แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
จะได้พูดโดยหัวข้อว่าชีวิตใหม่กับอาณาปานสติภาวนา เกี่ยวข้องกันอย่างไร ก็อย่าได้เข้าใจอย่างตื่นเต้นเป็นของพิเศษนอกเหนือธรรมดา อะไรนัก เพียงแต่ว่ามันดีกว่าชีวิตแบบที่เรากำลังมีอยู่ซึ่งเต็มไปด้วยปัญหา เพราะฉะนั้นชีวิตใหม่ในที่นี้ก็หมายความว่าชีวิตที่มันไม่มีปัญหายุ่งยากนั่นเอง ชีวิตตามธรรมดามีปัญหานับไม่ไหว โดยธรรมชาติก็มีปัญหาเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย เรื่องทุกอย่างมันไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วปัญหาที่ว่าเราอยู่ในสังคมที่มันมีปัญหายุ่งยากมากเหมือนกับอยู่ร่วมกับคนบ้าในโลกนี้ มันจึงมีสิ่งที่เข้ามากระทบเราเป็นสุข เป็นทุกข์มากเหลือเกิน นี้เรียกว่าชีวิตธรรมดานั้นมันเต็มไปด้วยปัญหา
ปัญหาข้อแรกมันขึ้นอยู่กับคำพูดที่เราใช้ ที่เราใช้ มันไม่ตรงกัน ตัวอย่างเช่นคำว่าความสุข ความสุข ไม่รู้จะเรียกกันว่าอะไรได้แน่ เรียกกันว่าความสุขในระบบชีวิตเก่า มันก็เป็นอย่างหนึ่ง ในชีวิตใหม่มันก็ต้องเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ เพราะคำว่าความสุข ความสุขนี้มันกำกวม Ambiguous กำกวม กำกวม จะต้องทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้เป็นข้อแรก สำหรับคำว่าความสุข ความสุขในภาษาธรรมดาตามแบบชีวิตเก่า ก็คือสิ่งที่ท่านรู้จักหรือเรียกมันว่า ความสุข ความสุข จะ Happiness หรืออะไรก็สุดแท้ แต่ความสุขในความหมายใหม่ของระบบชีวิตใหม่นั้น ไอ้ความสุขนั้น มันอยู่เหนือความสุข มันอยู่เหนือความสุข จะเป็นไม่สุขและไม่ทุกข์ มันก็เลยต่างกันมากถึงอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจะต้องทำความเข้าใจกันในเรื่องนี้เป็นข้อแรก ความสุขในภาษาธรรมดา ภาษาธรรมดา มันเป็นคู่ตรงกันข้ามกับความทุกข์ มันก็เลยเป็น pair opposite สุข และทุกข์เป็นคู่กัน ความสุขอย่างนี้ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ต้องเป็นความสุขที่อยู่เหนือนั่น เหนือสุขและเหนือทุกข์ คือไม่มีปัญหาโดยประการทั้งปวง ขอให้เราสนใจทำความเข้าใจความหมายของคำว่าเหนือสุขและเหนือทุกข์ นี้ให้เป็นที่เข้าใจเถอะ แล้วจะเข้าใจพุทธศาสนา คำพูดในพุทธศาสนาที่ใช้อยู่มีความลำบากเหมือนกัน พูดว่าความสุขเป็นอย่างนี้ๆ และเหนือความสุขขึ้นไปอีกก็ยังไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไร ก็ยังต้องเรียกว่าความสุขอยู่นั้นเอง อย่างดีที่สุดก็เติมเข้าไปว่าความสุขที่สุด อย่างยิ่ง at most supreme ทำนองนั้น แต่ก็ยังเรียกว่าความสุข ความสุข เพราะฉะนั้นคำว่าความสุขนี้เป็นปัญหา ถ้าจะพูดตามธรรมดาเรียกว่าความสุข แต่ถ้าพูดอย่างถูกต้องว่าเหนือ เหนือ เหนือความสุข ความสุขที่เหนือความสุข นี่ต้องเข้าใจข้อนี้ ปัญหามันก็มีอยู่ตรงที่ว่า แม้เราจะเรียกว่าความสุขที่สูงสุด มันก็ยังมีความหมายอย่างเดิม ผู้ฟังเขาก็ให้ความหมาย ให้คุณค่าอย่างเดิมกับความสุขนั่นแหละ เลยเป็นเหตุให้ไม่รู้จักความสุขที่เหนือความสุข นี่เป็นสิ่งที่ต้องสนใจ เพื่อให้เข้าใจง่ายๆ ในการที่จะ Discriminate จากกันว่า ถ้ามันเป็นความสุขที่มันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น Attachment หรือ Thinking อะไรก็ตาม ถ้ามันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น เรียกว่าความสุขภาษาธรรมดา มีความสุขชนิดหนึ่งไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น มันไม่มีความหมายจะเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น เอามาเป็นตัวเราหรือเป็นของเราอย่างนี้ นี่ความสุขที่แท้จริงที่เรากำลังจะพูดถึง ซึ่งเป็นความสุขของชีวิตใหม่ ขอให้ศึกษา ศึกษาจนเห็นจริง เห็นชัด ตามหลักธรรมะที่มีอยู่ว่า ความทุกข์ ความทุกข์ในความหมายที่ถูกต้องนั้น มันเกิดมาจากความยึดมั่นถือมั่นหรือ Attachment นั่นเอง ดังนั้นแม้เราจะ Attach ในความสุขมันก็กลายเป็นความทุกข์ Attach ในความดีมันก็กลายเป็นความทุกข์ Attach ในความไม่มีทุกข์มันก็กลายเป็นความทุกข์ มัน Attach ที่ไหน ที่นั้นจะกลายเป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์ไปทั้งหมด เรารู้ว่า Attach ไม่ได้ เป็นความทุกข์เสมอ ราต้องการความสุขที่ไม่มี Attach ที่ไม่มี Attachment ขอให้เข้าใจความหมายของคำว่า Attachment คือเป็นการที่ไปจับเอาไว้ จับถือเอาไว้ ท่านทั้งหลายก็เข้าใจได้ว่า เราจะถือก้อนหิน มันก็หนักและเป็นทุกข์ แม้เราจะถือเพชรพลอยที่มีค่ามากที่สุด มันก็หนักและเป็นทุกข์ ก้อนหินและเพชรพลอยจะต่างกันก็ตามใจ แต่ถ้าถือเอาไว้แล้วมันก็หนักและเป็นทุกข์ เราจึงถือว่าความทุกข์เกิดมาจากความยึดถือ ยึดมั่นถือมั่น ชีวิตใหม่ เราต้องการความสุขที่ไม่มี Attachment ที่ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น เราถึงจะแยกความสุขชนิดที่มีความยึดมั่นถือมั่น กับความสุขที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งเป็นความสุขที่แท้จริง ที่เราได้มาแล้วเราจะเรียกว่าชีวิตใหม่ มีความสุขที่ไม่เป็นของหนัก ความสุขที่ไม่เป็น Burden of life อีกต่อไป ชีวิตใหม่มีความหมายอย่างนี้
ที่นี่ก็มาดูที่สิ่งที่เราเรียกว่าชีวิต ชีวิต ถ้าเรา Attach ชีวิตว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา ชีวิตนั้นก็เป็นของหนัก มันก็เป็นของหนักขึ้นมาในตัวชีวิต ดังนั้นเราต้องการชีวิตชนิดที่ไม่ได้มี Attach ว่าเป็นตัวเราว่าเป็นของเรา คือเราไม่ได้หิ้ว หิ้วถืออะไรไว้ ไม่ว่าเพชรพลอย หรือไม่ว่าก้อนหิน เราไม่ Attach ขึ้นมา ชีวิตดี ชีวิตชั่วก็ตาม เราไม่ Attach ขึ้นมาว่าเป็นตัวเรา หรือเป็นของเรา เราจึงมีชีวิตที่ไม่มี Attachment นั้นคือชีวิตใหม่ ที่นี้ปัญหามันก็มีอยู่ว่า พอมีใครมาบอกว่าเรามีชีวิตที่ไม่ Attach ว่าเป็นเราหรือเป็นของเรา ท่านก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ ชีวิตที่ไม่ Attach เป็นเราเป็นของเรา มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ และท่านก็ไม่สนใจ ท่านก็ไม่สนใจ มันก็ไม่พบกับชีวิตใหม่ที่ไม่มี Attachment เราจะต้องลอง จะต้องศึกษา จะต้องพยายามทำความเข้าใจ พยายามลองปฏิบัติดูให้มีชีวิตที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น นี่เราจะเรียกมันว่า มันอยู่เหนือดี เหนือชั่ว เหนือ Positiveness เหนือ Negativeness มันเหนือ Pair of opposite ทุกคู่ ทุกคู่ ทุกคู่ นี่คือชีวิตที่เป็นไปได้โดยการปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนา แต่คนโดยมากในโลกจะไม่ยอมเชื่อว่ามันเป็นไปได้ มันมีปัญหาสำคัญที่ว่าถ้าไป Attach แล้วมันก็มีความทุกข์ ขอให้ช่วยจำคำนี้สั้น ๆ ว่า ถ้า Attach แล้วก็จะมีความทุกข์ เราไป Attach ชีวิตที่ดีมันก็กัดเอา Attachชีวิตที่ชั่ว มันก็กัดเอา ทั้งชั่วและทั้งดี มันกัดเอา เพราะฉะนั้นจึง Attach ไม่ได้ อย่าลืมว่าถือก้อนหินก็หนัก ถือเพชรพลอยก็หนัก คือมันจึงกัดเอาทั้ง ๒ อย่าง ทีนี้เราจะไม่ให้มันกัด เราก็ไม่ Attach มัน มันก็ไม่มาเป็น Burden of life ก็เลยเป็นชีวิตใหม่ มีความหมายว่า Free ที่สุด อิสระที่สุด ว่างที่สุด เหนือสิ่งทั้งปวงที่สุด ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ที่แท้จริง ท่านก็จะไม่มีปัญหาเรื่องความทุกข์ เดี๋ยวนี้หาไม่พบคริสเตียนที่แท้จริง หรือที่ดี ในคัมภีร์ไบเบิ้ลนั้นเอง พระเจ้าสั่งเป็นประโยคเดียว ทีเดียว ครั้งเดียว Not attach to good and evil ที่เป็นประโยคยาวๆ ว่า Not take the fruit of the tree of knowledge of good and evil นั่นคือหมายความไม่ให้เข้าไปอยู่ภายใต้อิทธิพลของ Good and evil เราไม่มีความโง่ไป Attach good and evil เราก็ไม่มีความทุกข์ นี่เป็นคริสเตียนที่แท้ ที่จริง ที่ดี ถ้าท่านเป็นคริสเตียนที่ดี ที่แท้ ที่จริง ท่านก็จะอยู่เหนือ XXX (นาที 28.50) ของ good and evil เดี๋ยวนี้เราหาคริสเตียนชนิดนี้ไม่พบ ขอให้สนใจว่า God สั่งครั้งเดียวเท่านั้น Single time และก็ประโยคเดียวเท่านั้น Single sentence เดี๋ยวนี้ เท่านี้ก็ไม่มีใครถือ ก็เลยไม่มีคริสเตียนที่ถูกต้องหรือที่ดี มีแต่ Attach นั่นนี้ Attach evil attach good and bad ไม่เป็นคริสเตียนได้เลย จึงว่าเราหาไม่พบคริสเตียนที่ดี ที่แท้จริง ถ้าหาพบก็คือพบชีวิตใหม่ที่นั่น ถ้าท่านคิดว่า God คือ At most goodness At most good มันจะผิดกับที่ God สั่งว่าอย่า Attach good and evil ถ้าท่านไป Regard god ว่าเป็น At most goodness มันก็จะผิดจากที่ God เขาต้องการ ไม่ Attach good and evil คริสเตียนที่แท้จริง ที่ถูกต้อง ยังไม่มีเพราะเหตุนี้ ถ้า ท่านไม่มี Attachment good and evil แล้ว ท่านก็จะเป็นคริสเตียนที่ดี ที่ถูกต้อง ท่านก็จะเป็นพุทธบริษัทที่ดี ที่ถูกต้อง จะเป็นมุสลิมที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นฮินดูที่ดี ที่ถูกต้อง เป็นที่ดีที่ถูกต้องของทุก ๆ ศาสนาโดยหัวใจ เดี๋ยวนี้เราไม่เป็นอย่างนั้นเลย เรา Attach บางที Attach พระเจ้าเสียเอง มันก็กลายเป็นทุกข์ขึ้นมา เพราะ Attach แม้ในพระเจ้า ต้องไม่ Attach ในความดี ทุกอย่างที่ชวนให้ Attach ขอให้จำว่า ถ้าไม่ Attach ในสิ่งใด จะเป็นศาสนิกชนที่ดี ที่ถูกต้องของทุกๆศาสนาเลยในคราวเดียวกัน ดังนั้นการที่ไม่มี Attachment ในสิ่งใด ไม่ Attachment ในสิ่งใดแม้ในชีวิตนั้นเองก็ไม่ Attachment นั่นแหละคือชีวิตใหม่ ขอย้ำอยู่ตรงนี้ว่าชีวิตที่ไม่มี Attachment ในสิ่งใดนั้นคือชีวิตใหม่
ที่นี่มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ท่านจะต้องการหรือไม่ ท่านจะต้องการมันหรือไม่ ถ้าต้องการเราก็พูดกันต่อไปได้ ว่าการปฏิบัติอาณาปานสติ จะช่วยให้ได้ชีวิตใหม่ ใจความสำคัญที่สุดของอาณาปานสติ ก็คือเอาทุกๆ สิ่งมาดู มาดู มาดู จน Realize ว่า ไม่มีอะไรที่ควร Attach ไม่มีอะไรที่ควร Attach ไม่มีอะไรสักอย่างเดียวที่ควร Attach แล้วมันก็ไม่ Attach มันก็เป็นชีวิตใหม่ พวกฮิปปี้ไปเที่ยวแสวงหาชิวิตใหม่ เคยพบไหม แล้วพบว่าอย่างไร สมัยก่อนหรือเดี๋ยวนี้ก็ได้ Happy คือบ้าดี เมาดี หลงดี Happy ในความหมายของ Happy ที่เขาเที่ยวแสวงหาของใหม่ ก็บ้าดี เมาดี หลงดี จึงไม่มีทางที่จะพบชีวิตใหม่ อาณาปานสตินั้นนำเอามาทุกสิ่งทั้งหมด ไม่ยกเว้นอะไร แต่เราเอามาสรุปเป็นหัวข้อ มันเป็น ๔ หมวด 4 subject ๔ หมวดนี้รวมทุกสิ่งในสากลจักรวาล ทุกสิ่งเอามาดูแล้วจะเห็นว่าไม่มีอะไรที่ควรยึดมั่นถือมั่น
หมวดที่ ๑ ก็คือเอาชีวิตนั่นเอง ร่างกายนี้ก็ดี ลมหายใจที่หล่อเลี้ยงร่างกายก็ดี รวมกันแล้วก็คือชีวิตหรือสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิต เอามาดูเห็น โอ้, มันเป็นธรรมชาติ ตามธรรมดา ตามธรรมชาติ ตามธรรมดาไม่มีส่วนที่จะเป็นตัวตน ไม่มีส่วนไหนที่จะควรยึดว่าเป็นตัวตน ถ้าเราดูไปตามวิธีดูของอาณาปานสติเห็น ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเป็นต้น แล้วก็ชีวิตฝ่ายวัตถุ ฝ่าย xxx (นาทีที่ 41:45 ฟังไม่ออก) ทั้งหลาย ไม่มีส่วนที่ควรยึดถือ ไม่น่ายึดถือ นี่ชีวิตไม่น่ายึดถือ
ที่นี้หมวดที่ ๒ ที่เรียกว่าเวทนา เวทนา คำนี้สำคัญมากที่เรียกเป็นบาลีว่าเวทนา เวทนา เรียกเป็นอังกฤษว่าอย่างไรก็ยังไม่รู้แน่ สิ่งที่เรียกว่าเวทนานี่มันบังคับเรา ให้เกิดความคิด ความนึกและการกระทำ ความคิด ความนึก ความต้องการ และการกระทำทั้งหลาย มันเป็นไปตามอำนาจของเวทนา เป็นสุขบ้าง เป็นทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง มันทำให้เกิดความคิดอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าเป็นสุขก็คิดที่จะเอาจะได้ ถ้าเป็นทุกข์ก็คิดที่จะทำลาย ถ้ายังไม่รู้ว่าสุขหรือทุกข์แน่ ก็ยังสงสัย วนเวียน พัวพันยึดมั่นอยู่ เวทนาเป็นเหตุให้เกิดปัญหานานาชนิด นับตั้งแต่ว่าให้เกิดตัณหา Desire ตัณหา Attachment เรื่อย ๆ ไป ถ้าเราไม่มีเวทนาไม่เกิดตัณหาไม่เกิด Attachment ดังนั้นจึงเอาเวทนาทั้งหลายทั้งปวงมาดู ดู ดูหมดทุกเวลา โอ้,ไม่มี ไม่มีส่วนที่ควรยึดมั่นว่าตัวตน ว่าของตน สำคัญมากข้อนี้ อาณาปานสติหมวดที่ ๒ ความหมายของ Positiveness และ Negativeness มาจากเวทนา เวทนาทำให้เกิดความหมายขึ้นมาว่าเป็น Positive หรือเป็น Negative ถ้าไม่มีเวทนาแล้วความรู้สึกอันนี้ไม่เกิด แล้วยังมีให้เกิดความหมายต่อไปเป็นคู่อื่น ๆ ว่าเป็น Optimist หรือเป็น Pessimist มันก็มีมูลมาจากเวทนา เวทนานี้สร้างปัญหา คือทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นในที่สุด มาศึกษาให้รู้จนมันหมดความหมายที่จะทำอันตรายเรา Positiveness ก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็ทำให้เราหลงรักมันเป็นทาส Negativeness ก็เป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่นถือมั่น ที่ทำให้เราเกลียดมัน มีศัตรูขึ้นมา มีปัญหาขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ทั้งที่เป็น Positive และทั้งที่เป็น Negative เราต้องรู้ความหมายของเวทนาอย่างนี้ อย่างนี้ แล้วเราก็จะไม่อยู่ภายใต้อิทธิพลของเวทนา ขอให้รู้จักเวทนาให้ดีที่สุดจะหมดปัญหา สุขเวทนา ทำให้เราตกเป็นทาสของมัน นี้เห็นได้ง่าย ส่วนทุกขเวนาหรือ Negativeness ทำให้เราเป็นทาสของมันแต่เห็นได้ยาก มันทำให้เป็นทาส เป็นทาสของทุกข์ ของ Negative คือต้องมีปัญหา ต้องจัดการ ต้องเป็นทุกข์ ต้องร้องไห้ ต้องทำให้เป็นทาสโดยเท่ากัน ถ้าใช้ความหมายของคำว่าตกเป็นทาส มัน Enslave เท่ากันทั้ง ๒ ฝ่าย ทั้งฝ่าย Positive และ Negative จงรู้จักสิ่งที่เรียกว่าเวทนานี่ สิ่งที่เรียกว่าเวทนาให้ดีที่สุด จนเราไม่ตกเป็นทาสของมันอีกต่อไป การที่ไม่ตกเป็นทาสของเวทนาใดๆ โดยประการทั้งปวง นั้นคือชีวิตใหม่ นี่เรียกว่าอาณาปานสติข้อที่ ๒ ช่วยให้เราได้ชีวิตใหม่
ที่นี้ก็มาถึงอาณาปานสติหมวดที่ ๓ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิต ไม่โง่ ไม่หลงว่าจิตเป็นตัวตนหรือเป็นของตน เป็นทาสตามธรรมชาติ ปรุงแต่งตามธรรมชาติ จนมันเกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนด้วยความโง่ ด้วย Ignorant ด้วยความโง่ของจิตนั้นเอง ให้เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่าจิตในลักษณะอย่างนี้แล้ว ก็จะไม่ยึดมั่นจิตโดยความเป็นตัวตนของตน ก็เป็นความรู้ใหม่ เป็นชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน ในพุทธศาสนาไม่มี Permanent sense หรือ Permanent soul ไม่มี มีแต่จิตธาตุตามธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุ ตามปัจจัยที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับจิต ถ้าเรารู้เรื่องจิตว่าเป็นอย่างนี้ เราจะควบคุมจิตได้ เราจะจัดการให้จิตรู้ Enlightened ขึ้นมาได้ เราก็จะไม่มีปัญหาใดๆ เราจะทำถูกต้องทุกสิ่งทุกอย่างโดยที่มีจิตชนิดนี้ เราสามารถบังคับจิตหรือใช้จิต ให้เป็นไปได้ตามที่เราต้องการ ตามหลักอาณาปานสติ เราจะทำให้ปราโมทย์บันเทิงเป็นสุขเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้ทันทีก็ได้ หรือเราจะทำให้มันหยุดนิ่ง ว่าง เดี๋ยวนี้ก็ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเราทำให้มันปล่อย ปล่อย ปล่อย ไม่ Attach ในสิ่งใด ไม่ Attach ในสิ่งใดอย่างนี้ก็ได้ นี่เราเรียกว่ามีอำนาจเหนือจิต สามารถจะทำปัญหาให้หมดไป หมดปัญหาเกี่ยวกับจิต เราก็ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับจิต เราก็มีชีวิตใหม่
ที่นี่ก็มาถึงหมวดที่ ๔ หมวดสุดท้าย เรียกว่ารู้เรื่องสิ่งทั้งปวง สิ่งทั้งปวง คำนี้อาจจะเข้าใจยากสำหรับท่านทั้งหลายก็ได้ ภาษาบาลีใช้คำว่าธรรม ธรรมะ ธรรมะแปลว่าสิ่งและก็ทั้งปวงจริงๆ เรียกเป็นภาษาบาลียุ่งๆ ว่า สังขต อสังขตะ มีปัจจัยปรุง ไม่มีปัจจัยปรุง แต่อยากจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายสนใจคำที่เป็นภาษาของท่านเองอยู่แล้วว่า มันมีอยู่ ๒ คำคือคำว่า Phenomenon หรือ Phenomena นี่เป็นคำ Correct thing (นาทีที่ 1.00.00 ฟังไม่ออก) และมีอีกอันหนึ่งซึ่งท่านจะรู้หรือไม่รู้ ก็ไม่ทราบที่ได้ยินเรียกกันว่า Noumenon Noumenon Not phenomena ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่งแล้วมันก็ตรงข้ามกับ Phenomena หมด ทั้งปวง Phenomena or Noumenon นั้นแหละเรียกว่าสิ่งทั้งปวง
ที่นี่เราก็ได้ความว่า All thing All thing ทั้งหมดจริงๆ จะเป็น Phenomena หรือ Noumenon ก็ตามมันเป็นสักว่าทาสตามธรรมชาติ ทาสตามธรรมชาติ ไม่เป็นเรา ไม่เป็นของเรา ไม่เป็น Self ไม่เป็น Soul ไม่เป็น Selfish อะไรขึ้นมาได้ เห็นทุกสิ่งเป็นอย่างนี้ และไม่อาจจะ Attach ในสิ่งใด เป็น Free from attachment of all นี่ชีวิตใหม่ ไม่ Attach ในสิ่งใด ไม่ถูก Enslave เอาไว้สิ่งใด ขอให้รู้จักไว้ว่า สรุปความว่าทุกสิ่งไม่มีอำนาจเหนือเรา ไม่มีอำนาจกระทำแก่จิตใจของเรา เราเป็นอิสระเหนือทุกสิ่ง ด้วยอำนาจอาณาปานสติหมวดที่ ๔ นี้
ที่นี่ก็มาดูทีเดียวหมดทั้ง ๔ 4 group กายหรือชีวิตนี้ ก็ไม่อาจจะเป็น Self หรือเป็น Soul หรือเป็นเรา เป็นของเรา เวทนา เวทนาก็ไม่อาจจะเป็น Self หรือเป็น Soul หรือเป็นเรา เป็นของเรา จิตตะก็ไม่อาจจะเป็น Self เป็น Soul เป็นของเรา สิ่งทั้งปวงก็ไม่อาจจะเป็น Self เป็น Soul เป็นสิ่งเป็นตัวเรา เป็นของเรา และทั้งหมดไม่ใช่ Self เห็นความเป็นไม่ใช่ Self ไม่มี Self มันก็ไม่อาจจะเกิด Attachment ดังนั้นเราจึง Free Free Free นี่เรียกว่าชีวิตใหม่จริงๆ ชีวิตใหม่จริงๆ ในที่สุดเราก็เห็นความจริงอันสูงสุด เรื่องสุญญตา สุญญตา Voice of sense (นาทีที่ 1:07:53 ไม่แน่ใจ) จนเราพูดว่าพุทธศาสนานี้เป็นศาสนาที่สอน No soul ไม่มีอัตตา Not self ไม่มีสิ่งที่เป็นอัตตา คำนี้ใช้รวมกันแต่ความหมายต่างกัน Self กับ Soul แต่ในบาลีก็มีคำว่าอัตตา ไม่มีสิ่งที่ควรเรียกว่าอัตตา และสิ่งที่มีอยู่ มีอยู่นี้ก็ไม่ใช่อัตตา ดังนั้นจึงว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่สอนเรื่อง Not self No soul เราไม่มีที่ Attach ไม่มีที่จะ Attach เราก็เลย Free ในความ Free นี้เราเรียกว่าชีวิตใหม่ รู้เห็นความว่าง ไม่มีอัตตา เรียกว่าสุญญตา คริสเตียนที่ดี จะต้อง (นาทีที่ 1:10: 37 ถึง 1:10:55 ไม่แน่ใจ) Entreprise symbol of cross and the cutting of the atta (The eye อัตตา) The cutting of the self symbol of cross If you are good Christian You entreprise symbol of cross.
เห็นสุญญตา ไม่มี Self ไม่ใช่ Self ไม่มี Soul เห็นชัดว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง พวก Condition ting (นาทีที่ 1:11:42 ไม่แน่ใจ) ก็เป็นไปตามวิธีของ Condition ting พวก Uncondition ting มันก็เป็นไปตามวิธีของ Uncondition ting เราเลยเรียกว่ามันก็เป็นเช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง Suchness เช่นนั้นเอง เช่นนั้นเอง ทั้งหมดนี้ที่เราเห็น ที่เรารู้สึก เช่นนั้นเอง ไม่มี Attachement ในสิ่งใด
พอเห็นตถตา ตถตาทุกสิ่ง มันจะเกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งสำคัญที่สุด ว่าพอกันที พอกันที พอกันทีสำหรับ Attachement พอกันที พอกันทีสำหรับ Attachement นี้เรียกว่าอตัมยตา อตัมยตา พูดเป็นภาษาแสลง หยาบๆ ว่ากูไม่เอากับมึงอีกต่อไปแล้วโว้ย นี่คือสิ่งสุดท้ายเป็นผลของได้ชีวิตใหม่ อตัมยตา อตัมยตา No more dependent No more dependent ปรากฏว่าท่านสันติกโร ก็บอกว่าอตัมยตา (Atammayata) คำนี้ไม่มีใน Dictionary เล่มใหญ่ Pali – English Dictionary ของ Rhys Davids ไม่มีใน Dictionary นี้ ทำไมไม่มีใน Dictionary เข้าใจว่า ผู้แต่งไม่รู้จักคำนี้เลยไม่กล้าเขียนไว้ เพราะฉะนั้นขอให้รู้ว่าเป็นของใหม่ก็แล้วกัน เป็นของแปลกที่จมนิ่งอยู่ ไม่มีใครเอามาใช้เป็นประโยชน์ เดี๋ยวนี้เราเอามาใช้เป็นประโยชน์ คืออตัมยตา No more dependent เรื่องก็จบ ชีวิตใหม่ ขอให้จำไว้สำหรับเป็นมนต์ขับไล่ซาตาน ขับไล่ Devil ทุกชนิด เป็นมนต์ อตัมยตา (Atammayata) จบเวลาหมดแล้ว จะบอกว่าเป็นผลของการเห็นอาณาปานสติ