แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เพื่อให้จำง่ายๆ จำง่ายๆ ลืมยาก เราจะทำเหมือนกับว่า เรามีเพื่อนที่ดีที่สุด ๔ คน ๔ คน มีเพื่อนที่ดีที่สุด ๔ คน
เพื่อนคนที่หนึ่ง คือ สติ Mindfulness
เพื่อนคนที่สอง สัมปชัญญะ Attentiveness
เพื่อนคนที่สาม ปัญญา Wisdom , (นาทีที่ 0.45.) In…. Wisdom
เพื่อนคนที่สี่ สมาธิ Concentration
Mindfulness , Attentiveness , Wisdom and Concentration
ในขณะแห่งผัสสะ พอมีขณะแห่งผัสสะ มีเหตุการณ์ทางผัสสะเกิดขึ้น เพื่อนคนที่หนึ่ง
สติ วิ่งไปเอา เพื่อนที่สองคือ ปัญญามา ปัญญามาแล้ว มากลายเป็นเพื่อนคนที่สาม เป็น Attentiveness เป็น สัมปชัญญะ ควบคุมผัสสะอยู่ ควบคุมผัสสะอยู่ ถ้ากำลังมีน้อย สู้ผัสสะไม่ได้ ก็มีเพื่อนคนที่สี่คือ สมาธิมา มีกำลังจิตมาก สมาธิมา มันก็ควบคุมผัสสะได้
แปลว่า เพื่อนทั้งสี่คนนี้ทำงานดีที่สุด ในขณะแห่งผัสสะอย่างนี้ เราก็เรียกว่า ผัสสะฉลาด ผัสสะที่จะไม่ ไม่เกิดความทุกข์ เป็นผัสสะที่รอด เป็นผัสสะที่ปลอดภัย ทำเหมือนกับว่าเรามีเพื่อนสี่คน แล้วก็ทำหน้าที่ ตามหน้าที่ ทันเวลา ทั้งสี่คนเถิด
เราจะต้องพยายามที่จะมีเพื่อนสี่ ทั้งสี่นี่ ให้ได้ ให้ดีที่สุด ให้คล่องแคล่วที่สุด ในการมี ในการเรียกหามาใช้ ในการจะคล่องแคล่วที่สุด ในขณะแห่งผัสสะ เพื่อนทั้งสี่จะทำงาน สติเอาปัญญามาควบคุมไว้ ควบคุมอยู่เป็นสัมปชัญญะ
ทีนี้ถ้าว่า ถ้าเวทนามันให้ค่า ให้คุณค่า ให้ Value ให้ Meaning ออกมาเป็น Positive เพื่อนคนที่ชื่อว่าปัญญามันก็ ขับออกไป ขับไล่ออกไป (นาทีที่ 4.51) ………, Suchness , Wiseness.. ออกไป ออกไป เพื่อนคนที่ชื่อปัญญา มันก็ขับไล่ ค่า คุณค่าของ Positive or Negative or Not Positive Negative ออกไป ออกไป ออกไป เวทนา ก็ทำอะไรไม่ได้
ถ้ามันมาในแง่ Negative มันก็ขับไล่ออกไป
ไม่ Positive ไม่ Negative , Only (นาทีที่ 5.19) Wiseness Suchness ออกไป ออกไป
นี่คือว่า ปัญญาเข้ามา ทำให้เวทนาฉลาดและเป็นอิสระ ไม่ให้มีความหมายแห่ง Positive หรือ Negative , Good or Evil , Optimist or Pessimist เวทนาของเราก็ Free Free เป็นอิสระ นี่เรียกว่าเวทนามัน Free เพราะเพื่อนสี่คนนี้
บางนิกาย หรือบางพวกพยายาม เขาจะใช้คำว่า ร่ายมนต์ มันตรา (นาทีที่ 8.54) …. The Mantra ร่ายมนต์ ร่ายมนต์ มันตรา (นาทีที่ 9.00) Mantra at only voice only such, suchness , voiceness ….the Mantra……… ถูกขับไล่ความหมายที่เป็น Positive หรือเป็น Negative ออกไปเสียหมดเลย เวทนานี้ก็ไม่มีอิทธิพลอะไร ที่จะครอบงำจิตใจของเรา ก็เรียกว่า เวทนาก็ฉลาด จิตใจก็ฉลาด เวทนาไม่ทำให้เราโง่ ไม่ทำให้จิตใจมันโง่ เวทนามันฉลาด
ที่เราต้องการความรู้ทันที่กับเวลา ในขณะ ที่ ที่สัมผัส และเป็นเวทนาที่ฉลาด ท่องมนต์ ท่องมนตรา มนต์ (นาทีที่ 9.47) Voiceness , Suchness นี่ ให้คล่องก็จะขับไล่ความหมายแห่ง Positive or Negative ออกไปเสียจากเวทนา
เพื่อนคนที่ชื่อว่าปัญญา เพื่อนที่ชื่อว่าปัญญา คือ (นาทีที่ 9.47) Voiceness , Suchness เพื่อนคนนี้มา แล้วมันก็มี Voiceness , Suchness ในเวลาที่มีผัสสะ ผัสสะก็ไม่มีความหมายที่จะหลอกให้ ให้เป็น Positive หรือเป็น Negative
นี่เราป้องกันความรู้สึกว่าดี ว่าชั่วได้ ว่า Positive or Negative ได้โดยปัญญา ที่มาทันเวลา ทันเวลา ในขณะแห่งผัสสะ ควบคุมเวทนาไว้ได้ พอเวทนาไม่โง่ ก็ไม่มีความอยากที่โง่ ก็คือ ไม่มีความอยากนั่นเอง ต้องมีความอยากที่เป็นความโง่ จึงจะเรียกว่าตัณหา ตัณหา ถ้าไม่มีความยากที่โง่แล้วไม่เรียกว่า มีตัณหา
เรามีความต้องการที่ถูกต้อง ต้องการที่จะดับทุกข์ ต้องการที่จะกำจัดกิเลสนี้ ไม่เรียกว่าตัณหา เพราะฉะนั้น จึงไม่มีตัณหา เพราะไม่มีความอยากที่โง่ ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปทาน ไม่มีทุกข์ นี่ จบกันที่นี่
นี่, เราธรรมดาไม่เป็นอย่างนี้ เราไม่มีสติ ไม่มีปัญญา ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีอะไรหมด ผัสสะก็โง่ เวทนาก็โง่ ก็มีความต้องการที่โง่ เราก็มีตัณหา ตัณหา ต้องการไปตามแบบของ Positive Negative หรือว่าไม่ ไม่ ไม่ทั้งสองอย่าง และเราก็มีปัญหาด้วย ไอ้สิ่งที่เรียกว่าตัณหา ตัณหานั่นแหละ อย่าลืม เมื่อตะกี้ ว่าเวทนาให้เกิดตัณหา แล้วตัณหาก็จะผลักไสเราไป
โดยอาศัยเพื่อนที่ดีที่สุดสี่คน มาทันเวลา เราก็สามารถควบคุมผัสสะ หรือ Contact ได้ ควบคุมผัสสะได้ เราก็ควบคุมเวทนา เวทนาได้ เมื่อเราควบคุมเวทนาได้ เราก็ควบคุมทุกอย่าง ทุกอย่าง ทั้งหมด ทั้งหมดเลยได้ อย่างที่พูดมาแล้วว่า ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเวทนา
ขออภัยที่จะใช้คำพูดตรงๆ นะ อย่าหาว่าเป็นคำด่าหรือดูหมิ่นนะ ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ เราจะควบคุมพระเจ้าได้ ขอให้ใช้คำว่าอย่างนี้ เราจะควบคุมพระเจ้าได้ พระเจ้าจะไม่สร้างสิ่งที่เราไม่ต้องการขึ้นมาได้ เราจะควบคุมพระเจ้าได้ ถ้าเราควบคุมเวมนาของเราได้ อย่าเห็นเป็นคำหยาบหรือคำดูถูก
ขอให้เข้าใจคำพูดนี้ให้ดีๆ ว่าถ้าเราสามารถควบคุมเวทนาได้ เราก็สามารถควบคุมสิ่งทุกสิ่งได้ แม้แต่พระเจ้า ชนิดบุคคล คือ Personal God พระเจ้าที่จะสามารถสร้าง หรือทำลาย หรือทำอะไรต่างๆได้ มันก็คือ Feeling นั่นเอง คือเวทนานั่นเอง ที่ทำให้สร้างนั่นสร้างนี่ ทำนั่นทำนี่ ขึ้นมา เราใช้คำว่า Personal God นี่จะถูกแล้ว จะถูกที่สุด God มีเป็น Personal God เป็น Impersonal God แต่ทีนี้ เรารู้จักแต่ Personal God ที่ทำให้เราต้องทำอย่างนั้น ต้องทำอย่างนี้ ซึ่งเราก็ไม่ต้องการ เดี๋ยวนี้เราจะควบคุม God ชนิดนี้ได้ ไม่ให้สร้างสิ่งที่เราไม่ต้องการ จะทำให้เราดีใจไม่ได้ จะทำให้เราเป็นทุกข์ไม่ได้ เราควบคุมได้อย่างนี้ พูดแล้วเหมือนกับพูดเล่น หรือพูดเป็น Arrogant มากไป แต่เป็นความจริงที่สุด ถ้าพูดว่า ควบคุมเวทนาได้ คือ ควบคุมทุกสิ่งได้
ไม่ใช่พูดอย่างโอหัง โอหัง Arrogant ไม่ได้พูดอย่าง Arrogant อิทธิพลของ Feeling นั่นแหละคือ God ตามที่ท่านรู้จัก God ตามที่ท่านรู้จัก คืออิทธิพลของ Feeling เราควบคุมอิทธิพลของ Feeling ได้ ก็คือเราควบคุม God ที่เรากำลังมี หรือกำลังรู้จักได้ ขอให้ศึกษา ให้มองเห็นความจริงข้อนี้
อิทธิพลของเวทนา ทำให้เกิดตัณหา Ignorance to want ตัณหา Desire of Having แล้วตัณหาก็บังคับเราทำทุกอย่าง เหมือนกับว่าพระเจ้า พอเรากำจัดอิทธิพลของเวทนาได้ ตัณหาก็ไม่มี มันเหมือนกับว่าเราบังคับพระเจ้าได้ ควบคุมพระเจ้าได้ ดูให้ดี Ignorance to want นั่นแหละ คือพระเจ้าของคนทุกคนที่กำลังมีอยู่ในโลกนี้ เราอย่ามี Ignorance to want อย่ามี (นาทีที่ 24.57)Desire of Having มีแต่เพียง (นาทีที่ 24.59) Right at …. พอแล้ว Right at …. นี้ไม่มี Ignorance ไม่มีตัณหา ไม่มีกิเลสอะไร นี่เราก็สามารถจะควบคุมทุกอย่างได้ ให้ทุกอย่างเป็นไปอย่างถูกต้อง เพราะว่าเรามี (นาทีที่ 25.15) Right at …. ซึ่งตรงกันข้ามกับ Wrong Want , Right Want , Ignorance to Want นี่คือเรื่องที่จะต้องทำกับเวทนา ต้องจัดเวทนา จงทำเรื่องนี้ให้ได้กับเรื่องเวทนา แล้วก็จะได้รับประโยชน์สูงสุดจากธรรมะ
จงระวังคำว่า Want , Want ให้มาก มันเรียกว่า Want เหมือนกัน แต่ความหมายมันต่างกันมาก ถ้า Want มันมาจากอวิชชา หรือ Ignorance มันก็ Want แต่ถ้ามันมาจาก Wisdom ปัญญา มันก็ Want แต่มันต่างกันลิบลับ ทั้งที่เราเรียกว่า Want , Want เหมือนกัน
ฉะนั้นขอให้ใช้ Ignorance Want กับ Desire of Having แต่เดี๋ยวนี้มันเป็น Right Want , Right (นาที่ที่ 28.34) ……..….. ซึ่งควรจะมี ควรจะมี ควรจะใช้ และก็ควรจะดำเนินไป มันก็เป็นเหมือนกับว่า พระเจ้าที่ถูกต้อง พระเจ้าที่ไม่ใช่อวิชชา
ฉะนั้น เราจะต้องควบคุมผัสสะ ควบคุมเวทนา ควบคุมตัณหา คือ ควบคุม Want ให้มันมีแต่ Want ของ Wisdom เราจึงมีความรู้เรื่องนี้ สำหรับจะควบคุมความรู้สึกในขณะแห่งเวทนา ถ้ามันโง่ มันไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Positivism Negativism เสียแล้ว แล้วมันเป็น มันเป็น (นาทีที่ 29.15) ..... Want ทั้งนั้นเลย แล้วมันก็ไปสู่ความทุกข์โดยไม่มีทางที่จะช่วยได้ นี่ ขอให้ระวังคำว่า Want Want ให้ดีๆ
ที่นี้เราก็จะดูลำดับชีวิตเก่า ชีวิตผิดๆ ชีวิตเก่าของเรา เราก็มีผัสสะโง่ แล้วก็มีเวทนาโง่ แล้วก็มีตัณหา หรือความอยากโง่ แล้วก็มีAttachment คือ ผลของความโง่ ยึดถือโดยความโง่ Attach เป็น Positve เป็น Negative เป็น Good เป็น Bad เป็นต่างๆ ก็ Attach เพราะว่าเรามีตัณหา คือความอยากรุนแรง ความอยากเท่านั้น ไม่ต้องมีสิ่งอื่น ทำให้เราเกิด Attachment ขึ้นมาว่า มีฉันผู้อยาก มีเราผู้อยาก
มีฉันผู้อยาก
คือว่า ความอยากเกิดก่อน แล้วผู้อยาก มันเกิดทีหลัง ฟังดูแล้วมันไม่เป็น Logic มันขัดกับ
Logic ว่า ความอยากเกิดก่อน ผู้อยากเกิดทีหลัง แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันไม่มีตัวผู้
อยากที่แท้จริง มันมีแต่ความคิด Concept ว่าผู้อยาก ว่าฉันผู้อยากเกิดทีหลัง เมื่อจิตมีความอยาก เต็มที่แล้ว Concept ว่าฉันผู้อยากมันก็เกิดขึ้น คนก็หาว่าไม่ถูก Logic ไม่เชื่อ แต่ความจริงมันเป็นอย่างนั้น
เพราะว่าตัวฉัน หรือตัวตน หรือตัว Self หรือตัว Soul มันไม่ได้มีอยู่จริง ซึ่งจะเป็นผู้อยาก แล้วอยาก มันมีความอยากเกิดมาจากผัสสะโง่ เวทนาโง่ แล้วเมื่ออยากมากเข้า ก็เกิด Concept ขึ้นมาเป็นลมๆแล้งๆ ว่า ผู้อยากคือฉัน ฉันคือผู้อยาก อย่างนี้เรียกว่า Attachment ในตัวตน แล้วก็ได้มาเป็นของตน Attachment ว่าของตน เรียกว่า Attachment อย่างนี้ ที่จะจับเอามาทุกสิ่ง เอามาเป็นตัวตน เป็นของตนแล้วก็ มันก็มีตัวตน มีของตนขึ้นมา มี Attachment หรืออุปทานแล้ว มันก็มีความพร้อม พร้อมที่จะคลอดตัวตนออกมาให้เป็น, สู่ สู่ สู่สนาม อย่างนี้ก็เรียกว่า พร้อม พร้อมที่จะมีตัวตน เรียกว่า Existence , (นาทีที่ 33.58) Existence the …............ ภาวะ ภาวะ ในภาษาบาลี มี ภาวะ Existence นี่แล้ว มันก็มี ชาติ Birth ออกมา เป็นตัวตน ลงสู่สนาม ทำทุกอย่าง ทุกอย่างที่เป็นความทุกข์
เมื่อมันมี Ignorance to Want หรือตัณหา มันก็เหมือนกับ ทำการสืบพันธุ์ ทำการสืบพันธุ์แล้ว มันก็มีอุปทาน Attachment เหมือนกับการตั้งครรภ์ เมื่อมีการตั้งครรภ์แล้ว มันก็มี Existence หรือภาวะ เหมือนกับครรภ์มันแก่ ครรภ์มันแก่แล้ว แก่มากแล้ว เมื่อมันมีครรภ์แก่มากแล้ว มันจะมีการคลอดออกมา เป็นชาติ คือ เป็นตัวตน เป็นคนที่ คนแห่งความโง่ คนแห่งอุปทานออกมา
ชีวิตเก่าเป็นอย่างนี้ มีผัสสะโง่ มีเวทนาโง่ มีตัณหาโง่ มี Attachment แล้วก็มีภาวะ มีความพร้อมจะคลอดความโง่ออกมา แล้วก็คลอดเป็นชาติออกมา นี่ชีวิตเก่า
ถ้าท่านศึกษาจนรู้จักชีวิตเก่าในลักษณะอย่างนี้จริงแล้ว จะง่ายที่สุดที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา และกำจัดมันเสียได้ หยุด หยุดกระแสแห่งความโง่นี้เสียได้ ไม่มีความทุกข์
ในชีวิตเก่าของเรา ถ้าเราควบคุมเวทนาไม่ได้ มันก็เป็นตัณหา เป็นอุปาทาน เป็นภพ ไปจนถึง ทุกข์
ทีนี้ในชีวิตใหม่ของเรา เราควบคุมเวทนาได้ มันหยุด หยุดตัณหา หยุดอุปาทาน มันก็ไม่มีการเกิด เกิดที่ไปเป็นทุกข์ เมื่อเราควบคุมไม่ได้ จะมีการเกิด เกิด เกิด วันหนึ่งไม่รู้กี่สิบครั้ง กี่ร้อยครั้ง หรือกี่พันครั้งก็ได้ มันมีการเกิดแห่งตัวกู นี่ เกิดแห่งตัวตน แห่งความยึดมั่นถือมั่นว่าตัวตน เป็นความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นตัวตน เป็นตัวกู เป็นตัวกู หมายความว่า มันเกิดตัวกู เกิดตัวกู เกิดตัวกู วันหนึ่งกี่ครั้งก็ได้ แล้วมันทุกข์ทุกครั้ง มันเป็นทุกข์
นี่ ชีวิตเก่า ที่เป็นไปตามเรื่องของชีวิตเก่า คือ หยุดเสียได้ หยุดกระแสนี้ เพราะว่ามีความรู้ว่าเวทนา เวทนาควบคุมได้ เวทนาฉลาดไม่อยู่ใต้อิทธิพลของ ของ Positive และ Negative แล้วไม่เกิดตัณหา ไม่มีตัณหา ไม่มีอุปทาน ไม่มีภพ ไม่มีชาติ มันก็หยุดเสียได้ที่ตรงเวทนา ชีวิตใหม่ควบคุมเวทนาได้ ก็ไม่มีการเกิดอีกต่อไป แล้วก็จะมีผลวิเศษที่สุดที่เรียกว่า นิพพาน นิพพานเป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องไว้พูดกันคราวอื่น
สรุปความว่า ถ้าปราศจากชีวิตเก่า เราจะมีการเกิดวันหนึ่งมากๆครั้ง แล้วก็มีความทุกข์ไปตลอดไป ถ้าเราควบคุมเวทนาได้ เราก็มีชีวิตใหม่ เราก็หยุดการเกิด เราก็ไม่มีการเกิด เราก็ไม่มีการแก่ เจ็บ ตาย เราก็ไม่มีความทุกข์ ชีวิตใหม่หยุดกระแสแห่ง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ชีวิตเก่าก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย ไปตามแบบเดิม ขอให้สนใจที่จะมีชีวิตใหม่ด้วยกันจงทุกคน
การเกิดทาง ทางวัตถุ ทางกาย Physical เกิดจากท้องแม่ เกิดทีเดียว ก็ตายทีเดียว แล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา นั่นเกิดทาง Physics แต่นี่ มันมีการเกิดทาง Spiritual ซึ่งเกิด เกิดหลายครั้งต่อวัน เกิดมากครั้งตลอดชีวิต นี่มีปัญหา ถ้าไม่มีการเกิดทางฝ่ายนี้ การเกิดทาง Physics ไม่มีปัญหา มันเป็นเพียงเหมือนกับวัตถุไม่มีความคิดนึกอะไร แต่นี่เดี๋ยวนี้มันมีเกิดทาง Spiritual อย่างนี้ เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก เกิดทุกครั้ง มีปัญหาทุกครั้ง มีความทุกข์ทุกครั้ง ถ้าเราเข้าใจ มีความรู้เรื่องนี้ หยุดความเกิดชนิดนี้เสียได้ เราก็จะไม่มีความทุกข์ เราก็จะไม่มีปัญหา ซึ่งเราจะเรียกว่าชีวิตใหม่ คือ ชีวิตที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความเกิด แก่ เจ็บ ตาย อีกต่อไป
ขอให้รู้จักตัวเอง มองดูตัวเอง มองดูที่ตัวเองยิ่งๆขึ้นไป จนรู้จักว่าความจริงเป็นอย่างไร เมื่อมันมีการเป็นไปอย่างไร มีข้อเท็จจริงอย่างไร มี Processor ของมันอยู่อย่างไร อยู่อย่างไร แล้วจะได้มีความรู้ที่จะควบคุม ที่จะหยุด ที่จะแก้ไข ไม่ให้มันเป็นไปในลักษณะนั้น คือไม่เป็นทุกข์ อย่างนี้เราเรียกว่า ได้ชีวิตใหม่ ซึ่งมีประโยชน์ มีคุณค่า ที่จะพูดกันวันหลังถ้ามีเวลา ตอนนี้ขอให้รู้จักตัวเอง รู้จักตัวเอง รู้จักตัวเอง ขอให้ใช้คำว่ารู้จักตัวเอง ตัวเองที่ไม่มีตัวจริง มีแต่ก็ คิดเอาเอง เข้าใจเอาเอง สำคัญผิดเอาเอง แล้วก็เกิดเป็นความคิดต่างๆนาๆขึ้นมา จนเป็นความทุกข์นาๆชนิด รู้จักตัวเองในลักษณะอย่างนี้
เรียนธรรมะในตัวเอง จึงจะมีผลดับทุกข์ได้
เรียนธรรมะจากหนังสือ เรียนธรรมะจากฟังบรรยายเหล่านี้ สำหรับเอาไปเรียนจากตัวเอง เรียนเพื่อเอาไปเรียนจากตัวเอง
เรียนจากตัวเองให้สำเร็จ แล้วก็จะได้เห็นความจริง แล้วก็จะดับทุกข์ได้ เรื่องมันก็มีเท่านี้ ขอยุติการบรรยายในวันนี้ มันสองชั่วโมงกว่าแล้ว