แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งที่ ๓ นี้มีหัวข้อว่าขอให้มีศาสนาอย่างกับว่าเป็นหนทางแห่งชีวิตไม่ต้องเป็น Religion ขอให้เป็น way of life
In this third lecture today will consider the topic may you have religion that is the way of life. We don't have to emphasize the word religion. Let's just have what we can call a way of life.
ทุกๆศาสนาจะต่ำสุดสูงสุด ทุกศาสนาสามารถที่จะเป็นวิถีแห่งชีวิตทั้งนั้น เป็น Way of life ทั้งนั้น ถ้ายังไม่เป็นวิถีแห่งชีวิตก็ยังไม่มีประโยชน์อะไรโดยแท้จริง ต่อเมื่อเอามาทำให้เป็นวิถีแห่งชีวิตได้จึงจะมีประโยชน์อย่างแท้จริง All the difference religion, whether the lower one or the higher one. All of them can be a way of life. If it isn’t, some religion isn’t a way of life. Then it isn’t really generally a religion not true religion. But if it is actually religion, then we will be able to use it as a way of life. If you can’t use it as a way of life, then it has no benefit and no value for us.
ถึงแม้พุทธศาสนานี้ก็เหมือนกัน ตลอดเวลาที่ยังไม่อาจที่จะใช้เป็นวิถีแห่งชีวิตก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก็เป็นเพียงพิธีรีตอง มันเป็นพิธีรีตองไม่ใช่เป็นของจริง ขอให้ท่านศึกษาพุทธศาสนาจนกระทั่งว่า มันมาใช้เป็นวิถีทางปฏิบัติดำเนินชีวิตได้เป็นส่วนสำคัญ และก็จะได้พูดกันถึงเรื่องนี้เป็นส่วนมาก
Buddhism of course ought to be a way of life. If we have got interested in Buddhism, but as long as we are unable to use it as a way of life, then we don’t really have or understand Buddhism. If it just some kind intellectual interest or something, it hasn’t become Buddhism yet. If it doesn’t have any real benefit or value for us. It is merely some ceremony or ritual or trivia to stimulate ourselves emotionally. And so, we have to be able to take Buddhism and use it as a methodology for living our life rather than merely rite and ritual. And so this is what we’ll spend the most time talking about Buddhism as a method and way for living one’s life.
ดังนั้น ขอให้ถือว่าการศึกษาเรื่องพุทธศาสนานั้นก็คือ การศึกษาเรื่องชีวิต ฉะนั้น เรามีศาสนาก็มีเพื่อชีวิตถึงที่สุด ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เอาละ ให้เป็นอันว่าเห็นชัดแน่นอนว่าเรื่องศาสนานั้นคือ เรื่องชีวิต โดยเฉพาะวิถีทางดำเนินชีวิต Obviously, this is a matter of life. A matter about life about living our life. Buddhism is a way to study and develop our life as far as we can go. To take a life all the way to the goal of life. So, let’s make it very clear from the start that Buddhism that religion is a matter about life most especially the way of living life.
ที่นี้ก็มาถึงปัญหาที่ว่าจุดประสงค์มุ่งหมายอันแท้จริงสูงสุดของชีวิตนั้นคืออะไร ขอให้มองเห็นและแน่ใจว่ามีเพียง ๒ อย่าง อย่างหนึ่งเพื่อตนเองก็คือ ความสงบเย็นแห่งชีวิต Blissfulness อะไรแล้วแต่จะเรียกของชีวิตนี้เพื่อตนเอง อย่างที่สองก็คือ ความเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น มันเพื่อผู้อื่น หรือจะว่าเพื่อประโยชน์ก็ได้ เพื่อประโยชน์ทุกฝ่าย มี ๒ อย่างแค่นั้นคือ ความสงบเย็นแก่ตนเอง แล้วก็ความประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ๒ อย่างเท่านี้พอ
So, then we must come to the question …then (เสียงขาด นาที 7.46) is the goal of life where, what are we aiming for in life. We can answer this by saying that there are only 2 goals in life or there are only 2 effects to the goal in life. The first is realizing a peaceful coolness or a blissful tranquility personally. So, personal peacefulness coolness is the first. The second goal is to have our life that is truly a benefit of others. So, the second goal is to live one life for others. So, we could say for one life to have value for everyone. These are the 2 goals of life personal peace and the benefit of others.
ดังนั้น เรามีกันแต่เพียง ๒ คำก็พอ peaceful และ beneficial ๒ คำก็พอ ถ้าต้องการมากกว่านี้ อยากจะบอกว่าบ้าแล้ว So, then, there are 2 words would be enough for this. The first word is peaceful and the second word is beneficial. And allow us to point out that if you want anything more than this. Then you are crazy.
ในส่วนตัวเองลองคิดดูสิ ต้องการอะไรมากไปกว่า Blissfulness ท่านเป็นคริสเตียนท่านก็ขอร้อง Grace จากพระเป็นเจ้า Grace สูงสุดไม่มีอะไรจาก Blissfulness อยู่กับพระเจ้า ถ้าต้องการมากไปกว่านั้นบ้าแล้วใช่ไหม It looks at the individual side first. It’s nothing we want more in life than blissfulness. Excuse me only…. (เสียงขาด นาที 10.20) peacefulness. Blissfulness, we’re talking about will also be people. If there is higher in life that we could ask for than blissfulness, for the Christian, the highest thing in life. The thing that we ask for from God through the grace of God. The highest grace of God is just the blissfulness of being with God. And to ask or want anything more than that wouldn’t that be crazy.
ท่านพุทธทาสภิกขุ : Crazy กับ Mad นี้มันต่างกันหรือมันเท่ากันหรือมันอย่างไร ภาษาไทยว่าบ้านะ มันคำไหนกันแน่
ผู้บรรยายภาษาอังกฤษ : Crazy ก็ใช้ได้ ถ้าบ้าคลั่งก็ Mad
ทีนี้ ก็มาถึงประโยชน์ผู้อื่นเกี่ยวกับผู้อื่น มันก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าสิ่งที่เรียกว่าประโยชน์ ประโยชน์ แต่จะใช้คำว่าประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย คือประโยชน์ทั้งฝ่ายตนเอง และประโยชน์ทั้งฝ่ายผู้อื่น เพราะว่ามันเนื่องกัน มันต้องทำพร้อมกัน ดังนั้น เราจึงถือว่า วัตถุประสงค์อีกอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นประโยชน์ ความเป็นประโยชน์ ความเป็นประโยชน์ วัตถุประสงค์ความเป็นประโยชน์นี้เราจะต้องมีความเป็นประโยชน์อยู่ในสิ่ง ที่เรียกว่า ชีวิตมีความสงบ สุข และมีความเป็นประโยชน์ ๒ อย่างเท่านี้พอ Then, as regards others, the importance word is beneficial to live a life that is (ไม่ชัด นาที 12.33) and value to others. Or we often say to be a life that is beneficial for both sides. Meaning for oneself as well as others. We say this because the two are interconnected or interrelated. It’s impossible to lead a life that is truely a benefit others, if it isn’t of benefit to ourselves as well. So, these two are (ไม่ชัด นาที 13.00) related. Therefore, we can say that the only 2 goals in life are blissfulness for oneself and a life that beneficial for others for everyone. These are (ไม่ชัด นาที 13.20) aim and goal our live.
ทุกคนอาจจะสังเกตเห็นด้วยตนเองว่าสิ่งที่เรียกว่าชีวิตนั้นอยู่นิ่งไม่ได้ ถ้านิ่งแล้วไม่มีชีวิต ชีวิตอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องเคลื่อน ไหว ต้องเคลื่อนไหวนี้แน่ๆ ฉะนั้น จึงมีหลักเกณฑ์ให้เคลื่อนไหวให้เป็นประโยชน์ ถ้าเคลื่อนไหวก็เคลื่อนให้เป็น ประโยชน์ ถ้าอยู่นิ่งไม่ได้ต้องเคลื่อนไหวนี้ ขอให้นึกถึงข้อนี้ให้ดีแล้วจะเคลื่อนไหวอะไร เคลื่อนไหวอย่างไร มันก็มีแต่ เคลื่อนไหวให้เป็นประโยชน์ ถ้าประโยชน์ตนเสร็จแล้ว หมดแล้ว จบแล้ว ก็ยังเหลือประโยชน์ผู้อื่น ว่าที่จริงเรามี Blissfulness ของชีวิตแล้ว ประโยชน์ส่วนของเราก็จบได้เรียกว่าจบได้ จะมีประโยชน์ที่ต้องทำแก่ผู้อื่นเหลืออยู่ ดังนั้น เราจะต้องทำประโยชน์ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แต่แล้วก็วกมาว่าทำผู้อื่นให้มี Blissfulness อีกนั่นเอง เรามี Blissfulness แล้ว เราก็มีหน้าที่จะช่วยให้ผู้อื่นมี Blissfulness แล้วเรื่องก็จบ Everyone of us should have easily observe a very basic fact of our life which is that life can not remain still. Being alive it is necessary to move and to act. If we were to remain perfectly still, then we would no longer be alive. The question becomes then if we must move and must act as just something inherent in life. Then how are we going to move and for what purpose are we going to act. And so first of all we act in order to achieve our own benefit which is the blissful peace and then also to benefit others. Even if we have lived our life so in such a way that we have accomplished our own benefit, we have completely fulfill our own need for peaceful bless. Then of course there is still remain the second goal of helping others. Having achieve true peace and bless within ourselves then we can live our life in order to help others to achieve the same within their own life. So no matter what as long as we live and act and move there is always something are important for us to do.
ดังนั้น เรื่องมันก็เหลืออยู่เพียง ๒ เรื่องว่า ความสงบเย็นของเรา และความสงบเย็นของผู้อื่นมี ๒ สงบเย็น แล้วถ้าเราเอา ๒ สงบเย็นทั้ง ๒ อย่างนี้มารวมกันเข้ามันก็เป็นความสงบเย็นของโลก ของโลกเลยเหลือเพียงเรื่องเดียว ถ้าเรามุ่งหมายความสงบเย็นของโลก ตั้งใจทำความสงบเย็นของโลกทั้ง ๒ อย่างคือตัวเราและผู้อื่น ดังนั้น เราจึงศึกษาเรื่องทำความสงบเย็น ความสงบเย็นมีไม่ได้เพราะถ้าขาดความสงบเย็นของแต่ละคน ความสงบเย็นของโลกมีไม่ได้เพราะขาดความสงบเย็นของแต่ละคน เดี๋ยวนี้ต้องมีความสงบเย็นของแต่ละคนรวมกันก็เป็นความสงบเย็นของโลกซึ่งเป็นสิ่งที่น่าปรารถนาอย่างยิ่งไม่มีอะไรยิ่งกว่า So, then there are only 2 matters for us to concern ourselves. The first is peaceful bliss for ourselves and then the second is blissful peace for others. If we wish we can join these 2 matters together and then the only thing was discussing is blissful peacefulness for ourselves and other for everyone for all parties which is to say the only important issue is the blissful peace for the world. Now for the world we talk about peace for the world it includes our obviously both ourselves as well as everyone. Now so, we’re living in (ไม่ชัด นาที 19.00) all side all people all party excluding no one. But for this blissful peace to be realize in the world it can’t happen without the peacefulness of individual people. If individual people (ไม่ชัด นาที 19.18) peace, then there is no way the world can be a peace. This is the kind of thing we have to look into why is it like this.
ทีนี้ เราก็มาพูดกันถึงการทำความสงบเย็น จะทำความสงบเย็นกันอย่างไร No world peace without individual peace มันเนื่องกันอยู่อย่างนี้ ดังนั้น เราต้องทำความสงบเย็นส่วนบุคคลเป็นหลักพื้นฐานทั่วไป จึงจะสำเร็จประโยชน์ในความสงบเย็นของโลก ถ้าท่านเป็นผู้ถือศาสนา theism คือมีพระเป็นเจ้าท่านก็นิยมกันที่จะขอร้องอ้อนวอนทำทุกอย่างที่จะแผ่เอาจากพระเป็นเจ้าเพื่อได้ความสงบเย็น แต่ถ้าเป็น atheism ไม่มีพระเป็นเจ้าอย่างพุทธศาสนาอย่างนี้ก็ไม่มีวิธีทำอย่างนั้น มันกลายเป็นหันมาจัดการกับตัวเองๆคือ self นั่นแหละ จัดการกับเรื่อง self ให้ถูกต้อง ซึ่งเราจะสรุปความได้ว่าจัดชีวิตไม่ให้เป็นบวกและไม่ให้เป็นลบ ไม่ให้เป็น positive หรือ negative ไม่มีการขอร้องอ้อนวอนพระเป็นเจ้าอะไรที่ไหนกลับมาจัดชีวิตในภายในไม่ให้เป็นลบไม่ให้เป็นบวก ไม่ให้เป็นบวกไม่ให้เป็นลบ ไม่ให้เป็น good and evil นั่นแหละ เราก็มีสงบเย็นถึงที่สุดอย่างนี้ อย่างพวกที่ไม่มีพระเป็นเจ้ามีวิธี ๒ อย่าง อย่างนี้ We must think demon the question of peacefulness within the world. World peace this is no world peace without individual peace. This is a fundamental fact that we must observe from the start otherwise we get everything backward. So in order to bring about world peace, we must learn how to find individual peace. If you are the follower of theoretically (นาที 22.22) region then you will have various way that mean of praying to or asking God or the GOD or whatever to give us peace will have various ways of praying to God in order to achieve peace. If however, one is the follower of an enthusiastic (นาที 22.52) or non enthusiasticly religion such as Buddhism. Then we take an opposite approach rather than praying to God. We just turn around and come to term with this thing call the self. We come in. We deal with the self in a correct improper (นาที 23.12) way. So, this is one itself has been taken care of properly. Then there will be peace within that individual and that is not necessary to beg or please or pray to any God. These are the basic toll approaches for achieving individual peace.
ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ขออภัยออกคำว่าคริสเตียน คำไหนก็ได้ที่มันมีพระเจ้านี่ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนท่านก็อ้อนวอนขอ Grace จากพระเป็นเจ้า แต่ถ้าท่านเป็นพุทธท่านก็ทำลายผู้ต้องการ Grace นั้นเสีย บ้าหรือดีท่านลองคิดดู ฝ่ายหนึ่งมีวิธีขอ Grace จากพระเป็นเจ้า อีกฝ่ายหนึ่งมีวิธีทำลายตัวผู้ต้องการ Grace นั้นเสีย ลองเปรียบเทียบกันดู One is the Christian. Forgive us by the way for using Christian that a representative of the ….. (นาที 24.35) religion for the easiest for us to use the example of Christian. But if one is Christian, one pray for the grace of God to save us. But if one is Buddhist, one destroy that one who desire the very grace of God (นาที 25.00). Take a look at this which one is good and which one is crazy or mad. Compare the two, one is to pray for the grace of God and the other is to destroy the one who pray and desire that grace. Which of these is reasonable and rich or ….. ไม่ชัด (นาที 25.26).
เดี๋ยวนี้ในฐานะท่านเป็น Christian แล้วท่านก็มาศึกษาพุทธศาสนามันก็กลายเป็นว่าเพื่อทำลายบุคคลผู้ต้องการ Grace Grace Desirer เสีย มัน conflict หรืออะไรกันอยู่ใช่ไหม ฉะนั้นขอให้แยกกันให้ดีๆให้สำเร็จประโยชน์ที่มุ่งหมายอย่างเดียวคือ Blissfulness of life นั่นเอง จะโดยวิธีไหน เดี๋ยวนี้ท่านมาศึกษาพุทธศาสนาเพื่อทำลาย self เสีย ด้วยวิธีอานาปานสตินี้เท่ากับท่านทำลายผู้ต้องการ Grace แล้วจะเข้าใจไม่ได้ว่าจะเอาไปใช้อย่างไร เราได้พูดกันมา ๒ ครั้งอย่างยืดยาวเรื่อง ไม่มี self, without self ตอนนี้ก็มาถึงเรื่องที่จะใช้ให้เป็นประโยชน์ใช้ความรู้นี้ทำลายบุคคลผู้ต้องการ Grace นั้นเสียก็เลย free imaginated แล้วแต่จะเรียกนี่มันต่างกันอยู่อย่างนี้ ขอให้มองเห็นความต่างอย่างนี้ออก First of all, it’s important for us to be aware of this different in this two approaches or methodology. If we don’t see the different we might confuse them and mess ourselves up and not be able to use either of them properly. So, first of all we should look at the different between the approach that ask, beg or pray for the grace of God. And then the approach of Buddhism would turn around and destroy those individual that ……. (นาที 27.37) that beg that want the grace of God. Here we come to study the approach use in Buddhism. The approach of getting rid of or destroying the self. So, one has to be clear about the different between this approach and the other approach. If you can’t see the different, then how will you be able to use either approach properly. Here we’re using Anapanasati mindfulness ……. (นาที 28.13) in order to destroy the self. So that we ….so that life is free of…. (นาที 28.24) mind free of selfishness. (นาที 28.27) from the self from the ego. This is the approach of Buddhism. Can you see how it different from the other approach. The earlier talk we just talk about getting free of self. The important and the problem of self and getting free of it. Now we are talking about the benefit of this. But we must see the different from other approaches in order to appreciate it.
เมื่อใดเราไม่ต้องการGraceใดๆ เมื่อนั้นเราเป็นพระเจ้าเสียเองแล้วใช่ไหม Godไม่ต้องการGrace เมื่อเราไม่ต้องการGrace เราก็เป็นgodใช่ไหม นี่ขออภัย อย่าหาว่าเป็นคำพูดดูหมิ่นดูถูกระหว่างศาสนาเป็นเพียงการเปรียบเทียบเพื่อการศึกษาว่าเราจะพบ final goal ของชีวิตนี้อย่างไร เรามาศึกษาเรื่องทำลาย self เพื่อทำลายผู้ต้องการ grace เมื่อเราไม่ต้องการGraceเราก็เป็นgod เสียเอง ขอให้ช่วยอธิบายให้ดีๆหน่อย When we have no need or desire for grace. Then we are god, aren’t we. God is the one who doesn’t need any grace. God has no need for grace. So, when one is free of this need when there is no desire for grace. Then one become god, doesn’t one. Please listen carefully and please see something that we’re trying to put down other religions or other point of view. All we try to do is study this subject and look at it carefully. If we destroy the self, the individual who desires who wants grace. Normally we’re always wanting grace from something. But if we destroy the self that desires, that’s like being god, isn’t it. Please approach this question very carefully.
ช่วยบอกว่าไม่มีการดูหมิ่นศาสนา ไม่มีการดูหมิ่นศาสนา อยากจะให้ discriminate ให้มันว่ามันมีวิธีต่างกันอย่างไร We’d like to stress that we are not … (นาที 31.33) any criticism or we’re not looking down on any religions in any way. But we do feel that it’s necessary to discriminate and observe the differences in the method of the different religion. But this is not imply any value judgement of any kind.
ถ้าเราได้รับ grace พอมากมายสูงสุดจาก God แล้ว เราก็ยังคงมี self สำหรับมี grace และใช้ grace อยู่เราก็ยังมี self อยู่ แม้ว่าจะมี grace มาก ทีนี้ ขอให้นึกดูว่ามันเป็นที่จุดจบของความทุกข์ไหม ถ้าเรายังมี self เหลืออยู่ Now if we have received the highest the fullest grace. If all possible grace has been for us, then there still remain the self that receive that grace and that have the grace. Isn’t it how it is. Even in receiving the fullest grace, the remain self who receive that has the grace … (เสียงขาด นาที 33.14) Would this be the end of Dukkha? Would this be ……. … (นาที 33.18) of suffering ? We should or if there is still self remain to get the grace. What kind of the situation is that?
ถ้าเรามี self นะ แล้วมัน self ชนิดไหนล่ะที่มันไม่ต้องยึดถือไว้ ไม่ต้อง bare ไม่ต้อง endure ไม่ต้อง carry เหมือนอย่างว่าท่านมีเพชรนี้ ท่านจะเก็บไว้ที่ไหนโดยไม่ต้องมี endure แขวนไว้ที่หูมันก็มีการ carry ถ้ามี self มันก็มี action ของ carrying มี self ชนิดไหนไม่ต้อง carry ฉะนั้น เราจึงต้องการทำลาย self ให้หมด ไม่มี self เหลือไม่ต้อง carry ไม่ต้องมี carrying นี่ความจำเป็นที่เราจะต้องรู้เรื่อง self ว่าถ้ามี self ต้องมีภาระของการ endure
What kind of self doesn’t become a burden? What kind of self is there that doesn’t need to be carried around and endure constantly. If you’ve got a diamond, even the best most wonderful diamond the most desirable diamond in the world, where can you put it where you don’t have to carry it around. Are you going to hang it from your ear or around your neck or stick it in your nose? Whatever you do with it as long as you have it, then you have to carry it. And it’s a burden. What kind of self is there that we don’t have to carry around that we don’t have to put up with and endure. So then if we wish to escape that burden having the carry something around all the time (เสียงขาด นาที 36.10) If there is always self, because of that attachment, there will always activity of carrying it around. So if we wish to be free of this, we need to get rid of the self get free of the self.
แม้ว่าท่านจะเอาเพชรๆของท่านทั้งหมดไปฝากไว้ในตู้เซฟของธนาคาร แต่มันก็ยังมาเป็นภาระหนักบีบคั้นหัวใจท่านอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะเก็บไว้ในธนาคาร นี่เพราะมันมี self มีความหมายแห่ง self มีความหมาย of self myself ถ้ามี self ที่ไหนก็มี burden ที่นั่น ฉะนั้น ขอให้เห็นว่าตัว self นี่แหล่ะเป็นที่ตั้งเป็นที่รองรับภาระของหนักและความทุกข์อะไรต่างๆจึงต้องกำจัดมันเสีย ต้องกำจัดมันเสีย
If you take all your diamond and get them lock up in the save at the bank. Then no diamond. Although they are very safely locked up away at the bank, they become a burden for us. They still squeeze and pressure the mind. And so if we’ve got a self, no matter where we put it, no matter who we give it to, it still squeezes it still oppresses the mind. This activity of carrying around the self, as long as we’ve got one, we’ll always be heavy. It’s always burden some. It’s something difficult to endure something that’s a hassle. So, what are we gonna do with this self. So, that’s no longer a burden no longer a hassle. Something difficult to put up with in our life.
บัดนี้ เราก็พอจะมองเห็นแล้วว่าสิ่งที่เรียกว่า self นั้นมันสิ่งเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า burden หรือความทุกข์ สิ่งที่เป็นมิใช่ grace อย่างยิ่ง ถ้าเรายังมี self เราจะมีปัญหาของชีวิตอยู่ตลอดไป เมื่อใดเราไม่มี self คือ มีจิตบริสุทธิ์ มีจิตล้วนๆจิตบริสุทธิ์ไม่มี self ไม่มี concept of self เราก็ไม่มีปัญหาใดๆ นั่นนะจึงเห็นว่า แม้god จะให้ grace ให้แก่เรามากมายเท่าไรถ้าเรายังมี self เราก็ยังมีภาระหนัก เราก็ต้องทนลำบากและเป็นทุกข์ เรามีการทำลาย self เสียดีกว่า
As long as there is any attachment and there is a self. This self this burden of self is exact same thing as suffering. This self we carry around is dukkha is misery for us which is the exact opposite of this grace which we so strongly desire. As long as there is any self then we have to carry this all around and it’s heavy and difficult. As long as it is self then there are problem. Even if god gives us all the grace that we could receive. If we had all the grace we wanted. If there was still a self then there was still be problem in spite of all that grace. Then isn’t it better to destroy the self that’s the source and the basis of all the problem. Why don’t we go and get rid of the self, so that all the problem disappear and we don’t have to put up with any more this suffering.
อาตมาขอยืนยันซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าที่ได้บอกกับสหายคริสเตียนทั้งหลายแล้วนั้นนะอย่างถูกต้อง มีเพื่อนที่เป็นคริสเตียน มากเหมือนกันแล้วก็บอกเขาว่า Cross Symbol The cutting of the I นั่นน่ะ The cutting of the self The Cross Symbol The cutting of the self. Without self that is actual Christian. The cutting of the self of the I. ขอยืนยันอย่างนี้ๆๆ แม้เดี๋ยวนี้ก็ยังขอยืนยันอย่างนี้ และขอบอกท่านทั้งหลายว่าจะต้อง give up cut of the self without self แล้วก็ไม่ต้องการทั้ง grace และ disgrace disgrace เมื่อไม่ต้องการทั้ง grace และ disgrace เราก็คือ God เท่านี้
Let me repeat once again. Something I’ve been repeating over and over again for years. Let me repeat it and insist that I’ve been repeating to my Christine comrade all along. It’s absolutely correct. It was correct many years ago and it remains correct today. I insist ( นาที 43.15) because it is absolutely true and correct. I have many Christine friends and I say to them all that the true meaning of Christianity. That in the symbol of the cross, the heart of Christianity is displayed. Even you’ve never heard this before in church or wherever allow me to insist the correctness of what I am saying that the cross is the essence of Buddhism. The cutting of the I. The destruction of the self. This is true for every Christian. So I’ve been saying this all along and I continue to say it and insist upon it that this is Christianity is really about is the cutting the destroying of the I the ego the self. When we have no self then we have no more need for either grace or disgrace. And when one have nothing to do with grace or disgrace any more. Then one is God. This is Christianity is about. I insist that this is correct and true.
ขอร้องแล้วขอร้องอีกว่าให้สนใจ ความหมายลึกซึ้งของสัญลักษณ์กางเขน The cutting of the I แม้ว่ามันจะใช้ได้สำหรับภาษาอังกฤษ จะใช้ไม่ได้สำหรับภาษาอื่นก็ตามใจ แต่คงใช้หลายภาษา The I ,cutting of the I มันมีความหมายลึกซึ้ง Lord Jesus Christ The cutting the self of the I of himself on the cross. (เสียงขาด นาที 45.35) The symbol of the cross the cutting of the self of the I. Someone call it ladder to God by mean the cutting of the I. …….( นาที 45.45) to God. That God, the term or the name ready to become to the Christ. But I would like to say this is not self. Even God is not self. Is not self even God. Avoid self. But we can call it …….( นาที 46.16) ขอให้นึกถึงหรือเอามาแขวนไว้ที่คอนี้ …….( ไม่ชัด นาที 46.33) The cutting of the self. The cutting of the self without self all the time ทุกเวลาไม่ว่าอยู่ที่ไหน อย่ามีตัวตน อย่ามีตัวตน อย่ามีของตน ทีนี้เรื่องศึกษาเกี่ยวกับพุทธศาสนามันก็จบ ท่านศึกษาเรื่องพุทธศาสนาจบด้วยเหตุเพียงเท่านี้
Let’s us requested you .. …….( ไม่ชัด นาที 47.05) and the truth of this symbol of the cross. Even though some people has complained that is only word in English. The truth even if it doesn’t suit German or some other languages. The truth of this symbol is the same. The cross and for the cutting of the I. If you’d like the cross stands for the cutting of number one and we all know who number one is. Is for destroying of this self that we…….( ไม่ชัด นาที 47.45) Truth even if it is clearest( ไม่ชัด นาที 47.50) in English the cutting of the I destroying of the self is nevertheless true. This is the profound meaning behind the symbol of the cross that no one should over look. Then when one has completely free of the I. Then, it is possible to understand God. What God is? As long as there is I or self we can only guess …..( เสียงขาดได้ยินไม่เต็มประโยค นาที 48.23) To explain what God is in our language is very difficult too. But the one we can say with absolute certainty นาที 48.39) that God even God is not self. The true God the real God is not self. You can’t find any self in God. Although in our ordinary way of speaking sometime we must say that God is the almost self the highest self or whatever. Reality in truth God is not self. To realize this the only way is to cut the I destroy the sent นาที 49.22) of self in order to realize that even God is not self. This is the heart of Buddhism. The symbol of the cross explain exactly what Buddhism is teaching. And in this cutting of the I and realization that everything even god is not self. This is the completion of Buddhism. With this understanding Buddhism is finish.
คงจะมีปัญหาสำหรับท่านทั้งหลายที่ regard ตัวเองว่าเป็น children of god จะเป็น children of god ได้อย่างไร ตามหลักนี้ถือว่าท่านจะต้องเดินตาม God ไป จนกระทั่งถึงสถานะ void of self, Without self that is the real god. If you are children of god, you have to … (นาที 50.36) this self ไปๆๆจนถึงจุด void of self united with god ตามหลักพุทธศาสนามีว่าอย่างนี้
Now there might arise the question for those of you who consider yourself to be children of God. If we are children of God, then what are we to do? The answer that we must follow God. We must walk according to God way and keep walking along this God Path. Until coming to Voidness of self. When we are void of self, when we are without self completely emancipated from self, then we are with God. We are same as God, we are united with God. Because God is also completely void of self. God is voidness. According to the principle of Buddhism, this is what the children of God must do. Walk according to God until united with God in voidness completely free of self of I and of mine.
ในประเทศอินเดียเขาสอนเรื่อง self ย้ำเรื่อง self จนกระทั่งมี to please self, universal of self, self at most self พุทธศาสนาเกิดขึ้นมาทีหลัง จะสอนอย่างนั้นไม่ได้ จึงสอนต่อไป ต่อไป ไม่มี universal of self แต่จะมี universal of void of self พุทธศาสนาจึงไม่มี self ฉะนั้น ถ้าเราจะศึกษาพุทธศาสนาเราจึงต้องศึกษา void of self เมื่อไม่มี self ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาอะไรหมดเพราะมัน void of self ไม่มี self ของปัญหาใดๆได้ ทีนี้ขอให้มองเห็นว่ายอดสุดของ way of life นั่นนะ way of life นั้นต้องเป็น way of life ที่ไปสู่หมดปัญหาๆๆจริงๆ หมดปัญหาจริงๆก็หมด self ฉะนั้น ก็ขอให้เราศึกษาวิธีที่จะ void of self way of life ที่ without self life without self นี้ ของสิ่งที่เรียกว่า life ศาสนาฮินดูเขาสอน … (นาที 53.48) of self อยู่แล้ว เราไม่ต้องสอนอีก
In India, They’ve been teaching about the self or the soul, the …… (นาที 54.00) for thousand of years. They carry this teaching on up to the point of talking about universal self. Buddhism are ruled in India after this. So, there was no need for Buddhism to continue saying the same old thing. Instead Buddhism with further, the truth further and deeper… (นาที 54.25) There is ultimately no self. Everything is void of self. There is universal void ness. This is what Buddhism taught. If we are going to understand Buddhism at all, we must recognize this sense of teaching. Buddhism … (นาที 54.25) theory carry on with the same old Indian teaching but went deeper and has proclaim the universal void ness (นาที 55.09) that everything is without self. When there is no self when there is realise (นาที 55.19) Then there is something that is basic and un basic for ay problem. Any difficult is your pain in our life. So, this is the ..... (นาที 55.34) ultimate goal of our life. Something that would really is the final goal of our life would have to be something that is completely free of problem, if any problem remain. ................. (นาที 55.46) The final goal must be completely free of any problems, the difficulties of any trouble. The only way of completely free of trouble is to destroy the self which is the ....... (นาที 56.07) and basis of all trouble. So, this then is the final goal of this thing we call life.
God สั่งไว้เมื่อตั้งโลกใหม่ๆกับผัวเมียคู่แรกว่าอย่ามีความรู้เรื่อง Good and Evil อย่าไปกินผลไม้ที่ทำให้มีความรู้เรื่อง Good and Evil ฉะนั้น หมายความว่า God ไม่ต้องการให้ regard สิ่งใดๆว่า Good หรือ Evil ทั้ง ๒ อย่างนี้ไม่ถูก ..... (นาที 56.44) ฉะนั้น เราจะต้องรู้จักทำจิตให้ไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของ Good and Evil แล้วก็มีจิต void of self เมื่อไม่มีself ไม่มีทางจะแยกแยะเป็น Good and Evil นี้เราจะอยู่เหนือ Good and Evil ได้เพราะว่าไม่มี self ยอดสุดของพุทธศาสนาก็อยู่ที่ตรงนี้ไม่มี self แล้วก็อยู่เหนือ pair of opposite ทั้งหลายตามที่ God ต้องการ
This is something that God commanded just after setting up the world. We’re back in the beginning of the world. God commanded the first husband and wife to not attach to Good and Evil. We’re back in the beginning, God lied down this commandment. This is very important to see this. When this is attachment to good or attachment to evil, then all kind of problem and trouble arise. But if there is no attachment to Good and Evil then there is no self to attach to these things. There is no self that is trapped within duality (นาที 58.30) So, then we are beyond of Good and Evil. We are beyond of duality. We are completely free. We are completely free of all trouble. This is the pinnacle, the highest peak of Buddhism to by being completely free being without self. Not having any basis on which to evaluate and discriminate things as Good and Evil. Not discriminating these things not attaching to them. And not attaching to them having no self or ego to experience problem. This is the highest teaching of Buddhism …. (นาที 59.23) The early teaching of God way back to the world which is first created. 59.34
อานาปานสติ หมวดที่ ๑ ศึกษาด้วยเรื่องกายทำให้เราสามารถรวบรวมกำลังกายกำลังความคิดมากที่สุด สูงที่สุด เหมาะสมพร้อมที่จะศึกษาเรื่องนี้เรื่องไม่มี self กายานุปัสสนา
In Anapanasati, the first group of ……(นาที 1.00.06) The first ……(นาที 1.00.08) of practice allows us to understand ……(นาที 1.00.13) the body. And then gather together amount of power and to focus on our ……(นาที 1.00.19) sufficiently for us to study and investigate this matter of not self. This can be. So, this is how we use the first Tetrad. The first step of Anapanasati related specifically to the breathing and the body.
อานาปานสติ หมวดที่ ๒ เวทนา เวทนา เมื่อเราศึกษาเรื่องนี้แล้ว เราก็รู้จักเวทนา เราสามารถควบคุมเวทนา ไม่ให้เวทนาหลอกเรา หลอกลวงเราว่าอันนี้เป็น positive อันนี้เป็น negative เวทนาจะเป็นเช่นนั้นเองเหมือนกันหมด เรียกว่าไม่มี positive ไม่มีnegative แล้วจะไม่มี concept of self
Then in second Tetrad the one about the Vetana. We learn how to keep the vetana from deceiving us. We get the vetana under control. So, they don’t track us …. (ไม่ชัด นาที 1.01.42) that this is positive and that is negative. Then, we no longer are diluted by the Vetana. It is thinking (ไม่ชัด นาที 1.01.42) that things are positive or negative. Then the mind is even more free and clear.
หมวดที่ ๓ จิตตานุปัสสนา สามารถทำให้เราบังคับจิตได้ ให้เป็นไปแต่ในทางที่ถูกต้องให้จิตมีความถูกต้องในความรู้ในการกระทำอะไรต่างๆสามารถจะบังคับจิตไว้ในลักษณะที่ไม่อาจจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า self
The third Tetrad is called Jittanus…….(นาที 1.02.42) of Jitta of mind. In this one, we learn how to control the mind. How to develop it, train it, control it. So, you can keep yourself in the state of correctness. So, the mind is only proper, appropriate and correct. When the mind is controlled like this, then it can stay in the state where the self does not arise. This is the important of the third Tetrad. Controling the mind to prevent the self from arriving.
ทีนี้ก็มาถึงหมวดที่ ๔ ธรรมมานุปัสสนา รู้ความจริงของสิ่งทั้งปวง …….(นาที 1.03.36) สิ่งทั้งปวงเหล่านี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แล้วก็เป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตาจึงเห็น voidness หรือ self ไม่มี void of self ไม่มี self เราจึงมองเห็นความไม่มี self ได้ จิตจึง free จิตจึง pure จิตจึงว่าง ไม่มี self เหลืออยู่ในจิต ทั้ง ๔ อย่างนี้ช่วยเรื่องไม่มี self ทั้งนั้น
Then we come to the forth and final tetrad of Anapanasati which is called …….(นาที 1.04.24) The concentration of Dhamma of natural …….(นาที 1.04.28) . This one we concentrate on the truth of impermanent, …….(นาที 1.04.38) and not …….(นาที 1.04.41). We observe all things those regard condition cause …….(นาที 1.04.50). The things which are uncondition. The thing which has no cause which has no end. We study all things for …….(นาที 1.05.00). Until seeing that they are seeing the truth of impermanent, unsatisfactiness, preciousness and not selfful. Seeing this then seeing that things are self. We see that thing …….(นาที 1.05.22) proceed go along according to the law of conditionality. The things happen depend on conditions that they don’t happen depend on self or unself…….(นาที 1.05.37). See that everything that happen according to the law of conditionality. Then, we see that everything is void of self. In see that void ness of everything, than the mind is free. See this void ness the mind is completely liberated from all self. And then there is nothing left to control because there is no possibility that self will arise again if void ness has been truly penetrated. So, this is what occur in the last step of the Anapanasati.
ในที่สุดนี้ขอแสดงความหวัง ความหวัง ขอแสดงขอร้อง วิงวอนให้ท่านทั้งหลายจงได้ใช้ความรู้เรื่องอานาปานสตินี้ให้สำเร็จประโยชน์ในการที่จะกำจัดสิ่งที่เรียกว่า self ออกไป ท่านก็จะหมดปัญหาของชีวิตมี Way of life ที่ประเสริฐที่สุดอยู่เหนือปัญหาทั้งปวง ขอให้ประสบความสำเร็จดังนี้ ขอยุติการบรรยายวันนี้
Finally, we would like to make a request. We could say we’d like to please with you. To please use Anapanasati correctly as we have described. …….(ไม่ชัดนาที 1.07.35) successfully in order to be free of this self. Please use Anapanasati to realize void ness and be …….(ไม่ชัดนาที 1.07.48) from the self. And all trouble all problem would disappear spontaneously. You will …….(ไม่ชัดนาที 1.07.59) realize …….(ไม่ชัดนาที 1.08.02) the final goal of life. You will accomplish that which you must accomplish. We hope …….(ไม่ชัดนาที 1.08.16) and be completely successful. Now we have to close this final lecture.