แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งที่แล้วมา เราก็ได้พูดถึงการควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท เมื่อเราควบคุมได้ มันก็เกิดสิ่งใหม่ที่จะเรียกว่าปฏิจจนิโรธ คือการดับลงแห่งปฏิจจสมุปบาท คำว่าปฏิจจนิโรธะนี่ ไม่มีเขียนอยู่ในพระบาลี เรารู้เอาเองโดยที่ข้อความที่กล่าวในตอนนี้ว่านิโรโธ นิโรโธ นิโรโธ จึงเรียกว่าปฏิจจนิโรธ ปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น ปฏิจจนิโรธ อาศัยกันแล้วดับลงๆ ขอให้สนใจคำสองคำนี้ในฐานะที่เป็นคำคู่ตรงกันข้าม Formula ตอนนี้เราจะได้ยินแต่คำว่า สังขาระนิโรโธ วิญญาณะนิโรโธ นามะรูปะนิโรโธ อายตนะนิโรโธ ผัสสะนิโรโธ นิโรโธกันตลอดสายเลย แล้วถึงเรียกว่า ปฏิจจนิโรธะ อาศัยกันแล้วดับลงๆ ต้องขอบอกกล่าวให้ทราบไว้ล่วงหน้าว่าเป็นตอนที่สำคัญ ที่ลึกซึ้ง ที่เข้าใจยากที่สุดของเรื่อง พระอานนท์ได้เข้าไป วันหนึ่งไปเฝ้าพระพุทธเจ้า แล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ปรากฎแก่ข้าพระองค์ว่า เป็นเพียง ยาว คมฺภีโร หมายความว่า สักแต่ว่าลึก สักแต่ว่ายาก พอที่จะกล่าวว่ายากเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า อู้..อย่า ๆๆ อย่าพูดอย่างนี้ อานนท์อย่าพูดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ สำนวนตอนนี้มีความหมายลึก ถ้าพูดอย่างเราพูด ถ้าพูดอย่างเราพูดกันตามธรรมดา คนธรรมดา ว่า “ไอ้บ้า ๆ มึงอย่าพูดอย่างนั้นสิ” นี่จะต้องเป็นถึงขนาดนี้เลย ที่ความลึกของคำว่าปฏิจจสมุปบาทคือคำว่า คมฺภีโร ลึกซึ้ง ๆ แต่พระอานนท์ทูลว่า ยาว คมฺภีโร ยาว คมฺภีโร สักว่าลึกซึ้ง สักว่าจะพูดว่าลึกซึ้งเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านว่า อย่าพูดอย่างนั้น อย่าพูดอย่างนั้น มีความหมายรุนแรงมาก เหมือนกับว่า ตะเพิด
เราต้องถือว่าเป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุด ที่สุดในสากลจักรวาลนี้ The whole universe นี้ หรือว่าใน time ใน space ที่เป็น infinity นี่ ไม่มีเรื่องอะไรจะยากเท่ากับเรื่องนี้ ไม่มีเรื่องอะไรจะยากเท่ากับเรื่องนี้ ขอให้เข้าใจอย่างนี้และเตรียมสำหรับจะฟังเรื่องที่ยากที่สุด ตัวอย่างเช่นเราจะได้ยินคำว่า นาม รูป mind body ดับๆ แต่คนไม่ตาย แต่คนไม่ตาย นี่มันลึกอะไร มันยากกระไร ยากที่จะเข้าใจได้กระไรนี่ ก็ต้องเตรียมไว้สำหรับฟังคำที่มันเข้าใจยากอย่างนี้ มันเป็นเรื่องกลับตรงกันข้ามกับเรื่องปฏิจจสมุปบาท กลับตรงกันข้าม เป็นอะไร เป็น vise versa ของปฏิจจสมุปบาท เรียกว่าปฏิจจนิโรธ ทีนี้เราก็มีคำ formula แรกว่า อะวิชชายะเตววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ เพราะอวิชชาดับไป ไม่เหลือ ๆ สังขารก็ดับ อะวิชชายะเตววะ วิราคะ นิโรธา, อะวิชชายะเตววะ วิราคะ นิโรธา เพราะอวิชชาดับไม่มีเหลือ สังขาระนิโรโธ สังขารก็ดับ เมื่ออวิชชาดับ อำนาจที่จะปรุงแต่งสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้เป็นอย่างไรมันก็ดับ เมื่อสังขารดับ วิญญาณ วิญญาณที่ปรุงแต่งขึ้นมาโดยอวิชชานั้นก็ดับ
นี่เข้าใจยาก วิญญาณ วิญญาณในที่นี้ก็เป็นสิ่งที่สังขารปรุงขึ้นมา สำหรับให้เกิดการปรุง หรือการกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ ที่เรียกว่ากายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ถ้าวิญญาณนี้มันมี มันก็มีหน้าที่ที่จะปรุงแต่งกาย วาจา ใจ ทีนี้เมื่อสังขารดับ อำนาจการปรุงแต่งดับ วิญญาณชนิดนี้ก็ไม่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา วิญญาณชนิดนี้ไม่ถูกปรุงขึ้นมา เมื่อวิญญาณที่มาจากอวิชชาดับ นามรูปที่ปรุงขึ้นมาจากวิญญาณนี้ก็ต้องดับ วิญญาณที่มาจากอวิชชาดับ นามรูปที่ปรุงขึ้นจากวิญญาณนี้ก็ต้องดับ หรือว่าคนยังไม่ตายนะ คนไม่ตาย เมื่อนามรูปชนิดนี้ นามรูปชนิดที่มาจากอวิชชา มาตามลำดับนี้ดับ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ปรุงขึ้นมาโดยนามรูปชนิดนี้ก็ดับ แต่ว่าคนนั้นก็มิได้ตาบอด หูหนวก ลิ้นเสีย จมูกเสีย ประสาทกายเสีย ไม่เป็น ไม่ได้เป็น ขอแทรกตรงนี้หน่อยหนึ่งว่า คำว่าดับ ๆ ในกรณีนี้ หรือในภาษาธรรมะนี้ หมายความว่าเมื่อมันไม่ทำหน้าที่ มันไม่อยู่ในหน้าที่ ไม่มีหน้าที่ อย่างนี้ก็เรียกว่าดับ ถ้ามันทำหน้าที่อยู่เรียกว่ามันเกิด เช่น ตาของเรา ถ้าไม่ได้ทำหน้าที่อยู่ หรือหูของเราไม่ได้ทำหน้าที่อยู่ เราเรียกว่าหูดับ ตาดับ แต่ประสาทตา หูตามันก็ยังมี มันไม่ได้หายไปไหน แต่มันไม่ได้ทำหน้าที่ แต่ในภาษาธรรมะเรียกว่า มันดับ พอมันขึ้นมาทำหน้าที่ก็เรียกว่า มันเกิด ฉะนั้น ตา หู จมูก เป็นต้นนี้ มันเกิดดับ ๆ อยู่ตลอดเวลาที่มันทำหน้าที่ หรือมันหยุดทำหน้าที่ นั่นคือ เกิด หรือ ดับ ในภาษาธรรมะ
คำพูดนี้ใช้ได้แม้กับสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตๆ เมื่อชีวิตไม่อยู่ในหน้าที่ ไม่มีหน้าที่ก็เรียกว่า ชีวิตดับ พอชีวิตมีหน้าที่ มีหน้าที่ ทำหน้าที่ก็เรียกว่า ชีวิตเกิด นี่ชีวิตดับอย่างนี้ไม่ได้หมายความว่า ตาย ไม่ได้หมายความว่า ตาย แต่คำพูดในภาษาธรรมะใช้ได้อย่างนั้นว่า ชีวิตดับ ชีวิตเกิด ชีวิตดับ ชีวิตเกิด เมื่อชีวิตในหน้าที่อยู่ชีวิตก็เกิดอยู่ พอชีวิตไม่ทำหน้าที่ มันก็คือดับ อายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สร้างขึ้นมาด้วยอวิชชาดับนี่ อายาตนะดับ ผัสสะก็ดับ ผัสสะที่สร้างมาโดยอวิชชาก็ดับ ผัสสะก็ดับ ผัสสะโดยอวิชชานั้นก็ดับ เมื่อผัสสะโดยอวิชชาดับ เวทนาๆโดยอวิชชาที่มีอวิชชาควบคุมอยู่ก็ดับ โดยทำนองเดียวกันนี้ เวทนาดับ ตัณหาก็ดับ โดยอวิชชา ที่อวิชชา โดยอวิชชา มันก็ดับๆๆ จนกระทั่งทุกข์ดับ อวิชชานี่มันดับโดยวิชชา วิชชาเข้ามา อวิชชามันก็ดับ ปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันแล้วเกิดขึ้นนี้ มันควบคุมอยู่โดยอวิชชา ส่วนปฏิจจนิโรธะ อาศัยกันดับลงๆๆ นี้ มันควบคุมอยู่โดยวิชชา เมื่อชีวิต เมื่อระบบชีวิตนี้ มันมี commander in shape of อวิชชา มันก็เป็นปฏิจจสมุปบาท เมื่อมันมี commander in shape โดยวิชชา มันก็เป็นปฏิจจนิโรธะ ขอให้เปรียบเทียบกันให้ดี มีปฏิจจสมุปปาทะขึ้นมา มีปฏิจจนิโรธะดับลงๆ คำสองคำนี้มีความหมายอย่างนี้ ฉะนั้น ความจำเป็นที่สุดที่เราจะต้องรู้สึกตัวเอง รู้จักตัวเราเองว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตของเรามัน command อยู่ด้วยวิชชา หรือด้วยอวิชชา โดยปกติ ตามปกติ ตามธรรมชาติ มันถูกครอบงำ ควบคุม บังคับอยู่ด้วยวิชชา เพราะว่ามันขาดวิชชา ตามปกติมันขาดวิชชา มันขาดวิชชา อวิชชามันก็เข้ามา ฉะนั้น จึงมีคำกล่าวว่า อวิชชามีอยู่ทั่วไปๆในจักรวาลนี้ พร้อมที่จะตกลงมาจับควบคุมชีวิต อวิชชามีอยู่ทั่วไปพร้อมที่จะตกลงมาควบคุมชีวิต เมื่อว่าง เมื่อไม่มีวิชชา เมื่อไม่มีวิชชา อวิชชาก็ครองชีวิตหรือครองจักรวาลนี้ ในทันทีที่แสงสว่างออกไป แสงสว่างไม่มี ความมืดก็ลงมาทันที ก็ครอบงำทันที ขอให้สังเกตอย่างนี้
ครั้งที่แล้วมา เราพูดถึงการควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาท เราควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทโดยวิชชาเข้ามา มันมีวิชชาเข้ามา ผัสสะเป็นผัสสะของวิชชา ไม่เป็นผัสสะของอวิชชาแล้ว แต่เป็นผัสสะของวิชชา ก็ผัสสะไม่โง่ เวทนาไม่โง่ ตัณหาไม่โง่ อะไรไม่โง่ๆ ก็ไม่มีความทุกข์โดยอำนาจของวิชชา นี่เราเห็นได้ทันทีว่า เราจำเป็นจะต้องมีวิชชา ปัญญา ที่เราปฏิบัติอานาปานสตินี้เพื่อว่าจะมีวิชชา เพื่อจะมีวิชชาพร้อมที่จะใช้โดยสตินำเอามาในขณะแห่งผัสสะ โดยเฉพาะในขณะแห่งผัสสะ ก็เป็นผัสสะของวิชชา ก่อนนั้นเป็นผัสสะของอวิชชา เดี๋ยวนี้กลายเป็นผัสสะของวิชชา มันตรงกันข้ามเลย เมื่อเราพูดโดยทาง Theoretical way of speaking เราก็พูดมาตั้งแต่ว่า วิชชามาดับอวิชชา ฉะนั้น วิชชาก็มาดับสังขาร วิชชามาดับวิญญาณ มาดับนามรูปนี้ เราก็พูดได้ แต่ในทางปฏิบัติ ทาง practical ability โดยเฉพาะนี้เราพูดกันแต่เพียงว่าผัสสะก็พอ ในขณะแห่งผัสสะนี้ให้มีวิชชา ให้มีปัญญา ให้มีสตินำเอาปัญญา วิชชามา ไม่ให้เป็นผัสสะของอวิชชา แต่ให้เป็นผัสสะของวิชชา เราจะแก้ปัญหาได้ตลอดไป มีคำพูดอยู่ ๒ คำเท่านั้นสั้นๆ จำง่ายว่า อวิชชาสัมผัส สัมผัสโดยอวิชชา แล้วก็วิชชาสัมผัส สัมผัสโดยวิชชา ควบคุมสัมผัสนี้ให้ดี ให้มีแต่วิชชาสัมผัส วิชชาสัมผัส อวิชชาออกไป นี่เราก็จะสามารถดับทุกข์ ดับความทุกข์ เป็นปฏิจจนิโรธะแห่งความทุกข์ นี่ความลึกซึ้ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ลึกซึ้งที่สุดมันอยู่ที่ตรงนี้่ ทำอย่างไรจะดับอวิชชา ทำอย่างไรจะดับสังขาร ทำอย่างไรจะดับวิญญาน ทำอย่างไรจะดับนามรูปโดยที่ไม่ต้องตาย ความลึกซึ้งของปฏิจจสมุปบาทอยู่ที่ตรงนี้ พระพุทธเจ้าจึงว่าลึกซึ้งๆ พระอานนท์ว่าลึกซึ้งพอประมาณเท่านั้นนะ เราต้องถือตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าลึกซึ้งที่สุดแล้ว ถ้าเราจะถามตัวเองว่าเดี๋ยวนี้ชีวิตของเรานี้ครอบงำอยู่ด้วยวิชชา หรือครอบงำอยู่ด้วยอวิชชา นี่ขอให้ถามตัวเองอย่างนี้ ว่าชีวิตของเรา ระบบชีวิตของเราประจำวันนี่ครอบงำอยู่ด้วยวิชชา หรือครอบงำอยู่ด้วยอวิชชา เมื่อไม่มีวิชชามันก็มีอวิชชานี้เป็นธรรมดาที่สุด เมื่อแสงสว่างไม่มี ความมืดก็มี นี่ชีวิตนี้มันอยู่ในความมืด มันอยู่ในความมืดของอวิชชา เราจึงมาศึกษาปฏิจจสมุปบาท แล้วเราก็ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วเราก็จะมีกระแสแห่งปฏิจจนิโรธะ อาศัยกันแล้วดับลง อาศัยกันแล้วดับลง นี่ประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาท ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท
ทีนี้ ก็อยากจะให้มองไปอีกทางหนึ่งว่า พุทธศาสนาหรือหลักพุทธศาสนานี้เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์ จงดูความเป็นวิทยาศาสตร์ของการที่ Researching, experimenting จนพบความจริงที่ว่าวิชชาและอวิชชา ชีวิตครอบงำอยู่ด้วยอวิชชา มีความทุกข์ พอวิชชาเข้ามาก็จะไม่มีความทุกข์ ความเป็นวิทยาศาสตร์ของพุทธศาสนาอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ทางฟิสิกส์ มันเป็นวิทยาศาสตร์ทาง spiritual อะไรยิ่งๆ ขึ้นไปนั่น ในโลกวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้ควรจะเรียนวิทยาศาสตร์อันนี้ ขอให้มองเห็นให้ชัด และมีความเชื่อให้ชัดลงไปว่าพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ Philosophy ไม่ใช่ Philosophy เป็นวิทยาศาสตร์ ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ศึกษาลงไปตรง ๆ ไม่มีการคำนวณ ไม่มี speculation ไม่มีการคำนวณ ไม่ต้อง reasoning ไม่ต้องอะไรหมด พวกนั้นเป็นของ Philosophy เขาอาศัย speculation ก็ตามใจของ Philosophy ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างพุทธศาสนา ต้องทำลงไปตรง ๆ ต้องเหมือนกับหมอผ่าตัด เหมือนกับหมอทำการผ่าตัด แล้วค้นหาพบเห็นลงตรงๆ ไม่มี speculation นี่พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ Philosophy เดี๋ยวนี้พวกเราในโลก มันชอบ Philosophy มันหลง Philosophy เป็นยาเสพติด ยาเสพติดและยาเสพติด อย่างเฮโรอีนนี่ ใน Philosophy แล้วเราก็เอาพุทธศาสนาไปทำ Philosophy อันนี้ทำได้ อันนี้ทำได้ แม้พุทธศาสนาจะเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ก็เอาไปพูดอย่าง Philosophy ได้ แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่รู้จักจบ ไม่มีจบ ขอให้สังเกตว่า Philosophy นี้ไม่มีจุดจบ เหมือนกับทางรถไฟ ๒ เส้น ทางรถไฟ ๒ เส้น จะเป็นคู่กันไป ตลอดไป ไม่มีการพบกัน นี่ไม่มีจุดจบ นี่ลักษณะของ Philosophy มันต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีจุดจบ ต้องมีการพบความจริง ตัดความทุกข์ได้ ขอให้เรายึดเอาระบบวิทยาศาสตร์มาใช้เถิด เอาระบบ Philosophy ไปฝังดินเสียเถิด แค่เอาไปฝังดินไม่พอนะ เอาไปเผาไฟ เอาไปเผาไฟ แล้วก็เอาขี้เถ้าไปโยนทะเล จะหมดๆ จริงๆ หมดอย่างนั้น
โดยหลักของกาลามสูตร เราไม่อาจจะพบความจริงได้โดยวิธีที่เรียกว่า เรียกบาลีว่า ตรรกะๆ นั่นคือ logic เราไม่อาจจะพบความจริงได้โดยวิธีของญายะหรือนัยยะ นั่นคือ Philosophy ตรรกะ หรือ Philosophy หรือ logic หรือ Philosophy ไม่อาจจะช่วยให้เราพบตัวพุทธศาสนา เราก็ได้แต่ speculation เรื่อยไป ในแบบของ Philosophy ท่านคงจะเคยได้ยิน ได้ฟังคำพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เห็นธรรมะ จึงจะเห็นเรา เห็นร่างกาย เห็นร่างกายของเรา แม้จะจับร่างกายของเราไว้ จับจีวรของเราไว้ ก็ไม่ชื่อว่าเห็นเรา คำพูดนี้ท่านหมายถึงว่า เห็นธรรมะจึงจะเห็นเรา ที่เห็นธรรมะนั้น ตรัสว่าคือเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วจึงจะเรียกว่า เห็นธรรมะ เห็นธรรมะแล้วจึงจะเรียกว่า เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เด็กๆหรือคนโง่หรือคนไม่มีปัญญา เขาก็เห็นพระพุทธเจ้าที่ร่างกายของพระพุทธเจ้านี่ ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่องค์พระพุทธเจ้า เป็นเปลือก เปลือกของพระพุทธเจ้า เขาเห็นพระพุทธเจ้าที่เปลือก คือที่ร่างกาย พระพุทธเจ้าตรัส ไม่ใช่ๆ ถ้าว่าโง่มากกว่านั้นอีกนี่ เขาก็เห็นพระพุทธเจ้าที่พระพุทธรูป พระพุทธรูปเดี๋ยวนี้เต็มไปหมด พระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าที่พระพุทธรูปบ้าง เห็นพระพุทธเจ้าที่ร่างกายนี้บ้าง ไม่ใช่ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ต้องเห็นธรรมะ เห็นธรรมะคือเห็นปฏิจจสมุปบาท เห็นปฏิจจสมุปบาทคือเห็นว่า ความทุกข์เกิดขึ้นอย่างไร ความทุกข์ดับลงอย่างไร เห็นทั้งปฏิจจสมุปบาท เห็นทั้งปฏิจจนิโรธะ นั่นคือเห็นธรรมะ นั่นคือเห็นพระพุทธเจ้าพระองค์จริง เราไม่ต้องไปอินเดีย หรือไม่ต้องไปไหน เราต้องไปที่ที่เราเห็นปฏิจจสมุปบาทคือ ในใจเรา ให้เราเห็นปฏิจจสมุปบาทเราจะพบพระพุทธเจ้า ฉะนั้น เดี๋ยวนี้เราไม่เห็น มันมีม่านๆ ม่านบังของอวิชชา ม่านของอวิชชาบังไว้ เราก็ไม่เห็น เราจงแหวกม่านของอวิชชาในใจเรานั้นออกไปเสียหน่อยหนึ่ง เราจะพบว่าพระพุทธเจ้าพระองค์จริงนั่งอยู่ที่นี่ นั่งอยู่ที่ตรงนี้ เราแหวกม่านออกไปเราก็เห็น พอมีม่านอยู่เราก็ไม่เห็น พระพุทธเจ้าอยู่ข้างหลังม่านของอวิชชา ม่านของอวิชชาของท่านนั้นอยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน หาพบหรือยัง เราจะต้องมีความรู้ ศึกษาความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี่ เราก็จะหาพบม่านของอวิชชา แล้วเราก็จะแหวกไปหรือว่าเราจะตัดเสีย ตัดม่านอวิชชาเสีย ด้วยความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ความเข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ความเห็นแจ่มแจ้งเรื่องปฏิจจสมุปบาทนะ วิชชา วิชชาในปฏิจจสมุปบาทนี้จะทำลายม่าน ทำลายม่านไปได้ นี่เราจะเห็นได้ทันทีว่าเรื่องปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้สำหรับจะศึกษา จะศึกษาก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้งอย่างยิ่งสำหรับจะปฏิบัติ จะปฏิบัติก็ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่จะได้รับผลของการปฏิบัติ ก็ลึกซึ้ง ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ฉะนั้นถ้าใครจะมาบอกว่าไม่ลึกซึ้ง หรือลึกซึ้งพอประมาณแล้วก็ เราจะบอกเขาว่า บ้าๆ อย่าพูดอย่างนั้นๆ
อยากจะพูดสักหน่อยว่า อย่าหาว่าเป็น elegance หรือไม่โอหังอะไรนี่ หากท่านไม่เคยได้ยินคำอธิบายปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ใช่ไหม หนังสืออธิบายปฏิจจสมุปบาทเขียนอธิบายโดยชาวลังกา ชาวอินเดีย ชาวยุโรปเองก็เขียนเรื่องปฏิจจสมุปบาท มีหนังสือเรื่องปฏิจจสมุปบาทเยอะแยะ แล้วมีคำอธิบายอย่างนี้ไหม เขาเขียนอธิบายปฏิจจสมุปบาทตามแนวที่พระพุทธโฆษาจารย์เขียนหนังสือวิสุทธิมรรค แล้วอธิบายไว้ แล้วเขาก็ attach ด้วยหนังสือเล่มนั้น แล้วก็พูดอย่างนั้น แม้ฝรั่งมาศึกษาก็ศึกษาอย่างนี้ ฝรั่งก็เขียนไปปฏิจจสมุปบาทตามนี้ ขอท้าทายว่าไปดูเถิด หนังสือปฏิจจสมุปบาทที่เขียนขึ้นมาแล้วในโลกทุกเล่ม มันอธิบายตามวิสุทธิมรรคทั้งนั้น ถ้าบางท่านอาจจะเคยอ่านหนังสือเหล่านั้นมาแล้วนะ หรือว่าท่านจะไปหามาอ่าน ไปซื้อมาอ่านทุก ๆ เล่มเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ได้เขียนขึ้นแล้วนี้ แล้วก็ท่านลองคิดดูว่าหลักการอย่างนั้น มันเอามา apply, apply ได้ไหมที่จะดับทุกข์ ดับความทุกข์กันให้สิ้นเชิงอย่างนี้ วิธีอย่างนั้น วิธีอย่างนั้นจะเอามา apply ได้ไหม หรือรู้สึกได้ด้วยตนเองว่ามันไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ยกไว้ให้ว่าเป็นคำอธิบายอีกแบบหนึ่ง เพื่อประโยชน์ทางศีลธรรม ไม่ใช่เพื่อ Ultimate Truth ไม่ใช่เพื่อปรมัตถธรรม เพื่อศีลธรรมพื้นฐานทั่วไปในโลกแล้วก็ได้ ก็พูดอย่างมีอัตตา พูดอย่างมีตัวตน คนเดียว เกิดแล้วเกิดอีกอย่างนี้ ไม่ใช่ปฏิจจสมุปบาทของพระพุทธเจ้า เป็นปฏิจจสมุปบาทอธิบายใหม่เพื่อประโยชน์แก่ศีลธรรม
ในสมัยพระพุทธเจ้า สมัยพุทธกาล มีปฏิจจสมุปบาทระบบเดียว ระบบของพระพุทธเจ้า ต่อมาๆก็มีเกิดอีกระบบหนึ่ง ระบบคำอธิบายของพุทธโฆษาวิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษา กลายเป็นอย่างมีตัวตน ก็เกิดเป็น ๒ ระบบขึ้นมา เก็บไว้ก็ได้ระบบของพระพุทธโฆษานี่เราเรียกว่า เพื่อศีลธรรม ระบบของพระพุทธเจ้าเดิมเพื่อปรมัตถธรรม ในระบบ pali text แท้ ๆ ในพระไตรปิฎกนี่ มีระบบของพระพุทธเจ้า ครั้นตกมาถึงสมัย commentator, commentator คือผู้อธิบายพระไตรปิฎก เช่นพระพุทธโฆษานี่ก็เป็น commentator และ commentator อื่น ๆ อีกมาก เขาอธิบายกันอย่างนี้ แล้วจะเรียกว่าปฏิจจสมุปบาทนอกพระไตรปิฎก มันอยู่ในอรรถกถา ระบบอรรถกถา เราเอาพระไตรปิฎก เอาปฏิจจสมุปบาทระบบบาลีเดิมไว้สำหรับ Ultimate truth เอาปฏิจจสมุปบาทระบบ commentary นี่ไว้สำหรับศีลธรรม relative truth truth ใช้อันนี้ได้ มีอัตตาเป็น อันโน้นเป็น Ultimate truth ไม่มีอัตตา ปฏิจจสมุปบาทระบบบาลีๆๆ ของพระพุทธเจ้านั้นกำจัดความรู้สึกว่าอัตตา ถอนความรู้สึกว่าอัตตา ปฏิจจสมุปบาทระบบ commentator อรรถกถาครั้งหลังนี้ยืนยันมีอัตตา ที่จะส่งเสริมความมีอัตตาเป็นอย่างดี มันแยกกันอยู่อย่างนี้ เราจงรู้จักเลือกใช้แล้วแต่ชอบ ถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาทแท้ต้องกำจัดอัตตา ถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาททางศีลธรรม มันยืนยันมีอัตตา
ขอให้ท่านทบทวนปฏิจจสมุปบาทตลอดสายเลย ตั้งแต่อวิชชา สังขาร วิญญาน นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท ก็ไม่พบความมีอัตตา ไม่มีอันไหนที่จะเป็นอัตตา แล้วก็แสดงชัดว่าอุปาทานๆ ตัณหาให้เกิดอุปาทาน อุปาทานให้เกิดตัวกู ความรู้สึกว่าตัวกูนั้นมายา ไม่ใช่อัตตาที่แท้จริง อัตตามายา อัตตาของอุปาทาน อัตตาของอวิชชา ตลอดสายของปฏิจจสมุปบาทแสดงให้เห็นว่าไม่มีอัตตา ฉะนั้น เราจึงถือหลักอันนี้แหละว่าถ้าเป็นปฏิจจสมุปบาทแท้จริง ก็ต้องกำจัดอุปาทานว่าอัตตาออกไปๆ เป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่สอนเรื่องอนัตตาๆ เดี๋ยวนี้ท่านก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ปฏิจจสมุปบาท ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทนี้ มันกำจัด concept ว่าอัตตา อัตตาหายไป กำจัดอัตตา อัตตานี่คือ กำจัดความทุกข์ เพราะว่าความทุกข์มันเกิดมาจาก concept ว่าอัตตา มีอุปาทานในขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นอัตตา ขันธ์ทั้งห้าว่าเป็นอัตตา พอเราเห็นปฏิจจสมุปบาทแล้ว เราก็เห็นว่าขันธ์ทั้งห้ามิใช่อัตตา ปฏิจจสมุปบาทกำจัด concept ว่าอัตตา นั่นก็คือกำจัดความทุกข์ เรามีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทสำหรับกำจัดความทุกข์โดยตรงๆอย่างนี้ ความรู้ทางธรรมะที่สูงสุดในประเทศอินเดียก่อนพระพุทธเจ้าเกิดนั้น สูงสุดอยู่ที่เรียกว่าอุปนิษัท ๆ คำนี้ตัวหนังสือก็แปลว่าเข้าไปนั่งใกล้ความจริง แต่คัมภีร์อุปนิษัทนี่เขาสอนว่าความจริงนี้คือมีอัตตา มีอาตมัน เวียนว่ายตายเกิดๆๆ ของอาตมันแล้วก็ดีขึ้น ๆ แล้วก็ไปเป็นอาตมันนิรันดร อาตมันถาวร สอนอยู่อย่างนี้แล้ว มีอัตตา ๆ มีเวียนว่ายตายเกิดของอัตตา ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาเพื่อสอนเวียนว่ายตายเกิดแล้วจะมีประโยชน์อะไร ก็เขาสอนอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นสอนตรงกันข้าม ไม่มีอัตตาๆ มีแต่กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ถ้าเป็นกระแสปฏิจจสมุปบาทก็เป็นทุกข์ ถ้าเป็นกระแสแห่งปฏิจจนิโรธะก็ไม่มีทุกข์ ยกเลิกอัตตาทั้งระบบ อัตตา นี่คือความรู้ใหม่ของพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นทีหลังเพื่อจะ แต่ว่าเลิกล้างนี่ก็แล้วแต่ว่าจะใช้คำว่าเลิกถอนคัมภีร์ที่สอนอยู่ก่อนที่ว่า มีอัตตา นี้คือความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เราจงถือเอาให้ถูกต้อง แล้วก็มากำจัดอัตตาๆเสีย ความทุกข์ก็ไม่เกิด เพราะความทุกข์เกิดมาจากอัตตา เราควรจะทราบไว้ว่าภาษาพูด หรือคำพูดนี่มี ๒ ชนิด ๒ ความหมายหรือ ๒ ชั้น คือภาษาคนธรรมดาพูด นี่ชั้นหนึ่งเรียกว่าภาษาคน พูดอย่าง Relative truth ทีนี้คนรู้เขาพูดอย่างภาษาอีก ด้วยภาษาของผู้รู้ ผู้พูด Ultimate truth เรียกว่าภาษาธรรม นี้ภาษาคน คนธรรมดาพูด นี้ภาษาธรรม คนรู้ธรรมะพูด คำพูดทุกคำมีความหมายเป็น ๒ อย่าง อย่างนี้ เรื่องความเกิดก็ดี เรื่องความตายก็ดี เรื่องความเกิดใหม่ เวียนว่ายตายเกิดก็ดี มี ๒ ความหมาย โดยภาษาคนหรือโดยภาษาธรรม
ความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ทำให้เราสามารถรู้ภาษาธรรม หรือพูดโดยภาษาธรรมเพราะมีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้นจึงมีการพูดโดยภาษาธรรม แต่มีความหมายจริง พูดด้วยภาษาคนนั้นมีความไม่จริง มีความไม่จริงแต่ก็ต้องพูดตามที่คนโง่เขารู้ รู้ไม่จริง จะยกตัวอย่างคำว่า เวียนว่ายตายเกิด เวียนว่ายตายเกิด ภาษาคนพูดอย่างคัมภีร์อุปนิษัท ก็มีอัตตาเวียนว่ายตายเกิดอย่าง Physical word คือร่างกายนี้เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีกจากท้องแม่ ตายแล้วก็เกิดอีก ตายแล้วก็เกิดอีก นี่ทางร่างกาย แต่ในทางภาษาธรรมของปฏิจจสมุปบาทก็มีเวียนว่ายตายเกิดเหมือนกัน เวียนว่ายตายเกิดของ Illusive อัตตา อุปาทานๆ ในขณะแห่งปฏิจจสมุปบาท อุปาทานนั้นก็มีภพ มีชาติ มีเกิดแห่งอัตตา illusive, illusive ก็ตายแล้ว เหลืออวิชชาเหลืออยู่ เดี๋ยวก็มีอุปาทาน อัตตาอีกแหละ ปฏิจจสมุปบาททีหนึ่ง ก็มีเกิดทีหนึ่ง ปฏิจจสมุปบาทอีกทีหนึ่ง ก็มีเกิดทีหนึ่ง ก็มีการเกิดแล้วเกิดอีก แล้วก็เนื่องกันเพราะอวิชชามันเหลืออยู่ อวิชชาของอันนี้เหลืออยู่สำหรับอันนั้น ก็มีเวียนว่ายตายเกิดของอัตตา ที่ไม่มี ไม่ใช่ตัวจริง อัตตาของอวิชชา นี่ก็เป็นเวียนว่ายตายเกิดที่แท้จริงตามปฏิจจสมุปบาท ฉะนั้น ระวังให้ดี คำพูดมันเป็นสองความหมายอย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้ว่ามันมีสองความหมายอย่างนี้ จะปนกันหมด จะไม่เข้าใจ ความรู้ปฏิจจสมุปบาทช่วยได้มาก ช่วยให้เรารู้ภาษาธรรม และพูดด้วยภาษาธรรม เขาพูดเวียนว่ายตายเกิดอย่างหนึ่ง แล้วก็พูดเวียนว่ายตายเกิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งจริงกว่านะ
ทีนี้ ก็มาถึงคำพูดที่สำคัญที่สุดคำหนึ่งคือคำว่า Rebirth ก็คือเกิดใหม่ ซึ่งเป็นปัญหาถามกันอยู่ทั่ว ๆ ไป Rebirth มีหรือไม่มี มันต้องว่ามี มี ๆ ๆ มีแน่ Rebirth นี่ แต่ว่ามีในภาษาคนอย่าง Relative truth หรือว่ามีอย่างในภาษาธรรม Ultimate truth Rebirth ในภาษาคนก็เป็น Physical birth อย่างที่สอนกันอยู่แล้วแต่ก่อน คัมภีร์อุปนิษัท คัมภีร์อะไรก็สอน Physical birth เกิดอย่างทางนี้ มันก็มี แล้วเขาก็สอนว่ามีเกิดใหม่ ตามใจเขา ถ้า Rebirth ในพุทธศาสนา มัน Rebirth ใน Concept ของอัตตา มีอัตตา มีอุปาทาน มีอัตตาทีหนึ่งก็มีเกิดทีหนึ่ง ก็หมายความว่ามีปฏิจจสมุปบาททีหนึ่งก็มี Rebirth ทีหนึ่ง ปฏิจจสมุปบาททีหนึ่งก็มี Rebirth ทีหนึ่ง แต่ Rebirth ของ Illusive ของอัตตา แต่ก็รู้สึกว่าเป็น Rebirth ด้วยเหมือนกัน Rebirth อย่างนี้ ความจริงนะ ไม่มีหรือไม่จริงหรอก แต่มันก็เข้าใจว่าจริง มันก็มีปัญหา ให้เห็นความจริงว่า Rebirth เพียงอย่างนี้แล้ว มันก็ดับทุกข์ มันก็ไม่มีปัญหา ฉะนั้น ถ้า Rebirth อย่างในพุทธศาสนา ก็มี Rebirth ในปฏิจจสมุปบาท เป็นทาง Spiritual birth ถ้าฝ่ายโน้น ภาษาคนก็เป็น Physical birth คุณอย่าเอาไปปนกัน น่าลำบากที่หนังสือของพุทธศาสนา Book of Buddhism ที่เขียนโดยนักเขียนต่างๆ ในหนังสือนั้นจะมี Chapter หนึ่งเรียก Dharma and Rebirth เขากล่าวในนามพุทธศาสนา แต่ไปเอา Rebirth นอกพุทธศาสนามา คือเป็น Rebirth ทาง physical ทั้งนั้นแหละ หมด chapter นั้นผิดทุกเล่มเลย ทุกเล่มที่เขียน ไปสังเกตเห็นมาหลายเล่มแล้ว ถ้าคำว่า Rebirth, Rebirth แล้วก็มันก็ ในพุทธศาสนาแล้วก็ต้อง Rebirth illusive อัตตาในปฏิจจสมุปบาท ก็เรียกว่า Rebirth เหมือนกัน Rebirth เหมือนกัน ถ้าคุณสงสัยเรื่อง Rebirth คุณต้องดูให้ดีว่า Rebirth แบบไหน Rebirth แบบ Physical หรือ Rebirth แบบ Spiritual พุทธศาสนามี Rebirth แบบ Spiritual ในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท พวกอื่นเขาสอนอย่าง Physical birth ก็เอาไป ก็ต้องเก็บไว้เพื่อศีลธรรม Rebirth แบบนั้นก็เก็บไว้เพื่อศีลธรรม Rebirth แบบนี้เก็บไว้เพื่อปรมัตถธรรม ถ้าว่าท่านสงสัยขึ้นมาด้วยตนเอง ด้วยปัญหาของตัวเองว่าตัวฉันนี่ ตัวฉันนี่ ฉันนี่จะเกิดอีกหรือไม่ จะเกิดอีกหรือไม่ จะมี Rebirth หรือไม่ ก็ต้องถามกันก่อนว่า Rebirth แบบไหน แบบภาษาคนหรือแบบภาษาธรรม อย่าง Relative truth หรือ Ultimate truth ถ้าเป็น Rebirth อย่างภาษาธรรม ดัง Ultimate truth เราก็เห็นอยู่แล้ว เห็นอยู่แล้วไม่ต้องถามใคร เพราะเราเห็นปฏิจจสมุปบาทเกิดแล้วเกิดอีก ปฏิจจสมุปบาทเกิดแล้วเกิดอีก เราเห็นอยู่ เห็นอยู่ในปฏิจจสมุปบาทครั้งหนึ่งก็มี Rebirth ครั้งหนึ่ง เราก็ตอบได้เองว่าฉันมี Rebirth แบบนี้ แต่ถ้าเป็น Rebirth แบบภาษาคนอย่าง Physical นั้นนะ รู้ไม่ได้นะ เราเห็นไม่ได้นะ แต่ถ้าอย่างภาษาธรรม เห็นได้ เห็นปฏิจจสมุปบาทแล้วเห็นได้ เราเห็นได้ว่า Rebirth, Rebirth แต่ถ้า Rebirth อย่างภาษาคน อย่างทางร่างกายนี่เราเห็นไม่ได้ เราเข้าใจไม่ได้ เราต้องเชื่อคนอื่น เราต้องเชื่อคนอื่น เราไม่มีความจริงของตัวเอง ก็ที่ Rebirth อย่างภาษาคน คือเกิดทางกายนี้ไม่ใช่ปัญหา ไม่ใช่ปัญหา ความทุกข์ไม่ได้เกิดที่ Rebirth แบบนั้น ความทุกข์เกิดที่ Rebirth แบบนี้ คือแบบภาษาธรรม ในปฏิจจสมุปบาทนี่ ความทุกข์เกิดที่ Rebirth แบบนี้ เราก็อย่า Rebirth แบบนี้ Rebirth แบบนั้น ปล่อยไว้ก็ได้ เพราะเราก็เห็นไม่ได้ ไม่เห็นได้ด้วยตนเอง ไม่เป็น subjective ด้วยตนเอง ก็ปล่อยไว้อย่างนั้นแหละ เพราะว่ามันมีประโยชน์ มีประโยชน์ทางศีลธรรม ทางศีลธรรม ทาง morality ให้คนเด็ก ๆ ให้คนรู้น้อยเพราะเขาเชื่อย่างนั้น เขาเชื่ออย่างนั้นแล้วเขาก็ทำดี มีแต่ความดี มีศีลธรรม Rebirth แบบนั้นก็ดี ก็มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ Ultimate truth เป็น Relative truth มีประโยชน์ทางศีลธรรม ก็เก็บไว้ นี่ Rebirth, Rebirth เป็นอย่างนี้
เดี๋ยวนี้เราก็มี Rebirth, Rebirth ที่เป็น subjective แก่เรา เราเห็นเองเรียกว่าสันทิฎฐิโกๆ เห็นด้วยตัวเอง สันทิฏฐิโก มี Rebirth ที่เราเห็นเอง เห็นจริง ไม่ต้องเชื่อใคร เรามี Rebirth ทุกๆ คราวที่มีปฏิจจสมุปบาทขึ้นในใจ ทุกรอบของปฏิจจสมุปบาท ในใจเราก็มี Rebirth นี่ Rebirth ที่แท้จริง นี่เราจะเห็นว่ามีมากเสียด้วย วันหนึ่งมีหลาย Rebirth บางคนเก่งมาก มันมีทุก second พอตาเห็นรูป มันก็ Rebirth อย่าง หูได้ยินเสียง ก็ Rebirth อย่าง จมูกได้กลิ่น ก็ Rebirth อย่าง ลิ้นลิ้มรสก็ Rebirth อย่าง มัน Rebirth ทุก ๆ second ก็ได้ ถ้ามันเต็ม หรือมันบ้ามาก ถ้าเรารู้ปฏิจจสมุปบาทแล้ว เราก็จะควบคุมกระแสปฏิจจสมุปบาทได้ แล้วก็จะหยุด Rebirth จะหยุด Rebirth จะเป็นนิพพาน
เอาหละ เวลาหมดแล้ว ขอยุติไว้เพียงเท่านี้ ปฏิจจสมุปบาททำให้เราแก้ปัญหาเรื่อง Rebirth ได้ เรามีความรู้เรื่องนี้ เราแก้ปัญหาเรื่อง Rebirth ได้ด้วยตนเอง ขอยุติการบรรยาย ขอให้เห็นด้วยกับพระพุทธเจ้าที่ตรัสว่า ปฏิจจสมุปบาทลึกซึ้งๆ อย่างนี้ จนทำให้ท่านรำคาญหรือลำบากแล้ว