาสนาเข้าไปควบคุมความเห็นแก่ตัวในการศึกษา เดี๋ยวนี้การศึกษามันเป็นอิสระมันไม่มีอะไรไปควบคุมไม่มีธรรมะน่ะควบคุม ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว แล้วการศึกษาเดี๋ยวนี้ก็ทำให้ฉลาดเหลือประมาณ ฉลาดกว่ายุคก่อนๆ เหลือประมาณ ฉลาด ดูสิมันฉลาดอย่างใดบ้าง มันไปเที่ยวโลกพระจันทร์เล่นก็ได้ มันมีอะไรเป็นเหมือนกับของทิพย์ของวิเศษไปเสียหมด แต่มันก็ใช้เพื่อเห็นคำว่า เพื่อทำลายสันติสุขเพราะมันเห็นแก่ตัว การศึกษาทำให้ฉลาด ๆ ๆ แล้วมันก็ไม่มีอะไรควบคุม มันก็เอาไปใช้เห็นแก่ตัวเลยปัญหามันหนักกว่าก่อน ซึ่งการศึกษาได้รับการควบคุมจากพระศาสนา มนุษย์ยุคนี้เขาแยกการศาสนาออกจากการศึกษา พวกมหาประเทศใหญ่ๆ มันทำกัน แยกศาสนาไปจากการศึกษา หรือว่าแยกการศึกษาออกจากการศาสนาก็ได้ ระบบ Secularization ชอบใช้กันนัก บูชากันนัก ย้ำกันนัก ทุกๆ ประเทศก็ทำตาม ว่าถ้าเราจะพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก็สอนแต่เรื่องพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญอย่าไปเสียเวลาสอนศาสนาเกะกะเปล่าๆ เลยแยกวิชาศาสนาออกไปเสียจากสามัญศึกษาเพื่อการพัฒนา ความฉลาดก็เป็นอิสระสิ เห็นแก่ตัวตามพอใจ ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดก็ยิ่งสร้างสรรค์ไอ้สิ่งที่เป็นความเห็นแก่ตัว เป็นข้าศึกแก่การสงบเพราะมันเห็นแก่ตัว (นาทีที่ 19:56 – 20:10 ซ้ำตั้งแต่ “เห็นแก่ตัวตามพอใจ ยิ่งฉลาดก็ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดก็ยิ่งสร้างสรรค์ไอ้สิ่งที่เป็นความเห็นแก่ตัว เป็นข้าศึกแก่การสงบเพราะมันเห็นแก่ตัว”) นี่เรียกว่าการศึกษาในโลกปัจจุบันนี้กำลังส่งเสริมความเห็นแก่ตัว เพราะไม่มีอะไรมาควบคุมความฉลาดที่ได้รับจากการศึกษา โลกมันจะวินาศมันกำลังจะวินาศเพราะยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งเห็นแก่ตัว ดูสังเกตดู อาชญากรรมเลวร้ายเพิ่มขึ้น ๆ ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาแต่ก่อน นี่มันเป็นวัตถุพยานแสดงให้เห็นอยู่ ความเห็นแก่ตัวอย่างเดียวเป็นปัญหา แต่ดึกดำบรรพ์โน้นมันก็เป็นปัญหาแต่ก็มีธรรมะหรือว่าการศึกษาหรือวัฒนธรรมที่ดีควบคุมความเห็นแก่ตัวโดยควบคุมความฉลาด เดี๋ยวนี้มันแยกกัน แยกศาสนาออกจากการศึกษา คือเลิกละเสียให้เหลือแต่พิธีรีตองเล็กๆ น้อยๆ มันก็ควบคุมไม่ได้ เราจะต้องเอากลับกันมาใหม่ เอาการศึกษาที่ถูกต้องมาควบคุมกัน การศาสนาที่ถูกต้องมาควบคุมการศึกษาให้ถูกต้อง ผมเห็นว่าเรื่องนี้เรื่องเดียวเป็นเรื่องสำคัญ เผยแผ่ความรู้ให้ประชาชนเห็นว่าสิ่งเลวร้ายที่สุดคือความเห็นแก่ตัว มันไม่ยากเย็นอะไรที่จะบอก คุณดู ถ้าไม่เห็นแก่ตัวแล้วมันจะขาดศีลได้อย่างไรล่ะ ถ้าประชาชนไม่เห็นแก่ตัวมันจะขาดศีลได้อย่างไร ข้อไหนจะขาดได้ มันไม่ฆ่า มันไม่ขโมย มันไม่ผิดในกาม มันไม่อะไรหมด มันก็ไม่มีเรื่องทุศีล มันก็จะไม่ทำผิดทั้งทางแพ่งและทั้งทางอาญา ผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวอยู่ก็สงบสุขเหลือประมาณ สงบสุขเหลือประมาณ ถ้าไม่เกิดเห็นแก่ตัวขึ้นมา ตำรวจไม่ต้องทำหน้าที่ ศาลไม่ต้องทำหน้าที่ เรือนจำไม่ต้องทำหน้าที่ ถ้าประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัว เลิกได้ เลิกกฎหมาย เลิกอะไรเสียก็ได้ ถ้าประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัว แม้แต่ศาสนาเองมันก็หยุดชะงักไปในตัว ถ้าประชาชนมันไม่เห็นแก่ตัวเดี๋ยวก็ไปเป็นพระอรหันต์กันหมด มันอยู่กันอย่างสัตบุรุษกันหมด ศาสนาก็ว่าง ว่างงานเหมือนกันนะ นี่ไม่เห็นแก่ตัวอย่างเดียวเราเลิกได้กฎหมาย เลิกได้แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าศาสนา เดี๋ยวนี้ยิ่งเห็นแก่ตัว ยิ่งเห็นแก่ตัว กิจกรรมทางกฎหมายก็สร้างไม่ ไม่ทันกิจกรรมจากความเห็นแก่ตัว กิจกรรมทางศาสนาก็สร้างไม่ทันกับผู้เห็นแก่ตัว บางทีศาสนาบางศาสนาก็เห็นแก่ตัวเสียอีก หรือว่าเจ้าหน้าที่ทางศาสนาก็มาเห็นแก่ตัวเสียอีก มันเลยล้มเหลวหมด (นาทีที่ 23:12 – 23:14 เทปสะดุดและซ้ำ “เห็นแก่ตัวเสียอีก มันเลยล้มเหลวหมด”) นี่ช่วยกันบอกประชาชนให้รู้ว่าความวินาศของเราของโลกทั้งโลกนี่มันมาจากความเห็นแก่ตัวโดยแน่นอน พอไม่เห็นแก่ตัวมันก็เป็นโลกพระศรีอาริยเมตไตรย นอนไม่ต้องปิดประตูเรือน เป็นต้น พระพุทธศาสนาก็สอนไว้ดีแล้ว ทุกอย่างเพื่อกำจัดความเห็นแก่ตัว แต่ไม่มี ไม่มีใครปฏิบัตินี่จะเอาอย่างไรล่ะมันไม่มีใครปฏิบัติ ว่าที่จริงทุกศาสนาแหละมันสอนเรื่องไม่เห็นแก่ตัวทีแรกทั้งนั้น แล้วก็ค่อยๆ เลือนไป เลือนไป เพราะไม่มีใครปฏิบัติ เลยไอ้ความเห็นแก่ตัวมันก็ครองโลก ครอบครองโลก เดี๋ยวนี้โลกถูกครอบครองด้วยความเห็นแก่ตัว ความเลวร้ายก็เกิดขึ้น เพิ่มมากขึ้น ถี่ยิบไปหมด แล้วจะมีประโยชน์อะไร ถ้ามีการศึกษาที่มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว การเศรษฐกิจที่มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว การเมืองที่มันเพิ่มความเห็นแก่ตัว จะมีประโยชน์อะไรมันมีแต่ความยุ่งยากลำบาก เราจงมารู้สึกล่วงหน้าว่าความเลวร้ายคืออย่างนี้ เตรียมหาวิธีทุกอย่างทุกประการให้สุดความสามารถเพื่อจะกำจัดความเห็นแก่ตัว ผมเห็นว่าพยายามพูดให้ประชาชนเกลียดกลัวความเห็นแก่ตัวนั่นดีที่สุด เป็นการเผยแผ่ที่จะได้ผลยืดยาวมหาศาล พูดให้ลูกเด็กๆ เล็กๆ น่ะเห็น ไม่เห็นแก่ตัวหรือเกลียดความเห็นแก่ตัว จะมีประโยชน์ในอนาคตมหาศาล ลูกเด็กๆ โดยเฉพาะวัยรุ่นนี่กำลังเห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่อะไรหมด ไม่เห็นแก่ความถูกต้อง ไม่เห็นแก่บิดามารดา ไม่เห็นแก่ประเทศชาติศาสนาเพราะว่าเห็นแก่ตัว เผยแผ่โดยวิธีต่างๆ ให้เขามองเห็น ให้เกลียดที่สุดเกลียดความเห็นแก่ตัวที่สุด เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัวไปตั้งแต่เล็กๆ แล้วมนุษย์ก็จะรอดจากความวินาศ เดี๋ยวนี้มันแข่งกันเห็นแก่ตัว แข่งกันเห็นแก่ตัว มีความฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัว ทำงานเหน็ดเหนื่อย เหนื่อยยากก็เพื่อความเห็นแก่ตัวไม่ใช่เพื่อความถูกต้อง ถ้าแก้ปัญหานี้ไม่สำเร็จ ปัญหาอื่นไม่สำเร็จหรอก จะชวนคนเห็นแก่ตัวมาพัฒนาวัด มารักษาโบราณสถานมันไม่เอาหรอก มันไม่เอา เพราะแม้แต่ทำบุญให้ทานมันก็ทำเพื่อความเห็นแก่ตัว ประชาชนผู้เห็นแก่ตัวก็ทำบุญเพื่อเห็นแก่ตัวแลกเอาสวรรค์ค้ากำไรเกินควร ถ้าว่าทำความดีเพื่อประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์เขาไม่เอา เขาไม่เอาด้วยประการทั้งปวง เขาทำบุญเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว แต่เราต้องการให้เขาทำบุญเพื่อลดความเห็นแก่ตัวเขาก็ไม่เอา เขาเพิ่มความเห็นแก่ตัวกันทั้งโลก โลกนี้ก็วินาศ ในเร็วๆ นี้ทันตาเห็น ลองดูที่มันก็แสดงให้เห็นยิ่งๆ ขึ้น คนเห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้นในโลก จนสร้างเรือนจำเท่าไรก็ไม่พอ สร้างตำรวจเท่าไรก็ไม่พอ สร้างศาลเท่าไรก็ไม่พอ สร้างโรงพยาบาลบ้าเท่าไรมันก็ไม่พออยู่นั่นแหละ เพราะมีความเห็นแก่ตัวแล้วจะไปถึงไหนกัน ถ้าจะเผยแผ่ให้มีคุณค่าสูงสุดก็ต้องเผยแผ่เรื่องโทษของความเห็นแก่ตัว ซึ่งคุณของความไม่เห็นแก่ตัวให้รู้พระพุทธประสงค์ที่จะไม่ให้เห็นแก่ตัว ศาสนาเราประเสริฐไม่ใช่พูดอย่างชาตินิยม พูดตามตรงนี่ว่าพุทธศาสนาประเสริฐที่สุด เพราะสอนให้เห็นว่า มันไม่มีตัวโว้ย มันไม่มีตัว มันเป็นอนัตตา มันไม่ใช่ตัว มันมีแต่สิ่งที่ไม่ใช่ตัว เมื่อไม่มีตัวแล้วจะเห็นแก่ตัวได้อย่างไรเล่า ก็เลิกไปเองแหละ ถ้ารู้ความไม่ใช่ตัวหรือไม่มีตัวมันก็ไม่เห็นแก่ตัว เราสอนเน้นหนักกันเรื่องไม่มีตัวนั่นแหละเผยแผ่ให้มากให้เข้าใจ แล้วคนทั้งหลายก็จะไม่เห็นแก่ตัว ศาสนาอื่นที่เขาสอนว่ามีตัว มีตัว มีตัว คนมันก็ต้องเห็นแก่ตัวหนักขึ้น มันก็ต้องแก้ไขๆ เป็นพิเศษที่จะไม่ให้เห็นแก่ตัวเพราะมันมีตัวเป็นเครื่องยั่วให้เห็นแก่ตัว นี้เรียกว่าความได้เปรียบเสียเปรียบกันระหว่างศาสนามันก็มีอยู่อย่างเด่นชัด ศาสนาที่สอนว่ามีตัว มีตัว มันก็ลำบากในการที่จะไม่ให้เห็นแก่ตัว ศาสนาที่สอนไม่มีตัว มันก็ไม่ลำบากเพราะว่ามันไม่มีตัวจะเห็นแก่ตัว ขอให้เผยแผ่เรื่องอนัตตา ไม่ใช่ตัว มีตัวซึ่งมิใช่ตัว แล้วก็ไม่เห็นแก่ตัวโดยอัตโนมัติ ความสงบสุขก็มี ขอให้เผยแผ่ความจริงซึ่งเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา คือ อนัตตา ไม่มีตัว พอเข้าถึงแล้วก็ไม่เห็นแก่ตัวโดยประการทั้งปวง มันก็มีแต่ความถูกต้อง มีแต่เมตตากรุณา เห็นแก่ผู้อื่น เห็นแก่ธรรมะ เห็นแก่ความถูกต้อง เห็นแก่ความถูกต้อง มันก็เกิด เกิดอาการเย็น สงบเย็น เป็นพระนิพพานทุกขั้นทุกลำดับทุกขั้นตอนแห่งความเย็นที่จะสงเคราะห์ลงไปในคำว่านิพพาน ชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ น้อย ๆ ก็เรียกว่า นิพพุติ นิพพุติ ถ้าถึงขนาดสมบูรณ์ก็เรียกว่านิพพาน นิพพานะ เป็นความเย็นแห่งชีวิต แล้วก็ชีวิตนั่นสามารถบำเพ็ญประโยชน์ครบถ้วนทุกอย่าง ประโยชน์ตนเองก็ทำได้ดี ประโยชน์ผู้อื่นก็ทำได้ดี ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันแยกกันไม่ออกก็ทำได้ดี เป็น ๓ ประโยชน์ ครบทั้ง ๓ ประโยชน์ เพราะความไม่เห็นแก่ตัว นี่ผมขอถวายความเห็นเรื่องสิ่งที่ควรเผยแผ่ที่สุดยิ่งกว่าเรื่องใดๆ คือเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ประโยชน์ของความไม่เห็นแก่ตัว อยู่กันอย่างสงบเย็นในโลกนี้ แล้วก็เดินไปใกล้พระนิพพานเอียงไปหาพระนิพพานเองโดยอัตโนมัติ ยิ่งขึ้นทุกที เราก็จะได้สัตบุรุษเต็มไปในโลกนี้แล้วก็จะได้พระอริยเจ้าเต็มไปในระดับเหนือโลก เหนือโลกขึ้นไป ขอเน้น ขอยืนยัน ขอท้าทายว่า ถ้าความไม่เห็นแก่ตัวมาแล้วปัญหาอื่นหมด ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ ขอท้าทายอย่างนี้ล่ะ ถ้าความไม่เห็นแก่ตัวเข้ามาแล้วปัญหาใดๆ จะหมด ปัญหาเลวร้ายทั้งหลาย เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งใหญ่โตมโหฬารก็จะไม่มี ปัญหาเล็กๆ ขี้ฝุ่นก็ไม่มี ปัญหาใหญ่ๆ อย่างมหาสงครามก็ไม่มี (นาทีที่ 31:22 – 31:27 ไม่มีเสียง) (นาทีที่ 31:28 – 33:08 ซ้ำตั้งแต่ “ชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ น้อย ๆ ก็เรียกว่า นิพพุติ นิพพุติ ถ้าถึงขนาดสมบูรณ์ก็เรียกว่านิพพาน นิพพานะ เป็นความเย็นแห่งชีวิต แล้วก็ชีวิตนั่นสามารถบำเพ็ญประโยชน์ครบถ้วนทุกอย่าง ประโยชน์ตนเองก็ทำได้ดี ประโยชน์ผู้อื่นก็ทำได้ดี ประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกันแยกกันไม่ออกก็ทำได้ดี เป็น ๓ ประโยชน์ ครบทั้ง ๓ ประโยชน์ เพราะความไม่เห็นแก่ตัว นี่ผมขอถวายความเห็นเรื่องสิ่งที่ควรเผยแผ่ที่สุดยิ่งกว่าเรื่องใดๆ คือเรื่องความไม่เห็นแก่ตัว ประโยชน์ของความไม่เห็นแก่ตัว อยู่กันอย่างสงบเย็นในโลกนี้ แล้วก็เดินไปใกล้พระนิพพานเอียงไปหาพระนิพพานเองโดยอัตโนมัติ ยิ่งขึ้นทุกที เราก็จะได้สัตบุรุษเต็มไปในโลกนี้แล้วก็จะได้พระอริยเจ้าเต็มไปในระดับเหนือโลก เหนือโลกขึ้นไป ขอเน้น ขอยืนยัน ขอท้าทายว่า ถ้าความไม่เห็นแก่ตัวมาแล้วปัญหาอื่นหมด ไม่มีปัญหาอะไรเหลือ ขอท้าทายอย่างนี้ล่ะ ถ้าความไม่เห็นแก่ตัวเข้ามาแล้วปัญหาใดๆ จะหมด ปัญหาเลวร้ายทั้งหลาย เล็กๆ น้อยๆ จนกระทั่งใหญ่โตมโหฬารก็จะไม่มี ปัญหาเล็กๆ ขี้ฝุ่นก็ไม่มี ปัญหาใหญ่ๆ อย่างมหาสงครามก็ไม่มี) อาการเลวร้ายที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ยิ่งขึ้นทุกวัน ยิ่งขึ้นทุกวันจะไม่มีในหมู่สังคมที่ไม่เห็นแก่ตัว จึงเห็นว่าเรื่องไม่เห็นแก่ตัวนี้เป็นเรื่องที่ควรเผยแผ่อย่างยิ่ง พูดไปเดี๋ยวก็จะหาว่าก้าวร้าว ที่ว่ารัฐบาลไม่ค่อยสนใจจัดการศึกษาเพื่อทำลายความเห็นแก่ตัว กระทรวงศึกษาก็ไม่มีอำนาจที่สามารถจะจัดไปตามลำพังถ้ารัฐบาลไม่ต้องการ ถ้ารัฐบาลออก เอ่ยปากมาคำเดียวว่าช่วยกันกำจัดความเห็นแก่ตัว กระทรวงศึกษาธิการก็ทำได้เต็มที่ หลักสูตรทั้งหมดระดมไปที่ทำลายความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งทำลายความเห็นแก่ตัว ยิ่งฉลาดยิ่งทำลายความเห็นแก่ตัว จะมีปัญหาอะไรเหลือ ผู้ไม่เห็นแก่ตัวไม่สามารถจะกระทำกรรมชั่วทั้งทางแพ่งทั้งทางอาญา
ทีนี้ที่จะพูดต่อไปอีกเพื่อเวลาเหลือเล็กน้อยนี่ก็ว่า การเผยแผ่ที่จะเรียกว่าการสั่งสอนก็ได้ ที่สำเร็จประโยชน์อันแท้จริงมีอยู่ ซึ่งพวกเรามองข้ามไปเสียมันอยู่ที่หน้าต้นๆ ของนวโกวาท ของหนังสือนวโกวาทซึ่งมองข้ามไปเสีย ไม่มอง ไม่สนใจ แล้วก็ไม่เคยเอามาใช้ให้เป็นประโยชน์เลย ผมก็เคยโง่ เคยหลง แล้วก็เคยพบเห็น รู้สึกชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้นมาว่า โอ้, อันนี้มันเหลือเกิน ประเสริฐวิเศษเหลือเกิน คืออาการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าหรือวิธีการสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านทำให้เกิดความรู้สึกได้ยิน เหมือนกับได้ยินได้ฟังของใหม่ แล้วก็ท่านสอนมีเหตุผลโดยไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อเหตุผลในคำพูด แล้วท่านก็สอนว่ามีเป็นปาฏิหาริย์ว่ามันปฏิบัติได้จริง ปฏิบัติได้จริงไม่ได้เหลือวิสัย ครั้นปฏิบัติแล้วมันเกิดผลจริงๆ ไปดูนวโกวาทหมวดต้นๆ ซึ่งคงจะเคยผ่านกัน ท่องกัน แล้วก็ไม่เคยชี้แจงกันทำความเข้าใจกันระหว่างครูกับศิษย์ สั่งสอนให้รู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ข้อนี้มันมีความหมายสำคัญมาก คือมันได้ฟังได้ยินของแปลกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมันก็สนใจสิ สนใจในฐานะที่เป็นของแปลก เพราะฉะนั้นเรื่องอะไรก็ตามที่เราจะเอาไปสอนเขาน่ะ ต้องทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกไม่เคยได้ยินมาก่อน มันเกี่ยวกับวิธีพูด จนรู้สึกว่าแปลกไม่เคยได้ยินมาก่อน แล้วพร้อมกันนั้นก็แสดงให้เห็นชัดว่ามีประโยชน์เต็มที่ มีประโยชน์ชนิดที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อน ทั้งการปฏิบัติก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน ทั้งผลที่ได้รับก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน สอนให้เขารู้สึกว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องนี้และเป็นเรื่องที่มีประโยชน์สูงสุด มีค่าสูงสุด ข้อแรกทำให้เกิดความรู้สึกอันนี้ก่อนมันจึงจะสำเร็จ ถ้าไม่เกิดความรู้สึกอันนี้มันไม่สนใจ ไม่สนใจที่จะศึกษา ไม่สนใจที่จะปฏิบัติไปจนถึงจุดหมายปลายทาง ที่ข้อที่สองว่ามีเหตุผลอยู่ในตัว ไม่ต้องอ้างนั่น ไม่ต้องอ้างนี่ ไม่ต้องอ้างคัมภีร์นั้น ไม่ต้องอ้างคัมภีร์นี้ ไม่ต้องอ้างบุคคลนั้น ไม่ต้องอ้างบุคคลนี้ มันมีเหตุผลอยู่ในตัวคำพูดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ข้อนี้มันปรากฏชัดอยู่แล้วในบาลีกาลามสูตร ๑๐ ข้อ อย่าต้องใช้ไอ้ ๑๐ ข้อนั่นเลย แต่ให้มันมีเหตุผลอยู่ในตัวคำพูดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ไม่ต้องอ้างว่าบอกต่อๆ กันมา ทำตามๆ กันมา เลื่องๆ ลือกันอยู่กระฉ่อนไป มีที่อ้างในพระไตรปิฎก ถูกต้องตามเหตุผลทางนัย ถูกต้องตามเหตุผลทางตรรกะ ถูกต้องกับอารมณ์ความคิดของเรา ทนต่อความพิสูจน์ของเรา ผู้พูดน่าเชื่อหรือผู้พูดเป็นครูของเรา นี่ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่ต้องเกณฑ์ ไม่ต้องบังคับเขาให้เชื่อโดยอาการเหล่านี้ แต่ว่าในตัวคำพูดนั่นมันมีแสดงชัดอยู่ว่ามันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ท้าทายว่าเป็นอย่างนั้น เช่นพูดว่ากิเลสมันร้อนไม่ต้องบอกเขาล่ะ มัน มัน มันรู้ รู้ได้ในตัว ในตัวมันเอง ทำอย่างนี้เป็นทุกข์ นี่ก็เห็นได้ชัดในตัวมันเอง ทำอย่างนี้เรียกว่านรก มันก็เข้าใจได้ทันทีเพราะมันเคยทำมาแล้ว นี่เรียกว่ามีเหตุผล มีเหตุผลอยู่ในตัวคำพูดที่เราพูดออกไป อย่ามัวอ้างนั่นอ้างนี่ อย่าไปอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาขู่หรืออะไร ไม่ ไม่ ไม่ มันไม่ตรงตามหลักพระพุทธศาสนา หรือวิธีการที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแนะนำไว้แล้ว สอนมีเหตุผลอยู่ในตัว และพอมาถึงขั้นที่ ๓ ก็มีปาฏิหาริย์ เห็นได้ชัดว่าปฏิบัติตามแล้วมีผลจริง คือสอนให้ปฏิบัติได้ในลักษณะที่จะมีผลจริงๆ อย่างนี้เรียกว่ามีปาฏิหาริย์ เขาเห็นได้ทันทีว่ามันมีทางสำเร็จ แล้วเขาไปปฏิบัติเข้ามันก็มีปาฏิหาริย์คือสำเร็จตามที่เรากล่าวไว้อย่างไร สรุปความสั้นๆ เสียที จำง่ายๆ ก็ว่าข้อที่ ๑ ก็สอนให้น่าอัศจรรย์ น่าอัศจรรย์แก่จิตใจ มันเข้าไปทำความรู้สึกแก่จิตใจอย่างน่าอัศจรรย์ ว่าอันนี้มันน่าอัศจรรย์ มันแปลก มันไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน มันไพเราะ มันงดงามอะไรอย่างนี้ เรียกว่าสอนน่าอัศจรรย์ อันที่ ๒ ก็สอนมีเหตุผลอยู่ในตัวคำสอนนั้นไม่ต้องอ้างใคร ไม่ต้องอ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน มันมีเหตุผลแสดงชัดอยู่ตัวคำพูดนั้นว่าทำเข้าไปเถอะมันจะได้ผลอย่างนั้น อันที่ ๓ มีปาฏิหาริย์ มีปาฏิหาริย์แน่นอนปฏิบัติแล้วได้ผลอย่างนั้น และเป็นสิ่งปฏิบัติได้ปฏิบัติได้โดยแน่นอนไม่เหลือวิสัย รวมความสั้นๆ ว่า สอนให้น่าอัศจรรย์ สอนให้มีเหตุผล และก็สอนให้มีปาฏิหาริย์ ๓ อย่างพอแล้ว การสั่งสอนนั้นจะได้ผล การเผยแผ่นั้นจะได้ผล ได้ผลมาก ขอให้ลองพยายามดู หรือศึกษาใคร่ครวญดู การสั่งสอนเผยแผ่ที่ทำพอเป็นพิธี ทำตามพิธี ทำตามอะไร หมายสั่ง ไอ้นี่มันไม่ครบ มันไม่ครบหลักแห่งความสำเร็จ ๓ ประการนี้ที่ว่าไว้ ยิ่งทำตามธรรมเนียมตามประเพณีแล้วมันก็เป็นเรื่องหลับไปพลาง ผู้ฟังหลับไปพลาง ผู้เทศน์ก็มีโอกาสหลับเหมือนกัน มันก็กลายเป็นเป่าปี่ให้แรดฟังไปเสียหมด คำสั่งสอนส่วนใหญ่มีลักษณะเป่าปี่ให้แรดฟังไปเสียหมด บางทีผู้เทศน์ผู้สอนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจ เพียงแต่จำเอามาจากในหนังสือในคัมภีร์เอามาพูด มาสอน คนฟังก็ไม่มีความรู้สึกที่เป็นมาตามลำดับว่ามันอัศจรรย์ใจ แล้วก็สนใจจะฟังและสนใจจะปฏิบัติ เขาก็ไม่ได้รับผลอย่างนี้ ก็จบ เรื่องก็จบกัน พอจบเรื่อง มันก็จบกัน มันก็จบกันอยู่ที่ตรงนั้น มันไม่ได้ไปอยู่ในจิตใจของผู้ได้รับหรือผู้ฟัง นี่พระธรรมมันก็เลยไม่ไปอยู่ในจิตใจของผู้ฟัง ไม่มีอำนาจไม่มีอิทธิพลที่จะบันดาลผลที่น่าปรารถนาแก่ผู้ฟังและแก่สังคม จึงขอถวายความรู้ตามมีตามเกิดให้จงสั่งสอนด้วยคำพูดที่ประกอบไปด้วยองค์ ๓ ประการคือ น่าอัศจรรย์ พอฟังแล้วถึงกับสะดุ้ง แม้จะสอนเรื่องธรรมดาๆ ก็ต้องพูดให้น่าอัศจรรย์ แล้วก็มีเหตุผลอยู่ในตัวคำพูดนั้น แล้วก็มีปาฏิหาริย์คือปฏิบัติให้สำเร็จได้จริง ก็ลองดูสอนเรื่องอะไรจะสำเร็จในตามความมุ่งหมายทุกๆ ประการ นี้เรียกว่า อุบายวิธี เคล็ดเรียกว่าเคล็ด เรียกง่ายๆ ว่าเคล็ดก็ได้ เรียกให้มันไพเราะเป็นศัพท์แสงว่าเทคนิคก็ได้ อะไรก็ตามใจ คืออุบายที่จะให้สำเร็จมันมีอยู่ในการพูดจาสั่งสอน ที่เหนือไปจากการสั่งสอนก็ทำตัวอย่างให้ดู ผู้สอนทำตัวอย่างให้ดูเสียเลยชักชวนกันทำตัวอย่างให้ดูเสียเลย มันก็สำเร็จแน่ มีสำเร็จแน่ ที่จะพูดให้น่า ให้หนักแน่นกว่านั้นก็ว่า มีความสุขให้ดู นอกจากทำตัวอย่างให้ดูแล้วยังมีความสุขให้ดู ตัวอย่างนั้นทำด้วยการแสดงว่ามีความสุขให้ดู ไม่ใช่เพียงตัวอย่างว่าทำอย่างไร ทำอย่างไร ตัวอย่างเท่านั้นยังไม่พอ ตัวอย่างอันสูงสุดก็ว่ามีความสุขให้ดู ประสบความสำเร็จมีความสุขอย่างนี้อย่างนี้ เพราะการทำอย่างนี้ ถ้าใช้ตัวอย่างอย่างนี้แล้วก็วิเศษ จะมีความสำเร็จหรือประสบความสำเร็จในการที่จะสั่งสอน สั่งสอนชักจูงประชาชนให้เข้ามาสู่ธรรมปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา ในการพัฒนาบ้านเมืองเป็นส่วนรวมก็ดี ในการพัฒนาตัวเองเพื่อการบรรลุมรรคผลยิ่งๆ ขึ้นไปก็ดี จะมีความสำเร็จ นี่เรียกว่าเคล็ดที่จะเป็นวิธีสอน เรื่องที่ควรจะสอนก็พูดมาแล้วไม่มีเรื่องอะไรดีกว่าเรื่องทำลายความเห็นแก่ตัว พระเจ้าพระสงฆ์เราช่วยกันระดมทุ่มเทให้ประชาชนสามารถทำลายความเห็นแก่ตัว ถ้าทำลายความเห็นแก่ตัวแล้วไม่มีสิ่งเลวร้ายใดๆ เหลือ ไม่มีใครขาดศีล ไม่มีใครทำผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา เรียกว่าปราบศัตรูตัวร้ายกาจของโลกนี้ได้สำเร็จ นี่เรียกว่าการเผยแผ่ที่มีวิธีการถูกต้อง แล้วก็มีเรื่องที่จะเผยแผ่นั้นถูกต้อง คือการเผยแผ่ที่ประกอบไปด้วยองค์ ๓ วิธีพูด แล้วเรื่องที่จะเผยแผ่นั้นถูกต้องคือเรื่องกำจัดความเห็นแก่ตัว กำจัดความเห็นแก่ตัว ถ้ารัฐบาลต้องการอย่างนี้แล้วมันจะมีทางง่าย หรือว่าทั้งโลกต้องการอย่างนี้แล้วก็จะมีหวังว่าโลกจะรอดจากความวินาศ นี่ทั้งโลกยังต่างคนต่างเห็นแก่ตัวต่างคนต่างเห็นแก่ตัวแย่งชิงกันแสวงหาประโยชน์ จะครองโลก ความเห็นแก่ตัวมีมากถึงจะครองโลก แล้วมันจะเอาสันติภาพมาแต่ไหน เป็นอันว่ากระผมขอถวายความคิดเห็นอย่างนี้แก่เพื่อนสหธรรมิกที่เป็นพระสังฆาธิการทั้งหลาย จงช่วยกันเผยแผ่ให้สำเร็จ วิธีการเผยแผ่ที่ถูกต้องและเรื่องที่ควรจะเผยแผ่นั้นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แล้วก็จะเกิดคุณค่ามหาศาลเป็นปูชนียบุคคลในโลก ก็ให้ประโยชน์แก่ชาวโลกมหาศาล รับเงินเดือนเพียงวันละบาตร วันละบาตร บาตรใส่ข้าวนะ มันก็ได้รับความเป็นปูชนียบุคคลโดยแน่นอน ขอแสดงความหวังว่าท่านพระสังฆาธิการสหธรรมิกทั้งหลายจะนำไปพินิจพิจารณาดู เห็นด้วยเห็นจริงด้วยเท่าไรแล้วก็ทำตามเท่าที่เห็นด้วยและเห็นจริง ผลก็จะเกิดขึ้นเกินคาด แม้แต่เพียงเบื้องต้นก็ผลก็จะเกิดขึ้นเกินคาด ผมต้องขอยุติการบรรยายเพราะว่าไม่มีแรง มันก็เป็นเวลาบ่ายเย็นอย่างนี้ไม่มีแรง ขอยุติการบรรยายและขอแสดงความหวังอย่างนี้ และขอแสดงความขอบพระคุณที่อุตส่าห์มาเยี่ยมวัดนี้ ขอยุติการถวายความรู้เรื่องการเผยแผ่เพียงเท่านี้