แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันแรกนี้จะพูดเรื่องความเกี่ยวข้องกันระหว่างธรรมะกับชีวิตของเรา สันติสุขของโลกมีไม่ได้โดยปราศจากสันติสุขของบุคคลแต่ละคน ดังนั้น เรามาดูกันที่สันติสุข หรือความสุขส่วนบุคคลแต่ละคนละคนกันก่อน โดยเฉพาะตัวเราเอง ในชั้นแรกนี้ขอให้มองเห็นชัดๆกันเสียก่อนว่า ในความสุขนั้นมีอยู่สองชนิด คือ ชนิดที่เป็นสันติ กับไม่เป็นสันติ ขอให้แยกให้เห็นว่ามันมีความสุขอยู่สองชนิดอย่างนี้ก่อน ความสุขชนิดที่เป็นสันติไม่กัดเจ้าของ ส่วนความสุขที่ไม่เป็นสันติสุขมันกัดเจ้าของเข้าให้ ขอให้ฟังดีๆว่าความสุขที่กัดเจ้าของกับไม่กัดเจ้าของ ท่านได้เคยมีมาแล้วทั้งสองอย่าง แต่ท่านไม่สังเกตไม่ศึกษาไม่สังเกต มีความสุขชนิดที่กัดเจ้าของ กัดเจ้าของ หาความสุขที่แท้จริงไม่ได้ ไม่ได้รับการศึกษาและสังเกตดูให้ดีๆว่ามันเป็นอย่างนั้น และความโง่ของเราทำให้รักความสุขชนิดที่กัดเจ้าของมากกว่าชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ ข้อที่เรารักความสุขชนิดที่กัดเรามากกว่าความสุขที่ไม่กัด หรือซึ่งไม่รู้จักกันเสียเลย นี่คือความโง่ของเรา อวิชชาอย่างยิ่งในเบื้องต้นของเรา ความสุขอย่างทีแรกที่มันกัดเจ้าของ มันเกิดมาจากเราเป็นทาสของอายตนะ ตา หูจมูกลิ้นกายใจเรียกว่าอายตนะ เรามีความโง่ กิเลส รับใช้อายตนะ จะได้มาแต่ความสุขชนิดที่กัดเจ้าของ
ดังนั้น เราจะต้องรู้จักตัวเราเองให้อยู่ในฐานะที่เป็นนาย เป็นนาย ไม่เป็นทาส ก็เป็นนาย เหนืออายตนะทั้งหกนี้ของเราให้ดีๆ จนควบคุมมันได้ ควบคุมมันได้นั่นแหละสำคัญที่สุด เดี๋ยวนี้เราไปหลงในรสของความสุขชนิดที่กัดเจ้าของ ความสุขที่เป็นทาส อายตนะเราหลงรัก หลงชอบใจ เราจะไม่ชอบในความสุขที่ไม่กัดเจ้าของในความสุขที่สงบที่เป็นสันติ เรากลับไม่ชอบ ขอให้รู้จักข้อเท็จจริงอย่างยิ่งในข้อนี้ก่อน ถึงจะพูดกันรู้เรื่อง มันมีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ สิ่งหนึ่งซึ่งซ้อนเร้นอยู่อย่างลึกลับ คือ ความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวฟังดูน่าจะเป็นสิ่งที่ดี น่าจะเป็นสิ่งที่ดี น่าจะเป็นสิ่งที่ดี เห็นแก่ตัว รักตัว ช่วยตัวน่าจะเป็นสิ่งที่ดี แต่มันกลายเป็นสิ่งที่เลว เพราะสิ่งที่เรียกว่าตัว ตัวนี้ มันมาจากความโง่ เราไม่รู้จักทุกสิ่งตามที่เป็นจริง รู้สึกเอาแต่ความโง่ หรือตามสัญชาติญาณของเราว่าเรามีตัว เรามีตัว เราชอบอย่างนั้น เราไม่ชอบอย่างนี้ ตามความรู้สึกของสัญชาตญาณแบบโง่ๆ เราก็เกิดความเห็นแก่ตัว ไปรักความสุขชนิดที่ส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ความเอร็ดอร่อย สนุกสนาน เพลิดเพลินอะไรต่างๆที่มันส่งเสริมความเห็นแก่ตัว ให้รู้จักว่าความเห็นแก่ตัวนั้นนะ มันกลับทำให้เราตกเป็นทาสของสิ่งทั้งปวงแทนที่จะเป็นอิสระ ถ้าท่านเข้าใจเรื่องนี้ท่านก็จะมองเห็นเสียทีเดียวว่า ศัตรูอย่างยิ่ง ศัตรูเลวร้ายที่สุดของเราคือสิ่งที่เรียกว่า ตัว หรือ self นั่นเอง แต่ถ้ายังไม่เข้าใจข้อนี้ หรือไม่มองเห็นข้อนี้ก็ยากที่จะเข้าใจธรรมะ สิ่งที่เรียกว่าตัว ตัว หรือ self มันเข้าใจยากอย่างยิ่งแหละ ที่แท้แล้วมันไม่มี ไม่มีสิ่งนี้โดยแท้จริง แต่ว่าอวิชชา ความโง่ของเราคิดขึ้นมา แล้วก็รู้สึก แล้วก็เชื่อเต็มที่ว่าเป็นตัว สิ่งที่เรียกว่า self หรือตัวนี่ มันไม่มีตัว มันเป็นมายา illusive อย่างยิ่งที่สุด แต่เรากับรู้สึกว่าจริงที่สุดๆ แล้วเราก็รักมัน แล้วเราก็เห็นแก่มัน ทำให้เกิดปัญหาทุกชนิดเลย ถ้ามีใครบอกท่านว่า ท่านจงมีตัวชนิดที่มิใช่ตัว มี self หรือ it is not self อย่างนี้ท่านคงจะพูดว่าคนบ้า หรือบ้าที่สุดแต่พุทธศาสนากำลังบอกแก่ท่านดังนี้ ข้อนี้หมายความว่า กำลังจะบอกท่านทั้งหลายว่า ตัวที่ท่านกำลังมีอยู่อย่างยิ่งเป็นตัว มันไม่ใช่ตัว เป็นมายาทั้งนั้น เมื่อมีตัวชนิดที่ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตัวแท้จริง หมายความว่าเราเห็นแก่สิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริง ดังนั้น selfishness คือความโง่ที่สุด บ้าที่สุด อันตรายที่สุดที่ต้องมาศึกษาเรื่องนี้กันให้ดีๆ
คำพูดนี้มันขัดแย้งกันกับความรู้สึกที่ท่านมีอยู่ก่อน มันจำเป็นอย่างยิ่งต้องขัดแย้งกับความรู้สึกที่ท่านมีอยู่ก่อน ถ้ามิฉะนั้นหมายความว่าเราไม่ได้รู้อะไรใหม่ ที่มันจริงกว่าเก่า ฉะนั้น ขอให้ท่านทนฟังสิ่งที่ขัดแย้งกับสิ่งที่ท่านรู้อยู่ก่อน จริงอยู่ก่อน มีความรู้สึกอยู่ก่อน คือเรื่องความไม่มีตน ไม่มีตัว เพื่อจะหมดความเห็นแก่ตัว เราattack ต่อสิ่งที่เรียกว่า ตัว ตัวตนซึ่ง attack ต่อสิ่งที่มิได้มีอยู่จริง ฟังให้ดีฟังให้เข้าใจ ว่าเรากำลังป้องกันต่อสิ่งที่มิได้มีอยู่จริงสิ่งนั้นเรียกว่า ตัว ถ้าไม่เข้าใจอันนี้ จะไม่เกิดความรู้สึกที่ถูกต้อง เป็นการมีชีวิตชนิดที่ไม่กัดเจ้าของ คำว่า happiness happiness ระวังให้ดีมันหลอกลวงอย่างที่พูดมาแล้วว่ามันมีสองชนิด คือ กัดเจ้าของ และไม่กัดเจ้าของ เดี๋ยวนี้เรามีความสุขชนิดที่มาจากความเห็นแก่ตัว ความสุขที่มาจากความเห็นแก่ตัวนี้มันไม่จริงและมันกัดเจ้าของ ถ้ามันมาความสุขมาจากความไม่เห็นแก่ตัว มันไม่กัดเจ้าของ selfless ความสุขที่กัดเจ้าของ selfish กับไม่กัดเจ้าของ selfless มันต่างกันอย่างลิบลับ จะพูดให้เห็นชัดก็จะพูดกันง่าย รู้เรื่องดี เราจะเรียกมันง่าย จำกันง่ายๆ พูดกันง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ ว่าความสุข 2 ชนิด คือ selfish กับ selfless ที่พูดเมื่อสักครู่ว่าเราต้องการ individual, happiness เราต้องการอย่าง selfless เราจะมาศึกษาความสุขที่เป็น selfless กันต่อไป ดูเหมือนเราจะสนใจกันแต่เพียงความสุข ความสุข ความสุขกันทั้งนั้น ไม่ได้มีแยก ไม่ได้มี discriminate ให้มันชัดออกไป เราก็เอาแต่ความสุข ความสุขตามที่เรารู้สึก แล้วก็รู้สึกตามสัญชาตญาณเสียด้วย มันก็ไม่ถูกต้อง ฉะนั้น จึงขอให้ศึกษาสูงขึ้นมาๆ จนรู้จักว่าความสุขนี้ต้องระวังให้ดี ให้มันเป็นชนิด selfish หรือ selfless ขอร้องอย่างยิ่งให้สนใจให้มากที่สุดเพื่อจะได้ศึกษาข้อนี้แยกออกมาให้เห็นชัดกันว่าตรงกันข้ามทีเดียว
เมื่อเราเป็นเด็ก เมื่อเรายังเล็กยังเป็นเด็ก แน่นอน แน่นอนที่สุด เราจะรู้จัก selfish selfish happiness ท่านทั้งหลายเคยเป็นเด็ก ลองย้อนความคิดไปถึงสมัยยังเป็นเด็ก ชอบใช้ความสุขชนิดที่เป็น selfish และจะเกลียด selfless ด้วยซ้ำไป แต่เดี๋ยวนี้เราโตแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว เราไม่ได้เป็นเด็กอีกแล้ว เราควรจะรู้จักความสุขที่แท้จริงกว่านั้นที่สูงกว่านั้นคือมันค่อยๆเป็น selfless selfless ขึ้นมา ขอให้ตั้งต้น พิจารณาเห็นความไม่รู้ ไม่รู้ของเรา จนถึงกับเป็นความโง่ของเราเมื่อเล็กๆ ให้เห็นเสีย แล้วเราก็จะเลื่อนให้สูงขึ้นมา ถึงจุดที่มันควรจะได้ในที่สุดในปลายทาง ให้ความสนใจรู้จัก selfish happiness ของเด็กๆ แล้วก็จะได้รู้สิ่งที่มันสูงขึ้นไปเป็น selfless ของผู้ใหญ่ ถึงที่สุดสูงสุดเด็ดขาดเลยเป็น holy man พระอรหันต์ สิ่งที่จะแบ่งแยกออกให้เห็น วิธีที่ดีที่สุด คือ selfish happiness ต้องมีความยึดมั่นถือมั่น attachment clinging มันจะยิ่งมี selfish มาก และความสุขนั้นจะมีมาก อีกฝ่ายหนึ่งยิ่งไม่มี attachment จะยิ่งมีความสุขมาก รวมความว่าฝ่ายนี้ยิ่งมีความยึดมั่นถือมั่นมาก ยิ่งมีความสุขมาก ฝ่ายนี้ยิ่งไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ยิ่งมีความสุขมาก ท่านเข้าใจข้อนี้ให้ดีๆ ขอร้องให้เข้าใจข้อนี้ดีๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เรียกว่า attachment นั่นแหละ เข้าใจให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจทั้งหมด ขอให้แยกแยะให้เห็นว่าถ้ามันมี attachment คือมันถือไว้ มันจับไว้ แต่ถ้ามัน non-attachment มันปล่อยไป ถ้าถือไว้จับไว้ ถือไว้จับไว้ เหมือนกับถือของหนัก heavy burden of life มันเป็นผลของ attachment ถ้าไม่เอามันปล่อยไป มันก็ไม่มี heavy burden of life ขอให้สังเกตดูว่ามันมี heavy burden กับไม่มี แต่เดี๋ยวนี้เรากลับหลงรัก heavy burden โดยไม่รู้สึกตัว ปัญหามันก็มีโดยไม่รู้สึกตัว ขอให้สังเกตดูให้ดีๆ ปัญหามีอยู่โดยไม่รู้สึกตัว
สิ่งธรรมดา สามัญ ที่จะเปรียบเทียบกันให้เข้าใจได้ง่าย คู่หนึ่งซึ่งท่านจะเข้าใจได้เองก็ได้ว่า มีคำพูดว่า household life, homeless life คุณสันติช่วยอธิบายให้ดีๆว่า household life เต็มไปด้วย attachment ส่วน homeless life มันก็มี attachment หรือมันมีน้อย ท่านไม่ต้องบวชก็มี homeless life ได้อยู่ที่บ้านก็มีได้ เมื่อใดมีattachment เมื่อนั้นเป็น household life เมื่อใดไม่มี attachment เมื่อนั้นเป็น homeless life วัตถุที่ตั้งทั้งความยึดมั่นถือมั่นก็คือ สิ่งที่เรียกว่า self นั่นเอง เมื่อใดเรามี concept of self เมื่อนั้น เราเป็น household life เมื่อใดเราไม่มี concept of self เราก็เป็น homeless life ง่ายๆอย่างนี้อยู่ที่บ้าน ภาษาไทยมันพูดง่าย ภาษาไทยก็พูดว่ามีตัวกู ตัวกู ก็ถือมั่นเป็นทุกข์อยู่ในโลก ไม่มีตัวกู ก็ไม่มียึดมั่นเป็นทุกข์ไม่อยู่ในโลก self ไม่รู้จะแปลว่าอะไร ไม่มีความหมายก็ตัวกู ยึดมั่นมากเท่าไรยิ่งเป็นตัวกูมากเท่านั้น ฉะนั้น อย่ายึดมั่นตัวกู มันก็เป็น homeless life ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ท่านจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุด สัญลักษณ์กางเขน (ท่านพุทธทาสบรรยายภาษาอังกฤษ) เป็นคริสเตียนที่ดีจะเข้าใจเรื่องนี้ได้ง่ายที่สุด เราเคยได้ยืนว่าสัญลักษณ์กางเขน ladder ladder to God เหมือนถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ก็เป็นพุทธบริษัทที่ดี เมื่อสักครู่ เราพูดว่า individual happiness เราก็หมายถึงที่มันเป็น selfless ไม่ใช่ selfish คนทุกคนมี selfless happiness โลกนี้ทั้งหมด โลกนี้ทั้งหมดจะมี peacefulness, peaceful world, peaceful happiness individual in the world ขอให้ความสนใจว่า ท่านทุกคนเป็นคนธรรมดาอยู่ที่นี่ ท่านก็จะต้องมีความสุขที่แท้จริงที่ถูกต้อง คือไม่ใช่ยึดมั่นถือมั่น ท่านมีความสุขจริงๆ รวมกันทั้งหมดก็จะเป็นโลกที่มีความสุข ขอให้มีใจกว้าง ให้นึกถึงความสุขของทั้งโลกทั้งหมดด้วย อย่านึกถึงความสุขของตัวคนเดียว ไม่ถูก ไม่ดี ให้เราจงสนใจสันติสุขสันติภาพของโลก ว่ามันขึ้นอยู่กับความสุขของเราแต่ละคนละคน ถ้าเราแต่ละคนไม่มีความสุข โลกไม่อาจจะมีสันติภาพได้ ต้องยอมรับข้อนี้ก่อน
ทีนี้ขอย้อนมาดูทีแรกกันที เรื่อง self ว่ามันเป็นศัตรูที่สุดยิ่งกว่าสิ่งใด ถ้า self ยังตัวเล็กๆ ก็เป็นศัตรูตัวเล็กๆ ถ้า self มันใหญ่ออก ก็จะเป็นศัตรูตัวใหญ่ออก ถ้าเป็น self ใหญ่ถึงที่สุด ก็จะเป็นศัตรูที่ใหญ่ถึงที่สุด self ตัวเล็กๆก็จะกัดน้อยๆ self ตัวโตก็จะกัดมากขึ้น self โตที่สุด ก็จะกัดมากที่สุด สิ่งที่กัดชีวิตให้เป็นทุกข์ หรือกัดเจ้าของให้เป็นทุกข์ นั่นก็คือ self นั่นเอง สิ่งนั้นแหละ ขอให้สนใจที่จะต้องกำจัดออกไป กำจัดออกไป มาดูกันหน่อยว่ามันเป็นข้าศึกที่สุด กัดเจ้าของที่สุด แต่เราก็รักมันที่สุด ความโง่ของเราจึงมากที่สุด ฉะนั้น ขอให้ท่านสนใจเปรียบเทียบอย่างละเอียด ว่าเมื่อใดจิตของเราไม่มี ไม่มี concept of self จิตเป็นอย่างไร จิตที่ไม่มี concept of self ทั้งในแง่ positive ทั้งในแง่ negative ไม่มีเลย จิตเป็นอย่างไร เมื่อไรที่จิตของเรามี concept of self ขึ้นมา ในแง่ positive ก็ดี negative ก็ดี เป็นอย่างไร ขอให้ท่านสนใจ ดู เห็น เข้าใจเรื่องนี้เองโดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ว่าจิต full of self เป็นอย่างไร เมื่อท่านเข้าใจ selfishness selflessness ท่านสามารถจะปฏิบัติได้ ถ้าเราไม่จำกัดสิ่งที่เรียกว่า self ออกไป ก็ไม่มีทางที่จะมี peaceful mind peacefulness ก็จะไม่มีอะไรเลย ในวันนี้ขอเน้นแต่ให้รู้จัก selfish selfless พระพุทธศาสนามีหลักหัวใจสำคัญที่สุดว่า selflessness เป็นความสุขที่แท้จริง หรือสูงสุด ความสุขที่แท้จริงหรือสูงสุดอยู่ที่ selflessness
ทีนี้ก็ขอท้าทาย ท้าทายเลย ท่านทั้งหลายเลยว่าท่านทั้งหลายจะสังเกตดูตัวเอง ดูตัวเองว่าเวลาที่รู้สึกสบายที่สุด คำว่า สบาย นี่แปลยาก สบายที่สุด มันเป็นคำพิเศษ มันเป็นสุขไม่ทุกข์ เวลาที่สบายที่สุด เวลานั้นเป็นเวลาที่ไม่มี concept of self ไม่มีความรู้สึกว่า self เวลานั้นคือเวลาสบายที่สุด พอมี self ขึ้นมาเมื่อไร มันก็มี concept of self เป็น positive เป็น negative มันก็กัดหัวใจ positive ก็กัดอีกอย่าง negative ก็กัดอีกอย่าง มันก็กัดทั้ง ๒ อย่าง ในเมื่อท่านสบายที่สุด จะไม่มีดีใจกับเสียใจ ไม่มีทั้ง sadness gladness นั่นแหละเป็น happiness ที่ดีที่สุด ที่จริงที่สุด ขอให้สนใจ ดูตัวเอง เพราะว่าเวลาที่สบายที่สุด เวลานั้นไม่มี sadness เวลานั้นไม่มี gladness ก็ไม่มี concept of self แต่อย่างใดเลย เรียนจากตัวเอง เรียนจากข้างใน ดีกว่าเรียนจากในหนังสือ จากคำพูดของใครทั้งหมด ขอให้สนใจสิ่งที่เรียนว่าเวลาไหนสบายที่สุด ขอยืนยันว่าเป็นเวลาที่ไม่มี concept of self มันออกจะเป็นความลับ หรือเรียกว่าความลับก็ได้สำหรับท่าน ในเมื่อได้ยินว่า จะมีความสุขหรือ happiness อะไรก็ตาม จะมีความสุข ก็ต่อเมื่อเราอยู่เหนืออิทธิพล หรือความหมายของคำว่า สุข คำว่าอยู่เหนืออิทธิพลของความสุข เหนือความหมายของคำว่าสุข คือ อยู่เหนือความสุขนั่นเอง ถึงจะมีความสุข เป็นความลับ ถ้าเข้าใจได้ก็ได้ ถ้าเข้าใจไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เดี๋ยวนี้เรายึดมั่นถือมั่น attach ต่อสิ่งที่เรียกว่า ความสุข ความสุขมากเกินไป จนไม่ยอมเสียสละ จนไม่กล้าคิดจะอยู่เหนืออิทธิพลของความหมายของ ความสุข มี attach ความสุขมากเกินไป นี่ยอดสุดของความสุข เมื่อเรามีความสุขมากเกินไป เป็นความสุขของความ selfish อยู่ที่ตรงนี้ ดังนั้น จงมีความกล้าขึ้นไปเหนือสิ่งที่เรารัก หรือชอบใจว่าความสุขนี้ เรากล้าหาญขึ้น ก็จะพบความสุขที่เรียกว่า happiness ที่แท้จริง ไม่ใช่ที่สุด สูงสุด แท้จริง อยู่ที่นั้น เป็นความสุขที่ไม่กัดเจ้าของเลย ไม่กัดเจ้าของเลย ในที่สุดนี้ ก็จะบอกให้ทราบว่าใน idiom ภาษาไทยนี้ ถ้าพูดสิ่งที่เขาเข้าใจไม่ได้ ให้เข้าฟัง เขาจะเรียกว่า เป่าปี่ให้เต่าฟัง เดี๋ยวนี้เรากำลังเป่าปี่ให้ใครฟังก็ไม่ทราบ ยังสงสัยอยู่ ถ้าวันนี้ไม่เข้าใจก็พูดวันหลังอีก วันนี้ขอจบแค่นี้