แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันนี้ จะได้บรรยายโดยหัวข้อว่า สิ่งซึ่งบัดนี้ท่านไม่ชอบ หรืออาจจะเกลียด แต่ว่าวันหลังท่านจะชอบหรือจะรัก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี สิ่งที่เดี๋ยวนี้ท่านอาจจะไม่ชอบ ต่อไปท่านอาจจะชอบนั้นก็คือ ชีวิตที่อยู่เหนืออิทธิพลของความเป็นบวก เป็นลบนั่นเอง สิ่งนี้เป็นธรรมชาติ ไม่ว่าผู้ใดจะถือศาสนาอะไร จะถือศาสนาอะไรอยู่ ก็สามารถที่จะมีได้ รู้ได้ ปฏิบัติได้ ได้รับผลได้ ดังนั้นท่านไม่ต้อง สนใจว่ากำลังเป็น Christian หรือเป็น Buddhist หรือเป็นอะไร ไม่ต้องสนใจ ขอให้สนใจสิ่งนี้ในฐานะเป็นเรื่องที่ ธรรมชาติมีไว้ให้เรา ไม่ขึ้นอยู่กับศาสนาก็ได้ เมื่อเราเรียกมันตามธรรมดาว่าชีวิต ชีวิต นั่นถึงระบบของการเป็นอยู่ ชีวิตที่ไม่มีอะไรจะมาปรุงแต่ง หรือรบกวนให้ชีวิตนั้นเป็นบวก หรือเป็นลบ หรือพอใจ หรือไม่พอใจ แล้วบางทีมันเป็นชีวิตที่เป็นอิสระ ไม่มีอะไรมารบกวน มาปรุงแต่ง ให้มันมีความเป็นบวก หรือความเป็นลบ
สิ่งที่จะมารบกวน หรือปรุงแต่งก็มีอยู่ทั่วไป ที่เป็นภายนอก ที่เป็นอยู่ข้างนอกก็คือไอ้ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ จะรู้ได้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นภายในก็คือ กิเลสของเราเอง ทั้งภายในและภายนอกนี้มันจะรบกวนจิต คือมันจะปรุงแต่งจิตนะ ให้เป็นบวก หรือเป็นลบขึ้นมา แล้วเราก็มีความทุกข์ ถ้าท่านชอบหรือถือศาสนาที่มีพระเจ้า ท่านก็จะต้องเข้าใจชัดเป็นที่แน่นอนว่า พระเจ้าต้องการให้เรามีชีวิตอยู่เหนือบวก เหนือลบ แม้แต่พระยาห์เวห์ของยิว ของ Christian นี้ก็เหมือนกัน ดูคำภีร์ Genesis ตอนต้นๆว่า พระเจ้าไม่ต้องการให้รับรู้ความหมายของ Good and Evil น่ะ นี้ไม่บวก ไม่ลบ ไม่ดี ไม่ชั่ว พระเจ้าก็ต้องการอย่างนั้น แต่เราก็ไม่รู้สึก แต่เราก็ไม่รู้จัก และเราก็ไม่ต้องการชีวิตชนิดนี้ นี้คือสิ่งที่ เดี๋ยวนี้ท่านอาจจะไม่ชอบคือ ชีวิตที่อยู่เหนือบวก เหนือลบ แต่ว่าต่อไปท่านอาจจะชอบ เมื่อท่านเข้าใจ นี้เราก็จะได้พูดกันถึงสิ่งนี้เหละให้เป็นที่เข้าใจ จะได้พอใจกันเสียในเวลาอันสั้น ไม่ต้องรอนานเกินไป เดี๋ยวจะตายเสียก่อน
ในชั้นแรกนี้ท่านจะต้องรู้จัก ความแตกต่างของสิ่งสองสิ่งเสียก่อน คือสิ่งที่เรียกว่าจิต กับสิ่งที่เรียกว่าฉัน ฉัน Ego Ethic, I, I, I นี่ นี้อย่างหนึ่งแล้วอีกอย่างหนึ่งคือ จิตสองอย่างนี้ที่ต้องรู้จักดีเสียก่อนว่า มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ปัญหามันเกิดเมื่อเรามีความรู้สึกว่าฉัน ปัญหามิอาจจะเกิดถ้าเรามีความรู้สึกว่าจิตเท่านั้น จิตล้วนๆ เท่านั้น ฉันกับจิตมันต่างกันอย่างนี้ ฉันนั้นคือความโง่ ความเข้าใจผิด ความยึดมั่นถือมั่น ที่มันเกิดมาจากความโง่ แล้วมันก็ปรุงแต่งจิตนั่นเหละ ปรุงแต่งจิตนั่นให้คิดว่าฉัน เพราะฉัน มันจึงเป็นสิ่งที่ไม่จริง หรือเป็นมายา คือจิตนั้นเป็นธรรมชาติล้วนๆ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกอันนี้ ขอให้สนใจให้ดีให้รู้จัก สิ่งที่เรียกว่าจิต กับที่เรียกว่าฉันนั้น ให้ชัดเจนที่สุด เมื่อมีใครด่ามา เมื่อเขาด่ามา มันไม่ถูกฉัน เอ้อ, มันไม่ถูกจิต แต่มันถูกฉัน นี้ใครด่ามามันจะถูกฉัน แต่มันไม่ถูกจิต ที่จริงมันไม่ถูกจิต มันถูกฉัน ขอให้พยายาม Discriminate สองอันนี้ให้ดีๆ ว่า ฉันนั้นไม่ใช่จิต จิตนั้นไม่ใช่ฉัน เมื่อจิตมันโง่ มันเป็นจิตโง่ มันก็เอาตัวเองเป็นฉัน ความโง่ของจิตทำให้จิตเอาตัวเองว่าเป็นฉัน ฉะนั้นเขาด่ามามันก็ถูกฉัน มันไม่ถูกจิตล้วนๆ ที่ไม่โง่ ขอให้สังเกตข้อนี้ดูให้ดีๆ นะ จิตไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ใช่จิต เดี๋ยวนี้คุณกำลังเอาจิตเป็นฉัน หรือเอาฉันเป็นจิต ไม่ถูก แยกออกเสียเถิด แล้วคุณก็จะสามารถมีชีวิตที่อยู่เหนือ Positive and Negative ท่านฟังให้ดี ทำจิตไม่ให้เป็นทุกข์ นี้ทำได้ แต่ทำฉันไม่ให้เป็นทุกข์ นี้ทำไม่ได้ ทำจิตไม่ให้เป็นทุกข์นี้ ทำได้ แล้วก็ทำง่าย ถ้าทำฉัน ฉันไม่ให้เป็นทุกข์นี้ทำไม่ได้หรือทำยากเกินไป ทำไม่ได้สำหรับคนธรรมดา จิตกับฉันไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างนี้ถ้าดูอย่างละเอียดอย่างความจริง ไม่ใช่ดูอย่างหยาบๆ เหมือนคนทั่วไปเขาดูกัน จิตกับฉันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ทำจิตให้ไม่มีทุกข์นั้นทำได้ แต่ทำฉันไม่ให้มีทุกข์นั้นทำไม่ได้ เพราะว่ามันฉันนั้นไม่ได้เป็นสิ่งจริง มันเป็นมายา มันเป็นผลของความโง่ มันเป็นระดับของความโง่ มันไม่มีตัวจริงมันทำไม่ได้ และตัวฉันนั่นเหละเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ถ้ามีความรู้สึกเป็นตัวฉัน ฉัน ฉันแล้ว จะต้องมีความทุกข์ เพราะว่าความมีตัวฉัน มีตัวฉันนั้น มันเป็นตัวความทุกข์อยู่เอง มันเป็นการ หิ้ว หาม แบก ถือ ไอ้ตัวความทุกข์คือ ฉัน ฉัน นั่นเหละไว้ การแบก ถือ หิ้ว คือถือตัวฉันไว้นั่นเหละ มันเป็นตัวความทุกข์ เพราะฉะนั้นเราจึงทำ ความดับทุกข์ให้แก่ฉันไม่ได้ เราทำความดับทุกข์ให้แก่จิตได้ มันต่างกันถึงอย่างนี้
ขอย้ำอีกทีหนึ่งในข้อที่ว่า มีใครด่ามา มันถูกที่ฉันเท่านั้นเหละ แต่มันไม่ถูกที่จิต นี้เป็นของแปลก ฉะนั้นจิตอยู่นอกเหนืออิทธิพล ของการด่า หรือของการกระทำใดๆ ก็ตาม ที่ว่าจะอยู่นอกอิทธิพลของบวกและลบ นั้นมันคือสิ่งที่เรียกว่าจิต ถ้าเป็นฉัน มันเข้าไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของบวกหรือลบเสียแล้ว อย่างเต็มที่ ถ้าแยกแยะกันให้ดี ให้เห็นว่าจิตไม่ใช่ฉัน ฉันไม่ใช่จิตอย่างนี้ เมื่อใดความโง่ หรืออุปาทานว่าฉันได้เกิดขึ้น แล้วก็ครอบงำจิต ครอบงำจิต กะไล่จิตออกไป ในเวลานั้นไม่มีจิต มีแต่ฉัน สมมุติว่า เราจะเรียกว่า Kingdom of Mentality เป็น Kingdom อันนี้ บางเวลาจิตแท้ๆ จิตอิสระแท้ๆ ครอบครอง บางเวลาความโง่เข้ามา ฉัน ฉันน่ะเข้ามาครอบงำจิต คือไล่จิตไป จิตไป จิตไม่มี มีฉันครอบครองอาณาจักรนี้อยู่แทน แล้วเรื่องมันก็ต้องต่างกันลิบเหละ เมื่อฉันครอบครองระบบของจิตนี้ จิตก็ไม่มี ถ้าจิตครอบครองระบบของจิต ก็ยังมีจิตที่สามารถที่จะอยู่เหนือ อิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้ พยายามที่สุด พยายามที่สุด ที่จะแยกจิตออกจากฉัน แยกจิตออกมาเสียจากฉันคือ แยกฉันออกไปจากจิตก็ได้เหมือนกัน ขอให้รู้ว่ามันคนละอย่าง เมื่อใดฉันมาครอบงำจิต ก็เหลือแต่ฉัน เมื่อใดฉันครอบงำจิต ก็เหลือแต่จิต ทำได้ต่างกัน ทำหน้าที่ได้ต่างกันมาก
เมื่อมีการแพ้ หรือการชนะเช่น ในการเล่นกีฬาเป็นต้น เมื่อเล่นกีฬา ก็จะต้องมีแพ้ มีชนะ สิ่งที่รู้สึกว่า แพ้ หรือชนะนั้น คือฉัน ไม่ใช่จิต จิตแท้ๆ ไม่อาจจะรู้สึกว่าแพ้หรือชนะ ต่อเมื่อเป็นจิตโง่ เป็นจิตฉัน ฉัน ฉันเสียแล้วมันก็จะรู้ว่าแพ้หรือชนะ ดังนั้น ฉันนั้นเป็นผู้รู้สึกว่าแพ้หรือชนะ นี้สิ่งที่อยู่ใต้อำนาจของ Positive and Negative ก็คือตัวฉัน มิใช่จิต เมื่อท่านจะทำงานก็ดี จะเล่นกีฬาก็ดี ไอ้สิ่งที่ว่า ทำงานหรือเล่นกีฬานั้นน่ะมันคือตัวฉัน ไม่ใช่จิต แต่ถ้าจะคิดว่าจิต ท่านจะยังถือว่าจิต เป็นเหตุให้ทำ แต่ต้องรู้ว่ามันเป็นจิตโง่ จิตที่กลายเป็นตัวฉันเสียแล้ว จิตที่กลายเป็นตัวฉันเสียแล้ว ฉันทำงาน ฉันเล่นกีฬา ฉันกำไร ฉันขาดทุน ฉันแพ้ ฉันชนะ นี้เป็นเรื่องของฉัน คือจิตโง่ ไม่ใช่เป็นจิตแท้ๆ จิตล้วนๆ นี้ขอให้แยกกันให้ดีเถอะ ขอย้ำข้อนี้มากที่สุด เพื่อจะเข้าใจหลักธรรมะชั้นลึก
มันมีสิ่งลึกลับอยู่สิ่งหนึ่ง ซึ่งทำให้จิตกลายเป็นฉัน จิตกลายเป็นฉัน นี่ ตัวสำคัญ ตัวการสำคัญ สิ่งลึกลับอันนี้ เราเรียกในภาษาธรรมะว่า อุปาดานะ อุปาดานะ (นาทีที่ 36.25 หาคำที่ถูกต้องไม่ได้ แต่ไม่แน่ใจว่าสะกดแบบนี้ ตามที่ผู้ถอดความเขียนไว้หรือไม่) หรืออุปาทานก็ได้ อุปาดานะ ขอช่วยจำคำนี้ แล้วจะแปลเป็น Attachment หรืออะไรก็ตาม ยังสู้คำบาลีเดิมไม่ได้ Attachment น่ะ มันมีความหมายกำกวมบางอย่าง อุปาดานะ Attachment เป็นที่นี้ มันทำให้จิต ความรู้สึกว่าจิต กลายเป็นฉัน มีความรู้สึกว่าฉัน เราจะต้องศึกษาไอ้เรื่อง อุปาดานะ นี้กันให้เพียงพอ แล้วเราก็จะสามารถควบคุมความเป็นจิต หรือความเป็นฉันไว้ได้ จิตล้วนๆ โดยเหตุปัจจัยอะไร ก็ยากที่จะกล่าว จิตล้วนๆ มันก็มี Attachment คือถือเอาด้วยความโง่ Attachment, Attach เหล่านี้มัน Ignorance แล้วมันจึง Classify หรือ Regard ว่า I หรือฉัน อุปาทาน นั้นเอง คือจิตมันโง่ หรือมันด้วยเหตุใดก็ตาม มันถือเอามา สำคัญตัวเองไปตามความโง่ Concept ว่าฉันก็เกิดขึ้น ความเป็นจิตล้วนๆ ก็หายไป ความเป็นฉัน ก็อยู่แทน นีjคือตัวปัญหา ที่ทำให้เราอยู่ภายใต้ Positive and Negative
ถ้าเราเล่นกีฬาเพื่อความสนุก เล่นกีฬาเพื่อความสนุก เล่นกีฬาเพื่อสุขภาพ อนามัย ถ้าอย่างนี้จิต จิต Pure Mind นั่นนะเป็นผู้เล่น ถ้าเราเล่นเพื่อชนะ เพื่อแพ้อย่างนี้ อย่างนี้ฉัน อุปาทาน ฉันน่ะเป็นผู้เล่น มันจึงต่างกันมาก ฉะนั้นถ้าเล่นอย่างกีฬา กีฬาล้วนๆ น่ะ มันก็ไม่เหน็ดเหนื่อยแก่จิตมาก ถ้าเล่นอย่างแข่งขันแพ้ชนะ ด้วยอุปาทานว่าฉันน่ะ มันเหน็ดเหนื่อยมาก แม้แต่เล่นกีฬามันก็ยังต่างกันอยู่อย่างนี้ ถ้าท่านรู้จักแยกเล่นกีฬาด้วยจิต กับเล่นกีฬาด้วยฉันนี่ มันต่างกันอย่างไร ก็จะดีมาก ทีนี้ก็เอามาใช้เมื่อเราทำงาน ทำงานเลี้ยงชีพ Earning of life ก็ทำด้วยจิต อย่าทำด้วยฉัน ถ้าทำด้วยจิต หรือทำด้วยสติปัญญา หรือ จิตล้วนๆ ถ้าทำด้วยฉัน ฉันน่ะมันทำด้วยอุปาทาน การงานชิ้นเล็กทั้งหลายก็จะเป็นของหนัก หนัก หนัก ทนไม่ไหวก็เป็นโรคประสาทบ้าง เป็นบ้าบ้างนั่น ทำงานด้วยตัวฉัน มันต่างกันอย่างนั้น ขอให้ทำงานด้วยสิ่งที่เรียกว่าจิตล้วนๆ เถอะ จะสบายและได้ผลดี ถ้าทำงานด้วยจิต Pure Mind จิตนี่ เหงื่อออกมาเป็นน้ำมนต์ เย็น ถ้าทำงานด้วยฉัน หรือกู เหงื่อออกมาเป็นน้ำร้อน แล้วก็ร้อน
ขอให้สังเกตว่า ฉันกับจิตนี่ มันต่างกันอย่างไร ในหน้าที่การงาน หรือผลของการงาน ทีนี้เรามีชีวิตเป็นของจิต Pure Mind อย่ามีชีวิตเป็นของฉัน Ego Ethic Concept, Ego Ethic เหล่านั้นเลย ฉะนั้น จงมีชีวิตที่เป็นของจิต Pure Mind แล้วมันจะไม่ตกไปภายใต้ อิทธิพลของบวกและลบ ไม่ร้อน ไม่เป็นทุกข์ เพราะบวกและลบ จิตล้วนๆ เป็นของเดิมแท้ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติ เรียกว่าเช่นนั้นเอง ส่วนฉัน ฉันนี้มันเป็น New Product, Newly Produce ด้วยความโง่ขึ้นมาเป็นฉัน ฉันนี้เป็นของใหม่ เป็นของใหม่ชนิดที่นำไปหาปัญหา หาความทุกข์ นี้เรารู้จักของเดิม เดิม เช่นนั้นเอง จิตล้วนๆ จิตล้วนๆ น่ะ เป็นของเดิม เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง และเป็นฉัน เป็นกูขึ้นมาเป็นของใหม่ โดยอวิชา ปรุงขึ้นมา นี้เต็มไปด้วยความทุกข์ ฉันกับจิตไม่เหมือนกันอย่างนี้ เราให้จิตเป็นของเดิมตามธรรมชาติ แล้วมันก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย ถ้ามันมีความรู้ที่ถูกต้อง แล้วมันก็รู้จักป้องกันเหตุปัจจัย ไม่ให้ปรุงไปในทางที่จะเป็นตัวฉัน จิตที่มีความรู้มันจะมีความรู้ป้องกัน ไม่ให้ถูกปรุงให้ไปเป็นตัวฉัน แล้วมันก็จะเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ไปตามเดิม ไปตามธรรมชาติ เดิมแท้ ที่บริสุทธิ์ ที่เดิมแท้ เราจึงมีวิธีป้องกันไม่ให้จิตโง่ ปล่อยให้ถูกปรุง ถูกปรุง คำนี้อธิบายยากหน่อย ปรุง ปรุง ปรุงนี่ จนเป็นฉัน คือจิตโง่ ไม่ใช่จิตบริสุทธิ์ ไม่มีจิตเดิมแท้ มีแต่ตัวฉัน ถ้าอย่างนี้แล้วมันผิดธรรมชาติ ไม่ใช่เช่นนั้นเองเสียแล้ว ไม่ใช่เช่นนั้นเองเสียแล้ว มันก็ต้องเป็นไปตามความทุกข์นานาชนิด รักษาความเป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเองของจิตไว้ให้มากที่สุด เป็นการดี รักษาความเป็นเช่นนั้นเอง ของจิตไว้ให้ได้มากที่สุด เป็นการดี
ทีนี้เรามาศึกษาสังเกตกันให้ดีเป็นพิเศษ ดีเป็นพิเศษ เพื่อให้รู้ว่า I หรือฉันนั้น เป็น New Product, Newly Produce เป็น New Product ใหม่ๆ ถ้าจิตบริสุทธิ์เป็นสมบัติเดิม สมบัติเดิม นี้ศึกษาด้วยเรื่องของท่านเอง ด้วยเรื่องของตัวท่านเอง ให้รู้ว่าไอ้ฉันหรือกูนี้มัน New Product เมื่อเด็กๆ อยู่ในท้องมารดา ไม่มีความรู้สึกว่า ฉัน พิสูจน์ได้ทุกอย่าง เด็กอยู่ในท้องมารดาไม่มีความรู้สึกว่า ฉัน จิตยังเป็นจิตล้วนๆ พอเด็กคลอดออกมาใหม่ๆ นี่ คลอดออกมาใหม่ๆ มันก็ยังไม่มีฉัน ไม่รู้สึก ไม่คิดนึก ไม่มีคิดว่าเป็นฉันได้ คิดไม่เป็น นี่ต่อมาเด็กเขาก็ทำอวัยวะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี้ก็ทำหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่นว่าเขาก็ กินนมของมารดาอร่อย เขาก็พอใจ ถ้าเขาไปกินอันอื่นที่เป็นยา หรือเป็นอะไร เขาก็ไม่อร่อย เขาก็ไม่พอใจ พอมีความอร่อย อร่อย อร่อย นั่นเหละ ความอร่อยแท้ๆ ความอร่อยล้วนๆ มันจะสร้าง Concept ว่า ฉันอร่อย ฉันอร่อย ดังนั้น ฉัน หรือ I พึ่งเกิดเดี๋ยวนี้ พึ่งเกิดเดี๋ยวนี้ พึ่งเกิดทีหลังความรู้สึกอร่อย ที่ไม่อร่อยก็เหมือนกัน เพราะไม่อร่อยลงแล้ว เกิดว่ากูไม่อร่อย ฉันกับกูนี้พึ่งเกิดทีหลัง จากความไม่อร่อย Positive and Negative ก็ย่อมเกิดมีอิทธิพล เหนือจิตใจของเด็กทารกนั้น เมื่อเด็กทารกนั้นมีความรู้สึกว่า ฉัน ฉัน ฉัน เสียแล้วเขาก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positive and Negative เดี๋ยวนี้มาดูให้ชัด ให้ชัด ว่าฉันนี้ของใหม่ ของโง่ ของหลอกลวง ของไม่จริง พึ่งเกิด จิตบริสุทธิ์ของเดิมแท้ เห็นของพึ่งเกิดกับของเดิมแท้ชัดอย่างนี้กันเสียที
ขอให้สังเกตดูว่า เด็กๆ เขามีจิตแท้ๆ มีจิตล้วนๆ จิตอย่างเดียวมาแต่ในท้อง พอมาสัมผัสสิ่งต่างๆ ภายนอกในโลกนี้ เขาก็เกิดความรู้สึกฝ่ายบวก Positive เมื่อถูกใจหรือเมื่ออร่อย แล้วฝ่ายลบ คือ Negative เมื่อไม่ถูกใจไม่อร่อย สิ่งทั้งสองนี้ก็ทำอันตรายแก่เขา คือเมื่อไม่มีความสงบ I, I ฉัน ฉัน ก็เกิดขึ้น เกิดขึ้น เกิดขึ้นจนเป็นหนุ่มเป็นสาว เดี๋ยวก็มี I ลึกเกินกว่าที่จะใหญ่ I, I ฉัน ฉัน ฉัน มันก็มีปัญหา เพราะว่าฉันนี่มันไป Attach Good and Evil, Positive and Negative มันก็มีปัญหาตั้งต้น อยากจะบอกว่านี่ คือสิ่งที่ Christian เรียกว่า Original Sin บาปตั้งต้น บาปตั้งต้น Discriminate at Good and Evil แล้วก็อยู่ใต้ Positive and Negative มีความทุกข์ตลอดมา นี่คือความจริงว่า ฉันไม่ใช่ของเดิม I หรือฉันเป็นของโง่ ของใหม่สร้างขึ้นมา จิตเดิมล้วนๆ นั่นเหละเป็นของเดิม เราพยายามมีจิตชนิดนั้น จะไม่ต้องอยู่ภายใต้บวกและลบ เราก็จะพ้นทุกข์ ไม่ต้องอยู่ภายใต้บวกและลบ
เหมือนกับ อาดัม กับ อีฟ เมื่อพระเจ้าสร้างเขาขึ้นมาใหม่ๆ เขามีจิตบริสุทธิ์ โดยที่ไม่ได้กินผลไม้ต้นนั้น ที่พระเจ้าห้ามว่าอย่ากิน ต่อมาอาดัมกับอีฟมันไปกิน ผลไม้ต้นไม้ที่ทำรู้ Good and Evil มันก็เลยโง่ มันก็มี I มี Conception of I, of Mine, Egoism เกิดขึ้น อาดัมกับอีฟก็ต้องเป็นทุกข์ เหมือนกับเด็กทารกเมื่ออยู่ในครรภ์หรือเกิดมาใหม่ๆ ยังเหมือนกับอาดัมกับอีฟที่ยังไม่ได้กินผลไม้ต้นนั้น ต่อมาไม่เท่าไรทารกนั้นก็กินผลไม้ รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักอร่อย รู้จักไม่อร่อย มันก็มีตัวฉัน แล้วมันก็มีความทุกข์ เป็นบาปตั้งต้นขึ้นมาอย่างนี้ นี่ขอให้แปลความหมายคำภีร์Bible Genesis ว่ามันเป็นอย่างนี้ ที่เรากำลังพูดนี่ จิตเดิมมันบริสุทธิ์ ต่อมามันโง่ Discriminate Good and Evil แล้วมันก็มีปัญหาเรื่อง Good and Evil เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ แล้ว Attach ฝ่าย Good ฝ่าย Positive มากเกินไป จนเป็นบ้า ทีแรกอดัมกับอีฟเขาไม่มี
ทีนี้มันยังมีโชคดี โชคดีที่สุดที่เรายังไม่ได้รับ โชคดีที่เรายังไม่ได้รับ นั่นก็คืออย่างที่ข้อความใน Book of Revelation กล่าวไว้ว่ามีต้นไม้อีกต้นไม้ต่างหาก ต้นไม้อีกต้นต่างหาก Tree of Life นี้ต้นไม้ที่สองต่างหาก ต้นไม้ที่หนึ่ง Tree of Knowledge of Good and Evil นี่ บ้านี่ กินเข้าไปแล้วมันก็มี ถือของเป็นคู่ แต่มี Tree of Life นี่ ถ้ากินเข้าแล้วไปแล้วมันหมดอิทธิพล ของไอ้ต้นไม้ต้นทีแรก แต่เราก็กินไม่ได้ เพราะว่าพระเจ้าป้องกันไว้มากมายหลายชั้นเหลือเกิน ด้วยอาวุธ ด้วยทหาร ด้วยอะไร ใครเข้าไปถึงไม่ได้เลย ไม่ได้กิน เราไม่ได้กินผลของต้นไม้ต้นที่สอง เราก็มี Original Sin มาจนบัดนี้ เดี๋ยวนี้เราควรจะแสวงหาต้นไม้ต้นที่สอง Tree of Life, Tree of Eternal Life ให้พบ แล้วเราก็จะได้กินผล แล้วก็จะได้พ้นจากอิทธิพลของ Positive and Negative ซึ่งเป็นผลของการกินต้นไม้ต้นที่หนึ่ง ขอให้สนใจ เรากำลังมีโชคดีที่ยังไม่ได้รับ โชคดีที่ยังไม่ได้รับ
เดี๋ยวนี้โอกาสนั้น มาถึงแล้ว โชคดีที่เรายังไม่ได้รับน่ะ มีโอกาสที่จะได้รับแล้ว เดี๋ยวนี้ ถ้าท่านต้องการ ถ้าท่านต้องการ จะมีต้นไม้ต้นที่สอง Tree of Eternal Life น่ะมาให้กินผล ถ้าท่านต้องการ สิ่งนั้นคือผลของการปฏิบัติ อานาปานสติ ภาวนา อานาปานสติ ภาวนา ซึ่งจะทำให้จิตกลับบริสุทธิ์อย่างเดิม ไม่เป็นฉันที่โง่เขลา แล้วก็จะหมดบาปของการกินผลไม้ต้นที่หนึ่ง เพราะได้กินผลไม้ของต้นไม้ต้นที่สอง Tree of Eternal Life การกินนั้นคือการปฏิบัติ อานาปานสติให้ถึงที่สุด จนถึงหลุดพ้นจากความโง่ หลุดพ้นจากอุปาทาน หลุดพ้นจากไอ้ของหลอกลวงที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ นี่ โอกาสมาถึงแล้วถ้าท่านต้องการ ขอให้สนใจ
เมื่อเรายังอยู่ใต้อิทธิพลของต้นไม้ต้นที่หนึ่งเราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบความเป็นอิสระจากอิทธิพลของ Positive and Negative ต่อเมื่อเราได้กินผลไม้ต้นไม้ต้นที่สอง เราจะชอบ เพราะฉะนั้นอาตมาจึงพูดว่า จะพูดถึงสิ่ง ที่ท่านอาจจะไม่ชอบ เดี๋ยวนี้ไม่ชอบ แล้วทีหลังท่านอาจจะชอบ เดี๋ยวนี้ไม่ชอบ แต่ทีหลังอาจจะชอบ เมื่อหลายปีมาแล้ว หลายสิบปีไม่ใช่หลายปี หลายสิบปี ร้องเพลง เพลงหนึ่งชื่อ Rio Rita เข้าใจว่าผู้ที่มีอายุมากคงจะเคยร้องก็ได้ ในเพลงนั้นมีเนื้อความตอนหนึ่งว่า Rio Rita, Is one day your lips will say “I love you!” ก่อนนี้ไม่รัก ก่อนนี้ไม่รัก จะมีสักวันหนึ่งที่ท่านจะต้องรัก เดี๋ยวนี้ท่านไม่รักชีวิตอยู่เหนือ Positive and Negative แล้วมันจะมีสักวันหนึ่งที่ท่านจะต้องรัก แล้วก็ต้องการจะหลุดพ้นจาก Original Sin สักวันหนึ่งท่านจะพูดว่าฉันชอบ และฉันรัก ชีวิตเหนือ Positive and Negative นี่เรื่องที่เราพูดวันนี้ว่า สิ่งที่ท่านอาจจะไม่ชอบในวันนี้ แต่ท่านอาจจะชอบในวันหน้า ขอยุติการบรรยายในวันนี้ เพียงเท่านี้