แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้ก็จะได้พูดเรื่องที่ค้างไว้เมื่อคืนนั่นคือคำว่า ปฏิเวธ ซึ่งรวมอยู่ในคำสามคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติปฏิเวธ ปริยัติคือ การศึกษาเล่าเรียนให้รู้ ปฏิบัติคือ ปฏิบัติสิ่งที่ได้เล่าเรียนมา ทีนี้ผลเกิดขึ้นก็เรียกว่า ปฏิเวธ จำคำเหล่านี้ไว้เถอะมีประโยชน์อย่าเห็นว่ามันเป็นคำบาลียุ่งๆยากๆเปล่าๆก็จำโดยความหมายว่า การรู้ การกระทำ การได้รับผลของการกระทำ นี่มันมีอยู่ทั่วไปที่เนื้อ ที่ผิว ทุกคนๆไม่ว่าจะทำอะไร ทำนา ทำสวน จะค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นนายช่าง เป็นกรรมกร เป็นอะไรก็ต้องมีความรู้ในสิ่งที่ตัวจะกระทำ แล้วมันก็ต้องมีการกระทำและมีการได้รับผลของการกระทำ ขอให้ถือว่าเป็นหลักทั่วไปทั่วไป นี่เราก็พูดเรื่องปริยัติ ปฏิบัติแล้ว ก็จะมาถึงปฏิเวธ
ปฏิบัติในส่วนสมาธินี่ก็ให้เกิดปฏิบัติในส่วนที่เป็นปัญญา ปัญญารู้แจ้ง พูดเรื่องปัญญาอีกหน่อยเพราะว่าบรรดาความรู้แล้ว มันต้องรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นความจริงของทุกสิ่งในธรรมชาติ ไหลเรื่อย มันจึงลำบาก ก็ต้องสัมพันธ์กันกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยมันก็เป็นทุกข์ ไม่มีความต่อสู้ต้านทานได้ก็มีความเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นธรรมดาอย่างนี้เองเรียกว่า ธัมมัฏฐิตตา มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติอย่างนี้เองเรียกว่า ธัมมนิยามตา เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยเรียกว่า อิทัปปัจจยตา มันโล่งมันว่างจากตัวตน เป็นไปเองตามธรรมชาติเช่นนี้ว่างจากตัวตน เรียกว่า สุญญตา เห็นตถาตาคือ เช่นนั้นเอง เช่นนี้เอง เช่นนี้เอง เช่นนี้เอง จะไปเรียกว่าอะไรก็ได้แต่ความจริงมันเช่นนี้เอง เช่นนั้นเองตามธรรมชาติของมันเอง จะไปสมมติว่าเป็นดี เป็นชั่ว เป็นบุญ เป็นบาป เป็นสุข เป็นทุกข์ เป็นหญิง เป็นชาย เป็นอะไรก็แล้วแต่ มันก็คือเช่นนั้นเอง ทีนี้เห็นว่าไม่ไหวเอากับมันก็ไม่ได้ ก็เลิก เลิกยึดมั่นถือมั่นเลิกเกี่ยวข้อง เป็นอตัมมยตา ความรู้สึกว่าสัมพันธ์กันไม่ไหวแล้ว อยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วอาศัยกันไม่ได้แล้ว จะปล่อยให้ถูกปรุงแต่งอยู่อย่างนี้ไม่ไหวแล้วจึงบอกเลิก นี้มันก็ปล่อยความยึดมั่นถือมั่นได้ คุณดูสิว่ามันมีความรู้แจ่มแจ้งมาตามลำดับกว่าจะถึงอตัมมยตา ความรู้เหล่านี้เมื่อถึงมาจุดสูงสุดเด็ดขาดสูงสุด มันก็เรียกว่ามัคคญาณ มัคคญาณ ปฏิเวธนั่นมีมรรค ผล นิพพาน สามอย่าง ปฏิเวธมีมรรค ผล นิพพานมีอยู่สามอย่าง ทีนี้ก็รู้แจ้งถึงที่สุดขนาดที่ว่าเอากับมันไม่ไหวแล้วนี่ ปราบโยนออกไปนี่ เรียกว่า เป็นอาการของมัคคญาณ มัคคะ ทีนี้เมื่อโยนไปแล้วสลัดทิ้งไปแล้วมันก็เกิดผล ผลคือความไม่ทุกข์ ที่สิ้นสุดแห่งความทุกข์ก็เป็นผล ทีนี้นิพพานคือ ความเย็นจากผลอันนั้น เป็นความเย็น เย็น เข้าใจคำว่านิพพานเสียให้ถูกต้องว่าไม่ได้แปลว่า ตาย เมื่อตัดกิเลสได้ด้วยมัคคญาณ ก็เป็นผลญาณเกิดขึ้นเพราะความหมดกิเลสและก็มีความเย็น ในทางภาษาธรรม ภาษาจิต ภาษาวิญญาณ เย็นไม่ใช่ใส่น้ำแข็งไม่ได้เย็นอย่างแช่น้ำแข็ง มันเย็นเพราะไม่มีไฟคือกิเลสนั่นคือนิพพานไม่เกี่ยวกับตายโดยประการทั้งปวง แล้วก็ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไปตัดความยึดมั่นถือมั่นกันก็เย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้เรียกว่านิพพาน ในโรงเรียนเขาสอนกันมา เด็กนักเรียนได้รับคำสั่งสอนว่านิพพานแปลว่า ตายของพระอรหันต์ ไม่รู้จะไปโทษใครมันผิดจากความจริงในพระธรรมอย่างลึกซึ้ง นิพพานไม่ได้แปลว่าตายนิพพานแปลว่าเย็น ภาษาชาวบ้านพูดไม่เกี่ยวกับศาสนาไม่เกี่ยวกับธรรมะที่ชาวบ้านพูดๆกันอยู่ นิพพานก็พูดก็หมายถึง ความเย็นของสิ่งที่มีความร้อนเมื่อสิ่งที่มีความร้อนเย็นลงไปก็เรียกว่า นิพพาน อย่างไฟดับก็เรียกว่าไฟมันนิพพาน ของร้อนๆน้ำร้อน แกงกับอาหารที่ร้อนกินไม่ได้รอให้มันเย็น ก็คือรอให้มันนิพพาน ทำให้มันเย็นก็ใช้คำว่าทำให้มันนิพพาน บาลี นิพพานะ แปลว่าทำให้นิพพาน เอาน้ำราดลงไปบนไฟหรือบนโลหะที่หลอมละลายเช่นช่างทองรดน้ำลงไปบนทองที่หลอมละลายก็เรียกว่า ทำให้มันนิพพาน คือทำให้มันเย็นไม่ใช่ทำให้มันตายสูญหายไปไหน ทำให้มันเย็นทำกับมันได้ หมดปัญหาหมดความเดือดร้อนก็เรียกว่ามันนิพพาน สัตว์ดุร้ายในป่าเอามาฝึกๆๆจนเชื่องเหมือนกับแมว มันก็คือมันนิพพานมันหมดร้อน ทีนี้มาทางคนถึงคนถึงจิตใจของคนถ้าร้อนอยู่ด้วยอะไร ทำให้เย็นลงไปได้นั้นก็เรียกว่านิพพานเหมือนกันแต่มีหลายชนิด คือมันอย่างหลอกๆก็มี เช่น ร้อนกามารมณ์นี่ ถ้าได้บริโภคกามารมณ์ก็ดับความร้อนนั้นได้ชั่วขณะ ก็เป็นนิพพานกามารมณ์ ก่อนแต่เกิดพระพุทธศาสนาก็มีนิพพานอย่างนี้ เขาเข้าใจว่ามันเย็น ต่อมาอีกมันไม่ใช่แล้ว ก็คือถ้าสมาธิเป็นรูปฌานแล้วก็เย็น เอารูปฌานเป็นนิพพานกันพักหนึ่ง แล้วต่อมาก็ค้นได้ลึกไปกว่านั้นคือ อรูปฌานเป็นนิพพานค้นได้สูงสุดกันแค่นี้สำหรับฝ่ายฌานที่ไม่ใช่พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ไปทรงศึกษากับสองอาจารย์สอนได้เพียงสัญญา และ สัญญาอายตนะ คือเย็นอย่างอรูปฌานนี่ที่สุดที่จบของการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านไม่เห็นด้วย ท่านไม่เห็นด้วย ท่านก็ไม่คัดค้านอะไรก็ลาออกไปศึกษาค้นคว้าของท่านเอง จนกระทั่งท่านค้นพบนิพพานก็หมดกิเลส หมดกิเลส หมดราคะ หมดโทสะ หมดโมหะที่เปรียบเสมือนไฟ ก็เรียกว่านิพพานในพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้า นี่รู้ประวัติของคำว่านิพพาน นิพพานมันมาเป็นลำดับ มันมาเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ นับเป็นภาษาชาวบ้านพูด ไฟดับ ของร้อน เย็น นี่เรียกว่านิพพาน จนกระทั่งว่ากามารมณ์ระงับความร้อนความกระหายนั่นได้พักหนึ่ง ก็เรียกนิพพานแบบนั้นของคนโง่ ต่อมารูปฌาน อรูปฌานก็ถูกเห็นเป็นนิพพานด้วย ฉลาดเพียงเท่านั้น มันฉลาดเพียงเท่านั้นเอง ต่อเมื่อพระพุทธเจ้าค้นพบว่า โอ มันต้องหมดไฟด้วยประการทั้งปวง ไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะหมดไป นี่เย็นจริงเย็นจริง เย็นโดยไม่ต้องรดน้ำ ไม่ต้องใส่น้ำแข็ง ไม่ต้องสมาบัติ ไม่ต้องกามารมณ์ ไม่ต้องอะไร เย็นจริงเพราะหมดไฟ
มีคำที่ควรทราบไว้อีกสักคำหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับท่านทั้งหลายเป็นส่วนมากที่จบปริญญาเรียนจบปริญญามาคำว่าปริญญานี่ก็มีใช้ในพระบาลีในพระพุทธภาษิต พระพุทธเจ้าตรัสว่าปริญญามี ๓ อย่าง ๓ อย่างคืออะไร สามอย่างคือความสิ้นราคะ คือความสิ้นโทสะ คือความสิ้นโมหะ นี่คือปริญญา ๓ ปริญญาในพุทธศาสนา รู้ว่าสิ้นราคะแล้ว รู้ว่าสิ้นโทสะแล้ว รู้ว่าสิ้นโมหะแล้วนี่คือปริญญาของพระพุทธเจ้า มันเป็นรู้ รู้จริงๆ รู้อย่างยิ่ง เพราะมันสิ้นไปจริงๆจากจิตใจ มันเป็นความรู้จริงๆไม่เหมือนปริญญาในกระดาษที่พวกคุณได้รับ จำได้ จดไว้ในสมุดก็ได้ ไม่รู้ประจักษ์แก่ใจก็ได้สอบได้ก็เป็นปริญญา มันต่างกันอย่างนี้ ปริญญาที่แท้จริงในทางธรรม ในทางจิตใจในทางพุทธศาสนาคือรู้ว่าสิ้นราคะแล้ว รู้ว่าสิ้นโทสะแล้ว รู้ว่าสิ้นโมหะแล้ว ความรู้นี้เป็นปฏิเวธ ปฏิเวธแปลว่าแทงตลอด รู้แจงแทงตลอดเหมือนกับของแหลมแทงทะลุ นี่แทงตลอดความจริงรู้ความตลอด ความมืดรู้แทงตลอด กิเลสแทงตลอด อวิชชาแล้วแต่จะเรียกมันทะลุไปฝั่งนู้น นี่คือปริญญาเป็นตัวปฏิเวธตามความหมายว่า รู้แจ้งแทงตลอด เราก็ได้คำสามคำว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิเวธรู้ รู้ชัดแจ้งอย่างแทงตลอด ตัวหนังสือมันแปลว่าแทงตลอด ปฏิวิธะ แทงตลอดไว้ ปฏิวิธะ เอามาเป็นรูปโครงเดียวกันก็คือตัวพุทธศาสนา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธก็คือพระพุทธศาสนา ทีนี้เราไปจัดการพยายามให้ได้รู้สิ่งที่ควรรู้ ให้ได้ปฏิบัติสิ่งที่ควรปฏิบัติ ให้ได้แทงตลอดที่เป็นผลของการปฏิบัติในสิ่งที่ควรแทงตลอด ในชั้นสูงสุดมันก็รู้เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ทางให้ถึงความดับทุกข์ รู้สิ่งนั้นแหละคือรู้ที่ควรรู้ เป็นอริยสัจจะ รู้ว่ามันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วก็จะได้ปฏิบัติให้มันตรงตามนั้น คือปฏิบัติตัดทำลายเสียให้สิ้นเหตุแห่งทุกข์ ความไม่เหลือแห่งทุกข์ ดับไม่เหลือแห่งทุกข์ก็ปรากฏขึ้นมา เพราะการปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเรียกอย่างกระจายออกไปก็เป็นอัฏฐังคิกมัคค์ เหมือนที่เราสวดกัน สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ความถูกต้อง ๘ ประการ รวมกันเข้าเป็นมรรค สองประการแรกเป็นปัญญา คือ สัมมาทิฎฐิ กับสัมมาสังกัปโป สามอันถัดมาคือ วาจา กัมมันโต อาชีโวนี้เป็นศีล สามอันถัดมาอีก คือ วายาโม สติ สมาธินี้เป็นสมาธิ นี่เป็นสิ่งที่ต้องสนใจทำความเข้าใจให้ชัดเจนอย่างยิ่งว่าในอริยมรรค ๘ องค์นั้น ปัญญามาก่อนเห็นไหม มันจึงมีศีล จึงมีสมาธิ ทำอะไรให้ปัญญามาก่อนปัญญาจะต้องเป็นแสงสว่างนำหน้าหรือเป็นแผนที่ที่เราจะต้องรู้ทั่วถึงก่อนจะเดินทางไปได้ เดินทางไปโดยไม่รู้จะไปทางไหนมันก็บ้าก็คือคนบ้ามีแผนที่ที่รู้ว่าจะไปทางไหนอย่างไรก็เดินไปก็ได้ก็สำเร็จประโยชน์ ที่เขาเรียงพูด เรียงสำหรับพูดกันว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เรียงตามง่ายไปหายาก หรือต่ำไปหาสูง แต่ในทางปฏิบัติแท้จริงมันกลับกันเสีย เป็นปัญญา เป็นศีล เป็นสมาธิ สำหรับพูดเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา สำหรับปฏิบัติเรียกว่า ปัญญา ศีล สมาธิ พึงจำไว้อย่าได้ไปเถียงกับคนโง่ ว่าต้องศีลมาก่อนศีลมาก่อนคนโง่มันพูด ถ้าไม่มีปัญญามาก่อนแล้วมันจะรักษาศีลถูกหรือ มันก็เข้ารกเข้าพงไปหมด นี่ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้ เราจะทำอะไรมันก็ต้องมีปัญญามาก่อนจึงจะทำได้ ต้องรู้ว่าทำอย่างไรต้องรู้กันก่อน แล้วจึงจะทำแล้วจึงจะได้ผลของการกระทำ นั่นถือให้เป็นหลักไว้ว่าปัญญามาก่อน แล้วก็จากนั้นก็ตามมาด้วยศีล ด้วยสมาธิก็ได้ ถ้าปัญญาไม่มาศีลก็ผิดๆถูกๆ สมาธิก็ผิดๆถูกๆ เข้ารกเข้าพงไปหมด อย่าไปหลงคำพูดสำหรับพูดว่าศีล สมาธิ ปัญญา ในพระบาลีก็พูดเหมือนกัน ศีล สมาธิ ปัญญาก็พูดสำหรับพูด แต่เมื่อสำหรับปฏิบัติพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เองเรียงไว้เองว่า ปัญญา ศีล สมาธิ ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นที่อ้างชัดเจน อย่างไม่มีใครจะเถียงได้ ควรจะจำไว้ให้แม่นยำ ๘ คำคำนี้มันสำคัญที่สุด อุตส่าห์ลงทุนจดจำไว้ให้ได้ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบคือปรารถนาชอบ สัมมาวาจา พูดจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ ดำรงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ พากเพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งมั่นจิต ตั้งมั่นชอบ นี่มีเพียง๘ นี่คือส่วนที่เป็นตัวการปฏิบัติ ถ้ารวมผลของการปฏิบัติเข้ามาด้วยต้องเพิ่มอีก ๒ เป็นสัมมาญาณะ รู้ชอบ สัมมาวิมุติ วิมุตติ คือหลุดพ้นชอบ กลายเป็น ๑๐ไป ถ้ามาทั้ง ๑๐ อย่างนี้ เขาเรียกว่า สัมมัตตะ๑๐ ถ้ามาแต่เพียง ๘ นี่เขาเรียกว่า มรรคมีองค์ ๘ ข้อนี้ก็เหมือนกันอย่าไปใช้คำพูดผิดๆเหมือนที่พูดกันผิดอยู่ทั่วไปว่า มรรค ๘ มรรค ๘นั่นมันผิด มันมรรคเดียว แต่มันมี ๘ องค์ อย่าไปพูดว่ามรรค ๘ ให้ผีมันหัวเราะ พูดว่ามรรคมีองค์ ๘ เหมือนกับเชือกมันเส้นเดียวแต่มันมี ๘ เกลียว ไม่มีใครเรียกว่า ๘ เส้น มันมี ๘ องค์ มรรคมันมี ๘องค์ อย่าไปเรียกว่ามรรค ๘ ให้เรียกว่ามรรคมีองค์ ๘ แต่ถ้าเพิ่มเข้าอีก ๒ องค์ที่เป็นส่วนผล สัมมาญาณะ สัมมาวิมุติกลายเป็น ๑๐ อย่างนี้เรียกว่าสัมมัตตะ ๑๐ แปลว่า ความถูกต้อง ๑๐ ประการ นี่รวมทั้งปฏิบัติทั้งปฏิเวธเข้าไปด้วยกันก็เป็นสัมมัตตะ ๑๐ พยายามศึกษาให้มองเห็นชัดเป็นเรื่องธรรมดาๆทั่วไปในบ้านในเรือนควรจะต้องมีความรู้มีการปฏิบัติ ก็ได้รับผลของการปฏิบัติ การปฏิบัติสูงสุดนี้ก็คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ แล้วก็ได้ผลของการปฏิบัติมา ๒ ก็คือสัมมาญาณะ สัมมาวิมุติ เอามารวมกันเข้ามันก็เป็น ๑๐ หมายถึงการปฏิบัติและผลของการปฏิบัติ
ส่วนปริยัตินั้นเรียนได้ทั่วไป เรียนอะไรที่มันเป็นหลักพระพุทธศาสนา เรียกว่า ปริยัติทั้งนั้นแหละ คือยังไม่ได้ปฏิบัติ จะเรียนเรื่องอริยสัจก็ได้ ยังไม่ได้ปฏิบัติก็เรียกว่าเป็นปริยัติ เรียนเรื่องปฏิจจสมุปบาทก็ได้ยังไม่ได้ปฏิบัติก็เป็นปริยัติ เรียนเรื่องสุญญตา อนัตตา อะไรสูงสุดไปได้ยังไม่ได้ปฏิบัติก็เป็นเรื่องของปริยัติเรียนเพื่อให้เพียงพอที่จะดับทุกข์ ที่พูดคืนก่อนว่ากำมือเดียว กำมือเดียวจริงแต่มันเพียงพอ มันไม่ต้องเรียนทั้งหมดทั้งสิ้นเรียนหมดเท่าที่จำเป็นจะดับทุกข์ใช้ในการดับทุกข์ ทีนี้เราก็จะพูดกันเลยไปถึงรายละเอียดของการที่ทุกข์มันดับไปเรียกว่า มรรคผลนิพพาน ดับทุกข์ในที่นี้รวมเรียกว่า มรรคผลนิพพาน มรรคคือ ฆ่ากิเลสผลคือ กิเลสดับ ทุกข์ดับ นิพพานก็คือ เย็น เพราะว่าไฟคือกิเลสมันดับ ก็มีหลักที่จะได้ศึกษากันได้ง่ายๆ มีอยู่เรียกว่า สังโยชน์ สังโยชน์ สัญโยชน์ก็เรียก สิบประการ สิบประการ ในเรื่องนี้มีประโยชน์มากน่าสนใจอย่างยิ่ง การที่บุคคลจะละจะเปลี่ยนจากปุถุชนไปเป็นพระอริยเจ้านี่นะ ก็วัดกันด้วยสังโยชน์ ๑๐ ประการซึ่งคนตามธรรมดามีครบถ้วน๑๐ ประการค่อยละไปละไปจนเป็นพระอริยเจ้าขึ้นไปตามลำดับตามลำดับ ตามลำดับ ด้วยการศึกษาปฏิบัติรู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาหลายๆระดับ ระดับต้นระดับแรกก็ทำให้เป็นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาสูงลึกขึ้นไปอีกก็ทำให้เป็นพระอริยเจ้าขั้นที่สูงขึ้นไปรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นแหละยิ่งขึ้นไปอีกก็ทำให้เป็นพระอริยเจ้าที่สูงขึ้นไปจนกระทั่งรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาถึงที่สุดก็เป็นพระอริยเจ้าชั้นสูงสุดคือเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องราวอะไรเรื่องเดียวกันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างที่ว่ามาแล้วเห็นตามลำดับ ถ้าจะแยกให้มันเป็นหลายเรื่องซับซ้อนหลายเรื่องอย่างที่ว่า ถ้าไม่แยกก็เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาสามอย่างนี้พร้อมที่แยกเป็นเห็น ธัมมัฏฐิตตา ธัมมนิยามตา อิทัปปัจยตา สุญญตา ตถาตา อตัมมยตามันเป็นแยกโดยละเอียด แยกโดยละเอียดเหมือนกับวิชาเทคนิคแยกให้มันละเอียด นี่มาดูที่เราจะรู้กันได้จริง รู้จักกันได้จริงดีกว่า สังโยชน์ ๑๐ คืออะไร มีอยู่อย่างไร จะละไปอย่างไร คนธรรมดามีสังโยชน์ ๑๐ เต็มครบ หนาปึก แต่ละอันละอันหนาปึก
ที่หนึ่ง เรียกว่า สักกายทิฏฐิ ความหลงผิดว่ากายนี้ของตน สักกายทิฏฐิ ทิฏฐิในที่นี้แปลว่า ความเห็นผิดว่า สักกายะ สักแปลว่าของตน กายะ แปลว่ากาย สักกายะ แปลว่ากายของตน ทิฏฐิเห็นผิดว่ากายนี้ของตน มันมาแต่อ้อนแต่ออกตั้งแต่รุ่นเด็กๆมามันก็มี และยิ่งกว่านั้นอีกมันเป็นสัญชาตญาณ ความรู้สึกได้เองในสิ่งที่มีชีวิตจิตใจจะเป็นคนก็ได้เป็นสัตว์ก็ได้แม้ต้นไม้ก็ได้แต่มันละเอียด พูดไปมันก็เถียง แต่ขอให้เชื่อไว้เถอะว่าถ้ามันมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกแล้วมันจะต้องมีความรู้สึกว่าตัวตนของตน แต่มันยังไม่แสดงออกหรือเรียกว่ามันยังหลับอยู่ มันยังไม่บานออกมา ความรู้สึกอันนี้มันยังไม่เปิดเผยออกมาแต่มันมีมาแล้วในความรู้สึก โดยสัญชาตญาณที่เรียกว่า instinct วิชาเรื่องinstinctสมัยปัจจุบันเขาจะมีอะไรก็ตามใจเขา ก็เหมือนๆกันแต่ในทางพุทธศาสนาเรานี่อันแรกที่สุดนี่ก็คือ instinctหรือสัญชาตญาณว่าตัวตน ตัวตนของตนนี่ตัวฉัน พอเด็กคลอดออกมาจากท้องแม่สิ่งต่างๆเริ่มทำหน้าที่โดยเฉพาะมันสมองทำหน้าที่ได้ตามการกระตุ้นของสัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รอบๆ รอบๆร่าง สมองก็ทำหน้าที่ เด็กจึงรู้สึกนั่น นี่ โน่น ไปทุกอย่างตามที่มันจะรู้สึกได้ เมื่อตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมันไม่ทำหน้าที่มันก็ไม่มีความรู้สึกอะไรเหมือนเด็กนอนอยู่ในท้องมารดาก็เหมือนกับนอนหลับ พอออกมาจากท้องมารดานี่มันก็เริ่มสัมผัสได้ด้วยตา ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย ด้วยใจ มันก็รู้สึกต่ออารมณ์ทั้งหลายอย่างนั้นอย่างนี้อย่างโน้นไปตามที่มันจะรู้สึกได้ตามธรรมชาติ แต่ที่มันมีความหมายมากคือ มันรู้สึกเป็นเวทนา เป็นเวทนียสัตว์ขึ้นมาหรือสัตว์ที่มีเวทนาทำหน้าที่ได้ พอมันออกมาจากท้องแม่ได้มันคงจะร้องแว้ มันจะร้องแว้เพราะเหตุว่ามันมีอะไรมากระทบ อากาศมากระทบอะไรมากระทบซึ่งมันผิดธรรมดามามันก็ร้อง หรือว่ามันได้กินน้ำก่อนจะกินน้ำนมมันก็ต้องมีความรู้สึกว่าน้ำเป็นอย่างไร ก่อนจะกินนมได้มันก็รู้สึกว่านมเป็นอย่างไรมันก็เป็นความรู้สึกว่าพอใจหรือไม่พอใจ อร่อยหรือไม่อร่อย ในความรู้สึกนี้มันก็เริ่มมี ในความรู้สึกว่าตัวตนมันก็สวมรับ เอาว่าของเราอร่อย เราอร่อย ของเรา เด็กๆถึงเริ่มรู้สึกตัวตนเป็นของเรา เมื่อมันอร่อยมันก็เป็นตัวตนของเราอย่างหนึ่ง เมื่อไม่อร่อยมันก็เป็นตัวตนที่ตรงกันข้ามหรือเป็นศัตรูของเราเลย นี่มันเริ่มสูงรุนแรงขึ้น รุนแรงขึ้นตามความรู้สึกที่มันเข้มข้นมากขึ้น ขอให้สังเกตดูให้ดีว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันรู้สึกได้มากขึ้นๆตามอายุของเด็กที่มันเติบโตขึ้นมาทุกวันๆๆ จนกระทั่งมันรู้สัมผัสทั้ง ๕ ทางตานี่เขาก็เอาของสวยๆมาแขวนให้ดู มาแขวนข้างเปลให้ดู ทางหูเขาก็ขับกล่อมร้องเพลงให้ฟัง ทางจมูกเขาก็ให้ดมให้ได้กลิ่นที่ดีที่หอม ทางลิ้นทางรสก็ดีขึ้นไปสูงขึ้นไปอาหาร สัมผัสผิวหนังก็ยิ่งขึ้นไปทำให้นิ่มนวลทำให้อบอุ่น ทำให้สบายแต่เนื้อหนังแต่ผิวหนังมากขึ้นไป จิตใจก็มากขึ้นไปตามความรู้สึก ตา หู จมูก ลิ้น กาย จิตใจก็มากขึ้นไปในความรู้สึกว่าตัวกูพอใจหรือไม่พอใจ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์มันก็มากขึ้นไปตาม มากขึ้นไปตาม จนรู้ว่าอร่อยของกู ความสุขของกู ไม่อร่อยของกู ความทุกข์ของกู พอมันรู้ประสีประสารู้คำพูดคำจาได้ เขาก็ให้พูดว่าแม่ พ่อ พ่อแม่ก็ของกู อะไรก็ของกู อะไรๆทั้งหมดนี่ก็ของกู มีตัวของกูมีชีวิตของกู ที่เห็นได้ง่ายๆส่วนมากอย่างหนึ่งก็เช่นว่า พอเด็กที่เดินได้มันเดินไปชนเก้าอี้ เจ็บ ร้องเพราะเจ็บ คนเลี้ยงหรือพ่อแม่ก็ตามก็จะช่วยตีเก้าอี้ ตีเก้าอี้ เพราะมันทำลูกกู เด็กก็จะเกิดความรู้สึกอันหนึ่งว่าตัวกู และก็มีศัตรูของกูและแม่ก็ช่วยตัวกู ความรู้สึกว่าตัวกูของกูมันเข้มข้นขึ้น กายนี้ของกู กายนี้ของกูมันก็มากขึ้นๆ มันจึงมีหนาทึบแน่นแฟ้นที่สุดว่ากายนี้ของกู กายนี้ของกู ขับกล่อมไปให้เห็นว่ากายนี้ของกู อยากกินอะไรก็เอามาให้ อยากเล่นอะไรก็เอามาให้ ชอบใจอะไรก็เอามาให้ ไม่มีใครบอกว่าอันนี้มันของธรรมดา อันนี้มันทำให้เราโง่ มีแต่ว่าเอา อยากได้อะไรก็จะหาให้ ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ว่าจะพาลูกไปที่ร้านขายของเล่นที่แปลกที่แพงแล้วบอกลูกว่าทั้งหมดนี้เขามีไว้ให้เราโง่ เขามีไว้ให้เราโง่ อย่าไปหลงรักเลย อย่าไปเอามันเลย มันไม่มีที่จะทำให้เด็กรู้สึกอย่างนี้ มันมีแต่ เอ้า ชอบอันไหน แพงอะไร แม่ซื้อให้ แพงอะไรไม่มีประโยชน์อะไรแม่ซื้อให้ นี่คือมันสอนให้หลงใหลในเรื่อง อร่อยๆ สวยงาม เอร็ดอร่อยในแง่ของความสุขจะกินของแพงเท่าไรไม่มีประโยชน์ก็ซื้อให้ ไม่บอกว่านี่เขาให้เราโง่นะ ของอร่อยๆแพงๆนี่เขาทำให้เราโง่ อย่าไปกินมันเลย แม่เองก็อยากกิน แม่อยากให้ลูกมันโง่อย่างนั้นด้วย สอนให้ลูกมันกินของที่แพงที่แปลกที่อร่อยที่สุด ความรู้สึกว่าตัวตน ตัวตนก็หนาขึ้นๆๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็ก วัยรุ่น หนุ่มสาวนี่ก็หนาปึกเต็มที่ กายนี้ของตน ความรู้สึกว่าตัวตนคืออย่างนี้ ตัวตน อัตตา ตัวตนคืออย่างนี้ เรามีเป็นมรดกมาทุกคนๆ จนบัดนี้ก็ยังอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่ามันเป็นของหลอกลวง ไม่เป็นของจริงเสมอไปเป็นตัวกู เป็นตัวกู เป็นตัวตนของกู อันนี้คือสมบัติอันแรกของปุถุชน สมบัติปุถุชนถ้าไม่ละอันนี้ออกไปได้เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ รู้จักไว้ ถึงออกมาเป็นข้อแรกที่สุดของสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการ ๑.สักกายทิฏฐิ ๒.วิจิกิจฉา ๓.สีลัพพตปรามาส ละสามตัวแรกนี้ได้ก็เป็นพระโสดาบัน เป็นโสดาบัน แน่นอนต่อพระนิพพาน ที่หนึ่งสักกายทิฏฐิ หลงผิดว่ากายนี้ของกู
ที่นี้ข้อที่สอง วิจิกิจฉา วิจิกิจฉานี้ละเอียดมากเข้าใจได้ยากมาก นี้เป็นเรื่องที่โตขึ้นมาแล้ว รู้สึกแล้ว รู้สึกเป็นรู้สึกตายรู้สึกรอดรู้สึกไม่รอดรู้สึกอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ มันก็ไม่มีความแน่ใจว่าตัวจะรอดแม้จะได้รับการป้องกันอารักขาอย่างดีที่สุด มันก็ยังมีความลังเลว่ามันจะไม่รอด มันจะตาย มันจะมีอันตราย มันเข้ามาเมื่อไรก็ได้แต่ว่ามันไม่พูดออกมาหรือไม่แสดงชัดออกมามันอยู่ใต้สำนึกบ้าง กึ่งสำนึกบ้าง ความไม่แน่ใจ ไม่มีศรัทธา ไม่แน่ใจว่ารอดแน่ มันอยู่ใต้สำนึกหรือกึ่งสำนึกมันรบกวนอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวนี้คุณไปสังเกตเถิดคุณเองนี่ ทุกคน ผมกล้าท้า มีความแน่ใจไหมว่ารอดว่ารอดแน่ หรือแม้แต่ดีที่สุดแน่ ไม่แน่ใจหรอก ล้วนแต่ไม่แน่ใจ มันมีอะไรที่ระแวงอยู่ก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันยังกลัวตาย มันยังกลัวความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ได้ไม่มีการคุ้มครองที่แน่นอน นี่เรียกว่า วิจิกิจฉา แม้ได้รับคำสั่งสอนมันก็ไม่เชื่อ มันก็ไม่เชื่อมันก็ยังกลัวอยู่นั่นแหละ แม้จะเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาให้ยึดถือมันก็ยึดถือแต่ปาก มันก็ไม่ได้ยึดถือได้โดยแท้จริงเพราะมันยังไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง มันก็ไม่มีความแน่นอนในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่เอามายัดให้เด็กๆได้นับถือ แต่มันก็จำเป็นที่ต้องทำอย่างนั้นเพราะมันไม่มีทางอื่นดีกว่า ตอนนี้ละเอียดมากไปสังเกตให้ดี ความที่เราไม่แน่ใจว่าดีที่สุดแล้ว ถูกต้องที่สุดแล้ว ปลอดภัยที่สุดแล้ว ยังมีอะไรเหลืออยู่เป็นปัญหาอีกมากคือความไม่แน่ใจ ความลังเล ความสงสัย ความไม่มีศรัทธาที่แน่นแฟ้น เชื่อตัวเองแน่นแฟ้นว่าปลอดภัย เชื่อในตัวเองว่าปลอดภัย ปลอดภัยมันยังไม่มีนี่เรียกว่าวิจิกิจฉา ไม่ต้องเชื่อผมแต่ว่าไปสังเกตดูเองในความแน่ใจว่าปลอดภัย ดีแล้วถูกแล้วนี่มันมีไหม มันยังระแวงอยู่ว่าเรายังมีสิ่งที่ไม่รู้ มันมีสิ่งที่เราบังคับไม่ได้ มีสิ่งที่มาเมื่อไรก็ไม่รู้ มันสะดุ้งอยู่ภายใต้สำนึก กึ่งสำนึก อันนี้ปุถุชนเขามีถ้าจะเป็นพระโสดาบันมันก็ไม่มีสิ่งนี้ ละไปได้
อย่างที่สาม เรียกว่า สีลัพพตปรามาส แปลว่า ลูบคลำศีลพรตผิดความมุ่งหมายอันแท้จริง ข้อปฏิบัติต่างๆที่เขามีไว้ให้ศึกษาให้ปฏิบัติ เขามีความมุ่งหมายที่แท้จริงอย่างนี้ๆแต่ปุถุชนคนโง่มันตีความหมาย แปลความหมายหรือถือเอาความหมายอย่างอื่นอย่างอื่น ตีความหมายแก่พระพุทธ แก่พระธรรม แก่พระสงฆ์ แก่ศีล สมาธิ ปัญญา แก่อะไรก็ตามเป็นอย่างอื่นไปเสีย ไม่ถูกตรงตามที่แท้จริงตามที่เป็นจริงมันก็เลยเตลิดออกไปเป็นไสยศาสตร์ขลังศักดิ์สิทธิ์ เช่นศีล ใครรักษาศีลก็จะกำจัดโทษ เลวร้าย เห็นแก่ตัว มันก็เห็นศีลเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ ช่วยได้ช่วยให้วิเศษวิโส มีฤทธิ์มีเดช มีปาฏิหาริย์ นี่เรียกว่าลูบคลำศีลผิดความหมายดั้งเดิม สมาธิจิตใจสงบเพื่อให้เกิดปัญญา แท้จริงเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าลูบคลำความหมายผิดไปเสียว่าสมาธินี่จะทำให้วิเศษ ทำให้เหาะเหินเดินอากาศได้ มีฤทธิ์มีเดชมีอำนาจไปเสียอย่างนั้นเป็นสีลัพพตปรามาสเป็นไสยศาสตร์บ้าๆบอๆไปเสีย ปัญญาหรือวิปัสสนา ก็ได้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาโดยแท้จริง มันก็เห็นผี เห็นสาง เห็นนรก เห็นสวรรค์ เห็นโลกหน้า เห็นโลกอื่น เห็นอะไรก็ไม่รู้ กระทั่งเห็นเลขสามตัว ผิดความมุ่งหมายเดิมอย่างนี้ ของเดิมมีอย่างไร ถูกต้องแท้จริงอย่างไร มันไปถือเอาความหมายผิด เอาพระพุทธเจ้ามาให้ก็ถือพระพุทธเจ้าผิด เอาพระธรรมมาให้ก็ถือความหมายของพระธรรมผิด เอาพระสงฆ์มาให้ก็ถือความหมายของพระสงฆ์ผิด เด็กๆนี่พระพุทธรูปนี่เป็นพระพุทธเจ้า พระธรรมสู้พระธรรมใบลาน นี่เป็นพระธรรม พระสงฆ์ก็คนห่มเหลือง เมื่อคุณเป็นเด็กๆนี่ไปนึกดู พระพุทธเจ้าคืออะไรอยู่ที่ไหนไม่รู้ พระพุทธรูปนี่แหละพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปนั่นแหละพระพุทธเจ้า ตอนเด็กๆก็เขาสอนให้เข้าใจอย่างนั้น นี่มันเลยเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้านี่ก็ผิด ผิดไปหลายๆอย่าง พระพุทธเจ้าเป็นทองคำ ก็เข้าใจผิด พระพุทธเจ้าเป็นเงิน พระพุทธเจ้าอะไรมานั่งอยู่บนบัลลังก์หลายๆชั้น ข้างบนเป็นเศวตฉัตร ข้างล่างมีงาช้าง มีอะไรประดับหลายชั้นหลายเชิง พระพุทธเจ้าอย่างนี้หรือ พระพุทธเจ้าคืออย่างนี้หรือ นี่เด็กๆก็เข้าใจพระพุทธเจ้าผิดนับตั้งแต่เห็นพระพุทธรูป แต่การกระทำแก่พระพุทธรูป พระพุทธรูปองค์นั้นชอบกินนั้น พระพุทธรูปองค์นี้ชอบกินนี้ บางองค์ชอบกินไข่ ทำให้เด็กๆมันเห็นเด็กก็เข้าใจพระพุทธรูปผิดในฐานะที่เป็นพระพุทธเจ้าจนกว่ามันจะรู้ตามที่เป็นจริง พระธรรมก็เหมือนกันไม่ใช่ใบลานมันเป็นธรรมะอันละเอียดที่ปฏิบัติแล้วดับทุกข์ได้เด็กๆก็ไม่เข้าใจ ก็เอาใบลานไปก่อนเอาเสียงสวดร้องไปก่อนเอาเล่มหนังสือพระธรรมไปก่อน พระสงฆ์ก็เป็นลูกชาวบ้าน ไปบวชเข้าก็ได้เป็นพระสงฆ์ พระสงฆ์ที่แท้จริงเข้าใจไม่ได้ พระสงฆ์ที่แท้จริงมีจิตใจละกิเลสแล้วเข้าใจไม่ได้ นี่เรียกว่า สีลัพพตปรามาส ลูบคลำสิ่งต่างๆผิดไปจากความหมายที่ถูกต้อง วัตถุก็ดี การปฏิบัติก็ดีเขามีความหมายที่ถูกต้องเฉพาะอย่างเฉพาะอย่าง มันไปถือเอาความหมายผิดไปหมดไปเป็นไสยศาสตร์ เป็นไสยศาสตร์ ถือพระพุทธเจ้าเหมือนกับเทวดาคุ้มครองเอามาแขวนคอช่วยคุ้มครอง เอามาเซ่นสรวงบูชาอ้อนวอนก็เป็นเรื่องอื่นไปเป็นไสยศาสตร์ไป ก็เป็นสีลัพพตปรามาส แต่เขาไม่อธิบายกันอย่างนี้ เขากลัว กลัวว่าคนจะไม่ชอบ ไม่นับถือพระพุทธรูปหรือไม่ยึดอะไรไปเสีย แต่ความจริงมันเป็นอย่างนี้ ไม่อาจจะเข้าถึงตัวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริง ไปเอาเปลือกนอก เอาความหมายผิดพลาด เดินไปไกลลิบมาเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสีลัพพตปรามาส ได้เข้าใจศีลและวัตรปฏิบัตินั้นผิดจากความหมายเดิม เข้าใจศีลผิดจากความหมายเดิม เข้าใจสมาธิผิดจากความหมายเดิม เข้าใจปัญญาผิดจากความหมายเดิม จนกว่ามารู้ถูกต้องจึงจะเลิกโง่ เลิกเป็นปุถุชนโง่มาเป็นพระอริยเจ้าที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง ๓ อย่างแรกคือ สักกายทิฏฐิ ความโง่นี้ก็ละไปได้ วิจิกิจฉา ความโง่นี้ก็ละไปได้ สีลัพพตปรามาสก็ละไปได้ เรียกว่าเป็นพระโสดาบัน ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน อมตัทวารัง อาหัจจะ ยืนจรดประตูแห่งอมตะ ยืนจรดประตูแห่งความไม่ตาย คือนิพพาน นี่เป็นพระโสดาบัน ทีนี้ถ้าว่าเป็นอย่างนี้ด้วย เป็นอย่างนี้ด้วยแต่ว่ามี ราคะ โทสะ โมหะเบาบางลงไปอีกบางไปกว่านั้นอีกก็เป็นพระสกิทาคามี พระอริยบุคคลที่สอง นี่ถ้าว่ามันละเพิ่มอีกสองอย่างคือว่าละกามราคะ ปฏิฆะได้อีก กามราคะคือความรู้สึกทางกามทางเพศ มันรู้เรื่องทางเพศ เข้าใจว่าเรื่องทางเพศเป็นของธรรมดาไม่หลงใหลไม่บูชา ไม่ติดใจในเพศนี่ก็ละกามราคะได้ และก็ละปฏิฆะคือความโกรธ รู้ว่ามูลเหตุแห่งความโกรธรากเหง้าแห่งความโกรธก็ละได้อีกสองอย่าง ก็เป็นพระอนาคามี เป็นอนาคามี ละกามราคะนี่มันยากเท่าไรคุณก็ดูเอาเองก็แล้วกัน คนธรรมดายังมีกามราคะเพราะธรรมชาติมันใส่มาให้ในจิตใจเป็นสัญชาตญาณที่จะต้องสืบพันธุ์ ดูสิทุกตัวคนทุกร่างกายคนมันมีอวัยวะสืบพันธุ์ให้มา เป็นหญิงบ้างเป็นชายบ้าง สำหรับความรู้สึกทางสืบพันธุ์มันจะได้ดำเนินต่อไป นี่มันจึงมีความเหนียวแน่นที่ละได้ยาก ละได้ยากอย่างยิ่งทั้งคนและทั้งสัตว์เดรัจฉาน ทั้งต้นไม้ด้วยมันเป็นเรื่องละเอียดที่มองเห็นยากแต่มันก็มีความรู้สึกเพศตรงกันข้ามก็ต้องการจะสืบพันธุ์ หลงใหลกันมากว่าเป็นของประเสริฐ เป็นของวิเศษเป็นของสูงสุดในชีวิต ปุถุชนเต็มขั้นชั้นโง่ที่สุดมันจะเห็นว่าเรื่องเพศนั่นแหละสูงสุดของชีวิต โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่นคนหนุ่มสาวที่โง่ที่สุด รวมทั้งคุณเองด้วยก็ได้ มันเป็นเรื่องสูงสุดของมนุษย์ อะไรๆก็ขอให้ได้สูงสุดในเรื่องเพศ หาเงินมากๆหาเงินแพงๆรวบรวมเงินให้มากๆให้ได้แต่งงานให้หรูหราที่สุด ให้มีคู่ครองที่สุดแล้วมันก็สูงสุดกันแค่นั้น นั่นแหละ ปุถุชนเต็มขั้น จนกว่าจะละความรู้สึกอันนี้ได้เป็นพระอนาคามี ละ ๓ อย่างมาได้แล้ว ยังละอีก ๒ อย่าง เป็นพระอนาคามี เรื่องเพศนี่เป็นเรื่องของสัญชาตญาณสิ่งที่มีชีวิตมันก็ต้องมีความรู้สึกอันนี้ แล้วมันก็หลอกสัญชาตญาณนี้มันหลอกให้ทำการสืบพันธุ์ เพราะว่าเขาได้ใส่รสอันเลิศสูงสุดทางความรู้สึกที่เรียกว่ากามารมณ์ไว้เบื้องหน้าของการสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์คือการตั้งครรภ์และการคลอดบุตรมันยุ่งยากลำบากจะตายใครจะอยากทำ แต่เดี๋ยวนี้ธรรมชาติมันมาเหนือเมฆมันฉลาดกว่ามันใส่รสอร่อยที่สุดที่เรียกว่ากามารมณ์ไว้ข้างหน้า ล่อ จ้างให้คนโง่ๆทำการสืบพันธุ์ ฉะนั้นคุณอย่าเอาไปปนกัน กามารมณ์มันเรื่องหนึ่ง การสืบพันธุ์นั่นมันอีกเรื่องหนึ่ง การสืบพันธุ์ก็เพื่อสืบพันธุ์โดยบริสุทธิ์ กามารมณ์ก็เพื่อรสอร่อยทางอายตนะสูงสุด เพราะมันจ้างให้คนโง่มาทำการสืบพันธุ์เมื่อยังไม่รู้สึกข้อนี้มันก็หลงใหลง่ายๆเรื่องกามารมณ์ก็เป็นคนปุถุชนไปตามเรื่องของมัน หรือแม้แต่พระอริยเจ้าขั้นต้นๆก็ยังละไม่ได้ พระโสดาบันยังละไม่ได้ พอใจในกามารมณ์การสืบพันธุ์ ถ้าสูงขึ้นมาถึงขั้นพระอนาคามีก็รู้ว่ามันเป็นเรื่องโง่ กริยาการสืบพันธุ์มันยุ่งยากลำบาก เขาล่อไว้ด้วยกามารมณ์มันก็เอา ยอมยุ่งยากลำบากลำบนยอมทนจำทำกิริยาบริโภคกามสืบพันธุ์ ก็คิดดูสิน่าเกลียดจนต้องปกปิดซ่อนเร้นไม่ให้ใครเห็น สัตว์เดรัจฉานเท่านั้นมันจึงสืบพันธุ์กลางแจ้งให้คนเห็น แต่ถ้ามนุษย์มันสืบพันธุ์ในที่บัง ที่มุมเพราะมันน่าเกลียด นั้นมันสกปรก ใครๆก็รู้ว่ามันสกปรกมันน่าเกลียดแล้วมันกินแรงงานมาก หมาก็ทำเป็นผลของมันก็คือบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียวเท่านั้น ถ้ามันไม่โง่มากมันก็จะไม่เห็นเป็นของวิเศษไปได้ สกปรก น่าเกลียด กินแรงงานมาก สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น แล้วผลของมันก็บ้าวูบเดียวเท่านั้นไม่มีอะไรมากกว่านั้น แวบเดียวแวบเดียว เมื่อมารู้ความจริงข้อนี้มันก็เลิก มันก็เลยเป็นพระอริยเจ้าที่สูงขึ้นไป ไม่หลงเหยื่อเพื่อการสืบพันธุ์อีกต่อไป ละปฏิฆะความโกรธได้เป็นพระอนาคามี
ยังเหลืออีก ๕ อัน ก็คือว่า รูปราคะ อรูปราคะ หลงใหลกำหนดในเรื่องรูป เรื่องกามไม่เอาแล้ว แต่กลายเป็นเรื่องรูปที่น่าหลงใหล สูงขึ้นไป อรูปที่น่าหลงใหล คือไม่มีรูป เป็นนามธรรมไม่มีรูปนี่น่าหลงใหล
มานะ การถือว่าตัวกูอย่างนั้น ตัวกูอย่างนี้ ดีกว่า เสมอกัน เลวกว่า
อุทธัจจะ หวั่นไหวในอารมณ์ที่มากระทบ
อวิชชา โง่ไม่รู้ตามที่เป็นจริง อะไรเป็นอย่างไร ๕ อย่างนี้ ถ้าละได้อีกก็เป็นพระอรหันต์ สังโยชน์ขั้นต้น ๕ อย่าง ละได้เป็นอนาคามี ๕ อย่างข้างหลังละได้เป็นพระอรหันต์ การที่มารู้ความจริงเหล่านี้ ละความโง่เหล่านี้ได้เป็นขั้นๆไปนี้ว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เรียกอย่างถวายเกียรติว่าเป็นพระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา เห็นเถิดมาช่วยโปรดให้ละกิเลส ละสังโยชน์เหล่านี้ได้ เรียกว่า พระอนิจจัง พระทุกขัง พระอนัตตา ไว้พูดกันทีหลัง ศึกษากันทีหลังว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร เพื่อจะช่วยให้ตัดสังโยชน์เหล่านี้ได้เป็นลำดับไป ลำดับไป ทำได้ ๓ อย่างเบื้องต้นเป็นพระโสดาบัน ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน เบาบางด้วยกิเลสบ้างเป็นพระสกิทาคามี ละอีก ๒ อย่างคือ กามราคะและปฏิฆะเป็นอนาคามี ละอีก๕ อย่างที่เหลือก็เป็นพระอรหันต์ ละกามได้ก็ไปติดรูป ของที่เป็นรูปยั่วยวนใจ ที่สร้างความยึดมั่นถือมั่น แม้แต่ของเล่น อรูปก็เช่นกัน รู้สึกในเกียรติยศ ชื่อเสียง บุญกุศลอะไรก็ไม่รู้ที่เป็นตัวนามธรรม นี่ก็มีตัวกูของกู กูอย่างนั้นกูอย่างนี้ ดีกว่าหรือเลวกว่า หรือเสมอกันมีอยู่ตามธรรมดาสามัญ ละ ละความหวั่นไหวไปตามอารมณ์อุทธัจจะ กุกกุจจะในขั้นนี้ละเอียดกว่าในนิวรณ์ อุทธัจจะ กุกกุจจะในนิวรณ์มันหยาบๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องในการละสังโยชน์นี้ อุทธัจจะ กุกกุจจะหมายถึง จิตที่มันหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบทางตา หูจมูก ลิ้น กาย ใจ พระอรหันต์เท่านั้นที่จะละได้ แม้แต่พระอนาคามีก็ยังหวั่นไหวไปตาม และก็ละอวิชชา ต้นตอทั้งหมดที่ทำให้โง่ให้หลงเห็นผิด เข้าใจผิด ทำผิด พูดผิด ละได้ด้วย ๑๐ ประการนี้ละได้ นี่เรียกว่า ปฏิเวธโดยสมบูรณ์ โดยละเอียด โดยแจ้งชัด ละได้แล้วก็เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอริยบุคคลสูงสุดเลิกความเป็นปุถุชน เป็นปุถุชนเต็มที่ก็มีเต็มที่ทั้ง ๑๐ อย่างนี้ก็ให้ลดไปๆเป็นพระอริยเจ้าขึ้นมาตามลำดับ เป็นพระเจ้าสูงสุดก็ละได้ทั้ง ๑๐ ขั้น ถ้าสนใจก็ไปหาศึกษาในหนังสือรายละเอียด มีอธิบายไว้ชัดมากที่สุดเลยเรื่องสังโยชน์ ๑๐ นี้ เอาไว้ศึกษาเพื่อให้รู้สิ่งที่เรียกว่าปฏิเวธ ปฏิเวธ หรือมรรคผลนิพพาน มรรคผลนิพพาน การที่ตัดสังโยชน์ลงไปนี่เรียกว่ามรรค สังโยชน์ขึ้นไปมีผลของความสงบเกิดขึ้นเรียกว่า ผล แล้วก็เย็นๆๆๆ ปราศจากไฟคือราคะ โทสะ โมหะ ได้รับปริญญาในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า นิพพาน ไม่มีไฟราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำกรรมก็ไม่ทำกรรม แม้จะทำอะไรก็เป็นเพียงกิริยา ไม่เป็นกรรม ไม่มีวิบาก ไม่มีผลกรรม เรียกว่าอยู่เหนือทุกข์โดยประการทั้งปวง คนสมัยนี้ไม่ต้องการ สู้กามารมณ์ก็ไม่ได้ แต่ก็ควรรู้ไว้ว่ามันเป็นอย่างนี้ ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้จะเอาไม่เอาก็แล้วแต่ แต่ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ ปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ถึงที่สุดก็จะตัดกิเลสตัดสังโยชน์ได้ เพราะความรู้อันสูงสุดนี้และก็ วิมุติ หลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวงอยู่เหนือความรู้สึกเลวๆผิดๆโง่ๆ ความรู้สึกผิดๆที่ทำให้เกิดความรัก ให้เกิดความเกลียด ให้เกิดความโกรธ ให้เกิดความตื่นเต้น ให้เกิดความวิตกกังวล อาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา หวงหึง บ้าๆบอๆทุกอย่าง มันไม่มี มันหมดไป มันหมดไฟ หมดความทุกข์เหล่านี้
นี่ขอให้ทุกคนสนใจเถิดว่ามนุษย์มันเป็นอย่างนี้ มันมีเรื่องอย่างนี้จะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ สมัครเป็นปุถุชนเต็มขั้นต่อไปก็ได้ หรือจะเลื่อนขึ้นมาสักหน่อยก็ได้หรือจะเอาไปถึงที่สุดก็ได้ มีเสรีภาพที่จะกระทำ ธรรมชาติมันสร้างมาให้ครบถ้วนแล้วที่สำหรับจะเป็นพระอริยเจ้าก็ได้ แต่คนมันไม่เอาเพราะมันไม่รู้ เรามาศึกษาพุทธศาสนาบวชกันมาทั้งปี ศึกษาพุทธศาสนามันก็ไม่มีเรื่องอื่นที่จะต้องเรียนต้องรู้ มันก็มีแต่เรื่องนี้ ดังนั้น ผมจึงเอามาพูดให้ฟังเพราะว่าพุทธศาสนามีอยู่อย่างนี้จะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนานี้จะได้ไม่เป็นหมัน พุทธศาสนาไม่เป็นหมัน ชีวิตนี้ไม่เป็นหมัน ความเป็นมนุษย์ของเราก็ขึ้นถึงสูงสุดที่จะสูงสุดได้อย่างไร คุณค่าของการเป็นคนก็คือความเป็นคน ความเป็นมนุษย์มีมากเท่าไรนั่นแหละ คือ คุณค่าของมนุษย์ เป็นมนุษย์กันให้มาก เป็นมนุษย์กันให้สูง จนถึงสูงสุดของความเป็นมนุษย์คือเป็น พระอรหันต์เรื่องมันก็จบแหละ เรื่องมันมีอยู่อย่างนี้ ก็เหลืออยู่แต่ว่าจะเอาหรือไม่เอาก็ตามใจ ถ้ามันหยุดอยู่เพียงนั้นก็อยู่แค่นั้น หางานให้ดี ทำเงินได้มาก แต่งงานให้หรูหราที่สุด มีการเป็นอยู่แข่งกับเทวดา โง่ๆไปอย่างนั้นแหละมันแข่งไม่ได้หรอกแข่งเทวดา ยิ่งกว่าเทวดา มีการเป็นอยู่สมบูรณ์ด้วยกามคุณทั้ง ๕ ก็ได้เหมือนกันแต่เอาที่ความจริงเดี๋ยวมันก็เบื่อ ไปถึงที่สุดมันก็เบื่อ เดี๋ยวนี้มันยังไม่เบื่อ เอา ลองดูถึงที่สุดมันก็ต้องเบื่อมันก็ต้องเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยน กระแสการเปลี่ยนมีอยู่อย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เป็นคนโง่ ฉลาด เป็นมนุษย์เลื่อนชั้นมนุษย์จนเป็นพระอริยเจ้า จากปุถุชนเป็นพระอริยเจ้า นี่คือเรื่องทั้งหมดของพระพุทธศาสนามันมีอยู่อย่างนี้ จะเอาหรือไม่เอาก็แล้วแต่ ความจริงมันมีอยู่อย่างนี้ เราจะให้ชีวิตนี้มันหยุดอยู่แค่ไหน ตายด้านอยู่แค่ไหนก็ได้ไม่มีใครว่าเรา แต่เราจะให้มันสูงสุดก็ได้ไม่มีใครมาห้ามเราได้ เราจงเลือกเอาเองอย่างอิสระที่สุด ชีวิตนี้มันมีค่าที่สุด แม้ว่าจะไม่เป็นพระอรหันต์ก็เป็นปุถุชนชั้นดี เป็นพระอริยเจ้าชั้นต่ำๆ ชั้นพระโสดาบันก็ทำประโยชน์แก่เพื่อนมนุษย์ได้สูงสุดอยู่ตลอดเวลาในโลกนี้ก็ยังดี ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ก็ได้ ถ้าไม่เป็นพระโสดาบันก็เป็นปุถุชนชั้นดีหน่อย อย่าเป็นปุถุชนชั้นเลวซึ่งมันไม่ดีกว่าสัตว์เดรัจฉานกี่มากน้อยฉะนั้นเป็นอันว่าเราได้รู้ว่าพุทธศาสนาคืออะไร
มาอีกเรื่องหนึ่งว่าพุทธศาสนาคือ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นส่วนการปฏิบัติ เมื่อได้ผลของการปฏิบัติมาก็เป็น มรรคผลนิพพาน รวมหมดนั้นคือ พุทธศาสนาทั้งหมดทั้งกลม พุทธศาสนาทั้งกลม ภาษาไทยโบรงโบราณทั้งกลมมันก็ทั้งหมด ภาษาจารึกสมัยสุโขทัยใช้คำว่าทั้งกลม การจะพูดว่าทั้งหมดทั้งสิ้นมักจะพูดว่าทั้งกลม ก็น่าฟังนะมันมีความหมาย พระพุทธศาสนาทั้งกลมมีอย่างนี้ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปฏิบัติคือศีล สมาธิ ปัญญา มีผลออกมาคือ มรรคผลนิพพาน นี่คือพระพุทธศาสนาทั้งกลม เป็นลูกเดียว กลม หมดสิ้น หนึ่งชั่วโมงแล้วขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงแค่นี้