แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
อานาปานสติ ให้ไปใช้เป็นประโยชน์ ในการดำเนินชีวิต อย่างบ้านเรือน อย่าเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำหรับ อนาคาริก หรือคนไม่มีบ้านไม่มีเรือน อยู่วัด เป็นบรรพชิต ไม่ใช่ เรื่องนี้นำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ แม้แก่คนที่ครองเรือน อยู่ที่บ้านที่เรือน Household Life นะ
ขอให้ทราบในครั้งแรกนี้ว่า วิธีอานาปานสตินี้ เป็นที่รู้จักแก่มนุษย์ในฐานะที่ เป็น Art ก็ได้ เป็น Culture ก็ได้ มาตั้งแต่ ต้องเรียกว่า ดึกดำบรรพ์ก็ได้ คือก่อนพุทธกาลนานไกลทีเดียว มนุษย์ได้รู้จักวิธีการหายใจชนิดที่มีประโยชน์ที่สุดแก่การดำรงชีวิต เขาเรียกกันสั้น ๆ ว่า วิธีการบังคับลมหายใจ แล้วก็มีใช้มาจนกระทั่งพุทธกาล กระทั่งปัจจุบันนี้ กระทั่งพวกเราที่นี่
อาจจะพูดได้ว่าเป็นที่รู้จักกันในหมู่ประชาชน นำไปใช้เป็นประโยชน์ เรียกว่า การหายใจที่มีประโยชน์ที่สุด ๆ สามารถกวาดล้างอารมณ์ร้ายทั้งหลาย ทุกชนิด ออกไปจากจิตใจได้ ทันทีที่ต้องการ จึงเป็นที่นิยมกันว่า ต้องรู้จัก และก็รู้จักกันในหมู่ประชาชน มาแต่ดึกดำบรรพ์
ที่ต้องใช้คำว่า Immemorial Time มันไม่รู้ตั้งแต่ครั้งกะไหน ครั้งไหน ที่รู้จักใช้ประโยชน์ในแง่ของฤทธิ์ของปาฏิหาริย์ก็มี แม้ในเรื่องที่จะเหาะเหินเดินอากาศ หรือว่าจะทำปาฏิหาริย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มีอานาปานสติเป็นพื้นฐาน จนกระทั่งประชาชนทั่วไปก็รู้จักใช้ รู้จักหายใจให้สบาย มันเข้ากับธรรมชาติ คุณลองคิดดูว่า ถ้าเรามีอารมณ์ไม่ดี เราหายใจยาว ๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์ได้ทันที หรือว่ามันเป็นของมันเองโดยธรรมชาติ โดยไม่มีเจตนา ที่เรียกว่าการ สะอื้น ๆ หายใจอย่างสะอื้น หายใจได้เอง พอหลังจากนั้นมันก็สบาย ธรรมชาติมันมีให้อย่างนี้ แล้วเราก็เสริมต่อให้มัน ดีขึ้นไป ๆ จนดีที่สุด แล้วรู้จักกันมาในฐานะ Art อย่างสูงทีเดียว
พระสิทธัตถะผู้จะเป็นพระพุทธเจ้า เมื่ออายุเพียง ๗ ปี ก็สามารถทำอานาปานสติได้ ตามเรื่องราวที่มีอยู่ ทำได้ดีจนถึงกับว่า เงาแดดนะไม่เคลื่อนที่ นั่งอยู่ใต้โคนไม้ ทำอานาปานสติแล้วเงาแดดไม่เคลื่อนที่ไปตามที่ดวงอาทิตย์เขาเคลื่อนไป มีข้อความกล่าวไว้อย่างนี้ คล้ายกับว่าจะยอมรับว่ามันมีอำนาจอะไรอยู่มากทีเดียว ที่จะบังคับแม้แต่ธรรมชาติ หรือว่าอย่างน้อย ก็บังคับจิต ความรู้สึกของทุกคนที่อยู่ที่นั่น ให้เห็นอย่างนั้น ให้เป็นอย่างนั้น นี่ก็ได้เหมือนกัน จึงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป อย่างที่เรียกว่า เด็ก ๆ ก็ฝึกหัด คนหนุ่มโดยเฉพาะ ก็ฝึกหัด คนหนุ่มคนสาว ก็ฝึกหัด รู้เรื่องนี้เพื่อจะเป็นความเจริญในทางจิตใจ พัฒนาในทางจิตใจนี่ กันเป็นธรรมดา เป็นความนิยมตามธรรมดาไปเลย
ในครั้งกระนั้น มันก็ใช้เป็นของประจำบ้านเรือน สำหรับทุกคนครั้งกระโน้น พอมาครั้งกระนี้ หายหายไปเสีย จากความรู้จัก ไม่รู้จัก ต้องมาศึกษา ต้องมาค้นคว้า ต้องมาอะไรกันใหม่ ขอให้มันกลับมา ๆ มาเป็นสิ่งที่ใช้ประจำบ้านเรือน สิ่งที่เรียกว่า Domestic นี่ เรามีกันแต่ด้านวัตถุนะ ขอให้มี แม้ในด้านจิตใจ มีสิ่งที่เอามาใช้ประจำบ้านเรือนในชีวิตประจำวัน เหมือนกับ Domestic อันหนึ่งทีเดียว นี่ขอให้ท่านทั้งหลายสนใจที่จะเอาไปใช้ในชีวิตประจำบ้านเรือน ภาวะครั้งโน้นก็ จะกลับมา ๆ สู่พวกเรา คือ มีสิ่งที่กวาดล้างอารมณ์ร้ายได้ทันทีที่ต้องการ
ทีนี้ก็จะขอพูดถึง อารมณ์ร้าย กันอีกสักครั้งเถอะ ขอให้รู้จักพอเป็นตัวอย่าง ซึ่งก็จะได้พูดเป็นคำ ๆ ไป ความรัก , ความโกรธ, ความเกลียด, ความกลัว, ความตื่นเต้น, ความวิตกกังวล, ความอาลัยอาวรณ์, วิตกกังวลนั่น อนาคต อาลัยอาวรณ์นี่อดีต สิ่งที่เป็นอดีต, ความริษยา, ความหวง, ความหึง, และ ความที่คอยแต่จะมีความรู้สึกเป็นบวกหรือเป็นลบเสียเรื่อยไป นี่ตัวอย่างเท่านั้น ๆ แต่ตัวอย่างเท่านี้ ก็พอแล้วที่จะทำให้เราเข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นอารมณ์ร้าย เกิดขึ้นเมื่อไร ชีวิตนี้ก็เหมือนกับตกนรก อานาปานสติ สามารถจะกวาดออกไปได้จากจิตใจ ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียวถ้าชำนาญแล้วจะกวาดไปได้ ออกไปได้ด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ถ้าฝึกอานาปานสติขึ้นมาจนถึงขั้นที่ ๔ ทำลมระงับ ทำร่างกายระงับ ได้คล่องแคล่ว ด้วยการหายใจวิธีนั้นเพียงครั้งเดียวแหละ สูดหายใจเพียงครั้งเดียว จะขับอารมณ์ร้ายออกไปได้หมดสิ้น นี่มีประโยชน์มากถึงอย่างนี้
ที่มันเป็นไปเอง โดยที่เราไม่ได้ทำอานาปานสติก็มี ขอให้สังเกต มันมีอะไรกลัดกลุ้มในใจแล้ว ร่างกายนี้ จิตใจนี้ มันจะทำของมันเอง คือ ถอนหายใจยาว ๆ หรือสะอื้น อย่างยาว โดยธรรมชาตินั่นแหละ แล้วก็สบายใจทันที นี่ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้เราทำด้วยการฝึก ด้วยเทคนิคของการฝึก มันก็ได้มากกว่านั้น จึงพูดได้เลยว่าด้วยการหายใจเพียงครั้งเดียว จะกวาดอารมณ์ร้ายออกไปหมดสิ้น สบายเลย
เมื่อเรานอนไม่หลับ มีอารมณ์ร้าย นอนไม่หลับ ก็ลองขับไล่มันไปเสียด้วยการหายใจที่ถูกวิธีนี้ ตามวิธีของอานาปานสตินี้ ก็จะทำให้นอนหลับได้ หรือว่าก่อนแต่จะนอนหลับ ตามปกติ ก่อนจะนอนหลับ เรามีการหายใจแบบนี้ เตรียมจิตใจให้ดีที่สุดเหมาะสมที่สุดที่จะหลับ มันก็หลับได้สบายกว่า หลับได้ลึกกว่า นี่เรียกว่าในเรื่องบ้านเรือนน ชีวิตบ้านเรือนแท้ ๆ เอาอานาปานสติ ไปใช้ กวาดล้างอารมณ์ร้ายทั้งหลายทั้งปวงได้
ทีนี้ข้อที่ ๒ อานาปานสติ จะช่วยให้เรามี สติ ปัญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ ๔ อย่าง ซึ่งจำเป็นที่สุด ที่จะต้องมี เพื่อมีชีวิตที่ถูกต้อง ที่เยือกเย็น ที่เป็นสุข ๔ อย่าง นี้ต้องมี อานาปานสติจะช่วยให้เรามีได้ โดยง่ายและมีมากพอ มีสติมากพอ มีปัญญามากพอ มีสัมปชัญญะมากพอ และสมาธิมากพอ เป็น ๔ อย่างเลย อยากจะสมมติเรียกมันว่า ไอ้สี่เกลอ ไอ้สี่เกลอนี่จะมีมากพอ
ขอยกตัวอย่าง โดยทั่ว ๆ ไป พอมีอะไรเข้ามากระทบเราโดยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ตามนะ พอเข้ามาแล้วก็ เราจะต้องมีสิ่งแรก คือ สติ รู้สึกตัวทันท่วงทีว่า โอ้, มี เอ้า, มา ๆกระทบ ต้องมีสติรู้ทันท่วงทีว่า มันมากระทบ แล้วก็สติ ๆ นี้จะ ไปเอาปัญญา ๆ ขนส่งเอาปัญญามา นำมาซึ่งปัญญา ที่เราศึกษาไว้ ทั่ว ๆ ไปก็ได้ จากอานาปานสติก็ได้ เอาปัญญามาสำหรับแก้ไขสิ่งหรือว่า ต้อนรับสิ่งที่มากระทบนั่นนะ ให้มันถูกต้อง เอาปัญญามาในรูปของปัญญา พอมาประจำหน้าที่ ก็เปลี่ยนชื่อเรียกว่า สัมปชัญญะ ปัญญาในหน้าที่ ปัญญาที่กำลังอยู่ในหน้าที่เรียกว่า สัมปชัญญะ ปัญญาที่วางไว้เฉย ๆ มีไว้เฉย ๆ เก็บไว้ในหัวนั้นเรียกว่า ปัญญา ๆ สติไปเอามา ทำปัญญาอยู่ในหน้าที่ ในหน้าที่เฉพาะหน้านี้เรียกว่า สัมปชัญญะ แล้วก็กำลังจิตมันอ่อนไป ก็มีสมาธิให้มาก ให้มันทำหน้าที่รุนแรงถึงที่สุด นี่สี่เกลอที่จำเป็นต้องมี ในการที่มีชีวิตในโลกปัจจุบัน ที่มันเต็มไปด้วยปัญหา
ท่านลองทำความเข้าใจ อย่างนี้ดูก็ได้ว่า ปืน เก็บไว้เฉย ๆ ในที่เก็บ กับ ปืนที่เอามายิงผู้ร้ายทันทีมันมิใช่ปืนกระบอกเดียวกัน แต่มันก็เป็นปืนกระบอกเดียวกันนั่นแหละ ถ้าเก็บไว้มันเป็นปืนชนิดหนึ่ง เอามายิงผู้ร้ายก็เป็นปืนอีกชนิดหนึ่ง แต่มันก็ปืนกระบอกเดียวกัน นี่ปัญญาที่ไม่ได้ใช้ก็เหมือนกับเก็บไว้ กับ ปัญญาที่เอามาใช้เป็นสัมปชัญญะนี่เหมือนกับปืนที่เอามายิงผู้ร้าย ใครจะไปเอาปืนมา ก็สตินั่นแหละไปเอามา ถ้าไม่มีสติ ก็ไม่มีใครไปเอาปืนมา ก็ไม่ได้ยิงผู้ร้าย ฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องมีสติ ไปเอาปัญญามา ทำเป็นสัมปชัญญะ แล้วก็ยิง ๆ ๆ ๆ มันด้วยสมาธิ นี่เรียกว่า สหายที่จำเป็น สี่เกลอ
ถ้าท่านไม่มีสติแล้ว ความรู้ ๆ หรือปัญญาอะไรที่ท่านมีอยู่นั้น จะไม่มีประโยชน์เลย เดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายก็เล่าเรียนมาก ศึกษามาก มีความรู้มาก แต่ความรู้นี้จะไม่มีประโยชน์ ถ้าไม่มีสติ เพราะมันไม่ได้เอามาใช้ทันท่วงที ทันเวลากับที่ข้าศึกเข้ามา เราต้องมีสติ ความรู้หรือปัญญาจึงจะมีประโยชน์ และ ปัญญาจึงจะสามารถเผชิญหน้ากับปัญหา แล้วก็สมาธิก็ช่วยให้ทะลุ ๆ ปัญหาไปได้
โลกปัจจุบันนี้ยิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ในโลกปัจจุบันนี้ยิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ที่แต่ละคนต้องมีสหายสี่เกลอนี่ไว้ช่วยแก้ปัญหา ยิ่งเจริญ โลกยิ่งเจริญยิ่งต้องใช้ธรรมะ ๔ ประการนี้ มากที่สุด จงรู้จักใช้ อานาปานสติ ในลักษณะอย่างนี้
อานาปานสติหมวดที่ ๑ เรื่องกายนี้ ก็ช่วยให้เรามีสติและสัมปชัญญะแล้ว แล้วก็มีมากขึ้นไปในหมวดต่อ ๆ ไป อานาปานสติหมวดที่ ๒ ก็ช่วยมากให้มีสัมปชัญญะในการระวัง Feelling ควบคุมมัน ปัญญา ก็มีมากที่สุดในหมวดที่ ๔ เรื่องธัมมานุปัสสนา เรื่องธรรมชาติทั้งหลาย มีปัญญาถึงที่สุด สมาธิ ก็หมวดที่ ๓ เรื่องจิต บังคับจิตได้ตามต้องการ
เมื่อฝึกอานาปานสติได้ดี คล่องแคล่ว ทั้ง ๔ หมวด แล้ว เราก็มีสติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ ใช้ เหลือเฟือ ๆ นี่ขอให้เอาไปเป็นเครื่องมือ ประจำตัว สิ่งที่ต้องมีประจำตัวนั่นแหละ จะเรียกว่าอะไรก็สุดแท้ เราจะมีอานาปานสตินี้ เป็นเครื่องมือประจำตัว เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเครื่องต่อสู้ เป็นเครื่องแก้ไข เป็นเครื่องเลิกละ อะไร ได้ทุกอย่างทุกประการ นี่ประโยชน์ของอานาปานสติ
สมมติว่า คนหนึ่งเขาเรียนจบ หลายมหาวิทยาลัย มีปริญญายาวเป็นหาง เขาจะต้องมีแต่ความรู้และปัญญา หรือปัญญามีแต่ความรู้ หรือปัญญา แล้วมันก็มาก ๆ เกินจนเหลือเฟือ เฟ้อเป็น Surplusing Wisdom ใช้ไม่ได้หรอก มันช่วยไม่ได้หรอก ถ้ามันไม่มีสติเพียงพอ ความรู้เหล่านั้นมันมาใช้ไม่ได้ เดี๋ยวนี้เราเรียนกันแต่ ฉลาด ๆ ปัญญา ๆ ๆ ฉลาด ไม่ได้เรียนเรื่องสติ ไม่ได้เรียนสัมปชัญญะ ไม่ได้เรียนเรื่องสมาธิ การศึกษาในโลกนี้ ยังไม่สมบูรณ์ ๆ ฉะนั้นจงทำให้สมบูรณ์ ด้วยการฝึก สติ สัมปชัญญะ สมาธินี่ แล้วความรู้อันมากมายของเขา ก็จะถูกใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ ศึกษาอย่างที่มีอยู่ในโลก ไม่พอ ขอให้ศึกษา สติ สัมปชัญญะ หรือสมาธินี่ เพื่อจะใช้ จะควบคุมปัญญา ควบคุมความฉลาด เมื่อไม่ควบคุมความฉลาด ความฉลาดนั่นแหละจะขบถ จะทำให้เป็นทุกข์ ความฉลาดจะเห็นแก่ตัว จะก่อให้เกิดกิเลส และทำให้เป็นทุกข์ นี่ความฉลาดที่ไม่ได้รับการควบคุม อันตรายมาก เรามาฝึกสิ่งที่จะควบคุมความรู้ความฉลาดของเรา คือ สติ สัมปชัญญะ และสมาธิ กันเถิด
ข้อที่ ๓ ทีนี้ข้อที่ ๓ ถ้าเรามีอานาปานสติ มันจะช่วยให้เรามีอวัยวะสำหรับรับอารมณ์ Sense Organ นะ Sense Organ ที่มีสมรรถนะสูงสุดกว่าธรรมดามาก เราจะเห็นได้ดีกว่า เราจะได้ฟังได้ดีกว่า จะดมได้ดีกว่า หรืออะไรได้ดีกว่า ถ้าเรามี สติ สัมปชัญญะ มีสมาธิ อวัยวะรับอารมณ์ของเราจะดีกว่าธรรมดาอีกมากมาย
มันมีความลับอยู่ ที่จะต้องรู้ Efficiency ของ Organ เหล่านี้ไม่พอหรอก มันทำได้น้อยมาก มันดู แต่มันไม่เห็นหรอก มัน Look มันมี Look แต่มันไม่มี See มันมี Listen แต่มันไม่มี Hear เพราะมันไม่มีสติ สัมปชัญญะ ที่ลึกพอ ที่ว่า ดู แล้วก็เห็น โดยลึกซึ้ง โดยความหมาย โดยรายละเอียด หรือว่ามันจะ ฟัง แต่มันไม่ได้ยิน ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันจะ Hear มันลึกลงไป ขอให้มีสติ สัมปชัญญะ สมาธิ ปัญญา อานาปานสตินี้แล้ว การดู การฟัง การดม การลิ้มรส การสัมผัส อะไรของท่านจะดีกว่าแต่ก่อนมาก มี Efficiency มากที่สุดเลย จะเป็นประโยชน์มากที่สุด นี่ก็เป็นอานิสงส์ข้อหนึ่ง
ขอให้ท่านเพิ่มสมรรถนะ Efficiency นี่ ให้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจของท่านให้เพียงพอ ซึ่งจะเหมาะสมที่จะอยู่ในโลกปัจจุบันที่แสนจะวุ่นวาย แสนจะสลับซับซ้อนด้วยปัญหา ขอให้สนใจฝึกฝนให้มี Sense Organ นี่ ให้มี Efficiency มากที่สุดด้วยอานาปานสติ
ทีนี้ข้อที่ ๔ เราสามารถจะมีความสุขได้ทันทีที่เราต้องการ เราต้องการจะมีความสุขที่ไหน เมื่อไร เท่าไร เรามีได้ทันที เพราะเราฝึกอานาปานสติแล้ว เราสามารถจะเรียกร้อง ปีติและสุข ๆ มาได้ทันทีตามที่เราต้องการ ด้วยวิธีอานาปานสติหมวดที่ ๒ หมวดเวทนา เราอยากจะมีความรู้สึกที่เป็นปีติและเป็นสุขเมื่อไร เรามีได้ทันที นี่ เหมือนกับเหมือนกับสารพัด ได้อย่างใจนี่ มีความสุขได้ทันทีที่เราต้องการไม่ว่าที่ไหน เมื่อไร เท่าไร
ฝนจะมาแล้วรีบหน่อย ทีนี้ก็ข้อที่ ๕ เราจะง่าย ที่จะเข้าถึงความเป็นอันเดียวกันกับสิ่งสูงสุด ๆ Supreme นี่ คุณจะเรียกมันว่า God ก็ตามใจ แต่เราเรียกมันว่า นิพพาน ๆ สิ่งสูงสุดนี่ เราจะเข้าถึงได้โดยง่าย และ เป็นอันเดียวกันได้ง่าย ถ้าเรามี สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ โดยวิธีของอานาปานสติจะใกล้เข้าไป ๆ ๆ จนบรรลุถึงความเป็นอันเดียวกันกับสิ่งสูงสุด เป็นอันเดียวกับ God ก็ได้ เป็นอันเดียวกับนิพพานก็ได้ แล้วแต่จะชอบคำไหน หมายความว่า สูงสุด เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา เหนือโลก โดยประการทั้งปวง นี่ข้อที่ ๕
สูงสุด ๆ อยู่เหนือปัญหา เหนือ Problem เหนือภาระ เหนือ Bondage (นาทีที่ 52.25) เหนือ ๆ สิ่งที่มันทำให้เราจมลงไปในความทุกข์นะ จะอยู่เหนือสิ่งเหล่านั้นหมด ในภาษาธรรมะเรียกว่า เหนือโลก เหนือปัญหาในโลก อิทธิพลของโลกครอบงำเราไม่ได้ เมื่อนั้นเราเรียกว่า สิ่งสูงสุด อานาปานสติช่วยให้เรามีได้ ตามที่เราต้องการแหละ แต่ขอให้เราพยายามใช้อานาปานสติในชีวิตประจำวัน ให้มาก ๆ ใช้ในชีวิตประจำวัน เป็น Domestic Thing เครื่องใช้ประจำวัน เครื่องมือประจำวัน ในบ้านเรือน ให้มาก
สรุปความว่า เดี๋ยวนี้เรามี การหายใจที่ศักดิ์สิทธิ์ สูงสุด สารพัดนึก เรียกอะไรนะ Almighty Breathing Almighty ได้ทุกอย่าง ใช้อย่างไรได้ทุกอย่าง เรามีลมหายใจชนิดที่ ใช้ประโยชน์ได้ทุกอย่าง จะเอาอะไรมาก็ได้ เอาอะไรไปก็ได้ จะอยู่เหนือความทุกข์โดยประการใด ๆ ก็ได้ นี่เรียกว่า ผลสรุปของอานาปานสติ ฝนมาแล้วก็ต้องยุติการบรรยายในครั้งนี้