แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้จะได้พูดต่อจากที่พูดค้างไว้วันก่อน คือเรื่องชาติ เพราะมีภพเป็นปัจจัยก็มีชาติ เราจึงเห็นได้ว่าชาติอย่างนี้ไม่ใช่ชาติที่เกิดจากท้องแม่ ซึ่งเป็นชาติทางร่างกาย มันเป็นชาติทาง mental หรือเราจะเรียกว่าทาง spiritualก็ได้ ที่เกิดอย่างผี เกิดอย่าง spirit เกิดอย่างผี มันเกิดอีกชนิดหนึ่งและสำคัญมาก ปัญหาต่างๆอยู่ที่การเกิดชนิดนี้ ไม่ใช่การเกิดจากท้องแม่ ขอให้สนใจเป็นพิเศษ เกิดจากท้องแม่มีครั้งเดียวและเสร็จไปแล้ว ส่วนเกิดทางจิตใจเกิดจากตัณหา อุปาทานนี้ มีอีกต่อไปไม่สิ้นสุด จนกว่าเมื่อใดมีตัณหา มี craving เมื่อนั้นทุกๆคราวจะมีการเกิดชนิดนี้ เราเรียกว่าการเกิดจากตัณหาก็ได้ จะเรียกว่าเกิดจากอุปาทานก็ได้ เพราะตัณหาให้เกิดอุปาทาน จะเรียกว่าเกิดจากภพก็ได้ เกิดจากภพ แต่โดยทั่วไปเรานิยมเรียกว่า เกิดจากตัณหา ตัณหาเป็น โปโนพฺภวิกา คำนี้แปลว่าเป็นไปเพื่อการเกิดอีก ทุกคราวที่มีตัณหาก็มีการเกิดชนิดนี้ แต่พวกเราไม่ทำความสนใจ ไม่รู้สึกว่าการเกิดชนิดนี้มันดับทุกข์ไม่ได้ ขอให้ตั้งใจสังเกตจับให้ได้ว่า ตัณหาเกิดหรือไม่ เกิดหรือยัง ตัณหาเกิดมันได้มีการเกิดอุปาทานนี้ เกิดความรู้สึกว่าตัวกู ตัวกู ขึ้นมาทันที เพราะตัณหาเกิด มีการเกิดอุปาทาน ก็มีการเกิดความรู้สึกตัวกู ตัวกูขึ้นมา ชาติแห่งตัวกู การเกิดแห่งตัวกูขึ้นมาทันที เรียกว่าชาติ ในที่นี้ วันเดียวเกิดร้อยครั้งก็ได้ ความสำคัญอยู่ที่ว่า เกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที ไม่มียกเว้น เกิดอย่างนี้เมื่อไร ก็มีตัวกู มันก็มีปัญหาทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น มีภาระหนักทุกอย่างรวมอยู่ในนั้น จนพูดได้ว่าเกิดทุกทีเป็นทุกข์ทุกที ไม่มีการยกเว้น ท่านต้องเรียนจากความรู้สึกในใจ ไม่ใช่เรียนจากหนังสือ ไม่ใช่เรียนจากการฟัง จึงจะรู้จักเกิดแห่งตัวกูชนิดนี้ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ เมื่อมีชาติหรือการเกิดเป็นปัจจัย ทุกข์ทั้งปวง ทุกข์ทั้งหลายก็เกิดขึ้น เมื่อมีชาติเป็นปัจจัย ชาติปจฺจยา ชรามรณํ ทุกข์ทั้งปวง มันมีความลับอยู่ว่า พอมันเกิดตัวกู ตัวกู หรือตัวตนขึ้นมา มันก็เป็นที่ตั้งแห่งความรู้สึกว่าของตน แล้วจะไปเอาอะไรๆทุกอย่างที่มีอยู่ตามธรรมชาติว่าเป็นของตน เช่น ไปเอาความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งมีอยู่ตามธรรมดา ตามธรรมชาติ ของธรรมชาตินั่น มันจะเอามาเป็นของตน ก็เลยเกิดความทุกข์ มีความทุกข์ เพราะความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นต้น ปฏิกิริยาต่างๆที่เกิดกับร่างกายและจิตตามธรรมดาๆ ก็จะเอามาเป็นของตน เช่นความทุกข์ ความโทมนัส ความโสกะ ความโศกเศร้าในจิตใจ ความร่ำร้อง คร่ำครวญใดๆ จึงเป็นปฏิกิริยาที่เกิดตามธรรมดา ก็เอามาเป็นของตน ก็มีความทุกข์เป็นของตนขึ้นมา เมื่อต้องเราต้องพรากออกจากของรัก หรือพบกับของไม่รัก อยากได้อย่างไรก็ไม่ได้อย่างนั้น นี่เป็นของธรรมดาที่สุด ก็เอามาเป็นของตนแล้วเป็นทุกข์
เราจึงสรุปความว่า ความทุกข์ทั้งหลายเกิดมาจากอุปาทาน ว่าตัวกู ของกู ทุกอย่างเลย เราก็เลยสรุปได้เป็น formula สั้นๆที่สุดว่า การเกิดแห่งตัวกู คือการเกิดแห่งความทุกข์ นี่เป็นเรื่องที่จะต้องรู้สึกอยู่ในใจ ต้องเรียนธรรมะโดยจิตใจ อยู่ในใจ ไม่มีทางที่จะเรียนจากหนังสือหรือจากโรงเรียน สังเกตดูให้รู้จักว่า ตัณหาคืออะไร อุปาทานคืออะไร ภพคืออะไร ชาติคืออะไร นี่เป็นหัวใจสำคัญของการศึกษาเรื่องปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีแก่เราทุกคน ทุกวันจนตลอดไป ตลอดชีวิต ของผู้ที่ยังไม่มีความรู้ ทีนี้เราจะดูกันให้ชัดๆลงไปว่า กระแสหรือ stream ของปฏิจจสมุปบาทนั้น มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในชีวิตประจำวันแต่ละวันๆ เราตั้งต้นกำหนดที่อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันคู่กันอยู่กับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ที่เราจะเอามาเป็นตัวอย่างสักคู่ คู่แรกคือ ตา กับรูปที่มากระทบตา ที่ข้างในกับข้างนอกกระทบกัน ก็เกิดจักษุวิญญาณ การเห็นทางตา วิญญาณ consciousness ทางตาได้เกิดขึ้น ระยะแรกให้เข้าใจอย่างนี้ ทีนี้เรามี ๓ อย่างแล้ว ขอให้สังเกตดูว่า ตา รูป จักษุวิญญาณ หรือวิญญาณทางตา ถ้ามันอยู่ด้วยกัน function เดียวกัน อาการกริยาอันนี้ เราเรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ เพราะ ๓ อย่างทำงานด้วยกัน เราจึงเรียกว่า ผัสสะ คือการกระทบทางตา ผัสสะมีอยู่เป็น ๒ ชั้น ทีแรกผัสสะไปที่ภายนอก เรียกว่าภายนอก ผัสสะโดยทางตา ก็เห็นรูปร่าง เห็นสี เห็น dimension เห็นอะไรต่างๆ อย่างนี้ นี่คือผัสสะโดยทางตา ในขณะต่อมา มันมีผัสสะของ mind consciousness เกิดขึ้นอีกทีหนึ่ง โดยรู้ความหมายของสิ่งเหล่านั้น สีอย่างนั้น รูปร่างอย่างนั้น เรียกว่าอะไร ที่เรียกว่าดอกไม้ ที่เรียกว่าพุทรา ก็รู้ความหมายคุณค่าในชั้นหนึ่ง ผัสสะมีอยู่เป็น ๒ ชั้น ถ้าจะพูดโดยรายละเอียด ผัสสะกระทบตามธรรมชาติ เห็นเป็นเพียงสี เห็นเป็นรูป dimension ต่างๆ ต่อมา มโนวิญญาณมาสัมผัสอีกทีทั้งหมด คือดอกไม้ คือผู้หญิง คือผู้ชาย คืออุจจาระ คืออะไรต่างๆ เรียกว่า ผัสสะ ทั้ง ๒ ชั้นรวมกันเรียกว่า ผัสสะ ก็มีอยู่ในชีวิตประจำวัน ในกรณีของทางตาเป็นอย่างไร ในกรณีของทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางผิวกาย ทางจิตใจ ก็เป็นอย่างเดียวกัน ผัสสะมีลักษณะอย่างเดียวกัน ทีนี้ในขณะแห่งผัสสะนั้น เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีสติปัญญารู้สึกในขณะนั้น มีแต่ความไม่รู้หรืออวิชชา การสัมผัส สัมผัสด้วยอวิชชา ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ ให้โอกาสของอวิชชาเข้ามาสวมแทน ก็เลยเป็นผัสสะของอวิชชา ทีนี้ สิ่งที่เรียกว่าผัสสะ ผัสสะ ให้เกิดเวทนา หรือ feeling เมื่อผัสสะเป็นผัสสะโง่ของอวิชชา ก็ให้เกิดเวทนา หรือ feeling ที่โง่ ที่มาจากผัสสะโง่ เวทนาโง่มาจากผัสสะโง่ ผัสสะของเราเป็นผัสสะโง่เป็นธรรมดา เราไม่เคยรู้เรื่องนี้ หรือเรียนเรื่องนี้ ผัสสะให้เกิดเวทนา เวทนาให้เกิดตัณหา เมื่อเวทนามันโง่ มันก็เกิดความอยาก ความต้องการที่โง่ ที่เป็นอวิชชานี้เท่านั้น เราเรียกว่า ตัณหา เมื่อตัณหาหรือความอยาก ความต้องการ เป็นตัณหาที่โง่ มันก็ให้เกิดอุปาทาน attachment ที่โง่อีกต่อไป ตัณหาคือโง่ อุปาทานคือความยึดมั่นถือมั่นที่โง่ ขอให้ดูให้ดี ข้อนี้สำคัญมาก ตัณหาคือความอยากที่โง่เขลา ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นที่โง่เขลา เรียกว่าอุปาทาน เมื่อ attach มันโง่ให้เกิด feeling ที่โง่ feelingที่โง่ให้เกิดความต้องการที่โง่ ความอยากความต้องการที่โง่ให้เกิด attachที่โง่ มันโง่ มันโง่ไปอีก ขอให้สังเกตให้เห็น จึงจะเข้าใจการเกิดแห่งปฏิจจสมุปบาท
ดังนั้น ego คือตัวตน หรือของตน มันจึงเป็น product ของความโง่ ตัวตนหรือ self เป็น product ของความโง่ ขอให้สนใจให้ดีที่สุด ที่นี้ก็มี existence แห่งตัวกูที่โง่ เป็น concept ขึ้นมา เป็นภพ ความรู้สึกว่ามีตัวกู ได้ตั้งต้น ตั้งมั่นลงไปในจิตใจแล้วก็เป็นภพ ทีนี้จะออกมาเป็นความรู้สึกที่สมบูรณ์ ความรู้สึกที่สมบูรณ์ว่า กู กู กู เกิดแล้ว ชาติเกิดแล้ว เกิดแห่งตัวกู product ของความโง่ เมื่อมันเกิดมีตัวกู ตัวกูที่เป็นโง่เขลาอย่างนี้แล้ว มันก็เอาทุกอย่างๆที่มาสัมผัส ไม่ว่าทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มาเป็นของกู ที่เรียกได้ว่าเอาโลกทั้งโลกทั้งหมดมาเป็นของกู มาสุมอยู่บนศีรษะของมัน มันจึงเต็มไปด้วยความหนัก เต็มไปด้วยปัญหา นี่คือกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ได้เป็นไปแล้วๆ จนถึงที่สุดแล้ว ปรากฏอยู่เป็นความทุกข์ เป็น tormenting แก่ชีวิตเหลือประมาณ เหลือประมาณ กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทในลักษณะอย่างนี้ ได้มีแก่เราในชีวิตประจำวันหรือเปล่า ถ้าท่านมองเห็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอันนี้ ท่านไม่มีความรู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทเลย ไม่รู้เรื่องปฎิจจสมุปบาทโดยประการทั้งปวง เว้นไว้แต่ท่านจะได้สังเกตเห็นด้วย experience ลงไปตรงๆว่า กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้ได้เป็นอยู่ ได้เป็นไปในชีวิตของเรา แม้ประจำวัน แต่ละวันๆ เมื่อท่านได้มีความรู้ ความเข้าใจเห็นในข้อนี้แล้ว ท่านก็จะเห็นได้ว่า มันเป็นความจริง ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ความทุกข์ มิได้เกิดจากกรรมเก่า ชาติเก่า หรือชาติก่อนนู้น และทุกข์มิได้เกิดจากอิศวระ พระเจ้า แต่ความทุกข์มันเกิดจากความโง่ หรือทำผิดในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทในชีวิตประจำวันนั้นเอง ความทุกข์เกิดจากทำผิดในกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทในชีวิตประจำวันนั้นเอง ทีนี้ หน้าที่ของเรามีอยู่ว่า เราจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างไรให้มีความถูกต้อง แล้วไม่เกิดความทุกข์ ปัญหาก็มีว่าเราจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทอย่างไร ในภาษาบาลี เราเรียกว่า ปิดกั้น ปิดกั้นเหมือนกับกระแสน้ำไหล เราจะปิดกั้นอย่างไร ที่แท้ก็คือการควบคุมๆให้อยู่ในอำนาจ ให้อยู่ในกำมือของเรา เราจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทนั้นอย่างไร ด้วยอะไร ด้วยวิธีใด เราจะควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาทด้วยสิ่งที่เรียกว่า สติ สติ โดยเฉพาะคือ สติที่ได้มาจากการปฏิบัติ อานาปานสติ ที่ท่านทั้งหลายมาที่นี่ เพื่อจะฝึกฝนอานาปานสติ ผลของอานาปานสติเป็นสติที่จะใช้กั้นหรืควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท จุดหรือตำแหน่ง หรือเวลาที่สำคัญที่สุด ที่จะใช้สติควบคุมปฏิจจสมุปบาทนั้น คือ จุดหรือขณะแห่งสิ่งที่เรียกว่า ผัสสะ ผัสสะ หรือ contact ที่เรากล่าวมาแล้ว เช่นในขณะแห่งผัสสะนั้น ก็มีสติเข้ามา เดี๋ยวนี้เราไม่มีสติ เราไม่มีสติ เราไม่ได้ฝึกสติ เราไม่มีความรู้ในการใช้สติ และเราก็ไม่มีสติในการที่จะเข้ามาควบคุมผัสสะในขณะแห่งผัสสะ นี่คือปัญหา เราไม่มีสติที่จะมาควบคุมผัสสะ ขอให้ฝึกฝนให้มีสติในการที่จะควบคุมผัสสะ อย่าให้เป็นผัสสะโง่ เวทนาโง่ ตัณหาโง่อีกต่อไป ต่อไปได้ สตินี้โดยตัวหนังสือแปลว่า ความเร็ว คำๆเดียวกับคำว่า arrow arrow มีความเร็ว เทียบความเร็วของลูกศร ที่จริงเป็นความเร็วของฟ้าแลบมากกว่า ต้องมาเร็วขนาดนั้น สติต้องมาเร็วขนาดนั้น คือนึกได้ทันที แล้วไปเอาความรู้ที่ถูกต้องมา มาจัดการกับผัสสะ อย่าให้ผัสสะเป็นผัสสะที่โง่ แต่เป็นผัสสะที่ฉลาด เป็นการต่อสู้ที่สำคัญที่สุด สติไปเอาความรู้ ปัญญามาควบคุมผัสสะ อย่าให้เป็นผัสสะโง่ แต่เป็นผัสสะที่ฉลาด สติไปเอาปัญญามา ถ้าเราไม่มีปัญญา สติก็ทำงานไม่ได้ ทำงานไม่สำเร็จ ไม่มีผล เราต้องมีความรู้ที่ถูกต้อง ที่เรียกว่าญาณะหรือปัญญา หรือวิชชาแล้วแต่จะเรียก ฉะนั้น เราต้องศึกษา อบรม ปัญญา วิชชา เหล่านี้ด้วย พร้อมกันไปในตัวกับที่เราอบรมอานาปานสติครบชุดแล้ว เราก็จะมีทั้งสติ มีทั้งปัญญา มีทั้งสัมปชัญญะ มีทั้งสมาธิเป็น ingredient สิ่งที่จำเป็นที่สุด ทั้งหมดนี้เราหาได้จากอานาปานสติ ที่นี้ สติก็ไปเอาปัญญามาควบคุมผัสสะ ผัสสะก็ไม่อาจจะโง่ ไม่อาจจะเป็นผัสสะโง่ เป็นผัสสะที่มีปัญญา ควบคุมอยู่ด้วยปัญญา ผัสสะไม่โง่ ก็ไม่เกิดเวทนาโง่ ก็เกิดเวทนาที่ฉลาด ฉลาดต่อไปถึงตัณหา ถึง attachment ที่ฉลาด attachment จะไม่เกิดอย่างโง่ จะเกิดในทางที่ถูกต้อง แต่เราก็ไม่ควรมองข้ามไปเสียว่า ปัญญาในระดับต่ำๆนี่ก็มีได้โดยธรรมชาติ แม้โดยสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานด้วยซ้ำไป นี้คือความเข็ดหลาบ ความเข็ดหลาบ เมื่อเราผิด ทำอะไรผิด การทำผิดก็กัดเอา เป็นความทุกข์ ความเจ็บปวด เราก็ไม่ชอบความเจ็บปวด เราก็เข็ดหลาบ และก็จำไว้ เราก็ไม่กล้าทำอย่างนั้นอีก จะไม่โง่อย่างนั้นอีก แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็มีความรู้อันนี้ มันไม่ทำอะไรชนิดที่ทำให้เป็นทุกข์ หรือลำบาก หรือตาย นี่ปัญญาชนิดนี้มาจากความเข็ดหลาบตามธรรมชาติ แต่มันยังน้อยนัก มันยังไม่พอที่จะมาแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงนี้ได้ ทีนี้ เราจะต้องอบรมปัญญา ให้สูงขึ้นมากว่าที่จะมีอยู่ตามธรรมชาติ ตามสัญชาตญาณ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น แต่ก็ยังไม่พอ ที่นี้เราจึงจะต้องนึกถึงสติ ปัญหาเกี่ยวกับสติก็มี มันไม่เร็วพอ ไม่ทันควัน มันไม่ just in time สติมันช้า ตามธรรมดา เรามีสติช้า หรือไม่มีเลย หรือพึ่งมีมาหลายวันมาแล้วอย่างนี้ ที่ไม่มีประโยชน์อะไร สติต้องเร็วทันควัน ต้องฝึกสติให้เร็วด้วย เพื่อไปเอาปัญญาที่เพียงพอมาช่วย มันจึงจะควบคุมผัสสะได้ เดี๋ยวนี้เรามีสติ ไปเอาปัญญา ปัญญาเฉพาะกรณี ปัญญามีมาก สติไปเอาปัญญาเฉพาะกรณีที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ ปัญญาพิเศษส่วนนี้ มาใช้เผชิญกับผัสสะ ปัญญาส่วนนี้เราเรียกว่า สัมปชัญญะ สัมปชัญญะ ในบาลีจะใช้คำพูดว่า สติสัมปชัญญะ สติไปเอามาสัมปชัญญะ คือปัญญาที่เพียงพอเฉพาะกรณีนี้ มาควบคุมสิ่งนี้ ควบคุมสิ่งนี้ นี่คือสิ่งที่สติ คือการที่สติไปเอาปัญญามาทำเป็นสัมปชัญญะ คือปัญญาเฉพาะเรื่อง เฉพาะกิจ แล้วควบคุมผัสสะ ปัญญามีมาก มีหมด มีครบ เราต้องไปเอามาให้ถูกกับเรื่อง เหมือนกับในตู้ยาของเรา มียาเยอะแยะ แต่เราจะกินเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เราจะต้องเลือกให้ถูกจึงจะแก้โรคได้ เรามีอาวุธมากหลายอย่างที่เรามีอยู่ ที่จะมาทำลายศัตรู เราก็ไม่ได้ใช้ทุกอย่างในคราวเดียว แต่เราใช้อาวุธเฉพาะที่เหมาะจะทำลายศัตรูอันนี้ นี่คือหน้าที่ของสติ สติ ที่ในจะต้องรู้จักเลือกเอามาเฉพาะ สำหรับที่จะควบคุมผัสสะในกรณีนี้ กรณีนี้ ในเคสนี้ เพราะมันมีมากเหลือเกิน สติจะเลือกเอาปัญญาที่ตรงเฉพาะกรณีนี้ เอามาควบคุมผัสสะ ทีนี้มันน่าหัวเราะ หรือน่าสงสาร ที่พวกเราสมัยนี้มีการศึกษากว้างขวาง มากเหลือเกิน จนความรู้หรือปัญญาของเราปนกันยุ่งไปหมด มันเฝือ มัน confuse confusion มันเฟ้อ ความรู้ที่เราเรียนกันในโลกนี้มันมาก มาก มาก เกินความต้องการ และมันเฝือ มันเฟ้อ สติจะไปเอาความรู้ ปัญญาชนิดไหนมาให้ตรงกับกรณีที่จะควบคุมผัสสะได้ ขอให้ปรับปรุงการศึกษา การเรียน การแสวงหาปัญญาของเราให้ดีดี ให้เรามีปัญญาที่ใช้ได้ ใช้ได้ มามีไว้ให้พร้อม การเจริญอานาปานสตินี้จะช่วยได้ ทั้งการมีสติที่เร็ว และปัญญาที่ถูกต้อง ท่านก็เห็นได้เองแล้วว่า เดี๋ยวนี้เรามีการศึกษากันในโลกอย่างมหาศาล มีมหาวิทยาลัยนับเป็นร้อยๆ เป็นพันๆ เรามีความรู้มหาศาล แต่เราก็ไม่อาจจะสร้างสันติภาพ โลกยังไม่มีสันติภาพ เพราะเรายังไม่มีปัญญา ที่มันเฉพาะเจาะจงที่จะใช้กำจัดความทุกข์ได้ และสติของเราก็ไม่พอ เราไม่มีสติปัญญาชนิดที่จะกำจัดความทุกข์ได้จริง เรามีไปในทางที่จะสร้างสรรค์อะไรจนเฟ้อ จนเกิน จนเพิ่มปัญหาไปเสียอีก เมื่อเรากำจัดความทุกข์ของบุคคลแต่ละคนไม่ได้ ก็ไม่มีหวังที่จะกำจัดปัญหาทั้งโลก หรือสร้างสันติภาพของโลกได้ เราจงดูหรือมองให้เห็นว่า ความรู้อันมหาศาลที่เรามีนี้ มันไม่ถูกต้อง มันไม่เพียงพอที่จะแก้ปัญหาของมนุษย์ได้ ขอให้สนใจ ปรับปรุงกันเสียดีดี ถ้าเราแต่ละคน แต่ละคน มีสติปัญญาควบคุมผัสสะของเราได้ เราจะไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา แล้วสันติภาพของโลกจะไปไหนเสีย ก็อยู่ด้วยกันที่นี่ ถ้าทุกคนควบคุมผัสสะ เอาชนะความทุกข์ได้ สันติภาพของโลกก็มี มี มีอย่างครบถ้วน อย่างง่ายดาย นี่ขอให้มองเห็นปัญหาสำคัญที่ว่า ในโลกเราไม่มีสติ ไม่มีปัญญาเพียงพอที่จะควบคุมผัสสะ ถ้าควบคุมผัสสะ หรือเวทนาได้ ก็ควบคุมโลกทั้งโลกได้ จะเป็นถึงอย่างนั้น ด้วยอำนาจของสติ หรือปัญญา สัมปชัญญะ มันออกจะแปลกมาก แต่จริงที่สุด ถ้าเราจะพูดว่า ถ้าเราควบคุมผัสสะของเราได้ เราจะควบคุมโลกทั้งโลกได้ โลกทั้งโลกจะไม่เป็นปัญหาแก่เรา จะไม่ torment ใดๆแก่เราได้ ขอให้สนใจในการควบคุมผัสสะเถอะ เราต้องมีความรู้ หรือ วิชชา ที่มันเป็น intuitive หรือเป็น subjective เป็นภายใน ในบาลี เรียกว่า สันทิฐิโก เห็นแจ้ง รู้จริง อยู่ด้วยตัวเอง อยู่ภายใน ในลักษณะที่เป็น subjective intuitive ถ้าเป็นอย่างนี้ จึงจะเรียกว่า เป็นวิชชา วิชชาที่แท้จริง ความรู้ที่แท้จริง ที่จะใช้แก้ปัญหาได้ ขอให้เรามีวิชชาชนิดนี้ คำว่าวิชชา วิชชามีความหมายดีที่สุด วิช แปลว่า แจ่มแจ้ง แจ่มแจ้ง ชัดเจน ชา แปลว่ารู้ วิชชา รู้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างนี้ก็เรียกว่า วิชชา เรามันมีแต่ knowledge เฉยๆ ไม่ถึงขนาดที่จะเป็นวิชชา เสียงหาย (นาทีที่ 1:15:34-1:15:40) วิชชาเหมือนกับ กลางวัน อวิชชา เหมือนกับ กลางคืน หมายถึง มืดจนมอง อะไรไม่เห็น นี่มันตรงกันข้ามอย่างนี้ แม้คำว่าแสงแดดเป็น synonym ของคำว่า วิชชา แสงแดด เราเรียกว่า อาโลโก อาโลโก เป็น synonym ของคำว่า วิชชา ปัญญา อาโลโก เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ หมายถึง ความรู้ที่ชัดเจน แจ่มแจ้ง ถูกต้อง และเพียงพอ สรุปความว่า วิชชา วิชชานั่นแหละจะเป็นเครื่องมือควบคุม กระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ควบคุมกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท โดยอำนาจของสติ นี่คือการควบคุมกระแสแห่งปฏิจสมุปบาท จำเป็นต้องหยุด ขอยุติการบรรยายแต่เพียงเท่านี้