แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในการบรรยายครั้งนี้ ก็อยากจะขอย้ำเรื่องตัวตนซึ่งมิใช่ตัวตน self ซึ่งมิใช่ self ให้ท่านทั้งหลายเข้าใจให้จนได้ หัวใจของพุทธศาสนาอยู่ที่ตรงข้อนี้ข้อเดียว คือข้อที่ว่าไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือหรือว่าเป็น self หรือว่าตัวว่าตน คำสอนในพุทธศาสนาทั้งหมดเน้นที่ตรงนี้ ท่านอย่าเข้าใจไปว่าพุทธศาสนาสอนต่างๆกัน เป็นเถรวาท เป็นมหายาน เป็นเซน เป็นอย่างทิเบต มีมากอย่าง มากอย่าง อย่างที่ท่านเข้าใจกัน ไม่ใช่อย่างนั้นไม่เป็นอย่างนั้น มีอย่างเดียว มีอย่างเดียว ถ้ามันถูกต้องแล้วมีอย่างเดียวคือคำสอนเรียกว่า ไม่มี self ไม่ใช่ self ไม่ควรจะยึดถือว่า self ถ้าถูกต้องแล้วต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ว่าพุทธศาสนานิกายไหน ท่าน ท่าน ท่านมักจะคิดว่ามาศึกษาพุทธศาสนา ที่ประเทศไทยบ้าง ประเทศลังกาบ้าง ประเทศพม่าบ้าง ที่ประเทศจีนบ้าง ที่ประเทศทิเบตบ้าง ท่านก็จะได้รับพุทธศาสนาหรือธรรมะที่ต่างกัน ต่างกัน ข้อนี้มันเป็นไปไม่ได้ และเป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง พุทธศาสนา มีอย่างเดียว มีบอกแต่ว่าไม่มี self ต้องเลิก ละ ความยึดถือว่า ว่า self ว่าตัวตน ถ้ามันจะต่างกันบ้าง มันก็วิธี วิธี วิธีที่จะละ แต่ความหมายอย่างเดียวกันคือ ละตัวตน ที่ในลังกาจะชอบอย่าง ในพม่าจะชอบอย่าง ในเมืองไทยจะชอบอย่าง เซนจะชอบอย่าง ทิเบตอาจจะชอบอย่าง วิธี วิธี วิธีจะละ แต่ถ้าตัวแท้ตัวจริงแล้วคือว่า ละเลิกตัวตน ละเลิกความยึดถือว่าตัวตน ขอให้ท่านรู้ชัดลงไปว่า มันต้องการจะละสิ่งที่เรายึดถือว่าตัวตนเท่านั้นเอง ท่านคงจะสังเกตเห็นว่า หนังสือเล่มโตๆ เล่มใหญ่ๆ มีมาก มีชื่อว่า Buddhism in Thailand, Buddhism in Langka, Buddhism in Burma, Buddhism in China Buddhism but only เปลือก เปลือกนอก เปลือกนอกที่ต่างกัน อย่างในทิเบตนี้เขาก็เพิ่มวัฒนธรรมทิเบต ไสยศาสตร์ทิเบตใส่เข้าไป จนกลายเป็น Buddhism in Tibet เปลือกทั้งนั้น เปลือกทั้งนั้น ถ้าเป็นเนื้อแท้ต้องขจัดตัวตนออกไป ที่พม่า ที่ลังกา ที่จีน ที่ญี่ปุ่น ที่ไหนก็เหมือนกัน มันจะต่างกันก็ว่าวิธีนี้จะรับเร็วเสียหน่อย วิธีนี้จะสั้นเสียหน่อย วิธีนี้สำหรับคนโง่ วิธีนี้สำหรับคนฉลาด วิธีนี้สำหรับคนที่ครึ่งโง่ครึ่งฉลาด มันจะต่างกันบ้างเพียงเท่านี้ แต่ว่าที่แท้มันต้องการจะเอาความยึดถือว่าตัวตน ตัวตนนั้นแหละออกไป ถ้าท่านทำเองได้โดยไม่ต้องอาศัยพุทธศาสนาประเทศไหนนั้นละ พุทธศาสนาที่แท้จริงเสียอีก ทำเอาเองได้ ถ้าท่านมีหนังสือเหล่านี้มากเล่มหลายๆเล่มนะ ขอแนะนำว่าเอาไปทิ้งเสียเลย เอาไปทิ้งเสียหมดดีกว่า หนังสือเหล่านั้นเอาไปทิ้งเสียหมด แล้วก็มาดูว่าทำอย่างไรที่จะละความยึดมั่นถือมั่น ว่า self ว่า ตน นี้จะได้ ขออภัยพูดมันคำหยาบนะ ขนาดหมา สุนัขตัวนี้ยังดีกว่า สุนัขตัวนี้มันมี idea of self, concept of self กี่มากน้อย กี่มากน้อย มันมีกี่มากน้อย แล้วคนมันมีกี่มากน้อย แล้วใครเป็นทุกข์มากกว่ากัน ถ้าสุนัขตัวนี้ไม่มี concept of self เลย มันจะไม่มีความทุกข์เลย มันจะไม่มีความทุกข์เลย เราเรียนจากในใจ จากของจริง จากในใจจนเห็นว่าพอมี concept of self มันก็มีความทุกข์เป็นของหนัก เป็นของบีบคั้น เป็นของกัด จริงๆว่า เอาหนังสือเยอะแยะนั้นไปทิ้งเสียก็ได้ แต่บางทีจะพูดว่า เอาพระไตรปิฎกไปทิ้งเสียก็ได้ แล้วมาเรียนที่ว่า ตัวสิ่งที่มีชีวิต สิ่งที่มันมีชีวิต มันมีความคิด มันมีความรู้สึก มันมีความรู้สึกว่า self เท่าไรมันจะมีความทุกข์เท่านั้น นี้คัมภีร์หรือหนังสือที่ดีที่สุดก็คือในตัว ตัวคนที่มีชีวิต มีความคิด สุนัขตัวนั้นชื่อเกรย่า มันกำลังจะบอกอะไรกับคุณ มันกำลังบอกให้คุณอ่าน อ่านมันให้ออก มันไม่มีความรู้สึกว่า self self ไม่มาก ไม่มากหรือไม่มี หรือมันไม่มากเหมือนกับคน คนเรามี คนเรามีความคิด มีการศึกษามีความคิดมาก มันก็สร้าง self ได้มาก ได้ลึก ได้กว้าง ความทุกข์มันก็มีมาก ถ้ามันไม่มีความคิดว่า self หรือมันมีแต่น้อย มันก็ไม่มีความทุกข์ มันมีแต่น้อย ฉะนั้น สังเกตดูให้ดีจากสัตว์ จากสิ่งเหล่านี้ ที่มันไม่มีความคิด จะมี self มากๆ มันก็ไม่มีปัญหา มันก็มีความทุกข์น้อย ทีนี้ ขอให้เราสนใจว่าเราได้เสียเวลามาก เสียเวลามาก ศึกษามาก คิดมาก อ่านมากเพิ่มขึ้นๆ แล้วก็มีปัญหามาก ก็ลด ลด ลด ลด หาทางจะลดความคิดว่า self นี้ลงมา แล้วมันก็จะ จะลดความทุกข์ จะหมดความทุกข์ได้
ขอให้ฟังให้ดีๆว่าเราจะ ไฟดับ 19.12 จนถึง 19.25 ไปศึกษา ศึกษากันให้ดีๆว่า มีดบาดนิ้ว มีดแล้วก็บาดนิ้ว ความจริงนั้นเป็นอะไร นิ้วนี้มันก็เป็น เป็นเนื้อ เป็นเนื้อ มีเนื้อ เนื้อก็คือธาตุ ธาตุ element มีธาตุตามที่จะวิทยาศาสตร์เรียก หรือว่าเราเรียกก็ตามมันเป็นธาตุ เนื้อนี้มันก็เป็นธาตุ แต่ว่ามันในเนื้อ ในกลุ่มเนื้อนี้มันมีระบบประสาท มีระบบประสาทสำหรับรู้สึก จริงๆมีด มีดนี้ก็เป็นธาตุ มีดเหล็กนี้ก็เป็นธาตุ แล้วมันผ่านเนื้อ ระบบประสาทที่นี่มันก็รู้สึก รู้สึกแล้วมัน ก็รู้สึกที่เรียกว่าความเจ็บ ความเจ็บ รู้สึก ท่านรู้สึกมันกี่มากน้อย รู้สึกว่าธาตุผ่านไปที่ธาตุหรือท่านรู้สึกว่า มีดมันบาดกู สองอย่างนี้เปรียบเทียบดูให้ดี ตามความรู้สึกที่เรารู้สึกได้รับคำสั่งสอนมาโดยตรง โดยอ้อม เราจะรู้สึกว่า มีดบาดกู ไม่รู้สึกว่า ธาตุผ่านธาตุแล้วในธาตุนี้มีความรู้สึกเป็นความเจ็บปวด ก็เลยรู้สึกว่า กูเจ็บปวด กูจะตาย แล้วเรารู้สึกว่า self self นี้ ไม่ใช่ของจริง แต่มันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ และก็มีปัญหามากที่สุด นี้ว่า self ไม่ใช่ของจริง แต่ก็มีอิทธิพลจริงยิ่งกว่าจริง ที่ทำให้มีความทุกข์ ถ้าเอา self ออกไปเสียได้ก็จะไม่มีปัญหาเกี่ยวกับความทุกข์ นี้เขาว่า self แปลว่า ตนนี้ มันเกิดขึ้นมาเพราะเราไม่รู้ตามที่เป็นจริง หรือว่าเป็นสักว่า ธาตุ ธาตุตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติ ตามธรรมชาติ มีดมันคือธาตุตามธรรมชาติ เนื้อ ธาตุตามธรรมชาติ ผ่านไปความรู้สึกเกิดขึ้น เป็นว่ามี self คือ กู กูถูกมีดบาด แล้วก็กูเจ็บ นี้เป็นความโง่ เรียกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ได้แล้ว ที่นี้ความโง่ยังมีเพิ่มขึ้นอีกสองสามร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ได้ คือจะโง่ไปถึงว่า มีดก็เป็น self มีดก็เป็น self นี้โง่อีกสองสามร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำไมล่ะ พอมีดบาดคุณถ้าคุณโกรธขึ้นมา คุณก็ฟัดมีด หักมีดเลย คิดว่ามีดก็เป็น self มันบาดกู แล้วก็ทำอันตรายมีด ความโง่ว่า self ก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น จนกระทั่งว่าความเจ็บ ความเจ็บนี้ก็เป็น self เป็นอะไร ขับไล่ด้วย เวทย์มนต์ด้วยไสยศาสตร์ ก็เป็น self เป็น self เป็น self จนเต็มไปด้วย self self คือ ตัวแห่ง คือ product ของความโง่ เมื่อท่านเป็นเด็กๆ จำได้ไหมว่า เมื่อเป็นเด็ก เด็ก เดินหรือว่าชนเก้าอี้แล้วก็เจ็บ แล้วก็โกรธ แล้วก็เตะเก้าอี้ และกาดเก้าอี้เป็น self อีกอันหนึ่ง เป็น another self เป็นอันตรายแก่ this self แล้วก็เตะเก้าอี้ เก้าอี้พอเป็น self มี self ขึ้นมา เพราะความโง่ของเด็กๆนั่นเอง ตราบใดสิ่งที่เรียกว่า self เป็น illusive illusive กี่มากน้อย ที่นี่มันมากกว่านั้น มากกว่านั้น มากกว่านั้นมันเป็น self ไปเสียหมด เป็นปัญหาไปเสียหมด เก้า เก้าอี้แท้ๆ เด็กคนนั้นก็เห็นเป็น เป็น self ไปได้ เก้าอี้เป็น self ขึ้นมาได้ ด้วยความโง่ของเด็กคนนั้น self มันเกิดมาได้อย่างไร อะไรทำให้มันเกิดขึ้นมาถ้าไม่ใช่ความโง่หรือ ignorant ที่นี้จะมากกว่านั้นอีกก็ได้ ก็เดินมาชนก้อนหินก้อนนี้ แล้วเขาก็โกรธ แล้วเขาก็เตะก้อนหินก้อนนี้ ทำเหมือนอย่างว่าในก้อนหินนี้ก็เป็น self another self ทำอันตราย self นี้ก็เตะก้อนหิน แล้วมันก็โง่มากขึ้นไปอีกกว่าที่จะเตะเก้าอี้
ฉะนั้น จึงขอให้จับความจริงให้ได้ว่า self มันเป็น product ของ ignorant ignorant ถ้าเอาออกไม่ได้ก็มีความทุกข์ตามที่มีมากมีน้อย มีมากมีน้อยก็มีความทุกข์ มี self มาก มีทุกข์มาก มี self น้อย มีทุกข์น้อย จึงขอให้เข้าใจ self ที่ไม่ใช่มีจริง ที่เป็นมายา มายา เรียกว่ามายา ตัว self จริงๆ ไม่ได้มีมา ไม่ได้มีมาแต่เดิม ไม่ได้มีมาในสัญชาติญาณ แต่ว่า seed ของ self มันมี ข้อนี้ลึกลับมาก เด็กทารกออกมาใหม่ๆ เขาไม่มีความคิดที่จะเป็น self หรือไม่ self อะไรได้ แต่พอเขาออกมาแล้ว อายตนะของเขาได้ทำงาน ทำหน้าที่ อย่างแรกที่สุดเขาก็ได้กินนม กินนมแม่ เขาก็อร่อย nerve of system มันบอกว่าอร่อย ด้วยความอร่อยนี่มันสร้าง concept อันใหม่ว่า ผู้อร่อย ผู้อร่อย คือ ฉันผู้อร่อย คำว่า self นี่มันเพิ่งเกิด เมื่อมีความรู้สึกว่า ฉันอร่อย แต่ถ้าไม่มีอะไรมาทำให้อร่อย มันก็ไม่เกิดความรู้สึกว่า ฉันอร่อย พอมีอะไรมาทำให้รู้สึกอร่อย ก็มีความรู้สึกว่า ฉันอร่อย self ก็ตั้งต้นก็เกิดออกมา มันมีseed หรือ germ นี่มันก็ออกมาเป็นตัว ในทางตรงกันข้ามที่ไม่อร่อยก็เหมือนกัน ที่ไม่อร่อย พอไม่อร่อยก็ฉันไม่อร่อย มันก็มี self ไม่อร่อย นี่ความเป็นบวก ความเป็นลบของอารมณ์นี่ สร้าง self ขึ้นมา ที่เราจะศึกษาจากข้างในต่อไปอีก จนเราพบความจริงที่จริง ที่เราไม่เชื่อว่าจะเป็นความจริง คือ ความรู้สึกว่า self มันเกิดทีหลัง เมื่อมีอารมณ์ของ self นี่ก็พูดกันให้ตรงๆก็ว่า feeling หรือ เวทนา ที่เป็นที่พอใจ คือ self feeling มันเกิดขึ้น แล้วก็รู้สึกพอใจ ทั้งที่ไม่มีตัวผู้ ตัวผู้พอใจเป็นความรู้สึกเกิดทีหลัง ต่อเมื่อความพอใจนี่สัมผัสจิต ถ้าจิตให้คอนเซปต์ว่า ฉันผู้พอใจ ผู้พอใจเกิดทีหลังความพอใจ ท่านคงไม่เชื่อ ท่านคงไม่เชื่อ ผู้อยากนี่ เกิดทีหลังความอยาก ความอยากเกิดขึ้นแล้วในใจ แต่ความรู้สึกว่า ฉันผู้อยากเกิดทีหลัง นี่เป็นความลับสำคัญที่สุดที่ในพุทธศาสนาจะเอามาสอนในเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท เข้าใจเถิด เข้าใจว่า เกิดเวทนาและเกิดตัณหา คือความอยาก ที่จริงเกิดอุปาทานว่า ผู้อยาก ท่านศึกษาตัวเองอันนี้ให้ดีๆ พอใจ พอใจ นี่เป็นเรื่องของความรู้สึกของ nerves of system แล้วมันคลอดคอนเซปต์ว่า ชั้นผู้พอใจ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ ถ้าท่านรู้ความจริงของธรรมชาติอันนี้ ท่านจะเข้าใจพุทธศาสนาหมดเลยทีเดียว หมดเลย
ขอย้ำ ย้ำประโยคที่ท่านจะไม่เชื่อ ไม่ยอมเชื่ออีกทีว่า ผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก ขอให้จำประโยคนี้ไว้สำหรับไปคิด ไปค้น ไปแยกแยะ ผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก เกิดมาจากความอยาก ทารกเกิดมาจากท้องแม่ไม่มีความรู้สึกตัวกูอย่างนั้นอย่างนี้ พอมาได้กินของอร่อยหรือไม่อร่อยก็ตาม มันก็รู้สึก ถ้าอร่อยมันก็อยากจะมี อยากจะกิน อยากจะมีมากขึ้น มันอยาก ความรู้สึกอยากนี่มัน produce แล้ว produce ผู้อยาก เข้าใจคำนี้ดีๆ ผู้อยาก เป็น illusive illusive เกิดขึ้นมาจากความโง่ ตัวความอยากนั้นเกิดได้เอง ไม่ต้องมี self ผู้อยาก เขาเรียกว่า ปฏิจจสมุปปันธรรม อาศัยเหตุปัจจัยแวดล้อมแล้วก็เกิดขึ้น มันมี nerves of system ที่ทำให้รู้สึก พอสิ่งเหล่านี้มาสู่ระบบประสาทนี้ ความรู้สึกที่เราเรียก ความพอใจ หรือความอยากนี่มันก็เกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้น เลยต้องมีตัวผู้ ผู้ ผู้อยากมาแต่ก่อน ความอยากมันสร้างตัวผู้อยาก ถ้าเข้าใจข้อนี้ไม่ได้ ไม่มีทางจะเข้าใจพุทธศาสนา เวทนา feeling นะ เกิด desire desire เกิด attachment ผู้อยากอยู่ที่ attachment ถ้าท่านเข้าใจว่าผู้อยาก หรือ self ผู้อยากนี่ เป็นมายา ท่านจะละ selfish นี่ได้โดยง่าย ฉะนั้น จึงขอเสียเวลามาก เสียเวลามาก พูดกันตรงนี้ ให้รู้จักว่า self self ไม่ได้มีจริง เป็น product เป็นproduct ของอวิชชา ของความไม่รู้ พออยาก แล้วมันไม่รู้จักความอยาก มันมีคอนเซปต์ว่า กูผู้อยาก แล้วเกิดมากขึ้น มากขึ้น กูผู้อยาก กูผู้อยาก มีมากขึ้นจน จนเป็นปัญหาตลอดชีวิตเลย self มันไม่มีตัวจริง เกิดมาจากอวิชชา แล้วก็แสดงบทบาทอย่างแท้จริงให้เกิดความทุกข์ ขอให้สนใจคำว่า ผู้อยากเกิดทีหลังความอยาก ขอให้ยอมเสียเวลาอีกหน่อย มาดูกันอีกที ให้ใกล้ชิดเข้ามา คือเรื่องความรัก ผู้หญิงรักผู้ชาย ผู้ชายรักผู้หญิง คือคู่รัก คู่รัก ความรักของคู่รัก ความจริงก็มีว่า ความรักเกิดก่อนจึงมีผู้รัก ท่านคงจะไม่เชื่อ ความรักมันเกิดก่อนแล้วจึงจะเกิดมี self ผู้รัก คงจะไม่เชื่อ แต่ขอให้สนใจเถอะ เมื่อได้มีสิ่งที่น่ารัก ลักษณะที่น่ารักมา มันก็เกิดความรัก พอมีความรักแล้ว ความรู้สึกว่า กูผู้รัก ผู้ต้องการ ผู้อยากได้ จึงเกิดผู้รัก ไม่ได้มีตัวจริง แต่ก่อนนั้น มันเกิดมาจากความรัก ความรักมันเกิดมาจากความโง่ โง่ว่าสิ่งนี้น่ารัก น่ารัก น่ารัก สวยงาม น่ารัก มันเป็นความโง่ แล้วมันเกิดความรัก ผู้หญิงรักผู้ชาย ผู้ชายรักผู้หญิง อะไรก็ตาม มันเกิดความรัก แล้วความรู้สึกว่า ฉันผู้รักนี่มันเกิดทีหลัง เชื่อไม่เชื่อ จริงไม่จริง ก็ขอให้พิจารณา ขอให้พิจารณาเพราะอันนี้จะช่วยได้ จะช่วยให้เข้าใจหลักธรรมะอันลึกซึ้งได้ ผู้อยาก เกิดทีหลังความอยาก attachment นี่มันเกิดมาจาก desire มี desire จึงเกิด attachment เรื่องสำคัญที่สุดที่เราจะต้องศึกษาก็คือว่า จะกำจัด attachment ออกไปได้อย่างไร จะกำจัด self self ออกไปได้อย่างไร self เกิดมาจากอารมณ์ของ self ผู้อยากเกิดมาจากความอยาก ขอให้จำอย่างนี้ desire เกิดมาจาก desire ช่วยอธิบายอีกที ความรัก เรื่องความรัก
ความจริง the truth คือความจริงอันนี้ ไม่ใช่ของพุทธศาสนา มันของธรรมชาติ มันของธรรมชาติ แต่ว่าผู้ที่รู้ความจริงอันนี้ คือ พุทธบริษัท แต่ความจริงอันนี้เป็นของธรรมชาติ love สร้าง lover desire สร้าง desire เราไม่ถือว่า กอดสร้าง อวิชชาสร้าง อวิชชาสร้างให้เกิดความรู้สึกเป็น love อวิชชา love สร้างให้เกิดอวิชชา lover อวิชชาสร้าง desire desire สร้าง desire นี่คือตัวกอด กอดอย่างนี้นะ ไม่ใช่กอดอย่างของคุณนะ มันสร้างมาอย่างนี้ เพราะฉะนั้น มันมีปัญหาอยู่ตรงที่ว่า มันมี self ขึ้นมา เป็น lover เป็น desire ก็ตาม ตัว self นี้ มันทำให้มี selfish พอ selfish มันทำผิดหมดละ มันเกิดกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ เกิดกิเลสทั้งหลาย แล้วมันก็เบียดเบียนกันทั้งทุกฝ่าย เราจะต้องกำจัดอวิชชาตั้งแต่ว่า ไม่ให้สร้างว่า love รักนี้ แล้วมันต้องไม่สร้าง lover ไม่สร้างอะไรขึ้นมาตามลำดับ นี่คุณมาศึกษาพุทธศาสนา สมาธิ วิปัสสนา เพื่อให้มีปัญญารู้ความจริงข้อนี้ แล้วต่อไปนี้ อวิชชาก็จะไม่มี มันก็จะไม่สร้าง love ความรักจะไม่สร้าง lover คู่รัก จะไม่สร้างความอยาก จะไม่สร้างผู้อยาก ปัญหาก็จะไม่มี นี่เราเรียกสั้นๆว่า get rid of self ออกไปเสีย the cutting of the self ตัด self ออกไปเสีย แล้วปัญหาจะไม่มี ความทุกข์จะไม่มี เดี๋ยวนี้เรา มารู้ รู้ความจริงว่า self มันเกิดมาจากอะไร มันเกิดมาจากอารมณ์ที่ปรุงแต่งให้เกิดความรู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา แล้วจึงเกิดความรู้สึกว่า ผู้ ผู้ ฉัน ฉันผู้อย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา ให้จำว่า feeling ให้เกิด desire desire ให้เกิด attachment ช่วยจำให้ดีเถอะ และให้รู้ รู้ให้มากหมดในข้อนี้ แล้วจะรู้พุทธศาสนาทั้งหมด
ขอให้นึกถึงคำว่า truth และก็ natural truth, law of natural นี่ law nature นี่ ความจริงที่ว่านี่มันเป็น natural truth ,law nature แล้วเราก็รู้จัก the creator สร้างให้มีอารมณ์น่ารัก น่าเกลียดขึ้นมา แล้วอารมณ์มันก็สร้างความรักและความเกลียดขึ้นมา ความรักหรือความเกลียดก็สร้างผู้รักหรือผู้เกลียดขึ้นมา the creator กอด the creator นี่ ควรจะฆ่ามันเสีย ควรจะ worship มัน คิดดู กอดในความหมายอย่างนี้มันต้องฆ่าเสีย ไม่ใช่ worship แต่ว่ากอดอย่างอื่นไม่รู้นะ เราไม่พูดถึง แต่ว่ากอดชนิด creator อย่างนี้ต้องฆ่ามัน จริงๆนะฆ่า self ได้ ตัด self ออกไปได้ พุทธศาสนาอย่างไหนก็ตาม เถรวาท มหายาน เซนที่อะไรก็ตาม มันต้องฆ่าอันนี้ มันจึงจะเป็นพุทธศาสนาที่แท้จริง ถ้าไม่อย่างนั้นปลอม ใช้ไม่ได้ ปลอม เท็จ ปลอม พุทธศาสนาที่แท้จริงมีอยู่อย่างเดียวนี่ คือ ฆ่าสิ่งที่เรียกว่า self โดยจะฆ่าเหตุ มูลเหตุของมันเสีย โดยรู้ความจริงว่ามันไม่มีตัว self ตัว self เป็น product ของอวิชชา ของ ignorant ขอให้เข้าใจคำนี้เถิด ขอให้เข้าใจความจริงข้อนี้เถิด แล้วการมาศึกษาพุทธศาสนาของท่านก็จะมีประโยชน์ จะได้รับประโยชน์ จะได้รับผลคุ้มค่า ถ้ามิฉะนั้น ไม่มีผลคุ้มค่า ยุ่งเปล่าๆนะ ขอให้เข้าถึงความจริงอันนี้ตัดตัว self เสียให้ได้ หัวใจของพุทธศาสนาทำลายสิ่งที่เรียกว่า self เสียให้ได้ อย่าให้มันครอบงำ บีบคั้นให้เป็นทุกข์อีกต่อไป เรื่องนี้ขอพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้รู้จักความลับที่สุดของธรรมชาติ แล้วก็ขอยุติการบรรยายวันนี้ไว้เพียงเท่านี้