แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในครั้งที่แล้วมาได้บรรยายแล้วโดยหัวข้อว่า ธรรมะๆคืออะไรกัน ธรรมะโดยวิธีใดกัน และธรรมะที่ไหนกัน เพิ่ออะไรนี้เรามักไม่ค่อยรู้ว่ามันจะมีประโยชน์อะไร ถ้ารู้ว่ามันมีประโยชน์อะไรแล้วมันก็อยากที่จะปฏิบัติ แต่คืออะไรนั้นรู้จักตัวมัน โดยวิธีใดก็จะทำให้มีขึ้นมาได้ โดยวิธีใด อยู่ที่ไหน เราจะทำได้ที่ไหน หาได้ที่ไหน มีภายใต้ (นาทีที่ 01:33)ที่ไหน
ในครั้งนี้ก็จะพูดโดยหัวข้อต่อไปว่า มีธรรมะเท่าไหร่กัน คนโดยมากจะคิดว่าเราจะต้องเรียนทั้งหมด เรียนกันให้หมดพระไตรปิฎก เรียนสัก ๑ ปิฎกนี้ก็มี และคิดว่าเรียนกันมากมาย นี่มันเป็นความรู้สึกทั่วๆไป ที่คงจะประหลาดใจเมื่อจะบอกว่ามีอำนาจเท่ากับใบไม้กำมือเดียวๆ เพราะว่าการตรัสรู้ ทุกสิ่งที่ตรัสรู้นั้นมีประมาณเท่ากับใบไม้ทั้งป่าทั้งดงๆ หรือทั้งโลกก็ว่าได้ ใบไม้ทั้งโลก แต่เราสอนพวกเธอเท่ากับใบไม้กำมือเดียว เพราะสนใจมากว่ามันมีความหมายมาก ที่จะต้องรู้ให้ตรงเรื่อง หรือรู้ให้ตรงจุดที่ควรจะรู้ หรือสิ่งที่ควรรู้ หรือสิ่งที่ต้องรู้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือว่าดับทุกข์ได้ นั่นแหละแค่กำมือเดียว
พวกพราหมณ์เขาจะเรียนพุทธศาสนา เขาวางแผนการมาก เรียนเรื่องประเทศอินเดียนี่เป็นวรรคเป็นเวร แล้วก็เรียนปรัชญา คำสอนต่างๆนาๆที่มีอยู่ในอินเดียสมัยนั้น เรียนทั้งหมดทั้งสิ้น ก็ว่าเพื่อจะเปรียบเทียบกัน เพื่อจะได้รู้จริง แล้วเรียนธรรมะพระไตรปิฎกนี่มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วเอาไปกลั่นกรอง กลั่นกรองเอาตามที่เขาต้องการ อย่างนี้มันก็ได้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าจะผิด แต่ว่ามันจะตายเสียก่อน เรียนกำมือเดียวนี่หมายความว่าเรียนตรงจุดที่จะดับทุกข์ได้อย่างไร ขออภัยที่จะต้องกล่าวว่าไม่ต้องเรียนรู้ด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธเจ้าเป็นลูกใคร หลานใคร อยู่เมืองไหน เล็กๆทำอะไรอย่างนี้ ไม่ต้องเรียนก็ได้ เรียนที่ว่าท่านตรัสรู้อะไรเป็นใจความสำคัญนั้น นี่ดูให้ดีที่เราเรียนในโรงเรียน เราเรียนกันมาก แต่ยังจับจุดไม่ได้ว่าดับทุกข์อย่างไร ยังพร่ายังเลือนเต็มที แล้วก็เรียนมากๆจนเรียกว่าท่วมหัวๆ เรียกอีกอย่างหนึ่งก็บ้าหอบฟาง คนบ้าหอบฟางก็หอบท่วมหัวท่วมตัวนี่ มันก็ไม่มีข้าวสาร ข้าวเปลือกสักเม็ด สักเม็ดหนึ่งก็ไม่มี มันบ้าหอบฟาง ระวัง ขอให้เรียนให้ตรงจุดที่จะดับทุกข์ได้ ไม่ฟังอะไร จะฟังแต่ว่าดับทุกข์อย่างไร ดับทุกข์อย่างไร ให้แคบเข้ามาก็มีธรรมสัจจะเฉพาะเรื่องดับทุกข์
ท่านคงจะแปลกหูว่าธรรมสัจจะ กับคำว่าสัจธรรม ท่านจะเคยได้ยินแต่คำว่าสัจธรรมๆ คือธรรมทั้งหมด ธรรมะทั้งหมด อยากจะใช้คำว่าธรรมสัจจะๆๆเฉพาะเรื่อง เฉพาะเรื่องดับทุกข์โดยตรง เอาเรื่องนั้นมาก็ดับทุกข์ได้ มันเฉพาะเจาะจง เหมือนอย่างว่าเรามีหยูกยาเต็มตู้ หรือเต็มด้านฝา (นาทีที่ 07:32) แต่พอจะกิน มันกินยาขวดเดียวเท่านั้น ไม่ได้กินทั้งขวด กินเม็ดหนึ่งนั่นแหละ นั่นมันเจาะจงให้เฉพาะโรค เฉพาะเรื่อง เฉพาะเวลา ธรรมะที่เลือกคัดเอามาเฉพาะเรื่องหนึ่งๆ นี่เราเรียกว่าธรรมสัจจะ ให้มันง่ายเข้า ต้องมีธรรมสัจจะ รู้ธรรมสัจจะเฉพาะเรื่องนั้นๆ มันก็ไม่มากเกินไป
การที่จะมีธรรมสัจจะ หรือใบไม้กำมือเดียวได้นั้นมันก็ลำบากอยู่ เพราะเหตุว่าตัวเองคืออะไรมันยังไม่รู้นี่ จะเรียกว่าอย่างไร จะเรียกว่าโง่เท่าไรได้ไหม ตัวเองคืออะไรมันยังไม่รู้เลย แล้วจะเลือกธรรมะ หรือธรรมสัจจะให้เหมาะแก่ตัวเองได้อย่างไร เมื่อตัวเองมันก็ยังไม่รู้จัก ต้องรู้จักตัวเอง รู้จักปัญหาของตัวเอง คือความทุกข์ของตัวเอง แล้วก็ทำให้มันเหมาะกับตัวเอง ตรงกับตัวเอง ตรงกับเรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความทุกข์ของตัวเอง มีอยู่ที่ตรงไหน อย่างไร มีคนมาขอธรรมะ คล้ายๆว่า (นาทีที่ 09:30) ขอทราบเรื่องดับทุกข์ พอๆมีทุกข์อย่างไรก็ตอบไม่ได้ คล้ายๆกับว่ามันเป็นเรื่องเห่อๆตามกันมา มาหาทางรู้เรื่องดับทุกข์ อย่างนี้มันก็ลำบากแหละ ขอให้รู้ว่าเราจะต้องรู้ตัวเราว่ามีปัญหาอย่างไร เท่าไร ถ้าไม่รู้มันก็หากำมือเดียวนั้นแหละไม่พบ แล้วมันก็หาเผื่อๆๆไว้มันก็ท่วมหัว ก็ยังเอาตัวไม่รอด เรียกว่าท่วมหัวเอาตัวไม่รอด จงไปใคร่ครวญให้ดี ไปใคร่ครวญให้ดี ได้ยิน ได้ฟังอย่างไร เรื่องไม่ต้องรู้ก็อย่าไปรู้มันเลย ตายแล้วเกิดใหม่หรือไม่ อะไรไปเกิดอย่างนี้มันยังไม่ต้องรู้หรอก รู้แต่ว่ามันเกิดมาแล้วนี่จะต้องทำอย่างไร จะดับทุกข์อย่างไร มันเกิดมาแล้วจะต้องทำอะไร ดับทุกข์อย่างไร
เรื่องตายเกิดนี่ลำบาก เพราะว่าได้รับคำสั่งสอนมาอย่างหนึ่งแล้วว่าตายแล้วเกิดๆ แล้วก็มาสอนกันอยู่ก่อนพระพุทธศาสนามาถึงพวกเรา ลัทธิฮิน ดูอุปนิษัทเรื่องตายแล้วเกิดคนเดียวกันนั้นแหละ ไปเกิดนี่มาสอนอย่างเคร่ง อย่างเต็มที่แล้ว ในครั้งพุทธกาลก็เหมือนกันแหละ ประชาชนยึดถือเรื่องอุปนิษัท ตายแล้วไปเกิดคนเดียวนั่นแหละตายแล้วไปเกิดๆ เขากลัวว่าไอ้เรื่องนี้จะพลัดหลงเข้ามาในพระไตรปิฎก มันไปพ้องกับอุปนิษัทอย่างนั้น เชื่อว่ามันคงจะมีความผิดพลาดอะไร ครั้งไหนก็ไม่รู้ มันพลัดหลงเข้ามาในพระไตรปิฎก เราไม่ต้องเสียเวลา รู้แต่มันเกิดมาแล้ว นี่มันเกิดมาแล้ว จะดับทุกข์อย่างไรดีกว่า ไปเรียนเรื่องคนนั้นไปเกิดแน่ๆนี้บางทีมันตายๆๆ เรียนจนตายก็ไม่รู้ก็ได้ นี่เราจงเลือกเอาว่าปัญหาว่าอย่างไรที่มีอยู่ ก็แก้ปัญหานั้น ปัญหาอะไรด่วนจี๋เหมือนกับไฟไหม้อยู่บนศีรษะ ปัญหานั้นจับขึ้นมาก่อนเถิด อะไรมันขบกัดอยู่ ความทุกข์ชนิดไหนกำลังขบกัดอยู่ จับตัวให้ได้ เอามาจัดการให้มันหมดไป
ทีนี้ก็จะพูดโดยความหมายอื่นที่ควรจะทราบต่อไปอีก ว่าทุกเรื่องที่มันเกี่ยวกับธรรมะมันมีอะไรบ้าง ข้อที่จะพูดต่อไปก็คือว่า ธรรมะห่างกับสิ่งที่เรียกว่าศาสนาๆ เดี๋ยวนี้เราก็รู้กันว่าธรรมะคือศาสนา ศาสนาคือธรรมะ แต่ควรจะรู้จักตัวศาสนาให้มันชัดเจนสักหน่อย ที่จะมีธรรมะเฉพาะเจาะจงลงไปได้ พุทธศาสนาเราเป็นศาสนาอะไร ศาสนาอื่นเขาเป็นศาสนาอะไร ศาสนาทั้งหมดในโลกเมื่อเขาได้ศึกษากันดูดีแล้วเขาก็แบ่งเป็น ๒ พวก ศาสนาพวกหนึ่งถือว่าสิ่งทั้งปวงเป็นผลของวิวัฒนาการ เรียกว่าพวก Evolutionist ถ้ามันเป็นวิวัฒนาการของธรรมชาติ ตามกฎเกณฑ์ของวิวัฒนาการ อีกพวกหนึ่งว่าสิ่งทั้งปวงมีผู้สร้าง ผู้สร้างคือพระเจ้า ก็เรียกว่าพวก Creationist Creation แปลว่าการสร้าง ก็รู้จักว่าพุทธศาสนานี้อยู่ในพวกไหน เรามี เราถือพุทธศาสนากันว่ามันอยู่ในพวกไหน จะต้องมีธรรมะให้มันตรงกับเรื่อง
พุทธศาสนานั้นเป็นพวกไม่มีผู้สร้าง ไม่มีพระเจ้าผู้สร้าง แม้แต่ความสุข ความทุกข์ที่กำลังเกิดอยู่ ก็ไม่ใช่การบันดาลของพระเจ้าผู้สร้าง มันเป็นไปตามกฎของอิทัปปัจจยตา ทำผิด หรือทำถูก เกิดสุข เกิดทุกข์ขึ้นมาตามกฎอิทัปปัจจยตา ไม่ต้องมีพระเจ้า นี่เราต้องมีธรรมะให้ถูกจุด ถูกเรื่อง เพราะว่าจะต้องปฏิบัติให้ถูกตรงตามเรื่องของมัน ตามกฎอิทัปปัจจยตา มีเหตุอย่างไร มีผลอย่างไร มีเหตุอย่างไร มีผลอย่างไร แล้วก็จัดการที่เหตุ ถ้าไม่ลำบากก็จัดการที่เหตุ จัดการที่ตัวผลนั่นมันไม่ค่อยจะสำเร็จแล้วก็ลำบาก เพราะฉะนั้นอย่าดับทุกข์ด้วยการบุกเข้าไปที่ความทุกข์ เผชิญกับความทุกข์ จัดการกับความทุกข์ มันจะเหมือนกับเอาไม้สั้นไปรันขี้ โบราณเขาพูดไว้อย่างนี้ มันเลอะเทอะหมด แล้วมันก็ไม่ค่อยได้เรื่อง เอาไม้สั้นไปรันขี้ ลองดูเป็นอย่างไร แต่ถ้าว่าจัดการที่เหตุของมันนู้น มันไม่ต้องเลอะเทอะ แล้วมันก็ไม่ต้องยุ่งยากลำบากมาก มันเป็นการทำไม่ให้ความทุกข์เกิดขึ้น หรือเกิดได้อีกต่อไป มันก็หยุดเองแหละ ไปจัดการที่เหตุ อย่าให้มันเกิดได้ มันก็หยุดเกิด มันก็ไม่มีความทุกข์ ไม่ต้องเอาไม้สั้นไปรันขี้ มันลำบาก มันเลอะ
พุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งอิทัปปัจจยตา มีเหตุการณ์เป็นไปตามเหตุ จัดการที่เหตุ จะดับสิ่งใดก็ดับที่เหตุ นี่เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ไว้ ถ้าเขาเชื่อว่ามันมีพระเจ้าผู้สร้าง เขาก็ต้องไปขอร้อง ไปอ้อนวอน ไปบวงสรวง ไปอะไรจากพระเจ้า พระเจ้าจะโปรด หรือไม่โปรดก็อีกเรื่องหนึ่ง ฟังดูมันลำบาก แล้วก็ที่ว่าถ้าพระเจ้ามีความรู้สึกอย่างบุคคลนั้นจะทำอย่างไรไหว มากมายเหลือเกิน จะลำเอียงก็ได้ มันก็มีการบวงสรวงอ้อนวอนกันนานาสารพัดอย่าง ไม่ถูกใจพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ช่วย ลืมไปเสียบ้างก็ได้ นี่ให้รู้ว่าธรรมะกับศาสนานี้มันก็มีต่างกัน ศาสนาที่เป็นวิวัฒนาการตามเหตุผล เหตุปัจจัย ก็ทำไปอย่างหนึ่ง ศาสนาที่เชื่อว่ามีพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล เป็นผู้ควบคุม ก็ๆทำไปอีกอย่าง ระวังๆเราอย่าทำให้มันผิด ดูมันยังมีอะไรๆอยู่มากๆ บทสวดบางบทนั้นขอร้องให้ใครช่วย อย่างนี้ไม่เคยมีในพุทธภาษิต ไม่รู้ใครมันแกล้งขึ้นมา สวดกันเป็นประจำเลย แม้แต่บททำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น ก็มีลักษณะขอร้องอ้อนวอน ก็รู้เสียเถิดว่านี่มันก็เป็นเรื่องธรรมเนียมทั้งนั้นแหละ ยังไม่ใช่หัวใจของพุทธศาสนา หัวใจของพุทธศาสนาจัดการที่ต้นเหตุ นี่ศาสนา
มันมีธรรมะเฉพาะฝ่าย แล้วศาสนาที่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างมันเกิดก่อนๆ ก่อนจะมาเกิดพุทธศาสนาที่ถือหลักเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย นี่มันเกิดทีหลัง มันก็ยากลำบาก ในเมืองไทยเรานี่ ดินแดนนี้ก็ได้รับศาสนาที่มีพระเจ้าผู้สร้างนั้นแหละก่อนๆ ศาสนาพุทธแท้มาทีหลัง ก็ลำบากเหลือประมาณ ต้องมารบรากับยักษ์ กับมาร กับผีอะไรไม่รู้ กว่ามันจะตายไปหมด จึงจะประดิษฐานพระพุทธศาสนาอย่างนี้ลงไปได้ นี่มันเป็นอุปมาของการต่อสู้กับลัทธิที่เขามีอยู่ก่อน เชื่ออย่างนั้นอยู่ก่อนอย่างนั้น แลัวก็ยังเหลืออยู่จนบัดนี้ มันก็กลายเป็นไสยศาสตร์ปนเข้ามาในพุทธศาสนาเหลือประมาณ แล้วก็ไม่มีใครเอาออกได้ และก็ยังไม่สมัครจะเอาออก เพราะมันง่ายดี สบายดี สวดอ้อนวอน ขอร้อง สบายกว่าที่ปฏิบัติอย่างถูกต้องจริงจัง ไสยศาสตร์ก็ยังเหลืออยู่ ไม่ว่าในประเทศไหนที่พุทธศาสนาเข้าไปแล้ว มันต้องถูกปนเข้าไปกับไสยศาสตร์ที่มีอยู่ในประเทศนั้นทั้งนั้นแหละ อย่าไปว่าเขาเลย พุทธศาสนาในธิเบตมีอะไรปนไปมากจนแทบว่าจะจำพุทธศาสนาไม่ได้ พุทธศาสนาในประเทศไหนก็ถูกคนในลัทธิ ความเชื่อ วัฒนธรรม ประเพณี ไสยศาสตร์ที่มีอยู่แล้วในประเทศนั้นเข้าไปในพุทธศาสนา ถ้ารู้จักแยกได้ก็เป็นการดี จะได้เลือกเอาพุทธศาสนาล้วนๆ จะมีอย่างถูกต้อง หรือจะมีอย่างกำมือเดียวได้โดยไม่ยาก ขอใหัสนใจในเรื่องนี้ต่อไปด้วย เพราะมันเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องจับเอาตัวแท้ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์
แต่มันก็น่าเห็นใจที่ว่าคนมันมีหลายระดับเหลือเกิน มันก็ถือศาสนาเดียวกันไม่ได้ มันก็ต้องถือศาสนาที่เหมาะกับระดับของตน ดังนั้นคนปัญญาอ่อนทั้งหลายจึงยังถือไสยศาสต์อยู่นั่นแหละ พอเกิดมาก็ได้ต้อนรับไสยศาสตร์นี้ก่อน เด็กๆทารกได้รับการสั่งสอนอบรมในรูปไสยศาสตร์ก่อน กว่าจะเอาออกได้ก็เกือบตาย เราก็รู้กันเสียด้วยในข้อนี้ว่าธรรมะกับศาสนานั้นต้องเป็นเรื่องที่ตรงจุด ศาสนาไหน ศาสนาประเภทไหน มันยังจำเป็นที่จะมีหลายศาสนา ในโลกมีศาสนาเดียวไม่ได้ เพราะคนมันหลายระดับกันนัก คนโง่จะไปถือศาสนาของคนฉลาดมันก็ไม่ได้ แต่ถ้าว่าคนโง่มันเลื่อนชั้นเป็นคนฉลาดมันก็เปลี่ยนศาสนาเองแหละ คนโง่ที่สุดก็มี คนฉลาดที่สุดก็มี ไม่สู้ฉลาดก็มี ไม่สู้จะโง่ก็มี ก็มีศาสนาที่เหมาะแก่พื้นฐานจิตใจของตน ดังนั้นจึงต้องมีหลายศาสนา การที่มีเพียงศาสนาเดียวนั้นไม่ได้เป็นอันขาด เราไม่ได้คิดจะรวมศาสนาเป็นศาสนาเดียวเพราะมันเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ และไม่มีประโยชน์อะไร เพราะว่าคนมันต่างๆกัน ต้องมีให้เลือก ให้เหมาะทุกชั้น ทุกระดับ อีกอย่างหนึ่งนิสัยพื้นฐานแห่งจิตใจนั้นมันก็มีต่างๆกัน มันเหมาะต่างๆกัน คนบางพวกมีศรัทธาเป็นเบื้องหน้า ก็ถือศาสนาที่ยึดเอาศรัทธาเป็นเบื้องหน้า คนบางพวกมีวิริยะ กำลังจิตใจที่เข้มแข็ง ก็ยึดถือศาสนาที่มีวิริยะเป็นเบื้องหน้า คนบางพวกมีปัญญาเป็นเบื้องหน้า ก็ยึดถือ ได้ยึดเอาหลักศาสนาที่มีปัญญาเป็นเบื้องหน้า แต่แล้วมันเลื่อนได้ มันเปลี่ยนได้
ศรัทธาๆนี้มันสำคัญมาก มันจำเป็นมากที่ว่าจะต้องมี ถ้าไม่มีศรัทธามันไม่ทำหรอก จะศรัทธางมงายหรือศรัทธาแท้จริงก็ตามมันต้องมีมาก่อน ไม่มีศรัทธามันไม่ทำหรอก เพราะฉะนั้นก็จะต้องระวังปรับปรุงศรัทธาของตนๆให้ดีๆ มันจะเลื่อนชั้นได้ ศรัทธางมงายก็มาก่อนปัญญา ศรัทธาแท้จริงก็มาทีหลังปัญญา ใคร่ครวญให้ดีแล้วจึงเชื่อว่าเป็นศรัทธาที่แท้จริง เชื่อตามเขาว่าๆๆกันไปนี่ก็เป็นศรัทธางมงายมาก่อนปัญญา มันเป็นธรรมดาในโลกนี้อย่างนี้ ไม่มีปัญญามันก็รับเอาลัทธิอย่างหนึ่งแน่นอน ถ้ามีปัญญาก็รับอีกอย่างหนึ่งแน่นอน ถ้าหาฟผู้ที่มีปัญญาก็จะมีศรัทธาที่ถูกต้องได้ด้วยปัญญา เขาก็ไปได้ราบรื่น แต่ถ้ามันไม่มีๆปัญญา ก็จำเป็นเหมือนกันที่บางทีจะต้องมีศรัทธาชนิดที่เรียกว่างมงาย ศรัทธาที่ลำบากหน่อย ที่จะให้ไม่มีมันก็ไม่ได้ มันก็ต้องมี ดูตัวเองก็แล้วกันว่าศรัทธาอย่างไร ศรัทธาอยู่ในระดับไหน นี่ธรรมะๆก็มีให้ในทุกๆศาสนา ตามควรแก่ระดับแห่งจิตใจของบุคคลผู้ถือศาสนานั้นๆ
คำว่าศาสนาๆ ตัวหนังสือแปลว่าคำสั่งสอน แต่ว่าตัวจริงศาสนานั้นคือระบบการปฏิบัติ ระบบการปฏิบัตินั่นแหละคือตัวศาสนา ตัวคำสั่งสอนนั้นมันเป็นอุปกรณ์ หรืออุปภาพ (นาทีที่ 28:24)ชนิดหนึ่งเท่านั้น เรายังไม่มีศาสนาจนกว่าเราจะได้มีระบบการปฏิบัติ เราเรียนรู้อย่างเดียวยังไม่ทันจะมีศาสนาตัวแท้ แต่มันก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ไปก่อน แล้วก็นำไปสู่การปฏิบัติ ต่อเมื่อได้ผลการปฏิบัติแล้วจึงจะเรียกว่ามีศาสนาโดยสมบูรณ์ ก็จะมีปริยัติที่ศาสนา เรียนให้รู้ มีปฏิบัติที่ศาสนา ปฏิบัติให้ได้ มีปฏิเวธศาสนา จึงมีผลแห่งการปฏิบัติ ทบทวนทั้ง ๓ อย่างก็เรียกว่าสมบูรณ์ที่สุด แต่เราเน้นกันที่ตัวการปฏิบัติ เพราะว่าถ้าปฏิบัติมันต้องรู้ๆๆพอสมควร จะรู้ด้วยเหตุผลของตัวเองหรืออะไรก็ตาม รู้สังเกตเอาจากตัวความทุกข์ก็ได้ ถ้าปฏิบัติแล้วไม่ต้องกลัว ผลมันมีแน่ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีผล มันจึงสำคัญอยู่ที่ตัวการปฏิบัติ ฉะนั้นขอให้มีศาสนาหรือมีธรรมะอยู่ที่ตัวการปฏิบัตินั้นๆ นี่คือธรรมะกับศาสนามันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
ทีนี้ก็จะพูดต่อไปโดยหัวข้อว่าธรรมะกับโลกปัจจุบัน นี่มันเป็นสิ่งที่จะต้องรู้ เพราะว่าโลกปัจจุบันนี้มันก็ต่างกันพอใช้กับโลกในยุคที่เกิดพระพุทธศาสนา และเราก็อยู่ในโลกปัจจุบันนั่น โลกปัจจุบันนี่มันๆผิดกับโลกครั้งพุทธกาล แต่เราก็อยู่ในโลกปัจจุบัน เราจะทำอย่างไร เราอยู่ในโลกปัจจุบัน เรากำลังมีสภาวะอย่างไร มีสถานะอย่างไร ข้อนี้มันจะต้องรู้ไปถึงว่าเรานี้มีอะไรเป็นทุนเดิม ต้นทุนมาแต่เดิมในจิต ในใจ เป็นสิ่งที่ควรจะรู้ คือสิ่งที่เรียกว่าสัญชาตญาณ แปลว่าความรู้ที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ แม้จะเป็นคนในโลกไหน ยุคไหน เราก็มีสิ่งนี้อยู่เสมอ ความรู้ที่รู้สึกอยู่เองตามธรรมชาตินี่ จะว่าญาณก็เหมือนกัน ความรู้ก็เหมือนกัน ที่มันเกิดเอง เป็นเอง มีอยู่เองตามธรรมชาติ มีสัญชาตญาณแห่งความมีตัวตน แต่มันยังไม่เข้มข้นถึงอย่างที่กำลังมีหรอก กำลังมีกันอยู่เดี๋ยวนี้มันเข้มข้นมากเกินไป มันมีตัวตนเพียงให้สงวนชีวิตๆ และต้องการจะรอดจากความทุกข์ อันนี้เป็นสัญชาตญาณเดิมๆ ไม่ว่าสัตว์ ไม่ว่าคน ไม่ว่าต้นไม้ มันต้องการจะรอดทั้งนั้น นี่ทุนเดิม แล้วก็ยังมีอยู่จนบัดนี้ เราก็รักษาไว้ดีๆ ไว้ให้มันรอดชีวิตอย่างถูกต้อง สัญชาตญาณแห่งการหนีภัย กลัวภัย กลัวอันตราย มันก็ช่วยส่งเสริมการมีธรรมะ สัญชาตญาณแห่งการสืบพันธุ์นี่มันก็ช่วยให้ชีวิตไม่สูญหายไป อย่าให้มันขัดกัน จะต้องมีสิ่งเหล่านี้ให้ถูกต้อง
สัญชาตญาณแห่งการอยากดียิ่งๆขึ้นไป มันก็มีอยู่ในสัญชาตญาณเดิมๆ เรารักษาไว้ให้ดี ดูสัตว์เดรัจฉานมันก็อยากดี อยากเด่น อยากดัง อยากชนะ แล้วก็ยกหู ชูหาง ตีปีก ตีขนอะไร ในเมื่อมันได้ดีได้ชนะ นี่ก็จะต้องมีให้มันถูกต้อง อย่าให้มันกลายเป็นอุปสรรคไปเสีย เดี๋ยวนี้เราก็ได้รับการศึกษาเพิ่มเติมคือพุทธศาสนา เรียกว่าภาวิตญาณ เพื่อจะปรับปรุงสัญชาตญาณให้มันดีขึ้น ให้มันสูงขึ้นจนเพียงพอที่จะดับทุกข์ โดยแท้จริงเรายังมีอยู่ทั้ง ๒ อย่าง สัญชาตญาณเดิมๆก็มีอยู่ในนิสัยสันดาน ภาวิตญาณก็เป็นการทำให้มีขึ้นมายิ่งขึ้นไป ถ้าไม่มีความรู้เรื่องภาวิตญาณแล้วสัญชาตญาณกลายเป็นกิเลสๆ ที่ไม่เคยเป็นกิเลสกลายเป็นกิเลส ก็มีภาวิตญาณชักนำไปในทางที่เป็นโพธิๆ
ไอ้โลกปัจจุบันนี้มันเป็นโพธิหรือเปล่า เขาอวด เขาคุยว่าเจริญในวิชาความรู้อย่างยิ่งเหลือประมาณ รู้ๆๆๆจนไปโลกพระจันทร์ได้ เหมือนกับไปเที่ยวสวนหลังบ้าน นี่โพธิหรือกิเลสคิดดูเถิด โลกปัจจุบันรู้ๆๆๆแต่ในทางสนองกิเลส สัญชาตญาณกลายเป็นกิเลส ไม่ทันรู้ แล้วก็รู้ๆๆเพื่อสนองกิเลส เราจึงสร้างสรรค์สิ่งสนองกิเลสขึ้นมาเต็มไปทั้งโลก เดี๋ยวนี้อุตสาหกรรมก็สร้างสิ่งสนองกิเลสในโลกมนุษย์ เราอยู่ในโลกอย่างนี้ลำบากนะ อยู่ในโลกที่มันถูกครอบงำด้วยกิเลส เป็นทาสของกิเลส ส่งเสริมกิเลส เป็นโลกที่เจริญด้วยกิเลส เจริญด้วยความเห็นแก่ตัว ยิ่งเจริญ ยิ่งยุ่ง ยิ่งรู้ ยิ่งโง่ จนไม่รู้ว่าจะรู้อะไรดี โลกนี้มีการศึกษาแต่ทำให้ฉลาดๆๆ ซึ่งทุกคนก็นิยมความรู้ ความฉลาด ฉลาดๆๆจนปริญญายาวเป็นหาง มันก็ยังหางด้วนอยู่นั่นแหละ มันรู้แต่ฉลาดๆ ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด ความฉลาดมันเดินไปผิดทาง คือไปในทางเห็นแก่ตัว ใช้ความฉลาดเพื่อเห็นแก่ตัวนี่มันลึก มันมากแล้วความฉลาดนี่ เราเรียกว่าการศึกษาหมาหางด้วน ในโลกเรากำลังมีการศึกษาหมาหางด้วน แล้วก็จะรวมทั้งตัวเราก็ด้วยเหมือนกัน นิยมความฉลาดๆๆ แล้วไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด กิเลสมันก็ได้โอกาส โพธิมันก็เป็นหมันไป ความรู้แทนที่จะเป็นโพธิ มันกลายเป็นความโง่ขึ้นมา เพราะมันฉลาดชนิดที่ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด
เราจะเอาธรรมะเข้ามาสู่จิตใจชนิดนี้มันยาก มันยาก มันลำบาก ทุกคนก็ว่าได้ หรือสากลโลก ทั้งโลกก็ได้ ก็ว่าได้ นิยมความฉลาด หากันมาไว้มาก แต่ไม่มีอะไรควบคุมความฉลาด แล้วก็ประชาธิปไตยด้วย ใครจะใช้ความฉลาดอย่างไรก็ได้ ก็ใช้กันไปในทางเห็นแก่ตัวๆ กิเลสหรือพญามารมันก็ได้เปรียบๆ เอาความฉลาดของมนุษย์มาใช้หมดเลย มนุษย์แห่งโลกปัจจุบันมันเป็นอย่างนี้ ธรรมะกับโลกปัจจุบันมันจึงมีปัญหา โลกที่มีความยุ่งเหยิงมากขึ้นทุกทีเพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้นๆ วุ่นวายโกลาหลมากขึ้น และที่มันลำบากเพราะมันเฟ้อ แล้วมันเฟ้อ แล้วก็มันเพ้อฝัน ต้องการแต่สิ่งสนองความอยากอย่างเพ้อฝันไม่มีจุดจบ นั่นมันก็ตรงกันข้าม มันเดินไปทางตรงกันข้ามกับธรรมะ ที่จะต้องการแต่พอดี ต้องการให้มันถูกต้อง ไม่เฟ้อ และก็ไม่เพ้อ เราอยู่ในโลกปัจจุบันได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างนี้ ก็ขอให้รู้ไว้เถิดว่าจะมีธรรมะกันอย่างไร ธรรมะมันต้องการความพอดี ต้องการความสงบ ไม่ต้องการความยุ่งเหยิง โกลาหล วุ่นวาย แต่โลกนี้มันก็ยิ่งยุ่งเหยิง โกลาหล วุ่นวายมากขึ้น เพราะความเห็นแก่ตัวมันมากขึ้น สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาเดี๋ยวนี้ ยุคนี้ มันกลายเป็นส่งเสริมความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น มีของกิน ของใช้ ของเล่น ของอะไรต่างๆที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัวทั้งนั้น ก็มีความหวังอยู่เหมือนกันว่า ถ้าเขาหมุนความฉลาดให้ถูกต้อง มีสิ่งควบคุมความฉลาดให้หมุน ให้หันมาสู่ความถูกต้อง มันก็จะดีเหมือนกัน ดีมากเหมือนกันแหละ ดีมากว่าในสมัยที่คนมันไม่ฉลาด หรือคนโง่ ทีนี้ความฉลาดมันกำลังเดินไปผิดทางเท่านั้นเอง มีอะไรควบคุมความฉลาดให้มันเดินมาถูกทาง ก็ใช้พระพุทธศาสนานั่นเอง ควบคุมความฉลาดของเราให้มันเดินถูกทาง สติสัมปชัญญะ ปัญญา สมาธิ จะช่วยจัดการให้มันเดินถูกทาง กำจัดความเห็นแก่ตัวออกไปเสีย มีความเป็นอิสระ มีความรู้ ความคิดแล้วมันก็เดินถูกทาง
ภาระหนักหรือยากของคนในโลกปัจจุบันก็คือ การที่จะดึงความฉลาดให้มาสู่ความถูกต้องๆๆต่อการดับทุกข์ ทีนี้ความฉลาดถ้ามันไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นสัมมาๆ ซึ่งแปลว่าถูกต้องๆ ถูกต้องต่อการดับทุกข์ มันกลับไปถูกต้องในการที่จะเพิ่มทุกข์ จะเรียกว่าถูกต้องได้อย่างไร มันถูกต้องชนิดที่จะเชือดคอตัวเอง เราจะต้องศึกษากันในข้อนี้ว่าใช้ความฉลาดให้ถูกต้อง ควบคุมความฉลาดให้เดินไปถูกต้อง รู้ธรรมะว่าจะต้องเดินไปทางไหน เดินไปทางไหนจึงจะเป็นความถูกต้อง
ธรรมะๆแท้ๆนั้นบางทีมันก็ยังไม่เดินไปในทางถูกต้อง เป็นธรรมะที่เดินไปในทางผิด เป็นอธรรม เป็นอกุศลธรรม เป็นฝ่ายโน้นก็มี ต้องให้มันเป็นกุศลธรรม ธรรมะที่ฉลาด ธรรมที่จะตัดปัญหา เพราะว่ากุศลๆนี่มันจะตัดปัญหา ตัวหนังหนังสือแปลว่าตัดหญ้าคา หญ้าคารกรุงรัง ตัดออกเสียให้หมด นั่นคือตัวปัญหาแหละ ตัดปัญหาได้ก็เป็นกุศล เพิ่มๆปัญหาก็เป็นอกุศล ระวังให้ดี อย่าไปเปิดทางโล่งให้มันเพิ่ม เพิ่มปัญหาก็คือเพิ่มทุกข์ ไปเรียนเมืองนอกเมืองนาปริญญายาวเป็นหางก็ยังไม่ๆรู้จักตัวเองๆ พวกฝรั่งที่มาที่นี่หลายคนเขาใช้คำพูดอย่างนี้ ยังไม่รู้จักตัวเอง อยากจะหาพบตัวเอง หาตัวเองให้พบ มีหลายคนนะฝรั่งที่มีการศึกษาดีๆยังพูดอย่างนี้ คนในโลกยุคปัจจุบันนั้นหลง หลงทางจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ตัวเองคืออะไร ก็เรียกว่าหลงตัวเอง มันเป็นตัวเองของกิเลส เป็นตัวเองของไอ้ความทุกข์
เขาหาว่าผมนี่บ้า นั่งนินทาความเจริญแห่งยุคปัจจุบัน ผมว่าผมไม่บ้า จะว่าบ้าก็ตามใจเถิด ไม่เห็นด้วยความเจริญที่ไม่มีการควบคุม ยิ่งเจริญ ยิ่งยุ่ง ยิ่งเจริญ ยิ่งมีปัญหา ยิ่งเจริญ ยิ่งใกล้เข้าไปสู่ความวินาศ โลกมันกำลังจะวินาศเพราะความเจริญแบบนี้ เราเจริญแบบนี้มันวินาศในที่สุด ความเจริญที่มันควบคุมไว้ไม่ได้แล้วมันเดินไม่ถูกทาง มันจะเดินไปสู่ความวินาศ ความเจริญอย่างที่เขามีหลัก มีความมุ่งหมายกันอยู่ในบัดนี้ มันจะนำไปสู่ความวินาศ มันเป็นความเจริญแห่งกิเลสตัณหา เป็นความเจริญที่ควบคุมไว้ไม่ได้ นี่ผมพูดอย่างเรียกได้ว่าเพื่อนเกิด แก่ เจ็บ ตายกับท่านทั้งหลาย จงรู้จักโลกปัจจุบันว่ามันกำลังไหลกลิ้งไปสู่ความวินาศ จะห้ามล้อไว้ไหวไหม อะไรจะเป็นเครื่องห้ามล้อ ธรรมะที่ถูกต้องนั้นจะเป็นเครื่องห้ามล้อ จะมีไหม มีไหม หรือว่าพุทธบริษัทก็กำลังผสมโรงกับเขาไปด้วย ช่วยไหลไปในทางนั้นด้วย นี่มันถูกกล่าวหาว่าทำไมภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา ถึงนอกรีตนอกรอย ไปหลงสร้างแต่เรื่องที่นอกรีตนอกรอย เขาก็ติเตียนกันมากเลย ที่มีพระที่ไม่เป็นพระ เขาเรียกอลัชชีหรือพระปลอมอะไรอย่างนี้มากขึ้น มันเพราะเหตุอะไร เพราะไม่รู้ธรรมะนั้นช่วยส่งเสริมให้โลกไปในทางวินาศ ขอให้ระวังเลย อย่าได้ตกไปในฝ่ายนั้นเลย เป็นพุทธบริษัทที่ดี ที่ถูกต้อง ทั้งเป็นบรรพชิต และทั้งฆราวาส เราไม่ส่งเสริมโลกที่กลิ้งไปหาความวินาศ เราจะต้องห้ามล้อให้โลกที่มันกำลังกลิ้งไปสู่ความวินาศ
ศาสนาหรือธรรมะจะเป็นเครื่องคุ้มครองโลก เดี๋ยวนี้กลับถูกนำไปใช้ในฐานะเป็นบริวาร เป็นเครื่องประกอบกิจการในโลก เอาศาสนาไปรับใช้โลก ไปรับใช้การเมือง ไปรับใช้การปกครอง แทนที่จะเอาเป็น ไปเป็นผู้ควบคุม ผู้บังคับบัญชา ผู้อยู่เหนือ เอาศาสนาเป็นเครื่องมือ ใช้ชื่อว่าธรรมะไปอ้าง แล้วกลายเป็นเครื่องมือนั้น ธรรมะอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะแล้ว ธรรมะที่แท้จริงมันต้องช่วยควบคุมความผิดพลาดของโลก ไม่ใช่ไปเป็นไอ้อุปกรณ์ของคนในโลกที่จะใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ คนในโลกปัจจุบันใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือมากขึ้น เครื่องมือภายนอกประเทศ ระหว่างประเทศ ภายในประเทศ มันก็มีมากขึ้น น่าเศร้า อย่าให้ผมพูดเลย ดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะมันกระทบกระเทือน ถ้าพูดแล้วมันกระทบกระเทือน เราอย่าไปผสมโรงกับเขาเลย
ศาสนา ธรรมะนี้ต้องมาควบคุมการเมือง ควบคุมเศรษฐกิจ ควบคุมการปกครอง ควบคุมการพัฒนา ควบคุมได้ทุกอย่างแหละ ไม่ใช่มารับใช้ เป็นเครื่องอ้างรับใช้ให้คนมันหลง เขากำลังจะใช้ศาสนาเป็นบริวารของการเมือง ที่แท้มันต้องใช้เพื่อควบคุมการเมือง เศรษฐกิจหรืออะไรมันจะเป็นไปอย่างถูกต้อง ไม่เป็นไปเพื่อความเห็นแก่ตัว มิฉะนั้นแล้วการเมืองจะเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น การเศรษฐกิจจะเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น การปกครองจะเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น การพัฒนาทั้งหลายก็จะเห็นแก่ตัวยิ่งขึ้น นี่เราก็ได้ทะเลาะวิวาทกันแล้ว มีแต่ทะเลาะวิวาทกัน ไม่ต้องทำอะไร อย่างในโลกทั้งโลกกำลังทะเลาะวิวาทกันระหว่างซ้ายกับขวา ในประเทศแต่ละประเทศก็ทะเลาะกันระหว่างฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล เมื่อฝ่ายค้านมันเห็นแก่ตัวอย่างหลับหูหลับตา ฝ่ายรัฐบาลก็จำเป็นที่จะต้องตอบโต้อย่างเห็นแก่ตัวเหมือนกัน เพราะฉะนั้นมันก็มีแต่ความเห็นแก่ตัว ถ้าเลิกความเห็นแก่ตัวเสียมันก็มาเป็นมิตรสหายช่วยกันการปรึกษาหารือ แก้ไขปัญหาของประเทศชาติกันแน่นอน ไม่ใช่มาคอยขัดขา ขัดขวาง ขัดแย้งเพื่อความเห็นแก่ตัว
โลกปัจจุบันกำลังใช้ธรรมะผิด เอาไปเป็นเครื่องมือของความเห็นแก่ตัว มีความฉลาดที่เดินไปผิดทาง ขอให้เราที่อยู่ในโลกปัจจุบันนี้อยู่กันถูกต้อง ทีนี้ก็จะพูดโดยหัวข้อว่า ธรรมะกับธรรมะเอง อาจจะประหลาดนะที่ผมพูด ธรรมะกับสิ่งอื่น แล้วก็ธรรมะกับตัวธรรมะเอง ดูตัวธรรมะเอง ธรรมะเป็นอะไรกับตัวเอง ธรรมะจัดการอะไรกับตัวเอง
ข้อแรกก็อยากจะใช้คำว่าธรรมะนี้มีความเป็นตัวเองอย่างยิ่ง อย่างที่เรียกว่าคงกระพันชาตรีๆ ท่านทั้งหลายคงได้ยินคำนี้มาแล้วว่าถ้าคงกระพันชาตรีจริงๆแล้วอะไรทำไม่ได้ๆ อะไรทำมันไม่ได้ มันคงตัวของมันเองอยู่เสมอ ฆ่าไม่ตาย ธรรมะนี้มีความคงกระพันชาตรีในตัวธรรมะเองอย่างที่สุด มันเป็นลักษณะของธรรมะ ตามความหมายของคำว่าธรรมะๆ ศัพท์นี้แปลว่าทรงตัวอยู่ๆ ทรงอยู่ๆ แล้วก็ทรงผู้ปฏิบัติธรรมะด้วย ทรงตัวเองด้วย ธรรมะจึงมีความแน่นแฟ้นในการคงอยู่ ทรงอยู่ ทรงตัวเองอยู่ นั่นแหละคือข้อที่จะพึ่งได้ เป็นที่พึ่งได้เพราะมีความคงกะพันชาตรีเพียงพอถ้าเป็นธรรมะจริง ถ้าเป็นธรรมะไม่จริงมันก็ไม่มีหรอก มันก็ไหลเลื่อนไปตามเหตุปัจจัย หรือกิเลสของคนเสียอีก ธรรมะแท้ๆที่ถูกต้อง ที่ควรแก่คำว่าธรรมะนั้นมันคงตัวเอง ทรงตัวเองอย่างกระพันชาตรี จึงมีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์ กายสิทธิ์สูงสุดยิ่งไปกว่าธรรมะ ศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนั้นคือตัวธรรมะ ไม่ใช่ผีสาง เทวดา พระเจ้าอะไรที่ไหน ที่อ้างกันนัก อ้างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกมาช่วย นี่หลับหูหลับตา ไม่รู้ว่าไอ้ธรรมะที่ตนจะต้องมี ที่ต้องทำให้มีขึ้นมานั่นคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ธรรมะนี้มันเป็นอนันตะ อนันตะคือว่าทรงตัวเองอยู่อย่างไม่สิ้นสุด คงกระพันชาตรี ทรงตัวเองอยู่ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันอยู่ในลักษณะเป็นอสังขตะ ไม่มีเกิด แล้มันก็ไม่มีดับ มันมีการทรงตัวเองอยู่ตลอดอนันตกาล เป็นอนันตภาวะ ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอนันตอายุ มีอายุไม่สิ้นสุด ถ้ารู้จักตัวธรรมะจริงถึงแก่น ถึงวิญญาณ ตัววิญญาณ หัวใจของธรรมะจริง ก็จะพบลักษณะอย่างนี้ ขอให้เรามีความเป็นอย่างนั้น คือมีความคงกะพันชาตรีเหมือนกับธรรมะ ต่อต้านกับความทุกข์ ความทุกข์ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีอะไรๆที่จะมาทำให้เกิดทุกข์ได้ มีความคงกะพันชาตรีหมายความว่าอย่างนี้ มีธรรมะเถิด ธรรมะมีความคงกะพันชาตรี ชีวิตจิตใจของเราก็จะมีความคงกะพันชาตรี เผชิญหน้ากับความทุกข์ ความเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวงได้ ซึ่งมันมากขี้นทุกทีในโลกปัจจุบันนี้
ธรรมะนี้ไม่มีเก่า และก็ต้องพูดว่าไม่มีใหม่ด้วย เมื่อไม่กี่วันนี้มีคนบ้าบางคนที่ไหนมาพูดขึ้นว่าจะมีพุทธะใหม่ๆ มีธรรมะใหม่ นี่มันคนโง่ คนหลับตาพูด ธรรมะที่แท้จริงมันไม่มีเก่า เพราะฉะนั้นมันก็ไม่มีธรรมะใหม่ ธรรมะจะเป็นของใหม่อยู่ตลอดกาลนิรันดร อย่าพูดว่าจะมีพุทธศาสนาใหม่ มีธรรมะใหม่ มันหลับตาพูด ธรรมะเก่าไม่ได้ ธรรมะที่แท้จริงมันเก่าไม่ได้ ความดับทุกข์ระบบนี้เก่าไม่ได้ ใช้ตลอดกาลนิรันดร ต้องดับทุกข์ระบบนี้ ดับทุกข์โดยการตัดต้นเหตุเสีย ตัดกิเลสตัณหาอุปาทานเสีย ดับตัวตนแห่งความโง่เขลาเสีย ระบบนี้ไม่มีเก่า คือมันไม่มีเก่า มันก็ไม่ต้องมีของใหม่และธรรมะไม่มีการเปลี่ยนแปลง มันจึงไม่มีใหม่ มันมีอย่างนี้ ไม่เก่าไม่ใหม่ก็ได้ เรียกว่าอย่างนั้นดีกว่า แต่ด้วยเหตุที่มันมีมานานก่อนเราเกิด เราไม่รู้จัก เราก็เห็นเป็นของเก่า และบางทีก็โง่ไปในการที่จะไปหาของใหม่ มันโง่เกินไปอีก
ธรรมะไม่มีเก่า ธรรมะไม่มีใหม่ แล้วก็จะมีอยู่ในสากลจักรวาลในลักษณะที่ไม่รู้จักเก่า ไม่รู้จักใหม่ หากแต่ว่ามันมีให้เลือกมาก เราก็เลือกให้เหมาะแก่เรา เฉพาะเรื่องของเรา เฉพาะปัญหาของเรา ที่เราจะหยิบมาใช้กันเดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่ของใหม่ มันควรจะเรียกว่าของเก่า แต่มันก็ไม่ใช่เก่า เพราะว่าธรรมะไม่รู้จักเก่า ธรรมะไม่ชรา ไม่แก่ๆ ไม่ชรา มีพระบาลีว่าอย่างไรผมก็ลืมเสียแล้ว ที่มีใจความธรรมะไม่สู่ ไม่เข้าสู่ความชรา ที่อยู่ไปเท่าไรๆมันก็ไม่ชรา คือไม่เก่า ไม่แก่ แล้วก็ไม่ตายด้วย เพราะมันไม่ได้เกิด มันก็ไม่ตาย เพราะมันเป็นตัวกฎ ตัวกฎ ตัวสัจจะ เป็นอสังขตะ ธรรมะในที่นี้หมายถึงตัวกฎของธรรมะ กฎของธรรมชาติ เป็นสัจจะ มันเป็นอสังขตะ ไม่มีอะไรไปทำกับมันได้ มันจึงไม่รู้จักเก่า
ขอให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าธรรมะกับธรรมะเอง ธรรมะกับธรรมะเองเป็นอย่างนี้ ธรรมะมีความคงกะพันชาตรี เรามีแล้วเราก็จะคงกะพันชาตรี ความทุกข์ทำอะไรเราไม่ได้ มารทั้งหลายทำอะไรเราไม่ได้ จิตก็หลุดพ้น เป็นอิสระ มีความเป็นกะพัน คงกะพันชาตรีเหมือนกับธรรมะ ช่วยมีธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้เถิด รู้จักธรรมะกันในลักษณะอย่างนี้ แล้วก็มี แล้วก็ใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจ ทั้งแก่ตนเอง ทั้งแก่ผู้อื่น ทั้งแก่โลกทั้งปวง โลกนี้จะได้คงอยู่ในความเป็นโลกที่สงบสุขเยือกเย็น ไม่แตกสลาย โลกนี้เป็นของแตก คำว่าโลกนี้มันแปลว่าแตก ของแตก แต่ถ้ามีธรรมะเข้าไปยึดถือ เข้าไปยึดครองแล้วโลกนี้มันจะไม่แตก ลองขาดธรรมะโลกจะแตกเดี๋ยวนี้ จะแตกกันเดี๋ยวนี้ทันที ถ้ามันขาดธรรมะ มีธรรมะไว้คุ้มครองโลก ความคงกะพันชาตรีของธรรมะจะคุ้มครองโลก สัตว์ทั้งหลายก็จะอยู่กันผาสุก ทั้งคน ทั้งสัตว์เดรัจฉาน ทั้งต้นไม้จะได้อาศัยอยู่ในโลกที่ไม่แตก มีคุณเหลือหลาย มีคุณมหาศาล จนพระพุทธเจ้าก็เคารพ พระพุทธเจ้าท่านเคารพธรรมะ
การบรรยายในวันนี้มันหมดเวลาแล้ว ไฟมันเตือนแล้ว มัน ๑ ชั่วโมงพอดี ก็หมดเวลาและก็หมดเรี่ยวแรงที่จะบรรยายด้วย ขอยุติการบรรยายในวันนี้ไว้เพียงเท่านี้