แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ในวันแรกนี้ ในการกล่าวครั้งแรกนี้จะขอ พูดถึงวิธีการที่จะเข้าถึงพระพุทธศาสนา เพื่อความสะดวก ง่ายดาย รวดเร็วในการศึกษาพุทธศาสนา ขอให้รู้จักคำสัก ๓ คำก่อน คือคำว่า รอบรู้ ตื่นนอน และเบิกบาน รอบรู้ ตื่นนอน และเบิกบาน คำว่ารอบรู้ ไม่ได้หมายความว่ารู้ทุกสิ่งไปทั้งหมด รู้แต่สิ่งที่ควรจะรู้ แต่ว่ารู้ทุกอย่างที่ควรจะรู้อย่างนี้ก็เรียกว่ารู้ รอบๆ รอบรู้ได้เหมือนกัน เราไม่ต้องรู้เรื่อง อวกาศ เรื่องนิวเคลียร์ หรือเรื่องไปโลกพระจันทร์ ไม่ต้องรู้ทั้งหมด รู้แต่เรื่องที่รู้แล้วดับทุกข์ได้โดยตรง นี่เรียกว่ารอบรู้ สำหรับคำว่าตื่นนอนนั้น เรากำลังหลับอยู่ด้วยความหลับ ของ Instinct โดยไม่รู้สึกตัว เรากำลังหลับอยู่ ไม่รู้สิ่งที่ควรจะรู้ เหมือนกับคนหลับ เพราะฉะนั้นเราต้องตื่น ตื่นนอน ตื่นจากความหลับของกิเลส ของกิเลส ที่ว่าเบิกบานนั้นหมายความว่าถ้ามันรู้และมันตื่นจากหลับแล้วมันก็จะบาน คือถึงเวลาที่จะบาน เหมือนดอกไม้บาน และก็บานชนิดที่ไม่รู้โรย ไม่ต้องกลับโรยเพราะมันตื่นจากหลับคือกิเลสโดยสิ้นเชิง
ทีนี้ก็มาถึงคำว่าพุทธศาสนา หรือ Buddhism ขอให้ทราบไว้ก่อนว่า พุทธศาสนาไม่ทำลายเสรีภาพทางสติปัญญา หรือแม้วัฒนธรรมของใคร จะมีสติปัญญาคิดนึกความรู้อะไรก็ตาม จะมีวัฒนธรรมอย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาไม่ทำลายเสรีภาพเหล่านั้นในการที่จะมีความคิดความเห็นเหล่านั้น แต่จะช่วยให้ได้รับสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความดับทุกข์ หรือว่าสะสางปัญหาโดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ต้องสูญเสียความเป็นคริสต์ ความเป็นอิสลามหรือความเป็นอะไรก็ได้ สามารถศึกษาพุทธศาสนาและใช้ทำเป็นประโยชน์ได้ ที่เห็นได้ง่ายๆชัดๆก็คือพุทธศาสนา ไม่มี Dogmatic system ไม่บังคับให้เชื่อ ไม่บังคับให้เชื่อตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อจะนับถือศาสนานั้นๆ ไม่บังคับให้เชื่ออย่าง Dogma แต่ปล่อยให้คิด ให้ฟัง ให้พิสูจน์ ให้ทดลอง ให้อะไรก็ตามพอใจ เมื่อทำแล้วจะดับทุกข์ได้ก็ลองปฏิบัติดู เมื่อดับทุกข์ได้แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่างนี้เราเรียกว่าไม่มี Dogma มีปัญหาเกี่ยวกับคำพูดอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นจะมีผู้ถามว่าพุทธศาสนาเป็น Religion หรือเปล่า นี้เป็นปัญหาทางคำพูด ถ้าเรามีความหมายของคำว่า Religion ถูกต้องแล้ว พุทธศาสนาก็เป็น Religion ขอให้ถือความหมายของ Religion ว่าการปฏิบัติที่ทำมนุษย์ให้เข้าถึงสิ่งสูงสุดเท่านี้เอง การปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์เข้าถึงสิ่งสูงสุด นี่คือความหมายถูกต้องแท้จริงขอคำว่า Religion ทีนี้ก็มามีปัญหาที่คำว่าสิ่งสูงสุด สิ่งสูงสุดนั้นคืออะไร พวกที่ถือพระเจ้า ศาสนาที่มีพระเจ้าก็ว่าสิ่งสูงสุดนั้นคือพระเจ้า ตามความหมายของตน ๆ แต่พุทธศาสนานั้นมีสิ่งสูงสุดอยู่ที่สิ่งที่เรียกว่า นิพพาน ไม่ใช่พระเจ้า คือเป็นความดับทุกข์สิ้นเชิง เป็นความดับทุกข์สิ้นเชิง ไม่มีปัญหาเหลือ เป็นสิ่งสูงสุด ถ้าจะให้พุทธศาสนามีพระเจ้ากับเขาบ้างก็ต้องเป็นพระเจ้าแบบที่ไม่มี ไม่ใช่บุคคล เป็น None Personal God เป็นธรรมะ เป็นสิ่งสูงสุด ธรรมะที่ช่วยได้นั่นแหล่ะคือ Impersonal god ระวังดีๆว่าพุทธศาสนาก็เป็น Religion ได้เพราะให้เข้าถึงสิ่งสูงสุดและมีสิ่งสูงสุดของตนโดยเฉพาะ คือช่วยให้ดับทุกข์ได้สิ้นเชิง
แม้ท่านจะยังพอใจที่จะสงวนไว้ซึ่ง God ในนามพระยะฮาเว ก็ดี ในนามพระอัลเลาะห์ก็ดี ก็ขอให้แปลความหมายของคำเหล่านั้นว่า สิ่งที่ช่วยให้รอด สิ่งที่ช่วยให้รอด หรือผู้ที่จะช่วยให้รอดซึ่งจะช่วยให้รอดได้จริง แล้วก็ไม่ขัดกัน จะถือศาสนาอะไร ยึดพระเจ้าอะไรก็ขอให้แปลความหมายของคำว่าพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอด นิพ พา นะ ที่เป็นกิริยาก็หมายถึงการกระทำให้ดับทุกข์สิ้นเชิง และก็มีผลของการดับทุกข์สิ้นเชิง วิธีการกระทำที่ช่วยให้การดับทุกข์สิ้นเชิงนั้นแหละเราถือเป็นสิ่งสูงสุด และเราจะเรียกว่า Impersonal God แต่ก็เป็น God ด้วยเหมือนกัน เพราะเป็นสิ่งสูงสุด เพราะฉะนั้นอย่าเอา God มาทะเลาะกันเลย ให้ทุกๆ God ช่วยให้ดับทุกข์สิ้นเชิง ถ้าเราจะมีการศึกษาเปรียบเทียบ เราก็ทำได้ โดยที่ไม่ต้องให้ศาสนานั้นทะเลาะกัน เราอย่าไปมัวเทียบในทางที่มันแตกต่างกัน เราจะมองให้เห็นในทางที่มันเข้ากันได้ ร่วมมือกันได้ ทุกศาสนาต้องการจะทำลายความเห็นแก่ตัว ทุกศาสนาต้องการที่จะสร้างสันติภาพในโลกตามวิธีการของตนๆ ทุกๆศาสนาต้องการจะช่วยโลกในการสร้างสันติภาพ ดังนั้นเราจึงมีวิธีการที่ต่างๆกัน ตามสมควรแก่บุคคล ซึ่งมันต่างกันมาก แต่แล้วมุ่งหมายไปยังสิ่งสูงสุดสิ่งเดียวกันคือการช่วยหรือสิ่งที่ช่วยให้ดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มีปัญหาระหว่างศาสนา
เมื่อพูดถึงคำว่าเข้าเป็นอันเดียวกับGod United being united with god มีความหมายอย่างเดียวกันเท่านั้นแหละ คือการเข้าอยู่กับภาวะที่ไม่เป็นทุกข์ ภาวะที่ไม่มีความทุกข์โดยประการทั้งปวง ภาวะนั้นจะเรียกว่า God ก็ได้ ไม่ God ก็ได้ Personal God ก็ได้ Impersonal God ก็ได้ แม้จะเป็น Personal God ก็ต้องมุ่งหมายที่ว่าไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นทุกข์ อยู่กับ god แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ดังนั้นการเข้าเป็นอันเดียวกับ God คืออยู่กับความไม่เป็นทุกข์ ตามหลักของศาสนาใดๆ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราสามารถที่จะเข้าถึงหัวใจของศาสนาทุกศาสนาได้โดยวิธีการอันนี้ คือเข้าถึงความไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา การที่ศาสนาบางศาสนาบัญญัติ God ให้เป็นอย่างบุคคล เป็นอย่างบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล ก็เพราะเขาเห็นว่าประชาชนที่นั่น เวลานั้น ไม่อาจจะเข้าใจ God อย่างมิใช่บุคคล มันก็จำเป็นจะต้องบัญญัติเป็น God อย่างมีบุคคล สำหรับประชาชนชนิดนี้ แต่ถ้าประชาชนที่อาจจะรู้ได้ เข้าใจได้ถึงGod อย่างมิใช่บุคคล ก็สอนตรงๆอย่างมิใช่บุคคล คือสิ่งที่ดับทุกข์ได้เป็นสิ่งสูงสุด นี่เราก็เรียกว่า God ได้เหมือนกัน พุทธศาสนาอยู่ในประเภทหลังนี่ คือพูดกับประชาชนที่ฟังออกว่าสิ่งสูงสุดที่มิใช่บุคคลนั้นเป็นอย่างไร และเข้าถึงสิ่งนั้นเถิด เอาหล่ะเป็นอันว่าสิ่งใดช่วยให้เราอยู่เหนือความทุกข์ เหนือปัญหาทั้งปวง สิ่งนั้นเป็น God จะได้เป็น Personal หรือ Impersonal ก็สุดแท้ เรามาพูดกันถึงสิ่งนี้ดีกว่า หรือสิ่งที่ช่วยอยู่เหนือทุกข์ทั้งปวง เหนือปัญหาทั้งปวง
ทีนี้ก็มาดูกันที่พุทธศาสนาโดยตรง โดยเฉพาะ พุทธศาสนาสามารถที่จะให้ชีวิตระบบใหม่ หรือระบบแห่งชีวิตใหม่ เป็นชีวิตที่อยู่เหนืออิทธิพล Positivism หรือ Negativism Free ที่สุด หมดปัญหาที่สุด แต่ว่าคนเป็นอันมากหรือคนส่วนมากอาจจะไม่ชอบก็ได้ เพราะว่าคนเป็นอันมากในโลกพอใจหลงใหล Positivism เป็นทาสของ Positivism อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ดังนั้นเขาอาจจะไม่ชอบพุทธศาสนาก็ได้ ที่ต้องการจะให้พ้นที่อยู่เหนืออำนาจของ Positivism และ Negativism พร้อมกันไปในคราวเดียวกัน มันเป็นสิ่งที่เด็ดขาดอยู่เดี๋ยวนี้ว่าถ้าใคร Attach ต่อ Positivism จนถึงกับเป็นทาส เป็นทาสแหละ Enslave by Positivism แล้วคนนั้นจะไม่อาจเข้าใจพุทธศาสนา และจะไม่ชอบพุทธศาสนา เพราะว่าเขาเป็นทาสของ Positivism ซึ่งพุทธศาสนาต้องการจะให้ชนะและอยู่เหนือ ขอให้สังเกตดูให้ดีว่าปัญหาทั้งหมดที่เป็นความทุกข์ มันมาจากการยึดมั่นถือมั่น หรือ Attachment ต่อ Positivism ทั้งนั้นเลย ถ้าเขาไม่ Attach ใน Positivism มากมาย มันจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้เขาก็อยาก อยาก อยาก ไม่มีที่สิ้นสุด จะให้ดี ให้ได้ ให้สนุก ให้เป็นสุขตามที่เขาต้องการ ปัญหามันก็มากขึ้น เรามีวิธีที่อยู่นอกอำนาจของ นอกอิทธิพลของ Positivism โดยวิธีการศึกษาและปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนา ถ้าท่านชอบเป็นอิสระจาก Positivism ก็สมควรที่จะศึกษาพุทธศาสนา ถ้ายังไม่อยากจะอิสระจาก Positivism แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจต่อพุทธศาสนาหรือ มี (นาที 34.30) พุทธศาสนาที่แท้จริงได้ สิ่งที่เป็น Negative นั้น มันเกือบจะไม่เป็นปัญหา เพราะเราไม่อยากจะไปเกี่ยวข้องกับมันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นปัญหาโดยอ้อม ปัญหาโดยอ้อม คอยฟังให้ดี ปัญหาโดยอ้อม คือมันก็เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรา โดยทั้งที่เราไม่อยากจะเกี่ยวข้อง มันก็มาเกี่ยวข้องกับเรา มันทำให้เกิดปัญหาที่เราจะต้องกำจัดออกไป กำจัดออกไปๆ ดังนั้นเราจึงต้องสามารถขจัดอิทธิพลของ Negativism ด้วย แต่ก็ไม่มากเท่ากับของ Positivism จึงเป็นอันว่าเราจะต้องจัดให้ชีวิตของเราเป็นอิสระอยู่เหนืออิทธิพลทั้งของ Positivism และ Negativism
เพื่อจะให้ฟังง่ายขึ้น เรามาพูดกันถึงคำอีกคู่หนึ่งดีกว่า คือคำว่าดีและชั่ว Good and Evil มีความหมายอย่างเดียวกันแหละ Good มีปัญหามาก เราอยากจะได้ เราไม่ได้ เราหิวเราจะได้มันก็ไม่ได้ ไอ้ Bad เราไม่ต้องการแต่มันก็เข้ามาหาโดยที่เราป้องกันไม่ได้ เราจะต้องอยู่เหนืออิทธิพลทั้งของ Good and Evil ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ท่านก็จะได้ยินได้ฟังคำในพระคัมภีร์ที่ว่า อย่าไปมีความรู้เรื่อง Good and Evil อย่าไปกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้เรื่อง Good and Evil เพราะท่านจะตกเป็นทาสของ Good and Evil มันจะกัดเอา มันจะมีความทุกข์ อยู่เหนือทั้ง Good and Evil นั่นแหละเป็นความหลุดพ้น เป็น Emancipation ที่ดี ที่ถูกต้อง ขอให้เราสนใจที่จะอยู่เหนืออิทธิพลของ Good and Evil เป็นใจความสำคัญ ปัญหาเกิดจากเรามากที่สุดก็ในฝ่ายที่ต้องการจะดี หรือ Good Bad มีปัญหาโดยอ้อม เราไม่ต้องการจะมีมันก็มีมา และรู้จักป้องกัน แต่เรื่อง Good หรือดี นี่เราสมัครใจ สมัครใจจะดีๆๆๆๆไม่มีที่สิ้นสุด เราต้องการ Good เท่านั้น เราต้องการ Better Good เรายังต้องการ The best good เป็นคำที่ท่านอาจจะไม่เคยได้ยิน Best good แล้วก็ยังไม่พอ ยังไม่พอ มันจะที่สุด ๆไม่พอนั่นแหละคือปัญหาที่แท้จริง ทุกคน Attach ต่อ Good จนเกิดปัญหาเต็มไปหมดจนนอนไม่หลับ จนเป็นโรคประสาทจนฆ่าตัวตาย ขอให้รู้จักมันไว้สำหรับอิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่า ดี หรือ Positivism นี้ให้ดีๆ ที่เราจะเห็นไปได้ง่ายกว่านั้นอีกก็ขอให้สังเกตดูสำหรับทุกคน เมื่อเราดีใจ ดีใจมากเกินไป เราก็กินอาหารไม่อร่อยและนอนไม่หลับ นั่นแหล่ะอิทธิพลของ Goodness เมื่อเราเสียใจ เสียใจ เราก็กินอาหารไม่อร่อยนอนไม่หลับ นั่นมันอิทธิพลของ Badness ถ้าเราได้อยู่เหนืออิทธิพลทั้งคู่ ทั้ง Goodness and Badness เราจะกินข้าวอร่อยและเราจะนอนหลับ นี่เป็นคำกล่าวหรือคำแสดงที่ง่ายที่สุดแล้ว และเชื่อว่าทุกคนคงจะเข้าใจ และคงจะต้องการการที่อยู่เหนืออิทธิพลของ Good and Evil เป็นแน่ ขอให้นึกไว้ว่าแม้คนฆ่าตัวตาย ตัวที่เป็นที่รักของตัวอย่างยิ่งมันก็ฆ่าเสียเอง นี่เพราะมัน Attach มากเกินไปใน Goodness ใน Good หรือใน Positive มากเกินไป
ทีนี้เราก็มาพูดกันถึงความอยู่เหนืออิทธิพลของ Goodness Badness โดยมาศึกษาสังเกตเห็นว่า Goodness , Badness, Positive , Negative นี้ เป็น Product ของความโง่ของเราเอง ความโง่ของเราสร้างขึ้นมา ที่จริงมันเป็นธรรมชาติเหมือนๆกัน เป็นเช่นนั้นเองตามธรรมชาติ แต่ความโง่ของเราไปสร้างมันขึ้นมา เพียงแต่ไปแยก ไป Disseminate มันให้เป็น Good บ้างเป็น Evil บ้าง และก็สร้างปัญหาให้แก่ตัวเอง นี้เป็นเรื่องใหม่ ความโง่ของเราเองสร้าง Good and Evil ขึ้นมา
ในพุทธศาสนามีคำที่สำคัญที่สุดอยู่คำหนึ่ง ซึ่งจะขอร้องให้ท่านทั้งหลายสนใจ เข้าใจ ศึกษาและปฏิบัติได้ คำๆนั้นคือคำว่า เช่นนั้นเอง บาลีเป็นตถตา (นาทีที่ 51.00 ฟังไม่ออก) Thatness or Suchness only Thatness Thatness ตถตา ตถาตา ตถตา ถ้าท่านเห็นตถาตานี้แล้ว จะไม่มีความหมายของสิ่งที่เป็นผู้ Lism ทั้งหลายจะไม่มี คือไม่มี Goodness , Badness, Positivism and Negativism ขอให้เราสนใจศึกษาพุทธศาสนาจนถึงหัวใจของพุทธศาสนา คือความจริงที่เรียกว่า ตถาตา
ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เราเรียนกันมาบ้างแล้วในโรงเรียน ก็ช่วยได้ ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่นภาพนี้เราเรียกว่าสวย ภาพๆนี้เราเรียกว่าไม่สวย เราก็ Disseminate มันต่างกัน มันต่างกันจนเกิด Positive ฝ่ายนี้ negative ฝ่ายนี้ทำปัญหาให้แก่เรา ความโง่ของเราไป Disseminate มัน ไป Classified มัน แต่ถ้าท่านดูให้ดี จะเห็นว่าไอ้ภาพที่เราเห็น ภาพที่เราเห็นนั้น มันเป็นเพียงคลื่นของแสง Wave of light เท่านั้น มันเป็นWave of light ที่ต่างกัน แต่มันก็เป็น Wave of light ที่เหมือนกัน Wave of light ในรูปแบบนี้สวยสำหรับคนนี้ แต่อาจจะไม่สวยสำหรับคนอื่น ที่ไม่สวยสำหรับคนนี้ อาจจะไม่สวยสำหรับคนอื่น ที่สวยสำหรับมนุษย์แต่ไม่อาจจะสวยสำหรับสุนัข สำหรับสุนัข ซึ่งไม่มีอวิชชาที่จะไป Disseminate wave of light ให้ต่างกันอย่างนั้น เพราะฉะนั้นภาพสวยหรือภาพไม่สวยก็เป็นเพียง Product ของอวิชชา ของความโง่ของเรา มันเป็น Conception lot ที่เกิดทีหลังว่านี้สวย นี้ไม่สวย ทั้งสวยและไม่สวยมี dashness(นาทีที่ 55.29) หรือ ตถตาเท่ากัน นี่เป็นตัวอย่างในเรื่องสิ่งที่เราเห็นทางตาในโลกนี้
ทีนี้มาดูกันในทางเสียงบ้าง ที่ได้ยินด้วยหู เรา Classified มันเป็นเพลงที่ไพเราะ เป็นเพลงที่ไม่ไพเราะ เป็นเสียงที่น่าเกลียด เป็นเสียงที่น่าจับใจ แต่ที่แท้มันก็เป็นเพียงคลื่นของเสียงที่ต่างกัน คลื่นของเสียงที่ต่างกัน คลื่นของเสียงมันไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อรับเอามา ทำให้เป็นความหมาย มี Quality ขึ้นมา เป็นเสียงที่ไพเราะ เป็นเสียงที่ไม่ไพเราะ ก็เกิดเป็นปัญหาแก่จิตใจ ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ถ้าเห็นเป็นเพียงคลื่นของเสียง มันก็เป็นตถตาโดยเท่ากัน แม้เสียงเพลงที่ไพเราะ และเสียงเพลงที่เราเกลียดที่สุด มันก็เป็นเสียงคลื่นของเสียงโดยเท่ากัน ท่านเห็นตถตาในเรื่องนี้แล้ว ความคิดที่เป็นคู่ๆ เกี่ยวกับเรื่องเสียงก็จะไม่มี ท่านก็จะหมดปัญหาทุกประการเกี่ยวกับเรื่องของเสียงทั้งปวง แล้วไปอยู่เหนืออิทธิพลของสิ่งที่เรียกว่าเสียงที่เป็น Positive หรือ Negative
ทีนี้ก็ไปดูถึงรส ที่เรารู้สึกทางลิ้น ลิ้นนะ รสอร่อยหรือรสไม่อร่อยที่ลิ้นรู้สึก มันก็เหมือนกันอีกแหละ ไอ้รสมันเป็นผลของการคิดปรุงแต่งขึ้นมา ที่จริงมันเป็นเพียง planetary (นาทีที่01.02.43) มากหรือน้อยของสิ่งที่มันมาถูกกันกับประสาทของลิ้น ถ้าจำนวนมันมากระบบประสาทรับจำนวนมากก็เป็นรสอย่างหนึ่ง ไม่มากก็รสอย่างหนึ่ง กลางๆก็รสอีกอย่างหนึ่ง ที่จริงเป็นปฏิกิริยาของสิ่งที่มากระทบลิ้นตามปริมาณมากหรือน้อยเท่านั้น เราก็ได้รสที่หลอกเรา หวานบ้าง ขมบ้าง เปรี้ยวบ้าง มันบ้างอะไรบ้างแล้วแต่รส นี่มันจึงเกิดเป็นชอบและไม่ชอบขึ้นมา Positive และ Negative ขึ้นมา ถ้าเห็นมันเป็นเพียง Quantity ของสิ่งที่มากระทบระบบประสาทลิ้นแล้วมันก็เป็น ตถาตา ปัญหาเรื่องอร่อยหรือไม่อร่อยก็หมดไป เราก็ไม่มีปัญหา ไม่มีความทุกข์ลำบาก ยุ่งยาก เกี่ยวกับเรื่องสิ่งที่เรียกว่ารสอีกต่อไป นี่ก็เป็นตถตาของสิ่งที่เรียกว่ารส
ตัวอย่างอีกสักสิ่งคือกลิ่น กลิ่นมากระทบจมูก ในจมูกมีระบบประสาท ไอ้กลิ่นนั้นมันไม่ได้มีกลิ่นอะไร ไม่ใช่กลิ่น มันเป็นเพียงความมากน้อยของแก๊ส แก๊สที่มันระเหย xxx (นาทีที่1.05.55) แก๊สมากหรือน้อยเท่านั้นเอง มากหรือน้อย เข้มข้นหรือเจือจางเท่านั้นเอง มันมี Quantity เท่าไหร่มากระทบระบบประสาทจมูกแล้ว มันก็มีรสอย่างนั้นๆ เช่นหอม เช่นไม่หอม เช่นครึ่งหอมครึ่งเหม็นหรือว่ากลิ่นต่างๆกัน นั้นมันเป็นความมากน้อยของแก๊สที่ระเหยได้ ที่มากระทบระบบของประสาททำให้เกิดกลิ่นต่างๆกัน ถ้าความเข้มข้นทำให้เจือจางลง กลิ่นเหม็นจะกลายเป็นกลิ่นหอมนี่ ขอไปสังเกตทดลอง กลิ่นที่เราเรียกว่าเหม็น ถ้าเราสามารถทำให้มันจางระเหยกว้างออกไปให้มี เช่นให้มันมิติทางเวลาหรือทางเนื้อที่ให้มันมากออกไป แล้วมันจะเปลี่ยนกลิ่นเป็นกลิ่นตรงกันข้าม กลิ่นเหม็นเป็นกลิ่นหอมก็ได้ เพราะว่ามันเป็นเพียงความมากน้อยของแก๊สที่มากระทบระบบประสาทของจมูก มันหลอกเราเห็นเป็น Bad เป็น Good เป็น Positive เป็น Negative ถ้าเรารู้ความจริงเรื่องนี้ปัญหาเรื่องกลิ่นก็จะไม่มี เราก็เป็นอิสระจากปัญหาเรื่องกลิ่น โดยอำนาจตถตาเห็นว่ามันก็เช่นนั้นเองด้วยกันทุกๆกลิ่น ท่านจะไม่เชื่อ หรือท่านอาจจะไม่เชื่อว่ากลิ่นซากศพ กลิ่นซากศพ ถ้าเราทำให้มันจาง ให้มันขยายจางๆออกไปโดย Time ก็ดี โดย Space ก็ดี จางออกไปๆ จนจางมาก จางที่สุด แล้วมันกลายเป็นกลิ่นหอมชนิดหนึ่ง ท่านคงไม่เชื่อ และกลิ่นที่มันหอมนั้นแหละ ถ้าทำให้เข้มข้นเข้า เข้มข้นเข้า เข้มข้นเข้าจนมันกลายเป็นกลิ่นฉุนที่เราดมไม่ได้ นี่แหละเป็นความหลอกลวงของระบบประสาท ที่มันโง่ ที่มันยังโง่ มันเกิดความคิดปรุงแยกเป็นอย่างนั้น แยกเป็นอย่างนี้ ขอให้เราเห็นความจริงของสิ่งเหล่านี้ เห็นคลื่นของแสง เห็นคลื่นของเสียง เห็นปริมาณของแก๊ส ปริมาณของรสเหล่านี้แล้ว เราก็จะเห็นว่ามันเช่นนั้นเอง ไม่มี Bad Good ไม่มี Good Bad ไม่มี Positive Negative เรียกว่าเห็นตถตา นั่นแหล่ะยังมีอีกมาก อีกหลายอย่าง หลายประการ จนกระทั่งสูงสุด ขอให้ท่านสนใจเรื่องตถตา ซึ่งเราก็จะได้ศึกษากันต่อไป
สรุปความว่าตถตา จะช่วยให้เราอยู่เหนืออิทธิพลหรือความหมายของ Dualism ทุกคู่ All Opposite ทุกคู่ จนเราอยู่เหนือ Filling ทั้งปวง อยู่เหนืออิทธิพลของโลก เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative โดยอาศัยความรู้เรื่องตถตา การปฏิบัติอาณาปาณสติจะช่วยให้เรามีความรู้หรือมีตถตา ขอให้ท่านพยายามศึกษาเรื่องอาณาปาณสติ จนกระทั่งมีความรู้เรื่องตถตา มันจะหมดปัญหาเรื่องชีวิตเก่า และได้ชีวิตใหม่ ที่อยู่เหนืออิทธิพลของ Positive และ Negative ดังที่กล่าวแล้ว ขอยุติการบรรยายในวันนี้......