แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายในภาคปลายนี้ อาตมาจะได้กล่าวถึงสิ่งซึ่งเป็นอุปกรณ์แก่การเลิกอายุดังที่ได้กล่าวแล้วก็จะต้องขอกล่าวอีกว่าอย่าเข้าใจผิด ว่าเลิกอายุนั้นไม่ใช่ตาย ไม่ใช่ฆ่าตัวตายแล้วก็จะเป็นการเลิกอายุ เลิกอายุหมายถึงไม่ผูกพันยึดมั่นติดมั่นอยู่กับสิ่งที่เรียกว่าอายุจนต้องลำบากยุ่งยากไปหมด เรื่องหลงอายุมันก็ไม่ไหวเรื่องลวงอายุมันก็ไม่ไหว จนกระทั่งล้ออายุก็หมายความว่าประกาศสงครามกับมันแล้วก็เลิกเพิกถอนเสีย อย่าให้มีปัญหายุ่งยากลำบากเกี่ยวกับอายุ
คำว่าเลิกอายุก็หมายความว่ามันไม่มีปัญหาใดๆ เกี่ยวกับอายุนั่นเอง ไม่มีอิทธิพลใดๆมาทำให้ลำบากยุ่งยาก เรื่องดีเรื่องชั่วเรื่องบุญเรื่องบาปเรื่องสุขเรื่องทุกข์เรื่องได้เรื่องเสียเรื่องแพ้เรื่องชนะอะไรก็ตาม มันไม่มาทำความ ไม่มาทำความยุ่งยากลำบากให้กับอายุ ก็ได้แก่การเลิกถอนเพิกถอนปัญหาทั้งหลายเกี่ยวกับอายุ
อ้าว,ทีนี้ก็มาดูว่ากันถึงว่าทำไมมันจึงเลิกไม่ได้ นี่ก็จะพูดกันถึงข้อนี้ ความรู้ที่เป็นอุปกรณ์ที่จะทำให้เลิกอายุได้นี่ มันสำคัญมันจะได้แต่ความถูกต้อง ถูกต้องอย่างที่ว่ามาแล้ว ไอ้ชั่วมันก็ยุ่งไอ้ดีมันก็ยุ่งไอ้ถูกต้องน่ะมันไม่ยุ่ง นึกถึงคำว่าถูกต้อง ถูกต้อง ไว้ให้มากที่สุด มันจะทำให้หมดปัญหา ดังนั้นเราจะต้องมีความถูกต้องทุกเรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นพุทธบริษัทของเรา เรื่องอะไรมันเป็นหัวใจหรือเรื่องจำเป็นเกี่ยวกับความเป็นพุทธบริษัทของเรา เรื่องนั้นๆ จะต้องถูกต้องจะต้องมีความถูกต้อง คือสำเร็จประโยชน์ได้จริงไม่เพียงแต่ชื่อไม่เพียงแต่พิธี วิธี วิธีนี่ใช้ได้ เป็นพุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ว่าพิธี พิธี นี่ใช้ไม่ได้มันเป็นไสยศาสตร์
คนที่รู้บาลีมันก็รู้นะว่าพิธีกับวิธีนี่มันคำเดียวกันแหละ แต่พอยังเป็นวิธี วิธี เป็นการกระทำให้สำเร็จประโยชน์นี่ใช้ได้ มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์หรือเป็นพุทธศาสตร์ แต่ถ้าเป็นพิธี พิธีนี่ไม่ไหวละมันเป็นไสยศาสตร์ ถ้าใส่รีตองเข้าไปด้วยแล้วบ้าเลย พิธีรีตองไม่ไหวมันพึ่งไม่ได้ ทีนี้ก็มาดูว่าพวกเรานี่มันยังไม่มีวิธีนะ มันมีแต่พิธีเสียหมด มีแต่พอเป็นพิธีหรือทำตามพิธี มีกันตามพิธีเสียหมดเรื่องต่างๆ มันจึงไม่สำเร็จประโยชน์แก่การที่จะเพิกถอนปัญหาเกี่ยวกับอายุ จะนำมากล่าวเป็นตัวอย่างบางเรื่อง
เรื่องแรกก็อยากจะพูดถึงเรื่องศีล ศีล ถ้าเป็นพิธีก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นวิธีมันใช้ได้ คำว่าศีล ศีล นี่มันยังเข้าใจผิดกันอยู่ ขออภัยที่อยากจะพูดว่าท่านทั้งหลายส่วนมากที่มีอยู่ที่นี่นะเข้าใจว่าศีลนั้นคือสิกขาบท สิกขาบทนั้นคือศีล ขอให้เข้าใจเสียใหม่ว่าคนละเรื่องคนละอันคนละหน่วย แม้ว่ามันจะเนื่องกันก็จริงล่ะแต่มันคนละขั้นตอน
สิกขาบทนั้นหมายถึง บทที่บัญญัติขึ้นไว้อย่างไร จะต้องศึกษาปฏิบัติอย่างไรนี่เรียกว่าสิกขาบท
ศีลมันหมายถึงว่าภาวะปกติ ไม่มีความวุ่นวายระส่ำระสาย ทางกาย ทางวาจากันได้ หรือภาวะปกติยิ่งขึ้นไปก็ได้ แม้ทางวัตถุก็ได้ถ้ามันเป็นภาวะปกติแล้วมันก็เรียกว่าศีล ศีลละ
สิกขาบทนั้นเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติจริงสำเร็จประโยชน์แล้ว มันก็ทำให้เกิดมีศีลขึ้นมา คือมีภาวะปกติขึ้นมา แต่ถ้าไม่มีการกระทำที่ถูกต้องมันก็เป็นสิกขาบทอยู่นั่นแหละ มันไม่เป็นศีลขึ้นมาได้
รักษาศีลจนตายก็ไม่มีศีล ขอให้ฟังดูให้ดีๆ รักษาศีลจนตายก็ไม่มีศีล เพราะว่ามันทำแต่เพียงเป็นพิธีและก็เกี่ยวกับสิกขาบท สิกขาบท สิกขาบทเท่านั้นแหละไม่ขึ้นไปถึงศีล มันท่องสิกขาบท มันรู้แต่เรื่องสิกขาบท ยึดมั่นถือมั่นในสิกขาบท เป็นของขลังศักดิ์สิทธิ์อะไรไปเลย และก็ไม่มีภาวะปกติแก่จิตใจมันเลยไม่มีศีล นี่อย่างนี้เรียกว่ารักษาศีลจนตายก็ไม่มีศีล เพราะมันมัวแต่เที่ยวคาบสิกขาบท หยาบคายหน่อย ได้แต่ท่องอยู่กับแค่ปาก แค่ปาก สิกขาบทอย่างนั้นอย่างนี้ ห้าบ้างแปดบ้างสิบบ้าง สองร้อยยี่สิบเจ็ดบ้าง สามร้อยสิบเอ็ดบ้าง ถ้ามีเป็นภิกษุณี มันได้แต่คาบสิกขาบทว่าแต่ปาก บางทีก็หาบหามด้วยซ้ำไป อีรุงตุงนัง เรียกว่าหาบสิกขาบทกันเลย แต่แล้วมันก็ไม่มีศีล คือมันไม่มีภาวะปกติ และก็ไปยึดมั่นถือมั่นสิกขาบทเป็นของขลังของศักดิ์สิทธิ์ อย่างนี้มันก็เป็นพิธี พิธีไม่ใช่วิธี
บางแห่งพอจะทำสมาธิวิปัสสนานี่ เขาบังคับให้รับศีลกันเดี๋ยวนั้นเลยคือรับสิกขาบท ห้าแปดอะไรก็ตามแล้วจึงทำสมาธิ อย่างนี้มันก็เป็นเพียงสิกขาบทเท่านั้นแหละ มันไม่เป็นศีล มันเป็นไม่เป็นภาวะปกติที่จะใช้เป็นเครื่องรองรับสมาธิ มันไม่มีภาวะปกติมันก็ไม่มีศีล หรือถ้าจะพูดให้ถูกก็ว่ามันมีศีลที่ไม่ใช่ศีล มันเป็นเพียงสิกขาบทพอเป็นพิธี พอเป็นพิธี
ทีนี้ดูให้ดี ดูให้ดี ที่เรารับศีลกันอยู่ทุกวันนี้เดี๋ยวนี้แหละ เช้าเย็นรับศีลอยู่ทุกวันนี่ เป็นศีลหรือเปล่าหรือเป็นเพียงสิกขาบท เป็นเพียงพิธีรับสิกขาบทศีลห้าศีลแปดศีลอุโบสถศีลอะไรก็ตาม มันเป็นเพียงพิธีรับสิกขาบทเท่านั้น หรือว่ามันได้เลยไปจนกระทั่งมีศีล คือมีภาวะปกติแห่งกายวาจา ซึ่งจะเป็นรากฐานของสมาธิวิปัสสนาต่อไปตามลำดับ พูดกันด้วยใจจริง รู้สึกตามความที่เป็นจริง ว่าเรายังมีเพียงแต่พิธีรับสิกขาบท รับสิกขาบท รับสิกขาบทแล้วก็ไม่มีศีล อย่างนี้จริงหรือไม่ ถ้าอย่างนี้ละก็ทำจนตาย รับ รับศีลจนตาย รับศีลจนตายมันก็ไม่มีศีล มันจะน่าเศร้าสักเท่าไหร่
อยากจะพูดว่าแม้ไม่มีการรับสิกขาบทคือไม่มีการรับศีลนั่นแหละ แต่ถ้าว่ากายวาจาของเขามีภาวะปกติ นั่นแหละเขามีศีล มีศีลที่จะเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติสมาธิต่อไป พูดเลยว่าไม่ได้รับศีล ไม่รับศีลห้าศีลแปดศีลสิบอะไรแต่จิตมีภาวะปกติ คนนี้พร้อมแล้วที่จะทำสมาธิหรือวิปัสสนา
เพราะว่าสมาธิหรือวิปัสสนานั้นเรียกว่า จิตปริสุทธิ จิตปริสุทธิที่มันอาศัยศีลวิสุทธิ ศีลวิสุทธิ ศีลวิสุทธินี้เป็นบาทฐานของจิตวิสุทธิ เรียกให้ตรงๆ เรียกให้ถูกก็ว่าจิตวิสุทธิมีศีลวิสุทธิเป็นพื้นฐาน เดี๋ยวนี้มันไม่มีศีลนี่แล้วจะมีศีลวิสุทธิได้อย่างไร มันมีแต่คาบสิกขาบท ปานาติปาตา อทินนาทานาอะไรก็ไม่รู้ มัวแต่คาบสิกขาบท บางทีก็ยิ่งก็กว่านั้นก็หาบหามหิ้วกันไปรุงรังตุงนังไปหมดสิกขาบทมากมายเหลือเกิน มันมีแต่สิกขาบทที่ปากว่า มันก็ไม่มีศีลวิสุทธิ มันมีแต่พิธีรับสิกขาบทมันไม่มีศีลวิสุทธิ ไม่มีศีลวิสุทธิแล้วมันก็ไม่มีปัจจัยแห่งจิตวิสุทธิ นั่นน่ะมันจึงตายด้าน มันชะงักงันอยู่ที่ตรงนั้น กี่ปี กี่ปีมาแล้วมันก็ไม่ก้าวหน้าในทางของสมาธิหรือวิปัสสนา เพราะมันไม่มีศีลที่เป็นตัวศีล มันมีแต่สิกขาบทตามพิธีตามประเพณีบางทีรีตองด้วย นี่คือข้อติดขัด ข้อขัดข้องที่ไม่ทำให้เกิดความก้าวหน้าในทางชีวิตจิตใจ มันมีไม่ได้แม้แต่ศีลนี่แล้วมันจะพูดอะไรกันถึงสมาธิวิปัสสนา มันก็เลยเพิกถอนกิเลสตัณหาอะไรไม่ได้ มันติดชะงักงันอยู่ที่ตรงนั้น นี่มันก็เลิกอายุไม่ได้ เลิกความยึดมั่นถือมั่นด้วยอุปาทานในสิ่งต่างๆไม่ได้ แล้วมันยังไปมีอุปาทานในสิกขาบทเสียอีกมันก็ไม่มีศีล
นี่เป็นตัวอย่างอันที่หนึ่ง ที่ว่าเราจะต้องรู้จักกันให้แน่ชัดลงไปว่าศีลนั้นเป็นอันหนึ่ง สิกขาบทนั้นเป็นอีกอันหนึ่ง มีสิกขาบทไม่มีศีลก็ได้ ถ้ามีศีลแล้วก็สำเร็จประโยชน์โดยไม่ต้องมีสิกขาบทก็ได้ สิกขาบทนั้นวางไว้ วางไว้เพื่อให้มันเกิดมีศีล ปฏิบัติแล้วเกิดมีศีล แต่คนก็ทำได้เพียงรับ ท่องจำสิกขาบทแล้วก็คิดเอาว่ามีศีลนี้ระวังให้ดี ฉะนั้นถ้ารับเอาศีลก็ ก็ให้คือปฏิบัติตามสิกขาบทให้ครบถ้วนให้ถูกต้อง ให้เกิดภาวะปกติขึ้นมาในจิตใจ ในที่กายที่วาจา กายวาจาปกติก็หมายถึงใจมันก็ปกติด้วย นี่ขอให้ทุกคนชำระศีล ให้มีศีลหรือว่าจะชำระสิกขาบทก็ได้ แต่มันไม่ต้องชำระอะไรสิกขาบทมันมีอยู่อย่างนั้นแล้ว มีแต่ว่าชำระการปฏิบัติตามสิกขาบทนั้นจะต้องชำระถ้ามันยังไม่มีถึงขนาดที่จะให้มีศีล นี่ตัวอย่างอย่างหนึ่งแล้วที่แสดงให้เห็นว่า ทำไมเราจึงไม่ก้าวหน้าขึ้นไป ไม่ก้าวหน้าขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะเพิกถอนไอ้สิ่งยึดยั่นถือมั่นด้วยอุปาทาน
ทีนี้จะยกตัวอย่างมาอีกสักเรื่องหนึ่งคือเรื่องศรัทธา ศรัทธาแปลว่าเชื่อ ความเชื่อ
สลับซับซ้อนมากไอ้ศรัทธานี่ ศรัทธาพิธีรีตองมันก็น่าสงสารมาก บังคับให้เชื่อหรือพูดให้เชื่ออะไรให้เชื่อเหล่านี้มันก็เป็นศรัทธาประเภทหนึ่ง ซึ่งถูกบอกให้เชื่อหรือบางทีก็ถูกบังคับให้เชื่อตามลัทธิของศาสนาบางศาสนาบังคับให้เชื่อ แม้ไม่บังคับก็ได้แต่บอก บอก บอก ไอ้ความเชื่อมันก็มีตามบอก แต่ถ้าว่าจะเป็นศรัทธาจริงนั้นน่ะ มันต้องเป็นผู้ที่มองเห็นหรือได้รับประโยชน์นั้นๆมาแล้วจากสิ่งนั้น เช่นว่าจะมีศรัทธาในพระรัตนตรัย เขาได้รับประโยชน์ได้เห็นแจ้งได้ประจักษ์ในประโยชน์ที่ได้รับจากพระรัตนตรัย แล้วศรัทธาอันแท้จริงมั่นคง มันก็เกิดขึ้นเองเกิดขึ้นเองไม่ต้องมีใครมาบอกหรอก นี่ก็ลองคิดดู
ศรัทธา ศรัทธานี่มันมีหลายความหมาย ศรัทธาต่อสิ่งภายนอกที่เป็นที่พึ่งได้นี้มันก็อย่างหนึ่ง ทีนี้ศรัทธาในภายในศรัทธาต่อตัวเองเชื่อตัวเองนี้มันก็อีกอย่างหนึ่ง ท่านทั้งหลายลองคิดวินิจฉัยดูเดี๋ยวนี้เลยว่าพระพุทธเจ้าท่านต้องการชนิดไหน พระพุทธเจ้าต้องการให้ศรัทธามีความเชื่อในสิ่งภายนอกหรือว่าให้เชื่อตัวเองหรือเป็นสิ่งภายใน
ข้อนี้มันจำเป็นก็น่าเห็นใจ ก็มันยังไม่สามารถจะรู้จักตัวเอง จะเชื่อตัวเอง จะพึ่งตัวเอง มันก็ต้องพึ่งสิ่งภายนอกไป สอนกันไปก่อน สอนกันไปก่อนให้เชื่อนั่นเชื่อนี่เชื่อโน่น ดูก็ได้ผลน้อยมาก ถ้าว่ามีความเชื่อในภายในเชื่อตัวเองมันจะเลยไป เลยไปถึงความเชื่อในผลของการปฏิบัติ มีความเชื่อแน่ใจว่าพ้นภัยว่าปลอดภัย ความเชื่อว่าพ้นภัยว่าปลอดภัยนี่ก็อย่างหนึ่ง ความเชื่อว่ามั่นคงในทางสุขภาพอนามัยนี่ก็อย่างหนึ่ง ความเชื่อว่ามั่นคงปลอดภัยในทางเศรษฐกิจการเงินการทองอะไรเหล่านี้มันก็เชื่อ นี่อะไรจะทำให้เชื่อได้ถึงขนาดนั้น มันมีแต่การประพฤติปฏิบัติให้มันถูกต้องจนเกิดความเชื่อเช่นนั้น ถ้าไม่มีความเชื่อว่าปลอดภัยแล้วมันนอนไม่หลับนะ มันผวาอยู่เรื่อยนะมันสะดุ้งอยู่เรื่อย แต่ถ้าเรามีความเชื่ออย่างว่าปลอดภัยแน่ในชีวิตทรัพย์สมบัติอะไรก็ตามแล้วมันนอนหลับ มันนอนหลับสนิท
ศรัทธามันจำเป็นที่จะต้องมี ถ้าไม่มีมันนอนไม่หลับมันจะเป็นโรคประสาทแล้วมันจะเป็นบ้า ศรัทธาไม่ใช่ของเล่นๆ ไม่ใช่บอกให้ศรัทธาแล้วก็จะสำเร็จประโยชน์ มันต้องมองเห็นลึกซึ้งลงไปในสิ่งนั้น ว่าได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้วในสิ่งนั้นๆ จนมีความเชื่อได้ว่ามันปลอดภัย เดี๋ยวนี้ใครมีศรัทธาชนิดนี้บ้าง เห็นจะมีกันแต่ศรัทธาว่าเชื่อ เรามีศรัทธาเรามีความเชื่อในพระพุทธ ในพระธรรม ในพระสงฆ์ แล้วก็พอแล้ว ฉันมีความเชื่อ ฉันมีศรัทธาอย่างนี้มันก็พอแล้ว ที่จริงมันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีศรัทธาในพระพุทธ แท้จริงมันต้องรู้จักพระพุทธเจ้าแท้จริงเสียก่อน จะมีศรัทธาในพระธรรมก็รู้จักพระธรรมแท้จริงถึงที่สุดเสียก่อน ในพระสงฆ์ก็เหมือนกัน ถ้าไม่อย่างนั้นก็เป็นศรัทธาทางพิธีรีตอง ศรัทธาที่เข้ามาทางหู ทางการบอกกล่าวอย่างนี้ไม่สำเร็จประโยชน์ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี เอาก็เอากันเพียงเท่านี้มันก็ยังดีกว่าไม่มี
ศรัทธาในธรรมมะอันแท้จริงจะมีศรัทธาได้ก็ต่อเมื่อได้รับประโยชน์จากธรรมมะนั้นแล้ว เหมือนอย่างว่ายาแก้โรค ยาแก้โรคขนานหนึ่ง เราศรัทธาคนที่เขามาขาย นี่มันก็ศรัทธานิดหนึ่งเท่านั้นแหละ คือศรัทธาไม่ใช่ศรัทธาก็ได้ แต่ถ้าเราได้กินยานั้นหายจากโรคสิ้นเชิงแล้ว นี่ศรัทธามันจึงจะมีมาโดยแท้จริงในยาขนานนั้น หรือในเรื่องอื่นๆ วัตถุเครื่องใช้ไม้สอยอะไรก็ตาม การที่เราจะมีความเชื่อลงไปว่าจะเป็นที่พึ่งได้นี่ ก็ต่อเมื่อรู้จักและใช้มันให้เป็นที่พึ่งได้จึงจะมีศรัทธาโดยแท้จริง เดี๋ยวนี้ศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระธรรม ในพระสงฆ์นี้มันเป็นแต่เพียงเรื่องบอก เขาบอกให้ว่าดีอย่างนั้น ดีอย่างนี้และให้เป็นที่พึ่งได้แล้วมันก็ศรัทธา มันจะมีศรัทธานิดเดียวเหมือนกับว่าคนเขาเอายามาขายแล้วเราลองซื้อกินดูนั่นน่ะศรัทธามีเท่านั้นน่ะ มันไม่มีศรัทธามากเหมือนกับได้กินแล้วหายจากโรคแล้วก็มีศรัทธาแท้จริง
เดี๋ยวนี้เรามีศรัทธาในพระพุทธในพระธรรมในพระสงฆ์กันในลักษณะอย่างไร กันในลักษณะอย่างไรท่านไปคิดดู และควรจะทำกันอย่างไรต่อไป จะปลูกฝังศรัทธา พอกพูนศรัทธา ชำระสะสางศรัทธากันอย่างไรขอให้ลองคิดดู จึงจะได้ศรัทธาที่แท้จริงมา อาตมาอยากจะพูดว่า พระอรหันต์เท่านั้นแหละที่จะมีศรัทธาแท้จริง ในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์คือศรัทธาในความดับทุกข์ ศรัทธาในพรหมจรรย์อะไรก็ตามเถอะ พระอรหันต์เท่านั้นแหละจะมีศรัทธาที่แท้จริง เราปุถุชนอย่างนี้มันก็ ก็ศรัทธาไปตามพิธี ตามประเพณี เหมือนกับลองซื้อยากินอย่างนั้นเป็นต้น ทำไมจึงว่าพระอรหันต์เป็นผู้มีศรัทธาสมบูรณ์ ๑๐๐% เพราะว่าท่านได้ดับทุกข์ได้แล้ว ท่านดับทุกข์สิ้นเชิงไม่มีอะไรเหลือแล้ว ความหมายแห่งพระพุทธะก็มีในพระอรหันต์ความหมายแห่งธรรมมะก็มีในพระอรหันต์ ความหมายแห่งสังฆะก็มีในพระอรหันต์ ท่านอิ่มไปด้วยความรู้รสของความดับทุกข์ในทุกประการ จึงมีความเชื่อในความดับทุกข์หรือพรหมจรรย์เต็ม ๑๐๐% นี่เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่ และก็ยังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำไป มันเป็นศรัทธาชนิดที่ตั้งรากฐานอยู่บนความไม่รู้โดยประจักษ์ ตั้งรากฐานอยู่เป็นการบอกเล่า เขาเลยเรียกศรัทธาบางประเภทว่าศรัทธาหัวเต่า หัวเต่านี่เดี๋ยวหลุบเดี๋ยวโผล่ เดี๋ยวหลุบเดี๋ยวโผล่ ศรัทธาแบบหัวเต่าก็หมายความว่าเดี๋ยวมันหลุบเดี๋ยวมันโผล่เดี๋ยวมันแน่เดี๋ยวมันไม่แน่เพราะมันไม่จริง นี่มันยังไม่ถึงยังไม่ถึงความจริง
ศรัทธาแท้จริงสมบูรณ์ถึงที่สุดจะมีได้ก็แต่พระอรหันต์ ผู้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิงแล้ว ก็มีศรัทธาในวิธีดับทุกข์ในพรหมจรรย์อันเป็นเครื่องดับทุกข์ถึงที่สุด ๑๐๐% นี่เรามีศรัทธาอย่างนี้กันหรือยัง ถ้ายังไม่ถึงนี้มันก็ยังไม่สามารถที่จะชำระชะล้างปัญหาต่าง ๆ หรือความทุกข์ได้ มันไม่อาจจะกล้าหาญพอที่จะเพิกถอนความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทั้งปวง มันยังกลัวว่าจะอดอยาก ยังกลัวว่าจะลำบาก จะกลัวว่าจะไม่ได้อะไร ไม่กล้าปลงศรัทธาลงไปให้หมดสิ้น มันไม่กล้าและมันก็ทำไม่ได้ด้วย เพราะมันไม่มองเห็น ฉะนั้นจึงขอให้พอกพูนศรัทธา เพิ่มเติมศรัทธา ชำระชะล้างซักฟอกศรัทธาให้ถูกต้องยิ่งขึ้น ให้มีมากยิ่งขึ้น ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ให้ได้รับคุณของพระรัตนตรัยเข้ามาไว้ในจิตใจ รู้ความดับทุกข์เท่าไหร่ก็มีศรัทธาเท่านั้น และเพิ่มขึ้นไป เพิ่มขึ้นไปจนกว่าจะสมบูรณ์ นี่เรื่องศรัทธาเป็นอย่างนี้ เรามีกันแล้วหรือยัง เรามีกันกี่มากน้อยและเราจะต้องปรับปรุงสะสางกันอีกสักเท่าไหร่
นี่ขอให้สนใจฟังแม้แต่เรื่องศรัทธา ศรัทธา เช่นเดียวกับเรื่องศีลที่พูดมาแล้วมีกันแต่สิกขาบทนั้นไม่มีศีล ศรัทธานี้ก็เหมือนกันแหละมันจะมีกันแต่ศรัทธาแบบหัวเต่า มันไม่แน่นอนมันไม่แน่นแฟ้นมันไม่เด็ดขาด จงพอกพูนศรัทธา พิจารณาคุณของธรรมะของพรมจรรย์ของการทำที่สุดแห่งความทุกข์ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง และก็ให้เชื่อว่าตัวเองทำได้ และตัวเองทำได้มันก็ช่วยตัวเอง มันก็พึ่งตัวเองมีศรัทธาในตัวดีกว่าศรัทธาในสิ่งเป็นภายนอกหรือเป็นบุคคลภายนอก ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มีศรัทธานั่นน่ะ มีศรัทธาภายหลังปัญญาทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ ไม่ใช่ศรัทธาล้วนๆ ศรัทธาด้วยอวิชชา ไม่ต้อง ไม่ต้องการหรอก ศรัทธาด้วยวิชชา ศรัทธาด้วยปัญญา เห็นแจ้งประจักษ์แล้วว่ามันเป็นอะไร เป็นอย่างไร มีศรัทธาไว้เต็มที่เท่านั้นก่อนแล้วไปปฏิบัติดู ไปปฏิบัติ ปฏิบัติเอาดับทุกข์ด้วยที่มีศรัทธาเต็มที่ นี่ศรัทธามันมีลักษณะอย่างนี้ ขอให้ชำระชะล้างซักฟอกศรัทธาให้เป็นอย่างนี้ก็จะสามารถมีความก้าวหน้าในทางธรรมะทางจิตใจ สามารถจะเพิกถอนความผูกพันความยึดมั่นอยู่ในสิ่งต่างๆได้ จะสามารถเลิกอายุได้เพราะมีศีลที่แท้จริงมีศรัทธาที่แท้จริง
ทีนี้เรื่องที่สามที่อยากจะพูดก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันก็คือสิ่งที่เรียกว่าพระรัตนตรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธานั่นแหละ พระรัตนตรัยนี่กล่าวโดยสรุปแล้วก็มีสองรูปแบบ พระรัตนตรัยมีสองแบบ คือพระรัตนตรัยของผู้ที่เห็นธรรมะดับทุกข์ได้ กับพระรัตนตรัยที่ไม่เห็นธรรมะที่เขาพึ่งบอกที่เขาพึ่งแนะ ที่พึ่งได้ยินได้ฟังเป็นครั้งแรก เหมือนเด็กๆได้รับการสอนให้รับสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ไอ้ลูกเด็กๆ เขาก็ว่าได้สิ ว่าด้วยเสียงตามนั้นไปมันก็ว่าได้ แล้วเราก็ถือว่าเขาได้รับสรณคมณ์แล้วเขาก็มีพระรัตนตรัย จริงจริงมันก็มีพระรัตนตรัย แต่พระรัตนตรัยของลูกเด็กๆระวังให้ดี พระรัตนตรัยของลูกเด็กๆตามที่เขาสอนให้ว่าด้วยซ้ำไป ไม่เข้าใจเอาเสียเลยก็มี แต่ว่าได้ ท่องได้ ว่าได้ ตอบคำถามได้ อะไรได้นี่พระรัตนตรัยของลูกเด็กๆซึ่งเขาไม่รู้มันอยู่ที่ไหน พระรัตนตรัยของผู้ที่เห็นธรรมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดับทุกข์ได้แล้ว มันเห็นชัดแล้วก็จะเกิดความรู้สึกว่าเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ขึ้นมาในใจ แล้วก็ออกปากนับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะเป็นตลอดชีวิต
ถ้าพระรัตนตรัยอย่างนี้มันของคนที่ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้าหรือจากใครก็ตาม เข้าใจธรรมะ เห็นธรรมะจนจิตใจเปลี่ยนไปจากเดิม เห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในความหมายถูกต้องแท้จริงว่าดับทุกข์ได้อย่างนี้ อย่างนี้ อย่างนี้ ผู้ที่ดับทุกข์ด้วยตนเองและสอนผู้อื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วยคืออย่างนี้ พระสงฆ์คือผู้ได้ปฏิบัติจนรับได้รับประโยชน์อย่างนี้เต็มที่แล้ว อย่างนี้ไม่ต้องมีใครสอนให้ว่า ไม่ต้องมีใครสอนให้ว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ต้องมีใครมาชัก ชักคำชักถ้อยชักสวดให้ว่า เขาว่าออกมาเอง ในพระบาลีมีปรากฏชัดอยู่ทั่วๆไปแหละ ในพระสูตรที่สำคัญๆน่ะ ว่าบุคคลนั้นได้ฟังได้เข้าใจ ได้ซึมซาบได้ดื่มรสของธรรมะแล้ว เขาพูดออกมาเองแหละข้าพเจ้าของรับพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนตลอดชีวิต ไม่เคยมีใครสอนให้เขาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน แต่ท่านก็ได้แสดงธรรมแสดงธรรมชี้แจงชักจูงจนบุคคลนั้นเห็นเอง มีดวงตาเห็นธรรม บรรลุธรรมในขณะที่นั่งอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเขาก็อดทนอยู่ไม่ได้ก็ออกปากออกมาเองว่าข้าพเจ้า ข้าพระองค์ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งเป็นสรณะจนตลอดชีวิต พระรัตนตรัยนี้มันอย่างหนึ่ง พระรัตนตรัยลูกเด็กๆเขาสอนให้ว่าสรณคมณ์นี่อีกอย่างหนึ่ง ใช่ไหม แล้วมันต่างกันกี่มากน้อย นี่ขอให้ลองคิดดู อันไหนจะเรียกได้ว่าเป็นพระรัตนตรัยจริง อันไหนเป็นพระรัตนตรัยที่สมมติให้ว่ากันแต่ปาก
แล้วพวกเราอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายเหล่านี้กำลังมีพระรัตนตรัยชนิดไหน ถ้ามีพระรัตนตรัยอย่างเหมือนลูกเด็กๆ มันก็ไม่ก้าวหน้า มันไม่อาจละเลิกเพิกถอนอายุได้มันเป็นเรื่องที่ลึกเกินไป ไม่มีความรู้เรื่องพระรัตนตรัยอย่างนี้แล้วมันก็ไม่มีศรัทธา มันก็ไม่มีศีลชนิดที่แท้จริงอย่างที่ว่ามาแล้ว มันก็ละเลิกเพิกถอนอายุหรืออุปาทานในอายุหรือความเกี่ยวข้องผูกพันเป็นทุกข์ด้วยอายุไม่ได้ มันละไม่ได้ ฉะนั้นเราจะพูดกันเรื่องเลิกอายุสักเท่าไหร่มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเราไม่มีเครื่องมือที่จะเลิกมัน ศรัทธาก็ไม่ถูกต้อง ศีลก็ไม่ถูกต้อง พระรัตนตรัยก็ไม่ถูกต้อง ก็ไม่มีเครื่องมือที่จะละเลิกเพิกถอนสิ่งที่เรียกว่าอายุหรืออุปาทานในอายุได้ มันก็ไม่ได้ จะทำอย่างไร ศีลแท้จริงมีอยู่อย่างนี้ ศรัทธาแท้จริงมีอยู่อย่างนี้ พระรัตนตรัยแท้จริงมีอยู่อย่างนี้ เราได้เข้าถึงพระรัตนตรัยโดยแท้จริงแล้วหรือยัง เรายังเข้าถึงกันแต่เพียงพิธีเท่านั้น หรือว่าเรามีวีธีที่จะได้เข้าถึงโดยแท้จริง
ถามสั้นๆว่าเรามีวิธีหรือเรามีพิธี เกี่ยวกับสิ่งเหล่านิ้ มีคนเขาชอบพิธีกันมากนะทางราชการก็ดูจะมัวเมาหลงใหลในคำว่าพิธีกันนักหนา พิธีนั้นพิธีนี้ ศาสนะพิธี อะไรพิธี อาตมาจะยืนยันว่าถ้าพิธีนั้นเป็นไสยศาสตร์ ถ้าวิธีจะเป็นพุทธศาสตร์ เพราะว่าวิธีมันกระทำไปจริงๆเหมือนกับวิทยาศาสตร์มันก็มีผลแท้จริงมีผลจริงขึ้นมา ฉะนั้นเราพุทธบริษัทนี้เป็นพุทธศาสน์ถือพุทธศาสตร์จงใช้วิธีตัดฟันลงไปให้จริงๆจังๆเถิด อย่าได้ไปหวังพึ่งพิธีเลย รีตองแล้วเลิกเถิดอย่าให้มาเกี่ยวข้อง มีวิธิวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องเป็นสัมมา สัมมา ให้มันถูกต้อง จะสำเร็จประโยชน์ได้จริง ถ้าจะมีศีลก็ขอให้เป็นศีลจริงไม่ใช่เพียงสิกขาบท ศีลจริงๆนี้ก็ยังมีเป็นสองประเภท คือศีลธรรมดา ศีลตามธรรมดา ทีนี้ศีลที่มันเป็นไปเพื่อวิราคะ นิโรธะ วิเวกะ วิราคนิติกัง วิราคณิติตัง วิเวคณิติกัง(นาทีที่ 37:04) ศีลนั้นน่ะใช้ได้ ศีลนั้นแหละสูงสุด ถ้าอย่างนี้ต้องมีคำว่าสัมมาเข้ามากันหน้า ขอบอกเป็นหลักไว้ว่าธรรมะทุกข้อ ทุกข้อมันมีชื่อของมันอย่างนั้น อย่างนั้น หมายความว่าอย่างนั้น แต่ถ้าจะให้เป็นที่พึ่งได้ถึงที่สุดได้ให้เติมสัมมาเข้าไป
อย่างทิฏฐิอย่างนี้ มันจะเป็นสัมมาทิฏฐิก็ต่อเมื่อทิฏฐินั้น เป็นวิเวคณิติกัง วิราคนิติกัง นิโรคณิติกัง(นาทีที่ 37:56) เป็นไปเพื่อดับทุกข์สิ้นเชิงจึงจะเป็นสัมมา สัมมาสังกัปโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต นี่มีสัมมา สัมมา สัมมาแล้วก็ให้รู้ว่ามันมีอาการเป็นไปเพื่อวิราคะ เพื่อวิเวก เพื่อนิโรธะทั้งนั้น สมาธิตามธรรมดาที่ไม่เป็นไปเพื่อวิเวก มีราคะ มีนิโรธะมันก็เป็นสมาธิตามธรรมดา แต่ถ้ามันเป็นไปเพื่อวิราคะ วิเวกะเป็นต้นแล้วก็เรียกว่าสัมมา สัมมาขึ้นมาทันที ให้รู้ไว้เสียเลยว่าไอ้คำที่มีสัมมานำหน้ากับคำที่ไม่มีสัมมานำหน้านั้นมันต่างกันอย่างไร สัมมาทิฏฐิกับทิฏฐิเฉยๆมันต่างกันอย่างไร สัมมาสังกัปปะกับสังกัปปะเฉยๆมันต่างกันอย่างไร สัมมาวาจากับวาจาเฉยๆมันต่างกันอย่างไร สัมมากันมันตะกับกัมมันตะเฉยๆ สัมมาอาชีวะกับอาชีวะเฉยๆ สัมมาสติกับสติเฉยๆ สัมมาสมาธิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิน่ะกับที่มันเฉยๆไม่มีสัมมามันต่างกันลิบ อันหนึ่งเป็นของธรรมดา เป็นของธรรมดาเรี่ยราดอยู่ ทีนี้แต่ถ้ามีความหมายเป็นไปเพื่อนิพพาน เป็นอาศัยวิราคะ อาศัยวิเวกะ อาศัยวิโรธะแล้ว มันมีเกียรติยศนำหน้าเข้ามาด้วยคำว่าสัมมา สัมมา สัมมา สัมมา
แม้แต่ทานนี่ถ้ามันเป็นไปอย่างธรรมดาก็เรียกว่าทาน แต่ถ้าทานนั้นมันเป็นไปเพื่อชำระการยึดมั่นถือมั่น ชำระกิเลส ชำระอะไรก็ มันจะได้ชื่อว่าสัมมาทาน สัมมาทานะ สัมมาศีละ สัมมาปัญญา แต่ว่าไม่เคยได้ยินเรียก ไม่เคยได้ยินเรียก แต่มันก็ไปเรียกในที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่สนใจกันเอง คืออริยมรรคมีองค์แปดน่ะ เติมสัมมา สัมมาเข้ามา ถ้าไม่มีสัมมานำหน้ามันก็เป็นของธรรมดาอยู่ในที่ทั่วไป พอมีสัมมาเติมเข้าไปข้างหน้ามันกลายไปอยู่ในอริยมรรคน่ะ อริยมรรคมีองค์แปด ฉะนั้นขอให้ทุกอย่างที่เรามีนี้มีให้ถึงขีดที่จะเป็นไปเพื่อนิพพาน เป็นไปเพื่อนิธิพพา (นาทีที่ 40:53) เพื่อวิราคะ เพื่อวิมุตินั่นน่ะจึงจะพอ ฉะนั้นศรัทธาก็ดีให้มันถูกต้อง ถึงขนาดศีลก็ดีให้มันถูกต้อง ถึงขนาดพระรัตนตรัยเป็นที่สุด เบื้องต้นนี้ก็ขอให้ถูกต้องถึงขนาดให้มันเป็นจริง สำเร็จด้วยการปฏิบัติ คือจริง เป็นวิธี วิธีปฏิบัติ ไม่ใช่พิธี ไม่ใช่พิธี เอาละเป็นอันว่าวันนี้ไม่พูดอะไรกันมากแล้ว เพียงแต่ให้เข้าใจคำว่าวิธีน่ะเป็นที่พึ่งได้ ส่วนพิธีน่ะพึ่งไม่ได้ อย่าไปพึ่งมันเลย วิธีกับพิธีน่ะมันต่างกันอย่างนี้ ถ้าเป็นวิธีมันจะรุนแรงเฉียบขาดไปเรื่อย เรื่อย เรื่อยจนถึงกับว่ามันตัดออกไปได้ มันจะไปถึงไอ้อตัมมยตา
ขอพูดถึงอตัมมยตาอีกสักนิด ว่าอตัมมยตาเป็นธรรมะอันสูงสุดที่จะหลุดจากโลกียะไปสู่โลกุตระสูงสุดโน่น เป็นพระอรหันต์โน่น จะขอยืมหน่อยขอยืมมาใช้ที่นี่ ขอยืมมาใช้ตามบ้านเรือนนี่ คือความรู้สึกที่เป็นไปถึงที่สุดว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างไร จนรู้ว่าอาศัยมันไม่ได้อีกต่อไป แล้วเกิดความรู้สึกอันนี้ขึ้นมาแล้วก็เรียกว่าอตัมมยตา เช่นมันติดยาเสพติดบุหรี่บ้าง เหล้าบ้าง อะไรบ้างมันหลงงมงาย แต่ถ้าได้พิจารณาเห็นถึงความเลวร้ายหลอกลวงมายาของมัน จะเห็นว่าโอ้ มันถึงขนาดนี้ เอากับมันไม่ไหวอีกแล้วเลิกกันที เอากับมันไม่ไหวอีกแล้ว นี่เรียกว่ามีอตัมมยตามาช่วยเลิกบุหรี่ได้ เลิกเหล้าได้ เลิกการพนันได้
แม้แต่ที่สุดมันเกียจคร้าน คนเกียจคร้านไม่ทำการงานนิสัยมันมีแต่นอน ถ้ามันมีปัญญาพิจารณากันจริงๆจังๆลงไปถึงความเกียจคร้าน ถึงโทษของความเกียจคร้านถึงผลที่ได้รับจากความเกียจคร้าน จนมันเกิดความรู้สึกว่า โอ้,เอากับมันไม่ไหวแล้วโว้ย ความเกียจคร้าน เลิกกันที เลิกกันที นี่ก็เรียกว่าเอาอตัมมยตามาใช้ เลิกได้หมดแหละอบายมุข ข้อไหนก็ตาม ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน เลิกได้หมดด้วยอตัมมยตาอาวุธวิเศษที่ขอยืมมาจากโน่น เบื้องบนมาใช้กันที่นี่ เดี๋ยวนี้เราจะเอามาใช้ ใช้ดีกว่านั้น เอามาใช้เลิกพิธี เลิกพิธีมาเอาวิธี มันมัวเมามันติดพันหลงใหลในสิ่งที่เรียกว่าพิธี เป็นไสยศาสตร์อยู่ทั้งเนื้อทั้งตัว ถอนออกไม่ได้เพราะความกลัว เพราะความไม่รู้เพราะความไม่กล้า เอามาศึกษากันเสียให้รู้ให้มันเด็ดขาดว่าพิธีเป็นอย่างไรวิธีเป็นอย่างไร จนเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วมันก็จะอย่ากันเสียที ไอ้พิธีอย่าเอาเลย เอาวิธีดีกว่า จะให้ทาน จะรักษาศีล จะเจริญสมาธิภาวนาก็ให้มันเป็นวิธีและถูกวิธี ไม่ต้องเป็นเพียงพิธี แต่เดี๋ยวนี้เหนียวแน่นอยู่กับพิธีติดอยู่กับพิธีด้วยความเคยชินมาแต่อ้อนแต่ออกแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว
ขอยืมอาวุธอันประเสริฐของพระพุทธเจ้าคืออตัมมยตาเอามาใช้กับมัน ตัดขาดจากพิธีรีตองมาสู่พิธีธรรมดา ตัดขาดจากพิธีธรรมดามาสู่วิธี วิธีที่ถูกต้อง วิธีที่เป็นธรรมะบริสุทธิ์ที่ดับทุกข์ได้จริง อาศัยอตัมมยตาที่ได้พูดกันมาพอเข้าใจแล้วแหละ เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ให้สำเร็จประโยชน์เถิด เรื่องวันนี้ก็มีอย่างนี้ อุปกรณ์ที่จะช่วยให้เราเลิกอายุได้โดยใช้อตัมมยตามาตัดไอ้สิ่งที่มันผูกพันกันอยู่กับสิ่งที่เป็นที่พึ่งไม่ได้ สิ่งที่เป็นเพียงพิธีรีตองให้มันขาดไปเสียให้มาสู่วิธีอันเฉียบแหลมอันคมกริบ ที่จะตัดกิเลสตัดอวิชชาอะไรได้ และในที่สุดเราก็จะเลิกอายุได้ เพิกถอนปัญหาทุกอย่างทุกประการเกี่ยวกับอายุได้ อยู่เหนือปัญหาของอายุ เรียกว่าเลิกอายุกันได้เพราะเหตุนี้ นี่ก็สมควรแก่เวลา ไม่ค่อยมีแรงจะพูดแล้ววันนี้ ก็ต้องขอยุติว่าจงชำระสะสางศรัทธา ศีล สรณคมณ์ ของตนให้สูงขึ้นมาด้วยการตัดเยื่อ สิ่ง เยื่อใยผูกพันที่ติดตังอยู่ให้มันออกไปเสียด้วยอตัมมยตา การบรรยายสมควรแก่เวลา ขอยุติธรรมเทศนาวันนี้ไว้แต่เพียงเท่านี้