แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เข้าใจสิ่งที่เรียกว่า ชีวิตดีขึ้น แล้วก็จะรู้จักธรรมะที่จะช่วยเหลือให้ชีวิตไม่มีความทุกข์ได้ดีขึ้น จะพูดด้วยเรื่องสิ่งที่เรียกว่า คุก คุก ขอให้ตั้งใจฟังให้ดี มีอาการของสิ่งที่เรียกว่า คุกที่ไหน ก็มีความทุกข์ที่นั่น ขอให้สังเกตดู ความทุกข์ทุกชนิดมีอาการของสิ่งที่เรียกว่า คุก คือ ถูกจองจำหรือทำให้ลำบาก
ท่านจะเข้าใจความหมายของสิ่งที่เรียกว่า “อุปาทาน” อุปาทานยิ่งขึ้น คือ ถ้ามีอุปาทานที่ไหน ก็มีคุกที่นั่น สิ่งที่เรียกว่าอุปาทานนั่นเอง ทำให้เกิดอาการของการติดคุกขึ้นมา อุปาทานมีที่ไหน ก็มีการผูกพัน ผูกพันที่นั่น ในแง่ของ positive ก็ได้ negative ก็ได้ มันผูกพันได้เท่ากัน มันหมายมั่นไปยึดถือโดยความเป็นตนหรือเป็นของตน ก็เกิดความผูกพัน เมื่อมีความผูกพันก็มีการติดอยู่ในสิ่งนั้น เหมือนกับการติดคุก โดยหลักธรรมะในพุทธศาสนาทั้งหมดทั่วๆไป สรุปได้ว่า อุปาทานเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ หรือความทุกข์เกิดมาจากอุปาทาน ดังนั้น เราจึงต้องเข้าใจเรื่องนี้ให้ดีๆ ถ้าจะเข้าใจให้ง่ายก็จะเห็น ต้องเห็นให้ชัดในลักษณะที่มันเป็นคุก เหมือนกับคุก เป็นคุกทางจิต ทางวิญญาณ
การที่มาเรียนธรรมะก็ดี ฝึกสมาธิวิปัสสนาก็ดี เพื่อทำลายอุปาทาน ดังนั้น จึงพูดโดยอุปมาว่า เพื่อทำลายคุกที่เรากำลังติดอยู่นั่นแหละ มันเป็นคุกทางจิตทางวิญญาณ มีความหมายอย่างเดียวกับคุกทางวัตถุ ทางร่างกายที่มีอยู่ทั่วๆไปที่เขาติดกัน แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นคุกทางวิญญาณ ประหลาดที่มองไม่เห็นตัว และประหลาดยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า มันสมัครจะติดคุก บางทีมันก็ยินดีที่จะติดอยู่ในคุก มันประหลาดอย่างนี้ ท่านต้องนึกถึงคำว่า ความรอด ความรอด หลุดพ้นของทุกศาสนา ทุกศาสนาจะมีความมุ่งหมายสุดท้ายเป็นความรอด แล้วแต่จะใช้คำอะไรตามภาษาอะไร แต่มันมีความหมายว่าความรอด ทุกศาสนาสอนความรอด ก็คิดดูว่ารอดจากอะไร มันก็รอดจากคุกทางวิญญาณนั่นเอง
ที่ท่านทั้งหลายทุกคนต้องการอยู่ทั่วไปและเดี๋ยวนี้คือสิ่งที่เรียกกันว่า เสรีภาพ เสรีภาพ freedom หรืออะไรก็ตาม นั่นมันก็คือหลุดจากคุก คุกทางฝ่ายร่างกายทางวัตถุก็ได้ คุกทางฝ่ายจิต ฝ่ายวิญญาณก็ได้ มีความหมายอย่างเดียวกัน เราต้องการเสรีภาพ คนไม่มีปัญญาเขาก็มองเห็น(ความ)น่ากลัวเห็นแต่คุกธรรมดา คุกทางกาย ทางวัตถุ แต่ถ้ามีปัญญามองเห็นลึกซึ้งก็จะเห็นว่า คุกทางจิตหรือทางวิญญาณมันน่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ
ดูกันเดี๋ยวนี้ก็เห็นได้ว่า ไม่ ไม่ได้มีใครติดคุกตามธรรมดาสามัญกันกี่คน กันกี่คน แสดงว่าทุกคนทั้งโลก ทั้งโลก ทุกคนมันติดคุกในทางวิญญาณ อย่างท่านทั้งหลายมานั่งอยู่ที่นี่ก็ไม่ได้ติดคุกตามธรรมดาแต่ติดคุกทางวิญญาณ ที่เป็นเหตุให้ต้องมาศึกษาธรรมะหรือปฏิบัติสมาธินี้ก็เพราะความบีบคั้นของความติดคุกในทางวิญญาณนั่นแหละ ท่านจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่ ไม่ ไม่สำคัญแต่มันก็บีบบังคับให้ดิ้นรนแสวงหาเสรีภาพทางวิญญาณ แต่ท่านอาจจะไม่รู้จัก (ไม่)รู้สึกมันด้วยซ้ำไป ทั้งที่ไม่รู้สึกไม่รู้จักมันก็บีบบังคับให้หาเสรีภาพในทางวิญญาณ จึงได้พากันมาที่นี่หรือที่อื่นอย่างนี้
ถึงแม้ว่า สิ่งที่ทำให้ติดคุกมีเพียงสิ่งเดียวคืออุปาทานเพียงสิ่งเดียว แต่คุกก็อยู่ในรูปแแบบที่ต่างๆ กันมากมายหลายอย่างหลาย ๑๐ แบบ ถ้าเราจะศึกษาดูทุกๆ แบบก็จะช่วยให้เรารู้จักสิ่งนี้ดีขึ้น ก็จะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าอุปาทานดีขึ้น และจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่าตัณหาหรือกิเลสที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ตามหลักแห่งพุทธศาสนาได้ดีขึ้น จะรู้เรื่องความทุกข์ดีขึ้น ถ้าเรารู้จักเรื่องคุกกันอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
อยากจะขอแนะว่า ใช้คำว่า upadana นี่จะดีกว่าคำว่า Attachment ยังไม่เข้าใจในเวลานี้ก็พยายามใช้คำๆ นี้ให้ให้ชินปาก ชินใจ ชินความรู้สึกไว้แต่ว่า upadana คืออุปาทาน อุปาทานในภาษาไทย เราจะต้องรู้ว่าหัวใจของพุทธศาสนานั้นก็คือ ขจัดอุปาทานนั้นออกไป หัวใจของพุทธศาสนาคือสิ่งที่จะขจัดอุปาทานออกไป หรือว่าตัดให้ขาดออกไป แล้วมันก็จะไม่มีคุก แล้วมันก็จะไม่มีทุกข์
ถ้าจะเอาความหมายของคำว่า attachment ด้วย thinking ด้วย grasping ด้วย มารวมกันเข้าจึงจะได้ความหมายของคำว่า อุปาทาน ดังนั้น เราใช้คำว่าอุปาทานดีกว่า มันได้ความหมายกว้างกว่า แล้วจะได้มองเห็นกว้างไกลออกไป มันเป็นคำๆ เดียวที่สำคัญที่สุด ที่เป็นหัวใจของพุทธศาสนาทั้งหมดว่าตัดอุปาทานออกไปแค่นั้นแหละ แล้วความทุกข์ก็จะหมด จึงขอให้ท่านเข้าใจว่ามันเป็นหัวใจของพุทธศาสนาที่รวมอยู่ในทุกๆ นิกาย เถรวาทก็ดี มหายาน(22.40)ก็ดี Zen Buddhism ก็ดี Tibetan Buddhism อะไรก็ดี ก็ดี มันต่างๆ ต่างกันแต่ชื่อเท่านั้น คือพิธีการภายนอก แต่ภายในเหมือนกันดิก คือ ตัดอุปาทาน ท่านอย่า อย่าๆ อย่าเสียใจ อย่าร้อนใจ อย่าคิดให้มันลำบากว่าท่านไม่ได้ศึกษาทั้งเถรวาท ทั้งมหายาน หรือไม่ได้ศึกษาเซน ไม่ได้ศึกษาไอ้ ที่ทิเบตที่ลังกาที่พม่าที่ไหน มันป่วยการ หัวใจมันมีอันเดียวคือตัดอุปาทาน ที่ว่าพุทธศาสนาเถรวาท มหายาน เซนหรือทิเบตจีนนั้นจะต่างกันบ้างก็เปลือกหรือผิวนอก ผิวนอกเป็นเนื้องอก เนื้องอกมัน(มี)พิธีรีตองกันมาก แต่ถ้าหัวใจแท้ๆ มันเหมือนกันหมด คือ ตัดอุปาทาน ดังนั้น อย่า อย่าเสียใจหรือย่าคิดว่ามันไม่พอที่ว่าไม่ได้ไปศึกษาให้ทั่วทุกแห่ง ศึกษาเรื่องตัดอุปาทานเรื่องเดียวมันพอ
ถ้าท่านอยากจะรู้มหายานจริงเป็นนักปราชญ์ ท่านต้องเรียนสันสกฤต เรียนสันสกฤต เรียนเกือบตายก็ยังไม่ค่อยจะรู้ ถ้าจะรู้เซนดีต้องไปเรียนภาษาจีน เรียนเกือบตายก็ยังไม่รู้ภาษาจีน อยากจะรู้วัชรยานของทิเบตก็ต้องไปเรียนภาษาทิเบต อย่างนี้เรียนแต่ภาษานะ เกือบตายแล้วก็ยังไม่ ไม่รู้ แล้วก็ยังไม่ได้เข้าไปถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา มันอยู่ที่ผิวเปลือกนอก ที่เขาเอาไปทำให้มันเป็นไอ้ new, new development ทั้งนั้นแหละ ถ้ารู้หัวใจของทั้งหมดแล้วก็เรียนสิ่งเดียวคือตัดอุปาทาน แล้วก็ท่านได้รู้หัวใจของพระพุทธศาสนาทั้งจะที่เรียกว่ามหายาน เถรวาท อย่างจีน อย่างเซน อย่างญี่ปุ่น อย่างเกาหลี อย่างที่ไหนก็ตาม มันอยู่ที่สิ่งเดียวคือว่าตัดอุปาทาน แม้ในฝ่ายเถรวาทเยอะอย่างเดียวนี้มันก็ยังมีหลายแบบ ทำสมาธิก็มีหลายแบบ แบบยุบหนอ พองหนอก็มี แบบสัมมาอรหังก็มี แบบพอง แบบพุทโธ พุทโธ อะไรก็มี หลายแบบด้วยกัน แต่ว่าหัวใจของมันถ้าถูกต้องแล้วมันอยู่ที่ต้องตัดอุปาทาน ถ้ายังไม่ถึงกับการตัดอุปาทานยังไม่ถึงตัวแท้ ไม่ถึงตัวจริง จะยังไม่ได้รับประโยชน์อะไรด้วยซ้ำไป ดังนั้น ขอให้สนใจเรื่องการตัดอุปาทาน หรือจะพูดโดยอุปมาว่า การทำลายคุก ดังนั้น เรามาพูดกันเรื่องคุกดีกว่า
เมื่อจะกล่าวให้ถูกต้อง เราไม่อาจจะเรียนจากพระคัมภีร์หรือจากแบบ จากคำสอนเหล่านั้นให้สำเร็จประโยชน์ จะให้สำเร็จประโยชน์ที่จริง ที่แท้จริง มันต้องเรียนที่ตัวสิ่งนั้น คือตัวคุก คือตัวความทุกข์หรือตัวคุก ต้องมาหา หาให้พบคุก หาคุกให้พบกันดีกว่า ซึ่งจะมาเล่าให้ฟัง
พอมาถึงตรงนี้มันก็เกิดมีคำพูดขึ้นมา ๒ คำ ว่าคุณจะเรียนจากข้างนอก หรือจะเรียนจากข้างใน มันต่างกันอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าต้องเรียนจากข้างใน เรื่องทั้งหมดที่ต้องเรียนนั้น ตถาคตบัญญัติไว้ในร่างกาย เพียงมีชีวิต มีชีวิตเป็นๆ ยังไม่ตายนั้น ในนั้นน่ะมีให้เรียน เรียนในนั้น เรียนจากข้างในนั้น ก็คือจะเรียนจากในตัวเองที่ยังเป็นๆ น่ะ ไอ้เรียนข้างนอกเรียนจากหนังสืออ่านหนังสือหรือวิธีพิธีรีตองอะไรต่างๆไม่สำเร็จประโยชน์ ดังนั้น ขอให้เรียนจากข้างใน ทีนี้ดังว่า ใช้คำว่าเรียนจากข้างในขอให้จำไว้ให้แม่นยำ
การทำสมาธิวิปัสสนาอย่างที่เรากำลังฝึกอยู่นี่แหละคือการเรียนจากข้างใน มันต้องการความอดทนมากหน่อย แต่มันก็ไม่มากเกินไป ที่จริงถ้าจะเปรียบเทียบกันแล้วไปฝึกไอ้บางอย่างที่เขาฝึกกัน เช่น กีฬาอย่างชั้นสูงหรือว่ากายกรรม acrobat อะไรอย่างยิ่ง อย่างชั้นสูงนั้น มันยังจะยากกว่าฝึกสมาธิวิปัสสนา แต่เขาก็มีความอดทนพยายามพอ เขาก็(จะ)ฝึกได้ ฉะนั้นใครมีความอดทนพอสมควรเท่านั้นแหละ เราก็จะฝึกได้ด้วยการทำสมาธิวิปัสสนา บางคนทนไม่ได้หนีไปเสียก่อน ถ้าทนต่อไปอีกสักหน่อยมันก็ต้องได้ นี่ขอให้พยายามศึกษาจากภายใน และด้วยความอดทนพอสมควร การอธิบายด้วยอุปมา ด้วย metaphor (37.26.)มันช่วยให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนั้นจึงเอามาใช้ และวันนี้ก็กำลังจะพูดกับท่านทั้งหลายเรื่องคุก
คุก อันแรกที่จะต้องมองให้เห็นก็คือตัวชีวิตนั่นเอง ตัวชีวิตนั่นเองเป็นคุกอยู่ในตัวมันเอง ถ้าท่านมองเห็นชีวิตเป็นคุก เป็นตัวคุก นั่นก็เรียกว่ารู้ความจริงของธรรมชาติมากทีเดียว แต่คนโดยมากจะเห็นว่าชีวิตเป็นของสนุก และก็สมัครที่จะอยู่ในความสนุกของชีวิต และก็หลงใหลอยู่ในชีวิต หลงใหลอยู่ในชีวิต ข้อที่หลงใหลอยู่ในชีวิตนั่นแหละมันจึงเป็นคุกขึ้นมา ถ้ามองเห็นชีวิตว่าเป็นคุก ก็จะต้องมองเห็นสิ่งที่เรียกว่าอุปาทาน อุปาทานในชีวิตนั่นเอง ถ้ายังไม่มองเห็นอุปาทานในชีวิตก็ไม่อาจจะเห็นชีวิตเป็นคุก แล้วก็จะพอใจที่จะคิดว่าชีวิตนี้เป็นสวรรค์ไปก็ได้ เพราะว่ามันมีสิ่งที่ทำให้พอใจ ให้หลงใหลมันมากเหมือนกัน แต่ในสิ่งใดมีความน่าพอใจ น่าหลงใหล มันก็มีอุปาทานในสิ่งนั้น แล้วสิ่งนั้นก็กลายเป็นคุกขึ้นมา สิ่งที่เรามีความรักมากเท่าไรมันก็กลายเป็นคุกมากเท่านั้น เพราะมันมีอุปาทานมาก มีอุปาทานในแง่บวก ถ้าเราเกลียดหรือไม่ชอบมันก็มีอุปาทานในแง่ลบ มันก็เป็นคุกเหมือนกัน ฉะนั้นความหลงใน positive ก็ดี ใน negative ก็ดี เป็นคุกทั้งนั้นแหละ พร้อมกันนั้นก็จะมองเห็นได้ว่า เพราะมีอุปาทานในชีวิต ชีวิตก็เป็นคุกขึ้นมา ถ้าไม่มีอุปาทานในชีวิต ชีวิตก็ไม่เป็นคุก ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ก็ต้อง ก็ดูตัวเองว่ามีอุปาทานในชีวิตหรือไม่ ก็คือดูว่ามีคุกอยู่ในชีวิต หรือในตัวชีวิตของท่านหรือไม่ ท่านต้องมองเห็นชัดลงไปให้ชัดทีเดียวว่ามันเป็นคุกหรือไม่สำหรับท่าน ท่านมีคุกหรือไม่ ท่านกำลังอยู่ในคุกหรือไม่ จะมาฝึกมาศึกษาปฏิบัติสมาธิทำไม โดยเนื้อแท้ แท้จริงก็เพื่อจะทำลายคุก แต่จะศึกษาสำเร็จ ทำลายได้หรือไม่ มันอีกปัญหาหนึ่ง แต่ความมุ่งหมายที่แท้จริงก็เพื่อจะทำลายคุกแห่งชีวิต ลองคิดดู ถ้าเราไม่ ไม่รู้จักอุปาทาน เราก็ติดคุกทั้งที่เราไม่รู้จักคุก เราไม่ เราติดคุกโดยที่ไม่รู้จักคุก แล้วยิ่งกว่านั้นเราก็หลงใหลพอใจในคุก อย่างที่เราหลงใหลพอใจในชีวิต หลงใหลพอใจในชีวิต เราจึงติดคุกแห่งชีวิต เราจะทำอย่างไร เราจะทำอย่างไรชีวิตจึงจะไม่เป็นคุก นั่นก็คือคำถามที่จะต้องตอบให้ถูกต้องที่สุด ทำอย่างไรชีวิตจึงจะไม่เป็นคุก ก็หมายความว่าตามธรรมดาชีวิตก็ไม่ได้เป็นคุกหรือเป็นอะไร แต่เราไปทำให้มันเป็นคุกเพราะมีอุปาทาน เพราะมีอวิชชา คือ ความโง่ความไม่รู้ของเราเอง จึงไปมีอุปาทานในชีวิต ชีวิตก็เป็นคุกให้ เป็นคุกให้ ภาษาไทยมีคำหยาบและด่าด้วยว่าสมน้ำหน้ามัน ชีวิตไม่ได้เป็นคุกเป็นอะไร แต่มันโง่ไปเอง ไปมีอุปาทานโดยอวิชชามันก็มีคุกขึ้นมา ก็เรียกว่าสมน้ำหน้ามัน
ถ้าท่านประสบความสำเร็จในการทำอานาปานสติภาวนา ท่านจะรู้จักชีวิตดี รู้จักอุปาทานดี และก็จะไม่มีอุปาทานในสิ่งที่เรียกว่าชีวิต และคุกก็ไม่เกิด ไอ้คุกที่เกิดอยู่มันก็ละลายไป สูญหายไป นี่เป็นสิ่งที่มีความหมาย มีค่ามากที่สุด แต่ใครจะได้รับหรือไม่ได้รับนี่ มันก็อีกเรื่องหนึ่ง ขอให้เข้าใจไว้อย่างนี้เถิด จะเกิดความตั้งใจ ความพยายามในการที่จะทำลายคุกเสียให้ได้ นี่มองดูไปอีกทางหนึ่งก็คือ การที่ชีวิตต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ หรือว่าเราๆ นี่ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ เราต้องปฏิบัติหน้าที่ทุกอย่างตามกฎของธรรมชาติ เราจะต้อง ต้องกินอาหาร จะต้องออกกำลังกาย จะต้องพักผ่อน จะต้องทำงานหาเลี้ยงชีวิต จะต้องทำทุกอย่างที่รู้จักกันดี ไม่ทำไม่ได้ มันบังคับให้ต้องทำ นี่ต้องทำตามกฎของธรรมชาติ ไม่ทำไม่ได้ นี่ก็เรียกว่าคุกด้วยเหมือนกัน คือคุกของการที่ต้องทำตามกฎของธรรมชาติ เราจะแหกคุกนี้ได้อย่างไร ทำไมเราจึงติดคุกของการที่ต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ มันก็มาจากการที่เรามีอุปาทานในตัวเราและในชีวิตของเรา มีอุปาทานในตัวเราเป็นตัวเราขึ้นมา มันก็เป็นห่วง มันก็จะวิตกกังวล มันก็หวาดกลัว มันก็เกิดเป็นคุกขึ้นมา ถ้าเราไม่มีอุปาทานในตัวเรา สิ่งเหล่านี้ก็จะไม่เป็นเหมือนกับคุก เราจะหากินจะหาเลี้ยงชีวิต จะบริหารร่างกายไปได้โดยที่ไม่ต้องเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่มีอุปาทานในชีวิต นี่มัน มันละเอียด มันเป็นไอ้ไอ้ ความลับ มันเป็นความละเอียดของสัจจะหรือความจริง เราจะทำอย่างไรจึงจะไม่มีความทุกข์จากการที่ต้องเรา(54.16)ปฏิบัติตามกฎของธรรมชาติทุกอย่างทุกประการในชีวิตนี้
คุกที่เราจะต้องดูต่อไปๆ อีกก็คือว่า ความอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณ หรือ instinct เราอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณ สิ่งที่มีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าชนิดคนหรือสัตว์หรือต้นไม้ มันมีสัญชาตญาณ สัญชาตญาณมันก็บังคับไปตามเรื่องของสัญชาตญาณ โดยเฉพาะสัญชาตญาณทางเพศ ทางการสืบพันธุ์ทางเพศนั่นแหละ มันบังคับเท่าไร เราลำบากยุ่งยากเท่าไร ความรู้สึกทางเพศทางการสืบพันธุ์มันบีบคั้นเท่าไรมันรบกวนเท่าไร และเราก็หลีกไม่ได้ บางทีเราก็สมัครใจ เด็กๆ ของเราก็โตขึ้นมาถึงขนาดที่มีสัญชาตญาณทางเพศเบิกบานเต็มที่ ดังนั้น เขาก็ติดคุกของสัญชาตญาณทางเพศ แม้ที่สุด (แม้)แต่สัญชาตญาณแห่งการอยากอวด มันก็อาจจะไม่รู้สึกว่าเป็นสัญชาตญาณ ที่จริงมันเป็นสัญชาตญาณที่ต้องการจะอวด แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันก็มีอาการที่มันอยากจะอวด อยากจะอวดว่าสวยว่างามว่าเก่ง แม้แต่สัญชาตญาณบ้าๆบอๆ มันอยากจะอวดอย่างนี้ มันก็เป็นคุก ถ้าไม่มัน ถ้าไม่เป็นคุกมันก็ไม่บีบคั้นอะไร เดี๋ยวนี้มันบีบคั้นให้มีเครื่องแต่งตัวสวยๆ ให้มีรองเท้าสวยๆ และมีมากๆ เสียด้วย ทำไมต้องมีเสื้อสวยๆ หลายตัว มีรองเท้าสวยๆ หลายคู่ ทำไมต้องมี ขออภัยโดยมากจะต้องระบุไปทางผู้หญิง นี่สัญชาตญาณแห่งการที่จะอวดมันก็เป็นคุกชนิดหนึ่งเพราะว่าเขาทนอยู่ไม่ได้ เขาต้องทำตาม สัญชาตญาณแห่งการอยากอวดนี้น่าหัวเราะที่สุด แต่มันก็เป็นคุกอย่างยิ่ง เงินไม่ค่อยพอใช้ก็เพราะคุกอันนี้แหละ ให้นึกให้ดีว่าสัญชาตญาณ ตัวอย่างที่ยกมานี้มันก็เป็นคุก คิดดู ทำบัญชีคิดดูปรากฏว่าค่าใช้จ่ายในการแต่งตัวให้สวยอยู่ตลอดเวลาของคนบางคนมากกว่าค่าอาหาร แล้วยังจะต้องแต่งบ้านเรือนสถานที่นี้ให้สวยอีก ก็ยิ่งมากออกไปอีกรวมกันแล้วมันมากกว่าค่าอาหารซึ่งจำเป็นแก่ชีวิต ดังนั้นเราจะใช้จ่ายไปในสิ่งที่ไม่ได้จำเป็นแก่ชีวิตมากกว่าสิ่งที่จำเป็นแก่ชีวิตนี้ก็เป็นการติดคุกของสัญชาตญาณด้วยเหมือนกัน
ทีนี้ก็มาถึงคุกที่น่าหัวที่สุดหรือใกล้ตัวที่สุด ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรืออายตนะทั้ง ๖ มันเป็นคุก นี่คอยดูให้ดี คอยฟังให้ดีว่ามันเป็นคุกอย่างไร ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ ของเรานี้กลายเป็นคุก เราเรียกเป็นบาลีว่าอายตนะ รากศัพท์ของคำก็คือว่าเครื่องมือสำหรับการติดต่อกับโลกภายนอก สถานที่หรือเครื่องมือหรืออะไรก็ตามที่สำหรับติดต่อกับโลกภายนอก เราเรียกว่าอายตนะ ถ้าสำหรับเรียกเป็นบาลีก็เรียกว่าอายตนะ เรียกเป็นภาษาอังกฤษก็ยังไม่ทราบว่าเรียกอะไร ท่าน....(65.26) จะหาคำให้ ว่าอายตนะทั้ง ๖ เป็นคุก เรามีอุปาทานในชีวิตในตัวเรา ซึ่งมีอายตนะเป็นเครื่องมือสำหรับรู้สึกสำหรับติดต่อหรือสำหรับเสวยอารมณ์ รับอารมณ์ เมื่อเรามีอุปาทานในอายตนะ เราก็รับใช้อายตนะ เป็นทาสอายตนะ รับใช้ตา ทำให้ตาพอใจ รับใช้หู ทำให้หูพอใจ รับใช้จมูก ทำให้จมูกพอใจ รับใช้ลิ้น ทำให้ลิ้นพอใจ รับใช้ผิวหนังผิวกายทั่วไปให้มันได้สบาย รับใช้จิตใจกล่อมจิตใจ แปลว่า entertainment สื่อทุกชนิดแหละ มันเพื่ออายตนะทั้ง ๖ นี้ ซึ่งเรายอมแพ้ ยอมรับใช้ แล้วมันก็บีบบังคับเราให้หลีกไปไม่ได้ นี้เรียกว่าติดคุกของอายตนะ ลองคิดดูว่าใครบ้าง ท่านทั้งหลาย ใครบ้างที่ไม่ได้รับใช้อายตนะทั้ง ๖ นี้ และก็ยังรับใช้ด้วยความสมัครใจอดกลั้นอดทนที่สุดที่จะรับใช้หาทางสบายให้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างผูกพันที่สุด ดังนั้น เราจึงถือว่าเราเป็นทาส คือว่าคนที่ไม่มีปัญญาจะต้องเป็นทาสอายตนะคือติดคุกของอายตนะ ถ้าทำอานาปานสติสำเร็จก็จะหลุดจากคุก ถ้าทำอานาปานสติไม่สำเร็จก็ติดคุกอายตนะต่อไปก็แล้วกัน
ทีนี้คุกต่อไปก็อยากจะระบุไปยังความหลงในสิ่งที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าไสยศาสตร์ superstitious….. (72.48.) ทั้งหลาย เราเรียกว่า ไสยศาสตร์ ยิ่งไม่รู้มันยิ่งมีอวิชชา ยิ่งไม่รู้มากก็ยิ่งติดคุกไสยศาสตร์นี้มาก เดี๋ยวนี้การศึกษามันดีขึ้น วิทยาศาสตร์มันดีขึ้น ทำให้รู้จักความจริงของธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายดีขึ้น แต่ก็ยังมีเหลืออยู่ที่ว่า(การ)ติดคุกทางไสยศาสตร์ มันเป็นของเฉพาะคน บางคนมันก็ติดมาก บางคนก็ติดน้อย ติดแตกต่างกันคนละอย่าง แต่ก็พูดได้ว่ายังมีคนติดคุกของไสยศาสตร์ เดี๋ยวนี้(การติดคุก)ไสยศาสตร์ลดลงไป ลดลงไปมากเหมือนกัน แต่ยังเหลืออยู่มากตามในโบสถ์ ขออภัยที่ต้องพูดอย่างนี้ โดยทั่วๆ ไปก็ลดลง แต่ว่าในโบสถ์นั้นยังเหลืออยู่มาก หรือในสถานที่ชนิดเดียวกันนั่นแหละ มันจะเหลืออยู่มาก ที่ไหนมีที่บูชา มี altar มีที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่นั่นจะเป็นที่เหลืออยู่ของสิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์ แปลว่า science of the sleeper แล้วแต่จะเรียก มันสำหรับคนหลับ สำหรับคนมีอวิชชา ได้รับการสั่งสอนมาแต่เด็กๆ เล็กๆนั้น โดยไม่ต้องมีปัญญามีเหตุผล ถ้าท่านยังเห็นเลข ๑๐ ๑๓ เป็น negative อยู่ละก็ นั่นก็คือไสยศาสตร์แหละ ยังหลับอยู่ ก็มีอะไรอีกหลายๆอย่าง อย่า(ให้)ต้องออกชื่อดีกว่า สิ่งอย่างนี้ก็เป็นคุก มันก็เป็นคุก ขอให้มองเห็นว่ามันก็เป็นคุก แม้แต่เลข ๑๓ มันก็เป็นคุก
เอ้า ทีนี้ก็ไปต่อไปว่า สถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ สถาบันที่มีชื่อเสียง ที่เป็นที่เล่าลือกันว่าเป็นสถาบันที่สูง ที่มีเกียรติ ที่ว่าใครได้เป็นสมาชิกและก็มีเกียรติ อย่างนี้ก็มีอยู่ทั่วๆไป จึงได้จดทะเบียนเป็นสมาชิกของสังคมนั้นสมาคมนี้ สถาบันนั้นสถาบันนี้ แม้คนคนนั้นก็รู้สึกอย่างนั้น รู้สึกว่าเราดีกว่าผู้อื่น เราถูกต้องกว่าผู้อื่น ที่อื่นโง่ ไปยึดมั่นถือมั่นโดยไม่ต้องวิพากษ์วิจารณ์อะไร อย่างนี้สถาบันนั้นๆ สังคมนั้นๆ ในโบสถ์นั้นๆ ก็เถอะมันก็กลายเป็นคุก ขอร้องว่าอย่าได้คิดว่าสวนโมกข์เป็นสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ สวนโมกข์ก็จะกลายเป็นคุกขึ้นมา ขออย่าให้สวนโมกข์กลายเป็นคุกสำหรับท่านทั้งหลายเลย ท่านจงมีความคิดอิสระที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ที่จะเข้าใจ จะรู้จักและถือเอาแต่ประโยชน์ให้ได้ นี่อย่าให้ต้องไปติดคุกสถาบันอันมีเกียรติหรือมีชื่อเสียง
ทีนี้ก็มาถึงคุก คืออาจารย์ อาจารย์ที่มีชื่อเสียงกึกก้องไปไกล ที่พม่ามีอาจารย์ชื่อนั้น ลังกามีอาจารย์ชื่อนี้ ทิเบตมีอาจารย์ชื่อโน้น เมืองจีน มีอาจารย์ชื่อนั้น ทุกแห่งๆ จะมีแต่ละอาจารย์เป็นชื่อก้องไป เป็นประเทศไปก็มี เป็นภาคเป็นจังหวัด เป็นตำบลไปก็มี คือเขายึดมั่นในอาจารย์ว่าถูกต้องแต่อาจารย์นั้นคนเดียวไม่ยอมฟังเสียงอาจารย์คนอื่นแล้วก็ไม่วิพากษ์วิจารณ์ไม่คิดนึกใคร่ครวญในคำสอนของอาจารย์เหล่านั้น แต่ละคนเหล่านั้น นั่นแหละเขาติดคุกอาจารย์ ทำอาจารย์ให้เป็นคุกแล้วเขาก็ติดคุกของอาจารย์ เป็นอุปาทานที่น่าหัวเราะ จะเรียกว่าตัวใหญ่ก็ได้ตัวเล็กก็ได้ เป็นอุปาทานเหมือนกันแล้วก็สร้างคุกขึ้นมาโดยเอาอาจารย์มาเป็นคุก แม้คุกนี้ก็อย่าต้องไปติดเลย
ทีนี้ก็มาถึงพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ sacred scripture ซึ่งก็เห็นว่ามีอยู่ทั่วๆ ไป ในหมู่คนที่มีปัญญาน้อยยิ่งยึดถือมาก ยิ่งยึดถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของแทนพระเจ้าแทนอะไรไปเลย จนคล้ายๆ กับว่าเพียงแต่เอาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มาก็เป็นอันว่าช่วยได้ ทำให้เกิดการศักดิ์สิทธิ์ หลายๆ อย่างเป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ เป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คำว่าศักดิ์สิทธิ์นั่นแหละระวังให้ดี มันจะกลายเป็นคุกขึ้นมาไม่ทันรู้ ยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากก็ยิ่งเป็นคุกมาก ระวังสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์สิทธิ์ให้ดี ขอให้รู้ว่าไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์สูงยิ่งไปกว่ากฎอิทัปปัจจยตา นั่นแหละศักดิ์สิทธิ์สูงสุดยิ่งกว่าสิ่งใดของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งนอกนั้นศักดิ์สิทธิ์สมมติว่าเอาเอง คือศักดิ์สิทธิ์ด้วยอุปาทาน การศักดิ์สิทธิ์ด้วยอุปาทานมีในที่ใดการศักดิ์สิทธิ์นั้นก็เป็นคุก อิทัปปัจจยตาเป็นกฎศักดิ์สิทธิ์ในตัว ไม่ต้องยึดถือไม่ต้องมีอุปาทานมาบังคับสิ่งต่างๆ ให้ศักดิ์สิทธิ์จริง ขออย่าได้ไปติดคุกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดเป็นคุกขึ้นมา
ทีนี้คุกต่อไปอีกจะเป็นเรื่องที่สำคัญมาก มีปัญหามาก คุกนี้คือสิ่งที่เรียกกันว่า “ความดี” ความดี หรือดี ทุกคนชอบดี แล้วก็สอนกันให้ทำดี หลงบูชาสิ่งที่เรียกว่าดี แต่ถ้ามีอุปาทานเข้าไปในสิ่งที่เรียกว่า “ดี” “ดี”และ “ดี”นั่นแหละจะกลายเป็นคุก ฉะนั้นจงมี “ดี” “ดี” ความดีนี้โดยไม่ต้องมีอุปาทาน “ดี”ก็จะไม่เป็นคุก ถ้ามีอุปาทานก็กลายเป็นคุก อย่างที่เราพูดกันว่ามันบ้าดี มันเมาดี มันหลงดี จนเกิดเป็นปัญหาขึ้นมา ฉะนั้นระวัง อย่าให้ไอ้สิ่งที่เรียกว่าความดีนั้นน่ะ กลายเป็นคุก แต่เดี๋ยวนี้มันช่วยไม่ได้ ทุกคนมันติดคุกของความดี ติดคุกของความดีกันอยู่ทุกคน อย่างหลับหูหลับตาทีเดียว ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ก็ขอร้องให้ท่านคิดนึกให้มากถึงคำสอนของคริสเตียนไบเบิ้ล เล่มแรกเยเนซิส อยากกินผลไม้ของต้นไม้ที่ทำให้รู้ดีรู้ชั่ว ก็คือ eat the fruit of the tree of knowledge of good and evil อย่าไปกินเข้า ไปกินเข้าแล้วมันก็จะรู้จักdiscriminate goodness and evil (93.54)มันก็จะ attach จะจะยึดมั่นถือมั่นหรืออุปาทาน แล้ว good หรือ evil ก็จะกลายเป็นคุกขึ้นมา จะกลายเป็นคุกขึ้นมา คำสอนนี้ลึกซึ้งมาก ดีมาก ฉลาดมากที่สุด แต่คนไม่ค่อยจะเข้าใจและไม่ค่อยจะสนใจ เลยไม่เป็นคริสเตียนที่ถูกต้อง ถ้าเป็นคริสเตียนที่ถูกต้องจะไม่อุปาทานใน good and evil ฉะนั้นเราอย่าให้ good หรือ evil ก็ตามกลายเป็นคุกขึ้นมา นี่เรียกว่าไม่ติดคุกแห่งความดี กินผลไม้นั้นเข้าไป รู้จัก good and evil แล้วก็ไปติดยึดใน good and evil แล้วก็มีปัญหา มีปัญหาตลอดมาจนเรียกว่า original sin บ้าง perpetual sin บ้าง มันก็กลายเป็น original prison เป็น perpetual prison ขอให้ระวัง original prison, perpetual prison นี้ให้ดีๆ อย่าได้ไปติดคุกนี้เลย การติดคุกแห่งความดี ดี หรือ good, good หรือความดีนี้ พอไปติดเข้าแล้ว มันก็จะเลยขึ้นไปถึงว่า ยอดสุดของความดี supreme ของความดี ก็กลายเป็น supreme คุก ถ้าเป็นดังนี้แล้วพระเจ้าหรือ god นั่นเองจะกลายเป็น supreme คุกขึ้นมา supreme prison ขึ้นมา ขอให้เข้าใจไว้ด้วยว่าอุปาทานนี้มันสร้างคุกอย่างนี้
ทีนี้ก็มาถึงคุกคือ ทิฐิของตนเอง คำว่าทิฐิ ทิฐินี้แปลยาก มันเป็นความรู้ ความคิด ความเชื่อ ความเห็น ความเข้าใจ นั่นน่ะ คือทิฐิ ทิฐิความคิดเห็นของตนเอง มันไม่เป็นแต่เพียง opinion เล็กๆน้อยๆหรอก มันเป็นทั้งหมด เป็น view เป็นอะไรทั้งหมด เรียกกันว่าทิฐิ แล้วมันติดคุกทิฐิของเราเอง เราไม่เชื่อฟังใครนอกจากทิฐิของเราเอง นี่ก็เป็นคุกที่น่ากลัวมาก เราก็หุนหันพลันแล่นไปตามทิฐิของเราเอง เราก็พลาดไปจากสิ่งที่ควรจะได้ ควรจะได้รับประโยชน์ เพราะเรามีทิฐิของเราเอง เป็นคุกขังเราอยู่ เก็บตัวเราไว้อยู่ประการหนึ่งเลย ระวัง คุก คุกคือทิฐิของตนเอง
ทีนี้เราจะมาถึงคุกที่ประหลาด หรืออาจจะเป็นคุกสูงสุด คุกสูงสุด คุกนั้นคือสิ่งที่เรียกกันว่า ความบริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ คำนี้แปลยาก แปลยากที่สุด แต่ก็แปลกันไปตามที่แปล ความบริสุทธิ์ บางทีแปล innocent ว่าความบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็แปลกดี pure, pure มันก็ยังไม่รู้หรอกว่า pure อย่างไร ไอ้ความบริสุทธิ์นี้เป็นที่ยึดมั่นเป็นที่หมายมั่นเป็นที่บูชา เป็นที่สำหรับประกวด อวดกันหนักหนา ว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ แต่แล้วถ้ามีอุปาทานมันก็เป็นบริสุทธิ์ด้วยอุปาทานทั้งนั้น บริสุทธิ์ด้วยอุปาทานทั้งนั้นไม่ได้บริสุทธิ์จริง สมมติยึดมั่นว่าบริสุทธิ์ เช่น ต้องอาบน้ำ ต้องทำพิธีอาบน้ำ ต้องทำพิธีเสกเป่า ทำพิธีเจิม พิธีอะไรต่างๆ นานา ว่าบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ ความบริสุทธิ์ด้วยอุปาทาน โดยอุปาทานอย่างนี้เป็นคุก เป็นคุก ขออย่าได้หลงใหลจนติดคุกที่เรียกกันว่า ความบริสุทธิ์ มันเป็นสิ่งที่น่าสงสาร มันยึดมั่นตัวตนมาก มันก็มียึดมั่นในความบริสุทธิ์มาก และบางลัทธิศาสนาก็สอนออกไปบริสุทธิ์ถาวร เป็น perpetual soul อ่า อ่า เป็น perpetual soul อยู่อย่างนิรันดร เป็น eternal อะไรทำนองนี้ มันมาจากความยึดมั่นความบริสุทธิ์จนเป็นคุกนิรันดร เป็นคุกนิรันดรขึ้นมา นี่ขอบอกเป็นครั้งสุดท้าย เป็นคุกสุดท้าย หรือออกจากคุกว่า ไอ้ที่บริสุทธิ์ที่สุดบริสุทธิ์ที่สุดนั้น คือความว่างจากตัวตน void of soul. void of self นั่นคือความบริสุทธิ์ void of self ไม่มีตัวตน ว่างจากตัวตน ว่างจากตัวตน นั้นคือ ความบริสุทธิ์ที่แท้จริง แต่ความบริสุทธิ์ที่เป็นนิรันดร และไม่เป็นคุกโดยประการใด เว้นไว้แต่จะเข้าใจผิดไปยึดถือเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา ความบริสุทธิ์ก็กลายเป็นคุกขึ้นมาอีก ว่างจากตัวตนเสียทีเดียวเลย นั่นจะเป็นบริสุทธิ์แท้จริง ไม่เป็นคุก นี่คือความบริสุทธิ์ที่ไม่เป็นคุก
เป็นอันว่า คุกที่แท้จริง เป็นที่รวบรวมแห่งคุกทุกชนิดอย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ก็คือสิ่งที่เรียกว่าอัตตาในภาษาบาลี self หรือ soul อัตตาในภาษาไทยเรียกว่าตัวเอง ตัวตน ตัวเองนั่นแหละเป็นคุก ตัวเองนั่นแหละเป็นคุก คุกทั้งหลายทั้งปวงมาสรุปรวมอยู่ที่คำว่าตัวเอง ตัวเอง ความยึดมั่นเป็นตัวตนแล้วก็เป็นของตน นั่นแหละคือคุกวิญญาณของคุก คุกทั้งหมดมารวมอยู่ที่คำว่า อัตตา จงถอนอัตตา ความโง่อัตตาออกเสียได้ คุกทั้งหลายก็จะไม่มี ถ้าท่านปฏิบัติอานาปานสติประสบความสำเร็จโดยแท้จริงนะ โดยแท้จริงนะ ประสบความสำเร็จในอานาปานสติโดยแท้จริง ท่านจะทำลายคุกหมดเลย คือทำลายอัตตาและคุกทั้งหลายทั้งหมดและไม่สร้างคุกอะไรขึ้นมาอีก ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการทำลายคุกคืออัตตา
ความมุ่งหมายของอานาปานสติ ก็เพื่อจะถอนเสียซึ่งอุปาทานว่าอัตตา ถอนอุปาทานว่าอัตตาเสียได้ก็คือความดับทุกข์สิ้นเชิง ความหลุดรอด ความ จุดหมายสูงสุดของทุกๆศาสนาก็คือความหลุดรอด เป็นสิ่งที่มีประโยชน์จนเหลือที่จะกล่าว ขอให้ท่านทั้งหลายพยายาม อาตมาก็ตั้งใจว่าจะช่วยเหลือทุกคน ช่วยเหลืออย่างยิ่ง ช่วยเหลือที่สุดให้ทุกคนเข้าใจอานาปานสติ และปฏิบัติอานาปานสติได้สำเร็จ เพื่อว่าเราทุกคนจะได้หลุดจากคุกของมนุษย์โดยประการทั้งปวง ขอยุติการบรรยายในวันนี้