แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่สองนี้ จะได้พูดกันโดยหัวข้อว่า การฝึกความแข็งแกร่งของชีวิต,การฝึกความแข็งแกร่งของชีวิต ความแข็งแกร่งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีอยู่ในโลกที่แสนจะยุ่งยาก สำหรับผู้ที่จะบวชชั่วคราวก็เป็นการฝึกความแข็งแกร่งสำหรับจะออกไปเผชิญกับชีวิตอย่างฆราวาส ก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีผลคุ้มค่า บางคนเกิดในครอบครัวที่อ่อนแอไม่ค่อยจะได้พบกันกับความแข็งแกร่งย่อมจะมีปัญหาที่มีความแข็งแกร่งไม่พอ ฉะนั้นการได้มาบวชเพื่อฝึกความแข็งแกร่งเสียบ้างก็จะเป็นการดี ขอให้สนใจในส่วนนี้ ส่วนความแข็งแกร่งตลอดไปถึงการบรรลุพระนิพพานนั้นก็อีกความหมายหนึ่ง เดี๋ยวนี้ขอให้ได้ในส่วนที่ต้องการเฉพาะหน้ากันก่อน
ขอให้ทุกคนสนใจบทเรียนที่เรามีอยู่สำหรับฝึกฝนกันที่นี่ ซึ่งคำที่พูดกันติดปากนั้นก็คือ กินข้าวจานแมว อาบน้ำในคู นอนกุฏิเล้าหมู ฟังยุงร้องเพลง นี้มันก็เป็นเรื่องฝึกความแข็งแกร่งทั้งนั้นแหละ แต่เราจะพูดถึงความแข็งแกร่งทางกายกันเป็นพิเศษ อยู่อย่างที่ต้องมีความแข็งแกร่งอดทน นี้ก็เป็นหลักในพระศาสนานี้และเป็นพระพุทธประสงค์ พระพุทธเจ้าท่านก็มีชีวิตตัวอย่างของความแข็งแกร่งมากที่สุดเหมือนกัน บำเพ็ญกิจหน้าที่ของพระพุทธเจ้านั้นต้องใช้ความแข็งแกร่งมาก เป็นที่เชื่อได้ว่าท่านไม่มีร่ม ไม่มีรองเท้า ก็เดินเป็นโยชน์ๆ ไม่นั่งยานพาหนะที่เทียมด้วยสัตว์มีชีวิตหรือคนมีชีวิต มันก็ต้องเดิน มันก็มีความแข็งแกร่งมาก การเป็นอยู่ก็เรียกว่าแข็งแกร่ง พระเณรบางพวกจะมีความเข้าใจว่าพระพุทธเจ้านี้มีการขบฉันอย่างกับในรั้วในวังอะไรอย่างนี้ ถ้าอย่างนี้เป็นความเข้าใจผิดมากทีเดียว ท่านดำเนินชีวิตอย่างที่เหมือนกับคนขอทานอย่างที่ว่า บางทีก็อย่างที่เรียกว่าอดๆ อยากๆ นั่นแหละ พระไตรปิฎกเล่มแรกหน้าแรกๆ จะพูดถึงเรื่องนี้ว่า ได้รับนิมนต์ไปจำพรรษาที่บ้านแห่งหนึ่ง ผู้นิมนต์เขาก็ลืมเสีย ไม่ได้เอาใจใส่เรื่องขบฉัน พอถึงเวลาในพรรษาก็ไม่มีอะไร เพราะเป็นฤดูข้าวยากหมากแพงพอดีกันด้วย พระสงฆ์ตั้งหลายร้อยรูปก็ไม่มีอะไรจะฉัน ทีนี้พ่อค้าที่เลี้ยงม้าขาย พาม้าไปขาย เขาก็มีเสบียงสำหรับม้าคือข้าวตากไปด้วยมากสำหรับม้ากิน ก็แบ่งถวาย เป็นพ่อค้าที่ใจดีมาก ไม่คิดว่าจะเสียหรือขาดทุนอะไร แบ่งข้าวตากให้พระสงฆ์ ถวายองค์ละฟายมือๆ ใหญ่ๆ หรือครึ่งกอบ เอาไปทำให้เปียก ก็ฉันได้โดยไม่ต้องมีแกงมีกับ มีพระบางองค์กราบทูลให้เสด็จไปเสียเถอะ อย่าอยู่ที่นี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่มีความคิดอย่างนั้น ก็อยู่อย่างนั้นแหละจนตลอดพรรษาจนพ้นฤดูฝน นี่เรียกว่ามีความแข็งแกร่ง ซึ่งถ้าเป็นสมัยนี้ก็ไม่เอาแน่ มันทุกอย่างไปหมดแหละ ฉะนั้นขอให้นึกถึงพระศาสดาผู้ให้กำเนิดศาสนาที่พวกเรากำลังรับมาปฏิบัติอยู่ถืออยู่มาบวชในศาสนาของท่านเป็นคนแข็งแกร่งหรือกระดูกเหล็กสักเท่าไหร่ ขอให้พอใจที่จะฝึกฝนกันในแบบนั้นบ้าง คำว่าฟังยุงร้องเพลงนี้ คุณเข้าใจว่าอย่างไร มันก็เกินแข็งแกร่งไปเรื่อย เพราะให้กลายเป็นร้องเพลงได้
นี่เป็นตัวอย่างสำหรับเทียบเคียงในเรื่องความแข็งแกร่ง ฉะนั้นขอให้ทำตามระเบียบปฏิบัติที่เคยปฏิบัติกันมาในเรื่องการขบฉัน การเป็นอยู่ การงาน การบริหาร งานกรรมกรอะไรเหล่านี้ เป็นบทเรียนสำหรับฝึกความแข็งแกร่งทั้งนั้นแหละ จะมีประโยชน์ในอนาคต ประโยชน์ทางโลกๆ นั้นก็เป็นผู้แข็งแกร่งทำอะไรได้ดี ประโยชน์ในทางธรรมก็ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งในทางจิตใจที่จะต่อสู้กับกิเลส แข็งแกร่งทั้งทางกายแข็งแกร่งทั้งทางจิตมันก็ดี มันใช้ประโยชน์ได้ทั้งเพื่อประโยชน์ทั้งทางโลกิยะทางโลกๆ และประโยชน์ทั้งทางโลกุตตระคือเพื่อจะไปนิพพาน เรียกว่าทั้งทางด้านกายและด้านจิต เราจะพูดให้ชัดกันลงไปว่า มีความแข็งแกร่งใน ๓ ระดับ ระดับกาย ระดับจิต ระดับวิญญาณ ถ้าพูดว่าวิญญาณ คุณไม่ทราบ ก็วงเล็บสติปัญญา
ด้านกายก็อย่างที่ว่า ฝึกฝนให้มันมีความแข็งแกร่งทั้งทางกายโดยตรง เนื้อหนังเข้มแข็ง สุขภาพอนามัยดี กระทั่งต่อต้านโรคภัยไข้เจ็บ ก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น มันต่อต้านเชื้อโรคได้ดีอยู่ในตัว จนว่ากระทั่งความเคยชินหรืออะไรช่วยเข้าไปด้วย ต่อต้านเชื้อโรคได้ดีที่สุด อาหารขอทานนั้นที่มันสะอาด นี่เรียกว่าเป็นแข็งแกร่งทั้งโดยตรงและโดยอ้อม
ทีนี้ทางจิตนี้ก็แข็งแกร่งกว่าที่ชาวบ้านเขามี เพราะว่าเรามีการฝึก ฝึกโดยเฉพาะ โดยทางสมาธิภาวนานี้มันทำให้เกิดความแข็งแกร่งในทางจิต เรียกว่าหวั่นไหวยาก เผชิญกับอารมณ์ด้วยความแข็งแกร่งเพราะฝึกไว้ดี แม้จะลำบากก็ทนได้ นั่นแหละเป็นความแข็งแกร่งทางจิต ก็เลยไปถึงทางกาย ถ้าจิตใจแข็งแกร่งทางกายมันก็พลอยแข็งแกร่งไปด้วย จิตชนิดนี้ที่มันจะเผชิญกับภาระหนักๆ ได้ทั้งในโลกและในทางธรรมทางโลก
ทีนี้อันที่ ๓ ก็ทางสติปัญญาหรือทางวิญญาณนั่นแหละ ความรู้ต้องแน่นแฟ้น ไม่ใช่ง่อนแง่นๆ มีอะไรมานั่นก็เปลี่ยนแปลงกันเรื่อย นี่เรียกว่าความรู้มันไม่ถูกต้อง มันไม่ลงรากฐานอันมั่นคง มันก็ง่อนแง่น มันก็อ่อนแอ ต้องมีความรู้ที่แข็งแกร่งคือเด็ดขาดลงไปว่า อย่างไรดับทุกข์ อย่างไรไม่ดับทุกข์ ถ้ามันเป็นเรื่องดับทุกข์แล้วก็ว่ากันเต็มที่เลย สติปัญญาก็แข็งแกร่ง คำนวณดูเอาเอง แข็งแกร่งทั้งทางกาย แข็งแกร่งทั้งทางจิต หมายถึงจิตล้วนๆ รวมทั้งระบบประสาทอะไรด้วย เรียกว่าแข็งแกร่งทางสติปัญญา มีความรู้เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับอารมณ์หรือจะต่อสู้กับกิเลส อารมณ์ รูป เสียง กลิ่นรส โผฏฐัพพะนี้มันมีอยู่ข้างนอก มันก็เผชิญกัน ข้างในก็มีกิเลสทางจิตใจเผชิญ ฉะนั้นถ้าจิตใจไม่แข็งแกร่งพอมันก็พ่ายแพ้ตั้งแต่ทีแรก ยอมแพ้แล้วก็ทิ้งหลักเกณฑ์ที่จะต้องปฏิบัติ ยอมไปตามอารมณ์วิ่งหนี ก็เลิกกันหมด การงานก็ต้องเลิก ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ก็ต้องเลิกถ้ามันมีความอ่อนแอ แต่ถ้ามีความแข็งแกร่งทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางสติปัญญาแล้วมันสู้ได้ ขอให้เตรียมพร้อมไว้ ฝึกฝนไว้ให้มากๆ ให้มีความหมายของเพชรในวัตถุทางวัตถุ เพชรนั้นมันแข็งกว่าอะไร มันตัดอะไรได้เพราะเหตุที่มันแข็งกว่าอะไร เราจะมีความแข็งแกร่งอะไรทำนองนั้นทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางสติปัญญา แล้วตัดอุปสรรค ตัดกิเลส ตัดความอ่อนแอพ่ายแพ้แก่กิเลสได้ นี้จึงเรียกว่าความแข็งแกร่ง ขอให้ฝึกกันไว้ทั้ง ๓ ชั้น จะต้องรู้จักกันให้ชัดเจน และเข้าใจมันให้ชัดเจนว่ามันมีอยู่อย่างไร,มีอยู่อย่างไร เห็นชัดเจนทีเดียว แล้วทำให้มันมีขึ้นมาด้วย รู้สึกว่ามันยังย่อหย่อนอยู่ก็ทำให้มันพอขึ้นมา
คนสมัยนี้เขาไม่สนใจจะแข็งแกร่ง เพราะเขาหาความสุขด้วยการผ่อนตามอารมณ์ผ่อนตามกิเลส ฟังดูให้ดี การได้พ่ายแพ้แก่กิเลส ไปตามอำนาจของกิเลส กลับเป็นความสุขความสบายความพอใจของเขา เขาไม่เห็นว่าความชนะกิเลสนี้เป็นความสุข ฉะนั้นจึงเอาแต่ในทางตามใจกิเลส สวยงาม เอร็ดอร่อย สนุกสนานเพลิดเพลินไปตามเรื่อง เห็นสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าต้องการเสียแล้วมันก็ไม่ฝึกการแข็งแกร่ง นี้เราเรียกกันทางภาษาศาสนาว่า คนเหล่านี้มันรู้จักแต่เรื่องเนื้อหนัง เป็นภาษาศาสนาโดยเฉพาะและเป็นคำด่าด้วย ถ้าเขาหาว่าคุณนี้มันหลงเรื่องเนื้อหนังนี่ ก็หมายความเป็นคำด่าอย่างสูงสุดเลย แต่ว่าคนในปัจจุบันในโลกนี้มันก็เป็นอย่างนั้น บูชาเนื้อหนัง ก็คือบูชากิเลส เรื่องเนื้อหนังมันเป็นเรื่องของกิเลส มันก็เล็งถึงเรื่องกามารมณ์นั้นเป็นส่วนใหญ่ เรื่องทางเพศนั้นเป็นส่วนใหญ่ แล้วพอนิยมกันอย่างนี้ทั่วไปทั้งโลก ก็เลยไม่ต้องมีใครละอายใคร ไม่ต้องมีใครติเตียนใคร ฉะนั้นเขาก็ไม่ต้องการฝึกความแข็งแกร่งอย่างที่เราพูดถึง เพราะเขาไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านั้น เขาถือว่าความพ่ายแพ้แก่กิเลสเป็นความสุขสนุกสนาน เป็นสุข,ความเป็นสุขของเขาอยู่ที่นั่น จึงจะเรียกได้ว่ามีกามารมณ์เป็นนิพพาน มีกามารมณ์เป็นนิพพานนี้มันดึกดำบรรพ์ก่อนพุทธกาล แต่เดี๋ยวนี้มันก็ยังมีอยู่ บูชากามารมณ์เป็นสิ่งสูงสุดกว่าสิ่งใด คนอย่างนี้เขาจะฝึกความแข็งแกร่งไปทำไม แต่เมื่อเราต้องการจะมีความสำเร็จในทางเรื่องที่ดีกว่านั้น สูงกว่านั้น แท้จริงกว่านั้น ก็ต้องฝึกอยู่ดี เพื่อก้าวหน้าไปจากนั้น ความรู้สึกที่เรียกว่าอตัมมยตา อตัมมยตาที่พูดกันมาหลายๆ วันแล้วนั่นแหละ เป็นปัจจัยที่จะให้แข็งแกร่ง และเป็นตัวความแข็งแกร่งที่กระโดดออกมาเสียจากความอ่อนแอ ไม่เอากับมันแล้ว,โว้ยความอ่อนแอนี้ ความจมปรักอยู่ในเรื่องอ่อนแอ ไม่เอากับมันแล้ว,โว้ย นี่อตัมมยตา ถ้าเขาไม่ต้องการ เขาก็ไม่สนใจความแข็งแกร่ง แล้วบางทีจะหาว่าเรื่องนี้ไม่จำเป็นแก่เรา มันพ้นสมัยแล้ว สมัยนี้เขาไม่ต้องการกันแล้ว เขาเอาความสะดวกสบายสนุกสนานอย่างที่นิยมกันอย่างสมัยใหม่ เป็นอยู่เหมือนกับจะแข่งกับพวกเทวดา ก็เลยไม่ต้องการ มันหาว่าพ้นสมัย หรือเขาอาจจะจัดว่าเป็นสำหรับคนบางพวก ไม่ใช่สำหรับทุกคน คนบางพวกเอาไปเสียเถอะเรื่องความแข็งแกร่งเรื่องไปนิพพานนั้น เอาไปเถอะ เราไม่เอา เรายังไม่เอา คนส่วนมากอาจจะคิดอย่างนั้น เขาก็ยิ่งไม่ต้องการความแข็งแกร่ง เลยไม่ฝึกไว้ และจะหาว่าขาดทุนเสียด้วย เสียหายอะไรเสียด้วยที่จะไปแข็งแกร่ง สู้อ่อนแอไม่ได้ สู้ปล่อยไปตามอารมณ์ไม่ได้ ถ้าอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเหมือนกันแหละ เพราะว่าการบวชนั้นมันมาฝึกความแข็งแกร่ง ชนะอารมณ์ ชนะกิเลส ชนะอะไรทุกอย่าง ชนะอุปสรรคทางโลกๆ ภายนอกด้วย มันต้องการความแข็งแกร่งกันอย่างนั้น ในที่สุดก็จม จมอยู่ที่นั่นแหละ จมอยู่ในความไม่แข็งแกร่ง จมอยู่ในโลกแห่งความอ่อนแอสนุกสนานเพลิดเพลิน นั่นคือกามโลก ไม่ขึ้นจากกามโลก
ขอให้เข้าใจว่า การอยู่ในโลกนั้นไม่ใช่เพื่ออย่างนั้น ไม่ใช่เพื่อจมอยู่ในโลก และก็ต้องมีความเข้มแข็งชนะเหนืออำนาจของโลกในทุกๆ แง่ในทุกๆ มุม ปัญหาใดๆ ในโลกไม่มีแก่ผู้แข็งแกร่ง จะลำบากยากเข็นสักเท่าไหร่มันก็ยิ้มได้ ให้มีความทุกข์ครอบงำอย่างไร มันก็เห็นว่าเช่นนั้นเอง ก็ต่อสู้ ต่อสู้ ต่อสู้กันไป อย่างนี้เรียกว่าแข็งแกร่งที่สุด ไม่พ่ายแพ้ ไม่พ่ายแพ้แก่อารมณ์ที่เลวร้ายชนิดไหน ความทุกข์ชนิดไหนมาก็หัวเราะเยาะ ยินดีที่จะต่อสู้กับมันนั่น แล้วคิดดูเถิดว่า มันต้องการความแข็งแกร่งกันสักเท่าไหร่ จะอยู่ในโลก โลกไหนล่ะ คุณจะอยู่ในโลกไหน จะอยู่ในโลกที่อ่อนแอหรือว่าจะอยู่ในโลกที่แข็งแกร่ง อยู่ในโลกของคนที่อ่อนแอหรือว่าจะอยู่ในโลกของคนที่เข้มแข็ง มันมีอย่างนี้ เลือกได้ตามพอใจไม่มีใครบังคับ แต่เมื่อคำนึงดูถึงผลที่จะได้รับแล้วมันก็ต่างกันมาก มันก็อาจจะละอายหรือเกลียดหรือเบื่อขึ้นมาเองในการที่จะอยู่อย่างอ่อนแอ อยู่อย่างสัตว์ที่อ่อนแอ อยู่ในภาวะที่อ่อนแอ มันก็เรียกว่าอยู่ชั้นอนุบาลชั้นประถมอยู่เรื่อยไปในโลกขั้นนั้นของเด็กทารกที่มันมีความอ่อนแอ ถ้ามันจะเข้มแข็งขึ้นมา เข้มแข็งขึ้นมา มันก็ต้องเปลี่ยน มันจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน
อย่าลืมคำว่าชีวิตๆ นี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ตามที่เราต้องการ ถ้าไปถือเสียว่ามันตายตัวพัฒนาอะไรไม่ได้ มันก็หมด,หมดเรื่องเท่านั้น แต่ความจริงนั้นชีวิตนี้เป็นสิ่งที่พัฒนาได้ตามที่เราจะต้องการ เพราะว่าธรรมชาตินั้นมันให้มาอย่างนั้นนะ ถ้าเชื่อพระเจ้า ก็ว่าพระเจ้าให้มาอย่างนั้น ถ้าไม่มีพระเจ้าก็มีธรรมชาติ ก็ธรรมชาติมันให้มาอย่างนั้น ให้ชีวิตมาสำหรับให้พัฒนาเอาได้ตามใจชอบ ก็ต้องมีความรู้ที่จะพัฒนาชีวิตอะไรได้ตามที่เราต้องการ แต่ถ้าเราต้องการชั้นต่ำเกินไป มันก็เกือบไม่ต้องพัฒนาอะไร มันก็ปล่อยไปตามเรื่อง แต่แล้วก็เป็นเด็กอมมืออยู่เรื่อยไป มันต้องสูงขึ้นไป,สูงขึ้นไป คือว่าอยู่เหนือปัญหา เหนือความทุกข์ เหนือปัญหา เหนือสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานั้นสูงขึ้นไปๆ นี่ มันจะเรียกว่าพัฒนา มันไปสูงสุดที่นิพพาน ที่เป็นพระอรหันต์และนิพพานนั้นมันสูงสุดที่นู่น เดี๋ยวนี้ยังอยู่กันที่นี่ แต่มันก็ต้องพัฒนาให้มันสูงขึ้นไปๆ ตามธรรมะที่ละเอียดอ่อน ก็ว่าเกิดจากกามไปสู่รูป จากรูปไปสู่อรูป จากอรูปก็ไปสู่นิพพาน สูงขึ้นไปอย่างนั้น ดีที่สุดอย่างมนุษย์ แล้วก็ไปสวรรค์ สวรรค์ชั้นกามาวจรดีกว่า แล้วก็ไปพรหมโลกที่มีรูป เป็นรูปพรหมนี้ก็ดีกว่า แล้วก็ไปพรหมโลกที่ไม่มีรูปก็ดีไปกว่านั้น พอเหนือจากนั้นไม่มีโลกแล้ว ไม่มีโลกไม่มีภพแล้ว ก็เป็นพระนิพพาน เป็นนิโรธ เป็นนิโรธธาตุ เป็นนิพพาน
นี่ทางที่จะต้องไปมันมีอย่างนี้ จะชอบหรือไม่ชอบก็ตามใจไม่มีใครว่า แต่ว่าหนทางที่จะเลื่อนให้สูงนั้นมันมีอย่างนี้ อย่างอื่นมันไม่มี ในมนุษย์โลกนี้ก็เอากันได้หลายชั้น เป็นคนร่ำรวย เป็นคนมีอำนาจวาสนา เป็นคนสบายไปทุกอย่างก็ได้ แต่อย่าลืมว่ายิ่งสูงสุดในทางวัตถุมันก็ยิ่งมีกิเลสรบกวน มันละเอียดอ่อนมากขึ้น ไม่ใช่ว่ายิ่งสบายแล้วกิเลสมันจะยิ่งลด,ไม่ใช่ กิเลสมันก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้นเหมือนกัน ความอิ่มความพอนั้นมันเปลี่ยนได้เรื่อย มันถอยหลังได้เรื่อย ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นมันก็พบกับความที่ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ
มีนิทานเล่าทำนองล้อไว้ในคัมภีร์ว่า มีพระเจ้าแผ่นดินองค์หนึ่งได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินเป็นจักรพรรดิแล้วก็ยังไม่พอ แล้วก็ขึ้นไปแย่งบัลลังก์ของพระอินทร์ครอบครอง พระอินทร์แบ่งให้ครึ่งหนึ่ง ในที่สุดก็หล่นลงมาเพราะว่ามันไม่มีสาระอะไรนักหนา สวรรค์ก็ไม่สามารถจะดึงตัวไว้ได้ หล่นลงมา หมายความว่าคุณจะพยายามจนถึงมีความสุขอย่างสวรรค์นั้น มันก็ไม่เป็นที่พอใจอันตายตัวแน่นอนเด็ดขาดไปได้ มันก็ต้องคลายหรือต้องหล่น ถ้ามันไม่เลื่อนขึ้นไปเสียให้สูงกว่านั้นมันก็ต้องหล่นลงมา ผมอยากพูดจะให้รู้ๆ กันไว้ว่า โลกนี้มันกำลังจะถึงจุดตัน มันเจริญ,เจริญ,เจริญ จนไม่รู้ว่าจะเจริญกันอย่างไร จนไม่รู้จะเอาอย่างไรแล้ว มันก็ตัน ไม่มีทางไป กิเลสก็มีอยู่เท่าเดิม มันก็เล่นงานเอา ยอมแพ้ ประเทศเราประเทศด้อยพัฒนานี้ยังไม่ถึงนั้น ยังไม่ถึงจุดนั้น แต่ประเทศที่เต็มพัฒนาระวังเถอะๆ มันจะไม่มีจุดที่จะไปได้แล้ว มันอยู่แค่นั้นมันก็ยังมีกิเลสรบกวน ยิ่งเจริญยิ่งมีปัญหามากยิ่งมีเรื่องยุ่งมาก มันก็จะเป็นบ้าเป็นโรคประสาท นี่คอยดูประเทศที่ว่าเต็มพัฒนาสูงสุดด้วยอุตสาหกรรมนั้นมันจะประสบปัญหาไม่รู้สิ้นสุด ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหกรรม คนก็ยิ่งว่างงาน เพราะเครื่องจักรมันทำแทนเสียหมดนี่ คนไม่มีอะไรจะทำ ยิ่งเจริญด้วยอุตสาหกรรม มันยิ่งว่างงาน ยิ่งเจริญด้วยเครื่องจักร มันยิ่งผลิตของมาเกิน เกินใช้ เกินกิน เป็นของเกิน เกินทั้งปริมาณเกินทั้งคุณภาพ มันมีแต่ความเกินเท่านั้น จะไม่ให้ยุ่งได้อย่างไร มันก็ยุ่งๆ เวียนหัวและเป็นบ้า รีบหาธรรมะไว้แก้ไขเถิด พวกเต็มพัฒนาทั้งหลายนั้นมันจะเป็นบ้าเพราะพัฒนาสุดเหวี่ยงนั่นเอง จะมีธรรมะนี้มันก็มีความเปลี่ยน คล้ายๆ กับว่าเปลี่ยนกระแสเปลี่ยนหนทาง มันจะอยู่เหนือกิเลสทีนี้ ต้องเข้มแข็ง ต้องอยู่เหนือกิเลส ปล่อยไปตามในภายใต้กิเลส ภายใต้กิเลส ภายใต้อำนาจกิเลสแล้วก็ไปตัน ก็ถูกกิเลสเผาลนจนเป็นบ้าไปตามเรื่อง ความเจริญสูงสุดทางวัตถุจะนำไปสู่จุดหมายปลายทางก็คือบ้าเป็นโรคประสาทและไม่รู้จะไปทางไหน เราเตรียมตัวให้พร้อมว่าอย่าให้ต้องเป็นอย่างนั้น มีธรรมะไว้ไม่หลง ไม่หลงในเรื่องเหล่านี้ ไม่หลงในความหลอกลวงชนิดนี้ ไม่ต้องเกิน,ไม่ต้องเกิน เอาแต่พอดี,เอาแต่พอดี เอาแต่ที่ไม่มีปัญหา ถ้าเอาแต่พอดีมันไม่มีปัญหา ถ้าเอาเกินพอดีมันมีปัญหาเท่าที่มันเกินเท่าไหร่ ปัญหามันก็มากเท่านั้นแหละ ที่จะต้องสู้กันกับกิเลส ก็ต้องมีความแข็งแกร่งพอ เพราะว่ากิเลสนี้มันเหลือประมาณเหลือกำลัง
อยากจะพูดเรื่องโลกๆ สักนิด ในโลกนี้มันมีอะไรให้หมดแหละ มันมีอะไรให้หมดจริงๆ ในคำว่าโลกๆ นี้ เรื่องดีเรื่องบ้า เรื่องสุขเรื่องทุกข์ เรื่องได้เรื่องเสีย เรื่องนรกเรื่องสวรรค์อะไร มันมีอยู่ในโลกนี้ทั้งนั้นแหละ นิพพานเท่านั้นที่ไม่มีอยู่ในโลก แต่มันก็ต้องหากันในโลกเหมือนกัน เอามาใช้กันในโลก เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์กันในโลกนี้เพื่อจะแก้ปัญหาในโลก แม้ว่าจะเป็นเรื่องเหนือโลก ก็ต้องเอามาใช้ในโลกเพื่อจะแก้ปัญหาในโลก แต่เรื่องในโลกนั้นมันมีสารพัดอย่าง โลกมีหลายชนิด มีหลายโลก มีหลายชนิด แต่ว่าทุกชนิดและทุกโลกนี้มันอยู่ในตัวคน ที่พูดว่าอยู่ที่อื่นที่ดวงดาวดวงอื่นอยู่บนฟ้าใต้ดินนั้น มันเป็นเรื่องปรัมปรา พูดกันมาตั้งแต่สมัยที่คนยังโง่นู่น ที่คนมันยังโง่ พูดกันอย่างนี้ก็แล้วกัน ที่คนป่ายังไม่ค่อยจะรู้อะไร คาดคะเนเอาอย่างนั้นอย่างนี้ จนพูดว่าสวรรค์นั้นอยู่เหนือยอดเขาสุเมรุ ก้าวขึ้นเขาสุเมรุหิมาลัย สูงขึ้นไปสองสามขั้น แล้วก็ก้าวอีกสองสามขั้นก็ถึงสวรรค์ นี่คัมภีร์มีเขียนอย่างนี้ บ้าบอเท่าไหร่ก็นึกเอาเอง มันยังไม่รู้เรื่องอะไร เดี๋ยวนี้ยานอวกาศขึ้นไปได้เหนือยอดเขาสุเมรุไม่รู้จะกี่ร้อยเท่าพันเท่ามันก็ยังไม่พบเมืองสวรรค์ เขาเขียนไว้ว่าพระพุทธเจ้านั้นเมื่อจะไปจำพรรษาในเทวโลกนั้น ก็ก้าวขึ้นไปทางเขาพระสุเมรุ ก้าวข้ามยอดเขาพระสุเมรุขึ้นไปอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงเมืองสวรรค์ นี่คนสมัยนั้นมันยังไม่รู้เรื่องอะไร วาดสิ่งต่างๆ ตามพอใจ สวรรค์อย่างนั้น สวรรค์อย่างนี้ วาดไว้อย่างนั้นแหละก่อนพุทธกาลนะ ชาวอินเดียเขามีความรู้เป็นอย่างนั้น เลยทำให้มีโลกที่อยู่ที่อื่นนู่น ไม่รู้อยู่ที่ไหน แต่ว่าอยู่ที่อื่น แต่พอพระพุทธเจ้าเกิดขึ้น ท่านก็บอกมันอยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายคนเป็นๆ นี้ ยาวสักว่าหนึ่งนี้ มันมีทุกโลกทุกชนิด แล้วแต่จะต้องการชนิดไหนก็ได้ นรกสวรรค์หรือโลกพรหมโลกอะไรก็ตาม มันมีอยู่ในร่างกายนี้ ฉะนั้นที่จบที่สิ้นของโลกมันก็อยู่ในร่างกายนี้ด้วยเหมือนกันแหละ
นั่นแหละเรื่องโลกๆ เอากับมันสิ มีความคิดแบบหนึ่งก็เรียกว่าโลกหนึ่ง มีความคิดอีกแบบหนึ่งก็เรียกว่าโลกหนึ่ง มีความคิดอีกแบบหนึ่งก็เรียกว่าโลกหนึ่ง มีความคิดอย่างกามก็เป็นกามโลก มีความคิดอย่างรูปก็เป็นรูปโลก มีความคิดอย่างอรูปก็เป็นอรูปโลก ทั้งหมดนั่นแหละ จบโลกก็เป็นนิพพาน
ดูว่ามันจะต้องต่อสู้กันกี่มากน้อยในการที่เราจะเอาชนะสิ่งที่ไม่ต้องการได้ สิ่งที่เราเคยปรารถนาเหลือประมาณ,เหลือประมาณนั้น พอได้เข้าจริงๆ มันก็เบื่อ มันก็เบื่อ มันก็ปรารถนาอะไรยิ่งขึ้นไปอีกแหละ พอได้เข้าอีกไม่เท่าไหร่มันก็เบื่ออีกนั่นแหละ แล้วก็ปรารถนาให้ดีกว่านั้นขึ้นไปอีกแหละ นี่จิตใจมันเปลี่ยนได้อย่างนี้ โลกในจิตใจมันก็เปลี่ยนอย่างนี้ ไม่ต้องตายก็ได้ ไม่ทันจะตายนี้มันเปลี่ยนไม่รู้จักกี่โลกในจิตใจของคนเรานี้ ชอบอย่างนั้นก็เลื่อนขึ้นไปชอบอย่างนั้น ก็เลื่อนขึ้นไปชอบอย่างนั้น ก็เลื่อนขึ้นไปชอบอย่างนั้น นี่เป็นอวิชชา มันทำให้พอใจของแปลกของใหม่อยู่เรื่อยไป ความอิ่มไม่รู้จักมี ความหิวก็ไม่รู้จักสิ้นสุด มันจะต้องต่อสู้กับกิเลสหรือว่าต่อสู้กับธรรมชาติอย่างนี้จนอยู่เหนือความเป็นโลกทุกชนิด เหนือกามโลก เหนือรูปโลก เหนืออรูปโลก มันจะเป็นพระอรหันต์ จะต้องใช้ความเข้มแข็งสักเท่าไหร่ จิตใจจึงจะเลื่อนขึ้นมาจากกามโลก จึงเลื่อนได้แสนยากเหนียวแน่นที่สุด แล้วมาสู่รูปโลกมันก็จับจิตจับใจไปอีกทางหนึ่ง แม้ไม่เหมือนกับกามแต่มันก็จับจิตจับใจไม่แพ้กัน ไปถึงอรูปโลกก็ยิ่งละเอียดอ่อนไปกว่านั้น มันยากที่จะถอยออกมาได้ ถ้าถอยออกมาได้มันก็เป็นพระอรหันต์ ในชีวิตนี้ไม่ต้องรอต่อตายแล้วหรือหลายๆ ชาติหรอก
ไม่เคยพบที่ตรงไหนที่ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนให้ใช้เวลาเป็นชาติๆ เหมือนที่ครูบาอาจารย์สมัยนี้เขาว่ากัน อะไรก็ชาติหน้า อะไรก็ชาติหน้า อะไรก็ชาติหน้า ครูบาอาจารย์,อาจารย์วิปัสสนาสมัยนี้ก็ยังสอนอย่างนั้น ชาติหน้าไปเรื่อย ชาติหน้าไปเรื่อยๆ หวังอยู่ชาติหน้าเรื่อย แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอย่างนั้น เพราะว่าเรื่องจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นนี่ เรื่องจริงทำได้ที่นี่ มันจัดการกันให้เสร็จเด็ดขาดกันได้ที่นี่ แต่มันก็ต้องความเข้มแข็งคมเฉียบ วิปัสสนานั้นเป็นเรื่องคมเฉียบ สมาธิก็เป็นสมถะ สมาธิก็เป็นเรื่องเข้มแข็ง เป็นเรื่องกำลัง เป็นเรื่องน้ำหนัก เรื่องศีลนี้เป็นที่รองรับให้มีความเหมาะสม ชีวิตที่มีศีลนั้นเป็นชีวิตที่เหมาะสมสำหรับที่จะทำสมาธิและวิปัสสนา วิปัสสนานี้มันก็คมเฉียบ มันจะตัด ตัดรุดหน้าไปเลย สมาธิมันก็เป็นส่งเสริมกำลังให้ตัด เป็นกำลังให้ตัด
พูดบ่อยๆ แล้วช่วยจำไว้ด้วย วิปัสสนาเป็นความคม สมาธิเป็นน้ำหนัก มีแต่ความคมถ้าไม่มีน้ำหนักมันก็ตัดอะไรไม่ได้ ให้มันคมเฉียบเป็นมีดโกน แต่ถ้ามันไม่มีน้ำหนักที่จะกดลงไป มันจะตัดอะไรได้ล่ะ ฉะนั้นมันต้องมีน้ำหนักคือน้ำหนักของสมาธิ มันจึงจะตัดได้ แม้ถ้ามันจะทื่อๆ สักหน่อย แต่ถ้ามันมีน้ำหนักมาก มันก็ตัดไปตามทื่อๆ นั้น ฉะนั้นน้ำหนักก็ไม่ใช่ของเล็กน้อย มันจำเป็นเหมือนกัน แต่ถ้ามันมีทั้งน้ำหนักและมีทั้งความคมแล้วมันก็ง่าย สะดวกดาย ตัดฉุยไปเลย นี่เรามีกันให้พอ ความแข็งแกร่งในทางศีลก็มี ทางสมาธิก็มี ทางวิปัสสนาหรือปัญญาก็มี แล้วมันก็ตัดไปได้เป็นว่าเล่น
ถ้าจะเอาไว้อีกหลายๆ ชาติ หลายๆ สิบชาติ หลายๆ ร้อยชาติแล้วก็ไม่รู้จะทำกันอย่างไร แต่ที่ได้ตรัสไว้นั้นเพื่อจะเอากันที่นี่และเดี๋ยวนี้ ถ้ามันตายไปเปล่ามันก็ไม่ได้ทำกันเท่านั้น ไม่ได้พูดถึงว่าจะไปทำต่อตายแล้ว แต่ว่าก็มีคนเชื่อว่าทำต่อได้ ทำต่อตายแล้ว ทำต่อไป ก็ตามใจ แต่ผมไม่เห็นด้วยที่ว่าจะฝากไว้ต่อตายแล้ว สู้ทำกันที่นี่ไม่ได้ ตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร ยึดถือเป็นบุคคลเป็นตัวเป็นตนคนเดียวกันเรื่อยไปนั้นมันก็ทำให้อย่างนั้นแหละ ทำให้ผลัดๆ ผลัดไปเรื่อย เพราะเป็นคนเดียวหวังเกิดใหม่ทำใหม่ แต่ถ้าว่าไม่ยึดเป็นตัวตน แม้แต่เดี๋ยวนี้ก็มิได้มีตัวตนและมิใช่คนๆ เดียวกัน นาทีนี้กับนาทีก่อนนาทีหน้าก็มิใช่คนๆ เดียวกันอย่างนี้ ต้องรีบ,รีบ รีบทำเท่านั้นแหละ จิตยังมีอยู่ จิตยังรู้สึกเป็นทุกข์เราก็รีบทำเถิด กำจัดความทุกข์นั้นออกไปเสีย
ใช้ความรู้คำนวณเป็นปรัชญาว่าโลกหน้ามีจริงอะไรมีจริงอย่างนี้ มันเป็นเรื่องนอกพุทธศาสนา แล้วก็แปลกันผิดๆ แปลโลกอื่นว่าโลกหน้า คือโลกชนิดอื่นไม่ใช่โลกหน้า ไม่ใช่โลกต่อตายแล้ว โลกที่นี่แหละ มีชนิดอื่นที่เรียกว่าปรโลก ปรโลกคำนี้แปลว่าโลกอื่น,ที่ถูกนะ แต่ก็มักจะแปลกันเสียว่าโลกหน้า แล้วก็รอต่อตายแล้ว โลกอื่นหมายความว่าในชีวิตนี้จะทำให้เป็นสักกี่โลกๆ ก็ได้ แล้วแต่การประพฤติ การปฏิบัติ การเข้าถึง แปลกๆ แปลกๆ ออกไป มันก็มีหลายโลก ฉะนั้นอย่าไปผลัดโลกหน้าเลย ต้องการกันที่นี่ เพราะว่าความทุกข์มันอยู่ที่นี่ ความทุกข์อยู่ที่นี่ แล้วจะไปดับโลกหน้า นั้นมันบ้าหรือดีล่ะ คิดดู ในเมื่อความทุกข์มันอยู่ที่นี่ มันจะไปดับต่อตายแล้ว มันจะเป็นคนบ้าหรือคนดี ฉะนั้นต้องดับกันที่นั่น มีความทุกข์ที่ไหนก็ดับกันที่นั่น มันจึงจะได้รับประโยชน์ที่น่าพอใจ อย่าเอาปรัชญาบ้าจี้ที่ไหนมาคำนวณ จะได้มีผลัดวันประกันพรุ่งโลกหน้า หลายๆ ชาติ หลายๆ สิบชาติ หลายๆ ร้อยชาติ นี้ไม่ใช่พระพุทธวจนะ ความเพียรต้องทำกันวันนี้ รีบขนาดที่ว่าใครจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ก็ยังไม่รู้นั่น ทำความเพียรที่จะกำจัดความทุกข์เดี๋ยวนี้ที่นี่ เดี๋ยวนี้ที่นี่เรื่อยไป ไม่ต้องพูดถึงวันพรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ เลิกพรุ่งนี้ เลิกมะรืนนี้ ทำเรื่อยไป,ทำเรื่อยไป
นี่ถ้าปรัชญากันอย่างนี้ก็จะดี ถ้าปรัชญาไว้โลกอื่นโลกหน้าแล้วก็ไม่ไหว คิดว่าไม่ไหว มันจะต้องพยายามให้ได้ความดับทุกข์เมื่อมีความทุกข์ ที่จะเรียกว่าใช้ได้ ทีนี้เราจะปฏิบัติให้ได้จริงตามนั้นก็ต้องอาศัยความแข็งแกร่ง,ความแข็งแกร่ง แข็งเป็นเพชร แล้วก็มีความพยายามอย่างยิ่งยอด ความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่ความแข็งกระด้าง ความแข็งแกร่งอาจจะนิ่มเป็นน้ำก็ได้ พวกนักวิทยาศาสตร์หรือพวกอะไรเขาคำนวณกันแล้ว เขาทดลองกันแล้วว่าน้ำนี้แข็งกว่าเหล็กนะ ฟังไม่ถูกก็จะว่าบ้า เมื่อเอาของแข็งมากดลงไปบนเหล็ก เหล็กยังยุบนะ เหล็กยังยุบได้นะ ไม่มากก็น้อยเหล็กยังยุบได้นะ แต่ถ้าอัดลงไปบนน้ำที่มันไม่มีที่หลีกไปทางไหน ไม่กดลง น้ำไม่ยุบ นี่น้ำแข็งกว่าเหล็กขนาดนี้ โลหะเหล็กที่ว่าแข็งนั้นอัดลงไปแรงๆ ยุบเป็นร่องเป็นรอยเป็นลวดเป็นลายอย่างที่เขาทำปั๊ม แต่ถ้าน้ำ ทำมันไม่ได้หรอก ถ้าไม่ให้มันมีทางหลีกไปไหน กดลงไปบนน้ำ ไม่มียุบ เอาสิ ความแข็งแกร่งมันอยู่ที่ไหน มันไม่ได้แข็งแกร่งกระด้าง มันอ่อนก็ได้ มันนิ่มนวลก็ได้ มันกลับมีความแข็งแกร่งอย่างนี้ ความแข็งแกร่งไม่ใช่แข็งกระด้าง ยิ่งแข็งกระด้างนั่นแหละยิ่งจะอ่อนแอ ความแข็งแกร่งทางกายทางจิตทางสติปัญญานั่นแหละจะเป็นความอ่อนโยนและอ่อนไหวที่สุด อ่อนไหวนั้นหมายความว่ามันเปลี่ยนได้อย่างถูกต้องอย่างรวดเร็ว แข็งกระด้างใช้อะไรไม่ได้ ถ้ามันอ่อนไหวไปได้นั่นแหละจะเป็นความแข็งที่มีประโยชน์ เมื่อจิตเป็นสมาธิโดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงจตุตถฌานแล้วมันจะมีความอ่อนไหวที่สุด มุทุๆ ที่ว่าอ่อนนั้นมันมีมากที่สุด ยิ่งอ่อนเท่าไหร่ก็ยิ่งสมควรแก่การงานเท่านั้น กัมมนียะๆ สมควรแก่การงาน ยิ่งนิ่มนวลอ่อนโยนเท่าไหร่ยิ่งเหมาะแก่การทำการงานทำหน้าที่เท่านั้น นี้เป็นบาลีที่กล่าวไว้เป็นหลักยืนยันในเรื่องของสมาธิ เป็นสมาธิสูงสุดกลายเป็นอ่อนโยน อ่อนไหว นิ่มนวล ควรแก่การงาน ควรแก่การน้อมไปสู่ญาณสู่วิชชาปัญญาอันสูงขึ้นไป ยิ่งมีความแข็งแกร่งยิ่งเป็นความอ่อนไหวและควรแก่การงาน
ฉะนั้นขอให้ฝึกฝนความแข็งแกร่งนี้ให้ถูกต้อง อย่าให้เป็นแข็งกระด้าง แข็งกระด้างนั้นมันใช้ไม่ได้ ความอ่อนโยนนั้นมันกลับชนะความแข็งกระด้าง แข็งดังเหล็ก เงินง้างอ่อนได้ดังใจ สุภาษิตโลกนิติ มันแข็ง มันทำท่าแข็ง พูดเสียงแข็ง พอเอาเงินมาวางให้เห็นแล้วอ่อนไปหมดเลย เงินนั้นมันง้างเหล็กได้เพราะอย่างนี้ ความนิ่มนวลอ่อนโยนนั้นมันง้างทิฏฐิมานะของคนโง่คนกระด้างคนแข็งกระด้างได้ จะชนะคนที่แข็งกระด้าง จงชนะด้วยความอ่อนโยน วาจาที่อ่อนหวานนี้จะชนะใจที่แข็งกระด้างของคนโง่ ฉะนั้นความแข็งแกร่งมันไม่ใช่แข็งกระด้าง แต่มันอ่อน มันอ่อนโยนและมันอ่อนไหว อ่อนไหวในหน้าที่ คล่องแคล่วในหน้าที่ คนที่ว่องไวในหน้าที่นั้นมันไม่กระด้าง แต่มันเข้มแข็ง มันเข้มแข็งอีกในความหมายหนึ่ง แต่มันไม่ใช่กระด้าง ที่เขาชอบกันนักๆ เรียกว่ากัมมนียะควรแก่การงาน ภาษาฝรั่งมันเรียกว่า active, activeness, active นั้นมันว่องไวในหน้าที่การงาน นั้นมันไม่ใช่ความแข็งกระด้าง แต่มันเป็นความแข็งแกร่ง แข็งแกร่งที่มันอ่อนไหวไปได้ตามที่ควรจะเป็น
ฉะนั้นขอให้ทุกคนฝึกฝนความแข็งแกร่ง แต่ไม่ใช่ความแข็งกระด้างดื้อด้านโง่เง่า พยายามเถิด,ให้เกิดความแข็งแกร่งทางกาย เข้มแข็งทางกาย แต่ไม่ใช่แข็งกระด้าง ให้เกิดความแข็งแกร่งทางจิต แต่ไม่ใช่แข็งกระด้างโง่เง่า แข็งแกร่งทางสติปัญญาถูกต้องคมเฉียบเลย แต่ไม่ใช่แข็งกระด้าง ให้มีความแข็งแกร่งทางกายทางจิตทางสติปัญญา ก็จะเกิดสิ่งที่เรียกว่าเพชร เพชรตัดอะไรได้หมดเลย เพชรทางวัตถุก็ตัดวัตถุได้หมด เพชรทางจิตใจก็ตัดปัญหาทางจิตใจได้หมด นี่เขาใช้เพชรที่แข็งที่สุดเป็นเครื่องตัดอะไรต่างๆ เพราะมันไม่มีอะไรแข็งกว่านั้น ทางจิตใจก็เหมือนกันแหละ เอาเพชรทางจิตใจคือว่าญาณ วิชชา ปัญญา ญาณทัสสนปัญญา เหมือนกับเพชรที่ตัด ตัดอวิชชา ตัดความโง่ ความหลง ตัดอวิชชา ความแข็งแกร่งของสติปัญญาสามารถที่จะตัดอวิชชาที่มันก็มีความแข็งกระด้าง
สรุปความว่า ช่วยจำกันไว้ให้ดีๆ จงเป็นผู้แข็งแกร่ง แต่อย่าเป็นผู้แข็งกระด้างให้โง่ เสียเวลาเปล่าๆ แข็งแกร่งสำหรับจะคมเฉียบในการที่จะตัดสิ่งต่างๆ ถ้าแข็งกระด้างแล้วตัดอะไรไม่ได้หรอก เพราะมันเป็นตัวความโง่เสียเอง ขอให้ฝึกฝนเสียแต่ในระหว่างที่บวช แม้จะบวชสองสามเดือน ถือโอกาสฝึกฝนความแข็งแกร่งนี้ไว้ให้พอเพื่อที่จะเอาใช้ในอนาคตตลอดชีวิต จะอยู่หรือจะสึกก็สุดแท้แต่ มันมีประโยชน์ทั้งนั้นแหละ พอใจทำบทเรียนประจำวัน ฝึกความแข็งแกร่งทั้งทางกาย ทั้งทางจิต ทั้งทางสติปัญญา ลงทุนซื้อหามาด้วยเหงื่อ ชอบการต่อสู้การฝึกฝนเหล่านี้มันต้องยอมใช้เหงื่อยอมเสียเหงื่อ มันก็จะเกิดความแข็งแกร่งทางกาย มันก็ทำให้สมาธิได้เกิดความแข็งแกร่งทางจิต เกิดแสงสว่างถูกต้องขึ้นมาแล้ว มันก็เกิดความแข็งแกร่งในทางวิญญาณทางสติปัญญา นี่ใจความย่อๆ มันมีอย่างนี้
เพราะฉะนั้นบทเรียนใดๆ ที่เรามีไว้ในวัดนี้เพื่อฝึกความแข็งแกร่ง ขอให้พยายามฝึกให้ถึงที่สุด แม้แต่ว่าไม่นอนสายอย่างนี้ ไม่ขี้เกียจ ไม่นอนสายอย่างนี้ ก็เป็นบทเรียนที่ฝึกความแข็งแกร่ง ถ้าไม่แข็งแกร่งมันก็ไม่ตื่น มันก็ไม่อยากตื่น มันก็ไม่ตื่น มันก็นอนสายแหละ ฉะนั้นจะต้องฝึกฝนความแข็งแกร่งทุกๆ บทตามที่วางไว้สำหรับฝึกฝนกันอย่างไรในหน้าที่นั้นๆ ศึกษาเล่าเรียนประพฤติปฏิบัติบำเพ็ญเป็นประโยชน์ เอาเหงื่อล้างกิเลส เอาเหงื่อล้างตัวกู ถ้าใครยอมเสียเหงื่อจะล้างตัวกูได้เท่ากับเหงื่อที่เสียไป จะลดทิฏฐิมานะได้มากเท่ากับเหงื่อที่เสียไป ฉะนั้นอย่าไปเข้าใจผิด อย่าไปถนอมความขี้เกียจไว้ อย่าไปถนอมความอ่อนแอไว้ความเหลวไหลไว้ ทำบทเรียนของความแข็งแกร่งกันทุกคนเถิด ให้ทันแก่เวลา ฝึกไว้เสียแต่เมื่อยังบวชนี้ มันจะได้มีมากพอใช้สำหรับสึกออกไปตลอดชีวิต
นี่มันก็หนึ่งชั่วโมงแล้ว พูดเกินหนึ่งชั่วโมงก็ไม่ไหว ก็พูดทีละเรื่องดีกว่า ก็ขอยุติการบรรยายวันนี้ไว้ด้วยเรื่องความแข็งแกร่งทั้งทางกายทั้งทางจิตทั้งทางสติปัญญา ที่ระเบียบแบบแผนได้วางไว้ให้อย่างชัดเจนแล้ว ขออย่าได้ละเลยถือโอกาสฝึกความเข้มแข็ง ไม่ฉันข้าวตั้งสามวันก็อยู่ได้ มีฝรั่งองค์หนึ่งฉันน้ำตาลก้อนสี่เหลี่ยมวันละก้อน ไม่ฉันอาหารอะไรเลย อยู่ได้เจ็ดวัน มันก็มีความแข็งแกร่งในทางร่างกายพอใช้ เอาล่ะ,ขอยุติการบรรยาย/